M. Gorbachev เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม "... สำหรับฉันแล้วดูเหมือนว่าถึงเวลาที่จะขจัดรัศมีของความศักดิ์สิทธิ์ความพลีชีพและความยิ่งใหญ่บางอย่างออกจากร่างของกอร์บาชอฟ นี่คือพรรคพวกธรรมดาๆ ที่ตกลงไปในประวัติศาสตร์และมีส่วนทำให้การล่มสลายของรัฐโซเวียตขนาดใหญ่

เนื้อหาของบทความ

วรรณคดีละตินอเมริกา- วรรณกรรมของชาวละตินอเมริกาซึ่งมีเส้นทางประวัติศาสตร์ร่วมกัน (การล่าอาณานิคมหลังจากการรุกรานของชาวยุโรปและการปลดปล่อยส่วนใหญ่หลังจากการโค่นล้มอาณานิคมในศตวรรษที่ 19) และลักษณะทั่วไปของชีวิตทางสังคม ประเทศในละตินอเมริกาส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นภาษากลางเช่นกัน - ภาษาสเปนและด้วยเหตุนี้อิทธิพลของมรดกทางวัฒนธรรมของสเปน นอกจากนี้ อิทธิพลของโปรตุเกสบางส่วน เช่นในบราซิล และฝรั่งเศส เช่นเดียวกับในเฮติ ซึ่งส่งผลต่อภาษาด้วยเช่นกัน ความซับซ้อนของกระบวนการทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในละตินอเมริกานั้นอยู่ในความยากลำบากในการระบุตนเองของทั้งชนชาติและภูมิภาคโดยรวม

ประเพณีของชาวยุโรป - คริสเตียนนำโดยผู้พิชิตในละตินอเมริกาได้สัมผัสกับวัฒนธรรมแบบอัตโนมัต ในเวลาเดียวกัน มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างวรรณกรรมที่นำมาจากสเปนและศิลปะพื้นบ้าน ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ พงศาวดารของการค้นพบโลกใหม่และการพิชิต ตลอดจนพงศาวดารครีโอลของศตวรรษที่ 17 ได้ทำหน้าที่เป็นมหากาพย์สำหรับวรรณคดีละตินอเมริกา

วรรณกรรมของยุคพรีโคลัมเบียน

วัฒนธรรมของผู้คนในอเมริกายุคพรีโคลัมเบียน อันเนื่องมาจากระดับการพัฒนาที่ต่างกัน จึงไม่ต่างกันมาก หากผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบแคริบเบียนและภูมิภาคอเมซอนไม่มีภาษาเขียนและมีเพียงประเพณีปากเปล่าของพวกเขาเท่านั้นที่รอดชีวิต อารยธรรมที่พัฒนาอย่างสูงของชาวอินคา มายา และแอซเท็กได้ทิ้งอนุสาวรีย์ที่เขียนไว้ซึ่งมีความหลากหลายในประเภท เหล่านี้เป็นมหากาพย์ในตำนานและประวัติศาสตร์ งานกวีในรูปแบบของความกล้าหาญทางทหาร เนื้อเพลงปรัชญาและความรัก งานละคร และเรื่องเล่าร้อยแก้ว

ในบรรดาผลงานมหากาพย์ที่สร้างขึ้นโดยชาวแอซเท็ก มหากาพย์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้บางส่วนเกี่ยวกับฮีโร่ทางวัฒนธรรม Quetzalcoatl ผู้สร้างผู้คนและให้ข้าวโพดแก่พวกเขา โดดเด่น ในเศษชิ้นส่วน Quetzalcoatl ลงไปในดินแดนแห่งความตายเพื่อรับกระดูกของคนตายซึ่งคนรุ่นใหม่ควรเติบโต นอกจากนี้ ผลงานกวีนิพนธ์ของชาวแอซเท็กจำนวนมากยังมีชีวิตรอด ได้แก่ บทกวีเพลงสรรเสริญและกวีนิพนธ์ โดดเด่นด้วยโครงเรื่องต่างๆ ซึ่งโดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดี (จากัวร์ - กลางคืน, นกอินทรี - ดวงอาทิตย์, ขนนกเควตซัล (นกพิราบ) - มั่งคั่งและสวยงาม) งานเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ระบุชื่อ

วรรณกรรมหลายชิ้นของชาวมายายังคงมีชีวิตรอดในบันทึกของศตวรรษที่ 16 และ 17 ซึ่งสร้างด้วยอักษรละติน ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือพงศาวดารประวัติศาสตร์ พงศาวดารของ kakchikeli, หนังสือศักดิ์สิทธิ์ ชิลัม บาลามและชิ้นมหากาพย์ Popol-Vuh.

พงศาวดารของ kakchikeli- พงศาวดารประวัติศาสตร์ของภูเขามายาซึ่งเป็นงานร้อยแก้วซึ่งส่วนแรกเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชนเผ่า Kakchikel และ Quiche ก่อนการพิชิตสเปน ส่วนที่สองกล่าวถึงการมาถึงของชาวสเปนในประเทศและการพิชิตดินแดน ประเทศ.

Popol-Vuh (หนังสือของประชาชน) เป็นผลงานมหากาพย์ที่เขียนขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1550 ถึง ค.ศ. 1555 โดยมีร้อยแก้วเป็นจังหวะในภาษาของมายา กิเช กัวเตมาลา Popol-Vuhสร้างขึ้นโดยนักเขียนชาวอินเดียที่ต้องการยกย่องคุณสมบัติที่ดีที่สุดของประชาชน - ความกล้าหาญ, ความกล้าหาญ, ความภักดีต่อผลประโยชน์ของผู้คน ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการพิชิต โดยจงใจจำกัดการเล่าเรื่องให้อยู่ในโลกของอินเดียและโลกทัศน์ หนังสือเล่มนี้มีตำนานเกี่ยวกับจักรวาลโบราณเกี่ยวกับการสร้างโลกและการกระทำของเหล่าทวยเทพ ตำนานในตำนานและประวัติศาสตร์ของชาว Quiché - ต้นกำเนิดของพวกเขาการชนกับคนอื่น ๆ เรื่องเล่าเกี่ยวกับการเร่ร่อนที่ยาวนานและการสร้างสถานะของตนเองและร่องรอย พงศาวดารของรัชสมัยของกษัตริย์ Quiché จนถึงปี 1550 หนังสือต้นฉบับถูกค้นพบในศตวรรษที่ 18 โดยนักบวชโดมินิกัน ฟรานซิสโก จิเมเนซ ในเขตภูเขาของกัวเตมาลา เขาคัดลอกข้อความของชาวมายันและแปลเป็นภาษาสเปน ต่อมาของเดิมก็หาย หนังสือ Popol-Vuhมีความสำคัญมากสำหรับการระบุตนเองของชนชาติละตินอเมริกา ตัวอย่างเช่น โดยการยอมรับของเขาเอง งานเกี่ยวกับการแปล โปปอล-วูคาเปลี่ยนมุมมองโลกทัศน์ของนักเขียนคนสำคัญในอนาคตอย่าง Miguel Angel Asturias โดยสิ้นเชิง

หนังสือ ชิลัม บาลาม(หนังสือ ศาสดาจากัวร์) - เขียนเป็นภาษาละตินในศตวรรษที่ 17 และ 18 หนังสือของ Yucatan Maya นี่เป็นคอลเล็กชั่นคำทำนายมากมาย ซึ่งเขียนขึ้นเป็นพิเศษด้วยภาษาที่คลุมเครือ เต็มไปด้วยภาพในตำนาน การทำนายจะทำในระยะเวลายี่สิบปี (กะทูน) และประจำปี (ปลาทูน่า) หนังสือเหล่านี้ใช้ทำนายเหตุการณ์ในวันนั้น เช่นเดียวกับชะตากรรมของทารกแรกเกิด ตำราคำทำนายสลับกับตำราโหราศาสตร์และตำนาน ตำรับยา คำอธิบายพิธีกรรมของชาวมายาโบราณและพงศาวดารทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่การปรากฏตัวของชนเผ่าอิตซาในยูคาทาน (ศตวรรษที่ 10 - 11) จนถึงยุคอาณานิคมตอนต้น ชิ้นส่วนบางชิ้นเขียนด้วยอักษรละตินของหนังสืออักษรอียิปต์โบราณ ปัจจุบันรู้จัก 18 เล่ม ชิลัม บาลาม.

งานกวีของชาวมายาแทบจะไม่รอด แม้ว่างานดังกล่าวจะมีอยู่ก่อนการพิชิตอย่างไม่ต้องสงสัย กวีนิพนธ์ของชาวมายาสามารถตัดสินได้จากการรวบรวมอาบัมในศตวรรษที่ 18 ของสะสม หนังสือเพลงจาก Zitbalche... มีทั้งบทเพลงแห่งความรักและบทเพลงแห่งลัทธิ - เพลงสรรเสริญเทพเจ้าต่างๆ เพลงสรรเสริญพระอาทิตย์ขึ้น

พงศาวดารทางประวัติศาสตร์และงานมหากาพย์ของชาวอินคายังไม่รอดมาจนถึงสมัยของเรา แต่ตัวอย่างมากมายของความคิดสร้างสรรค์ทางกวีของคนเหล่านี้รอดชีวิตมาได้ เหล่านี้รวมถึงเพลงสวด Halia และ Halia ที่แสดงในพิธีกรรมต่างๆ การร้องเพลงของขุนศึก Inca ต่อเหล่าทวยเทพ นอกจากนี้ ในหมู่ชาวอินคายังมีเพลงรัก "aravi" และเพลง "huanca" ที่สง่างามซึ่งร้องในระหว่างพิธีไว้ทุกข์

วรรณกรรมแห่งยุคพิชิต (1492-1600)

มันคือโคลัมบัสที่เป็นเจ้าของคำพูดซึ่งนักประวัติศาสตร์ละตินอเมริกาพูดซ้ำหลายครั้งและต่อมาได้กลายเป็นผู้กำหนดวรรณกรรมละตินอเมริกาในศตวรรษที่ 20 ผู้ซึ่งพยายามมองประวัติศาสตร์และชีวิตของละตินอเมริกาใหม่ . โคลัมบัสกล่าวว่าสำหรับ "สิ่งของ" ที่เขาพบใน "อินเดีย" เขาหาชื่อไม่เจอ ไม่มีอะไรแบบนี้ในยุโรป

นอกจากนี้ยังเป็นลักษณะที่ในบรรดาวีรบุรุษของนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ "ใหม่" ซึ่งเป็นหนึ่งในวรรณกรรมละตินอเมริกาชั้นนำในช่วงทศวรรษ 1980 และ 90 ซึ่งการทบทวนประวัติศาสตร์ของทวีปนั้นเป็นลักษณะเฉพาะ โคลัมบัสที่ครอบครอง สถานที่ที่สำคัญ ( สุนัขในสวรรค์ก. กองทหาร อาการนอนไม่หลับของพลเรือเอก Roa Bastos) แต่เรื่องแรกในซีรีส์เป็นเรื่องราวของ เอ. คาร์เพนเทียร์ ที่คาดการณ์แนวนี้ไว้ พิณและเงา.

ในงานของนักภาษาศาสตร์ นักชาติพันธุ์วิทยา นักประวัติศาสตร์และนักศาสนศาสตร์ Bernardino de Sahaguna (1550-1590) ประวัติศาสตร์ทั่วไปของสิ่งต่าง ๆ ในสเปนใหม่(ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2372-2474) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเทพนิยาย โหราศาสตร์ วันหยุดทางศาสนา และประเพณีของชาวอินเดียอย่างชัดเจนและแม่นยำ เล่าถึงโครงสร้างของรัฐ ให้ความสนใจสัตว์ท้องถิ่น พืช และแร่ธาตุตลอดจนประวัติการพิชิต .

นักประวัติศาสตร์ชาวสเปนและนักบวชโดมินิกัน Bartolomé de Las Casas (1474-1566) ก็คุ้นเคยเป็นอย่างดีกับประวัติศาสตร์ของการพัฒนาดินแดนใหม่จากประสบการณ์ของเขาเอง - ในฐานะอนุศาสนาจารย์ของการปลดผู้พิชิต Diego Velazquez de Cuellar เขาได้เข้าร่วม การพิชิตคิวบา เพื่อเป็นรางวัลสำหรับการเข้าร่วมการสำรวจครั้งนี้ เขาได้รับ ecomienda ซึ่งเป็นที่ดินขนาดใหญ่พร้อมกับผู้อยู่อาศัย ในไม่ช้าเขาก็เริ่มประกาศในหมู่ชาวอินเดียนแดงที่อาศัยอยู่ที่นั่น ประวัติขอโทษของชาวอินเดียซึ่งเขาเริ่มในปี ค.ศ. 1527 (ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1909) ข้อความที่สั้นที่สุดเกี่ยวกับการทำลายล้างของชาวอินเดีย(1552) และงานหลักของเขา ประวัติศาสตร์อินเดีย(ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2418-2419) - เป็นผลงานที่บอกเล่าประวัติความเป็นมาของการพิชิตและผู้เขียนยืนอยู่ข้างชาวอินเดียนแดงที่ถูกกดขี่และอับอายอย่างสม่ำเสมอ ความเฉียบแหลมและการจัดหมวดหมู่ของการตัดสินนั้นเป็นไปตามคำสั่งของผู้เขียน เรื่องอินเดียไม่ควรเผยแพร่จนกว่าเขาจะเสียชีวิต

Bartolomé de Las Casas อาศัยความประทับใจของตัวเอง แต่ใช้แหล่งข้อมูลอื่นในงานของเขา ไม่ว่าจะเป็นเอกสารจดหมายเหตุหรือคำให้การของผู้เข้าร่วมในเหตุการณ์ ทั้งหมดนี้ใช้เพื่อพิสูจน์ว่าการพิชิตเป็นการละเมิดทั้งกฎหมายของมนุษย์และพระเจ้า สถานประกอบการจึงต้องยุติทันที ในเวลาเดียวกัน ผู้เขียนนำเสนอประวัติศาสตร์ของการพิชิตอเมริกาในฐานะการพิชิตและการทำลายล้างของ "สวรรค์บนดิน" (ภาพนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อแนวคิดทางศิลปะและประวัติศาสตร์ของนักเขียนชาวละตินอเมริกาบางคนในศตวรรษที่ 20) ไม่เพียงแค่ผลงานของ Bartolomé de Las Casas (เป็นที่รู้กันว่าเขาสร้างผลงานที่แตกต่างกันมากกว่าแปดโหล) แต่การกระทำของเขายังสดใสและมีลักษณะเฉพาะอีกด้วย ทัศนคติของเขาต่อชาวอินเดียนแดง (เขาปฏิเสธ ecomienda) การต่อสู้เพื่อสิทธิของพวกเขาในที่สุดก็ทำให้เขาได้รับตำแหน่ง "ผู้อุปถัมภ์ของชาวอินเดียนแดงทั้งหมด" นอกจากนี้ เขายังเป็นคนแรกในทวีปอเมริกาที่ถือศีลอด แม้จะมีข้อเท็จจริงว่าผลงานชิ้นสำคัญของเดอลาสคาซัสในศตวรรษที่ 19 ไม่ค่อยมีใครรู้จัก จดหมายของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อไซมอน โบลิวาร์ และนักสู้คนอื่นๆ เพื่อเอกราชของเม็กซิโก

สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ "รายงาน" ห้าฉบับที่ส่งโดยผู้พิชิต Fernand Cortes (1485-1547) ถึงจักรพรรดิชาร์ลส์ที่ 5 รายงานแปลกประหลาดเหล่านี้ (จดหมายฉบับแรกหายไป สามฉบับตีพิมพ์ในปี 1520 ฉบับสุดท้ายในปี พ.ศ. 2385) เล่าถึงสิ่งที่เขา เห็นระหว่างการพิชิตเม็กซิโกกลาง เกี่ยวกับการยึดดินแดนใกล้กับเมืองหลวงของรัฐแอซเท็ก เตนอชติตลัน และการรณรงค์ไปยังฮอนดูรัส ในเอกสารเหล่านี้ สามารถมองเห็นอิทธิพลของความรักแบบอัศวินได้ (การกระทำของผู้พิชิตและลักษณะทางศีลธรรมของพวกเขาถูกนำเสนอเป็นการกระทำของอัศวินด้วยรหัสอัศวิน) ในขณะที่ผู้เขียนถือว่าอินเดียนแดงที่พิชิตเป็นเด็กที่ต้องการการอุปถัมภ์และการคุ้มครอง ซึ่งในความเห็นของเขา มีเพียงรัฐที่เข้มแข็งซึ่งนำโดยผู้ปกครองในอุดมคติเท่านั้น) ส่งนักเขียนชาวลาตินอเมริกาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งโดดเด่นด้วยคุณค่าทางวรรณกรรมสูงและรายละเอียดที่แสดงออกถึงคุณค่าทางวรรณกรรมอันสูงส่งในฐานะแหล่งที่มาของธีมและภาพทางศิลปะ

ค่อนข้างคล้ายกับ "รายงาน" เหล่านี้และ จดหมายถึงกษัตริย์ดอน มานูเอล(1500) จ่าหน้าถึงพระมหากษัตริย์แห่งโปรตุเกส ผู้เขียน Peru Vaz di Caminha ในระหว่างการเดินทางของพลเรือเอก Pedro Alvaris Cabral ผู้ค้นพบบราซิล

