เวลาเป็นวงวนมากกว่าเส้นตรง วงเวลา

สวัสดี! อารมณ์ดีกับคุณ!

วันนี้ฉันต้องการ สะท้อนความรวดเร็วของชีวิต, การเคลื่อนไหวของเวลา, วงเวลา และฉันยินดีหากคุณมีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ด้วย

บ่อยครั้งที่ฉันได้ยินจากเพื่อนและคนรู้จักว่าเวลานั้นเร็วมาก และการวิ่งก็เร่งขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งมันก็บินไปโดยไม่มีใครสังเกต ฉันเองก็รู้สึกเป็นบางครั้ง แล้วคุณล่ะ?

แม้กระทั่งก่อนถึงสถาบัน เวลาผ่านไปสำหรับฉันด้วยความสงบ แม้ว่าหลังจากไม่กี่ปีก็เริ่มเร่งความเร็ว จากนั้นมันก็วิ่ง และตอนนี้ก็ได้รับความสามารถในการบิน และฉันสงสัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น และสิ่งที่ฉันได้หรือเสียจากสิ่งนี้

อันที่จริง ความเร็วของเวลาไม่ได้เปลี่ยนแปลงในหนึ่งวัน ทุกอย่างมี 24 ชั่วโมง และในหนึ่งชั่วโมง 60 นาที ก้าวของชีวิตความเร็วของการเคลื่อนไหวได้เร่งขึ้น นี่เป็นความรู้สึกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ ยิ่งเมืองใหญ่ อัตราชีวิตยิ่งสูง

ราวกับว่าเราได้เปลี่ยนวิธีการขนส่ง ที่นี่เราไม่ได้พูดถึงภายนอกอีกต่อไป แต่เกี่ยวกับภายใน ภาพชุดหนึ่งก็มา

ช่วงแรกๆ ในวัยเด็ก ตอนที่พวกเขายังเดินไม่ได้ ส่วนใหญ่เป็นคนของเราที่เคลื่อนไหว
ตา ... จากนั้นการเคลื่อนไหวของศีรษะและลำตัวก็เปิด ... พวกเขาเริ่มคลานเดินวิ่ง ... เรานั่งหลังสามล้อ ... สองล้อ ... รถจักรยานยนต์ ... รถยนต์ .. ธรรมดาแข่ง ... มีคนขึ้นรถไฟหรืออาจจะวิ่งอยู่หน้ารถจักรไอน้ำ ... ใครบางคน - บนเครื่องบินและบางคน - จรวด ...

ฉันได้เขียนสิ่งนี้ไว้ ไม่ใช่แค่ให้คุณยิ้มและคิดถึง อะไรคือ "วิธีเดินทาง" ในตัวคุณในตอนนี้?... แต่คุณได้ไตร่ตรองและตระหนักว่าทุกสิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อคุณอยู่ที่ความเร็วสูงสุดในชีวิต และ "การบิน" นี้มีสติสัมปชัญญะมากน้อยเพียงใด

เพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งนี้ คุณต้องช้าลงเล็กน้อย จากนั้นจึงแนะนำให้หยุดชั่วขณะหนึ่ง อย่าลืมว่ารถแต่ละคันมีระยะหยุดรถของตัวเอง ดังนั้น หลีกเลี่ยงการเบรกอย่างแรง นี้เต็มไปด้วย "การทำลายบล็อก" ค่อยๆ เปลี่ยนจาก "จรวด" เป็นท่าเดิน การเคลื่อนไหวของศีรษะและดวงตาที่เงียบเชียบ และเมื่อถึงจุดหนึ่ง การรับรู้ก็จะเปิดขึ้น พลังแห่งช่วงเวลา .

จำหนัง Groundhog Day ได้ไหม? นี่เป็นเพียงเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างมีสติในปัจจุบันขณะ เมื่อพระเอกของเรื่องได้ช้าลงเพื่อที่จะได้เห็นและสัมผัสชีวิตของเขา การรับรู้ของโลก และประการแรก ตัวเขาเองในสิ่งที่อยู่รอบตัวเขา เขาก็ทำได้ ออกจากวง, ออกจากวงเวลา.

นี่เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจมาก ลองมัน.

ก่อนอื่นคุณต้องคิด คุณมีวันกราวด์ฮอกบ่อยแค่ไหน... และยอมรับความจริงนี้ว่า "ใช่แล้ว"

จากนั้นให้ถามตัวเองสองสามคำถาม:

• วิ่งทั้งชีวิตเพื่อทำทุกอย่าง มีแผนอะไรเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ?
• ฉันกำลังวิ่งไปตามชีวิตเพื่อให้ทันกับผู้อื่นหรือไม่? พวกเขาทั้งหมดวิ่ง ...
• ฉันวิ่งผ่านชีวิตเพื่อหนีความเจ็บปวด ความกลัว ความรู้สึกผิด หรือความโกรธ
  (หรือความรู้สึกอย่างอื่น)?

  “กดหยุด”เพื่อจะได้รู้ว่าคุณกำลังพยายามหนีความรู้สึกของตัวเองอยู่หรือเปล่า
  จากสถานการณ์จากปัญหา สิ่งที่เหลือเพราะสิ่งนี้ยังไม่ได้ดำเนินการ ชนิดไหน
  ไม่ได้แสดงอารมณ์ออกมา คำไหนที่ยังไม่ได้พูดออกไป

ปรากฏการณ์ "การบิดเบือน" ของช่วงเวลาจริงมักถูกสังเกตพบในระหว่างการติดต่อกับยูเอฟโอและองค์ประกอบต่างๆ ของโลกคู่ขนาน ในระหว่างการสัมผัสดังกล่าว ปรากฏการณ์ของ "การหลุด" บางส่วนจากเวลาของเราก็เป็นไปได้เช่นกัน นี่คือความคิดเห็นของผู้มีอำนาจที่เป็นที่ยอมรับในด้าน ufology (วิทยาศาสตร์ยูเอฟโอ), ดุษฎีบัณฑิตเทคนิค V. Azhazhi: "ในต่างประเทศและในประเทศของเรา มีข้อเท็จจริงมากมายที่รวบรวมไว้ซึ่งทำให้เราสามารถยืนยันได้ว่าในบางกรณีวัตถุบินที่ไม่ปรากฏชื่อ การบินหรือโฉบเหนือคนหรือสัตว์ สามารถทำให้เกิดอัมพาตชั่วคราวของระบบเครื่องยนต์ ซึ่งมักจะหายไปหลังจาก การจากไปของยูเอฟโอ ... "

สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับ UFO ก็ตาม มันก็บ่งชี้ถึงความสามารถของวัตถุเหล่านี้ในการเปลี่ยนแปลงเวลาโดยตรง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่นักวิจัยสังเกตเห็นความแตกต่างในการอ่านค่าความเที่ยงตรงที่จุดลงจอด UFO ตัวอย่างเช่น ศาสตราจารย์ A.V. Zolotov ได้ทำการทดลองที่คล้ายกัน ซึ่งบันทึกการเร่งความเร็วของเวลาด้วยเครื่องวัดความเที่ยงตรงทางทะเลแบบธรรมดา
สิ่งที่คล้ายกันสามารถเกิดขึ้นได้ในระหว่างการรวมตัวกันของ poltergeist นี่คือเรื่องราวของ A. Kardashkin ผู้เชี่ยวชาญของสมาคม "Ecology of the Unknown" เกี่ยวกับหนึ่งในหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับในด้านปรากฏการณ์ผิดปกติ I. Mirzalis: “... Mirzalis เป็นมืออาชีพ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2533 มีกรณีหนึ่งที่มีการสนทนากับคนที่เคยประสบกับความน่ากลัวของโพลเตอร์ไกสต์ การสนทนานั้นเป็นมิตร เชิญชวน ... แต่เมื่อหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากการผจญภัยลุกขึ้นออกจากโต๊ะ Mirzalis เหลือบมองนาฬิกาข้อมือและจดเวลา "20.10" ในสมุดบันทึกโดยอัตโนมัติ ... เขาจากไปและการสนทนาก็ดำเนินไปอย่างสงบเหมือนเดิม ในไม่ช้า 15 นาทีต่อมาเขาก็กลับมา Igor Vladimirovich Mirzalis มองที่หน้าปัดอีกครั้งแล้ววางลงในสมุดบันทึกของเขา: "20.10" ตอนแรกเขาไม่ได้สังเกตเห็นความบังเอิญแปลก ๆ แต่แล้วเมื่อกลับมาถึงบ้านเมื่อเปรียบเทียบตัวเลขในหน้าต่างๆของสมุดบันทึกเป็นเวลานานเขาเปรียบเทียบนาฬิกาของเขากับไฟกระพริบของป้ายบอกคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ด้านบน ทางเข้าอุโมงค์ นาฬิกาของเขาทำงานได้ดี!"
อีกกรณีหนึ่งที่คล้ายกัน แต่น่าสนใจไม่น้อยที่เกี่ยวข้องกับ "การบีบอัด" ของเวลาโดยผู้อยู่อาศัยในมอสโก D. Davydov: “วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิปี 1990 ฉันโทรหาเพื่อนซึ่งอาศัยอยู่ห่างจากฉันป้ายรถเมล์หนึ่งป้าย และเสนอให้ไปเดินเล่น เราตกลงที่จะพบกันที่ทางเข้าของฉัน เท่าที่จำได้ตอนนี้ก็บ่ายสองโมงพอดี พอวางสาย ฉันก็ออกจากบ้านทันที เพื่อไม่ให้นั่งในอพาร์ตเมนต์ แต่เพื่อสูดอากาศในสวน ตามตัวอักษรในวินาทีนั้น ฉันเห็นว่าเพื่อนกำลังเดินเข้ามาหาฉัน แต่นี่เป็นไปไม่ได้ เพราะอย่างที่ฉันพูด เขาอาศัยอยู่ค่อนข้างไกลจากฉัน!
ข้าพเจ้าเดินเข้าไปหาเขา ทันใดนั้น ข้าพเจ้าก็ตาบอดเพราะแสงวาบ เมื่อกระพริบตาก็เห็นว่าข้าพเจ้าอยู่ตามลำพังในสนาม
ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันขึ้นรถบัสและไปที่บ้านเพื่อนของฉัน เขาเปิดประตูให้ฉันและพูดด้วยความประหลาดใจ: “คุณก็เหมือนเครื่องบินเจ็ต! เพิ่งโทรมาและที่นี่! คุณจัดการมันได้อย่างไร "
ฉันเหลือบดูนาฬิกา - ตอนนี้เป็นเวลา 14.00 น. แม้ว่าตามความรู้สึกของฉัน เวลาผ่านไปประมาณสี่สิบนาทีแล้วตั้งแต่โทร บางทีนาฬิกาของฉันอาจช้า ฉันยังไม่รู้ว่าสี่สิบนาทีนั้นหายไปไหน ... "
ในทั้งสองกรณีมีการบิดเบือนของระยะเวลาซึ่งมักจะมาพร้อมกับปรากฏการณ์ผิดปกติทุกประเภท คุณสามารถมองไม่เห็นในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยพบว่าตัวเองอยู่ใกล้มากและคล้ายคลึงกัน แต่ยังคงความเป็นจริงคู่ขนานและจากนั้นก็กลับมาอย่างเงียบ ๆ ในระหว่าง "การเดินทาง" ดังกล่าว เมื่อกลับสู่ความเป็นจริงของคุณ คุณจะพบว่าตัวเองเกือบจะอยู่ในจุดเดิมของกระแสเวลา ดังนั้น เวลา "พิเศษ" จึงปรากฏขึ้นตามอัตวิสัยสำหรับ "นักเดินทาง" แต่บางครั้งมันก็เกิดขึ้นที่เวลาอธิบายลักษณะหนึ่ง “วนซ้ำ” กล่าวคือ ความผิดเพี้ยนของมันรุนแรงมากจนปรากฏการณ์ของ "ดับเบิ้ล" เริ่มปรากฏ บุคคลสามารถเห็นตัวเองทำการกระทำบางอย่างและจากนั้นครู่หนึ่งก็เห็นเหตุการณ์เดียวกันนี้ผ่านสายตาของ "คู่" ของเขาในขณะที่แลกเปลี่ยนกับ เขาสถานที่ สิ่งนี้เกิดขึ้นเกือบจะเหมือนกับที่นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดังอย่าง Stanislav Lemv อธิบาย "The Star Diaries of Iyon the Tikhiy" โดยมีข้อแตกต่างที่สำคัญเพียงข้อเดียว - ในงานของนักเขียน "วงเวลา" เกิดขึ้นจากผลกระทบของ "หลุมดำ" และ สิ่งนี้ได้รับอนุญาตจากวิทยาศาสตร์สมัยใหม่แล้ว สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรในสภาพโลก? ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามนี้
อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวแม้จะเกิดขึ้นค่อนข้างน้อยก็ยังไม่มีข้อยกเว้นสำหรับโลกของเรา เป็นที่ทราบกันดีว่า Johann Wolfgang von Goethe นักเขียนชาวเยอรมันผู้โด่งดังในปี พ.ศ. 2314 ระหว่างทางไปดรูเซนไฮม์พบคู่ของเขาขี่ม้ามาหาเขา . ทั้งคู่สวมเสื้อคลุมสีเทาและสีทองซึ่งเกอเธ่ไม่มี แต่แปดปีต่อมาเขากลับมาที่บ้านเกิดด้วยเสื้อคลุมที่เขาเห็นบนเสื้อคู่ของเขา
นี่คือวิธีที่ V. Savintsev ผู้อาศัยอยู่ในเมือง Nytva ภูมิภาค Perm ซึ่งตอนนั้นเป็นนักศึกษาที่ Perm University ได้อธิบายกรณีดังกล่าวอีกกรณีหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในปี 1975: “ ... ดึกวันหนึ่งฉันอเล็กซานเดอร์เพื่อนของฉันเป็นนักเรียนของคณะอื่นและอิกอร์เพื่อนร่วมกันของเราเดินผ่านเมืองด้วยความตั้งใจที่จะ "อ่าน" เอกสารสามฉบับ "ในศัพท์แสงของเรานี่หมายถึงการดื่มสามขวด ของไวน์ค่อนข้างหมัด ในการทำเช่นนี้เราตัดสินใจไปที่ Igor ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ ๆ แล้วทันใดนั้น ความไม่แยแสที่เข้าใจยากก็เข้ามาหาฉัน ฉันปฏิเสธที่จะไปกับเพื่อน ๆ แม้ว่าพวกเขาจะโน้มน้าวใจฉันก็กระโดดขึ้นไปบนรถเข็นที่เข้ามาใกล้และไปที่หอพักของฉัน
แล้วสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็เกิดขึ้น: เมื่อเข้าใกล้บ้านที่ Igor กำลังเช่าห้องในอพาร์ทเมนต์บนชั้นหนึ่ง เพื่อน ๆ ก็เห็นแสงที่หน้าต่าง! เรื่องนี้ทำให้อิกอร์ประหลาดใจ เพราะเขามีเพียงกุญแจห้องเดียว และไม่มีใครสามารถเข้าไปได้โดยไม่มีเขา เขาจากไปในตอนกลางวันและจำได้ดีว่าไฟดับแล้ว ชายหนุ่มคว้าขอบหน้าต่างแล้วดึงตัวเองขึ้น มองเข้าไปในห้อง วินาทีต่อมา เขาก็กรีดร้อง กระโดดลงไปที่พื้น จ้องไปที่อเล็กซานเดอร์
“นั่นไง ดูสิว่ามีอะไรอยู่” เขาพึมพำด้วยความตกใจ เพื่อนของฉันมองผ่านหน้าต่างและพบกับความประหลาดใจและสยองขวัญสุดจะพรรณนา ในห้องที่โต๊ะกำลังนั่ง ... เขากับอิกอร์! เนื้อคู่ของพวกเขาดูเหมือนหุ่นจำลองและแต่งตัวเหมือนพวกเขา ในเวลาเดียวกัน พวกเขากำลังถือแก้วไวน์อยู่ในมือและพูดคุยกันถึงเรื่องบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้ยินคำพูดใดๆ จากนั้นทั้งคู่ก็มองที่หน้าต่าง หัวเราะ ยกแก้วขึ้นทักทายและดื่มไวน์ ...
อเล็กซานเดอร์ตกใจกับสิ่งที่เห็น เพื่อนๆ ต่างรีบหนีจากภาพอันน่าเหลือเชื่อ พวกเขาเดินไปตามถนนเป็นเวลานานและพูดคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น ในที่สุด ทั้งสองก็ได้ข้อสรุปว่าทุกอย่างดูเหมือนกับพวกเขา ภาพหลอนของคนหนึ่งส่งต่อไปยังอีกคนหนึ่ง - เท่านั้น ด้วยความคิดนี้พวกเขาจึงไปที่อพาร์ตเมนต์ที่อิกอร์อาศัยอยู่อีกครั้ง คราวนี้ไม่มีแสงที่หน้าต่างห้องของเขา พวกเขาเข้าไปในอพาร์ตเมนต์อย่างระมัดระวัง ประตูห้องของอิกอร์ถูกล็อค เพื่อน ๆ เข้ามาในห้องแล้วเปิดไฟ ไม่มีใคร สิ่งนี้ทำให้พวกเขาสงบลง พวกเขาหยิบขวดออกมา เทไวน์ลงในแก้ว ดื่ม และนั่งที่โต๊ะ สนทนาต่อด้วยอาการประสาทหลอนที่น่าเหลือเชื่อ แล้วอิกอร์ก็พูดติดตลกว่า: “หรือบางทีคู่ของเราตอนนี้กำลังเกาะขอบหน้าต่างและมองมาที่เรา?” ทั้งคู่มองที่หน้าต่างหัวเราะและยกแก้วขึ้นทักทายดื่มไวน์ Alexander ตะลึง: เขา ตระหนักว่าตอนนี้พวกเขาทำซ้ำการกระทำของคู่หูหน้าต่างอย่างแน่นอน!”
สำหรับการ "หลุดออกมา" (บางส่วนหรือทั้งหมด) จากกาลอวกาศของเรา สิ่งที่คล้ายกันอย่างที่เราจำได้ได้เกิดขึ้นแล้วกับสมาชิกบางคนในทีม Eldridge ซึ่ง "หลุดออกจากช่วงเวลาจริง"
นี่คือวิธีที่ Bob Frissell อธิบาย "Philadelphia Experiment": “ไม่ว่าผลของการทดลองในฟิลาเดลเฟียจะเป็นอย่างไร มันเกิดขึ้นในชีวิตจริง และถูกดำเนินการโดยกองทัพเรือสหรัฐฯ ในปี 1943 เรือรบ USS Eldridge ถูกใช้เพื่อการนี้ นักวิทยาศาสตร์ต้องการทำให้เรือลำนี้ล่องหนโดยเรดาร์ แต่ไม่ล่องหนโดยสิ้นเชิง . ระหว่างการทดลองสีจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีส้ม สีเหลือง และสีเขียว(จำลักษณะ "หมอกสีเขียว" ที่สังเกตได้จากพยานการทดลอง - บันทึกของผู้เขียน) ใช้เวลาไม่นานนัก แต่ผู้ทดลองล้มเหลวในการบรรลุขั้นตอนอื่น เหมือนกับการยกเครื่องบินไอพ่นขึ้นเหนือพื้นดินสองสามเมตรแล้วดับเครื่องยนต์ กล่าวคือ การทดลองล้มเหลวในทันที เรือรบพร้อมลูกเรือทั้งหมดหายไปจากการมองเห็นเป็นเวลาประมาณสี่ชั่วโมง เมื่อเขาปรากฏตัว ลูกเรือบางคนถูกผลักเข้าไปในดาดฟ้าโดยแท้จริงแล้ว พบ 2 คนในห้องขัง บางคนไม่พบเลย ที่เหลือถูกเปลี่ยนรูปเป็นร่างแล้วกลายเป็นวัสดุใหม่ เป็นไปโดยไม่ได้บอกว่าผู้รอดชีวิตทั้งหมดนั้นสมบูรณ์แล้ว สับสน "
แต่ความล้มเหลวของการทดลองไม่ได้หยุดกองทัพอเมริกันในยุค 80 มีความพยายามอีกครั้ง (โครงการ Montouk) ซึ่งสร้างช่วงเวลาและเชื่อมโยงการทดลองทั้งสองเข้าด้วยกัน: “ลูกเรือสองคนรีบลงไปในน้ำโดยหวังว่าจะว่ายน้ำขึ้นบก และพวกเขาพบว่าตัวเองอยู่บนบก แต่ไม่ใช่ในฟิลาเดลเฟีย ลองไอส์แลนด์ (ในเขตหนึ่งของนิวยอร์ก) ในปี 1983 พวกเขา "ลอยออกไป" ในเวลานี้ตั้งแต่นั้นมาก็มีการทดลองที่คล้ายกันเรียกว่า "Montouk โครงการ" เกี่ยวข้องกับการทดลองฟิลาเดลเฟียปี 1943 สองคนนี้เป็นพี่น้องกัน ชื่อของพวกเขาคือ Duncan และ Edward Cameron
การทดลองทั้งสองได้ดำเนินการเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ตามที่เอกอัครราชทูตของ Al Bilek (ผู้ซึ่งอ้างว่าชื่อจริงของเขาคือ Edward Cameron และเขาเป็นหนึ่งในสองคนที่รีบเข้าไปใน USS Eldridge) มีทุ่งชีวภาพสี่แห่งบนโลกใบนี้ และมีความเข้มข้นสูงสุดทุก ๆ ยี่สิบปี (1943, 1963, 1983 และอื่นๆ) อย่างแม่นยำในวันที่ 12 สิงหาคม สิ่งนี้นำไปสู่ความจริงที่ว่าพลังงานแม่เหล็กยังถึงจุดสูงสุดในเวลานี้ พลังงานนี้เพียงพอที่จะสร้างไฮเปอร์สเปซ และเพื่อให้เรือรบเข้าสู่พื้นที่นี้ในปี พ.ศ. 2486”
และนี่คือหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งของการทดลองในฟิลาเดลเฟีย ซึ่ง Morris Jessup นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันได้รับในปี 1956 จากนักฟิสิกส์ K. Allende อดีต "เพื่อนของเพื่อน" ของ A. Einstein: “คุณอาจสนใจความจริงที่ว่าทฤษฎีของสนามรวมเป็นหนึ่งได้รับการพัฒนาจริงโดยไอน์สไตน์ในปี ค.ศ. 1920 แต่เขาปฏิเสธด้วยเหตุผลทางศีลธรรม ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เขาตกใจ ... อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ การคำนวณที่ทำโดยเพื่อนของฉัน Franklin Reno ได้รับการยอมรับและให้เหตุผลในมุมมองของปรากฏการณ์ทางกายภาพ ...
ผลของการทดลองคือการล่องหนโดยสมบูรณ์ของเรือรบที่ดำเนินการและลูกเรือทั้งหมด สนามที่ใช้เป็นรูปทรงกลมแบนที่เสาและทอดยาวไปหนึ่งร้อยหลา ใบหน้าในสนามเห็นกันและกันเป็นเงามัว แต่มองไม่เห็นจากภายนอก วันนี้มีคนเหลือน้อยมากจากลูกเรือคนนั้น ส่วนใหญ่บ้าไปแล้ว คนหนึ่งเดินผ่านกำแพงอพาร์ตเมนต์ต่อหน้าภรรยา ลูก และสหายสองคนของเขาแล้วหายตัวไป หลายคนยังคงอยู่ในสาขานี้ ซึ่งทุกคนสามารถขอความช่วยเหลือจากสหายของพวกเขาได้ หากจู่ๆ พวกเขา "ตกไปในความว่างเปล่า" "เข้าไปในความว่างเปล่า" หมายถึงการที่ทุกคนมองไม่เห็นโดยไม่คำนึงถึงเจตจำนงของพวกเขา ความรอดเพียงอย่างเดียวคือการสัมผัสที่รวดเร็วของผู้อื่นและการปิดสนามในทันที
เมื่อในระหว่างการทดลองมีคน "เข้าไปในความว่างเปล่า" ร่างกายและใบหน้าของเขาดูเหมือนจะแข็งทื่อและเย็นยะเยือกจริงๆ - บุคคลนั้นหยุดอยู่ที่นั่นจริง ๆ การละลายน้ำแข็งกินเวลาหลายชั่วโมงผู้คนเข้ามาแทนที่และเมื่อมองเห็นได้เป็นปกติ มวลและน้ำหนักส่วนใหญ่คลั่งไคล้ ... ผู้ที่สติกลับมาแย้งว่าสถานะดังกล่าวเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลในโลกนี้ "
ในจดหมายแนวคิด Allende ระบุหมายเลขกองทัพเรือและชื่อบุคคลที่เข้าร่วมในการทดลอง ข้อเท็จจริงทั้งหมดเหล่านี้รั่วไหลเข้าสู่สื่ออย่างเป็นทางการในที่สุด ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่กองทัพสหรัฐฯ จัดสรรเงิน 2 ล้านดอลลาร์เพื่อหักล้างข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ "การทดลองในฟิลาเดลเฟีย" และไม่มีควันถ้าไม่มีไฟ
อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้มากที่สุดว่า "การหลุดจากช่วงเวลาจริง" ในกรณีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ไปในอวกาศคู่ขนาน แต่ด้วยการเคลื่อนตัวไปยังโซนความโค้งของคอนตินิวอัมกาล-อวกาศใน "ถุงเวลา" "หลุมดำ" ที่แม้แต่เวลาก็ไม่มี D. Andreev อธิบายไว้ใน "Rose of the World" สถานที่ดังกล่าวในจักรวาลว่าเป็น "จุดต่ำสุด" ของโลกเบื้องล่างของนรกซึ่งเป็น "กองขยะของจักรวาล" ที่ซึ่งอวกาศและเวลายุบลงเป็นจุด ๆ นี่เป็นจุดเริ่มต้นแรกสุดของเกลียวขึ้นของวิวัฒนาการ การทดลองที่ไม่รู้หนังสือของ "ฟิลาเดลเฟีย" ดังกล่าวในที่สุดก็นำไปสู่การเปิดช่องทางการสื่อสารในกาลอวกาศสามมิติของเรากับโลกมิติเดียวของ "ที่ทิ้งขยะสากล" แม้กระทั่งการเลี่ยงผ่านโลกสองมิติของสิ่งมีชีวิตอนินทรีย์
สาระสำคัญของเกลียวขึ้นของวิวัฒนาการคือการเคลื่อนไปสู่จิตสำนึกหลายมิติ เพื่ออาศัยอยู่ในความเป็นจริงหลายมิติของโลกที่สูงกว่า ในขณะที่เส้นทางแห่งความเสื่อมโทรมนำไปสู่การตกสู่โลกปีศาจสองมิติและหนึ่งมิติแห่งนรก
ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่าเหตุใด เอ. ไอน์สไตน์จึงทำลายบทบัญญัติของเขาเกี่ยวกับทฤษฎีสาขาทั่วไป และมาถึงจุดจบของชีวิตด้วยศรัทธาที่ลึกซึ้งและแท้จริงในพระเจ้า เขาเข้าใจถึงอันตรายของการทดลองดังกล่าวสำหรับมนุษยชาติ ซึ่งอาจนำไปสู่การเสื่อมโทรมอย่างสมบูรณ์ เส้นทางสู่โลกที่สูงขึ้นอยู่ผ่านการสร้างภายใน ไม่ใช่ "ไทม์แมชชีน" ภายนอก

