ซิมโฟนีคือบทเพลง ซิมโฟนีในพจนานุกรมศัพท์ดนตรี
ซิมโฟนี(จากภาษากรีก "พยัญชนะ") - ชิ้นส่วนสำหรับวงออเคสตราซึ่งประกอบด้วยหลายส่วน ซิมโฟนีเป็นรูปแบบดนตรีที่มากที่สุดในบรรดาดนตรีออเคสตราคอนเสิร์ต
โครงสร้างแบบคลาสสิก
เนื่องจากความคล้ายคลึงกันของโครงสร้างกับโซนาตา ซิมโฟนีจึงสามารถเรียกได้ว่าเป็นแกรนด์โซนาตาสำหรับวงออเคสตรา โซนาตาและซิมโฟนี เช่นเดียวกับทรีโอ ควอเตต ฯลฯ อยู่ใน "วงจรโซนาตา-ซิมโฟนิก" ซึ่งเป็นรูปแบบดนตรีที่เป็นวัฏจักรของงานซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะนำเสนออย่างน้อยหนึ่งส่วน (มักจะเป็นส่วนแรก) ใน แบบฟอร์มโซนาต้า วัฏจักรโซนาตา-ซิมโฟนิกเป็นรูปแบบวัฏจักรที่ใหญ่ที่สุดในบรรดารูปแบบเครื่องดนตรีล้วนๆ
เช่นเดียวกับในโซนาตา ซิมโฟนีคลาสสิกมีสี่การเคลื่อนไหว:
- การเคลื่อนไหวครั้งแรกอย่างรวดเร็วเขียนในรูปแบบโซนาตา
- การเคลื่อนไหวที่สองในการเคลื่อนไหวช้าเขียนในรูปแบบของ rondo น้อยกว่าในรูปแบบของโซนาตาหรือรูปแบบการเปลี่ยนแปลง
- การเคลื่อนไหวที่สาม scherzo หรือ minuet ในรูปแบบสามส่วน
- การเคลื่อนไหวที่สี่อย่างรวดเร็วในรูปแบบโซนาตาหรือในรูปแบบของรอนโด, รอนโดโซนาตา
หากการเคลื่อนไหวครั้งแรกเขียนด้วยจังหวะปานกลาง ในทางกลับกัน อาจตามด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและจังหวะที่สามที่ช้า (เช่น ซิมโฟนีที่ 9 ของเบโธเฟน)
เมื่อพิจารณาว่าซิมโฟนีถูกออกแบบมาสำหรับพลังอันยิ่งใหญ่ของวงออเคสตรา แต่ละส่วนในนั้นจึงถูกเขียนในลักษณะที่กว้างและมีรายละเอียดมากกว่าตัวอย่างเช่นในเปียโนโซนาตาทั่วไป เนื่องจากความสมบูรณ์ของวิธีการแสดงของวงดุริยางค์ซิมโฟนีมีไว้เพื่อ การนำเสนอรายละเอียดของความคิดทางดนตรี
ประวัติซิมโฟนี
คำว่า ซิมโฟนี ใช้ในกรีกโบราณ ในยุคกลาง และส่วนใหญ่ใช้เพื่ออธิบายเครื่องดนตรีต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องดนตรีที่สามารถผลิตเสียงได้มากกว่าหนึ่งเสียงในแต่ละครั้ง ดังนั้นในประเทศเยอรมนี ซิมโฟนีจนถึงกลางศตวรรษที่ 18 จึงเป็นศัพท์ทั่วไปสำหรับฮาร์ปซิคอร์ดที่หลากหลาย - สปิเนทและเวอร์จินเนล ในฝรั่งเศสพวกเขาเรียกออร์แกน ออร์แกน ฮาร์ปซิคอร์ด กลองสองหัว ฯลฯ
คำว่า ซิมโฟนี เพื่อแสดงถึง "การประสานกัน" ดนตรีเริ่มปรากฏในชื่อผลงานบางชิ้นของศตวรรษที่ 16 และ 17 ในหมู่นักประพันธ์เพลงเช่น Giovanni Gabrieli (Sacrae symphoniae, 1597 และ Symphoniae sacrae 1615), Adriano Banchieri (Eclesiastiche Sinfonie, 1607 ), Lodovico Grossi da Viadana (Sinfonie musici, 1610) และ Heinrich Schutz (Symphoniae sacrae, 1629)
ซิมโฟนีที่ก่อตัวขึ้นภายใต้ Domenico Scarlatti เมื่อปลายศตวรรษที่ 17 ถือได้ว่าเป็นต้นแบบของซิมโฟนี แบบฟอร์มนี้ถูกเรียกว่าซิมโฟนีแล้วและประกอบด้วยสามส่วนที่ตัดกัน: allegro, andante และ allegro ซึ่งรวมเป็นหนึ่งเดียว เป็นรูปแบบนี้ที่มักถูกมองว่าเป็นผู้บุกเบิกโดยตรงของซิมโฟนีออร์เคสตรา คำว่า "ทาบทาม" และ "ซิมโฟนี" ใช้แทนกันได้เกือบตลอดศตวรรษที่ 18
ต้นกำเนิดที่สำคัญอื่น ๆ ของซิมโฟนีคือวงดนตรีออร์เคสตราซึ่งประกอบด้วยหลายส่วนในรูปแบบที่ง่ายที่สุดและส่วนใหญ่อยู่ในคีย์เดียวกันและคอนแชร์โต ripieno ซึ่งเป็นรูปแบบที่ชวนให้นึกถึงคอนแชร์โต้สำหรับเครื่องสายและคอนติเนนโต แต่ไม่มีเครื่องดนตรีเดี่ยว ในรูปแบบนี้ผลงานของ Giuseppe Torelli ถูกสร้างขึ้นและบางทีคอนเสิร์ต ripieno ที่โด่งดังที่สุดคือ "Brandenburg Concerto No. 3" โดย Johann Sebastian Bach
ผู้ก่อตั้งซิมโฟนีรุ่นคลาสสิคถือเป็นผู้ก่อตั้ง ในซิมโฟนีคลาสสิก เฉพาะการเคลื่อนไหวครั้งแรกและครั้งสุดท้ายเท่านั้นที่มีคีย์เดียวกัน ในขณะที่คีย์กลางเขียนด้วยคีย์ที่คล้ายกับคีย์หลัก ซึ่งจะกำหนดคีย์ของซิมโฟนีทั้งหมด ตัวแทนที่โดดเด่นของซิมโฟนีคลาสสิก ได้แก่ Wolfgang Amadeus Mozart และ Ludwig van Beethoven เบโธเฟนขยายวงซิมโฟนีอย่างมาก Symphony No. 3 ของเขา ("Heroic") ด้วยสเกลและช่วงอารมณ์ที่เหนือกว่างานก่อนหน้าทั้งหมด Symphony No. 5 ของเขาอาจเป็นซิมโฟนีที่มีชื่อเสียงที่สุดที่เคยเขียนมา ซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเขากลายเป็นหนึ่งใน "ซิมโฟนีประสานเสียง" วงแรกที่มีส่วนสำหรับศิลปินเดี่ยวและคณะนักร้องประสานเสียงในการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้าย