Bernal Diaz del Castillo (1495 หรือ 1496-1584) เป็นทหารมาที่เม็กซิโกพร้อมกับ Fernand Cortez และด้วยเหตุนี้ เรื่องจริงของการพิชิตนิวสเปน(1563 ตีพิมพ์ในปี 1632) ยืนกรานในสิทธิที่จะพูดในนามของพยานในเหตุการณ์ ในการโต้เถียงกับประวัติศาสตร์ทางการ เขาเขียนในภาษาพูดง่ายๆ เกี่ยวกับรายละเอียดของการรณรงค์ทางทหาร โดยไม่ประเมินค่า Cortez และผู้ร่วมงานของเขาสูงเกินไป แต่ก็ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์พวกเขาถึงความโหดร้ายและความโลภของพวกเขา เช่นเดียวกับนักเขียนบางคน อย่างไรก็ตาม ชาวอินเดียนแดงก็ไม่ใช่เป้าหมายของอุดมคติของเขาเช่นกัน - ศัตรูที่อันตราย อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้ปราศจากคุณลักษณะเชิงบวกของมนุษย์ในสายตาของนักประวัติศาสตร์ ด้วยความไม่ถูกต้องบางประการในแง่ของชื่อและวันที่ บทความนี้จึงน่าสนใจสำหรับรายละเอียดเฉพาะ ความซับซ้อนของภาพของตัวละคร และในบางคุณลักษณะ (การเล่าเรื่องที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวา) สามารถนำมาเปรียบเทียบกับนวนิยายอัศวินได้

นักประวัติศาสตร์ชาวเปรู Filipe Guaman Poma de Ayala (1526 หรือ 1554-1615) ทิ้งงานเดียว - พงศาวดารใหม่ครั้งแรกและกฎเกณฑ์ที่ดีซึ่งเขาทำงานมาสี่สิบปี ผลงานชิ้นนี้ถูกค้นพบในปี 1908 เท่านั้น โดยนำเสนอข้อความภาษาสเปน แต่กระจายอยู่ในภาษาเกชัว และครึ่งหนึ่งของต้นฉบับที่ครอบคลุมโดยภาพวาดพร้อมลายเซ็น (ตัวอย่างเฉพาะของภาพ) ผู้เขียนคนนี้ซึ่งเป็นชาวอินเดียโดยกำเนิดที่เปลี่ยนมานับถือนิกายโรมันคาทอลิกและใช้เวลาบางส่วนในการให้บริการของสเปนถือว่า Conquista เป็นการกระทำที่เป็นธรรม: ด้วยความพยายามของ Conquistadors ชาวอินเดียได้กลับสู่เส้นทางอันชอบธรรมที่พวกเขาสูญเสียไประหว่างการปกครอง Inca (ควรสังเกตว่าผู้เขียนอยู่ในราชวงศ์ของ Yarovilkov ซึ่งชาวอินคาผลักดันให้เป็นเบื้องหลัง) และการทำให้เป็นคริสต์ศาสนิกชนส่งเสริมการกลับมาดังกล่าว นักประวัติศาสตร์มองว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กับชาวอินเดียนแดงไม่ยุติธรรม พงศาวดาร การผสมผสานในการจัดองค์ประกอบ ซึ่งมีทั้งตำนาน แรงจูงใจเชิงอัตชีวประวัติ ความทรงจำ และข้อความเสียดสี มีแนวคิดเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างทางสังคม

นักประวัติศาสตร์ชาวเปรูอีกคน Inca Garcilaso de la Vega (ค.ศ. 1539 - ค.ศ. 1616) ลูกครึ่ง (แม่ของเขาเป็นเจ้าหญิงอินคา พ่อของเขาเป็นขุนนางชาวสเปนที่เกิดในระดับสูง) ชายที่มีการศึกษาชาวยุโรปที่ยังคงรู้จักประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์เป็นอย่างดี วัฒนธรรมของชาวอินเดียกลายเป็นที่รู้จักในฐานะนักเขียนเรียงความ ข้อคิดเห็นที่แท้จริงที่เล่าถึงต้นกำเนิดของชาวอินคา ผู้ปกครองของเปรู เกี่ยวกับความเชื่อ กฎหมาย และการปกครองของพวกเขาในยามสงครามและยามสงบ เกี่ยวกับชีวิตและชัยชนะของพวกเขา เกี่ยวกับทุกสิ่งที่อาณาจักรและสาธารณรัฐนี้เคยเป็นมาก่อนการมาถึงของ ชาวสเปน(1609) ส่วนที่สองซึ่งจัดพิมพ์ในชื่อ ประวัติศาสตร์ทั่วไปของเปรู(ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1617) ผู้เขียนซึ่งใช้ทั้งเอกสารจดหมายเหตุและเรื่องเล่าปากเปล่าของพระสงฆ์ โดยเชื่อว่าชาวอินเดียและชาวสเปนเท่าเทียมกันต่อหน้าพระเจ้าและประณามความน่าสะพรึงกลัวของการพิชิต ขณะที่เถียงว่า Conquista เองซึ่งนำศาสนาคริสต์มาสู่ประชากรพื้นเมืองคือ พรสำหรับพวกเขาแม้ว่าวัฒนธรรมและประเพณีของชาวอินคายังยกย่องโดยผู้เขียน นักวิจัยบางคนกล่าวว่าองค์ประกอบนี้มีอิทธิพลต่อ T. Campanella, M. Montaigne และผู้รู้แจ้งชาวฝรั่งเศส ในบรรดาผลงานอื่นๆ ของผู้แต่งคนเดียวกัน การแปล บทสนทนาเกี่ยวกับความรัก Leona Ebreo (ตีพิมพ์ในปี 1590) และ ฟลอริดา(ค.ศ. 1605) ผลงานทางประวัติศาสตร์ที่อุทิศให้กับการสำรวจผู้พิชิต Hernando de Soto

ผลงานของนักประวัติศาสตร์บางส่วนอยู่ติดกับงานที่สร้างขึ้นในประเภทของบทกวีมหากาพย์ นี่คือบทกวี อาเราคัน(ส่วนแรกถูกตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1569 ส่วนที่สองในปี ค.ศ. 1578 ส่วนที่สามในปี ค.ศ. 1589) โดยชาวสเปน อลอนโซ เด เออร์ซิลลา อี ซูนิกิ (1533-1594) ซึ่งมีส่วนร่วมในการปราบปรามการลุกฮือของชาวอินเดียนแดงและจากความประทับใจโดยตรงของเขา สร้างงานที่อุทิศให้กับสงครามของชาวสเปนและชาวอินเดียอาเรากัน ตัวอักษรภาษาสเปนใน อาเราคันมีต้นแบบและตั้งชื่อตามชื่อจริงของมัน สิ่งสำคัญคือผู้เขียนต้องเริ่มสร้างบทกวีท่ามกลางเหตุการณ์ต่างๆ ส่วนแรกเริ่มด้วยเศษกระดาษและแม้กระทั่งบนท่อนไม้ ชาวอินเดียของผู้เขียนที่ทำให้พวกเขามีอุดมคตินั้นค่อนข้างชวนให้นึกถึงชาวกรีกและโรมันโบราณนอกจากนี้ (สิ่งนี้แตกต่าง อาเราคานูจากผลงานธีมพิชิตชัย) ชาวอินเดียนแดงได้แสดงตนว่าเป็นคนภาคภูมิใจ เป็นผู้สืบสานวัฒนธรรมชั้นสูง บทกวีดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากและก่อให้เกิดผลงานที่คล้ายคลึงกันจำนวนหนึ่ง

ดังนั้นทหารและต่อมานักบวช Juan de Castellanos (1522-1605 หรือ 1607) ผู้เขียน ความสง่างามเกี่ยวกับชายผู้รุ่งโรจน์ของอินเดีย(ส่วนแรกตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1598 ครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2390 ส่วนที่สามในปี พ.ศ. 2429) ตอนแรกท่านเขียนงานเป็นร้อยแก้ว แต่แล้ว ภายใต้อิทธิพลของ Araucansแปลงเป็นบทกวีที่กล้าหาญที่เขียนด้วยอ็อกเทฟ บทกวีพงศาวดารซึ่งกำหนดชีวประวัติของผู้คนที่มีชื่อเสียงในระหว่างการพิชิตอเมริกา (ในหมู่พวกเขาคริสโตเฟอร์โคลัมบัส) เป็นหนี้วรรณกรรมของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยามาก ความประทับใจของผู้เขียนเองในบทกวีและความจริงที่ว่าเขาคุ้นเคยกับฮีโร่ของเขาหลายคนมีบทบาทสำคัญ

ในการโต้เถียงกับบทกวี อาเราคันบทกวีมหากาพย์ที่สร้างขึ้น เชื่อง Arauco(1596) Creole Pedro de Ony (1570? –1643?) ตัวแทนของวรรณคดีทั้งชิลีและเปรู ผู้เขียนซึ่งเข้าร่วมในการต่อสู้กับชาวอินเดียที่ดื้อรั้น กล่าวถึงพระราชกิจของ Marquis de Canette อุปราชแห่งเปรู ผลงานอื่นๆ ของเขา ควรเรียกว่าพงศาวดารบทกวี แผ่นดินไหวที่ลิมา(1635) และบทกวีทางศาสนา อิกนาเซอุสแห่งกันตาเบรียน(1639) อุทิศให้กับ Ignatius Loyola

บทกวีมหากาพย์โดย Martin del Barco Centenra อาร์เจนตินาและผู้พิชิต Rio de La Plata และเหตุการณ์อื่น ๆ ในอาณาจักรของเปรู Tucuman และรัฐบราซิล(1602) และ Gaspard Perez de Villagra ประวัติศาสตร์นิวเม็กซิโก(1610) น่าสนใจไม่มากเท่าบทกวี แต่เป็นหลักฐานเชิงสารคดี

Bernardo de Balbuena (1562-1627) ชาวสเปนซึ่งถูกนำตัวไปยังเม็กซิโกในวัยเด็ก ต่อมาเป็นอธิการแห่งเปอร์โตริโก มีชื่อเสียงในด้านบทกวีแปดบท ความยิ่งใหญ่ของเม็กซิโกซิตี้(publ. - 1604) ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นแรกในสไตล์ Creole Baroque เมืองที่รุ่งโรจน์และมั่งคั่งถูกนำเสนอเป็นสวรรค์บนดิน ในขณะที่ "อินเดียนแดง" พ่ายแพ้พร้อมกับความงดงามทั้งหมดนี้ จากผลงานที่ยังหลงเหลืออยู่ของผู้เขียนคนนี้ (สูญหายไปมากเมื่อในปี ค.ศ. 1625 ห้องสมุดส่วนตัวของเขาเสียชีวิตจากการโจมตีของชาวดัตช์ในซานโฮเซ่) เราสามารถตั้งชื่อบทกวีที่กล้าหาญและมหัศจรรย์ได้ Bernardo หรือชัยชนะที่ Ronceval(1604) และความโรแมนติกเชิงอภิบาล ยุคทองของ Dr. Bernardo de Balbuena ใน Selva Erifil ซึ่งเขาสร้างรูปแบบการอภิบาลของ Theocritus, Virgil และ Sannazaro อย่างซื่อสัตย์และเลียนแบบอย่างน่ายินดี(1608) ซึ่งรวมบทกวีกับร้อยแก้ว

บทกวีมหากาพย์ Prosopeia(ตีพิมพ์ในปี 1601) โดยกวีชาวบราซิล Bento Teixeira ที่เกี่ยวโยงกับบราซิลซึ่งเขียนขึ้นภายใต้อิทธิพลอันแรงกล้าของบทกวี ลูเซียดส์กวีชาวโปรตุเกส หลุยส์ เดอ กาโมเอส

José di Anchieta (1534-1597) มีชื่อเล่นว่า "อัครสาวกแห่งบราซิล" สำหรับงานมิชชันนารีของเขา เขียนพงศาวดารด้วย อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์วรรณคดี เขายังคงเป็นผู้ก่อตั้งละครลาตินอเมริกา ซึ่งมีบทละครที่อิงจากโครงเรื่อง ที่ดึงมาจากพระคัมภีร์หรือจากวรรณกรรมฮาจิโอกราฟฟิก รวมถึงองค์ประกอบของนิทานพื้นบ้านท้องถิ่น

โดยทั่วไปแล้วพงศาวดารของศตวรรษที่ 16 สามารถแบ่งตามเงื่อนไขได้เป็น 2 ประเภท คือ พงศาวดารที่พยายามสร้างภาพโลกใหม่ให้สมบูรณ์ที่สุด พร้อมนำเข้าสู่บริบทของประวัติศาสตร์โลก ("เรื่องทั่วไป") และเรื่องเล่าจากบุคคลที่หนึ่งที่สร้างขึ้น โดยผู้เข้าร่วมโดยตรงในบางเหตุการณ์ อดีตอาจเกี่ยวข้องกับนวนิยาย "ใหม่" ที่พัฒนาขึ้นในวรรณคดีละตินอเมริกาในศตวรรษที่ 20 และหลังนี้เรียกว่า "วรรณกรรมแห่งหลักฐาน" นั่นคือวรรณกรรมสารคดีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิกิริยาต่อ " ใหม่” นวนิยาย.

ผลงานของนักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 16 และ 17 มีบทบาทพิเศษสำหรับวรรณคดีละตินอเมริกาสมัยใหม่ ตีพิมพ์ซ้ำหรือตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 20 ผลงานของผู้เขียนเหล่านี้ (นอกเหนือจากที่กล่าวถึงข้างต้นแล้วควรกล่าวถึงผลงานของ Hernando de Alvarado Tesosomoka, Fernando de Alba Ishtlilxochitl, Bernardino de Sahaguna, Pedro de Cieza de Leon, Josef de Acosta ฯลฯ) มีผลกระทบอย่างมากต่อความตระหนักในตนเอง และต่อความคิดสร้างสรรค์ของนักเขียนละตินอเมริกาเกือบทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงประเภทที่พวกเขาทำงาน ดังนั้น Alejo Carpentier สังเกตว่าเขาได้แก้ไขทัศนคติเชิงสร้างสรรค์ของเขาอย่างแม่นยำหลังจากที่เขาค้นพบพงศาวดารเหล่านี้ด้วยตนเอง Miguel ngel Asturias กล่าวปราศรัยที่แผนกต้อนรับของรางวัลโนเบลเรียกนักประวัติศาสตร์ว่าเป็นนักเขียนละตินอเมริกาคนแรกและ เรื่องจริงของการพิชิตนิวสเปน Bernal Diaz del Castillo เป็นนวนิยายละตินอเมริกาเรื่องแรก

ความน่าสมเพชของการค้นพบโลกใหม่และตั้งชื่อสิ่งต่าง ๆ ที่พบในนั้น สองตำนานที่สำคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องกับโลกใหม่ - คำอุปมาของ "สวรรค์บนดิน" และคำอุปมาของ "นรกที่เป็นตัวเป็นตน" ซึ่งถูกควบคุมโดยสาวกของยูโทเปียหรือโทเปีย ความคิดตีความประวัติศาสตร์ของละตินอเมริการวมถึงบรรยากาศแห่งความคาดหวัง "ปาฏิหาริย์" ที่งานเขียนของนักประวัติศาสตร์มีสี - ทั้งหมดนี้ไม่เพียง แต่คาดการณ์การค้นหาวรรณกรรมละตินอเมริกาของศตวรรษที่ 20 แต่ยังได้รับอิทธิพลอย่างแข็งขัน โดยกำหนดการค้นหาเหล่านี้โดยมุ่งเป้าไปที่การระบุตัวตนของวัฒนธรรมละตินอเมริกาก่อน และในแง่นี้ คำพูดของปาโบล เนรูด้าก็เป็นความจริงอย่างยิ่ง ซึ่งในสุนทรพจน์โนเบลของเขาที่พูดถึงนักเขียนร่วมสมัยในลาตินอเมริกากล่าวว่า "เราเป็นคนบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดช้า"

การออกดอกของวรรณคดีอาณานิคม (1600-1808)

เมื่อระบบอาณานิคมมีความเข้มแข็ง วัฒนธรรมละตินอเมริกาก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน แท่นพิมพ์เครื่องแรกในละตินอเมริกาปรากฏในเม็กซิโกซิตี้ (นิวสเปน) ประมาณปี ค.ศ. 1539 และในปี ค.ศ. 1584 ที่ลิมา (เปรู) ดังนั้นเมืองหลวงทั้งสองแห่งของรองอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรอาณานิคมสเปนซึ่งแข่งขันกันไม่เพียง แต่ในความงดงามและความมั่งคั่ง แต่ยังอยู่ในการตรัสรู้ด้วยจึงมีโอกาสพิมพ์ของตนเอง นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเหตุผลที่ทั้งสองเมืองได้รับเอกสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1551 สำหรับการเปรียบเทียบ ไม่เพียงแต่ไม่มีมหาวิทยาลัยในบราซิลเท่านั้น แต่ห้ามพิมพ์เองจนถึงสิ้นยุคอาณานิคม)

มีเพียงไม่กี่คนที่อุทิศเวลาว่างให้กับการเขียน โรงละครมีการพัฒนาและแม้ว่าตลอดศตวรรษที่ 16 การแสดงละครเป็นวิธีหนึ่งในกิจกรรมมิชชันนารีนอกจากนี้ยังมีการแสดงละครในภาษาของชาวพื้นเมืองเกี่ยวกับช่วงเวลาก่อนการพิชิตอีกด้วย ผู้เขียนงานเหล่านี้เป็นชาวครีโอลและในมุมที่ห่างไกลการแสดงละครดังกล่าวมีอยู่จนถึงกลางศตวรรษที่ 19 อย่างไรก็ตาม ละครที่แพร่หลายที่สุดคือละครที่เกี่ยวข้องกับประเพณีการแสดงละครของสเปนหรือโปรตุเกส ชาวเม็กซิโก Juan Ruiz de Alarcón y Mendoza (1581-1639) - หนึ่งในนักเขียนบทละครชาวสเปนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคทองของวรรณคดีสเปน ( ซม... วรรณคดีสเปน).