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สหายกลับมามีความกระตือรือร้นมากขึ้นอีกครั้ง อีกครั้งเพื่อรอ Armageddon / จุดจบของเวลา บทนี้อุทิศให้กับพวกเขา

“เวลา” Ish-Chel เริ่มต้นเรื่องราวของเธอ เป็นสารแม่เหล็ก มันเชื่อมโยงกับพื้นที่อย่างแยกไม่ออก มันห่อหุ้มทุกสิ่งและทุกคนและแทรกซึมทุกสิ่งและทุกคน เธออยู่คนเดียวทุกที่ ไม่มีอดีตและอนาคต มีเพียงปัจจุบันเดียว และในปัจจุบันมีนับพันล้าน - ทางเลือกที่ไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับการพัฒนากิจกรรม อินฟินิตี้นี้เป็นหนึ่ง จิตสำนึกที่มีชีวิตแบ่งเวลาออกเป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเท่านั้น ประวัติศาสตร์เป็นเพียงเส้นทางในห้วงเวลาที่บันทึกไว้ในจิตสำนึกส่วนรวมของผู้คนและในช่องข้อมูลของโลก แต่มีเส้นทางดังกล่าวมากมาย - และเป็นโลกคู่ขนาน มีเส้นทางที่คล้ายกันมากมายในพื้นที่แห่งอนาคต และอารยธรรมใดที่พวกเขาจะไป - มันเลือกตัวเองแม้ว่าจะเป็นไปตามธรรมชาติในใบหน้าของปัจเจกบุคคล ฉันไม่สามารถอธิบายเพิ่มเติมได้ เนื่องจากขาดแนวคิดเกี่ยวกับโลกสามมิติของคุณ

เวลามีโครงสร้างก้นหอยในโครงสร้างเกลียวของเราในจักรวาล เวลาก็เหมือนเปลือกหอย หอยทาก แต่นี่เป็นเพียงช่วงเวลาที่มองเห็นได้จากยุคเดียว เมื่อเราพบว่าตัวเองอยู่ในอีกยุคหนึ่ง เวลาจะกลายเป็นหอยทากอีกตัวหนึ่งที่หมุนไปในทิศทางตรงกันข้าม

ปฏิทินที่เราให้แสดงรอบทั้งหมด เนื่องจากสามารถสลับยุคได้ แต่ปฏิทินหินที่ทำสำเนาไว้ทำไม่ได้ เพราะมันแกะสลักด้วยหินและไม่ขยับเขยื้อน มันแสดงให้เห็นเพียงส่วนหนึ่งของยุคที่สิ้นสุดกับคุณในปี 2555 ตามการคำนวณของคุณ

จุดเริ่มต้นของปฏิทินหินแสดงวันที่เรามาถึงโลก และจุดสิ้นสุดคือการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ พยายามย้อนปฏิทิน เพียงเปลี่ยนวันที่อื่น แล้วปฏิทินจะนับถอยหลังสู่ยุคใหม่

ยุคสิ้นสุด - ยุคของเวลาที่ม้วนตัวเป็นหอยทากที่กำลังจะมาแทนที่ - ยุคแห่งกาลเวลาที่แฉ ในวัฒนธรรมอื่นของโลก ยุคของคุณเรียกว่ากาลียูกะหรือยุคแห่งพลังมืด วิธีที่มันเป็น. ในช่วงเวลาแห่งการล่มสลาย ความมืดและความชั่วร้ายก็เจริญงอกงามในโลกของสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดและปฏิสสารพัฒนา ยุคแห่งการเผยแผ่นำแสงสว่างและการตรัสรู้จากความเขลามาสู่โลกแห่งสิ่งมีชีวิตที่ฉลาด ในยุคนี้ กาแล็กซีจะเปลี่ยนจากโลกที่ต่อต้านโลกด้วยสสารมืด .

มีทฤษฎีที่ว่าหลังจาก และการยึดครองโลกโดยมนุษย์ต่างดาว เราอยู่ในห้วงเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามหาทางออกจากสถานการณ์ด้วยการปลุกจิตสำนึกสากล อย่างน้อยสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นบนกิ่งก้านแห่งความเป็นจริงซึ่งเชื่อมที่นี่ในอดีตอันใกล้ไม่ไกล

ใครบ้างที่สามารถบอกใบ้ให้สาธารณชนทั่วไปทราบเกี่ยวกับความเป็นไปได้ดังกล่าว ถ้าไม่ใช่ไซเอนโทโลจิสต์ ทอม ครูซ?

สุดขอบฟ้า

เรื่องราวจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างดาวที่เรียกว่ามิมิกิมโจมตีโลกอย่างไร้ความปราณี ทำลายเมืองใหญ่ให้เป็นฝุ่นผง และทำลายชีวิตนับล้าน ไม่มีกองทัพใดในโลกที่สามารถเปรียบเทียบความเร็ว ความโหดร้าย และความสามารถในการคาดการณ์อนาคตกับ Mimics ติดอาวุธหนักและผู้บัญชาการกระแสจิตของพวกเขา และกองทัพของโลกจะผนึกกำลังในการสู้รบครั้งสุดท้ายกับฝูงเอเลี่ยนโดยรู้ว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสครั้งที่สอง

พันเอก บิล เคจ (ครูซ) เป็นนายทหารที่ไม่เคยไปในสนามรบ จนกระทั่งเขาถูกลดตำแหน่งและโยนทิ้งไปในสมรภูมิรบที่หนักหนาสาหัส ซึ่งเกือบจะถึงตาย ไม่กี่นาทีต่อมา เคจก็ถูกฆ่า แต่เขาก็สามารถเอาชีวิตเอเลี่ยนไปกับเขาได้ และสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็เกิดขึ้น - เขาตื่นขึ้นมาอย่างมีชีวิตในตอนต้นของวันที่เลวร้ายเดียวกันและเขาถูกบังคับให้ต่อสู้และตาย ... ซ้ำแล้วซ้ำอีก การสัมผัสโดยตรงกับมนุษย์ต่างดาวได้ปิดวงจรเวลา และตอนนี้เคจก็เข้าสู่การต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ทุกครั้งที่กลับมา เคจจะกลายเป็นผู้โหดร้าย ฉลาด และมีทักษะมากขึ้นในการต่อสู้กับเดอะมิมิคส์ ต่อสู้เคียงข้างกับนักสู้หน่วยรบพิเศษริต้า วราตาสกี (บลันต์) ผู้ซึ่งทำลายมิมิคมากกว่าใครๆ ในโลก Rita และ Cage ต่อสู้กับเอเลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า และการต่อสู้ซ้ำซากแต่ละครั้งทำให้พวกเขาใกล้ชิดกับการค้นหาวิธีฆ่าเอเลี่ยนผู้รุกรานและกอบกู้โลก

ข้อมูลข้างต้นไม่ได้เปิดเผยความลับของวงเวลา ดังนั้นฉันจะเพิ่ม: อย่างที่เราจำได้ เวลามีโครงสร้างเป็นเกลียว ซึ่งเหตุการณ์ที่จุดสำคัญซ้ำแล้วซ้ำเล่า (เนื่องจากถูกเย็บด้วยไทม์ลูป) จนกระทั่ง บทเรียนเสร็จสมบูรณ์ เห็นได้ชัดว่าโดยใช้คุณภาพของเวลานี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างดาว (ไม่ใช่ความจริงที่ว่าสิ่งเหล่านี้คืออันนูนากิ ตามที่บางแหล่งกล่าว แต่สำหรับตอนนี้ เรามาอาศัยชื่อนี้กันก่อน) ได้เขียนเหตุการณ์ใน Akashic Chronicle ของระบบสุริยะของเราใหม่ และ ปิดความเป็นไปได้ของวิวัฒนาการที่เกิดผล แต่ละคนเคยนำผู้คนไปสู่ ​​"จุดจบของโลก" ถัดไป ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่งพวกเขาหว่านเมล็ดแห่งความคิดสันทรายในมนุษย์ซึ่งดึงดูดสาขาชั่วคราวซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวถูกนำมาใช้จริง

และพวกเขาตระหนักได้เพียงเพราะชาวโลกลืมวิธีใช้ความคิดของตนเองไปนานแล้ว และได้มอบหมายกระบวนการคิดของตนไปยังแหล่งข้อมูลภายนอก กล่าวอีกนัยหนึ่ง มนุษยชาติได้ตัดสินใจที่จะโอนความรับผิดชอบทั้งหมดสำหรับอนาคต (เช่นเดียวกับปัจจุบันและอดีต) ไปยังผู้ทำนาย แทนที่จะเข้าร่วมในกระบวนการวิวัฒนาการของตนเองและ "รักษากิ่งไม้" ด้วยความพยายามร่วมกัน สิ่งนี้ขัดกับเกณฑ์การพัฒนาของอารยธรรมหนุ่มสาว เพราะเซลล์ของจิตสำนึกใดๆ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลเดียวหรือทั้งเผ่าพันธุ์ / กาแล็กซี ได้รับสิ่งที่ดึงดูดทางจิตใจมาสู่ตัวมันเอง (แน่นอนว่ามีหลายปัจจัยที่มีอิทธิพลและศักยภาพ) มีหลายสาขาเลย มากับจุดจบของโลก / สงคราม / ความหายนะ (รวมถึงการเชื่อในมันจากปากของผู้ทำนาย) ซึ่งหันลูกศรของปฏิทินมายันไปในทิศทางที่สอดคล้องกันของความเป็นจริงและถูกลบออกจากสนามเด็กเล่น Earth เป็นรอบที่สองใน มายาเดียวกัน (มายา)!

จุดจบดังกล่าวมีการวางแผนไว้สำหรับปี 2555 (และเกิดขึ้นจริงในสาขาหนึ่งหรือหลายสาขา) แต่ในสาขาของเรา ข้อมูลนี้ถูกเขียนใหม่บางส่วน อย่างไรก็ตาม หมอกยังไม่จาง การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป ระบบยังคงหมุนลูกศรของพอร์ทัล (เพิ่มเติมในภายหลัง) และฟิลด์ข้อมูลยังคงมีมัลแวร์แฝงอยู่ ซึ่งเราสามารถลบได้ด้วยความพยายามร่วมกันเท่านั้นอย่างน้อยเริ่มต้นด้วยการหยุดเชื่อในคำทำนายวันสิ้นโลกหรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ที่อยู่ห่างไกล เพราะสิ่งนี้ทำให้เราดึงดูดพวกเขาเข้ามา!

ข้าพเจ้าขอเตือนคุณโดยใช้ตัวอย่างของระบบการศึกษาทางโลก ทัศนะดังกล่าวควรได้รับการพิจารณาว่าแตกต่างไปจากเดิมเสมอ ไม่ใช่เฉพาะบุคคลเท่านั้น: จากมุมมองของเด็กที่ประมาท การกล่าวซ้ำของชั้นเรียนในโรงเรียน (" เหลือปีที่สอง") เป็นฝันร้ายและเป็นจุดสูงสุดของความอัปยศต่อหน้าเพื่อน ๆ สำหรับผู้ปกครองนี่เป็นเพียงวิธีที่ลูกของเขาต้องไปตอบสนองความต้องการของระบบที่เด็กจะมีชีวิตอยู่และทำงานต่อไป และสำหรับระบบ นี่เป็นเพียงวิธีการร่อนข้าวสาลีออกจากแกลบ คุณก็เข้าใจแล้ว

ในตอนเริ่มต้น Rogozhkin อธิบายเหตุการณ์โดยประมาณจากมุมมองของเขา:

ความสนใจ คำถาม:

ทฤษฎีนี้น่าเชื่อถือแค่ไหน?