ซิมโฟนีโรแมนติกได้กลายเป็นการผสมผสานระหว่างรูปแบบคลาสสิกกับการแสดงออกที่โรแมนติก แนวโน้มของการเขียนโปรแกรมก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน ปรากฏ. ลักษณะเด่นของแนวโรแมนติกคือการเติบโตของรูปแบบ องค์ประกอบของวงออเคสตรา และความหนาแน่นของเสียง นักแต่งเพลงซิมโฟนีที่โดดเด่นที่สุดในยุคนี้ ได้แก่ Franz Schubert, Robert Schumann, Felix Mendelssohn, Hector Berlioz, Johannes Brahms, PI Tchaikovsky, A. Bruckner และ Gustav Mahler
ตั้งแต่ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในศตวรรษที่ 20 มีการเปลี่ยนแปลงของซิมโฟนีเพิ่มเติม โครงสร้างสี่ส่วนกลายเป็นทางเลือก: ซิมโฟนีสามารถมีได้ตั้งแต่หนึ่ง (ซิมโฟนีที่ 7) ถึงสิบเอ็ด (ซิมโฟนีที่ 14 โดย D. Shostakovich) หรือมากกว่า นักประพันธ์เพลงหลายคนทดลองกับขนาดของซิมโฟนี กุสตาฟ มาห์เลอร์จึงสร้างซิมโฟนีที่ 8 ของเขาที่เรียกว่าซิมโฟนีของผู้เข้าร่วมพันคน (เนื่องจากความแข็งแกร่งของวงออเคสตราและคณะนักร้องประสานเสียงที่ต้องแสดง) การใช้แบบฟอร์มโซนาต้าจะกลายเป็นทางเลือก
หลังจากซิมโฟนีที่ 9 ของเบโธเฟน คีตกวีเริ่มแนะนำส่วนเสียงร้องในซิมโฟนีบ่อยขึ้น อย่างไรก็ตาม ขนาดและเนื้อหาของเนื้อหาดนตรียังคงไม่เปลี่ยนแปลง
รายชื่อนักประพันธ์เพลงซิมโฟนีที่โดดเด่น
โจเซฟ ไฮเดน - 108 ซิมโฟนี
Wolfgang Amadeus Mozart - 41 (56) ซิมโฟนี
ลุดวิก ฟาน เบโธเฟน - 9 ซิมโฟนี
Franz Schubert - 9 ซิมโฟนี
Robert Schumann - 4 ซิมโฟนี
เฟลิกซ์ เมนเดลโซห์น - 5 ซิมโฟนี
Hector Berlioz - ซิมโฟนีหลายโปรแกรม
Antonín Dvořák - 9 ซิมโฟนี
โยฮันเนส บราห์มส์ - 4 ซิมโฟนี
Pyotr Tchaikovsky - 6 ซิมโฟนี (เช่นเดียวกับซิมโฟนี "Manfred")
Anton Bruckner - 10 ซิมโฟนี
กุสตาฟ มาห์เลอร์ - 10 ซิมโฟนี
- 7 ซิมโฟนี
Sergei Rachmaninoff - 3 ซิมโฟนี
Igor Stravinsky - 5 ซิมโฟนี
Sergei Prokofiev - 7 ซิมโฟนี
Dmitry Shostakovich - 15 ซิมโฟนี (รวมถึงซิมโฟนีหลายห้อง)
Alfred Schnittke - 9 ซิมโฟนี
คำ "ซิมโฟนี"แปลจากภาษากรีกว่า "พยัญชนะ" อันที่จริง เสียงของเครื่องดนตรีหลายชิ้นในวงออเคสตราสามารถเรียกได้ว่าเป็นดนตรีได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในทำนองเดียวกัน และไม่เปล่งเสียงแต่ละเสียงออกมาด้วยตัวเอง
ในสมัยกรีกโบราณ ชื่อนี้มาจากการผสมผสานของเสียงที่ไพเราะ การร้องเพลงร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง ในกรุงโรมโบราณ วงดนตรี วงออเคสตราเริ่มถูกเรียกว่า ในยุคกลาง ดนตรีฆราวาสโดยทั่วไปและเครื่องดนตรีบางชนิดเรียกว่าซิมโฟนี
คำนี้มีความหมายอื่น แต่ทั้งหมดมีความหมายของความเชื่อมโยง การมีส่วนร่วม การรวมกันที่กลมกลืนกัน ตัวอย่างเช่น หลักการของความสัมพันธ์ระหว่างคริสตจักรกับผู้มีอำนาจทางโลกซึ่งก่อตั้งขึ้นในจักรวรรดิไบแซนไทน์เรียกอีกอย่างว่าซิมโฟนี
แต่วันนี้เราจะพูดถึงแต่ซิมโฟนีทางดนตรีเท่านั้น
พันธุ์ซิมโฟนี
ซิมโฟนีคลาสสิก- เป็นงานดนตรีในรูปแบบโซนาตาไซเคิล มีไว้สำหรับการแสดงของวงซิมโฟนีออร์เคสตรา
ซิมโฟนี (นอกเหนือจากวงดุริยางค์ซิมโฟนี) อาจรวมถึงคณะนักร้องประสานเสียงและนักร้องนำ มีซิมโฟนี-สวีท ซิมโฟนี-แรปโซดี ซิมโฟนี-แฟนตาซี ซิมโฟนี-บัลลาด ซิมโฟนี่-ตำนาน ซิมโฟนี-กวี ซิมโฟนี-เรควีเอ็ม ซิมโฟนี-บัลเลต์ ซิมโฟนี-ละคร และซิมโฟนีในการแสดงละคร
โดยปกติซิมโฟนีคลาสสิกจะมี 4 ส่วน:
ส่วนแรก - ใน ก้าวอย่างรวดเร็ว(อัลเลโกร ) , ในรูปแบบโซนาต้า;
ส่วนที่สอง - ใน ก้าวช้าๆมักจะอยู่ในรูปแบบของการเปลี่ยนแปลง rondo, rondo sonata, สามส่วนที่ซับซ้อน, น้อยกว่าในรูปแบบของโซนาตา;
ส่วนที่สาม - scherzo หรือ minuet- ในรูปแบบสามส่วน da capo กับทรีโอ (นั่นคือตามโครงการ A-trio-A);
ส่วนที่สี่ - in ก้าวอย่างรวดเร็ว, ในรูปแบบโซนาต้า, ในรูปแบบรอนโดหรือรอนโดโซนาต้า
แต่ก็มีซิมโฟนีที่มีส่วนน้อย (หรือมากกว่า) ด้วย นอกจากนี้ยังมีซิมโฟนีส่วนเดียว
โปรแกรมซิมโฟนีเป็นซิมโฟนีที่มีเนื้อหาเฉพาะซึ่งมีการกำหนดไว้ในรายการหรือแสดงในชื่อเรื่อง หากซิมโฟนีมีชื่อเรื่อง แสดงว่าชื่อนี้เป็นโปรแกรมขั้นต่ำ เช่น "Fantastic Symphony" โดย G. Berlioz
จากประวัติวงซิมโฟนี
ผู้สร้างรูปแบบคลาสสิกของซิมโฟนีและการประสานเสียงถือเป็น ไฮเดน.