บทกวียังเฟื่องฟู กวีมากกว่าสามร้อยคนเข้าร่วมการแข่งขันกวีนิพนธ์ที่จัดขึ้นที่เม็กซิโกซิตี้ในปี ค.ศ. 1585 การเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และต้นศตวรรษที่ 17 มีบทบาทสำคัญ และดำรงอยู่จนถึงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18 Creole Baroque เป็นรูปแบบศิลปะที่มีลักษณะเฉพาะในภูมิภาคละตินอเมริกาอย่างหมดจด สไตล์นี้เกิดขึ้นภายใต้อิทธิพลที่แข็งแกร่งที่สุดของบาโรกสเปนหลากหลายรูปแบบ เช่น "แนวความคิด" ของ Francisco Quevedo และ "ลัทธินิยม" ของ Luis de Gongora ซึ่งมักอุทิศเทศกาลบทกวีที่กล่าวถึงในเม็กซิโกซิตี้

ลักษณะเฉพาะของรูปแบบนี้สามารถแยกแยะได้ในบทกวีของ Bernardo de Balbuena และ Pedro de Ony เช่นเดียวกับในบทกวี คริสเทียดา(1611) ดิเอโก เด โอเฮดา. พวกเขายังอยู่ในผลงานของ Francisco Bramont Matias de Bocanegra, Fernando de Alba Ishtlilxochitpla, Miguel de Guevara, Arias de Villalobos (เม็กซิโก), Antonio de León de Pinela, Antonio de la Calanchi, Fernando de Valverde (เปรู), Francisco de Vincenzo ไอ-ออร์โดเนซ (ชิลี), เอร์นานโด โดมิงเกซ กามาร์โก, ฮาซินโต เอเวีย, อันโตนิโอ บาสตีเดส (เอกวาดอร์)

กวีชาวเม็กซิกันที่มีผลงานโดดเด่นด้วยความคิดริเริ่มในท้องถิ่น - Luis Sandoval y Zapata, Ambrosio Solis y Aguirre, Alonso Ramirez Vargas, Carlos Sigüenza y Gongora ผลงานของกวี Juana Ines de la Cruz (1648 หรือ 1651 –1695) ผู้หญิงคนนี้ที่มีชะตากรรมที่ยากลำบากซึ่งกลายเป็นแม่ชีก็เขียนงานร้อยแก้วและละคร แต่เนื้อเพลงรักของเธอมีอิทธิพลมากที่สุดต่อวรรณคดีละตินอเมริกาที่เกิดขึ้นใหม่

กวีชาวเปรู Juan del Valle y Caviedes (ค.ศ. 1652 หรือ 1664-1692 หรือ 1694) ปลูกฝังภาพลักษณ์ของกวีที่มีการศึกษาต่ำในบทกวีของเขา ในขณะเดียวกันก็เชี่ยวชาญการพิสูจน์อักษรและรู้จักวรรณกรรมในสมัยของเขาเป็นอย่างดี รวมบทกวีเสียดสีของเขา ฟันพาร์นาสซัสสามารถตีพิมพ์ได้เฉพาะในปี พ.ศ. 2405 และในรูปแบบที่ผู้เขียนจัดทำขึ้นในปี พ.ศ. 2416

กวีชาวบราซิล Grigoriu de Matus Guerra (1633-1696) เช่น Juan del Valle y Caviedes ได้รับอิทธิพลจาก Francisco Queveda บทกวีของ Guerr เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ที่นิยมมากที่สุดไม่ใช่ความรักหรือเนื้อเพลงทางศาสนา แต่เป็นการเสียดสี อีพีแกรมประชดประชันของเขาไม่เพียงแต่ต่อต้านตัวแทนของชนชั้นปกครองเท่านั้น แต่ยังต่อต้านชาวอินเดียนแดงและมัลตโตอีกด้วย ความไม่พอใจของเจ้าหน้าที่ที่เกิดจากเทพารักษ์เหล่านี้ยิ่งใหญ่มากจนกวีถูกเนรเทศไปยังแองโกลาในปี ค.ศ. 1688 ซึ่งเขากลับมาก่อนที่เขาจะตายไม่นาน แต่ความนิยมของเขาในหมู่มวลชนนั้นทำให้ "Mouthpiece of the Devil" ซึ่งเป็นกวีที่เรียกว่ากลายเป็นหนึ่งในวีรบุรุษของวัฒนธรรมบราซิล

ครีโอลบาโรกที่มีธีมหลักของ "บ้านเกิดของครีโอล" และ "สง่าราศีครีโอล" เช่นเดียวกับความอุดมสมบูรณ์และความมั่งคั่งของละตินอเมริกาซึ่งส่งผลต่อการตกแต่งเชิงเปรียบเทียบและเชิงเปรียบเทียบในฐานะโวหารที่โดดเด่นมีอิทธิพลต่อแนวคิดของบาโรกซึ่งได้รับการพัฒนาใน ศตวรรษที่ 20. Alejo Carpentier และ Jose Lesama Lima

โดยเฉพาะบทกวีมหากาพย์สองบทที่สร้างขึ้นโดยไม่คำนึงถึงครีโอลบาร็อค บทกวี อุรุกวัย(1769) José Basiliu da Gama เป็นรายงานประเภทหนึ่งเกี่ยวกับการสำรวจร่วมระหว่างโปรตุเกส - สเปนซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อจองชาวอินเดียนแดงในหุบเขาแม่น้ำอุรุกวัยภายใต้การควบคุมของนิกายเยซูอิต และหากงานต้นฉบับนี้เป็นงานโปรนิกายเยซูอิตอย่างตรงไปตรงมา ฉบับที่ได้เห็นแสงสว่างนั้นกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ซึ่งสะท้อนความปรารถนาของกวีที่จะได้เป็นที่โปรดปรานของผู้มีอำนาจ งานนี้ซึ่งไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์อย่างครบถ้วน กระนั้น เป็นผลงานที่สำคัญที่สุดงานหนึ่งของวรรณคดีบราซิลในยุคอาณานิคม ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือฉากจากชีวิตของอินเดียนแดงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา งานนี้ถือเป็นงานชิ้นแรกที่มีลักษณะเด่นของลัทธิอินเดียนซึ่งเป็นแนวโน้มในศิลปะครีโอลของละตินอเมริกาซึ่งมีความสนใจในชีวิตและโลกแห่งจิตวิญญาณของชาวอินเดียนแดงอย่างชัดเจน

รางวัลชมเชยและบทกวีมหากาพย์ คารามูรู(1781) กวีชาวบราซิล José di Santa Rita Durana ซึ่งเกือบจะเป็นคนแรกที่ทำให้ชาวอินเดียนแดงเป็นอาสาสมัครในงานวรรณกรรม บทกวีมหากาพย์ในสิบเพลงที่พระเอกของเรื่องคือ คารามูรู ดิเอโก อัลวาเรซ ซึ่งชาวอินเดียเรียกเขาว่า อุทิศให้กับการค้นพบบายี ชีวิตของชาวอินเดียและภูมิทัศน์ของบราซิลได้รับสถานที่สำคัญในงานนี้ บทกวียังคงเป็นงานหลักของผู้เขียนซึ่งทำลายงานสร้างสรรค์ส่วนใหญ่ของเขาเนื่องจากไม่ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนในทันที บทกวีทั้งสองนี้ควรนำมาเป็นคำประกาศเรื่องแนวโรแมนติกที่ปรากฏในวรรณคดีละตินอเมริกาในไม่ช้า

นวนิยายในละตินอเมริกาถูกห้าม ดังนั้นวรรณกรรมประเภทนี้จึงปรากฏในภายหลัง แต่แทนที่ด้วยผลงานที่มีลักษณะทางประวัติศาสตร์และชีวประวัติ ผลงานที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งคืองานเสียดสีของ Antonio Carrio de la Bandera ชาวเปรู (1716-1778) คู่มือนักเดินทางตาบอด(1776). ผู้เขียนซึ่งเป็นพนักงานไปรษณีย์ที่เขียนโดยใช้นามแฝงเนื่องจากเสี่ยงต่อการถูกประหัตประหาร ได้เลือกรูปแบบเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางจากบัวโนสไอเรสไปยังลิมาสำหรับหนังสือของเขา

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 กระบวนทัศน์ที่สำคัญสองประการของวัฒนธรรมละตินอเมริกากำลังสุกงอม หนึ่งในนั้นเกี่ยวข้องกับการเมืองของตำแหน่งวรรณกรรมและชีวิตของนักเขียน การมีส่วนร่วมโดยตรงในเหตุการณ์ทางการเมือง (และในอนาคตสถานการณ์นี้จะมีผลผูกพันเกือบทั่วโลก) นักปฏิวัติชาวบราซิล Joaquin José deSilva Javier (ค.ศ. 1748-1792) เป็นผู้นำกลุ่มที่เรียกว่า "Conspiracy of Poets" ซึ่งมีนักเขียนชื่อดังเข้ามามีส่วนร่วม การจลาจลต่อต้านการปกครองของโปรตุเกสในบราซิลซึ่งเขาเป็นผู้นำนั้นถูกระงับ และผู้นำของเขาถูกประหารชีวิตหลังจากกระบวนการทางการเมืองที่กินเวลานานหลายปี

กระบวนทัศน์ที่สองเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่าง "อาณาเขต" และ "นอกอาณาเขต" ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของจิตสำนึกในละตินอเมริกาบางประเภท การเคลื่อนไหวอย่างเสรีทั่วทั้งทวีปซึ่งมีการแลกเปลี่ยนการค้นพบและความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ (เช่น Venezuelan A. Bello อาศัยอยู่ในชิลี, อาร์เจนตินา DF Sarmiento ในชิลีและปารากวัย, Cuban Jose Marti ในสหรัฐอเมริกา, เม็กซิโกและกัวเตมาลา) ใน ศตวรรษที่ 20 ... แปรสภาพเป็นประเพณีบังคับเนรเทศหรืออพยพทางการเมือง

วรรณกรรมของศตวรรษที่ 19

ยวนใจ.

ความเป็นอิสระทางการเมืองจากสเปนและโปรตุเกสไม่ได้เป็นจุดสิ้นสุดของระบอบเผด็จการ ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม การกดขี่ของชาวอินเดียนแดงและคนผิวดำ ทั้งหมดนี้เป็นกิจวัตรประจำวันของรัฐละตินอเมริกาส่วนใหญ่ สถานการณ์มีส่วนทำให้เกิดงานเสียดสี ชาวเม็กซิกัน Jose Joaquin Fernandez de Lisardi (1776-1827) สร้างนวนิยายที่น่าขนลุก ชีวิตและการกระทำของ Periquillo Sargnento อธิบายด้วยตัวเองสำหรับการสั่งสอนลูก ๆ ของเขา(เล่ม 1-3 - 1813, vols. 1-5 - 1830-1831) ซึ่งถือเป็นนวนิยายลาตินอเมริกาเรื่องแรก

สงครามประกาศอิสรภาพซึ่งดำเนินต่อไปในละตินอเมริกาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1810 ถึง พ.ศ. 2368 ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความรู้สึกรักชาติของชาวลาตินอเมริกาเท่านั้น แต่ยังมีส่วนทำให้เกิดการหลั่งไหลของกวีนิพนธ์ละตินอเมริกาอีกด้วย ชาวเอกวาดอร์ Jose Joaquin de Olmedo (1780-1847) ผู้เขียนเนื้อเพลงเกี่ยวกับคนบ้านนอกและคนบ้านนอกในวัยหนุ่มของเขาได้สร้างบทกวีบทกวีที่ยิ่งใหญ่ ชัยชนะที่จูนิน เพลงถึงโบลิวาร์(ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2368) ซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดัง

Andrés Bello ของเวเนซุเอลา (พ.ศ. 2324-2408) นักวิทยาศาสตร์และบุคคลสาธารณะ ผู้ประพันธ์ผลงานมากมายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ปรัชญา นักปรัชญา และนิติศาสตร์ กลายเป็นที่รู้จักในฐานะกวีผู้ปกป้องประเพณีคลาสสิก ผลงานที่โดดเด่นที่สุดของเขาคือบทกวี อุทธรณ์ไปยังบทกวี(1823) และ ode เกษตรในเขตร้อน(1826) - ส่วนหนึ่งของบทกวีมหากาพย์ที่ไม่ได้เขียนไว้ อเมริกา... คู่ต่อสู้ของเขาซึ่งปกป้องตำแหน่งของแนวโรแมนติกในการอภิปรายเกี่ยวกับวรรณกรรม นักเขียนชาวอาร์เจนตินาและบุคคลสาธารณะ Domingo Faustino Sarmiento (1811-1888) เป็นตัวอย่างที่เปิดเผยอย่างยิ่งของนักเขียนชาวละตินอเมริกา เขาเป็นนักสู้ต่อต้านเผด็จการของฮวน มานูเอล โรซาส เขาก่อตั้งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขาคือ อารยธรรมและความป่าเถื่อน ชีวประวัติของฮวน ฟาคุนโด กีโรกา ลักษณะทางกายภาพ ขนบธรรมเนียมและประเพณีของสาธารณรัฐอาร์เจนตินา(ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1845) ที่ซึ่งเล่าถึงชีวิตของเพื่อนร่วมงานของโรซาส เขาสำรวจสังคมอาร์เจนตินา ต่อจากนั้น ขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งอาร์เจนตินา ผู้เขียนได้นำบทบัญญัติที่เขาปกป้องไว้ในหนังสือของเขา

ชาวคิวบา Jose Maria Heredia y Heredia (1803–1839) นักสู้เพื่อขจัดการพึ่งพาสเปนของอาณานิคมของคิวบาในสเปน ใช้ชีวิตเกือบทั้งชีวิตของเขาในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง ถ้าในงานของเขา บน teocalli ใน Cholula(1820) การต่อสู้ระหว่างความคลาสสิคและความโรแมนติกยังคงสังเกตเห็นได้ชัดเจนใน Ode Niagara(1824) การเริ่มต้นที่โรแมนติกชนะ

ความขัดแย้งเดียวกันระหว่างอารยธรรมและความป่าเถื่อนเช่นเดียวกับในหนังสือของ D.F. Sarmiento มีอยู่ในผลงานของนักเขียนชาวอาร์เจนตินาคนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนวนิยายของ Jose Marmola (1817-1871) Amalia(zhurn. var. - 1851) ซึ่งเป็นนวนิยายอาร์เจนติน่าเรื่องแรกและเป็นภาพร่างศิลปะและวารสารศาสตร์ โรงฆ่าสัตว์(ตีพิมพ์ในปี 1871) Esteban Echeverria (1805-1851)

ในบรรดาผลงานแนวโรแมนติก นิยายก็น่ากล่าวถึง มาเรีย(1867) ฮอร์เก้ ไอแซกส์ ชาวโคลอมเบีย (ค.ศ. 1837-1895) Cecilia Valdez หรือ Angel Hill(ฉบับที่ 1 - 1839) คิวบา Cirilo Villaverde (2355-2437) Kumanda หรือละครท่ามกลางชาวอินเดียนแดง(1879) เอกวาดอร์ Juan Leon Mera (1832-1894) สร้างขึ้นในกระแสหลักของลัทธิอินเดียน

Gaucho Literature วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่เกิดในอาร์เจนตินาและอุรุกวัย ได้มอบผลงานเช่นบทกวีของ Raphael Oblegado ซานโตส เวก้า(1887) เกี่ยวกับนักร้องในตำนานและเขียนด้วยอารมณ์ขัน เฟาสโต(1866) เอสตานิสเลา เดล กัมโป อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จสูงสุดในประเภทนี้คือบทกวีมหากาพย์ของ Jose Hernandez (1834-1886) ของอาร์เจนตินา Martin Fierro(ส่วนแรก - 2415 ส่วนที่สอง - 2422) บทกวีนี้ก็เหมือน Facundo(1845) D.F. Sarmiento กลายเป็นบรรพบุรุษของ "วรรณกรรมเทลลูริก" ที่พัฒนาขึ้นในภายหลัง , E. Martinez Estrada วิทยานิพนธ์หลักของลัทธิเทลลูริซึมคือการรักษาความเป็นไปได้ของอิทธิพลลับของธรรมชาติที่มีต่อบุคคล เพื่อหลีกหนีจากอิทธิพลของปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม เข้าสู่สิ่งมีชีวิตทางประวัติศาสตร์ และด้วยเหตุนี้จึงตัดผ่านจากวัฒนธรรมที่ผิดไปเป็นของแท้

ความสมจริงและความเป็นธรรมชาติ

ปฏิกิริยาตามธรรมชาติต่อแรงดึงดูดของความโรแมนติกต่อทุกสิ่งที่ผิดปกติและสดใสคือความสนใจของผู้เขียนในชีวิตประจำวันลักษณะเฉพาะและประเพณี Costumbrism ทิศทางหนึ่งในวรรณคดีละตินอเมริกาซึ่งมีชื่อย้อนกลับไปที่ "el costumbre" ของสเปนซึ่งแปลว่า "ลักษณะนิสัย" หรือ "ประเพณี" ได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก costumbrism ของสเปน ทิศทางนี้มีลักษณะเฉพาะด้วยภาพสเก็ตช์และภาพร่างบรรยายขวัญกำลังใจ และเหตุการณ์ต่างๆ มักแสดงในลักษณะเสียดสีหรือขบขัน Costumbrism ต่อมาได้กลายเป็นนวนิยายแนวภูมิภาคที่สมจริง

อย่างไรก็ตาม ความสมจริงที่เหมาะสมกับวรรณคดีละตินอเมริกาในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ งานของนักเขียนร้อยแก้วชาวชิลี Alberto Blest Ghana (1830–1920) พัฒนาภายใต้อิทธิพลที่แข็งแกร่งของประเพณีวรรณกรรมยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นวนิยายของ Honore de Balzac นวนิยายของกานา: เลขคณิตแห่งความรัก (1860), Martin Rivas (1862), อุดมคติของคราด(1853). นักเขียนชาวอาร์เจนตินา Eugenio Cambaceres (1843–188) นักธรรมชาติวิทยาที่มุ่งสู่นวนิยายด้วยจิตวิญญาณของ Emile Zola ได้สร้างนวนิยายเช่น เสียงนกหวีดของคนเจ้าเล่ห์(2424-2427) และ ไร้จุดหมาย (1885).