มันกลับกลายเป็นว่าค่อนข้างน่าเชื่อถือ แต่ก็ไม่ง่ายนัก

ข้อความที่ตัดตอนมาจากเซสชันของนักสะกดจิตใหม่ (แม้ว่าเราจะตรวจสอบหลายครั้ง):

ไม่ช้าก็เร็วแต่ละสาขาจะตัดกันเป็นของตัวเอง

ข้อมูลบางส่วนข้างต้นจากเซสชัน:

เช่นเดียวกับ DNA เวลาและหลายมิติมีโครงสร้างเป็นเกลียว อันที่จริงพวกมันเป็นสาขาเศษส่วนของการพัฒนาความเป็นจริงในระดับต่าง ๆ สถานการณ์การสร้างที่คล้ายคลึงกัน / ซ้ำซาก ในการทำซ้ำของสคริปต์ เราประสบกับเหตุการณ์เดียวกัน ยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่ว่ามนุษยชาติทั้งหมดจะประสบกับเหตุการณ์นี้ แต่กลุ่มคนบางกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสาขาของความเป็นจริงที่สอดคล้องกัน

ลองนึกภาพปฏิทินมายันเป็นกระดานหมากรุกทรงกลม (และหลายมิติ) ซึ่งแต่ละตารางมีระดับ "ความน่าดึงดูด" ของตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่าเซลล์ใดที่คุณสนใจตามคุณลักษณะการสั่นสะเทือนส่วนบุคคลของคุณ ส่วนต่างๆ ของพอร์ทัลคอมเพล็กซ์ที่คุณเกี่ยวข้องมากที่สุดเริ่มทำงาน นอกจากนี้ กลไกที่อยู่นอกเหนือเขตอิทธิพลของคุณ (รูปแบบความคิดทั่วไปของอารยธรรม วัฏจักรดาราศาสตร์ ฯลฯ) อาจเปิดขึ้น และคุณอาจถูกโยนเข้าไปในสาขาที่ไม่คาดคิดโดยสิ้นเชิงสำหรับคุณ เพิ่มความจริงที่ว่าเมทริกซ์เล่นตามกฎของตัวเองมานานแล้ว (ซึ่งหลายคนที่นี่ไม่เห็นด้วยหรือลืมอ่านข้อความเล็ก ๆ ) และคุณได้รับแพลตฟอร์มเกมที่ค่อนข้างไม่เสถียรซึ่งความโกลาหลและการให้อภัยทั่วไปเข้ากันไม่ได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยกระบวนการวิวัฒนาการที่ตั้งใจไว้

และ ณ จุดนี้ พวกเราบางคนเริ่มมองหาวิธีออกจากเกม จากสถานการณ์ปัจจุบัน:

เราเริ่มเข้าใจว่าเราอยู่ในเกม "ภาพลวงตา" ... เรารู้ตัวดีอยู่แล้ว ... เราเป็นเหมือนเซลล์มะเร็งสำหรับเกมนี้ ... เกมพยายามต่อสู้กับเราและบีบเรา ออกมาเพื่อไม่ให้เราเข้าไป .... แต่เราดำเนินต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่าและได้รับปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ ... บางครั้งมันก็จบลงสำหรับเราเหมือนการระเบิด ... อันที่จริงเกมนี้บีบเราออกจากตัวเองเราเข้าไปยุ่งกับมัน . เกมนี้ ซึ่งเป็นภาพลวงตา ได้รับการสนับสนุนโดยเครือข่าย - ดาวเทียม สิ่งติดตั้งภาคพื้นดินและใต้ดิน ซึ่งดึงดูดจิตสำนึกของผู้คนมายังตารางลวงตานี้ เราที่มาที่นี่เป็นจิตสำนึกเดียว แยกออกเป็นหลายสายน้ำที่แยกตัวเองออกไปอีก เช่น โลโก้และโลโก้ย่อย

เรากลับจากเกมไปที่ระดับ Sublogos และยังคง Enter-Enter-Enter ซ้ำแล้วซ้ำอีก และปั๊มตัวเราเป็นตัวละคร เล่นตัวเลือกต่างๆ ตอนนี้เราก้าวหน้าไปไกลกว่าที่เคยก้าวหน้าในครั้งก่อน และเรามีความทะเยอทะยานและหวังว่าตอนนี้เราจะรับมือได้ เพราะขั้นตอนที่ดาวเคราะห์ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่แท้จริงของการทดลองสามารถระเบิดได้ผ่านพ้นไปแล้ว เนื่องจากดาวเคราะห์ของการทดลองสามารถเข้าถึงระดับการสั่นสะเทือนได้เมื่อไม่มีการระเบิดปรมาณูใดที่จะส่งผลกระทบต่อโลกของการทดลอง ตอนนี้คำถามคือว่าโลกจะขึ้นไปด้วยตัวมันเองหรือกับผู้คน เธอแสดงความตั้งใจที่จะขึ้นไปพร้อมกับผู้คน เพราะพวกเขาเป็นส่วนสำคัญของเธอ ประสบการณ์ของเธอ และอีกส่วนหนึ่งที่เธอสร้างขึ้นด้วย นี่คือความตั้งใจที่เธอแสดงออกมา แต่ ... จะทำอย่างไรในสถานการณ์ปัจจุบัน - จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครรู้ และเราในฐานะผู้ก่อวินาศกรรม - เรากำลังสร้างเส้นทางอิฐด้วยก้อนอิฐ และเราจัดการให้ไปได้ไกลกว่าที่เคย ก่อนหน้านี้ เราเคยเกิดการระเบิดหลายครั้งแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาได้นำโลกมาสู่ระดับที่มันขึ้นไป นี่คือชิ้นส่วนเล็กๆ ที่เปิดโล่ง ของแผนที่

วี: * ไม่รับประกันอนาคต มันมีอยู่เพียงชุดของเหตุการณ์ในอนาคตที่น่าจะเป็นไปได้ ... *
* คุณเป็นเอนทิตีที่ทำด้วยเจตจำนงเสรีของคุณเองได้ตัดสินใจเลือกทั้งหมดที่คุณทำ ... *
เจตจำนงเสรีประเภทใดที่พูดถึงถ้า * ครบชุด * ของความน่าจะเป็นนั้นได้รับไปแล้วตั้งแต่ต้น โมเดลเลือกความน่าจะเป็นจากความเป็นไปได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น .. ฉันสงสัยว่ามันเกิดขึ้นที่โมเดลเลือกตัวเลือกที่ไม่ได้ตั้งค่าไว้ตอนแรกหรือไม่?

ตอบ: เจตจำนงเสรีคือความสามารถในการเลือกความน่าจะเป็นที่ต้องการ/ต้องการจากชุดตัวเลือกทั้งหมด (เหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น)

ตัวแบบจะทำการเลือกที่ไม่ได้กำหนดไว้ตั้งแต่แรกหากตัวแบบเองถูกบุกรุก กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมทริกซ์ไม่ใช่คน ตัดสินใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป นี่เป็นการละเมิดซึ่งจะกล่าวถึงในรายละเอียดเพิ่มเติมด้านล่าง)

ถาม: ใช่ข้อสรุปดังกล่าวแนะนำตัวเอง .. ขับโมเดลนี้ผ่านเขาวงกตแห่งกาลเวลาและมันจะอวด - ดับ)
และอย่าให้ระบบเพิ่ม * ศักยภาพขององค์กร * ให้มันทำงานโดยเปล่าประโยชน์ ดูเหมือนว่ากระบวนการกำลังดำเนินไป แต่ - ไม่มีทาง กรรมไม่ปล่อยไป ตุ๊กตาโง่ๆ เลือกไม่ถูก)

มาสรุปกัน:

อันที่จริง ปรากฎว่าวงเวลามีอยู่ไม่แน่นอนในชีวิตของเราแต่ละคน หรือมากกว่าในสาระสำคัญหลายมิติของเรา (แม้ผลกระทบของเดจาวูก็ปรากฏขึ้นมาบ้างแล้ว ให้เราระลึกถึงบทเรียนชีวิตซ้ำๆ กันด้วย) . สำหรับบุคคล ในขั้นต้น วงเวลาหมายถึงกรรม แต่กลไกของกรรมถูกเขียนใหม่ (จากมุมมองของจิตสำนึกทางโลก) หรือค่อนข้างพัฒนา (จากมุมมองของนิรันดร) ทำให้ผู้คนต้องเรียนซ้ำในบทเรียนเดียว หรือหลายชีวิต (ตอนนี้สิ่งนี้เกิดขึ้นบ่อยกว่าที่ควรจะเป็นดังนั้นจึงตัดสินใจยกเลิกกรรมบางส่วน) นอกจากนี้ กลไกดังกล่าวยังขยายให้ครอบคลุมทั้งร่าง ซึ่งทำให้สามารถเก็บดวงวิญญาณของดวงดาวไว้ที่นี่ได้นานกว่าที่วางแผนไว้มาก นอกจากนี้ มีความพยายามที่จะกำหนดกลไกเดียวกันบนโลกใบนี้ด้วยสาขาแห่งความเป็นจริงทั้งหมด (Atlantis, Hyperborea ฯลฯ ) แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จ

ผู้กำกับบทของเรา (ระบบครู ผู้ปกครอง สถาปนิก มุมมองที่สูงขึ้น) สามารถเปลี่ยนเฟรมของภาพยนตร์ อยู่หลังจอ และนักแสดง (เรา) ไม่ได้สังเกตอะไรเลย ปัญหาคือไม่เพียงกรรมการเท่านั้นที่ได้เรียนรู้วิธีการทำเช่นนี้ แต่ยังรวมถึงสหายที่เป็นอันตราย (อีกครั้งจากมุมมองของเรา) หรือมากกว่านั้น พวกเขาพบวิธีที่จะทำให้ฟุตเทจช้าลงโดยใส่ภาพยนตร์ในวงเวลา (เช่น "เฟรมที่ 25" ซึ่งเป็นจุดเน้น)

ตอนนี้ เมื่ออารยธรรมดวงดาวจำนวนมากได้ตระหนักถึงสถานการณ์บนโลกนี้ (โดยได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากผู้ส่งสารและผู้สังเกตการณ์) แต่ละคนได้รับโอกาสให้หลุดพ้นจากวัฏจักรร่วมกัน กำหนดค่าตนเองและระบบความเชื่อของเขาใหม่ ตลอดจนผ่านกิจกรรมที่กระฉับกระเฉง ปฏิสัมพันธ์กับประเภทของตนเอง อนาคตของคุณจะพัฒนาต่อไปอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับคุณเป็นการส่วนตัวและไม่มีใครอื่น!

วงเวลาไม่มีอะไรมากไปกว่ากลไกที่จักรวาลใช้เพื่อแก้ไขกระบวนการวิวัฒนาการในโรงเรียนอนุบาลของจิตวิญญาณ เช่นโลก วิธีการเปิดใช้งานกลไกนี้ในแต่ละกรณีขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละบุคคลเท่านั้น

คิด ตัวพวกเขาเอง, ตัดสินใจ ตัวพวกเขาเองมีหรือไม่มีก่อนที่จะเชื่อในทุกสิ่งและยอมรับสถานการณ์ "วันโลกาวินาศ" เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นจริงของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระวังการเมืองและสื่อ พวกเขารู้มากเกี่ยวกับธุรกิจสกปรกของพวกเขาแล้ว เช่นเดียวกับเพื่อน คนรู้จัก และผู้ร่วมงานอื่นๆ ที่คุณตัดสินใจที่จะใช้เวลาด้วย ไม่ว่าจะเป็นงานหรือฟรี

หากคุณมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือและการพัฒนาทั่วไป (และนี่คือสิ่งที่คุณมา) แต่ไม่มีการพัฒนาและคุณให้ความช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเพื่อนที่ จำกัด หรือไม่ให้ความช่วยเหลือเลย แต่เสียเวลาเท่านั้น ในการสนทนาที่ว่างเปล่าและการประลอง, บ่นเกี่ยวกับชีวิต, ยอมรับตัวเองเป็นเหยื่อของสถานการณ์, โปรดอย่าโกรธเคืองโดยโชคชะตา / ระบบ / ผู้ปกครองและแม้แต่เอเลี่ยนที่ชั่วร้ายหากคุณถูกนำเข้าสู่วงอื่น นี่คือเส้นทางวิวัฒนาการของคุณและคุณมีสิทธิ์ทุกอย่าง ไม่มีอะไรได้รับการตัดสิน ทุกอย่างได้รับอนุญาต

ความต่อเนื่องขึ้นอยู่กับคุณ

หลังจากที่เคิร์ท โกเดลโด่งดังจากผลงานของเขาเกี่ยวกับพื้นฐานคณิตศาสตร์แล้ว ก็ได้ศึกษาทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์และมีส่วนสำคัญในวิชาฟิสิกส์ เขาค้นพบคลาสของการแก้ปัญหาทางจักรวาลวิทยาที่มีพื้นฐานเป็นอย่างอื่นในสมการภาคสนามของไอน์สไตน์ ยกเว้นประเด็นหนึ่ง: พวกเขามีสาเหตุลูป!

"Causal Loop" (causal loop) หมายถึงสิ่งเดียวกับ "Time Loop" สามารถอธิบายได้ว่าเป็นการไปสู่อนาคตและสิ้นสุดที่จุดเริ่มต้น ในเวลาและสถานที่เดิม มันถูกเรียกว่า "สาเหตุ" เพราะในทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ เวลาเป็นแนวคิดสัมพัทธ์และผู้สังเกตที่แตกต่างกันสามารถสัมผัสกับเวลาได้หลายวิธี ดังนั้นคำว่า "สาเหตุ" จึงถูกใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า "เวลา"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วงเวลา(หรือ "วงเวลา", "วงแหวนแห่งเวลา") เป็นศัพท์ที่ยอดเยี่ยมซึ่งแสดงถึงช่วงเวลาที่วนรอบ ซึ่งในตอนท้ายเรื่องจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้นและประสบกับช่วงเวลานี้อีกครั้ง (อาจซ้ำแล้วซ้ำอีก) การวนรอบเวลาเป็นโครงเรื่องทั่วไปในนิยายไซไฟ ตัวอย่างที่โด่งดังที่สุดในวัฒนธรรมสมัยใหม่คือภาพยนตร์ Groundhog Day ฮีโร่ที่ถูกบังคับให้มีชีวิตอีกหลายครั้งในวันเดียวกันในชีวิตของเขา

ในวรรณคดี

• The Strange Life of Ivan Osokin (1910) เป็นเรื่องราวโดย PD Uspensky
• On His Heels (1941) เป็นเรื่องราวสั้นของ Robert Heinlein ซึ่งฮีโร่จากปี 1952 ถูกเรียกตัวไปสู่อนาคตเพื่อทำหน้าที่สำคัญบางอย่าง ดังที่ Konstantin Mzareulov บันทึกไว้ในหนังสือ "Science Fiction. หลักสูตรทั่วไป " หลังจากการตีพิมพ์เรื่องราวของเวลส์" The Time Machine "ในปี 1895 แนวคิดของไทม์แมชชีนยังไม่ได้รับการพัฒนาในนิยายวิทยาศาสตร์มาเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว เรื่องนี้เป็นการนำเสนอหัวข้อของความขัดแย้งของการเดินทางข้ามเวลาและการวนรอบเวลาในวรรณคดี
• จุดจบนิรันดร์ของไอแซก อาซิมอฟ
• ประตูสู่ฤดูร้อน (1955) เป็นนวนิยายของนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน Robert Heinlein
• “เดอะสตาร์ไดอารีของ Iyon the Tikhiy การเดินทางครั้งที่เจ็ด (147 ลมกรด)” (1964) - เรื่องราวโดยนักเขียนชาวโปแลนด์ Stanislav Lem
• The Loop of Hysteresis (1970) เป็นเรื่องราวโดย II Varshavsky ซึ่งนักประวัติศาสตร์ Kurochkin ไปถึงศตวรรษแรก อี เพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานที่หักล้างไม่ได้ของการมีอยู่ของพระเยซูคริสต์
• "หนูเหล็กกอบกู้โลก" เจมส์ โบลิวาร์ เดอ กริซลี่ย์ ย้อนอดีตไปสองครั้ง ในช่วงเวลาที่ต่างกัน เขาทำให้แผนการของศัตรูผิดหวัง ซึ่งด้วยเหตุนี้เองจึงตัดสินใจทำลายเจมส์ในอนาคต เจมส์เองยังคงอยู่ใกล้ระเบิด ซึ่งในไม่ช้าก็จะระเบิด จากอนาคตมาถึงเครื่องย้อนเวลาขนาดกะทัดรัดและการบันทึกเสียงที่บอกวิธีกลบเกลื่อนระเบิด เจมส์หวนคืนสู่อนาคต ซึ่งเขาเห็นนักวิทยาศาสตร์ประกอบเครื่องย้อนเวลาขนาดกะทัดรัดเสร็จแล้ว และช่วยควบคุมการบันทึกเสียง
• The Ring of Backward Time (1977) เป็นนวนิยายของ Sergei Snegov
• "" (1984) เป็นเรื่องราวโดย A. N. Strugatsky ซึ่งตัวละครหลัก Nikita Vorontsov ใช้ชีวิตเดียวกันหลายครั้งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรในโลกรอบตัวเขาได้จริงๆ
• "Circle" (1984) - เรื่องราวโดย V. N. Komarov ตีพิมพ์เป็น "การพูดนอกเรื่องโคลงสั้น ๆ " ในหนังสือ "Entertaining astrophysics" (V. N. Komarov, B. N. Panovkin, 1984)
• เด็กชายและจิ้งจก (1985) นวนิยายจาก Dovecote ในไตรภาค Yellow Glade โดย Vladislav Krapivin
• “ The Life of the Groundhog หรือการทักทายจาก Horned One” (2004) เป็นเรื่องราวโดย Vladimir Pokrovsky เกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่มีประสบการณ์ชีวิตเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีกทุกครั้งที่ฆาตกรคนเดียวกันถูกตัดขาด
• Before I Fall (2010) เป็นนวนิยายของลอเรน โอลิเวอร์
• House for Peculiar Children (2012) เป็นนวนิยายของนักเขียนและนักเขียนบทชาวอเมริกัน Rensom Riggs
• Riders of Time (2010) เป็นนวนิยายของ Alex Scarrow ซึ่งเหล่าฮีโร่อาศัยอยู่ในวงที่เรียกว่า Bubble of Time
• "" (2014) - เรื่องราวของ Ilia Maiko ซึ่งแสดงให้เห็นโลกอุดมคติแห่งอนาคต: แทนที่จะตาย ตกอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ผู้คนต่างเห็นด้วยกับสิ่งที่เรียกว่า "วนซ้ำ": พวกเขาเลือกหนึ่งวันที่มีความสุขที่สุดสำหรับตัวเองและคงอยู่ในนั้นตลอดไปทำซ้ำไม่รู้จบ
• "The Empty Box and the Zero Maria" (2009-2015) เป็นไลท์โนเวลของเออิจิ มิคาเงะ ในส่วนที่เหล่าฮีโร่ต้องเผชิญในวันเดียวกันอย่างน้อย 27,000 ครั้ง