และต้นแบบของซิมโฟนีคือชาวอิตาลี ทาบทาม(วงดนตรีบรรเลงบรรเลงที่บรรเลงก่อนเริ่มการแสดง: โอเปร่า, บัลเลต์) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 17 มีส่วนสำคัญในการพัฒนาซิมโฟนีโดย โมสาร์ทและ เบโธเฟน... นักประพันธ์เพลงสามคนนี้เรียกว่า "Viennese classics" เพลงคลาสสิกของเวียนนาได้สร้างดนตรีบรรเลงชั้นสูง ซึ่งเนื้อหาที่เป็นรูปเป็นร่างทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ในรูปแบบศิลปะที่สมบูรณ์แบบ เวลานี้ยังใกล้เคียงกับการก่อตัวของวงดุริยางค์ซิมโฟนี - องค์ประกอบถาวร, กลุ่มออเคสตรา
วีเอ โมสาร์ท
โมสาร์ทเขียนในทุกรูปแบบและทุกประเภทที่มีอยู่ในยุคของเขาโดยให้ความสำคัญกับโอเปร่า แต่ยังให้ความสนใจอย่างมากกับดนตรีไพเราะ เนื่องจากตลอดชีวิตของเขาเขาทำงานควบคู่ไปกับโอเปร่าและซิมโฟนี ดนตรีบรรเลงของเขาจึงโดดเด่นด้วยความไพเราะของบทเพลงโอเปร่าและความขัดแย้งอันน่าทึ่ง โมสาร์ทได้สร้างซิมโฟนีมากกว่า 50 รายการ ซิมโฟนีสามรายการสุดท้ายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือหมายเลข 39 หมายเลข 40 และหมายเลข 41 ("ดาวพฤหัสบดี")
K. Schlosser "เบโธเฟนในที่ทำงาน"
เบโธเฟนสร้างซิมโฟนี 9 ตัว แต่ในแง่ของการพัฒนารูปแบบไพเราะและการประสานเสียง เขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นนักแต่งเพลงซิมโฟนีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคคลาสสิก ในซิมโฟนีที่เก้าของเขา ที่มีชื่อเสียงที่สุด ทุกส่วนถูกรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว ในการแสดงซิมโฟนีนี้ เบโธเฟนได้แนะนำส่วนเสียงร้อง หลังจากนั้นนักประพันธ์เพลงคนอื่นๆ ก็เริ่มทำส่วนนี้ ในรูปแบบของซิมโฟนีกล่าวคำใหม่ อาร์. ชูมานน์.
แต่แล้วในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ XIX รูปแบบที่เข้มงวดของซิมโฟนีเริ่มเปลี่ยนไป สี่ส่วนกลายเป็นตัวเลือก: ปรากฏ ส่วนหนึ่งซิมโฟนี (Myaskovsky, Boris Tchaikovsky), ซิมโฟนีจาก 11 ส่วน(โชสตาโควิช) และแม้กระทั่งจาก 24 ชิ้น(โฮวาเนส). ตอนจบที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วแบบคลาสสิกถูกแทนที่ด้วยตอนจบที่ช้า (Sixth Symphony ของ Tchaikovsky, Mahler's Third และ Ninth Symphonies)
ผู้เขียนซิมโฟนี ได้แก่ F. Schubert, F. Mendelssohn, I. Brahms, A. Dvořák, A. Bruckner, G. Mahler, Jan Sibelius, A. Webern, A. Rubinstein, P. Tchaikovsky, A. Borodin, N . Rimsky- Korsakov, N. Myaskovsky, A. Scriabin, S. Prokofiev, D. Shostakovich และคนอื่นๆ
องค์ประกอบของมันดังที่เราได้กล่าวไปแล้วนั้นได้ก่อตัวขึ้นในยุคของคลาสสิกเวียนนา
วงดนตรีซิมโฟนีออร์เคสตราขึ้นอยู่กับกลุ่มเครื่องดนตรีสี่กลุ่ม: สายโค้งคำนับ(ไวโอลิน วิโอลา เชลโล ดับเบิลเบส) ลมไม้(ฟลุต, โอโบ, คลาริเน็ต, บาสซูน, แซกโซโฟนที่มีหลากหลายพันธุ์ - เครื่องบันทึกเสียงเก่า, ชัลมีย์, ชาลีมูโม, ฯลฯ เช่นเดียวกับเครื่องดนตรีพื้นบ้านจำนวนหนึ่ง - บาลาบัน, ดูดุก, จาเลกา, ฟลุต, ซูร์นา) ทองเหลือง(ฮอร์นฝรั่งเศส, ทรัมเป็ต, คอร์เนต, ฟลูเกลฮอร์น, ทรอมโบน, ทูบา), กลอง(ทิมปานี, ระนาด, ไวบราโฟน, ระฆัง, กลอง, สามเหลี่ยม, ฉาบ, แทมบูรีน, แคสทาเนต, ที่นั่นและอื่น ๆ )
บางครั้งเครื่องดนตรีอื่น ๆ จะรวมอยู่ในวงออเคสตรา: พิณ, เปียโน, อวัยวะ(เครื่องดนตรีคีย์บอร์ด-ลม เครื่องดนตรีประเภทที่ใหญ่ที่สุด) celesta(เครื่องดนตรีประเภทเคาะคีย์บอร์ดขนาดเล็กที่มีลักษณะเหมือนเปียโน เสียงเหมือนระฆัง) ฮาร์ปซิคอร์ด.