การผสมผสานระหว่างความสมจริงกับลัทธินิยมนิยมทำให้นวนิยายของ Manuel Antonio de Almeida ชาวบราซิล (1831-1861) ความทรงจำของจ่าตำรวจ(1845). แนวโน้มเดียวกันนี้สามารถติดตามได้ในร้อยแก้วของ Aluziu Gonçalvis Azeveda ชาวบราซิล (1857-1913) ซึ่งผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือนวนิยาย Mulatto(1881) และ หอพัก(1884). ความสมจริงเป็นนวนิยายของ Joaquín Maria Machado de Assis ชาวบราซิล (1839-1908) ซึ่งผลงานของเขามีอิทธิพลต่อวรรณคดีละตินอเมริกาโดยทั่วไป

ความทันสมัย ​​(ไตรมาสสุดท้ายของศตวรรษที่ 19 - 1910)

ความทันสมัยของละตินอเมริกาซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแนวโรแมนติกได้รับอิทธิพลจากปรากฏการณ์สำคัญ ๆ ของวัฒนธรรมยุโรปเช่น "โรงเรียน Parnassian" ( ซม. PARNAS), สัญลักษณ์, อิมเพรสชั่นนิสม์ ฯลฯ ในเวลาเดียวกัน เช่นเดียวกับความทันสมัยของยุโรป มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับมันที่ความทันสมัยของละตินอเมริกาถูกนำเสนอในงานกวีส่วนใหญ่อย่างท่วมท้น

หนึ่งในบุคคลที่ใหญ่ที่สุดในวรรณคดีของละตินอเมริกาในศตวรรษที่ 19 เช่นเดียวกับสมัยใหม่ในละตินอเมริกาคือ Jose Julian Martí กวีชาวคิวบา นักคิด และนักการเมือง (1853–1895) ซึ่งต่อสู้เพื่อปลดปล่อยชาติเพื่อต่อสู้กับอาณานิคม การปกครองของสเปนได้รับตำแหน่ง "อัครสาวก" จากชาวคิวบา มรดกเชิงสร้างสรรค์ของเขาไม่เพียงแต่รวมถึงกวีนิพนธ์เท่านั้น - วัฏจักรกวี อิสมาเอลโย(1882), ของสะสม บทกวีฟรี(ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2456) และ บทกวีง่ายๆ(1891) แต่ยังเป็นนวนิยาย มิตรภาพที่อันตราย(พ.ศ. 2428) ใกล้เคียงกับวรรณคดีสมัยใหม่ เรียงความ และเรียงความ ที่ควรแยกแยะ อเมริกาของเรา(1891) ซึ่งละตินอเมริกาต่อต้านแองโกลแซกซอนอเมริกา เอช. มาร์ตี้ยังเป็นตัวอย่างในอุดมคติของนักเขียนชาวลาตินอเมริกา ซึ่งชีวิตและการทำงานถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันและอยู่ภายใต้การต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของลาตินอเมริกาทั้งหมด

ตัวแทนที่สำคัญอีกประการหนึ่งของลัทธิสมัยใหม่ในละตินอเมริกาคือชาวเม็กซิกัน Manuel Gutierrez Najera (1859–1895) ในช่วงชีวิตของผู้เขียนคนนี้ ของสะสมได้เห็นแสงสว่าง เรื่องที่เปราะบาง(1883) เป็นตัวแทนของเขาในฐานะนักเขียนร้อยแก้วในขณะที่บทกวีถูกรวบรวมไว้ในหนังสือมรณกรรมเท่านั้น บทกวีโดย Manuel Gutierrez Najera(1896) และ บทกวี (1897).

ชาวโคลอมเบีย Jose Asuncion Silva (1865-1896) ก็ได้รับชื่อเสียงเช่นกันหลังจากที่เขาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร (เนื่องจากปัญหาทางวัตถุและเนื่องจากส่วนสำคัญของต้นฉบับของเขาเสียชีวิตในเรืออับปางกวีจึงฆ่าตัวตาย) คอลเล็กชั่นบทกวีของเขาตีพิมพ์ในปี 2451 ในขณะที่นวนิยาย บทสนทนาบนโต๊ะ- เฉพาะในปี พ.ศ. 2468

ชาวคิวบา จูเลียน เดล คาซาล (ค.ศ. 1863–1893) ผู้เขียนบทความในหนังสือพิมพ์ที่เปิดเผยถึงชนชั้นสูง กลายเป็นที่รู้จักในฐานะกวีเป็นหลัก ในช่วงชีวิตของเขา มีการเผยแพร่คอลเลกชัน ใบไม้ในสายลม(1890) และ ความฝัน(พ.ศ. 2435) และหนังสือที่ตีพิมพ์หลังมรณกรรม หน้าอกและบทกวี(1894) รวมบทกวีและร้อยแก้วสั้น

บุคคลสำคัญของลัทธิสมัยใหม่ในละตินอเมริกาคือ รูเบน ดาริโอ กวีนิการากัว (1867–1916) ของสะสมของเขา Azure(พ.ศ. 2430 เพิ่มเติม - พ.ศ. 2433) ซึ่งรวมบทกวีและร้อยแก้วขนาดเล็กเข้าด้วยกันกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาขบวนการวรรณกรรมนี้และในคอลเล็กชัน บทสดุดีของอิสลามและบทกวีอื่นๆ(พ.ศ. 2439 เสริม - พ.ศ. 2444) เป็นจุดสูงสุดของลัทธิสมัยใหม่ในละตินอเมริกา

บุคคลที่โดดเด่นของขบวนการสมัยใหม่คือชาวเม็กซิกัน Amado Nervo (1870-1919) ผู้เขียนหนังสือหลายเล่มซึ่งเป็นคอลเล็กชั่นบทกวี บทกวี (1901), การอพยพและดอกไม้แห่งท้องถนน (1902), โหวต (1904), สวนแห่งจิตวิญญาณของฉัน(1905) และหนังสือนิทาน วิญญาณพเนจร (1906), พวกเขา(1912); ชาวเปรู Jose Santos Chocano (1875-1934) ผู้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในชีวิตทางการเมืองของละตินอเมริการวมถึงการต่อสู้ในกองทัพของ Francisco Villa ระหว่างการปฏิวัติเม็กซิกัน หลังจากการโค่นล้มประธานาธิบดีกัวเตมาลา มานูเอล เอสตราดา กาเบรรา ซึ่งเขาเป็นที่ปรึกษาด้วย เขาถูกตัดสินประหารชีวิต แต่รอดชีวิตมาได้ Jose Santos Ciocano กลับบ้านเกิดในปี 1922 ได้รับรางวัล "กวีแห่งชาติเปรู" แนวความคิดสมัยใหม่สะท้อนให้เห็นในบทกวี รวมกันเป็นคอลเลกชัน จิตวิญญาณแห่งอเมริกา(1906) และ เฟียตลักซ์ (1908).

จำเป็นต้องพูดถึงโบลิเวีย Ricardo Jaimes Freire (1868-1933) ผู้เขียนคอลเล็กชั่น Barbarian Castalia(1897) และ ความฝันคือชีวิต(1917), โคลอมเบีย Guillermo Valencia (1873-1943), ผู้เขียนของสะสม บทกวี(1898) และ พิธีกรรม(1914), Uruguayan Julio Herrera y Reissig (1875-1910) ผู้เขียนวงจรของกวีนิพนธ์ สวนสาธารณะร้าง, เวลาอีสเตอร์, นาฬิกาน้ำ(พ.ศ. 2443-2453) เช่นเดียวกับอุรุกวัย Jose Enrique Rodo (1871-1917) หนึ่งในนักคิดละตินอเมริกาที่ใหญ่ที่สุดที่พิจารณาแนวคิดเรื่องการสังเคราะห์วัฒนธรรมในเรียงความ Ariel(พ.ศ. 2443) และเสนอแนวคิดว่าละตินอเมริกาควรดำเนินการสังเคราะห์ดังกล่าว

แนวคิดสมัยใหม่ของบราซิลซึ่งมีต้นกำเนิดในช่วงต้นทศวรรษ 1920 มีความโดดเด่น โดยมี Mario Raul Morais de Andradi (1893–1945) และ José Oswald de Andradi (1890–1954) เป็นผู้ก่อตั้งและบุคคลสำคัญ

ความสำคัญเชิงบวกของลัทธิสมัยใหม่ในละตินอเมริกาไม่เพียงสะท้อนให้เห็นในความจริงที่ว่าขบวนการวรรณกรรมนี้รวบรวมนักเขียนที่มีความสามารถหลายคน แต่ยังรวมถึงความจริงที่ว่ามันต่ออายุภาษากวีและเทคนิคกวี

ลัทธิสมัยใหม่ยังมีอิทธิพลอย่างแข็งขันต่อเจ้านายเหล่านั้นซึ่งภายหลังสามารถปลดปล่อยตนเองจากอิทธิพลของมันได้ ตัวอย่างเช่น กวีชาวอาร์เจนตินาและนักเขียนร้อยแก้ว ลีโอโปลโด ลูโกเนส (2417-2481) เริ่มเป็นคนสมัยใหม่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นในคอลเล็กชั่นกวีนิพนธ์ ภูเขาทอง(1897) และ พลบค่ำในสวน(1906). Enrique Gonzalez Martinez (1871-1952) เริ่มต้นจากบทบัญญัติของความทันสมัยในคอลเล็กชั่น เส้นทางลับ(1911) ฝ่าฝืนประเพณีนี้โดยสนับสนุนระบบกวีใหม่

ศตวรรษที่ 20.

วรรณกรรมละตินอเมริกาในศตวรรษที่ 20 ไม่เพียงแต่จะร่ำรวยผิดปกติเท่านั้น จุดยืนในวรรณคดีระดับชาติอื่นๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปโดยพื้นฐานแล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นในความจริงที่ว่ากาเบรียลา มิสทรัล กวีชาวชิลี (1889-1957) ซึ่งเป็นนักเขียนชาวลาตินอเมริกาคนแรก ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2488

การค้นหาแบบเปรี้ยวจี๊ดมีบทบาทอย่างมากในการก้าวกระโดดเชิงคุณภาพนี้ ซึ่งนักเขียนชาวลาตินอเมริกาที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ได้ผ่านพ้นไป กวีชาวชิลี Vicente Huidobro (1893-1948) เสนอแนวคิดเรื่อง "Creationism" ตามที่ศิลปินต้องสร้างความเป็นจริงทางสุนทรียะของตัวเอง ในบรรดาหนังสือกวีนิพนธ์ของเขามีคอลเลกชั่นเป็นภาษาสเปน เส้นศูนย์สูตร(1918) และ พลเมืองที่ถูกลืม(1941) และของสะสมในภาษาฝรั่งเศส ขอบฟ้าสี่เหลี่ยม (1917), ในทันที (1925).

ปาโบล เนรูดา กวีชาวชิลี (1904-1973) ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1971 เริ่มเขียนกวีแนวเปรี้ยวจี๊ด โดยเลือก "กลอนอิสระ" เป็นรูปแบบกวีนิพนธ์ที่เพียงพอที่สุด เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ก้าวไปสู่กวีนิพนธ์ซึ่ง สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรง ... ในบรรดาหนังสือของเขามีคอลเลกชั่น ทไวไลท์ (1923), ที่อยู่อาศัย - ที่ดิน(พ.ศ. 2476 เสริม - พ.ศ. 2478) โอดครวญถึงเรื่องง่ายๆ (1954), บทกวีใหม่สู่สิ่งง่าย ๆ (1955), นกของชิลี (1966), หินสวรรค์(1970). หนังสือชีวิตเล่มสุดท้ายของเขา แรงจูงใจในการสังหารนิกสันและการยกย่องการปฏิวัติชิลี(1973) สะท้อนความรู้สึกที่กวีประสบหลังจากการล่มสลายของรัฐบาลประธานาธิบดีซัลวาดอร์ อัลเลนเด

บุคคลสำคัญอีกบุคคลหนึ่งในวรรณคดีลาตินอเมริกาคือ ออคตาวิโอ ปาซ กวีและนักประพันธ์ชาวเม็กซิกัน (พ.ศ. 2457-2541) ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี พ.ศ. 2533 ผู้เขียนหนังสือหลายเล่ม รวมทั้งของสะสม พระจันทร์ป่า (1933), รากมนุษย์ (1937), ซันสโตน (1957), ซาลาแมนเดอร์ (1962).

กวีและนักเขียนร้อยแก้วชาวอาร์เจนตินา Jorge Luis Borges (1899-1986) หนึ่งในนักเขียนที่ได้รับการยกย่องและได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 เริ่มต้นด้วยลัทธิ ultraism ซึ่งเป็นขบวนการวรรณกรรมแนวหน้า เรื่องราวต่างๆ ทำให้เขาโด่งดัง ประวัติทั่วไปของความอัปยศ (1935), สวนทางแยก (1941), นิยาย (1944), อาเลฟ (1949), ผู้กระทำ (1960).

ลัทธิเนกริสม์ ขบวนการวรรณกรรมที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนามรดกแอฟริกันอเมริกันรวมทั้งแนะนำโลกทัศน์ของชาวนิโกรในวรรณคดี มีส่วนสำคัญต่อวรรณคดีละตินอเมริกา ในบรรดานักเขียนที่เกี่ยวข้องกับขบวนการนี้คือ Luis Pales Matos (1898-1959) ชาวเปอร์โตริโกและชาวคิวบา Nicholas Guillen (1902-1989)

ชาวเปรู Cesar Vallejo (1892-1938) มีอิทธิพลอย่างมากต่อกวีนิพนธ์ของละตินอเมริกา ในคอลเลกชั่นแรก เสือดำ(1918) และ Trils(พ.ศ. 2465) ทรงพัฒนากวีแนวเปรี้ยวจี๊ดในขณะที่สะสม บทกวีของมนุษย์(1938) ซึ่งตีพิมพ์หลังจากกวีเสียชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบทกวีของเขา

บทละครของ Roberto Arlt ของอาร์เจนตินา (1900–1942) และ Rodolfo Usigli ชาวเม็กซิกัน (1905–1979) ได้รับอิทธิพลอย่างชัดเจนจากประเพณีการละครของยุโรป

ในบรรดาผู้ที่พัฒนานวนิยายระดับภูมิภาค ได้แก่ อุรุกวัย Horacio Quiroga (1878-1937), โคลอมเบีย Jose Eustacio Rivera (1889-1928), อาร์เจนตินา Ricardo Guiraldes (1886-1927), Romulo Gallegos เวเนซุเอลา (1864-1969), เม็กซิกัน 2416-2495) ฮอร์เก้ อิกาซา เอกวาดอร์ (1906–1978) ชาวเปรู ชิโร อาเลเกรีย (2452-2510) และโฆเซ มาเรีย อาร์เกดาส (2454-2512) กัวเตมาลา มิเกล อังเคล อัสตูเรียส (2442-2517) ผู้ชนะรางวัลโนเบลปี 2510 มีส่วนทำให้ พัฒนาการของลัทธิอินเดียนแดง

ในบรรดานักเขียนร้อยแก้วที่ใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20 - อาร์เจนตินา Eduardo Mallea (1903–1982), Ernesto Sabato (1911–2011), Julio Cortazar (1924–1984), Manuel Puig (1933–1990), Uruguayan Juan Carlos Onetti (1909–1994), ชาวเม็กซิกัน (1918– Rulfo 1984 ) และ Carlos Fuentes (b. 1929), Cubans Jose Lesama Lima (1910-1976) และ Alejo Carpentier (1904-1980), Brazilian Jorge Amado (1912)

รางวัลโนเบลมอบให้ในปี 1982 แก่ Gabriel García Márquez ชาวโคลอมเบีย (เกิดในปี 1928) และในปี 2004 ให้กับ Mario Vargas Llosa ชาวเปรู (เกิดปี 1936)

เบเรนิก้า เวสนินา

วรรณกรรม:

ประวัติวรรณคดีของละตินอเมริกา. ตั้งแต่ยุคแรกสุดจนถึงจุดเริ่มต้นของสงครามปฏิวัติ... หนังสือ. 1.ม., 2528
ประวัติวรรณคดีของละตินอเมริกา. ตั้งแต่สงครามประกาศอิสรภาพจนถึงจุดสิ้นสุดการรวมชาติของรัฐ (ค.ศ. 1810–1870) หนังสือ. 2... ม., 2531
ประวัติวรรณคดีของละตินอเมริกา. ปลายศตวรรษที่ 19 - ต้นศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1880-1910)หนังสือ. 3.ม., 1994
ประวัติวรรณคดีของละตินอเมริกา. ศตวรรษที่ XX: 20s - 90s... หนังสือ. 4. ตอนที่ 1-2 ม., 2547

วรรณคดีละตินอเมริกา

โรมัน ลาติน สัจนิยมมหัศจรรย์

วรรณคดีละตินอเมริกาเป็นวรรณคดีของประเทศในละตินอเมริกาที่ก่อตัวเป็นภูมิภาคเดียวทางภาษาศาสตร์และวัฒนธรรม (อาร์เจนตินา เวเนซุเอลา คิวบา บราซิล เปรู ชิลี โคลอมเบีย เม็กซิโก ฯลฯ) การเกิดขึ้นของวรรณคดีละตินอเมริกาเกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เมื่อภาษาของผู้พิชิตแผ่ขยายไปทั่วทั้งทวีประหว่างการล่าอาณานิคม