ที่โรงหนัง

• รันเวย์ (1962) - อันเป็นผลมาจากการทดลองด้วยจิตสำนึก ฮีโร่ตระหนักว่าการตายของบุคคลที่สนามบิน ซึ่งเขาเห็นในวัยเด็ก เป็นความตายของตัวเองที่ย้ายจากอนาคตหลังวันสิ้นโลก
• Lords of Time (1982) เป็นการ์ตูนเรื่องยาว ผู้ใหญ่ Silbad พร้อมกับเพื่อนของพ่อของเขากำลังพยายามช่วยตัวเองให้รอดจากดาว Mortis ซึ่ง Time Lords ต่างพาดพิงถึงอดีต นานก่อนที่พ่อแม่ของ Piel ตัวน้อยจะเสียชีวิต
• "Back to the Future" (1985) - ในเรื่อง Chuck Berry ไม่ได้เขียนเพลงนี้และในปี 1955 ลูกพี่ลูกน้องของเขา Marvin Berry ได้ยินมันในงานปาร์ตี้เต้นรำของโรงเรียนซึ่ง Marty McFly ซึ่งเป็นวัยรุ่นที่มาจากปี 1985 ได้แสดงสิ่งนี้ hit รู้จักเขาแล้วตามที่ Chuck (แม่นยำกว่า Marvin) Berry เขียนไว้ในปี 1955
• "กระจกสำหรับฮีโร่" (1987) - วีรบุรุษย้อนเวลากลับไปซึ่งในวันเดียวกันนั้น 8 พฤษภาคม 2492 มีการทำซ้ำอย่างต่อเนื่องแม้ว่าชาวเมืองจะไม่สังเกตเห็นการทำซ้ำเหล่านี้
• ภาพยนตร์ชุดเกี่ยวกับเทอร์มิเนเตอร์: ในภาพยนตร์เรื่องแรก จอห์น คอนเนอร์ที่อายุมากแล้วจากอนาคตส่งทหาร (ซึ่งในที่สุดจะกลายเป็นพ่อของเขา) เพื่อช่วยแม่ของเขาจากหุ่นยนต์นักฆ่า ในภาพยนตร์เรื่องที่สี่ จอห์นที่โตแล้วปกป้องพ่อในอนาคตที่ยังอายุน้อยของเขาเพื่อส่งเขาไปสู่อดีตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
• "Twelve Zero One Afternoon" (และรีเมค - "Twelve Zero One Afternoon", 1993) - คนทั้งโลกเข้าสู่ "ไทม์ลูป" แต่มีตัวละครเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ เพราะเขาจำได้เพียงเหตุการณ์ในรอบก่อนหน้าเท่านั้น
• "Groundhog Day" (1993) - ภาพยนตร์โดย Harold Ramis ตามเรื่องราวของ Danny Rubin: Phil Connors "ติดอยู่" ในวันเดียวกันของเทศกาล Groundhog พยายามทุกวิถีทางในการใช้เวลารวมถึงการฆ่าตัวตาย แต่ทันใดนั้น หลุดจากห้วงเวลา อุทิศวันอันเป็นเวรเป็นกรรมแห่งการทำความดีและดึงความสนใจของริต้าซึ่งเขารักอย่างสิ้นหวัง
  • Naked Again (2000) เป็นภาพยนตร์สวีเดนล้อเลียนเรื่อง Groundhog Day
  • Hamster Day (2003) เป็นเรื่องตลกของรัสเซียเรื่อง Groundhog Day
  • เมื่อวานนี้ (2004) เป็นละครตลกที่สร้างจาก Groundhog Day เกี่ยวกับฮีโร่ที่ติดอยู่ในวันเดียว
• "Donnie Darko" (2001) - ตัวละครหลักนำโดยบุคคลลึกลับในชุดกระต่ายอาศัยอยู่ผ่าน "ช่วงเวลา" ในลักษณะที่ช่วยคนที่คุณรักจากความตาย
• "จุดชนวน" (2004) - ตัวละครหลักค้นพบวิธีเดินทางในเวลาซึ่งนำไปสู่การเกิดขึ้นของ "การเลี้ยว" มากมายซึ่งแต่ละเรื่องจะพัฒนาต่อไปอย่างอิสระ
• "Endless Christmas" (2006) - นักแต่งเพลงอายุน้อย ผู้แต่งเพลงคริสต์มาส ถูกบังคับให้ฉลองคริสต์มาสร่วมกับอดีตภรรยา พ่อแม่ของเธอ และลูกชายวัยรุ่น แล้วปรากฎว่าเขาใช้ชีวิตในวันหยุดครั้งแล้วครั้งเล่า พระเอกจะต้องหักหัวอย่างรุนแรงเพื่อให้ชีวิตของเขาอยู่ในเส้นทางปกติ
• "Time Loop" (2007) - ฮีโร่ตกอยู่ในห้วงเวลาและประสบกับการโจมตีของคนแปลกหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
• "ลางสังหรณ์" (2007) - แม่บ้านลินดากับลูกสองคนในตอนเช้าเธอได้เรียนรู้จากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าสามีของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่วันรุ่งขึ้นเขายังมีชีวิตอยู่ ลินดาจึงตระหนักได้ว่าเธอสามารถเปลี่ยนวิถีของเหตุการณ์ได้ ดังนั้น จึงเกิดเรื่องซ้ำๆ ทุกวัน
• "Triangle" (2009) - หลังจากเรืออับปาง ตัวละครหลักตระหนักว่าเธออยู่ในห้วงเวลา ประสบเหตุการณ์เดียวกันไม่ใช่ครั้งแรก ในตอนท้ายของหนัง เธอพร้อมที่จะเริ่มต้น "รอบ" ใหม่
• Territory of Darkness (2009) - คู่แต่งงานใหม่ Gina และ Richard วิ่งข้ามชายคนหนึ่งในทริปกลางคืนผ่านทะเลทราย เมื่อรับผู้บาดเจ็บคู่รักก็ไปขอความช่วยเหลือ แต่ผู้โดยสารที่ตื่นขึ้นมาก็พุ่งเข้าหาพวกเขา ในที่สุด ผู้โดยสารก็คือริชาร์ดเอง ซึ่งติดอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง
• Reality Replica (2010) - คนไข้อายุน้อยสามคนในคลินิกกายภาพบำบัดติดอยู่กับกับดักแห่งเวลา ทุกวันพวกเขาตื่นขึ้นในวันมหึมาเดียวกัน และทุกวันต้องผ่านมันไปให้ได้ เป็นไปได้ไหมที่จะยังคงเป็นมนุษย์ในเขาวงกตที่ทำซ้ำไม่รู้จบนี้?
• Source Code (2011) - ทหารชื่อโคลเตอร์พบว่าตัวเองอยู่ในร่างของชายนิรนามที่เสียชีวิตในอุบัติเหตุรถไฟอย่างลึกลับ โคลเตอร์ถูกบังคับให้ต้องประสบกับความตายของคนอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าเขาจะรู้ว่าใครคือผู้ก่อเหตุให้เกิดภัยพิบัติ
• "Loop of time" (2012) - นักฆ่าโจ้ต้องยิงรุ่นอนาคตของตัวเองส่งอดีตโดยหัวหน้าอาชญากร แต่ทุกครั้งหลังจากการฆาตกรรม ช่วงชีวิตของเขาซ้ำซาก ดังนั้นวันหนึ่งโจจึงตัดสินใจทำอย่างอื่น
• "ความลึกลับของ Dyatlov Pass" (2013) - ตัวละครหลักสองตัวที่รอดชีวิตมาได้ในช่วงท้ายของภาพยนตร์พยายามหลบหนีจากสิ่งมีชีวิตมนุษย์ที่น่ากลัวสองตัวผ่านพอร์ทัลและย้ายไปที่ 2502 หลังจากนั้นพวกเขาก็กลายเป็น สองสิ่งมีชีวิตซึ่งพวกเขาอย่างไรก็ตาม 53 ปีต่อมาพวกเขา "รอด"
• "แขนขา" (2013) - เมื่อมองแวบแรกลิซ่ากับน้องชายและพ่อแม่ของเธอเป็นครอบครัวที่ธรรมดาอย่างสมบูรณ์ซึ่งดำเนินชีวิตที่สงบและวัดได้ แต่ไม่มีใครนอกจากหญิงสาวที่สงสัยว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาใช้ชีวิตในวันเดียวกัน ...
• House at the End of Times (2013) - Dulce ถูกตัดสินลงโทษในข้อหาฆ่าสามีของเธอเมื่อ 30 ปีก่อน ออกจากคุกและกลับไปที่บ้านของเธอที่ซึ่งอาชญากรรมเกิดขึ้น ทีละนิดทีละน้อยของเหตุการณ์เลวร้ายเหล่านั้น ตัวละครหลักตระหนักดีว่า TIME นั้นต้องถูกตำหนิ
• "Time Patrol" (2014) - ตัวละครหลัก - ตัวแทนเวลาพยายามค้นหาการทำลายล้างของผู้ก่อการร้ายและป้องกันการระเบิดครั้งใหญ่ที่จะทำลายครึ่งหนึ่งของนิวยอร์ก เบื้องหลังของการสืบสวนครั้งนี้ เรื่องราวชีวิตของเขาเองเผยออกมา ซึ่งการสรรหาตัวเองให้ทำหน้าที่ลาดตระเวนแห่งกาลเวลาเป็นสิ่งที่ "ไม่เป็นอันตราย" ที่สุดที่ต้องทำ และในแต่ละภารกิจ คุณไม่สามารถถอยหนึ่งก้าวจากภารกิจ มิฉะนั้น - ถูกไล่ออกโดยความตาย
• "ขอบแห่งอนาคต" (2014) - ในอนาคตระหว่างการต่อสู้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างดาวที่โจมตีโลก Major Cage ใช้ชีวิตวันเดียวกันครั้งแล้วครั้งเล่าพยายามค้นหาจุดอ่อนของมนุษย์ต่างดาวและกอบกู้มนุษยชาติ
• "Arch" (2016) - เมื่ออาชญากรคนหนึ่งที่โจมตีวิศวกร - นักประดิษฐ์สัมผัสเครื่องจักรพิเศษที่เรียกว่า "Arch" ซึ่งสามารถสร้างพลังงานที่ไม่มีที่สิ้นสุดสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น - วงเวลาถูกสร้างขึ้น ตอนนี้เหตุการณ์ในช่วงสามชั่วโมงที่ผ่านมานั้นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และ Renton เป็นคนแรกที่รู้ว่าเขาอยู่ในห้วงเวลา ซึ่งสามารถถูกทำลายได้ด้วยการทำลายเครื่องจักรเท่านั้น

ในละครโทรทัศน์

• Beyond the Boundary - เนื้อเรื่องของซีซันที่ 5 นั้นอุทิศให้กับการสร้างอุปกรณ์อย่างสมบูรณ์ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างวงเวลา
• "สตาร์เกท" - เนื่องจากเกท โลกจึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความผิดปกติของเวลาและใช้ชีวิตแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกหกชั่วโมง มีเพียงแจ็คและทีลเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาต้องโน้มน้าวผู้อื่นในเรื่องนี้และทำลายห่วงโซ่ของกับดักชั่วคราว (ซีซั่นที่ 4 ตอนที่ 6 "หน้าต่างแห่งโอกาส")
• Star Trek: The Next Generation - ตอน "สาเหตุและผลกระทบ" (รุ่น 5 ตอนที่ 18)
• Star Trek: Enterprise - ตอน Future Tense อนาคต tenense, ซีซัน 2 ตอนที่ 16): เรือ Enterprise (NX-01) สกัดกั้นยานอวกาศที่นั่งเดี่ยวที่ถูกทิ้งร้างจากอนาคตซึ่งนักบิน Earthman เสียชีวิตไปนานแล้ว เมื่อมันปรากฏออกมา เรือลำนี้ปล่อยรังสีพิเศษ "ชั่วคราว" ซึ่งเห็นได้ชัดว่า Malcolm Reed และ Trip Tucker พูดถึงการเดินทางข้ามเวลาซ้ำหลายครั้ง การกำจัดหัวรบตอร์ปิโดโดย Reed และกัปตัน Jonathan Archer ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ในทั้งสองกรณี รี้ดรู้สึกถึงความซ้ำซากจำเจ
• "วันใหม่" - เนื่องจากเวลาที่วนซ้ำ ฮีโร่จึงใช้ชีวิตในวันเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามค้นหาสถานการณ์ของการฆาตกรรมลึกลับ
• "ไทม์ลูป" - ด้วยความช่วยเหลือของไทม์แมชชีนนางเอกฆ่าคนคลั่งไคล้ฆาตกรต่อเนื่อง
  • ใน Deja Vu การทดลองเทเลพอร์ตจะสร้างรูหนอนที่ทำลายล้างซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์คนใดคนหนึ่งต้องกังวลซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามค้นหาและขจัดสาเหตุของภัยพิบัติ โชคไม่ดี ในแต่ละรอบ วงจะ "กระชับ" เพราะความเป็นจริงไม่ทนต่อการรบกวนและเวลาดังกล่าวที่กำลังดิ้นรน และทุกครั้งที่มีเวลาน้อยลง
• "Doctor Who": ซีรีส์ "Carnival of Monsters", "City of Death", "Moment of Armageddon", มินิตอน "Space and Time", "Inporarium", ซีรีส์ "วันพ่อ", "Don't Blink", "บิ๊กแบง", "งานแต่งงานเพลงแม่น้ำ", "เทวดาเข้าครอบครองแมนฮัตตัน", "การปล้นเวลา", "ก่อนน้ำท่วม"
• "งานแต่งงานที่ไม่มีวันสิ้นสุด" ตอนของละครโทรทัศน์เรื่อง "Eureka" (รุ่น 3.0: 2008)
• “Do It Again?” ตอนของละครโทรทัศน์เรื่อง Seven Days (ซีซั่นที่ 1)
• "Supernatural" ("Black Hole", Season 3, Episode 11) - The Winchesters พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ลึกลับที่เหตุการณ์ในวันเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีก; ด้วยเหตุนี้ แซมจึงต้องหวนคิดถึงการตายของพี่ชายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
• "ชาร์ม" ("เดจาวูทั้งครอบครัว" ซีซั่น 1 ตอนที่ 22) - ปีศาจเทมปัสย้อนเวลาทุกครั้งที่ร่อซู้ลพลังมืด โรดริเกซ ล้มเหลว นักฆ่าไล่ตาม Charmed Ones ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าพวกเขาจะทำลายช่วงเวลาที่สร้างโดย Tempus และช่วยชีวิตพวกเขา การกระทำยังสามารถเห็นได้ใน "ความดีความเลวและการประณาม" ฤดูกาลที่ 3 ตอนที่ 14 - ชาวเมืองในสมัยของ Wild West ประสบในวันเดียวกันซึ่งมักจะจบลงด้วยการตายของอินเดียนโบ จนกระทั่งพี่สาวเข้ามาแทรกแซงในขั้นตอนนี้
• "ขยะ" - เริ่มตั้งแต่ตอนที่ 6 ของซีซั่น 1 และหลายตอนของซีซั่น 2 ในกรณีวิกฤต ตัวละครหลักจะได้รับการช่วยเหลือจากชายลึกลับในหน้ากาก ในซีซันที่ 2 ปรากฎว่าเขาเป็นหนึ่งในตัวละครหลักเหล่านี้ที่ย้ายจากอนาคตซึ่งเราจะเห็นในตอนที่ 8 ของซีซั่น 3 เท่านั้น
• "มหัศจรรย์แห่งวิทยาศาสตร์" ("รีโมทคอนโทรลสำหรับจักรวาล" ซีซั่น 1 ตอนที่ 2)
• "Happy Together" ("Ferret Day", Season 6, Episode 16) - Gena Bukin จัดสรรตั๋วลอตเตอรีที่ชนะและด้วยเหตุนี้เขาจึงตกลงไปในห้วงเวลาของหนึ่งวัน
• The X-Files (Monday, Season 6, Episode 14) - Fox Mulder พบกับหญิงสาวที่ใช้ชีวิตในวันเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีก
• Xena - Warrior Princess (Endless Day, Season 3, Episode 2) - Xena พยายามจะหยุดความบาดหมางระหว่างสองครอบครัว แต่ตื่นขึ้นมาในวันเดียวกันทุกครั้ง
• "Blood Ties (TV Series) (" 5:55 ", Season 2, Episode 3) - ในขณะที่พยายามค้นหาโบราณวัตถุลึกลับ Vicky ก็ประสบในวันเดียวกันในชีวิตของเธออย่างต่อเนื่อง
• "บรรณารักษ์" ("... และจุดแห่งความรอด") - การทดลองเพื่อสร้างคอมพิวเตอร์ควอนตัมโดยใช้สิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์จาก Anlantis นำไปสู่การสร้างวงจรเวลาในห้องปฏิบัติการซึ่งรวมถึงบรรณารักษ์ด้วย เอเสเคียลเป็นคนเดียวที่รู้ว่าพวกเขาอยู่ในบ่วง ต่อมาเขาตระหนักว่าพวกเขาเข้าสู่เกมคอมพิวเตอร์จริง ๆ และ "วนซ้ำ" - กลับไปที่จุด "บันทึก" เมื่อตัวละครตาย
• "เจ็ตแจ็คสันผู้โด่งดัง" - ในตอนหนึ่งเจ็ทประสบในวันเดียวกันสามครั้งพยายามแก้ไขปัญหากับพ่อของเขา (ซึ่งเขาควรจะไปตกปลา) ทวด (ซึ่งเขาขุ่นเคืองกับความคิดเห็นเกี่ยวกับ ข้าวต้มของเธอ) ครูสอนวรรณคดี (ที่โกรธเมื่อเจ็ทพยายามอ่าน "The Raven" เพื่อแร็พเพลง) และเพื่อน (ซึ่งเขาล้อเลียนเพราะผมสีชมพูของเธอ) ครั้งที่สาม เขาทำสำเร็จ แต่พบว่าทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน แต่ทุกอย่างก็สำเร็จด้วยตัวของมันเอง (พ่อช่วยลูก ย่าทวดอ่อนลง ครูเห็นชอบแนวทางที่น่าสนใจของเจ็ท และเพื่อนก็รู้ว่าเจ็ต ถูกต้อง)
• สองครั้งในละครโทรทัศน์เรื่อง The Flash แบร์รี่ย้อนเวลากลับไปเมื่อวันก่อนโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งช่วยให้เขาป้องกันภัยพิบัติได้ ทั้งสองครั้ง เขาสังเกตเห็นร่างแยกจากกันวิ่งอยู่ข้างๆ ในช่วงรอบแรก ระหว่างเดินทางกลับ เขาเป็นคู่นี้ และต้นฉบับก็หายไป เป็นครั้งแรกที่ Barry พยายามสร้างกำแพงอากาศโดยวิ่งขึ้นและลงชายฝั่งอย่างรวดเร็วเพื่อหยุดสึนามิที่สร้างโดย Mark Mardon ด้วยเหตุนี้ มันจึงเร่งความเร็วมากกว่าปกติและทะลุผ่านเมตริกกาล-อวกาศ ครั้งที่สอง แผนการจับ Wendal Savage ล้มเหลว และฮีโร่หลายคนเสียชีวิตในขณะที่คนร้ายทำลาย Central City หนีจากคลื่นแห่งการทำลายล้าง Barry สร้างหลุมอีกครั้งในกาลอวกาศ โชคดีที่ทั้งสองครั้งสามารถป้องกันภัยพิบัติได้ ในเวลาเดียวกัน ซิสโก้สามารถจดจำเรื่องที่สนใจจากความเป็นจริงที่ไม่มีอยู่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ว่าเขาเป็นมนุษย์เสมือน
• ในซีรีส์ "Vault 13" เหล่าฮีโร่จะหวนคืนสู่อดีตซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อไขปริศนาต่อไป

ในอนิเมะและการ์ตูน

• "Steins; Gate" - ตัวละครหลัก Okabe Rintaro เดินทางย้อนเวลากลับไปหลายครั้งเพื่อป้องกันการตายของ Shiina Mayuri เพื่อนของเขา
• “Higurashi no Naku Koro ni” - ฟุรุเดะ ริกะ ใช้ชีวิตช่วงเดือนมิถุนายนซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามกอบกู้หมู่บ้านจากการถูกทำลาย และค่อยๆ หาวิธีที่จะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์
• "ความเศร้าโศกของ Haruhi Suzumiya" (ส่วนโค้ง "Infinite Eight") - ตัวละครหลักผ่านวันหยุดฤดูร้อน 15532 ครั้ง
• Naruto Shippuden (ตอนที่ 586 ของมังงะ) - Itachi Uchiha ใช้เทคนิค Izanami กับ Kabuto Yakushi และทำให้ Kabuto ประสบกับช่วงเวลาเดียวกันหลายครั้ง ทำให้เกิดการวนซ้ำของเวลา
• "แม็กซ์ Dinoterra "(ตอนที่ 22) - Max และ Lina สร้างพอร์ทัลภายในพอร์ทัลโดยใช้เม็ดเวลาซึ่งสร้างการวนซ้ำในเวลาและ Master of Shadows ติดอยู่ในเวลาตลอดไป
• "Phineas and Ferb" (ซีรีส์ "วันสุดท้ายของฤดูร้อน") - พี่สาวของ Phineas และ Ferb พยายามที่จะเปิดเผยพวกเขาต่อหน้าแม่ของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกและ Fufelshmerts นักวิทยาศาสตร์ผู้ชั่วร้ายพยายามที่จะรักษาความสัมพันธ์กับลูกสาวของเขาและจัดการ เพื่อทำลายวงจรเวลาก่อนที่จะเริ่มมีการล่มสลายชั่วคราว
• “สเมชาริกิ Pin-Code "(ทั้งสองส่วนของซีรีส์" Day of Bibi ") ที่ Bibi เข้าสู่วงจรเวลาเนื่องจากโปรแกรมล้มเหลว พยายามหยุด Losyash เพื่อหลีกเลี่ยงการระเบิดของ Charollet
• "Futurama" (ตอนที่ 26 ของซีซั่น 7) - หลังจากที่ฟรายและลีลาใช้ชีวิตได้ยืนยาวในช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง ศาสตราจารย์ฟรานส์เวิร์ธก็บินมาหาพวกเขาและถามว่าพวกเขาต้องการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหรือไม่ เหล่าฮีโร่ให้คำตอบในเชิงบวก และทั้งสามก็ก้าวเข้าสู่อดีต นี่คือสาเหตุที่ปรากฎว่าไทม์ไลน์ทั้งหมดของ Futurama เป็นวงวนรอบครั้งใหญ่ครั้งเดียว