ฮาร์ปซิคอร์ด
ใหญ่วงดุริยางค์ซิมโฟนีสามารถรวมนักดนตรีได้มากถึง 110 คน , เล็ก- ไม่เกิน 50.
ผู้ควบคุมวงตัดสินใจว่าจะนั่งวงออเคสตราอย่างไร การจัดเรียงนักแสดงของวงดุริยางค์ซิมโฟนีสมัยใหม่มุ่งเป้าไปที่การบรรลุถึงความดังก้องกังวาน ในยุค 50-70 ศตวรรษที่ XX แพร่กระจาย "ที่นั่งแบบอเมริกัน":ทางด้านซ้ายของตัวนำคือไวโอลินตัวแรกและตัวที่สอง ด้านขวา - วิโอลาและเชลโล; ในส่วนลึก - เขาไม้และทองเหลือง, เบสคู่; ทางด้านซ้าย - กลอง
ที่นั่งสำหรับนักดนตรีวงดุริยางค์ซิมโฟนี
ซิมโฟนีเป็นรูปแบบดนตรีบรรเลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งกว่านั้น คำกล่าวนี้เป็นจริงในทุกยุคทุกสมัย - สำหรับงานวรรณกรรมคลาสสิกของเวียนนา และสำหรับคู่รัก และสำหรับผู้แต่งเพลงในยุคต่อมา ...
Alexander Maykapar
แนวดนตรี: ซิมโฟนี
คำว่าซิมโฟนีมาจากภาษากรีก "ซิมโฟนี" และมีความหมายหลายประการ นักศาสนศาสตร์เรียกหนังสือนี้ว่าเป็นหนังสืออ้างอิงเกี่ยวกับการใช้คำที่พบในพระคัมภีร์ คำนี้แปลโดยพวกเขาว่าเป็นความยินยอมและข้อตกลง นักดนตรีแปลคำนี้เป็นพยัญชนะ
หัวข้อของบทความนี้คือซิมโฟนีเป็นแนวดนตรี ปรากฎว่าในบริบททางดนตรี คำว่า ซิมโฟนี มีความหมายต่างกันหลายประการ ดังนั้น บาคจึงเรียกผลงานอันยอดเยี่ยมของเขาสำหรับการแสดงซิมโฟนีของคลาเวียร์ \ หมายความว่าพวกมันเป็นตัวแทนของการผสมผสานที่กลมกลืน การผสมผสาน - ความสอดคล้อง - ของเสียงหลายเสียง (ในกรณีนี้ สาม) เสียง แต่การใช้คำนี้เป็นข้อยกเว้นในสมัยของ Bach - ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 18 ยิ่งกว่านั้นในงานของ Bach เขาแสดงดนตรีในสไตล์ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
และตอนนี้เราก็ใกล้จะถึงแก่นหลักของเรียงความของเราแล้ว นั่นคือซิมโฟนีที่เป็นงานออเคสตราหลายส่วนขนาดใหญ่ ในแง่นี้ การแสดงซิมโฟนีปรากฏขึ้นเมื่อราวปี ค.ศ. 1730 เมื่อวงดนตรีออร์เคสตราแนะนำโอเปร่าแยกออกจากตัวโอเปร่าเองและกลายเป็นงานออร์เคสตราอิสระ โดยใช้ทาบทามสามส่วนสไตล์อิตาลีเป็นพื้นฐาน
ความใกล้ชิดของซิมโฟนีกับการทาบทามนั้นปรากฏไม่เพียง แต่ในความจริงที่ว่าแต่ละส่วนของสามส่วนของทาบทาม: เร็ว - ช้า - เร็ว (และบางครั้งก็เป็นการแนะนำอย่างช้าๆ) กลายเป็นซิมโฟนีในการเคลื่อนไหวที่แยกจากกันอย่างอิสระ แต่ นอกจากนี้ ในความจริงที่ว่าทาบทามทำให้ซิมโฟนีมีแนวคิดที่ตัดกันระหว่างธีมหลัก (โดยปกติคือชายและหญิง) และด้วยเหตุนี้ซิมโฟนีจึงมีความตึงเครียดและความน่าดึงดูดใจที่จำเป็นสำหรับดนตรีขนาดใหญ่
หลักการสร้างสรรค์ของซิมโฟนี
หนังสือและบทความเกี่ยวกับดนตรีเชิงเขาทุ่มเทให้กับการวิเคราะห์รูปแบบของซิมโฟนีวิวัฒนาการ วัสดุทางศิลปะที่แสดงโดยประเภทของซิมโฟนีมีขนาดใหญ่มากทั้งในด้านปริมาณและในหลากหลายรูปแบบ ที่นี่เราสามารถสรุปหลักการทั่วไปที่สุดได้
1. ซิมโฟนีเป็นเพลงบรรเลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งกว่านั้น คำกล่าวนี้เป็นจริงในทุกยุคทุกสมัย และสำหรับงานวรรณกรรมคลาสสิกของเวียนนา และสำหรับคู่รัก และสำหรับนักประพันธ์เพลงในยุคต่อมา The Eighth Symphony (1906) โดย Gustav Mahler เช่น ความยิ่งใหญ่ในการออกแบบงานศิลปะ ถูกเขียนขึ้นเพื่อขนาดใหญ่ - แม้ตามความคิดของต้นศตวรรษที่ 20 - นักแสดง: วงดุริยางค์ซิมโฟนีขนาดใหญ่ถูกขยายด้วยลมไม้ 22 แบบ และเครื่องดนตรีประเภทเครื่องทองเหลือง 17 ชิ้น คะแนนยังรวมถึงคณะประสานเสียงแบบผสมและคณะนักร้องประสานเสียงของเด็กชายสองคน มีการเพิ่มศิลปินเดี่ยวแปดคน (สามคนโซปราโน สองอัลโต อายุ บาริโทนและเบส) และวงออเคสตราหลังเวที มักถูกเรียกว่า "ซิมโฟนีของสมาชิกพันคน" เพื่อที่จะทำการแสดง จำเป็นต้องสร้างเวทีของหอแสดงคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ขึ้นใหม่อีกครั้ง
2. เนื่องจากซิมโฟนีเป็นงานที่มีหลายส่วน (สาม- บ่อยกว่าสี่- และบางครั้งถึงห้าส่วน เช่น "อภิบาล" ของเบโธเฟนหรือ "มหัศจรรย์" ของแบร์ลิออซ) จึงเป็นที่ชัดเจนว่ารูปแบบดังกล่าวต้องมาก อย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซากจำเจ (ซิมโฟนีส่วนเดียวหายากมาก ตัวอย่างเช่น - Symphony No. 21 โดย N. Myaskovsky)
ซิมโฟนีมักประกอบด้วยภาพ แนวความคิด และธีมทางดนตรีมากมาย พวกมันมีการกระจายไปตามส่วนต่าง ๆ ซึ่งในทางกลับกัน - ตรงกันข้าม - สร้างความซื่อสัตย์ที่สูงกว่าโดยที่ซิมโฟนีจะไม่ถูกมองว่าเป็นงานเดียว
เพื่อให้แนวคิดเกี่ยวกับองค์ประกอบของส่วนต่างๆ ของซิมโฟนี เรานำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับผลงานชิ้นเอกหลายชิ้น ...