ในประเทศส่วนใหญ่ ภาษาสเปนแพร่หลายในบราซิล - โปรตุเกส, ในเฮติ - ฝรั่งเศส

เป็นผลให้จุดเริ่มต้นของวรรณคดีละตินอเมริกาละตินอเมริกาถูกวางโดยผู้พิชิตมิชชันนารีคริสเตียนและด้วยเหตุนี้วรรณกรรมละตินอเมริกาในเวลานั้นจึงเป็นเรื่องรองเช่น มีบุคลิกแบบยุโรปที่ชัดเจน มีความเคร่งศาสนา เทศนา หรือมีลักษณะในการสื่อสารมวลชน วัฒนธรรมของชาวอาณานิคมค่อยๆ เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองอินเดีย และในหลายประเทศที่มีวัฒนธรรมของประชากรนิโกร - โดยมีตำนานและนิทานพื้นบ้านของทาสที่นำมาจากแอฟริกา การสังเคราะห์แบบจำลองทางวัฒนธรรมต่างๆ ยังคงดำเนินต่อไปแม้หลังจากต้นศตวรรษที่ 19 อันเป็นผลมาจากสงครามปลดปล่อยและการปฏิวัติ สาธารณรัฐอิสระของละตินอเมริกาได้ก่อตั้งขึ้น เป็นช่วงต้นศตวรรษที่ 19 หมายถึงจุดเริ่มต้นของการก่อตัวของวรรณกรรมอิสระในแต่ละประเทศที่มีลักษณะประจำชาติโดยกำเนิด เป็นผลให้วรรณกรรมตะวันออกอิสระของภูมิภาคละตินอเมริกายังเด็กอยู่ เรื่องนี้มีความแตกต่างกัน คือ วรรณคดีละตินอเมริกา 1) วัยเยาว์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ดั้งเดิมตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 มีพื้นฐานมาจากวรรณกรรมของผู้อพยพจากยุโรป - สเปน โปรตุเกส อิตาลี ฯลฯ และ 2) โบราณ วรรณกรรมของชนพื้นเมืองในละตินอเมริกา: ชาวอินเดีย ( Aztecs, Incas, Maltecs) ซึ่งมีวรรณกรรมเป็นของตัวเอง แต่ประเพณีในตำนานดั้งเดิมนี้ได้แตกสลายไปแล้วและไม่ได้พัฒนา

ลักษณะเฉพาะของประเพณีศิลปะละตินอเมริกา (ที่เรียกว่า "รหัสศิลปะ") คือการสังเคราะห์ในธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นจากการผสมผสานอินทรีย์ของชั้นวัฒนธรรมที่หลากหลายที่สุด ภาพสากลในตำนาน เช่นเดียวกับภาพและแรงจูงใจของยุโรปที่ตีความใหม่ในวัฒนธรรมละตินอเมริกา ผสมผสานกับภาพอินเดียดั้งเดิมดั้งเดิมและประเพณีที่ก่อตั้งมาในอดีตของพวกเขาเอง ในงานของนักเขียนละตินอเมริกาส่วนใหญ่ ค่าคงที่ที่เป็นรูปเป็นร่างที่ต่างกันหลากหลายและในเวลาเดียวกันนั้นมีอยู่ ซึ่งถือเป็นรากฐานเดียวของโลกศิลปะแต่ละแห่งภายในกรอบของประเพณีศิลปะลาตินอเมริกาและก่อให้เกิดภาพลักษณ์ของโลกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ก่อตัวขึ้นกว่าห้าร้อยปีตั้งแต่โคลัมบัสค้นพบโลกใหม่ ผลงานที่โตเต็มที่ที่สุดของ Marquez และ Fuentos อิงจากความขัดแย้งทางวัฒนธรรมและปรัชญา: "ยุโรป - อเมริกา", "โลกเก่า - โลกใหม่"

วรรณกรรมของประเทศต่างๆ ในละตินอเมริกา ซึ่งมีส่วนใหญ่เป็นภาษาสเปนและโปรตุเกส เกิดขึ้นจากกระบวนการปฏิสัมพันธ์ของประเพณีวัฒนธรรมอันหลากหลายสองแบบ - ยุโรปและอินเดีย วรรณกรรมอเมริกันพื้นเมืองในบางกรณียังคงพัฒนาต่อไปหลังจากการพิชิตสเปน งานวรรณกรรมยุคพรีโคลัมเบียนที่ยังหลงเหลืออยู่ส่วนใหญ่บันทึกโดยพระภิกษุ - มิชชันนารี ดังนั้น จนถึงปัจจุบัน แหล่งที่มาหลักในการศึกษาวรรณคดีของชาวแอซเท็กคืองานของ Fry B. de Sahagun "History of Things of New Spain" ซึ่งสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1570 ถึง ค.ศ. 1580 ผลงานชิ้นเอกของวรรณคดีมายันยังได้รับการอนุรักษ์ไว้ซึ่งบันทึกไว้ไม่นานหลังจากการพิชิต: การรวบรวมตำนานทางประวัติศาสตร์และตำนานเกี่ยวกับจักรวาลวิทยา "Popol-Vuh" และหนังสือคำทำนาย "Chilam-Balam" ขอบคุณกิจกรรมการรวบรวมของพระสงฆ์ ตัวอย่างบทกวีเปรู "พรีโคลัมเบียน" ที่แพร่หลายในประเพณีปากเปล่าได้มาถึงเรา งานของพวกเขาในศตวรรษที่ 16 เดียวกัน เสริมด้วยนักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงสองคนที่มีต้นกำเนิดในอินเดีย - Inca Garcilaso de La Vega และ F.G. Poma de Ayala

ชั้นแรกของวรรณคดีลาตินอเมริกาในภาษาสเปนประกอบด้วยไดอารี่ พงศาวดาร และข้อความ (ที่เรียกว่ารายงาน กล่าวคือ รายงานการปฏิบัติการทางทหาร การเจรจาทางการฑูต คำอธิบายเกี่ยวกับความเป็นปรปักษ์ ฯลฯ) ของผู้บุกเบิกและผู้พิชิตเอง ผู้พิชิต (จาก ผู้พิชิตชาวสเปน) - ชาวสเปนที่ไปอเมริกาหลังจากค้นพบเพื่อพิชิตดินแดนใหม่ Conquista (การพิชิตสเปน) - คำนี้ใช้เพื่ออธิบายช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ของการพิชิตประเทศสเปนและโปรตุเกสในละตินอเมริกา (เม็กซิโก, อเมริกากลางและอเมริกาใต้) ... คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสบรรยายความประทับใจของเขาที่มีต่อดินแดนที่เพิ่งค้นพบในไดอารี่การเดินทางครั้งแรก (1492-1493) และจดหมายสามฉบับที่ส่งถึงพระราชวงศ์สเปน โคลัมบัสมักจะตีความความเป็นจริงของอเมริกาในลักษณะที่น่าอัศจรรย์ โดยฟื้นตำนานและตำนานทางภูมิศาสตร์มากมายที่เติมวรรณกรรมยุโรปตะวันตกตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงศตวรรษที่ 14 การค้นพบและการพิชิตอาณาจักรแอซเท็กในเม็กซิโกสะท้อนให้เห็นในรายงานจดหมายห้าฉบับจากอี. คอร์เตซ ซึ่งส่งไปยังจักรพรรดิชาร์ลส์ที่ 5 ระหว่างปี 1519 ถึงปี 1526 ทหารจากการปลดประจำการของคอร์เตซ บี. ดิแอซ เดล กัสติโย บรรยายเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ในประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของการพิชิตนิวสเปน (ค.ศ. 1563) ซึ่งเป็นหนังสือที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งในยุคพิชิต ในกระบวนการค้นพบดินแดนแห่งโลกใหม่ในใจของผู้พิชิต ตำนานและตำนานเก่าแก่ของยุโรปรวมกับตำนานอินเดียได้รับการฟื้นฟูและเปลี่ยนแปลง ("แหล่งกำเนิดของเยาวชนนิรันดร์", "เจ็ดเมืองแห่งซิโวลา", "เอลโดราโด" เป็นต้น) การค้นหาสถานที่ในตำนานเหล่านี้อย่างต่อเนื่องเป็นตัวกำหนดแนวทางการพิชิตทั้งหมด และในระดับหนึ่ง การล่าอาณานิคมของดินแดนในช่วงแรกนั้น อนุสาวรีย์วรรณกรรมจำนวนหนึ่งจากยุคพิชิตถูกนำเสนอโดยคำให้การโดยละเอียดของผู้เข้าร่วมการสำรวจดังกล่าว ในบรรดาผลงานประเภทนี้สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือหนังสือที่มีชื่อเสียงเรื่อง "Shipwrecks" (1537) โดย A. Cabeza de Vaca ซึ่งในแปดปีที่หลงทางเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ข้ามทวีปอเมริกาเหนือไปในทิศทางตะวันตก และ "การบรรยายถึงการค้นพบครั้งใหม่ของแม่น้ำอเมซอนอันรุ่งโรจน์" โดย Fry G. de Carvajal

คลังบทความภาษาสเปนอีกส่วนหนึ่งจากช่วงเวลานี้ประกอบด้วยพงศาวดารที่สร้างขึ้นโดยนักประวัติศาสตร์ชาวสเปนบางครั้งชาวอินเดีย นักมนุษยนิยม บี. เดอ ลาส คาซัสใน History of the Indies เป็นคนแรกที่วิพากษ์วิจารณ์การพิชิต ในปี ค.ศ. 1590 Jesuit J. de Acosta ได้ตีพิมพ์ประวัติธรรมชาติและศีลธรรมของชาวอินเดีย ในบราซิล G. Soares de Sousa เขียนพงศาวดารที่มีข้อมูลมากที่สุดเรื่องหนึ่งในยุคนี้ - "Description of Brazil in 1587, or News of Brazil" ที่มาของวรรณคดีบราซิลก็มีคณะเยซูอิต เจ เดอ อันชีเอตา ผู้เขียนบทพงศาวดาร คำเทศนา บทกวีและบทละครทางศาสนา (อัตโนมัติ) ด้วย นักเขียนบทละครที่สำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 16 ได้แก่ E. Fernandez de Eslaya ผู้เขียนบทละครทางศาสนาและฆราวาส และ J. Ruiz de Alarcón ความสำเร็จสูงสุดในประเภทบทกวีมหากาพย์คือบทกวี "ความยิ่งใหญ่ของเม็กซิโก" (1604) โดย B. de Balbuena "ความสง่างามเกี่ยวกับชายผู้รุ่งโรจน์แห่งอินเดีย" (1589) โดย J. de Castellanos และ "Araucanos" ( ค.ศ. 1569-1589) โดย A. de Ercilla-i- Sunigi ซึ่งบรรยายถึงการพิชิตชิลี

ในช่วงยุคอาณานิคม วรรณกรรมของละตินอเมริกามุ่งเน้นไปที่แนวโน้มวรรณกรรมที่ได้รับความนิยมในยุโรป (เช่น ในเมืองใหญ่) สุนทรียศาสตร์ของยุคทองของสเปน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสไตล์บาโรก ได้แทรกซึมเข้าสู่วงการปัญญาชนของเม็กซิโกและเปรูอย่างรวดเร็ว หนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดของร้อยแก้วละตินอเมริกาในศตวรรษที่ 17 - พงศาวดารของโคลอมเบีย J. Rodriguez Freile "El Carnero" (1635) มีศิลปะมากกว่าแบบประวัติศาสตร์ ทัศนคติทางศิลปะได้ปรากฏชัดยิ่งขึ้นในพงศาวดารของ C. Sigüenza y Gongora ของชาวเม็กซิกันเรื่อง "The Misadventures of Alonso Ramirez" ซึ่งเป็นเรื่องราวสมมติของกะลาสีเรืออับปาง หากเป็นนักเขียนร้อยแก้วแห่งศตวรรษที่ 17 เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถไปถึงระดับของการเขียนเชิงศิลปะที่เต็มเปี่ยม หยุดอยู่ครึ่งทางระหว่างพงศาวดารกับนวนิยาย กวีนิพนธ์ของยุคนี้มีการพัฒนาในระดับสูง แม่ชีชาวเม็กซิกัน ฮวนนา อิเนส เด ลาครูซ (ค.ศ. 1648-1695) ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในวรรณคดียุคอาณานิคม ได้สร้างตัวอย่างบทกวีบาโรกลาตินอเมริกาที่ไม่มีใครเทียบได้ ในบทกวีของชาวเปรูในศตวรรษที่ 17 การวางแนวปรัชญาและเสียดสีครอบงำสุนทรียศาสตร์ซึ่งแสดงออกในผลงานของ P. de Peralta Barnuevo และ J. del Valle y Caviedes ในบราซิล นักเขียนที่สำคัญที่สุดในยุคนี้คือ A. Vieira ผู้เขียนบทเทศนาและบทความต่างๆ และ A. Fernández Brandon ผู้เขียน Dialogue on the Magnificence of Brazil (ค.ศ. 1618)

ขั้นตอนการก่อตัวของครีโอลครีโอล - ทายาทของผู้ตั้งถิ่นฐานชาวสเปนและโปรตุเกสในละตินอเมริกาในอดีตอังกฤษ, ฝรั่งเศส, อาณานิคมของดัตช์ในละตินอเมริกา - ลูกหลานของทาสแอฟริกันในแอฟริกา - ลูกหลานจากการแต่งงานของชาวแอฟริกันด้วย ชาวยุโรป การตระหนักรู้ในตนเองในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ได้มาซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทัศนคติที่สำคัญต่อสังคมอาณานิคมและความจำเป็นในการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ได้แสดงไว้ในหนังสือเสียดสีของ Peruvian A. Carrio de La Vandera "Guide of the Blind Wanderers" (1776) เรื่องน่าสมเพชที่รู้แจ้งแบบเดียวกันนี้ได้รับการยืนยันโดย F.J.E. de Santa Cruz y Espejo ชาวเอกวาดอร์ในหนังสือของเขา New Lucian of Quito หรือ The Awakener of the Minds ซึ่งเขียนในรูปแบบของบทสนทนา เม็กซิกัน H.H. Fernandez de Lisardi (1776-1827) เริ่มต้นอาชีพวรรณกรรมในฐานะนักกวีเสียดสี ในปี ค.ศ. 1816 เขาได้ตีพิมพ์นวนิยายละตินอเมริกาเรื่องแรกชื่อ Periquillo Sargniento ซึ่งเขาได้แสดงความคิดทางสังคมที่สำคัญภายในประเภท picaresque ระหว่าง พ.ศ. 2353-2568 สงครามประกาศอิสรภาพเกิดขึ้นในละตินอเมริกา ในยุคนี้ กวีนิพนธ์เข้าถึงเสียงสะท้อนของสาธารณชนได้มากที่สุด ตัวอย่างที่โดดเด่นของการใช้ประเพณีคลาสสิกคือบทกวีวีรชน "เพลงถึงโบลิวาร์" ไซมอน โบลิวาร์ (พ.ศ. 2326 - พ.ศ. 2373) ซึ่งเป็นนายพลซึ่งเป็นผู้นำการต่อสู้เพื่อเอกราชของอาณานิคมสเปนในอเมริกาใต้ ใน 1,833 เขาได้รับการประกาศอิสรภาพโดยสภาแห่งชาติของเวเนซุเอลา. ในปี ค.ศ. 1824 เขาได้ปลดปล่อยเปรูและกลายเป็นหัวหน้าของสาธารณรัฐโบลิเวียซึ่งก่อตั้งขึ้นในดินแดนส่วนหนึ่งของเปรูซึ่งได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา หรือชัยชนะที่ Junin” โดย H.H. ของเอกวาดอร์ โอลเมโด A. Bello กลายเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและวรรณกรรมของขบวนการเพื่ออิสรภาพ มุ่งมั่นในบทกวีของเขาเพื่อสะท้อนประเด็นละตินอเมริกาในประเพณีนีโอคลาสซิซิสซึ่ม กวีที่สำคัญที่สุดคนที่สามของยุคนั้นคือ H.M. Heredia (1803-1839) ซึ่งกวีนิพนธ์กลายเป็นเวทีเปลี่ยนผ่านจาก neoclassicism ไปสู่แนวโรแมนติก ในกวีนิพนธ์บราซิลแห่งศตวรรษที่ 18 ปรัชญาของการตรัสรู้รวมกับนวัตกรรมโวหาร ตัวแทนที่ใหญ่ที่สุดคือ T.A. กอนซากา, มิ.ย. ดา ซิลวา อัลวาเรนก้า และไอ.เจ. ใช่ อัลวาเรนก้า เปโซโต

ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 ในวรรณคดีละตินอเมริกา อิทธิพลของแนวโรแมนติกยุโรปมีชัย ลัทธิเสรีภาพส่วนบุคคล การละทิ้งประเพณีของสเปน และความสนใจครั้งใหม่ในหัวข้อของชาวอเมริกัน สัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการตระหนักรู้ในตนเองที่เพิ่มขึ้นของประเทศกำลังพัฒนา ความขัดแย้งระหว่างค่านิยมอารยธรรมยุโรปกับความเป็นจริงของแอกอาณานิคมของประเทศอเมริกาที่เพิ่งถูกโยนทิ้งไปได้กลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวในฝ่ายค้าน "ความป่าเถื่อน - อารยธรรม" ความขัดแย้งนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนและลึกซึ้งที่สุดในร้อยแก้วทางประวัติศาสตร์ของอาร์เจนตินาในหนังสือที่มีชื่อเสียงของ D.F. Sarmiento “อารยธรรมและความป่าเถื่อน ชีวประวัติของ Juan Facundo Quiroga "(1845) ในนวนิยายโดย H. Marmol" Amalia "(1851-1855) และในเรื่องราวของ E. Echeverria" The Slaughter "(c. 1839) ในศตวรรษที่ 19. ในวัฒนธรรมละตินอเมริกา มีงานเขียนที่โรแมนติกมากมาย ตัวอย่างที่ดีที่สุดของประเภทนี้ ได้แก่ Maria (1867) โดยชาวโคลอมเบีย J. Isaacs นวนิยาย Cecilia Valdez ของ Cuban S. Villaverde (1839) ที่อุทิศให้กับปัญหาการเป็นทาสและนวนิยายของ JL Mera ของเอกวาดอร์หรือ Drama Among the Savages (พ.ศ. 2422) สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของนักเขียนชาวลาตินอเมริกาในธีมอินเดีย ในการเชื่อมต่อกับความหลงใหลในสีท้องถิ่นในอาร์เจนตินาและอุรุกวัยทิศทางดั้งเดิมเกิดขึ้น - วรรณกรรม Gauchist (จาก Gaucho Gaucho - อาร์เจนตินาพื้นเมืองกลุ่มชาติพันธุ์และสังคมที่สร้างขึ้นจากการแต่งงานของชาวสเปนกับผู้หญิงอินเดียในอาร์เจนตินา Gaucho ใช้ชีวิตเร่ร่อนและเป็นคนเลี้ยงแกะตามกฎแล้ว ลูกหลานของ gaucho กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอาร์เจนตินา” คนเลี้ยงแกะโคบาลมีลักษณะเป็นรหัสแห่งเกียรติยศความกล้าหาญไม่สนใจความตายความรักในความตั้งใจและที่ ในเวลาเดียวกันการรับรู้ความรุนแรงเป็นบรรทัดฐาน - อันเป็นผลมาจากความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับกฎหมายที่เป็นทางการ) Gaucho เป็นบุคคลธรรมดา (“สัตว์เดรัจฉาน”) ที่อาศัยอยู่อย่างกลมกลืนกับป่า กับพื้นหลังนี้ - ปัญหาของ "ความป่าเถื่อน - อารยธรรม" และการค้นหาอุดมคติของความสามัคคีระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ตัวอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ของกวีนิพนธ์ Gauchist คือบทกวีมหากาพย์ของ J. Hernandez "Gaucho Martin Fierro" (1872) ของอาร์เจนตินา

ธีมโคบาลพบการแสดงออกอย่างเต็มรูปแบบในผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของร้อยแก้วอาร์เจนตินา - นวนิยายโดย Ricardo Guiraldes "Don Segundo Sombra" (1926) ซึ่งนำเสนอภาพลักษณ์ของครูโกโกผู้สูงศักดิ์

นอกจากวรรณคดี Gauchist แล้ว วรรณกรรมอาร์เจนตินายังมีงานที่เขียนในประเภทแทงโก้โดยเฉพาะอีกด้วย ในพวกเขาการกระทำถูกย้ายจาก pampa Pampa (pampas, Spanish) - ที่ราบในอเมริกาใต้ตามกฎแล้วมันคือที่ราบกว้างใหญ่หรือทุ่งหญ้า เนื่องจากมีการเลี้ยงปศุสัตว์เป็นจำนวนมาก พืชพรรณจึงแทบไม่ได้รับการอนุรักษ์ เปรียบได้กับที่ราบกว้างใหญ่ของรัสเซีย และเซลวา Selva - ป่า ไปที่เมืองและชานเมืองและด้วยเหตุนี้ฮีโร่ชายขอบคนใหม่จึงปรากฏขึ้นทายาทของ gaucho - ถิ่นที่อยู่ในเขตชานเมืองและชานเมืองของเมืองใหญ่โจร kumanek-komadrito ด้วยมีดและกีตาร์ในของเขา มือ. คุณสมบัติ: อารมณ์ของความปวดร้าว, อารมณ์แปรปรวน, พระเอกมักจะ "ออก" และ "ต่อต้าน" คนแรกที่หันไปหาบทกวีแทงโก้คือกวีชาวอาร์เจนตินา Evarsito Carriego อิทธิพลของแทงโก้ต่อวรรณคดีอาร์เจนตินาในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ยี่สิบ อย่างมีนัยสำคัญตัวแทนของทิศทางต่าง ๆ ได้รับอิทธิพลของเขาบทกวีของแทงโก้แสดงออกอย่างชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานของ Borges ต้น Borges เรียกงานแรกของเขาว่า "ตำนานแห่งย่านชานเมือง" ในเมืองบอร์เกส วีรบุรุษชายขอบคนเดิมของชานเมืองกลายเป็นวีรบุรุษของชาติ เขาสูญเสียตัวตนและกลายเป็นสัญลักษณ์ภาพตามแบบฉบับ

ผู้ก่อตั้งและตัวแทนที่ใหญ่ที่สุดของสัจนิยมในวรรณคดีละตินอเมริกาคือ Chilean A. Blest Ghana (1830-1920) และ Naturalism พบรูปแบบที่ดีที่สุดในนวนิยายของ Argentinean E. Cambaceres "The Whistle of the Fool" (1881- พ.ศ. 2427 และ "ไร้จุดมุ่งหมาย" (พ.ศ. 2428)

ตัวเลขที่ใหญ่ที่สุดในวรรณคดีละตินอเมริกาในศตวรรษที่ 19 กลายเป็นคิวบา เจ. มาร์ตี (1853-1895) กวี นักคิด และนักการเมืองที่โดดเด่น เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตในการลี้ภัยและเสียชีวิตในสงครามประกาศอิสรภาพของคิวบา ในผลงานของเขา เขายืนยันแนวความคิดของศิลปะว่าเป็นการกระทำเพื่อสังคม และปฏิเสธทุกรูปแบบของสุนทรียศาสตร์และอภิสิทธิ์ มาร์ตี้ตีพิมพ์บทกวีสามชุด ได้แก่ Free Poems (1891), Ismaelillo (1882) และ Simple Poems (1882)

กวีนิพนธ์ของเขามีลักษณะเฉพาะที่ความเข้มข้นของความรู้สึกเชิงโคลงสั้นและความลึกซึ้งของความคิดด้วยความเรียบง่ายภายนอกและความชัดเจนของรูปแบบ

ในปีสุดท้ายของศตวรรษที่ 19 ในละตินอเมริกา ความทันสมัยทำให้ตัวเองรู้สึกได้ เกิดขึ้นภายใต้อิทธิพลของ Parnassians และ Symbolists ของฝรั่งเศส ความทันสมัยของสเปน - อเมริกันมุ่งเน้นไปที่ภาพที่แปลกใหม่และประกาศลัทธิแห่งความงาม จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวนี้เกี่ยวข้องกับการตีพิมพ์บทกวี "Azure" (1888) โดยกวีนิการากัว Ruben Dari "o (1867-1916) ในบรรดาดาราจักรของผู้ติดตามจำนวนมากของเขา Leopold Lugones ชาวอาร์เจนตินา (1874- 2481) ผู้แต่งคอลเล็กชั่นสัญลักษณ์ " Golden Mountains "(2440 ), โคลอมเบีย JA Silva, Bolivian R. Jaimes Freire ผู้สร้างจุดสังเกตสำหรับการเคลื่อนไหวทั้งหมดหนังสือ "Barbarian Castalia" (1897), Uruguayans Delmira Agustini และ J. Herrera y Reissig ชาวเม็กซิกัน M. Gutierrez Najera, A. Nervo และ S. Diaz Miron, Peruvians M. Gonzalez Prada และ J. Santos Ciocano, Cuban J. del Casal ตัวอย่างที่ดีที่สุดของร้อยแก้วสมัยใหม่คือนวนิยาย The Glory of Don Ramiro (1908) โดย Argentine E. Laretta ในวรรณคดีบราซิลความประหม่าสมัยใหม่แบบใหม่พบการแสดงออกที่สูงขึ้นในกวีนิพนธ์ของ A. Gonsalvis Di`as (1823-1864)

ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 19 และ 20 แนวเรื่อง นวนิยายสั้น เรื่องสั้น (ชีวิตประจำวัน นักสืบ) ที่ยังไม่ถึงระดับสูงได้แพร่หลาย ในยุค 20. ศตวรรษที่ยี่สิบถูกสร้างขึ้นโดยสิ่งที่เรียกว่า ระบบนวนิยายครั้งแรก นวนิยายเรื่องนี้นำเสนอโดยส่วนใหญ่เป็นประเภทของนวนิยายทางสังคมและสังคมและการเมือง นวนิยายเหล่านี้ยังคงขาดการวิเคราะห์ทางจิตวิทยาที่ซับซ้อน ลักษณะทั่วไป และด้วยเหตุนี้ ร้อยแก้วนวนิยายของสมัยนั้นจึงไม่ได้ให้ชื่อที่สำคัญ ตัวแทนที่ใหญ่ที่สุดของนวนิยายสมจริงในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 กลายเป็น J. Maschado de Assis อิทธิพลลึกซึ้งของโรงเรียน Parnassian ในบราซิลสะท้อนให้เห็นในผลงานของกวี A. de Oliveira และ R. Correya และกวีนิพนธ์ของ J. da Cruz-y-Sousa โดดเด่นด้วยอิทธิพลของสัญลักษณ์ภาษาฝรั่งเศส ในเวลาเดียวกัน ความทันสมัยในเวอร์ชั่นบราซิลนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเวอร์ชั่นสเปน-อเมริกัน ความทันสมัยของบราซิลเกิดขึ้นในช่วงต้นปี ค.ศ. 1920 โดยข้ามแนวความคิดทางสังคมวัฒนธรรมระดับชาติกับทฤษฎีแนวหน้า ผู้ก่อตั้งและผู้นำทางจิตวิญญาณของขบวนการนี้คือ M. de Andrade (1893-1945) และ O. de Andrade (1890-1954)

วิกฤตการณ์ทางจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้งของวัฒนธรรมยุโรปในช่วงเปลี่ยนศตวรรษทำให้ศิลปินชาวยุโรปหลายคนหันไปหาประเทศโลกที่สามเพื่อค้นหาค่านิยมใหม่ ในส่วนของพวกเขา นักเขียนชาวลาตินอเมริกาที่อาศัยอยู่ในยุโรปซึมซับและเผยแพร่แนวโน้มเหล่านี้ในวงกว้าง ซึ่งส่วนใหญ่กำหนดลักษณะงานของพวกเขาหลังจากเดินทางกลับภูมิลำเนาและการพัฒนาแนวโน้มวรรณกรรมใหม่ในละตินอเมริกา

กวีชาวชิลี Gabriela Mistral (1889-1957) เป็นนักเขียนลาตินอเมริกาคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล (1945) อย่างไรก็ตาม ขัดกับภูมิหลังของกวีนิพนธ์ละตินอเมริกาในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 เนื้อเพลงของเธอ เรียบง่ายและอยู่ในรูปแบบ ถูกมองว่าเป็นข้อยกเว้นมากกว่า ตั้งแต่ปี 1909 เมื่อ Leopold Lugones ตีพิมพ์คอลเลกชั่น "Sentimental Lunar" ซึ่งเป็นพัฒนาการของ L.-A. กวีนิพนธ์ใช้เส้นทางที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ตามหลักการพื้นฐานของศิลปะแนวหน้า ศิลปะถูกมองว่าเป็นการสร้างสรรค์ของความเป็นจริงใหม่และถูกต่อต้านกับการสะท้อนของความเป็นจริงที่เลียนแบบ (ที่นี่ - เลียนแบบ) แนวคิดนี้เป็นแกนหลักของ Creationism ด้วย: Creationism - ทิศทางที่สร้างขึ้นโดยกวีชาวชิลี Vincente Uydobro (1893-1948) หลังจากที่เขากลับจากปารีส Vincent Uydobro เข้าร่วมขบวนการ Dada อย่างแข็งขัน

เขาถูกเรียกว่าเป็นผู้บุกเบิกลัทธิสถิตยศาสตร์ในชิลี ในขณะที่นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าเขาไม่ยอมรับสองพื้นฐานของการเคลื่อนไหว นั่นคือ ระบบอัตโนมัติและลัทธิแห่งความฝัน เทรนด์นี้มาจากแนวคิดที่ว่าศิลปินสร้างโลกที่แตกต่างจากโลกจริง กวีชาวชิลีที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Pablo Neruda (1904, Parral -1973, Santiago ชื่อจริง - Neftali Ricardo Reyes Basualto) ผู้ได้รับรางวัลโนเบลปี 1971 บางครั้งมรดกทางกวี (43 คอลเลกชัน) ของ Pablo Neruda ถูกพยายามตีความว่าเหนือจริง แต่นี่เป็นปัญหาความขัดแย้ง ด้านหนึ่ง มีความเชื่อมโยงกับสถิตยศาสตร์แห่งกวีนิพนธ์ของเนรูด้า อีกด้านหนึ่ง มีความเชื่อมโยงกับวรรณกรรมกลุ่มหนึ่ง นอกเหนือจากความสัมพันธ์ของเขากับสถิตยศาสตร์แล้ว Pablo Neruda ยังเป็นที่รู้จักในฐานะกวีที่มีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมาก

ในช่วงกลางทศวรรษ 1930 กวีชาวเม็กซิกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 ประกาศตัวเอง Octavio Paz (เกิดปี 1914) ผู้ได้รับรางวัลโนเบล (1990) เนื้อเพลงเชิงปรัชญาของเขา สร้างขึ้นจากการเชื่อมโยงอย่างเสรี สังเคราะห์บทกวีของ TS Eliot และสถิตยศาสตร์ ตำนานอินเดียและศาสนาตะวันออก

ในอาร์เจนตินา ทฤษฎีแนวเปรี้ยวจี๊ดถูกรวบรวมไว้ในขบวนการ ultraist ซึ่งมองว่ากวีนิพนธ์เป็นการรวบรวมอุปมาอุปไมยที่ติดหู หนึ่งในผู้ก่อตั้งและตัวแทนที่ใหญ่ที่สุดของขบวนการนี้คือ Jorge Luis Borges (1899-1986) ในแอนทิลลิส แอล. ปาเลส มาโตส (ค.ศ. 1899-1959) และคิวบา เอ็น. กิลเลน (ค.ศ. 1902-1989) ยืนอยู่ที่หัวของลัทธิเนกริสม์ ซึ่งเป็นขบวนการวรรณกรรมในทวีปที่ออกแบบมาเพื่อระบุและอนุมัติชั้นแอฟริกันอเมริกันของละตินอเมริกา วัฒนธรรม. แนวโน้มปฏิเสธสะท้อนให้เห็นในผลงานของ Alejo Carpentier (1904, Havana - 1980, Paris) ช่างไม้เกิดในคิวบา (พ่อของเขาเป็นชาวฝรั่งเศส) นิยายเรื่องแรกของเขา Ekue-Yamba-O! เริ่มต้นในคิวบาในปี 2470 เขียนในปารีสและตีพิมพ์ในกรุงมาดริดในปี 2476 ขณะทำงานเกี่ยวกับนวนิยาย Carpentier อาศัยอยู่ในปารีสและเกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจกรรมของกลุ่มนักเหนือจริง ในปีพ.ศ. 2473 คาร์เพนเทียร์ได้ลงนามในหนังสือเล่มเล็ก ๆ ของเบรอตง คาร์เพนเทียร์สำรวจโลกทัศน์ของชาวแอฟริกันในฐานะที่เป็นศูนย์รวมของการรับรู้ชีวิตที่ไร้เดียงสา ไร้เดียงสา และไร้เดียงสา ท่ามกลางภูมิหลังของความหลงใหลในแนวเซอร์เรียลลิสต์ที่มีต่อ "ปาฏิหาริย์" ในไม่ช้า Carpeniera ก็ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน "ผู้ไม่เห็นด้วย" ในหมู่นักเหนือจริง ในปีพ.ศ. 2479 เขาได้อำนวยความสะดวกในการออกเดินทางของ Antonin Artaud ไปยังเม็กซิโก (เขาอยู่ที่นั่นประมาณหนึ่งปี) และไม่นานก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเขากลับไปคิวบาที่ฮาวานา ในรัชสมัยของฟิเดล คาสโตร ช่างไม้มีอาชีพที่โดดเด่นในฐานะนักการทูต กวี และนักประพันธ์ นวนิยายที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ The Age of Enlightenment (1962) และ The Vicissitudes of Method (1975)

ผลงานของกวีชาวละตินอเมริกาที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของศตวรรษที่ 20 เกิดขึ้นบนพื้นฐานแนวหน้า - ชาวเปรู Cesar Vallejo (1892-1938) จากหนังสือเล่มแรก - "Black Heralds" (1918) และ "Trilse" (1922) - ถึงคอลเล็กชัน "Human Poems" (1938) ตีพิมพ์มรณกรรมเนื้อเพลงของเขาทำเครื่องหมายด้วยความบริสุทธิ์ของรูปแบบและความลึกของเนื้อหาแสดง ความรู้สึกเจ็บปวดของการหลงทางในโลกสมัยใหม่ ความรู้สึกเศร้าโศกของความเหงา พบการปลอบโยนในความรักฉันพี่น้องเท่านั้น จดจ่ออยู่กับเวลาและความตาย

ด้วยการแพร่กระจายของเปรี้ยวจี๊ดในปี ค.ศ. 1920 ลาตินอเมริกา. การแสดงละครถูกชี้นำโดยกระแสหลักของละครยุโรป R. Arlt ชาวอาร์เจนติน่าและชาวเม็กซิกัน R. Usigli ได้เขียนบทละครหลายเรื่องซึ่งมองเห็นอิทธิพลของนักเขียนบทละครชาวยุโรป โดยเฉพาะ L. Pirandelo และ JB Shaw ต่อมาในแอล.-เอ. โรงละครถูกครอบงำโดยอิทธิพลของบี. จากสมัยใหม่ L. - และ. นักเขียนบทละครมีความโดดเด่น E. Carbalido จากเม็กซิโก, Argentine Griselda Gambaro, Chilean E. Wolff, Colombian E. Buenaventura และ Cuban J. Triana