ในเกมคอมพิวเตอร์

• American Nightmare ของ Alan Wake - Alan Wake ถูกบังคับให้หวนคิดถึงเรื่องราวสามตอนอีกครั้งเพราะมิสเตอร์สแครชคู่หูของเขา
• ไตรภาค "เจ้าชายแห่งเปอร์เซีย" - ตัวละครหลักในส่วนแรกของเกมเข้าใจความสามารถในการ "ย้อนเวลากลับ" ด้วยความช่วยเหลือของสิ่งประดิษฐ์ - กริชของเวลาและปลดปล่อยทรายแห่งเวลาหันของเขา พ่อและนักรบทั้งหมดเข้าสู่ซอมบี้ทราย ในส่วนที่สอง เจ้าชายพยายามที่จะป้องกันการสร้างทรายแห่งกาลเวลาบนเกาะแห่งกาลเวลาอันลึกลับ ดังนั้นจึงเป็นการป้องกันการพัฒนาของเหตุการณ์ภัยพิบัติในภาคแรก เมื่อได้เปลี่ยนชะตากรรมของเขาก่อนหน้านี้แล้ว ในตอนที่สาม เจ้าชายเมื่อเสด็จกลับไปยังบาบิโลนบ้านเกิดของพระองค์ ทรงตระหนักว่าการทำเช่นนั้น พระองค์ทรงทำให้บ้านเกิดของพระองค์ตกอยู่ในสงครามและความหายนะ
• "TimeShift" - ตัวละครหลักด้วยความช่วยเหลือของอุปกรณ์เบต้าพิเศษสามารถชะลอหยุดและย้อนเวลานั่นคือ "ย้อนกลับ" ในตอนท้ายของโครงเรื่อง ฮีโร่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับวงเวลา กับดักที่สร้างขึ้นด้วยตัวเอง ซึ่งเขาถูกดึงเข้าไป และในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความขัดแย้งระดับโลก
• ภาวะเอกฐาน - Nathaniel Renko สามารถเดินทางระหว่างปี 2010 และ 1950 ด้วยความช่วยเหลือของ MVP (เครื่องแปลงเวลามือถือที่ใช้ E-99) ผ่านการแตกร้าวของเวลาที่เกิดจากองค์ประกอบ E-99 จำนวนมหาศาล เพื่อให้ลูปสมบูรณ์ เขาต้องฆ่าตัวตาย แม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะประสบกับเหตุการณ์ซ้ำอีกครั้ง เฉพาะในสาขาประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันเท่านั้น
• Call of Duty: Black Ops 2 ซอมบี้ Mob of the Dead "- Arthur Arlington, Billy Hands, Salvator DeLuca และ Finn O'Leary พบว่าตัวเองอยู่ในวัฏจักรเวลาที่พวกเขาต้องออกไป ผู้เล่นจะมีโอกาสทำลายวงจรด้วยการฆ่า Billy, Sal และ Finn หรือดำรงชีวิตต่อไปด้วยการฆ่า Al
• "Endless Summer" - ตัวละครหลัก Semyon พบว่าตัวเองอยู่ในอดีตซึ่งในค่ายผู้บุกเบิก "Owlet" เนื่องจากช่วงเวลาหนึ่งเขาถูกบังคับให้มีชีวิตอยู่หนึ่งสัปดาห์ครั้งแล้วครั้งเล่า
• เกมไขปริศนาที่มีองค์ประกอบของเวทย์มนต์ "Oxenfree" ซึ่งการวนรอบเวลาเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงเรื่องและรูปแบบการเล่น
• คุณยังสามารถเรียก The Stanley Parable ซึ่งหลังจากจบเกือบทุกตอนจบ เกมจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้มีโอกาสเล่นในสาขาต่างๆ ของโครงเรื่อง นอกจากนี้ บางครั้ง Storyteller ก็แปลตัวเอกเป็นจุดเริ่มต้นของเกมเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงในเกม
• Call of Duty: Black Ops 2 และ Call of Duty: Black Ops 3 - Tank Dempsey, Nikolai Belinsky, Takeo Masaki และ Edward Richtofen เปิดตัวเหตุการณ์ที่นำไปสู่การทำลายล้างบางส่วนของจักรวาล หลังจากนั้น ด็อกเตอร์มอนตี้บางคนที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ ส่งวีรบุรุษไปไกลถึงอดีตเพื่อรักษาจักรวาล ในอดีต เหล่าฮีโร่ต้องเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายครั้งใหญ่ซึ่งพวกเขาไม่สามารถต้านทานได้ในปัจจุบันและทิ้งข้อความและวัตถุต่าง ๆ ไว้สำหรับตัวเองจากปัจจุบัน

ดูสิ่งนี้ด้วย

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเพลง "Time Loop"

ลิงค์

• อเล็กซานดรา โคโรเลวา// นิตยสาร "โลกแห่งจินตนาการ" ฉบับที่ 110; นาทีที่ ตุลาคม 2555

หมายเหตุ (แก้ไข)

ตัดตอนมาจาก Time Loop

ก่อนที่เจ้าชายอันเดรย์จะมีเวลาเห็น Pful ด้วยตาของเขา Count Bennigsen ก็รีบเข้ามาในห้องและพยักหน้าไปที่ Bolkonsky โดยไม่หยุดเดินเข้าไปในห้องทำงานและออกคำสั่งให้ผู้ช่วยของเขา จักรพรรดิเดินตามเขาไป และเบ็นนิกเซ่นรีบไปข้างหน้าเพื่อเตรียมบางสิ่งและมีเวลาพบกับจักรพรรดิ Chernyshev และ Prince Andrey ออกไปที่ระเบียง จักรพรรดิลงจากหลังม้าด้วยท่าทางเหนื่อยล้า Marquis Paulucci พูดอะไรบางอย่างกับจักรพรรดิ จักรพรรดิก้มศีรษะไปทางซ้าย ฟังเปาลุชชีอย่างไม่พอใจซึ่งพูดด้วยความร้อนรนเป็นพิเศษ จักรพรรดิก้าวไปข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าต้องการยุติการสนทนา แต่ชาวอิตาลีที่หน้าแดง กระวนกระวาย ลืมความเหมาะสม เดินตามเขาไปและพูดต่อไปว่า:
- Quant a celui qui a conseille ce camp, le camp de Drissa, [ผู้แนะนำค่าย Drissa] - Pauluchi กล่าวในขณะที่อธิปไตยเดินขึ้นบันไดและสังเกตเห็นเจ้าชายแอนดรูว์มองดูใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย .. .
- Quant celui ท่าน - พูดต่อ Paulucci อย่างสิ้นหวังราวกับว่าไม่สามารถต้านทานได้ - qui a conseille le camp de Drissa, je ne vois pas d "autre Alternative que la maison jaune ou le gibet [สำหรับท่าน ก่อนที่ชายคนนั้น ผู้แนะนำ ค่ายที่ Drysey ในความคิดของฉันมีเพียงสองแห่งสำหรับเขา: บ้านสีเหลืองหรือตะแลงแกง] - โดยที่ไม่ได้ยินและราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของอิตาลีจักรพรรดิที่รู้จัก Bolkonsky กรุณาหันไปหา เขา:
- ฉันดีใจมากที่ได้พบคุณ ไปที่ที่พวกเขารวมตัวกันและรอฉัน - อธิปไตยเข้าไปในสำนักงาน หลังจากที่เขามาเจ้าชาย Pyotr Mikhailovich Volkonsky, Baron Stein และประตูปิดอยู่ข้างหลังพวกเขา เจ้าชายแอนดรูว์โดยได้รับอนุญาตจากอธิปไตยเสด็จไปกับเปาลุชชีซึ่งเขารู้จักในตุรกีเข้าไปในห้องรับแขกซึ่งสภาได้พบกัน
Prince Peter Mikhailovich Volkonsky ดำรงตำแหน่งเสนาธิการของอธิปไตย Volkonsky ออกจากสำนักงานและนำไพ่ไปที่ห้องรับแขกแล้วกางออกบนโต๊ะ เขายื่นคำถามซึ่งเขาต้องการจะฟังความคิดเห็นของสุภาพบุรุษที่ชุมนุมกัน ความจริงก็คือได้รับข่าวตอนกลางคืน (ซึ่งต่อมากลายเป็นเท็จ) เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของชาวฝรั่งเศสรอบค่าย Drissa
นายพลอาร์มเฟลด์คนแรกเริ่มพูดโดยไม่คาดคิดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่นำเสนอโดยเสนอสิ่งใหม่อย่างสมบูรณ์โดยไม่มีอะไร (ยกเว้นความปรารถนาที่จะแสดงว่าเขาอาจมีความคิดเห็น) ตำแหน่งที่อธิบายไม่ได้นอกเหนือจากปีเตอร์สเบิร์กและมอสโก ถนนซึ่งในความเห็นของเขากองทัพควรรวมตัวกันรอศัตรู เห็นได้ชัดว่าแผนนี้จัดทำโดย Armfeld มานานแล้ว และตอนนี้เขาไม่ได้สรุปไว้มากนักโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบคำถามที่เสนอซึ่งแผนนี้ไม่ได้ตอบ แต่ด้วยจุดประสงค์เพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาส แสดงมัน มันเป็นหนึ่งในล้านข้อสันนิษฐานที่สามารถทำได้ เช่นเดียวกับข้ออื่นๆ โดยไม่รู้ว่าสงครามจะเป็นอย่างไร บางคนท้าทายความคิดเห็นของเขา บางคนปกป้องเขา พันเอกหนุ่มโทลล์ร้อนแรงกว่าคนอื่นโต้แย้งความคิดเห็นของนายพลชาวสวีเดนและในระหว่างการโต้เถียงเขาหยิบสมุดบันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรออกจากกระเป๋าด้านข้างซึ่งเขาขออนุญาตอ่าน ในบันทึกย่อ Toll เสนอแผนอื่นซึ่งตรงกันข้ามกับแผนของ Armfeld และ Pfuel อย่างสิ้นเชิง - แผนการหาเสียง Paulucci ซึ่งต่อต้าน Tol ได้เสนอแผนสำหรับการเดินหน้าและโจมตี ซึ่งเขาพูดเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถนำเราออกจากที่ไม่รู้จักและกับดักในขณะที่เขาเรียกว่าค่าย Drissa ซึ่งเราอยู่ Pful ระหว่างข้อพิพาทเหล่านี้และ Wolzogen ผู้แปลของเขา (สะพานของเขาในความสัมพันธ์ในศาล) เงียบ พฟุลแค่นเสียงและเบือนหน้าหนี แสดงว่าเขาจะไม่มีวันขายหน้าให้ตัวเองเพื่อต่อต้านขยะที่เขาได้ยินตอนนี้ แต่เมื่อเจ้าชายโวลคอนสกี ผู้รับผิดชอบการอภิปรายเรียกพระองค์ให้แสดงความคิดเห็น พระองค์ตรัสเพียงว่า
- ฉันควรถามอะไร นายพลอาร์มเฟลด์เสนอตำแหน่งที่ยอดเยี่ยมด้วยการเปิดด้านหลัง หรือการโจมตีโดย von diesem italinienischen Herrn, sehr schon! [สุภาพบุรุษชาวอิตาลีคนนี้ ดีมาก! (เยอรมัน)] หรือถอย. อุ๊ย อุ๊ย. [ยังดี (เยอรมัน)] ถามฉันทำไม? - เขาพูดว่า. “ท้ายที่สุด คุณเองก็รู้ทุกอย่างดีกว่าฉัน - แต่เมื่อ Volkonsky ขมวดคิ้วกล่าวว่าเขากำลังถามความเห็นของเขาในนามของอธิปไตย Pful ลุกขึ้นยืนและทันใดนั้นก็เริ่มพูดว่า:
- พวกเขาทำลายทุกอย่างสับสนทุกอย่างทุกคนอยากรู้ดีกว่าฉันและตอนนี้พวกเขามาหาฉัน: จะแก้ไขได้อย่างไร? ไม่มีอะไรต้องแก้ไข เราต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามเหตุผลที่ฉันสรุปไว้” เขากล่าวพร้อมเคาะนิ้วของเขาลงบนโต๊ะ - ความยากลำบากคืออะไร? เรื่องไร้สาระ Kinder spiel [ของเล่นเด็ก (เยอรมัน)] - เขาไปที่แผนที่และเริ่มพูดอย่างรวดเร็ว จิ้มนิ้วแห้งบนแผนที่และพิสูจน์ว่าไม่มีโอกาสเปลี่ยนความได้เปรียบของค่าย Drissa ที่ทุกอย่างคาดการณ์และถ้าศัตรู ไปรอบ ๆ จริง ๆ แล้วศัตรูจะต้องถูกทำลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เปาลุชชีซึ่งไม่รู้จักภาษาเยอรมันจึงเริ่มถามเขาเป็นภาษาฝรั่งเศส Wolzogen มาช่วยครูใหญ่ของเขาซึ่งพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ดีและเริ่มแปลคำพูดของเขาแทบจะไม่ทันกับ Pful ผู้ซึ่งโต้เถียงอย่างรวดเร็วว่าทุกอย่างทุกอย่างไม่ใช่แค่สิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นทุกอย่างคาดการณ์ไว้ แผนของเขา และถ้าตอนนี้มีปัญหา ความผิดอย่างเดียวก็คือไม่ใช่ทุกอย่างจะสำเร็จอย่างแน่นอน เขาหัวเราะเยาะเย้ยถากถาง โต้เถียง และในที่สุด เขาก็ละทิ้งการพิสูจน์ว่านักคณิตศาสตร์ละทิ้งงานในการตรวจสอบความถูกต้องของปัญหาที่เคยพิสูจน์แล้วด้วยวิธีต่างๆ โวลโซเกนเข้ามาแทนที่เขา โดยอธิบายความคิดของเขาเป็นภาษาฝรั่งเศสต่อไปและพูดกับไฟเอลเป็นครั้งคราวว่า "Nicht wahr, Exellenz?" [มิใช่หรือ ฯพณฯ ของท่าน? (ภาษาเยอรมัน)] Pful ในขณะที่การต่อสู้ชายที่ร้อนแรงโจมตีประชาชนของเขาตะโกนอย่างโกรธที่ Wolzogen:
- นุ่นจ๋า ถูก soll denn da noch expliziert werden หรือเปล่า? [ใช่ มีอะไรให้แปลอีกไหม? (ภาษาเยอรมัน)] - Paulucci และ Michaud ในสองเสียงโจมตี Wolzogen ในภาษาฝรั่งเศส Armfeld พูดกับ Pfuel เป็นภาษาเยอรมัน Tol อธิบายเป็นภาษารัสเซียแก่เจ้าชาย Volkonsky เจ้าชายแอนดรูว์ทรงฟังและดูอย่างเงียบๆ
ในบรรดาบุคคลเหล่านี้ Pful ที่ขมขื่น เด็ดขาด และมั่นใจในตัวเองอย่างโง่เขลา รู้สึกตื่นเต้นที่สุดที่จะได้มีส่วนร่วมในเจ้าชายอังเดร เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่อยู่ที่นี่ ไม่ต้องการอะไรสำหรับตัวเอง ไม่ปิดบังความเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ใด และต้องการเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น - เพื่อดำเนินการตามแผนที่วาดขึ้นตามทฤษฎีที่เขาพัฒนาขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาเป็นคนที่ตลกขบขันไม่เป็นที่พอใจในการประชด แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นแรงบันดาลใจให้ความเคารพโดยไม่สมัครใจสำหรับการอุทิศตนอย่างไม่มีขอบเขตต่อความคิด นอกจากนี้ ในการกล่าวสุนทรพจน์ของผู้พูดทั้งหมด ยกเว้น Pfuel มีลักษณะทั่วไปอย่างหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ที่สภาทหารในปี 1805 - ตอนนี้แม้จะซ่อนอยู่ แต่ความหวาดกลัวต่ออัจฉริยะของนโปเลียน ความกลัวที่แสดงออกในการคัดค้านแต่ละครั้ง พวกเขาสันนิษฐานว่าทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับนโปเลียนพวกเขารอเขาจากทุกทิศทุกทางและชื่อที่น่ากลัวของเขาทำลายข้อสันนิษฐานของกันและกัน ดูเหมือนว่า Pfuel คนเดียวและเขานโปเลียนถือว่าคนป่าเถื่อนคนเดียวกันเหมือนกับฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดของทฤษฎีของเขา แต่นอกเหนือจากความเคารพแล้ว Pful ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เจ้าชายอังเดรด้วยความรู้สึกสงสาร จากน้ำเสียงที่ข้าราชบริพารปฏิบัติต่อเขา จากสิ่งที่ Pauluchi ยอมให้ตัวเองพูดกับจักรพรรดิ แต่ที่สำคัญที่สุด จากการแสดงออกของ Pful ที่ค่อนข้างสิ้นหวัง เห็นได้ชัดว่าคนอื่นรู้และเขาเองก็รู้สึกว่าการล่มสลายของเขาใกล้เข้ามาแล้ว และถึงแม้เขาจะมั่นใจในตัวเองและเยอรมันประชดประชัน เขาก็ยังน่าสมเพชกับผมสลวยของเขาที่ขมับและพู่ที่ยื่นออกมาที่ด้านหลังศีรษะของเขา เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าเขาจะซ่อนมันไว้ภายใต้หน้ากากของการระคายเคืองและดูถูก แต่เขาก็สิ้นหวังเพราะตอนนี้โอกาสเดียวที่จะทดสอบประสบการณ์มากมายและพิสูจน์ให้คนทั้งโลกเห็นว่าความถูกต้องของทฤษฎีของเขากำลังหลบเลี่ยงเขาอยู่
การอภิปรายดำเนินไปเป็นเวลานาน และยิ่งดำเนินไปนานเท่าใด ความขัดแย้งก็ปะทุขึ้นมากเท่านั้น รวมถึงการตะโกนและบุคลิกลักษณะเฉพาะ และยิ่งทำให้สรุปโดยรวมจากสิ่งที่พูดได้นั้นน้อยลงเท่านั้น เจ้าชายแอนดรูว์ฟังภาษาถิ่นที่พูดได้หลายภาษานี้ และข้อสันนิษฐาน แผนการ การหักล้าง และการตะโกนก็แปลกใจกับสิ่งที่พวกเขาพูดทั้งหมด ความคิดเหล่านั้นซึ่งมาถึงเขาเป็นเวลานานในระหว่างกิจกรรมทางทหารของเขาว่ามีและไม่สามารถเป็นวิทยาศาสตร์การทหารใด ๆ ได้ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอัจฉริยะทางการทหารอีกต่อไปได้รับหลักฐานที่สมบูรณ์แบบของความจริงสำหรับเขา “ทฤษฎีและวิทยาศาสตร์ใดที่สามารถเป็นได้ในเรื่องที่สภาวะและสถานการณ์ไม่เป็นที่รู้จักและไม่สามารถกำหนดได้ ซึ่งความแข็งแกร่งของผู้นำสงครามสามารถกำหนดได้น้อยกว่านั้นอีก? ไม่มีใครสามารถและไม่สามารถรู้ได้ว่าตำแหน่งของเราและกองทัพศัตรูจะเป็นอย่างไรในหนึ่งวันต่อมา และไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่ากำลังของกองกำลังนี้หรือกองกำลังนี้เป็นอย่างไร บางครั้งเมื่อไม่มีคนขี้ขลาดอยู่ข้างหน้า ใครจะตะโกนว่า “พวกเราถูกตัดขาด! - และจะวิ่ง แต่มีชายผู้ร่าเริงร่าเริงอยู่ข้างหน้าใครจะตะโกนว่า "ไชโย! - กองห้าพันมีมูลค่าสามหมื่นเช่นเดียวกับที่ Shepgraben และบางครั้งห้าหมื่นคนก็หนีก่อนแปดโมงเหมือนที่ Austerlitz วิทยาศาสตร์ประเภทใดที่สามารถเป็นได้ในเรื่องนี้ซึ่งในเรื่องในทางปฏิบัติใด ๆ ไม่มีอะไรสามารถกำหนดได้และทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขนับไม่ถ้วนซึ่งความหมายถูกกำหนดในหนึ่งนาทีซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะมาถึงเมื่อใด อาร์มเฟลด์กล่าวว่ากองทัพของเราถูกตัดขาด และเปาลุชชีกล่าวว่าเราได้จัดกองทัพฝรั่งเศสระหว่างการยิงสองครั้ง Michaud กล่าวว่าความไม่เพียงพอของค่าย Drissa อยู่ที่ความจริงที่ว่าแม่น้ำอยู่ข้างหลัง และ Pful บอกว่านี่คือจุดแข็งของเขา โทลเสนอแผนหนึ่ง อาร์มเฟลด์เสนออีกแผนหนึ่ง และทั้งหมดดีและไม่ดี และประโยชน์ของตำแหน่งใด ๆ สามารถประจักษ์ได้เฉพาะในขณะที่เหตุการณ์เกิดขึ้นเท่านั้น และทำไมทุกคนถึงพูดว่า: อัจฉริยะทางการทหาร? อัจฉริยะคือคนที่จะมีเวลาบอกให้หยิบบิสกิตแล้วเดินไปทางขวา ซ้ายมือ? เพียงเพราะว่าทหารสวมเสื้อผ้าที่สง่างามและมีอำนาจ และฝูงคนวายร้ายจำนวนมากประจบประแจงผู้มีอำนาจ ทำให้พวกเขามีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดาของอัจฉริยะ พวกเขาจึงถูกเรียกว่าอัจฉริยะ ตรงกันข้าม นายพลที่ดีที่สุดที่ฉันรู้จักคือคนที่โง่เขลาหรือเอาแต่ใจ Bagration ที่ดีที่สุด - นโปเลียนเองก็ยอมรับ และโบนาปาร์ตเอง! ฉันจำใบหน้าที่เอาแต่ใจและใจแคบของเขาได้ในสนามเอาสเตอร์ลิตซ์ ผู้บัญชาการที่ดีไม่ได้ต้องการแค่อัจฉริยะและคุณสมบัติพิเศษบางอย่างเท่านั้น แต่ในทางกลับกัน เขาต้องการการไม่มีคุณสมบัติที่สูงกว่าของมนุษย์ที่ดีที่สุด เช่น ความรัก บทกวี ความอ่อนโยน ความสงสัยเชิงปรัชญา เขาต้องถูกจำกัด เชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าสิ่งที่เขาทำมีความสำคัญมาก (ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีความอดทน) และเมื่อนั้นเขาจะเป็นผู้บัญชาการที่กล้าหาญเท่านั้น พระเจ้าห้าม ถ้าเขาเป็นผู้ชาย รักใครสักคน เสียใจ คิดถึงสิ่งที่ยุติธรรมและสิ่งที่ไม่ยุติธรรม เป็นที่ชัดเจนว่าตั้งแต่โบราณกาล ทฤษฎีอัจฉริยะถูกสร้างขึ้นสำหรับพวกเขา เพราะพวกเขาคือพลัง บุญในความสำเร็จของกิจการทหารไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขา แต่ขึ้นอยู่กับคนที่ตะโกนในแถว: หายตัวไปหรือตะโกน: ไชโย! และเฉพาะในอันดับเหล่านี้เท่านั้นที่คุณสามารถรับใช้ด้วยความมั่นใจว่าคุณมีประโยชน์!”
ดังนั้น เจ้าชายแอนดรูว์จึงคิด ฟังการสนทนา และตื่นขึ้นก็ต่อเมื่อเปาลุชชีเรียกเขาและทุกคนก็ออกไปแล้ว
วันรุ่งขึ้นในการตรวจสอบจักรพรรดิถามเจ้าชายอังเดรว่าเขาต้องการรับใช้ที่ไหนและเจ้าชายอังเดรสูญเสียตัวเองตลอดไปในโลกของศาลโดยไม่ขอให้อยู่กับบุคคลของจักรพรรดิ แต่ขออนุญาตรับราชการในกองทัพ