โมสาร์ท. ซิมโฟนีหมายเลข 41 "ดาวพฤหัสบดี" ใน C major
I. Allegro vivace
ครั้งที่สอง Andante cantabile
สาม. เมนูเอตโต้ อัลเลเกรตโต - Trio
IV. มอลโต อัลเลโกร
เบโธเฟน. ซิมโฟนีหมายเลข 3 ใน E-flat major, Op. 55 ("วีรบุรุษ")
I. Allegro con brio
ครั้งที่สอง Marcia funebre: Adagio assai
สาม. Scherzo: Allegro vivace
IV. ตอนจบ: Allegro molto, Poco Andante
ชูเบิร์ต ซิมโฟนีหมายเลข 8 ใน B minor (ที่เรียกว่า "ยังไม่เสร็จ")
I. อัลเลโกร moderato
ครั้งที่สอง อันดันเต้ คอน โมโต
แบร์ลิออซ ซิมโฟนีที่ยอดเยี่ยม
I. ความฝัน. Passion: Largo - Allegro agitato e appassionato assai - Tempo I - ศาสนา
ครั้งที่สอง บอล: วาลเซ่. อัลเลโกรไม่ใช่ทรอปโป
สาม. ฉากในทุ่ง: Adagio
IV. ขบวนการดำเนินการ: Allegretto non troppo
V. ความฝันในคืนวันสะบาโต: Larghetto - Allegro - Allegro
assai - Allegro - Lontana - Ronde du Sabbat - Dies irae
บรอดิน. ซิมโฟนีหมายเลข 2 "ฮีโร่"
I. อัลเลโกร
ครั้งที่สอง เชอร์โซ Prestissimo
สาม. อันดันเต้
IV. รอบชิงชนะเลิศ อัลเลโกร
3. ส่วนแรกนั้นซับซ้อนที่สุดในการออกแบบ ในซิมโฟนีคลาสสิก มักจะเขียนในรูปแบบของโซนาตา อัลเลโกร... ลักษณะเฉพาะของแบบฟอร์มนี้คือมีอย่างน้อยสองประเด็นหลักที่ชนกันและพัฒนาในนั้น ซึ่งในเงื่อนไขทั่วไปส่วนใหญ่สามารถพูดได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความเป็นชาย (โดยปกติชุดรูปแบบนี้เรียกว่า ปาร์ตี้หลักเนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มันผ่านในคีย์หลักของงาน) และหลักการของผู้หญิง (นี้ ชุดข้าง- เสียงในคีย์หลักที่เกี่ยวข้องอย่างใดอย่างหนึ่ง) สองธีมหลักนี้มีความเกี่ยวข้องกันและการเปลี่ยนจากหลักเป็นรองเรียกว่า ชุดเชื่อมต่อการนำเสนอเนื้อหาดนตรีทั้งหมดนี้มักจะมีตอนจบที่เสร็จสมบูรณ์บางส่วน ตอนนี้เรียกว่า ชุดสุดท้าย.