นวนิยายระดับภูมิภาคซึ่งพัฒนาขึ้นในช่วงสามแรกของศตวรรษที่ 20 มุ่งเน้นไปที่การพรรณนาถึงลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น - ธรรมชาติ, โคบาล, latifundists Latifundism เป็นระบบการถือครองที่ดินซึ่งเป็นพื้นฐานของเจ้าของที่ดินที่เป็นทาส - latifundia Latifundism เกิดขึ้นเร็วเท่าศตวรรษที่ 2 ปีก่อนคริสตกาล เศษของลัทธิลัทธินิยมลัทธินิยมยังคงอยู่ในหลายประเทศในละตินอเมริกา การเมืองระดับจังหวัด ฯลฯ ; หรือเขาสร้างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ชาติขึ้นใหม่ (เช่น เหตุการณ์ในการปฏิวัติเม็กซิโก) ตัวแทนที่ใหญ่ที่สุดของแนวโน้มนี้คืออุรุกวัย O. Quiroga และโคลอมเบีย H. E. Rivera ผู้บรรยายถึงโลกที่โหดร้ายของเซลวา ชาวอาร์เจนติน่า R. Guiraldés ผู้สืบสานประเพณีของวรรณคดี Gauchist; ผู้ก่อตั้งนวนิยายเม็กซิกันแห่งการปฏิวัติ M. Azuela และนักประพันธ์ชาวเวเนซุเอลาที่มีชื่อเสียง Romulo Gallegos ในปี 1972 Marquez ได้รับรางวัล Romulo Gallegos International Prize

(เป็นประธานาธิบดีของเวเนซุเอลาใน พ.ศ. 2490-2491) Romulo Gallegos เป็นที่รู้จักจากนวนิยายของเขา "Donje Barbara" และ "Cantaclaro" (อ้างอิงจาก Marquez หนังสือที่ดีที่สุดของ Gallegos)

ควบคู่ไปกับลัทธิภูมิภาคนิยมในร้อยแก้วของครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 ลัทธิอินเดียนแดงพัฒนาขึ้น - ขบวนการวรรณกรรมที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนถึงสถานะปัจจุบันของวัฒนธรรมอินเดียและลักษณะเฉพาะของการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกของคนผิวขาว บุคคลที่เป็นตัวแทนมากที่สุดของลัทธิอินเดียนในสเปน - อเมริกันคือชาวเอกวาดอร์ J. Icaza ผู้เขียนนวนิยายชื่อดัง Wasipungo (1934) ชาวเปรู S. Alegria ผู้สร้างนวนิยาย In a Big and Alien World (1941) และ J.M. Arguedas ซึ่งสะท้อนความคิดของ Quechua สมัยใหม่ในนวนิยาย Deep Rivers (1958), Mexican Rosario Castellanos และผู้ได้รับรางวัลโนเบล (1967) นักเขียนร้อยแก้วชาวกัวเตมาลาและกวี Miguel Angel Asturias (1899-1974) Miguel ngel Asturias เป็นที่รู้จักในฐานะผู้แต่งนวนิยายเรื่อง "Senior President" ความคิดเห็นถูกแบ่งออกจากนวนิยายเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น Márquez เชื่อว่านี่เป็นหนึ่งในนวนิยายที่เลวร้ายที่สุดที่สร้างขึ้นในละตินอเมริกา นอกจากนิยายที่ยอดเยี่ยมแล้ว Asturias ยังเขียนผลงานชิ้นเล็กๆ เช่น Legends of Guatemala และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งทำให้เขาคู่ควรกับรางวัลโนเบล

จุดเริ่มต้นของ "นวนิยายละตินอเมริกาเรื่องใหม่" เกิดขึ้นในช่วงปลายยุค 30 ศตวรรษที่ XX เมื่อ Jorge Luis Borges ในงานของเขาบรรลุการสังเคราะห์ประเพณีละตินอเมริกาและยุโรปและมาถึงสไตล์ดั้งเดิมของเขาเอง รากฐานของการผสมผสานประเพณีต่าง ๆ ในงานของเขาคือค่านิยมสากลของมนุษย์ วรรณคดีลาตินอเมริกาค่อยๆ ได้มาซึ่งคุณสมบัติของวรรณคดีโลก และในระดับที่น้อยกว่า กลายเป็นระดับภูมิภาค โดยมุ่งเน้นไปที่ค่านิยมสากลของมนุษย์ทั่วไป และด้วยเหตุนี้ นวนิยายจึงกลายเป็นปรัชญามากขึ้นเรื่อยๆ

หลังปี ค.ศ. 1945 กระแสนิยมคืบหน้าซึ่งเกี่ยวข้องกับการดิ้นรนเพื่อปลดปล่อยชาติในละตินอเมริกาที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อันเป็นผลมาจากการที่ประเทศในละตินอเมริกาได้รับเอกราชอย่างแท้จริง ความสำเร็จทางเศรษฐกิจของเม็กซิโกและอาร์เจนตินา การปฏิวัติของชาวคิวบาปี 1959 (ผู้นำ - ฟิเดล คาสโตร) ดูบทบาทของเออร์เนสโต เช เกวารา (เช) ในทศวรรษ 1950 ในการปฏิวัติคิวบา เขาเป็นตัวตนของการปฏิวัติความรักความนิยมของเขาในคิวบาเป็นปรากฎการณ์ ในฤดูใบไม้ผลิปี 2508 เชหายตัวไปจากคิวบา ในจดหมายอำลาถึงฟิเดล คาสโตร เขาได้สละสัญชาติคิวบา โดยเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาอย่างสิ้นเชิง เขาเดินทางไปโบลิเวียเพื่อช่วยจัดระเบียบการปฏิวัติ เขาอาศัยอยู่ในโบลิเวียเป็นเวลา 11 เดือน เขาถูกยิงในปี 1967 มือของเขาถูกตัดและส่งไปยังคิวบา ศพของเขาถูกฝังอยู่ในสุสาน ... โบลิเวีย เพียงสามสิบปีต่อมาขี้เถ้าของเขาจะกลับไปคิวบา หลังจากการเสียชีวิตของ Che พวกเขาเรียกเขาว่า "คริสต์ในละตินอเมริกา" เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของกบฏ นักสู้เพื่อความยุติธรรม วีรบุรุษของชาติ นักบุญ

เมื่อถึงเวลานั้นเองที่วรรณกรรมละตินอเมริกาเรื่องใหม่ก็เกิดขึ้น ในยุค 60s. บัญชีสำหรับสิ่งที่เรียกว่า "ความเจริญ" ของวรรณคดีละตินอเมริกาในยุโรปอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปฏิวัติคิวบา ก่อนหน้าเหตุการณ์นี้ ยุโรปรู้จักละตินอเมริกาเพียงเล็กน้อยหรือไม่รู้เลย พวกเขามองว่าประเทศเหล่านี้เป็นประเทศที่ล้าหลังใน "โลกที่สาม" เป็นผลให้สำนักพิมพ์ในยุโรปและในละตินอเมริกาเองปฏิเสธที่จะเผยแพร่นวนิยายละตินอเมริกา ตัวอย่างเช่น Márquez ที่ได้เขียนโนเวลลาเรื่องแรกของเขาเรื่อง "Fallen Leaves" ราวๆ ปี 1953 ต้องรอประมาณสี่ปีกว่าจะได้รับการตีพิมพ์ หลังจากการปฏิวัติของคิวบา ชาวยุโรปและชาวอเมริกาเหนือได้ค้นพบไม่เพียงแค่คิวบาที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งนี้ด้วย ซึ่งเป็นคลื่นความสนใจในคิวบา ละตินอเมริกาทั้งหมดและวรรณกรรมของคิวบาด้วย ร้อยแก้วละตินอเมริกามีมานานแล้วก่อนที่จะเฟื่องฟู Juan Rulfo ตีพิมพ์ Pedro Paramo ในปี 1955; Carlos Fuentes นำเสนอ The Edge of Cloudless Clarity ในเวลาเดียวกัน Alejo Carpentier ได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มแรกของเขาก่อนหน้านั้นนาน ภายหลังการเฟื่องฟูของละตินอเมริกาในปารีสและนิวยอร์ก ต้องขอบคุณคำวิจารณ์เชิงบวกจากนักวิจารณ์ชาวยุโรปและอเมริกาเหนือ ผู้อ่านในละตินอเมริกาได้ค้นพบและตระหนักว่าพวกเขามีวรรณกรรมที่มีคุณค่าที่เป็นต้นฉบับเป็นของตัวเอง

ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ยี่สิบ ระบบนวนิยายท้องถิ่นถูกแทนที่ด้วยแนวคิดของระบบอินทิกรัล นักประพันธ์ชาวโคลอมเบีย Gabriel García Márquez บัญญัติศัพท์คำว่า "total" หรือ "integrating Romance" นวนิยายดังกล่าวควรมีปัญหาที่หลากหลายและแสดงถึงการประสานกันของประเภท: การผสมผสานขององค์ประกอบของนวนิยายเชิงปรัชญาจิตวิทยาและแฟนตาซี ใกล้เคียงกับจุดเริ่มต้นของยุค 40 ในศตวรรษที่ 20 แนวความคิดของร้อยแก้วใหม่ถูกกำหนดขึ้นในทางทฤษฎี ละตินอเมริกาพยายามที่จะตระหนักว่าตนเองเป็นปัจเจกบุคคล วรรณกรรมใหม่นี้ไม่เพียงแต่รวมเอาความสมจริงที่มีมนต์ขลังเท่านั้น แต่ยังมีประเภทอื่นๆ ที่กำลังพัฒนา: นวนิยายทางสังคมและในชีวิตประจำวัน นวนิยายทางสังคมและการเมือง และแนวโน้มที่ไม่สมจริง (Argentines Borges, Cortazar) แต่วิธีการชั้นนำก็คือความสมจริงทางเวทมนตร์ "สัจนิยมมหัศจรรย์" ในวรรณคดีลาตินอเมริกาเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ความสมจริงและการเป็นตัวแทนของตำนานพื้นบ้าน และสัจนิยมถูกมองว่าเป็นจินตนาการ และปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์ มหัศจรรย์ มหัศจรรย์เหมือนของจริง วัตถุมากกว่าความเป็นจริงด้วย Alejo Carpentier: "ความเป็นจริงที่หลากหลายและขัดแย้งกันของละตินอเมริกาทำให้เกิด" ปาฏิหาริย์ "และคุณเพียงแค่ต้องสามารถแสดงในคำวรรณกรรมได้"

ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1940 ชาวยุโรป Kafka, Joyce, A. Gide และ Faulkner เริ่มใช้อิทธิพลอย่างมากต่อนักเขียนละตินอเมริกา อย่างไรก็ตามในวรรณคดีละตินอเมริกาการทดลองอย่างเป็นทางการนั้นถูกรวมเข้ากับประเด็นทางสังคมและบางครั้งก็มีส่วนร่วมทางการเมืองแบบเปิด หากนักภูมิภาคและชาวอินเดียนแดงชอบที่จะพรรณนาถึงสภาพแวดล้อมในชนบท นวนิยายเรื่องคลื่นลูกใหม่นี้ ภูมิหลังของเมืองที่เป็นสากลก็มีชัย R. Arlt ชาวอาร์เจนติน่าแสดงให้เห็นในผลงานของเขาถึงการล้มละลายภายใน ความหดหู่ใจ และความแปลกแยกของชาวเมือง บรรยากาศที่มืดมนแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นในร้อยแก้วของเพื่อนร่วมชาติของเขา - E. Mallea (b. 1903) และ E. Sabato (b. 1911) ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง "On Heroes and Graves" (1961) อุรุกวัย H. K. Onetti วาดภาพชีวิตคนเมืองที่เยือกเย็นในนวนิยายเรื่อง The Well (1939), A Brief Life (1950), The Junta of Skeletons (1965) Borges หนึ่งในนักเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคของเรา กระโจนเข้าสู่โลกอภิปรัชญาแบบพอเพียงซึ่งสร้างขึ้นโดยการเล่นของตรรกะ การผสมผสานของการเปรียบเทียบ การเผชิญหน้าของแนวคิดเรื่องระเบียบและความวุ่นวาย ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ล - เอ วรรณกรรมนำเสนอความร่ำรวยและความหลากหลายของนิยายอย่างไม่น่าเชื่อ ในเรื่องราวและนวนิยายของเขา J. Cortazar ชาวอาร์เจนตินาได้สำรวจขอบเขตของความเป็นจริงและจินตนาการ Mario Vargas Llosa ชาวเปรู (เกิดปี 1936) เปิดเผยการเชื่อมต่อภายในของ L.-A. การทุจริตและความรุนแรงด้วยคอมเพล็กซ์ "ผู้ชาย" (ผู้ชาย Macho จากผู้ชายภาษาสเปน - ผู้ชาย "คนจริง") ชาวเม็กซิกันฮวน รัลโฟ หนึ่งในนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนี้ ในคอลเล็กชั่นเรื่องสั้น Plain on Fire (1953) และนวนิยาย (เรื่อง) เปโดร ปาราโม (1955) ได้เปิดเผยสารตั้งต้นในตำนานที่ลึกซึ้งซึ่งกำหนดความเป็นจริงสมัยใหม่ นวนิยายของฮวน รัลโฟ "เปโดร ปาราโม" มาร์เกซ เรียกว่าถ้าไม่ใช่นิยายที่ดีที่สุด ไม่กว้างขวางที่สุด ไม่สำคัญที่สุด แล้วนิยายที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาในภาษาสเปน Márquez พูดถึงตัวเองว่าถ้าเขาเขียน "Pedro Paramo" เขาจะไม่สนใจอะไรและจะไม่เขียนอะไรอีกตลอดชีวิตที่เหลือของเขา

นักประพันธ์ชาวเม็กซิกันชื่อดังระดับโลก Carlos Fuentes (เกิดปี 1929) ได้อุทิศผลงานของเขาเพื่อศึกษาลักษณะประจำชาติ ในคิวบา เจ. เลซามา ลิมาได้สร้างกระบวนการสร้างสรรค์งานศิลปะขึ้นใหม่ในนวนิยายเรื่อง Paradise (1966) ในขณะที่ Alejo Carpentier หนึ่งในผู้ก่อตั้ง "ความสมจริงอย่างมหัศจรรย์" ในนวนิยายเรื่อง "Age of Enlightenment" (1962) ได้รวมเอาเหตุผลนิยมของฝรั่งเศสเข้ากับ ความรู้สึกแบบเขตร้อน แต่ที่ "วิเศษ" ที่สุดของแอล - และ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ชาวโคลอมเบีย (เกิด พ.ศ. 2471) ผู้ได้รับรางวัลโนเบล พ.ศ. 2525 ได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้องว่าเป็นผู้แต่งนวนิยายชื่อดังเรื่อง One Hundred Years of Solitude (1967) นวนิยายเช่น The Betrayal of Rita Hayworth (1968) โดย Argentinean M. Puig, The Three Sad Tigers (1967) โดย Cuban G. Cabrera Infante, The Obscene Bird of the Night (1970) โดย Chilean J. Donoso และ คนอื่น.

งานวรรณกรรมบราซิลที่น่าสนใจที่สุดในประเภทของสารคดีคือหนังสือ "Sertans" (1902) ซึ่งเขียนโดยนักข่าว E. da Cunha นิยายร่วมสมัยของบราซิลนำเสนอโดย Jorge Amado (เกิดปี 1912) ผู้สร้างนวนิยายระดับภูมิภาคจำนวนมากที่มีความรู้สึกมีส่วนร่วมทางสังคม E. Verisim ซึ่งสะท้อนชีวิตในเมืองในนวนิยายเรื่อง "Crossroads" (1935) และ "Only Silence Remains" (1943); และนักเขียนชาวบราซิลรายใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20 J. Rosa ผู้ซึ่งในนวนิยายชื่อดังเรื่อง The Paths of the Great Sertana (1956) ได้พัฒนาภาษาศิลปะพิเศษเพื่อถ่ายทอดจิตวิทยาของชาวบราซิลกึ่งทะเลทรายอันกว้างใหญ่ นักประพันธ์ชาวบราซิลคนอื่นๆ ที่น่ากล่าวถึง ได้แก่ Raquel de Queiroz (The Three Maries, 1939), Clarice Lispector (The Hour of the Star, 1977), M. Souza (Galves, The Emperor of the Amazon, 1977) และ Nelida Pignon (The Heat Things) ”, 1980).