ก่อนการเปิดแคมเปญ Rostov ได้รับจดหมายจากพ่อแม่ของเขาซึ่งแจ้งเขาสั้น ๆ เกี่ยวกับความเจ็บป่วยของนาตาชาและการหยุดพักกับเจ้าชายอังเดร (การเลิกรานี้อธิบายให้เขาฟังโดยการปฏิเสธของนาตาชา) พวกเขาขอให้เขาลาออกอีกครั้ง บ้าน. นิโคไลหลังจากได้รับจดหมายฉบับนี้แล้ว ไม่ได้พยายามขอลาออกหรือลาออก แต่เขียนถึงพ่อแม่ของเขาว่าเขาเสียใจอย่างมากเกี่ยวกับอาการป่วยของนาตาชาและการเลิกรากับคู่หมั้นของเธอ และเขาจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของพวกเขา เขาเขียนถึง Sonya ต่างหาก
“เพื่อนที่รักในจิตวิญญาณของฉัน” เขาเขียน “ไม่มีอะไรนอกจากเกียรติที่สามารถป้องกันไม่ให้ฉันกลับมาที่หมู่บ้านได้ แต่ตอนนี้ ก่อนเปิดแคมเปญ ฉันคิดว่าตัวเองไม่มีเกียรติ ไม่เฉพาะต่อหน้าสหายของฉันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตัวฉันด้วย ถ้าฉันชอบความสุขมากกว่าหน้าที่และความรักต่อบ้านเกิดของฉัน แต่นี่เป็นการจากลาครั้งสุดท้าย เชื่อว่าทันทีหลังสงคราม ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ และเธอรักทุกอย่าง ฉันจะทิ้งทุกอย่างและมาหาคุณเพื่อโอบกอดคุณตลอดไปในอกอันร้อนแรงของฉัน "
อันที่จริงมีเพียงการเปิดแคมเปญเท่านั้นที่ทำให้ Rostov ล่าช้าและป้องกันไม่ให้เขามา - ตามที่เขาสัญญาไว้ - และแต่งงานกับ Sonya ฤดูใบไม้ร่วงใน Otradno กับการล่าสัตว์และฤดูหนาวกับคริสต์มาสไทด์และความรัก Sonya เปิดโอกาสให้เขาได้รับความสุขและความเงียบสงบอันสูงส่งซึ่งเขาไม่เคยรู้มาก่อนและตอนนี้ก็เรียกหาเขา “ภรรยาผู้รุ่งโรจน์ ลูกๆ ฝูงสุนัขล่าเนื้อ ฝูงสุนัขเกรย์ฮาวด์สิบหรือสิบสองฝูง ฟาร์ม เพื่อนบ้าน การเลือกตั้ง! เขาคิดว่า. แต่ตอนนี้มีการรณรงค์และจำเป็นต้องอยู่ในกองทหาร และเนื่องจากมีความจำเป็นโดยธรรมชาติแล้ว Nikolai Rostov ก็พอใจกับชีวิตที่เขาเป็นผู้นำในกองทหารและทำให้ชีวิตนี้น่าอยู่สำหรับตัวเขาเอง
เมื่อมาถึงจากการพักร้อน นิโคไลก็ส่งตัวไปซ่อมแซมและนำม้าที่เก่งกาจมาจากลิตเติ้ลรัสเซียซึ่งทำให้เขาพอใจและทำให้เขาได้รับคำชมจากผู้บังคับบัญชาของเขา ในระหว่างที่เขาไม่อยู่ เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นกัปตัน และเมื่อกองทหารถูกวางกฎอัยการศึกด้วยส่วนประกอบที่เพิ่มขึ้น เขาได้รับกองทหารเก่าของเขาอีกครั้ง
การรณรงค์เริ่มต้นขึ้นกองทหารถูกย้ายไปโปแลนด์ได้รับเงินเดือนสองเท่าเจ้าหน้าที่ใหม่ผู้คนใหม่ม้ามาถึง และที่สำคัญที่สุดคืออารมณ์ร่าเริงร่าเริงซึ่งมาพร้อมกับการเริ่มต้นของสงครามแพร่กระจาย และ Rostov เมื่อตระหนักถึงตำแหน่งที่ได้เปรียบของเขาในกองทหาร อุทิศตนอย่างเต็มที่เพื่อความสุขและความสนใจในการรับราชการทหารแม้ว่าเขาจะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องจากพวกเขาไป
กองทหารถอยทัพจากวิลนาด้วยเหตุผลด้านสถานะ การเมือง และยุทธวิธีที่ซับซ้อน แต่ละขั้นตอนของการล่าถอยมาพร้อมกับการเล่นที่ซับซ้อนของความสนใจ ข้อสรุปและความสนใจในสำนักงานใหญ่หลัก สำหรับเสือกลางของกองทหาร Pavlograd การรณรงค์ล่าถอยทั้งหมดในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของฤดูร้อนด้วยอาหารเพียงพอเป็นสิ่งที่ง่ายและสนุกที่สุดที่ต้องทำ พวกเขาอาจท้อแท้กังวลและน่าสนใจในอพาร์ตเมนต์หลัก แต่ในกองทัพลึกพวกเขาไม่ได้ถามตัวเองว่าพวกเขาจะไปที่ไหน หากพวกเขาเสียใจที่ถอยกลับ ก็เพียงเพราะจำเป็นต้องออกจากอพาร์ตเมนต์ที่เอื้ออาศัยได้จากสาวสวยคนหนึ่ง ถ้ามันเกิดขึ้นกับใครบางคนว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่ดีแล้วในฐานะทหารที่ดีคนที่มันเกิดขึ้นพยายามที่จะร่าเริงและไม่คิดถึงเรื่องทั่วไป แต่ให้คิดถึงธุรกิจของเขาทันที ในตอนแรก พวกเขายืนอย่างสนุกสนานใกล้กับวิลนา ทำความรู้จักกับเจ้าของที่ดินชาวโปแลนด์ และรอและออกเดินทางเพื่อทบทวนอำนาจอธิปไตยและผู้บังคับบัญชาระดับสูงคนอื่นๆ จากนั้นมีคำสั่งให้ถอยกลับไปหาพวกสเวนท์เซียนและทำลายเสบียงที่ไม่สามารถพรากไปได้ Sventsians ถูกจำโดย Hussar เพียงเพราะเป็นค่ายขี้เมาเนื่องจากกองทัพทั้งหมดเรียกค่ายที่ Sventsyan และเนื่องจากใน Sventsiny มีข้อร้องเรียนมากมายเกี่ยวกับกองทัพเพราะพวกเขาใช้คำสั่งกินอาหารเอาม้า ท่ามกลางอาหารและรถม้าและพรมจากขุนนางโปแลนด์ Rostov จำ Sventsiay ได้เพราะในวันแรกที่เข้ามาที่นี่เขาเปลี่ยนจ่าและไม่สามารถรับมือกับคนขี้เมาในฝูงบินซึ่งโดยที่เขาไม่รู้เลยเอาเบียร์เก่าห้าถังไป จาก Sventsian พวกเขาถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ ไปยัง Drissa และถอยกลับจาก Drissa อีกครั้งใกล้ชายแดนรัสเซียแล้ว

วงเวลา

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังเดินไปตามทางแคบ ๆ ที่ขอบเหว เป็นที่ชัดเจนว่ารายละเอียดใดๆ ที่เห็นในที่นี้มีความสำคัญ หินทุกก้อน ความไม่สม่ำเสมอทุกอย่างสามารถทำให้เกิดการตกได้ และเพื่อที่จะไม่ตก เราจะต้องจดจ่ออยู่กับภาพทั้งหมดของโลกที่มองเห็นได้อย่างเต็มที่ สมบูรณ์จนไม่มีที่ว่างในจิตสำนึกสำหรับความคิดตามอำเภอใจ - กระแสการคิดตามปกติจะหยุดลง นั่นคือเราคิดได้ - เราสามารถเลือกหินที่จะเหยียบได้ และอันไหนดีกว่าที่จะข้าม แต่นั่นคือทั้งหมด ความคิดของเราถูกจำกัดด้วยสิ่งที่เราเห็น ณ เวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพของโลกที่เราจมดิ่งลงไปอย่างสมบูรณ์

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังเดินไปตามถนนกว้างในที่ที่ปลอดภัย คุณสามารถก้าวเพิ่มเติมสองสามก้าวไปทางขวาหรือซ้าย หรือแม้แต่ก้าวออกจากข้างถนนโดยไม่เสี่ยงที่จะตกลงมา รายละเอียดของสิ่งที่เขาเห็น - ก้อนกรวดและความผิดปกติ - เกือบจะสูญเสียความหมายและคุณสามารถไปที่ "เครื่อง" โดยคิดอย่างอื่น บางครั้งการแช่ในรถอีกคันก็สมบูรณ์จนเรามองไม่เห็นรถที่กำลังวิ่งเข้ามาและสามารถวิ่งทับตายได้ แม้ว่าเราจะอยู่ในที่ปลอดภัยก็ตาม และสิ่งนี้เกิดขึ้นบ่อยกว่ามาก - ผู้คนเสียชีวิตบนท้องถนนมากกว่าบน "เส้นทาง" ที่ทอดยาวไปตามขอบเหว

ทั้งหมดนี้อยู่ใกล้กว่าที่คิด มีผู้คนมากมายที่ใช้ชีวิตราวกับว่าพวกเขากำลัง "เดินข้ามขุมนรก" - อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถดำเนินชีวิตแบบนั้นได้ มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในสถานการณ์และดูรายละเอียดที่เล็กที่สุดทั้งหมด ในระหว่างการเจรจา พวกเขาได้ยินทุกอย่างที่คู่สนทนาพูด สังเกตการเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง และอื่นๆ ยิ่งกว่านั้น พวกเขา "เห็น" ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายของการเจรจา - ความเป็นไปได้ทั้งหมด ภัยคุกคามทั้งหมด ตัวเลือกในการดำเนินการ - พวกเขา "เห็น" ภาพรวมทั้งหมด เป็นที่ชัดเจนว่าในกรณีเช่นนี้ พวกเขามักจะประสบความสำเร็จเกือบทุกครั้ง และไม่เพียงแต่ในระหว่างการเจรจาเท่านั้น คนเหล่านี้สามารถกระทำการโดยลำพังได้และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถหยุดพวกเขาได้ เพราะในภาพที่พวกเขาทำนั้น ไม่มีคนอื่นเลย - ร่างกายคนเหล่านี้อยู่ที่นี่ แต่การหมกมุ่นอยู่กับความคิดของพวกเขาเองกลับกลายเป็นว่า เป็น "ผี" แม้แต่สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของโลกก็ยังมองไม่เห็นสำหรับพวกเขา และบุคคลที่พยายามจดจ่ออยู่กับภาพรวมก็จะกลายเป็น "ล่องหน" สำหรับคนอื่นและสามารถทำทุกอย่างที่เขาต้องการได้ แน่นอน ถ้ามีคนแบบนี้ - เมื่อทุกคนหลับ ทุกคนอยู่ในสถานการณ์ที่ตลกพอๆ กัน - สังเกตอย่างน้อย "รถรางชนกัน" หรือ "การต่อสู้กันในคิว" หรือจำการทะเลาะวิวาทกับคนที่คุณรัก - โดยปกติพวกเขายังดำเนินการตามสถานการณ์ที่ไร้ความหมายมากที่สุด แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยตัวมันเอง - เมื่อเรา "หลับ" สิ่งที่เกิดขึ้นจะถูกควบคุมโดย "ภาพ" ซึ่งพยายามจะปราบปรามเราในระดับที่มากยิ่งขึ้น สร้าง "แวดวง" ใหม่หลายวงที่สร้างขึ้นโดย Shadow Power ของเราและผูกมัดเราไว้กับมัน ตัวอย่างเช่น ทันทีที่เราทะเลาะกับคนที่คุณรักหลายครั้ง สถานะของความขัดแย้งกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับเรา และเราพยายามที่จะกลับไปโดยเร็วที่สุด - มีครอบครัวที่การตำหนิติเตียนและข้อกล่าวหาไม่รู้จบเป็นบรรทัดฐานในความสัมพันธ์ หากเราไปสายสักสองสามครั้งและเราเริ่มมาสายตลอดเวลา การกิน "ขนมพิเศษ" ก็ควรค่าแก่การทาน และสิ่งนี้ก็จะกลายเป็นนิสัยอย่างรวดเร็วเช่นกัน มีคนที่ป่วยอยู่ตลอดเวลาเพียงเพราะเคยชินกับการป่วย - ในหมู่ "คนป่วย" ส่วนใหญ่มี เป็นต้น

แต่สำหรับ "การนอนหลับ" ทั้งหมด ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ - แม้ว่าความปรารถนาของพวกเขาจะไม่มีวันเป็นจริง และถนนที่พวกเขาไป ไม่ได้พาพวกเขาไปยังที่ที่พวกเขาต้องการไปเลย นี่คือในขณะที่ทุกคนกำลัง "หลับ" - ถ้ามีคนตื่นขึ้น สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป - "คนที่ตื่นแล้ว" จะมองเห็น "ภาพ" ทั้งหมดและกลายเป็นศูนย์กลางของมันได้ - เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ ปริมาณพลังงานที่ต้องการเข้าไป และสิ่งนี้จะช่วยให้เขาแสดงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

มาดูตัวอย่างง่ายๆ กัน เมื่อวานฉันถูกขอให้ส่งวัสดุ "วงกลมแห่งอำนาจ" อย่างใดอย่างหนึ่ง "ออกไป" ฉันมีเนื้อหานี้ในคอมพิวเตอร์ที่บ้านของฉัน และในช่วงเวลาของ "คำขอ" ฉันเองก็อยู่ที่ทำงาน ดังนั้นฉันจึงแนะนำให้รอจนถึงพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นตัวเลือกที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง แต่แม้กระทั่ง "พรุ่งนี้" ฉันก็ "ลืม" ว่าจะทิ้งเนื้อหาลงในแฟลชไดรฟ์ ซึ่งหมายความว่าฉันไม่สามารถทำตามสัญญาได้ - ฉันไม่ชอบมัน และสถานการณ์แบบนี้มักจะดึงเราเข้าหาตัวเอง เหมือนเป็น "ทางขึ้นเขาแคบ" ที่เราต้องตื่นขึ้น และทันทีที่ฉัน "ตื่น" ขึ้นเล็กน้อย ปัญหาก็ได้รับการแก้ไขโดยไม่ยาก - ฉันเคยส่งเอกสารนี้จากกล่องจดหมายบนเว็บไซต์ - และสำเนาของจดหมายที่ส่งไปจะถูกบันทึกไว้ที่นั่น การเปิดจดหมายที่เกี่ยวข้อง บันทึกไฟล์แนบ และส่งไปยังที่อยู่ที่ต้องการก็เพียงพอแล้ว เท่านี้ก็เรียบร้อย สิ่งที่ตลกคือใน "การเปิดเผย" นี้ไม่มีความรู้ใหม่ - ฉันรู้สิ่งนี้มาก่อน แต่ในขณะที่ฉัน "หลับ" ชิ้นส่วนของ "ภาพ" ที่คุ้นเคยนี้ยังคงมองไม่เห็นสำหรับฉัน ซึ่งหมายความว่าฉันต้องย้ายไปใน "วงกลม" ที่ปกติและไม่สบายใจซึ่งกลายเป็นวิธีการเดียวเท่านั้นที่มีให้ และในสถานการณ์นี้เราทุกคนต่างก็มีวิธีแก้ปัญหาที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่เราแทบไม่เคยเห็นวิธีแก้ปัญหานี้เลย - เราไม่มีแรงพอที่จะแยกแยะชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องของภาพ - ดังนั้นปัญหามากมายที่ดูเหมือนจะไม่สามารถแก้ไขได้สำหรับเรา

คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตราวกับว่าพวกเขากำลัง "เดินไปตามถนนที่กว้างใหญ่" ซึ่ง "รายละเอียด" ที่มองข้ามไปไม่ได้ พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับความคิดอยู่ตลอดเวลานั่นคือพวกเขาอยู่ที่ไหนสักแห่งนอก "ภาพ" ซึ่งตอนนี้ร่างกายของพวกเขาอาศัยอยู่ แม้ว่าพวกเขาจะพูดคุยกับเราก็ตาม - ดูคู่สนทนาให้ละเอียดยิ่งขึ้น - อันที่จริงพวกเขากำลังพูดกับตัวเอง บ่อยครั้งที่พวกเขาไม่ได้ยินเราตามความหมายที่แท้จริงของคำ - พวกเขาเพียงรอการหยุดชั่วคราว ซึ่งพวกเขาสามารถแทรกบางสิ่งที่เป็นของตนเองได้ ดังนั้นด้วยการกระทำ - จำความวิตกกังวลที่หลายคนคุ้นเคยเกี่ยวกับ "ก๊อกเปิด" "เหล็กที่ไม่ได้เสียบปลั๊ก" "ประตูที่ปลดล็อก" และอื่นๆ เกิดขึ้นเพราะเราจำไม่ได้จริงๆ ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แต่ถึงแม้ว่าการกระทำของเราจะมีรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็ยังคงเป็นกลไกและ "เป็นเส้นตรง" - เราไม่ได้คำนึงถึง "การแยกส่วน" ทั้งหมดที่เราเห็นได้ง่าย จำไว้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรเมื่อเราวิเคราะห์สถานการณ์ของ "ความพ่ายแพ้" ย้อนหลัง - ความผิดพลาดทั้งหมดที่เราทำจะมองเห็นได้ชัดเจน - บุคคลมักจะไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเขาสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร แต่ไม่มีใครขัดขวางไม่ให้เขาเห็นทันเวลา - ไม่มีใครนอกจากตัวเขาเอง นิสัยของ "การนอน" และ "ความฝัน" ที่ฝังอยู่ในตัวเรา แต่เราไม่ได้ "เห็น" ข้อผิดพลาดเสมอไป - เฉพาะในสถานการณ์ที่ "จับ" เรา ทำให้เรา "ตื่น" - อย่างน้อยก็หลังจากเกิดขึ้นแล้ว ในกรณีปกติ เราไม่ได้ทำผิดพลาดน้อยลง เพียงแต่ว่าพวกเขาทั้งหมดดูเหมือน "ปกติ" สำหรับเรา จำไว้ว่าอย่างน้อยบ่อยแค่ไหนที่เราลืมเปลี่ยนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องบันทึกเงินสดที่ต้องการ เราถูกรบกวนจากการทำงานเพื่อเล่นไพ่คนเดียวหรือท่องเครือข่ายอย่างโง่เขลา เลื่อนการโทรที่สำคัญออกไปในภายหลัง เป็นต้น ทั้งหมดนี้ดูเหมือนเราเป็น "สิ่งเล็กน้อย" ที่สามารถแก้ไขได้ แต่เป็น "สิ่งเล็กน้อย" เหล่านี้ที่ไม่เพียงแต่ทำให้เราอยู่ในที่เดียวกัน ไม่ยอมให้เราเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตของเรา แต่ยังทำให้เราจมดิ่งลงในความเกือบ หลับไหลไม่ขาดสาย ปกป้องพลังแห่งเวทมนตร์และเวทมนตร์ทั้งหมด ...