หากเราฟังซิมโฟนีคลาสสิกด้วยความสนใจที่ช่วยให้เราสามารถแยกแยะองค์ประกอบโครงสร้างเหล่านี้จากการรู้จักครั้งแรกด้วยองค์ประกอบที่กำหนดได้ทันที เราจะพบว่าในช่วงแรกมีการดัดแปลงธีมพื้นฐานเหล่านี้ ด้วยการพัฒนารูปแบบโซนาตา นักแต่งเพลงบางคน - และเบโธเฟนเป็นคนแรกในนั้น - สามารถระบุองค์ประกอบของผู้หญิงในรูปแบบของตัวละครชายและในทางกลับกัน และในระหว่างการพัฒนาธีมเหล่านี้ "ให้ความสว่าง" พวกเขาในรูปแบบต่างๆ วิธี นี่อาจเป็นรูปแบบที่สว่างที่สุด - ทั้งศิลปะและตรรกะ - ศูนย์รวมของหลักการวิภาษ
ส่วนแรกทั้งหมดของซิมโฟนีถูกสร้างขึ้นในรูปแบบสามส่วนซึ่งในตอนแรกจะนำเสนอแก่ผู้ฟังราวกับเปิดเผย (เพราะส่วนนี้เรียกว่าการอธิบาย) จากนั้นจึงผ่านการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลง (ส่วนที่สอง ส่วนคือการพัฒนา) และในที่สุดก็กลับมา - ในรูปแบบเดิม หรือในคุณภาพใหม่ (บรรเลง) นี่เป็นรูปแบบทั่วไปที่สุด ซึ่งนักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนได้มีส่วนร่วมบางอย่างในตัวเอง ดังนั้น เราจะไม่พบการออกแบบที่เหมือนกันสองแบบ ไม่เพียงแต่จากผู้แต่งที่ต่างกันเท่านั้น แต่ยังมาจากการออกแบบเดียวด้วย (แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงผู้สร้างที่ยอดเยี่ยม)
4. หลังจากซิมโฟนีเคลื่อนไหวครั้งแรกที่มีพายุมักจะมีที่สำหรับเพลงโคลงสั้น ๆ สงบและประเสริฐในคำพูดที่ไหลในการเคลื่อนไหวช้า ในตอนแรกนี่เป็นการเคลื่อนไหวครั้งที่สองของซิมโฟนีและถือว่าเป็นกฎที่ค่อนข้างเข้มงวด ในซิมโฟนีของ Haydn และ Mozart การเคลื่อนไหวช้าเป็นครั้งที่สองอย่างแม่นยำ หากซิมโฟนีมีเพียงสามส่วน (เช่นเดียวกับในยุค 1770 ของ Mozart) ส่วนที่ช้าจะกลายเป็นส่วนตรงกลาง หากซิมโฟนีอยู่ในสี่ส่วน ซิมโฟนีจะถูกวางไว้ระหว่างส่วนที่ช้าและจบเร็วในซิมโฟนียุคแรก ต่อมาเริ่มต้นด้วยเบโธเฟน minuet ถูกแทนที่ด้วย scherzo ที่รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงจุดหนึ่ง นักแต่งเพลงตัดสินใจที่จะเบี่ยงเบนจากกฎนี้ จากนั้นการเคลื่อนไหวช้าก็กลายเป็นส่วนที่สามในซิมโฟนี และ scherzo กลายเป็นส่วนที่สองตามที่เราเห็น (แม่นยำกว่าที่เราได้ยิน) ใน A. Borodin " ฮีโร่” ซิมโฟนี
5. รอบชิงชนะเลิศของการแสดงซิมโฟนีคลาสสิกมีลักษณะเฉพาะด้วยการเคลื่อนไหวที่มีชีวิตชีวาพร้อมกับการเต้นรำและเพลงซึ่งมักอยู่ในจิตวิญญาณของชาวบ้าน บางครั้งตอนจบของซิมโฟนีจะกลายเป็น apotheosis ที่แท้จริง เช่นเดียวกับใน Ninth Symphony ของ Beethoven (op. 125) ที่คณะนักร้องประสานเสียงและนักร้องเดี่ยวได้รับการแนะนำให้รู้จักกับซิมโฟนี แม้ว่านี่จะเป็นนวัตกรรมสำหรับแนวเพลงซิมโฟนี แต่ก็ไม่ใช่สำหรับตัวเบโธเฟนเอง: ก่อนหน้านี้เขาแต่ง Fantasy สำหรับเปียโน คอรัส และออเคสตรา (Op. 80) ซิมโฟนีมีบทกวีถึง Joy โดย F. Schiller ตอนจบมีความโดดเด่นมากในซิมโฟนีนี้ที่การเคลื่อนไหวทั้งสามก่อนหน้านั้นถือเป็นการแนะนำอย่างมาก การแสดงตอนจบด้วยเพลง "Hug, Millions!" ที่การเปิดการประชุมทั่วไปของสหประชาชาติ - การแสดงออกที่ดีที่สุดของแรงบันดาลใจทางจริยธรรมของมนุษยชาติ!
Great Symphony Makers
โจเซฟ ไฮเดน
โจเซฟ ไฮเดนมีชีวิตที่ยืนยาว (ค.ศ. 1732–1809) กิจกรรมสร้างสรรค์ของเขาในช่วงครึ่งศตวรรษสรุปโดยสถานการณ์สำคัญสองประการ: การตายของ JS Bach (1750) ซึ่งสิ้นสุดยุคของการประสานเสียงและการเปิดตัวซิมโฟนีที่สามของ Beethoven ("Heroic") ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ ยุคแห่งความโรแมนติก ในช่วงห้าสิบปีนี้รูปแบบดนตรี - มวล oratorio และ คอนแชร์โต้ กรอสโซ่- ถูกแทนที่ด้วยใหม่: ซิมโฟนี, โซนาต้าและเครื่องสาย สถานที่หลักที่งานเขียนในประเภทเหล่านี้ฟังแล้วไม่ใช่โบสถ์และวิหารเหมือนเมื่อก่อน แต่เป็นวังของขุนนางและขุนนางซึ่งในที่สุดก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในคุณค่าทางดนตรี - กวีนิพนธ์และการแสดงออกทางอัตนัยเข้ามา แฟชั่น.
ทั้งหมดนี้ Haydn เป็นผู้บุกเบิก บ่อยครั้ง - แม้ว่าจะไม่ถูกต้องนัก - เขาถูกเรียกว่า "บิดาแห่งซิมโฟนี" นักแต่งเพลงบางคนเช่น Jan Stamitz และตัวแทนคนอื่น ๆ ของที่เรียกว่า Mannheim School (Mannheim ในช่วงกลางของศตวรรษที่ 18 เป็นป้อมปราการของซิมโฟนีในยุคแรก) เร็วกว่า Haydn เริ่มแต่งซิมโฟนีสามส่วน อย่างไรก็ตาม Haydn ได้ยกระดับรูปแบบนี้ให้สูงขึ้นและแสดงให้เห็นหนทางสู่อนาคต ผลงานช่วงแรกๆ ของเขาได้รับอิทธิพลจาก C.F.E.Bach ในขณะที่ผลงานชิ้นต่อมาของเขาคาดว่าจะมีรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ Beethoven
ในเวลาเดียวกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าเขาเริ่มสร้างผลงานที่มีความสำคัญทางดนตรีอย่างมากเมื่อเขาก้าวผ่านเครื่องหมายสี่สิบปีของเขา ภาวะเจริญพันธุ์ ความหลากหลาย ความคาดเดาไม่ได้ อารมณ์ขัน ความเฉลียวฉลาด - นี่คือสิ่งที่ทำให้ Haydn มีบุคลิกสูงขึ้น (หรือแม้กระทั่งอย่างที่คนมีไหวพริบวางไว้จนถึงไหล่ของเขา) เหนือระดับของคนรุ่นเดียวกัน
ซิมโฟนีของ Haydn หลายคนได้รับการตั้งชื่อ นี่คือตัวอย่างบางส่วน.