ความสมจริงของเวทมนตร์เป็นคำที่ใช้ในการวิจารณ์และการศึกษาวัฒนธรรมในลาตินอเมริกาในระดับความหมายต่างๆ ในความหมายที่แคบ เป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นกระแสในวรรณคดีละตินอเมริกาของศตวรรษที่ยี่สิบ บางครั้งตีความในเส้นเลือด ontology - เป็นค่าคงที่ถาวรของความคิดทางศิลปะของละตินอเมริกาอันเป็นผลมาจากชัยชนะของการปฏิวัติในคิวบายี่สิบปีต่อมาการสำแดงที่ชัดเจนของวัฒนธรรมสังคมนิยมซึ่งซึมซับประเพณีขลังได้กลายเป็นที่สังเกตได้ ... วรรณกรรมมหัศจรรย์เกิดขึ้นและยังคงทำงานภายในขอบเขตของภูมิภาควัฒนธรรมบางแห่ง: นี่คือประเทศในแถบแคริบเบียนและบราซิล วรรณกรรมนี้เกิดขึ้นนานก่อนที่ทาสแอฟริกันจะถูกส่งไปยังละตินอเมริกา วรรณกรรมชิ้นเอกชิ้นแรกคือ The Diary of Christopher Columbus ความโน้มเอียงดั้งเดิมของประเทศแถบแคริบเบียนต่อโลกทัศน์ที่มหัศจรรย์และมหัศจรรย์นั้นแข็งแกร่งขึ้นด้วยอิทธิพลของนิโกร เวทมนตร์ของแอฟริกาผสานเข้ากับจินตนาการของชาวอินเดียนแดงที่อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนโคลัมบัส เช่นเดียวกับจินตนาการของชาวอันดาลูเซีย และความเชื่อเรื่องลักษณะเหนือธรรมชาติของชาวกาลิเซียน การสังเคราะห์นี้ทำให้เกิดการพรรณนาถึงความเป็นจริงในละตินอเมริกาโดยเฉพาะ วรรณกรรมพิเศษ ("อื่นๆ") ภาพวาดและดนตรี ดนตรีแอฟโร-คิวบา คาลิปโซ คาลิปโซหรือเพลงประกอบพิธีกรรมของตรินิแดดสัมพันธ์กับวรรณคดีละตินอเมริกาที่มีมนต์ขลัง เช่นเดียวกันกับภาพวาดของวิลเฟรโด ลามะ ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงออกถึงสุนทรียะของความเป็นจริงเดียวกัน

ประวัติความเป็นมาของคำว่า "สัจนิยมมหัศจรรย์" สะท้อนถึงคุณสมบัติที่สำคัญของวัฒนธรรมละตินอเมริกา - การค้นหา "ของเรา" ใน "มนุษย์ต่างดาว" เช่น ยืมแบบจำลองและหมวดหมู่ของยุโรปตะวันตกและปรับใช้เพื่อแสดงเอกลักษณ์ของตนเอง สูตร "สัจนิยมมหัศจรรย์" ถูกนำมาใช้ครั้งแรกโดย F. Roh นักวิจารณ์ศิลปะชาวเยอรมันในปี 1925 ที่เกี่ยวข้องกับการวาดภาพแนวเปรี้ยวจี๊ด มันถูกใช้อย่างแข็งขันโดยนักวิจารณ์ชาวยุโรปในยุค 30 แต่ต่อมาก็หายไปจากการใช้ทางวิทยาศาสตร์ ในละตินอเมริกา นักเขียนและนักวิจารณ์ชาวเวเนซุเอลา A. Uslar-Pietri ฟื้นขึ้นมาในปี 1948 เพื่อแสดงลักษณะเฉพาะของวรรณคดีครีโอล คำนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในยุค 60 และ 70 ระหว่างช่วง "บูม" ของนวนิยายละตินอเมริกา แนวความคิดของสัจนิยมมหัศจรรย์ได้มาซึ่งความได้เปรียบก็ต่อเมื่อมันถูกนำไปใช้กับงานวรรณกรรมละตินอเมริกาช่วงศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะซึ่งมีลักษณะเฉพาะหลายประการที่แยกความแตกต่างจากตำนานและจินตนาการของยุโรปโดยพื้นฐาน คุณลักษณะเหล่านี้เป็นตัวเป็นตนในงานแรกของความสมจริงมหัศจรรย์ - เรื่องราวของ Alejo Carpentier "The Kingdom of the Earth" และนวนิยายโดย Miguel Angel Asturias "The Maize People" (ทั้ง - 1949) มีดังนี้: วีรบุรุษแห่งผลงาน ของสัจนิยมสัจนิยม ตามกฎแล้ว ชาวอินเดียนแดงหรือชาวแอฟริกันอเมริกัน (นิโกร) ; ในฐานะที่เป็นเลขชี้กำลังของความคิดริเริ่มในละตินอเมริกา พวกมันถูกมองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างจากยุโรปในรูปแบบการคิดและการรับรู้ที่แตกต่างกันไปของโลก สติสัมปชัญญะและโลกทัศน์ที่มีมนต์ขลังทำให้พวกเขามีปัญหาหรือเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับความเข้าใจร่วมกันกับคนผิวขาว ในวีรบุรุษแห่งสัจนิยมมหัศจรรย์หลักการส่วนตัวนั้นอู้อี้: พวกเขาทำหน้าที่เป็นพาหะของจิตสำนึกในตำนานส่วนรวมซึ่งกลายเป็นเป้าหมายหลักของภาพและด้วยเหตุนี้งานของสัจนิยมมหัศจรรย์จึงได้มาซึ่งคุณสมบัติของร้อยแก้วทางจิตวิทยา ผู้เขียนแทนที่มุมมองของผู้มีอารยะอย่างเป็นระบบด้วยมุมมองของบุคคลดึกดำบรรพ์และพยายามแสดงความเป็นจริงผ่านปริซึมของจิตสำนึกในตำนาน ด้วยเหตุนี้ ความเป็นจริงจึงผ่านการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์หลายประเภท

ในศตวรรษที่ยี่สิบ กวีนิพนธ์และหลักการทางศิลปะของสัจนิยมมหัศจรรย์ในวงกว้างพัฒนาภายใต้อิทธิพลของเปรี้ยวจี๊ดของยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถิตยศาสตร์ของฝรั่งเศส ความสนใจทั่วไปในการคิดแบบดึกดำบรรพ์ เวทมนตร์ ยุคดึกดำบรรพ์ ลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมยุโรปตะวันตกในช่วงที่สามแรกของศตวรรษที่ 20 ได้กระตุ้นความสนใจของนักเขียนชาวละตินอเมริกาในอินเดียนแดงและชาวแอฟริกันอเมริกัน ภายในวัฒนธรรมยุโรป แนวความคิดเกี่ยวกับความแตกต่างพื้นฐานระหว่างการคิดในตำนานก่อนมีเหตุผลและอารยะธรรมที่มีเหตุผลได้ถูกสร้างขึ้น นักเขียนชาวลาตินอเมริกายืมหลักการบางอย่างของการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ของความเป็นจริงจากศิลปินแนวหน้า ในเวลาเดียวกัน ตามตรรกะของการพัฒนาวัฒนธรรมละตินอเมริกาทั้งหมด การกู้ยืมทั้งหมดเหล่านี้ถูกโอนไปยังวัฒนธรรมของตนเอง คิดใหม่ และปรับเพื่อแสดงโลกทัศน์ของละตินอเมริกา ความป่าเถื่อนที่เป็นนามธรรม ซึ่งเป็นศูนย์รวมของการคิดเชิงตำนานเชิงนามธรรม ได้รับความเป็นรูปธรรมทางชาติพันธุ์ในผลงานของสัจนิยมมหัศจรรย์ แนวความคิดประเภทต่าง ๆ ถูกฉายไปสู่การเผชิญหน้าทางวัฒนธรรมและอารยธรรมระหว่างประเทศในละตินอเมริกาและยุโรป ความฝันที่เหนือจริง ("ปาฏิหาริย์") ถูกแทนที่ด้วยตำนานที่มีอยู่จริงในจิตสำนึกของชาวลาตินอเมริกา ที่. พื้นฐานทางอุดมคติของสัจนิยมเวทมนต์คือความปรารถนาของนักเขียนที่จะระบุและยืนยันการสร้างสรรค์ของความเป็นจริงและวัฒนธรรมในละตินอเมริกา ซึ่งระบุด้วยจิตสำนึกในตำนานของชาวอินเดียหรือแอฟริกันอเมริกัน

ลักษณะของสัจนิยมมหัศจรรย์:

การพึ่งพาคติชนวิทยาและตำนานซึ่งแบ่งตามเชื้อชาติ: แท้จริงอเมริกัน, สเปน, อินเดีย, แอฟริกา - คิวบา ในร้อยแก้วของมาร์เกซ มีคติชนวิทยาและแรงจูงใจในตำนานมากมาย ทั้งอินเดียน อัฟโฟร-คิวบา และแรงจูงใจในสมัยโบราณ ยิว คริสเตียน และคริสเตียน สามารถแบ่งออกตามบัญญัติและระดับภูมิภาคได้ เนื่องจาก ในละตินอเมริกา แต่ละท้องที่จะมีนักบุญหรือนักบุญของตนเอง

องค์ประกอบของงานรื่นเริง ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นการปฏิเสธขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างเสียงหัวเราะ "ต่ำ" และ "สูง" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าเศร้าอย่างร้ายแรง

การใช้งานพิสดาร นวนิยายของ Marquez และ Asturias ให้ภาพที่บิดเบี้ยวโดยเจตนาของโลก การเปลี่ยนรูปของเวลาและพื้นที่

ลักษณะทางวัฒนธรรม ตามกฎแล้วแรงจูงใจหลักนั้นเป็นสากลและเป็นที่รู้จักของผู้อ่านหลากหลาย - ทั้งละตินอเมริกาและยุโรป บางครั้งภาพเหล่านี้จงใจบิดเบือน บางครั้งภาพเหล่านั้นก็กลายเป็นวัสดุก่อสร้างชนิดหนึ่งสำหรับสร้างสถานการณ์เฉพาะ (นอสตราดามุสใน "หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว" โดย Marquez)

การใช้สัญลักษณ์.

พึ่งพาเรื่องราวในชีวิตจริง

โดยใช้เทคนิคการผกผัน องค์ประกอบเชิงเส้นของข้อความซึ่งส่วนใหญ่มักจะกลับด้านนั้นหายาก ในงานของ Marquez การผกผันสามารถสลับกับเทคนิค "รังตุ๊กตา"; สำหรับช่างไม้ การผกผันมักปรากฏให้เห็นในการแสดงออกถึงธรรมชาติของวัฒนธรรม ใน Bastos เช่น ความโรแมนติกเริ่มต้นจากตรงกลาง

หลายระดับ

นีโอบาโรก

ศาสตราจารย์ Omar Calabrese แห่งมหาวิทยาลัย Bologna เป็นคนเดียวกันกับ Umberto Eco ในหนังสือ "Neo-Baroque: The Sign of the Times" ได้กล่าวถึงหลักการของนีโอบาโรก:

1) สุนทรียศาสตร์ของการทำซ้ำ: การทำซ้ำองค์ประกอบเดียวกันนำไปสู่การสร้างความหมายใหม่เนื่องจากจังหวะที่ขาดและไม่สม่ำเสมอของการทำซ้ำเหล่านี้

2) สุนทรียศาสตร์ของส่วนเกิน: การทดลองเกี่ยวกับการขยายขอบเขตของธรรมชาติและวัฒนธรรมจนถึงขีด จำกัด สุดท้าย (สามารถแสดงออกในความเป็นตัวตนที่มากเกินไปของฮีโร่, "เนื้อหา" ซึ่งเกินความจริงของสไตล์, ความน่าเกรงขามของตัวละครและผู้บรรยาย; ผลที่ตามมาจากจักรวาลและในตำนานของเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน

3) สุนทรียภาพของการกระจายตัว: การเปลี่ยนการเน้นจากทั้งหมดไปยังรายละเอียดและ / หรือส่วนย่อย, ความซ้ำซ้อนของรายละเอียด "ซึ่งรายละเอียดกลายเป็นระบบ";

4) ภาพลวงตาของความโกลาหล: การครอบงำของ "รูปแบบที่ไม่มีรูปแบบ", "ไพ่"; ความไม่ต่อเนื่อง ความไม่สม่ำเสมอเป็นหลักการองค์ประกอบที่โดดเด่นซึ่งรวมข้อความที่ไม่เท่ากันและต่างกันเข้าเป็นเมทาเท็กซ์เดียว ความไม่ละลายของการชนซึ่งจะกลายเป็นระบบของ "นอต" และ "เขาวงกต": ความสุขของการแก้ปัญหาถูกแทนที่ด้วย "รสชาติของการสูญเสียและปริศนา" แรงจูงใจของความว่างเปล่าและการขาด

ข้ามไปยังวรรณกรรมที่มีความสามารถเท่าเทียมกัน - ลาตินอเมริกา ฉบับ โทรเลขได้คัดเลือกนวนิยายและผลงานของนักเขียนที่ดีที่สุด 10 อันดับจากลาตินอเมริกาไว้ที่นั่น การเลือกเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การอ่านในช่วงฤดูร้อน คุณอ่านผู้เขียนคนไหน

เกรแฮม กรีน “พลังและศักดิ์ศรี” (1940)

คราวนี้เป็นนวนิยายของนักเขียนชาวอังกฤษ Graham Greene เกี่ยวกับบาทหลวงคาทอลิกในเม็กซิโกในช่วงทศวรรษที่ 1920 และ 1930 ในเวลาเดียวกัน การกดขี่ข่มเหงคริสตจักรคาทอลิกอย่างรุนแรงโดยองค์กรทหารเสื้อแดงก็เกิดขึ้นในประเทศ ตัวละครหลักตรงกันข้ามกับคำสั่งของเจ้าหน้าที่ภายใต้ความเจ็บปวดจากการถูกยิงโดยไม่มีการพิจารณาคดีหรือการสอบสวนยังคงเดินอยู่ในหมู่บ้านห่างไกล (หนึ่งในนั้นภรรยาของเขาอาศัยอยู่กับลูกของเขา) เพื่อทำหน้าที่มิสซาให้บัพติศมาสารภาพและ ร่วมกับนักบวชของเขา ในปีพ.ศ. 2490 นวนิยายเรื่องนี้ถ่ายทำโดยจอห์น ฟอร์ด

Ernesto Che Guevara "ไดอารี่ของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์" (1993)

เรื่องราวของเช เกวารา นักศึกษาแพทย์วัย 23 ปี ออกเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์จากอาร์เจนตินา เขากลับมาในฐานะบุคคลที่มีภารกิจ ตามที่ลูกสาวของเขาจากที่นั่นเขากลับมามีความอ่อนไหวต่อปัญหาในละตินอเมริกามากขึ้น การเดินทางกินเวลาเก้าเดือน ในช่วงเวลานี้เขาครอบคลุมแปดพันกิโลเมตร นอกจากมอเตอร์ไซค์แล้ว เขายังเดินทางด้วยม้า เรือกลไฟ เรือข้ามฟาก รถประจำทาง และโบกรถ หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวของการเดินทางที่รู้จักตนเอง

Octavio Paz "เขาวงกตแห่งความเหงา" (1950)

"ความเหงาเป็นความหมายลึกซึ้งของการดำรงอยู่ของมนุษย์",- เขียนกวีชาวเม็กซิกัน Octavio Paz ในคอลเล็กชั่นบทกวีที่มีชื่อเสียงนี้ “คนๆ หนึ่งมักจะโหยหาและแสวงหาการมีส่วนร่วม ดังนั้น ทุกครั้งที่เรารู้สึกเหมือนมนุษย์ เรารู้สึกว่าไม่มีคนอื่น เราจึงรู้สึกเหงา " Paz เข้าใจสิ่งที่สวยงามและลึกซึ้งอีกมากมายเกี่ยวกับความเหงาและกลายเป็นบทกวี

อิซาเบล อัลเลนเด้ “บ้านวิญญาณ” (1982)

เรื่องราวความรักใน Isabel Allende มาถึงเมื่อเธอได้รับข่าวว่าคุณปู่วัย 100 ปีของเธอกำลังจะเสียชีวิต เธอตัดสินใจเขียนจดหมายถึงเขา จดหมายฉบับนี้กลายเป็นต้นฉบับของนวนิยายเรื่องแรก "บ้านวิญญาณ".ในนั้น นักประพันธ์ได้สร้างประวัติศาสตร์ของชิลีโดยใช้ตัวอย่างของเทพนิยายของครอบครัวผ่านเรื่องราวของเฮโรอีนเพศหญิง "ห้าปี", - Allende พูด - ฉันเป็นสตรีนิยมอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครรู้จักคำนั้นในชิลี "นวนิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นในประเพณีที่ดีที่สุดของสัจนิยมมหัศจรรย์ มันถูกละทิ้งโดยผู้จัดพิมพ์หลายรายก่อนที่จะกลายเป็นหนังสือขายดีที่สุดในโลก

เปาโล โคเอลโญ "นักเล่นแร่แปรธาตุ" (1988)

หนังสือที่เข้า Guinness Book of Records สำหรับจำนวนการแปลโดยนักเขียนสมัยใหม่ นวนิยายเชิงเปรียบเทียบโดยนักเขียนชาวบราซิลเล่าเกี่ยวกับการเดินทางของคนเลี้ยงแกะ Andalusian ไปยังอียิปต์ แนวคิดหลักของหนังสือเล่มนี้คือ หากคุณต้องการอะไรมากจริงๆ มันจะเกิดขึ้น

โรแบร์โต้ โบลาโญ่ "นักสืบป่า" (1998)

“เกิดในปี 1953 ซึ่งเป็นปีที่สตาลินและดีแลน โธมัสเสียชีวิต” โบลาโญเขียนไว้ในชีวประวัติของเขา นี่คือเรื่องราวของการค้นหากวีชาวเม็กซิกันในยุค 1920 โดยกวีอีกสองคน - Arturo Bolaño (ต้นแบบของผู้เขียน) และชาวเม็กซิกัน Ulysses Lima สำหรับเขา นักเขียนชาวชิลีได้รับรางวัล Romulo Gallegos Prize

ลอร่า เอสควิเวล “เหมือนน้ำสำหรับช็อคโกแลต” (1989)

“เราทุกคนเกิดมาพร้อมกับกล่องไม้ขีดไฟ และเนื่องจากเราไม่สามารถจุดไฟเองได้ เราต้องการออกซิเจนและเปลวเทียนเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นระหว่างการทดลอง”,- เขียน Esquivel ในเรื่องประโลมโลกเม็กซิกันที่มีเสน่ห์และสมจริง คุณสมบัติหลักของงานคืออารมณ์ของตัวละครหลัก Tita ตกลงไปในอาหารจานอร่อยทั้งหมดที่เธอเตรียม