ทุกอย่างง่ายที่นี่ - ลองนึกภาพว่า "ภาพ" ที่เราพบว่าตัวเองเป็น "โฮโลแกรม" ที่ปรากฏขึ้นหากมีการส่องสว่างด้วยรังสีที่สอดคล้องกันด้วยความถี่การสั่นสะเทือนที่แน่นอน และจิตสำนึกของเราคือแหล่งกำเนิดของรังสีนี้ ซึ่งเป็นความถี่ที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากเราปรับแหล่งที่มาเป็นความถี่ที่ต้องการ "โฮโลแกรม" จะกลายเป็นสามมิติและรายละเอียดทั้งหมดจะถูกเน้น - นั่นคือเราจะสามารถมองเห็น "ภาพ" ทั้งหมดได้ แต่ถ้าความคิดของเราหมกมุ่นอยู่กับ "ภาพ" ที่ต่างออกไป ความถี่ของการแผ่รังสีของจิตสำนึกของเราจะเปลี่ยนไป มันจะไม่สะท้อนกับ "โฮโลแกรม" อีกต่อไป และอย่างดีที่สุด เราก็จะมองเห็นภาพแบนๆ ในทางกลับกัน "การแผ่รังสีของสติ" จะกลายเป็นหลายความถี่และความถี่ที่ต้องการนั้นมีส่วนเล็ก ๆ ของพลังงาน ดังนั้น "ภาพ" จึงกลายเป็นเกือบมืดและเรามองเห็นได้เฉพาะสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราเท่านั้น หรือไม่เห็นอะไรเลย - แน่นอนว่าหลายคนคุ้นเคยกับสถานการณ์เมื่อเราพูดคุยกับบุคคลอื่นไม่สามารถจำใบหน้าหรือเสื้อผ้าของเขาได้เท่านั้น แต่ยังเป็นหัวข้อสนทนาด้วย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ - "วงกลม" ที่ถักทอจากพลังเงาของเราสามารถหมุนได้ใน "ความมืด" เท่านั้น ดังนั้นความสามารถในการมองไม่เห็นโลกจึงเป็นเครื่องรับประกันการมีอยู่ของมัน - และด้วยเหตุนี้จึงเป็นเครื่องรับประกันการมีอยู่ของโลกทุกวัน

นี่คือด้านหนึ่งของคำถาม แต่นอกเหนือจาก "ก้อนหินบนถนน" แล้ว ยังมีถนนอีกด้วย มีเป้าหมายที่มันนำทางเราไป ยกตัวอย่างเช่นหมากรุก - คุณสามารถดูตำแหน่งของหมากทั้งหมดบนกระดานและแม้แต่รายละเอียดที่เล็กที่สุดของแต่ละชิ้น - ไม่น่าจะช่วยให้เราชนะเกมได้ เพื่อที่จะชนะ คุณจะต้องมองไม่เห็นสิ่งที่เป็น แต่สิ่งที่สามารถเป็นได้ - ตัวเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมดสำหรับการเคลื่อนไหว รวมถึงตัวเลือกที่จะช่วยให้เราสามารถรุกฆาตคู่ต่อสู้ของเราได้ ดังนั้นมันจึงเป็นกับอย่างอื่น - นอกเหนือจาก "ภาพถ่าย" ของโลกที่เราเห็น ยังมี "ภาพยนตร์" ที่ภาพถ่ายนี้กลายเป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ เฟรม ลองนึกภาพว่าเราสามารถฉายภาพตัวเองใน "เฟรม" นี้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน - เป็นที่ชัดเจนว่าในกรณีนี้ "เฟรม" ที่เหลือจะหยุดสำหรับเรา สำหรับเราเท่านั้น - ผู้สังเกตการณ์ภายนอกสามารถเห็น "ภาพยนตร์" เคลื่อนไหวได้ แต่สำหรับเขา เรายังคงเป็นส่วนหนึ่งของ "เฟรม" เพียงอันเดียว หนึ่ง "ตอน" - ในส่วนอื่นๆ เราไม่มีอยู่จริง ทุกสิ่งที่เราพูดถึงข้างต้นยังคงมีผลบังคับใช้ - ยิ่งเราสามารถหมกมุ่นอยู่กับ "กรอบ" ได้อย่างเต็มที่มากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมองเห็นได้ดีขึ้นเท่านั้น และยิ่งเราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้มากเท่านั้น แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังคงมองไม่เห็นสำหรับผู้ที่ชมภาพยนตร์ทั้งเรื่อง - "เฟรม" เปลี่ยนเร็วเกินไป ไม่อนุญาตให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียด

มีหนังดีๆเรื่องหนึ่งเรื่อง "Groundhog Day" ฮีโร่ที่ตกลงไปในห้วงเวลาและถูกบังคับให้มีชีวิตอยู่ในวันหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นที่แน่ชัดว่าเขาสามารถดื่มด่ำกับ "ภาพ" ที่ตรงกันได้อย่างสมบูรณ์เพื่อเห็นมันอย่างครบถ้วน - เขารู้ - จะเกิดอะไรขึ้นและเมื่อใดและสามารถใช้ความรู้นี้ได้ จนถึงจุดที่ปราบ "ภาพ" ทั้งหมด - เพื่อให้บรรลุสิ่งใด แต่ภายในวันนี้เท่านั้น - ในตอนเช้าเขากลับไปที่จุดเริ่มต้นอีกครั้งและเขาต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง

โครงเรื่องนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องสมมติของเรา เพราะการให้เหตุผลเกี่ยวกับ "ช็อต" และ "ภาพยนตร์" ดูเหมือนเป็นนามธรรม แต่จงมองดูผู้คนรอบๆ ตัวคุณ - สำหรับคนส่วนใหญ่ วันนี้เป็นการทำซ้ำที่เกือบจะเหมือนกับเมื่อวาน และพรุ่งนี้จะเป็นการทำซ้ำของวันนี้ แน่นอนว่ามีการเบี่ยงเบน แต่ในกรณีเช่นนี้บุคคลทำทุกอย่างเพื่อฟื้นฟูลำดับของสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้วันนี้ไม่แตกต่างจากเมื่อวาน แม้แต่ในกรณีเหล่านั้นเมื่อเขาต้องการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง - จำช่วงเวลาที่เราเริ่มก้าวไปข้างหน้าจริงๆ - ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลึกลับหรือในแง่ของการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน - มันไม่สำคัญที่นี่ โดยปกติแล้วทุกอย่างจะจบลงในลักษณะเดียวกัน - กลับไปที่จุดเริ่มต้น ไปที่ "เมื่อวาน" ซึ่งเราต้องการออกไป และการหมุนรอบไม่รู้จบอีกครั้งใน "แวดวง" ที่เราพูดถึงในรายการส่งเมลที่แล้ว และผูกเราไว้กับ "ภาพยนตร์" เฟรมเดียวที่เรายังไม่ได้ดู

จากมุมมองนี้ สถานการณ์ของเราเลวร้ายยิ่งกว่าฮีโร่ของ Groundhog Day - เขารู้ว่าเขามาทันเวลา เขาจึงสามารถเห็นรายละเอียดทั้งหมดของ "ภาพ" ที่เขาพบและตัวเลือกทั้งหมด สำหรับการเปลี่ยนแปลงของพวกเขา และดูเหมือนว่าเรากำลังเคลื่อนไหว ดังนั้นเราไม่สามารถคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา และเราพบว่าตัวเองช่วยอะไรไม่ได้แม้แต่ใน "กรอบ" ที่เราพบว่าตัวเองอยู่ อันที่จริง มันแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย - เราไม่สามารถเน้นมันทั้งหมดได้ เราไม่สามารถดื่มด่ำกับภาพรอบตัวเราได้อย่างสมบูรณ์ เหมือนในนิทานเรื่องหนึ่งที่คนตาบอดสามคนถูกถามถึงช้าง - คนที่รู้สึกขาบอกว่าช้างเป็นเหมือนต้นไม้ ว่าช้างสัมผัสงวงของงู และที่ถือช้าง หางเขาเตือนเขาถึงเชือก หากพวกเขาเปลี่ยนสถานที่ ทุกคนจะคิดว่าพวกเขากำลังเผชิญกับสิ่งใหม่ ๆ แม้ว่าช้างจะยังคงเหมือนเดิม - เพียงแต่ไม่มีใครสามารถ "ส่องสว่าง" ให้กับมันได้ทั้งหมด เกือบจะเหมือนกันเกิดขึ้นกับเรา - เมื่อเราขยับเล็กน้อยใน "ภาพถ่ายของโลก" ที่เราพบว่าตัวเองดูเหมือนว่าเราได้เข้าสู่โลก "พรุ่งนี้" ที่แตกต่างออกไปแม้ว่าทุกอย่างจะยังเหมือนเดิม - เท่านั้น จุดติดต่อของเราเปลี่ยนไปตามช่องว่างของ "รูปภาพ" และมีอีกสิ่งหนึ่ง - เราเคยชินกับการลืมสิ่งที่เราเห็นก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว - เพื่อไม่ให้เห็นความบังเอิญแน่นอนที่จะทำให้เราเข้าใจว่าเรากำลังเคลื่อนไปตาม "วงแหวนแห่งกาลเวลา" บางครั้งกลไกนี้ล้มเหลว - ทุกคนเคยเจอปรากฏการณ์เดจาวู นั่นคือ ทุกคนต้องรู้สึกว่าชีวิตของเราซ้ำซากจำเจของเมื่อวานอย่างไม่รู้จบ แต่ความรู้สึกดังกล่าวหาได้ยาก - โดยปกติการทำซ้ำของเหตุการณ์อย่างสมบูรณ์จะแทนที่ "ความทรงจำของอดีต" และเรามองว่าเป็นเหตุการณ์ใหม่ หรือมากกว่าไม่ใช่ - สำหรับเราดูเหมือนว่านี่คือ "เหตุการณ์ใหม่" แต่ภายในตัวเรารู้สึกว่าทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว เรามีกลไกที่ชัดเจนในการแยกแยะระหว่าง "เก่า" กับ "ใหม่" - ทุกสิ่งใหม่มักจะกระตุ้นความสนใจของเรา จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ความสนใจคือการตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างรูปทรงของพื้นที่ที่เราอยู่ กับรูปร่างของ "รังไหม" ของเรา และจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อสัมผัสกับวัตถุใหม่หรือสถานการณ์ใหม่ แต่จำครั้งสุดท้ายที่เราสนใจบางอย่างจริงๆ - มันจะจำยาก แม่นยำเพราะคำว่า "ใหม่" ของเราเป็นการซ้ำซ้อนของ "เก่า" อย่างไม่รู้จบ และการขาดความสนใจเป็นเกณฑ์ที่แน่นอนสำหรับความจริงที่ว่าเราอยู่เมื่อวานนี้

แน่นอน ฉันทำให้สถานการณ์เรียบง่ายเกินไปเล็กน้อย บางครั้งโลกเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ ทำให้เราพบว่าตัวเองอยู่ในภาพที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น สงคราม การปฏิวัติ และภัยธรรมชาติ เหตุการณ์ใด ๆ หลังจากนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะกลับไปเมื่อวานนี้ - ไม่ว่าเราจะอยากกลับไปที่นั่นมากแค่ไหน ในกรณีเช่นนี้ เราเริ่มเคลื่อนไหวตาม "ฟิล์ม" จริงๆ แล้วเราจะถูกย้ายไปยังอีกเฟรมหนึ่ง แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นโดยอิสระจากเรา กลไกของเครื่องฉายภาพยนตร์เพิ่งใช้งานได้ และ "เฟรม" ปัจจุบันก็ถูกแทนที่ด้วยอันถัดไป และในขณะที่เราไม่พึ่งตนเอง แต่เราไม่สามารถส่องแสงด้วยแสงของเราเองได้ เราต้องปฏิบัติตามลำแสงของโปรเจ็กเตอร์ใน "ภาพยนตร์" ทั้งหมดที่เราเข้าร่วม มี "ภาพยนตร์" เล็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา - "การเปลี่ยนแปลงของเฟรม" เกิดขึ้นเมื่อมีความสำเร็จครั้งใหญ่หรือปัญหาใหญ่มาก เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ที่รู้จักกันดีของ "โรค" - ความปรารถนาที่จะทำลายชีวิตของตัวเอง แทบไม่มีใครเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้ด้วยการก้าวกระโดดเพียงครั้งเดียว แต่ทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่แย่ลงได้ และนี่เป็นเพียงทางเลือกเดียวสำหรับการเปลี่ยนแปลง แน่นอน คุณคงคุ้นเคยกับกรณีที่คนที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทันใดนั้นก็เริ่มทำลายทุกอย่างด้วยตัวเขาเอง - จนกระทั่งพวกเขาพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่ามาก ดูเหมือนขัดแย้ง แต่ไม่มีความขัดแย้ง - "การติดอยู่กับเวลา" เป็นเรื่องที่เจ็บปวดสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ขอบของสิ่งที่เกิดขึ้น - ดังนั้นความปรารถนาที่จะ "หลุดพ้นจากลูป" ด้วยวิธีการใด ๆ ที่มีอยู่ เช่นเดียวกับใน "หนังใหญ่" ที่เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของมนุษยชาติ เป็นที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในช่วงภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นอยู่ของทุกคน การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในทางที่ดีขึ้นสำหรับคนส่วนใหญ่ดูเหมือนจะไม่น่าเป็นไปได้ มีความรู้สึกว่า "โลกกำลังตกต่ำ" และความรู้สึกนี้ไม่ได้หลอกลวงเรา ดังนั้น ความคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลง เกี่ยวกับวันสิ้นโลก จึงกลายเป็นเรื่องจริงมากขึ้น ในเวลาเดียวกัน ตัวเลือกนี้ไม่ได้ทำให้หลายคนหวาดกลัว แต่ดึงดูดใจ มิฉะนั้นจะไม่มีภาพยนตร์ในหัวข้อที่คล้ายกันมากเท่านี้ และเมื่อภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว “กอบกู้โลก” “หลายคน” เหล่านี้รู้สึกผิดหวัง พวกเขาต้องการให้โลกถูกทำลายลงจริงๆ ด้วยเหตุผลเดียวกัน พวกเขารู้สึกว่าตัวเองติดอยู่ใน "วงเวลา" และสิ่งนี้กลับกลายเป็นว่าทำให้พวกเขาเจ็บปวดยิ่งกว่าความตาย และพวกเขาก็พร้อมที่จะแยกออกจาก "วง" ในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ - เมื่อจุดจบของโลกเริ่มต้น หลายคนจะปรบมือให้

แต่แม้ในกรณีเหล่านั้นเมื่อการเคลื่อนไหวในเวลาเกิดขึ้น กลับกลายเป็นว่าเรามองไม่เห็น - เรากระโดดลงไปในสิ่งที่เหมือนแถบหมอกและปรากฏในกรอบที่ต่างออกไป ซึ่งกลายเป็นสิ่งเดียวที่เป็นไปได้สำหรับเรา ดังนั้นในระหว่างการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เราลืมอดีตได้อย่างง่ายดาย - เราไม่ได้อยู่ในนั้นแล้ว เรายังคงอยู่ใน "ภาพ" เดียวเท่านั้น ภาพสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ความรู้สึกของ "วงเวลา" ยังคงเป็นปัจจัยที่คงที่ในการดำรงอยู่ของมนุษย์ ทุกวันที่เขาอาศัยอยู่กลายเป็นเมื่อวาน - เป็นที่เข้าใจกันว่ามันจะเจ็บปวดเกินไปที่จะตระหนักถึงสิ่งนี้ ดังนั้นผู้คนชอบที่จะ "นอนหลับ" - "นอนหลับ" ทำให้พวกเขารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวในเวลาและหากไม่มีความรู้สึกนี้เราก็ไม่สามารถอยู่ได้

ที่นี่คุณต้องเข้าใจสิ่งสำคัญ - การเคลื่อนไหวในเวลามักเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงภายใน หากเรายังเหมือนเดิม เราก็อยู่ที่จุดเดิม ตามความหมายที่แท้จริงของคำ - เรามีกลไกที่เชื่อมโยง "ภาพ" บางอย่างกับพื้นที่ - นี่คือ "รูปแบบของกล้ามเนื้อ" ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อบางกลุ่ม ในจดหมายฉบับที่แล้ว เราได้พูดถึง "วงกลม" ที่ประกอบเป็นวัตถุเชิงพื้นที่ภายนอกของเรา ซึ่งทอจากเส้นทางที่เราคุ้นเคยซึ่งเราคุ้นเคยกับการเดินทาง พื้นฐานภายในของพวกเขาคือความตึงเครียดของกล้ามเนื้อซึ่งมีแรงจูงใจในการดำเนินการบางอย่าง เราสามารถพูดได้ว่ากล้ามเนื้อเป็นตัวสะท้อนที่เชื่อมโยงเรากับ "วงกลม" เชิงพื้นที่ - เมื่อมีการสร้างเสียงสะท้อน เราจะเริ่มเคลื่อนที่ไปตาม "วงกลม" เหล่านี้โดยไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวอย่างเช่น ผู้สูบบุหรี่ทุกคนรู้ว่าการสูบบุหรี่เป็นอันตราย แต่เกือบทั้งหมดสูบบุหรี่บ่อยกว่าที่ต้องการ สูบบุหรี่ "ด้วยความขยะแขยง" โดยไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงทำ และความลับอยู่ที่ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ซึ่งก่อให้เกิด "พิธีกรรมการสูบบุหรี่" หรือให้เราทำตามความปรารถนาที่คุ้นเคยของหลาย ๆ คนที่จะออกจากที่ทำงาน - มักจะไม่มีอะไรน่าสนใจรอเราอยู่ที่บ้านและมีบางสิ่งในที่ทำงานที่คุ้มค่าที่จะทำ แต่กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับ "วงเวียนคืนสู่เหย้า" นั้นตึงเครียดมาก ว่า “การกลับบ้าน” กลายเป็นเป้าหมายหลักสำหรับเรา ดังนั้น ในกรณีอื่นๆ ตราบใดที่รูปแบบกล้ามเนื้อยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เราพบว่าตัวเองผูกติดอยู่กับ "เฟรม" เดียวกัน กับ "เมื่อวาน" และไม่ว่าเราจะเคลื่อนไปตามนั้นเร็วแค่ไหน ก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ยิ่งกว่านั้นเราลืมเส้นทางที่ข้ามไปแล้วได้อย่างง่ายดายและเดินผ่านพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยเหยียบ "คราดเดิม" และเราไม่สามารถเปลี่ยนรูปแบบของกล้ามเนื้อได้ - เป็นที่ชัดเจนว่าทุกคนสามารถสอนเทคนิคการผ่อนคลายได้ แต่ที่นี่มีเพียงการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของความตึงเครียดของกล้ามเนื้อเท่านั้น - รูปแบบนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งหมายความว่าเรายังคงผูกติดอยู่กับ "วงเวลา" ที่เราเคยล้มลง