ก. อบาคูมอฟ. เล่นโดย Haydn (1997)
ซิมโฟนีหมายเลข 45 ที่มีชื่อเสียงเรียกว่า Farewell (หรือ Symphony by Candlelight): ในหน้าสุดท้ายของตอนจบของ Symphony นักดนตรีหยุดเล่นทีละคนและออกจากเวทีเหลือเพียงสองไวโอลินที่จบซิมโฟนีด้วยคอร์ดคำถาม ลา - เอฟชาร์ป... Haydn เองได้เล่าถึงต้นกำเนิดของซิมโฟนีในเวอร์ชันกึ่งอารมณ์ขันว่า เจ้าชายนิโคไล เอสเตอร์ฮาซีเคยไม่ยอมให้นักดนตรีออร์เคสตราเปลี่ยนจากเอสเตอร์ฮาซไปยังไอเซนชตัดท์ที่ซึ่งครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่เป็นเวลานานมาก ต้องการช่วยผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา Haydn ได้แต่งบทสรุปของซิมโฟนี "อำลา" ในรูปแบบของคำใบ้ที่ละเอียดอ่อนต่อเจ้าชาย - คำร้องลาที่แสดงในรูปดนตรี เข้าใจคำใบ้และเจ้าชายออกคำสั่งที่เหมาะสม
ในยุคของแนวโรแมนติก ตัวละครตลกขบขันของซิมโฟนีถูกลืม และเริ่มมีความหมายที่น่าเศร้า แมนน์แมนเขียนในปี พ.ศ. 2381 เกี่ยวกับนักดนตรีดับเทียนและออกจากเวทีในช่วงสุดท้ายของซิมโฟนี: "และไม่มีใครหัวเราะเยาะเรื่องนี้เพราะไม่มีเรื่องหัวเราะ"
ซิมโฟนีหมายเลข 94 "ด้วยทิมปานีสไตรค์หรือเซอร์ไพรส์" ได้ชื่อมาจากเอฟเฟกต์ที่ตลกขบขันในการเคลื่อนไหวช้า - อารมณ์อันเงียบสงบของมันถูกรบกวนด้วยจังหวะกลองทิมปานีที่คมชัด หมายเลข 96 "ปาฏิหาริย์" ถูกเรียกเช่นนั้นเนื่องจากโอกาส ในคอนเสิร์ตที่ไฮเดินแสดงซิมโฟนีนี้ ผู้ชมที่มีรูปลักษณ์ของเขารีบวิ่งจากกลางห้องโถงไปยังแถวหน้าที่ว่าง และตรงกลางว่างเปล่า ในขณะนั้นเอง โคมระย้าพังลงมาที่ใจกลางห้องโถง ผู้ฟังเพียงสองคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ในห้องโถงได้ยินเสียงอุทาน: “ปาฏิหาริย์! ความมหัศจรรย์!" เฮย์เดนเองรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งกับการช่วยให้ผู้คนจำนวนมากรอดโดยไม่สมัครใจ
ในทางกลับกัน ชื่อของ Symphony No. 100 "Military" นั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ - ส่วนที่รุนแรงด้วยสัญญาณและจังหวะทางการทหารจะวาดภาพดนตรีของค่ายอย่างชัดเจน แม้แต่ Minuet ที่นี่ (ตอนที่สาม) ก็เป็นโกดัง "กองทัพ" ที่ค่อนข้างหรูหรา การรวมเครื่องเพอร์คัชชันของตุรกีเข้าไว้ในเพลงซิมโฟนีที่สร้างความสุขให้ผู้รักเสียงเพลงในลอนดอน (cf. Turkish March ของ Mozart)
No. 104 “Salomon”: เป็นการส่วยให้ Impresario ไม่ใช่หรือ - John Peter Salomon ใครทำมากสำหรับ Haydn? จริงอยู่ที่ซาโลมอนเองต้องขอบคุณ Haydn ที่โด่งดังมากจนเขาถูกฝังใน Westminster Abbey "เพื่อนำ Haydn ไปลอนดอน" ตามที่ระบุไว้บนหลุมฝังศพของเขา ดังนั้นควรเรียกซิมโฟนีว่า "C NSโลมอน " และไม่ใช่" โซโลมอน " ซึ่งบางครั้งพบในรายการคอนเสิร์ต ซึ่งปรับทิศทางผู้ชมให้ตรงกับกษัตริย์ในพระคัมภีร์อย่างไม่ถูกต้อง
โวล์ฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ท
โมสาร์ทเขียนซิมโฟนีครั้งแรกเมื่ออายุได้แปดขวบ และครั้งสุดท้ายเมื่ออายุ 32 ปี จำนวนรวมของพวกเขามีมากกว่าห้าสิบตัว แต่เด็กหลายคนยังไม่รอดหรือยังไม่ถูกค้นพบ
หากเราใช้คำแนะนำของ Alfred Einstein นักเลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Mozart และเปรียบเทียบตัวเลขนี้กับซิมโฟนีเพียงเก้ารายการใน Beethoven หรือสี่รายการใน Brahms จะเป็นที่ชัดเจนว่าแนวความคิดของประเภท Symphony นั้นแตกต่างกันสำหรับผู้แต่งเหล่านี้ แต่ถ้าคุณเลือกซิมโฟนีของโมสาร์ทที่ส่งตรงไปยังผู้ชมในอุดมคติเช่นของเบโธเฟนจริงๆ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ มนุษยชาติทั้งหมด ( humanitas) ปรากฎว่าโมสาร์ทยังเขียนซิมโฟนีดังกล่าวไม่เกินสิบเรื่อง (ไอน์สไตน์คนเดียวกันพูดถึง "สี่หรือห้า"!) กรุงปรากและวงดนตรีซิมโฟนีแห่งกรุงปรากในปี ค.ศ. 1788 (หมายเลข 39, 40, 41) มีส่วนสนับสนุนอย่างน่าทึ่งในคลังสมบัติของซิมโฟนีระดับโลก
ในสามซิมโฟนีสุดท้ายนี้ คนกลาง หมายเลข 40 เป็นซิมโฟนีที่โด่งดังที่สุด มีเพียง "Little Night Serenade" และ Overture to the Opera "The Marriage of Figaro" เท่านั้นที่สามารถแข่งขันกับความนิยมของเธอได้ แม้ว่าสาเหตุของความนิยมมักจะยากต่อการตัดสิน แต่หนึ่งในนั้นในกรณีนี้อาจเป็นทางเลือกของคีย์ ซิมโฟนีนี้เขียนในภาษา G minor ซึ่งเป็นสิ่งที่หายากสำหรับ Mozart ซึ่งชอบคีย์หลักที่ร่าเริงและสนุกสนาน จากสี่สิบเอ็ดซิมโฟนี มีเพียงสองเพลงเท่านั้นที่เขียนด้วยคีย์ย่อย (นี่ไม่ได้หมายความว่าโมสาร์ทไม่ได้เขียนเพลงรองในซิมโฟนีหลัก)