อันที่จริงแล้ว ทุกอย่างเรียบง่าย - ทุกคนมีจุดประสงค์ของตัวเอง - เป้าหมายที่เขาต้องบรรลุ ไม่ใช่ภายนอก - การเปลี่ยนแปลงในโลกภายนอกไม่สำคัญ หรือไม่ก็เป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงภายในของเรา นี่คือเป้าหมายภายใน - การทำลายองค์ประกอบของ "ร่างกายแห่งกรรม" ซึ่งทอจาก "หลุม" เหล่านั้นที่ผูกมัดเราไว้กับโลกทุกวัน "ภาพยนตร์" ที่เราควรจะเล่นบทหลักมักจะจบลงอย่างมีความสุข - ในบทส่งท้าย เราแข็งแกร่งและเป็นอิสระ นี่คือวิธีการเขียนสคริปต์ที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ แต่มีผู้ที่สามารถทำอย่างอื่นได้ - สร้าง "ไทม์ลูป" ที่เชื่อมโยงเรากับ "เฟรม" เดียวกัน ตามความหมายที่แท้จริงของคำนี้ - ใน "วนซ้ำ" นี้ อนาคตคือการทำซ้ำของอดีต ปัจจุบันไม่มีอยู่จริง และเวลาเองก็กลายเป็นภาพลวงตา - จำไว้ว่าวันและสัปดาห์ที่มีชีวิตอยู่มารวมกันได้อย่างไร - ราวกับว่าพวกเขาทำ ไม่มีอยู่ "ลูป" นั้นอาจมีขนาดแตกต่างกัน ซึ่งกำหนดโดยปริมาณพลังของเรา สำหรับบางคน มันคือ "วันเดียว" จริงๆ สำหรับบางคน เส้นผ่านศูนย์กลางของ "ลูป" อาจใหญ่กว่านี้ได้มาก - มีคนที่ตั้งเป้าหมายที่ห่างไกลและบรรลุเป้าหมายนั้นจริงๆ แต่พวกเขาไม่เคยไปถึง "จุดจบของหนัง" ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่แม้แต่จะเคลื่อนไปในทิศทางของ "จุดจบ" นี้ด้วยซ้ำ มีเกณฑ์ที่ชัดเจน - หากเราเชื่อมต่อกับ "ภาพยนตร์ของเรา" นั่นคือเราเคลื่อนไปตามรูปแบบชีวิตของเราเอง เราก็จะแข็งแกร่งขึ้นด้วย "ตอน" ที่ผ่านไปแต่ละตอน และถ้าเรา "แก่ขึ้น" เราก็เพียง "วิ่งเป็นวงกลม" ตาม "วงเวลา" โดยให้พลังงานแก่ผู้ที่อยู่ในศูนย์กลาง ทุกคนแก่เฒ่าและตาย อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่เราคิด นั่นหมายความว่าทุกคนอยู่ใน "วงเวลา" ที่สร้างโลกแห่งชีวิตประจำวันที่เราสามารถเข้าถึงได้ โลกที่ไม่มีอยู่จริง - นั่นคือสาเหตุที่ปัญหาของ "การเร่ร่อน" เกิดขึ้น เราสามารถพูดได้ว่าเราอยู่ใน "กระจกมองทะลุ" ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถูกขนส่ง ไม่เพียงแต่ไปยังอีกโลกหนึ่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงที่ที่เราสัมผัสด้วยจริงๆ ด้วย และมันก็เป็นกลไกที่เราพูดถึงตอนต้นของรายชื่อส่งเมลนี้ที่ทำให้เราอยู่ในนั้น บุคคลไม่สามารถดำดิ่งลงไปในพื้นที่ของ "ภาพ" ที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ได้อย่างสมบูรณ์ เขาไม่สามารถอยู่ราวกับว่าเขากำลัง "เดินไปตามถนนบนภูเขา" - ความคิดของเขามักจะห่างไกลจากการกระทำของเขา ดังนั้นรูปแบบกล้ามเนื้อของเขาจึงไม่สอดคล้องกัน ด้วยช่องว่าง "รูปภาพ" นี้ จำไว้ว่าความรู้สึกที่หมกมุ่นอยู่กับสถานการณ์นั้นเกิดขึ้นได้น้อยมากเพียงใด และมันหายไปเร็วเพียงใด แต่เขาไม่สามารถแยกตัวออกจากพื้นที่นี้ได้อย่างสมบูรณ์ - ใช้ชีวิตราวกับว่าเขากำลัง "เดินไปตามถนนกว้าง" เราถูกฝึกมาว่าอย่าไว้ใจโลกและให้กลัวโลก เราจึงไม่สามารถ "ผ่อนคลาย" ได้อย่างสมบูรณ์ ปลดปล่อยตัวเราจาก "รูปแบบกล้ามเนื้อ" ที่เชื่อมโยงเรากับพื้นที่ที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเห็น "ภาพยนตร์" ของเราเอง อดีตและอนาคตของเรา นั่นคือ แบบแผนแห่งชีวิตทั้งหมดของเรา ดังนั้น ความคิดและการกระทำของเราจึงกลายเป็นไปโดยอัตโนมัติ - เมื่อเราทำอะไรที่เป็นนิสัย จิตสำนึกของเรามักจะอยู่ข้างสนาม ซึ่งช่วยให้เราไม่สังเกตเห็นการกระทำทั้งหมดของเราที่ซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ และเมื่อเราจัดการกับการกระทำได้เริ่มตระหนักว่าเรากำลังทำอะไรอยู่กระแสแห่งความคิดจะไม่ได้ยินและเราไม่สังเกตว่าความคิดของเรากลายเป็น "วงแหวนแห่งสติ" ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้จบ - ฟังตัวเอง ท้ายที่สุดเรา "คิด" เกี่ยวกับสิ่งเดียวกันจริงๆ นี่เป็นผลมาจากการอยู่ใน "ไทม์ลูป" และกลไกที่เชื่อมโยงเราเข้ากับมัน นี่คือลำดับของสิ่งต่าง ๆ - คำถามคือสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร

เทคนิค

อย่างแรกเลย คุณควรเข้าใจสิ่งสำคัญ - การออกจาก "ไทม์ลูป" ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้เท่านั้น แต่ยังให้อะไรอีกมากมาย โอกาสที่จะได้สัมผัสกองกำลังที่อยู่นอกโลกนี้ - พลังแห่งเวทมนตร์และเวทมนตร์ ไม่จำเป็นต้องใช้ "คาถา" หรือ "ไม้เท้าวิเศษ" - พลังแห่งเวทมนตร์จะตื่นขึ้นเองเมื่อดำดิ่งลงไปในพื้นที่ของ "ภาพ" ที่เกี่ยวข้อง จำเทคนิคการทำสมาธิที่เป็นที่รู้จักอย่างน้อยอย่างน้อย - การจดจ่อกับวัตถุอย่างเต็มที่ไม่เพียง แต่ช่วยให้คุณเห็นตามที่เป็นอยู่ แต่ยังช่วยให้คุณเปลี่ยนหรือสร้างวัตถุใหม่ มีตัวอย่างมากมายของ "การทำให้เป็นรูปเป็นร่าง" ของภาพของจิตสำนึก - สำหรับสิ่งนี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะเน้นไปที่ภาพบางภาพทุกวันเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง - ในหนึ่งเดือนเราจะมองเห็นไม่เพียง แต่โดยผู้คนรอบตัวเราด้วย ทุกอย่างสามารถทำได้เร็วขึ้น - จำ "สัตว์ประหลาด" ที่เรากลัวในวัยเด็ก - ในแง่หนึ่งนี่คือผลของการสร้างของเราเช่นกัน แน่นอนว่ามีผู้ที่ "อาศัยอยู่ในความมืด" แต่เส้นทางเปิดจากด้านนี้เสมอ - มีเพียงเราเท่านั้นที่สามารถสร้างบางสิ่งที่ผู้อาศัยอยู่ที่นั่นสามารถเป็นตัวเป็นตนได้ และเนื่องจากเราถูกแยกออกจากพลังของเรา มันง่ายกว่ามากสำหรับเราที่จะสร้างสิ่งที่ "น่ากลัว" กว่าสิ่งที่เราต้องการ นั่นคือเหตุผลที่เรากลัวพลังแห่งเวทมนตร์ของเรา เราสามารถพูดแบบนี้ได้ - ในขณะที่เราอยู่ใน "วงเวลา" เรามักจะอ่อนแอเกินไปสำหรับพลังนี้และกลายเป็นศัตรูกับเรา ในระดับหนึ่ง ผู้คนรู้เรื่องนี้และสัมผัสของเวทมนตร์ทำให้พวกเขาหวาดกลัว แม้แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามเส้นทางนี้ เชื่อกันว่าเมื่อเข้าสู่โลกนี้ คนๆ หนึ่งจะพบกับสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวที่สุดที่ต้องพ่ายแพ้เพื่อที่จะไปต่อ - สู่ "โลกที่ใจดี" พร้อมที่จะเติมเต็มความปรารถนาทั้งหมดของเรา เป็นเช่นนั้น แต่เพียงเพราะเราคุ้นเคยกับการ "ทำสิ่งเลวร้าย" เมื่อสัมผัสกับพลังแห่งเวทมนตร์ นี่เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์หลักที่ทำให้เราอยู่ใน "วงเวลา" และเป็นการยากมากที่จะเอาชนะการต่อต้านของเขา ตราบใดที่เราอยู่ในวงจรนี้ ถ้าเราทิ้งมันไว้ โลกของก็อบลินและโทรลล์ชั่วร้ายจะกลายเป็นโลกของนางฟ้าและเอลฟ์ แต่ไม่มีใครเคยเห็นนางฟ้าดีๆ อยู่ใต้เตียงของเราในวัยเด็ก - มักจะมีบางสิ่งที่ทำให้เราตกใจได้เสมอ ดังนั้นเราจึงไม่ชอบการสัมผัสกับความเป็นจริงใด ๆ ดังนั้นเราจึงชอบการหมุนรอบไม่รู้จบในวงกลมเพื่อก้าวไปข้างหน้า

เกือบจะเหมือนกันกับ Power of Magic ซึ่งช่วยให้เราเชื่อมต่อกับ Patterns - กับ "ภาพยนตร์" ที่เรามีบทบาท เพื่อควบคุมพลังนี้ เราต้องสามารถชม "ภาพยนตร์" ได้จนจบ - อย่างน้อยก็ในระดับจิตใต้สำนึก และในมุมมองปกติของผู้คน "ภาพยนตร์" มักจะจบลงด้วยสิ่งเดียวกัน - หลุมศพในสุสาน อันที่จริงตอนจบอาจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่สิ่งที่ทำให้เรากลัวที่สุด - และที่สำคัญที่สุดคือผู้คนกลัวความตาย - กลายเป็นเรื่องจริงสำหรับเรา ดังนั้น การสัมผัสใดๆ ต่อพลังแห่งเวทมนตร์จะถูกปิดกั้นโดยวิญญาณแห่ง "หลุมศพ" ซึ่งจะหยุดการเชื่อมต่อกับพลังนี้ในทันที พลังนั้นยังคงอยู่และยังคงทำงานต่อไปตามสถานการณ์ที่เราวางไว้ - ดังนั้นผู้คนจึงมีอายุและตายเร็วกว่า "เงื่อนไขทางชีวภาพ" ที่วัดโดยพวกเขามาก มีรูปแบบที่ชัดเจน - ผู้ที่เชื่อในเวทมนตร์อย่างน้อยเพียงเล็กน้อยสามารถสัมผัสได้ถึง "โลกแห่งเวทมนตร์" ได้นานกว่าคนอื่นๆ "นักปฏิบัตินิยม" เสียชีวิตเร็วกว่ามาก - ไม่ว่าพวกเขาจะทุ่มเทกับการดูแลสุขภาพมากแค่ไหนก็ตาม นั่นคือทุกอย่างง่ายมาก - เพื่อควบคุมพลังแห่งเวทมนตร์ คุณต้องหยุดกลัวความตาย และสามารถทำได้ในวิธีเดียว - ให้รู้สึกเหมือนเป็นอมตะ การครอบครองพลังนี้เป็นเอกสิทธิ์ของอมตะ ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยใครก็ตาม

นี่เป็นเงื่อนไขทั่วไป - เป็นที่ชัดเจนว่าเราไม่สามารถหยุด "กลัว" และรู้สึกเป็นอมตะได้ในทันที - ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่นี่เรากำลังพูดถึงการเปลี่ยนรูปร่างของ "รังไหม" และออกจาก "วงเวลา" ” นี่เป็นงานที่ใหญ่มากที่ต้องคำนึงถึง แต่ไม่คุ้มค่าที่จะลองแก้ไขในทันที สำหรับตอนนี้ เป็นการเหมาะสมที่จะจำกัดตัวเราให้ใช้เทคนิคง่ายๆ ที่สามารถระบุทิศทางที่ถูกต้องของเส้นทางได้ และในขณะเดียวกันก็แก้ปัญหาในทางปฏิบัติบางอย่าง

ที่นี่เราจะพิจารณาพลังแห่งเวทมนตร์ - ความลับก็คือมันถูกแยกออกจากจิตสำนึกของเราเท่านั้น เป็นที่ชัดเจนว่าจิตสำนึกเชื่อมโยงกับร่างกาย - ในขณะที่เราอยู่ในนั้น พลังแห่งเวทมนตร์ก็แยกออกจากมันเช่นกัน แต่เรามีโอกาสที่จะสร้าง "พลังงานสองเท่า" ที่สามารถเชื่อมต่อกับพลังนี้ได้อย่างง่ายดาย รับโพลเตอจิสต์ - ในกรณีส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับบุคคลหนึ่งคนนั่นคือทุกอย่างเกิดขึ้นต่อหน้าบุคคลนี้เท่านั้น ด้วยเหตุผลประการหนึ่ง - เมื่อชายคนนี้กลัวจนกล้ามเนื้อของเขากลายเป็นรูปร่างที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ - ในช่วงเวลาที่อันตรายถึงตาย ผู้คนที่แท้จริงจะดีขึ้น จากนั้นกล้ามเนื้อจะผ่อนคลาย แต่รูปแบบที่สร้างขึ้นได้รับการเก็บรักษาไว้ในรูปแบบที่กระฉับกระเฉงในรูปแบบของ "สองเท่า" ที่มองไม่เห็น และ "การทำลายล้าง" ของมันเชื่อมโยงกับการปฏิเสธ "ผู้สร้าง" เท่านั้นที่จะรับรู้ถึงความเป็นเครือญาติ - "คู่" นี้เพียงต้องการดึงความสนใจมาที่ตัวเอง แต่เมื่อพวกเขาเริ่มกลัวเขา เขาก็ทำตามแบบที่กำหนดให้เขาอย่างเชื่อฟังและกลายเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ

เห็นได้ชัดว่าเป็นการยากที่จะทำให้ตกใจมากเกินไป - เราใช้เทคนิคที่แตกต่าง - เทคนิคของความตึงเครียดของกล้ามเนื้อสูงสุด ง่ายๆ เช่น ดันตัวขึ้นจากพื้น และรักษาตำแหน่งบน "แขนที่เหยียดออก" ตราบเท่าที่คุณมีกำลังเพียงพอ และเมื่อคุณไม่มีกำลังเพียงพอ ให้อดทนต่อไปอีกหน่อย จุดสุดท้ายมีความสำคัญมาก - ที่นี่เราจะนับการกระทำที่เราทำ "ด้วยกำลัง" เฉพาะการกระทำดังกล่าวเท่านั้นที่จะสัมผัสกับพลังแห่งการสร้างสรรค์ของเรา - นั่นคือวิธีเดียวที่จะสร้าง "สองเท่า"

เมื่อมือของคุณปฏิเสธที่จะจับร่างกายและคุณเริ่มล้มลงกับพื้น ให้พูดชื่อ ซึ่งคุณต้องคิดล่วงหน้า อาจเกี่ยวข้องกับชื่อของคุณ อาจเป็นชื่อเล่นที่คุณเคยชอบ "ชื่อเล่น" ของคุณ และอื่นๆ สิ่งสำคัญคือ NAME นี้ควรเป็นตัวตนของ Power สำหรับคุณ และคุณต้องออกเสียงในช่วงเวลาของการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ - เพื่อให้เข้ากับมันได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น NAME ไม่ควรยาว ในทางทฤษฎี คุณไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์มันขึ้นมา - หากคุณปรับให้ถูกทาง NAME จะเกิดขึ้นเอง - ในพวกเราหลายคนมีความทรงจำเกี่ยวกับเทคนิคนี้ แต่คุณไม่ควรไว้ใจมันมากเกินไป ความทรงจำอยู่ไกลจากเราเกินไป ดังนั้น คุณสามารถลองใช้ "การออกเสียงโดยธรรมชาติ" ของ NAME ได้หนึ่งครั้ง แต่ถ้าไม่มีเสียง คุณควรคิดหา NAME ล่วงหน้า

เป็นการดีกว่าที่จะออกเสียง NAME ในขณะที่หลับตา แล้วค่อยๆเปิดออกและมองหน้าคุณ หากคุณอยู่ในความมืดมิด คุณเกือบจะเห็นร่างผีอยู่ตรงหน้าคุณอย่างแน่นอน - นี่คือสองเท่าที่คุณสร้างขึ้น คุณสามารถมองเห็นได้ในแสง เฉพาะที่นี่วิสัยทัศน์จะไม่ชัดเจน แต่ในกรณีใด ๆ อ้างถึงเขาด้วย NAME และอธิบายสิ่งสำคัญ - คุณสร้างเขาเพื่อเดินทางไปทั่วโลกว่าเขาเป็นพันธมิตรของคุณและคุณเป็นพันธมิตรของเขาและคุณจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันตลอดเวลา ของการกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง นี่เป็นประเด็นที่สำคัญมาก - ต้องสร้างการติดต่อภายในไม่กี่วินาทีหลังจากการสร้าง มิฉะนั้นกองกำลังอื่นจะเข้าควบคุมเนื้อคู่ของคุณ แต่ในช่วงเวลานี้ มีเพียงคุณเท่านั้นที่สามารถพูดคุยกับเขา และเขาจะเชื่อฟังคุณอย่างแน่นอน

ฉันจะไม่พูดถึงเพิ่มเติม - ประการแรกเพราะทุกอย่างชัดเจนแล้ว - คุณสอน "สองเท่า" เพื่อใช้พลังแห่งเวทมนตร์ ให้คำแนะนำ ฟังคำแนะนำและคำขอของเขาและอื่น ๆ ประการที่สอง เนื่องจากมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถสร้าง "คู่" ที่แท้จริงซึ่งสามารถทำลายอาคารหลายชั้นได้ ในกรณีอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ "ข้อควรระวังเพื่อความปลอดภัย" นอกจากนี้ ความรู้นี้อาจรบกวนคุณด้วยซ้ำ แต่ถ้าคุณพบสิ่งที่ทำลายล้างจริง ๆ - เขียนแล้วเราจะแก้ปัญหา และถ้าไม่ใช่ - แค่สนุกและเพิ่ม "สองเท่า" ต่อไป - เรายังต้องการมัน)

ขอให้โชคดี!ข. เสิร์ฟ

Victor Yakovlev 09/29/2013 01:36 (ลิงค์) นี่คือสแปม

Re: วงเวลา

ขอบคุณมากที่น่าสนใจและถูกต้อง - ความเป็นอมตะสามารถสัมผัสได้ แต่ไม่เพียง แต่ความเป็นอมตะ แต่ยังรวมถึงนิรันดรด้วย - พลังงานนี้สัมผัสได้ทางร่างกาย และคุณจะต้องวางแผนอนาคตของคุณ - อยู่ในนั้นตอนนี้และที่นี่ ละทิ้งเวลาและความตาย ลอง เพื่อวางแผนชีวิตของคุณในสหัสวรรษแรก เกี่ยวกับภาพ - คุณต้องเรียนรู้ที่จะมองจากภายนอกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับอำนาจ - ไม่มีอำนาจ - มีความรักและแสง - แล้วมีมา - แรงบันดาลใจและ ความก้าวหน้าของคุณดำเนินต่อไป หากความมืดไม่มีความคืบหน้าและคุณหยุดนิ่ง . - มนุษย์มอบให้ - สร้างเหมือนพระเจ้า เราต้องเริ่มต้นด้วยสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยความเข้าใจในอาหาร นอนหลับ วิถีชีวิตผ่านการคิดกวี -นี่คือวิธีที่ปู่ย่าตายายของเราฝึกฝน ควบคุมสภาพอากาศ ธรรมชาติและจัดการจักรวาลต่อไป สร้างโลกของเราและก้าวต่อไปสู่ความไม่มีที่สิ้นสุด ฉันต้องพูดเรื่องพลัง -เนื่องจากแนวคิดเรื่องพลังนั้นสะดวกกว่าสำหรับคุณ - มนุษย์มี ปาฏิหาริย์สำหรับทุกท่านที่เข้าใจปาฏิหาริย์นี้มาพร้อมกับประสบการณ์เมื่อมนุษย์สร้าง แล้วพลังของเขาก็จะไม่ลดลง แต่ในทางกลับกัน มันเพิ่มขึ้น - สองเท่า และคุณต้องการสร้างให้ดียิ่งขึ้นและดียิ่งขึ้นกว่าเดิม มีแน่นอน อมตะ แต่สิ่งที่พวกเขาทำ ในความคิดของฉันไม่ถูกต้อง แต่คุณทำทุกอย่างถูกต้อง