มีสถิติที่คล้ายกันสำหรับคอนแชร์โตเปียโนของเขา จากจำนวน 27 คน มีเพียงสองคนเท่านั้นที่มีคีย์พื้นฐานในไมเนอร์ เมื่อพิจารณาถึงยุคมืดที่ซิมโฟนีถูกสร้างขึ้น ดูเหมือนว่าการเลือกคีย์จะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม การสร้างนี้มีอะไรมากกว่าแค่ความโศกเศร้าในชีวิตประจำวันของคนๆ เดียว ต้องจำไว้ว่าในยุคนั้นนักประพันธ์เพลงชาวเยอรมันและชาวออสเตรียได้รับความเมตตาจากความคิดและภาพของแนวโน้มความงามในวรรณคดีมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งได้รับชื่อ "Storm and Onslaught"
ชื่อของขบวนการใหม่ได้รับจากละครเรื่อง "Storm and Onslaught" ของ F. M. Klinger (1776) ละครจำนวนมากเกิดขึ้นพร้อมกับตัวละครที่หลงใหลอย่างไม่น่าเชื่อและมักจะไม่สอดคล้องกัน นักแต่งเพลงยังรู้สึกทึ่งกับความคิดในการแสดงอารมณ์ที่รุนแรงของกิเลสตัณหาการต่อสู้อย่างกล้าหาญซึ่งมักจะโหยหาอุดมคติที่ไม่เป็นจริง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ Mozart ยังหันไปใช้คีย์ย่อยในบรรยากาศนี้
ไม่เหมือนกับ Haydn ผู้ซึ่งมั่นใจเสมอว่าการแสดงซิมโฟนีของเขาจะแสดงขึ้นต่อหน้า Prince Esterhazy หรือในลอนดอนต่อหน้าผู้ชมในลอนดอน Mozart ไม่เคยรับประกันเช่นนี้และถึงกระนั้นเขาก็มีความอุดมสมบูรณ์อย่างน่าอัศจรรย์ หากการแสดงซิมโฟนีในยุคแรกๆ ของเขามักจะให้ความบันเทิงหรืออย่างที่เราพูดกันในปัจจุบันว่า "ดนตรีเบาๆ" ซิมโฟนีในช่วงหลังๆ จะเป็น "ไฮไลท์ของรายการ" ของคอนเสิร์ตซิมโฟนีใดๆ
ลุดวิก ฟาน เบโธเฟน
เบโธเฟนสร้างซิมโฟนีเก้าชุด อาจมีหนังสือที่เขียนโดยพวกเขามากกว่าบันทึกในมรดกนี้ ซิมโฟนีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ Third (E-flat major, "Heroic"), Fifth (C minor), Sixth (F major, "Pastoral"), Ninth (D minor)
... เวียนนา 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2367 รอบปฐมทัศน์ของซิมโฟนีที่เก้า เอกสารที่รอดตายเป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น การแจ้งรอบปฐมทัศน์ที่จะเกิดขึ้นนั้นน่าทึ่งมาก: “สถาบันดนตรีที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งจัดโดยคุณลุดวิก ฟาน เบโธเฟน จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ 7 พฤษภาคม<...>ศิลปินเดี่ยวคือ M. Sontag และ M. Unger รวมถึง Messrs. Heizinger และ Seipelt หัวหน้าคอนเสิร์ตของวงออเคสตราคือ Herr Schuppanzig ผู้ควบคุมวงคือ Herr Umlauf<...>นายลุดวิก ฟาน เบโธเฟน จะมีส่วนร่วมในการกำกับคอนเสิร์ตเป็นการส่วนตัว”
ความเป็นผู้นำนี้ส่งผลให้เบโธเฟนเป็นผู้ดำเนินการซิมโฟนีด้วยตัวเอง แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ถึงเวลานั้นเบโธเฟนก็หูหนวกไปแล้ว ลองเปิดบัญชีผู้เห็นเหตุการณ์
“เบโธเฟนแสดงตัวเอง หรือมากกว่านั้น เขายืนอยู่หน้าสแตนด์ของวาทยกรและทำท่าทางเหมือนคนบ้า” โจเซฟ โบห์ม นักไวโอลินของวงออเคสตราที่เข้าร่วมในคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์นั้นเขียน - เขาเหยียดตัวขึ้น จากนั้นเกือบจะนั่งยองๆ โบกแขนและกระทืบเท้า ราวกับว่าเขาต้องการเล่นเครื่องดนตรีทั้งหมดพร้อมกันและร้องเพลงให้ทั้งคณะนักร้องประสานเสียง อันที่จริง Umlauf รับผิดชอบทุกอย่าง และเรานักดนตรี ดูเพียงไม้กายสิทธิ์ของเขาเท่านั้น เบโธเฟนกระวนกระวายใจมากจนเขาไม่สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาเลย และไม่สนใจเสียงปรบมือดังกึกก้อง ซึ่งแทบจะไม่รู้ตัวเลยเนื่องจากการบกพร่องทางการได้ยิน ในตอนท้ายของแต่ละหมายเลข เขาต้องบอกเขาอย่างแน่ชัดว่าเมื่อใดควรหันหลังกลับ และขอบคุณผู้ชมสำหรับเสียงปรบมือ ซึ่งเขาทำอย่างเชื่องช้ามาก "
ในตอนท้ายของซิมโฟนีเมื่อเสียงปรบมือดังขึ้นแล้ว Carolina Unger เข้าหา Beethoven หยุดมือเบา ๆ - เขายังคงดำเนินการอยู่โดยไม่ทราบว่าการแสดงจบลงแล้ว! - และหันไปเผชิญหน้าผู้ฟัง จากนั้นทุกคนก็เห็นได้ชัดว่าเบโธเฟนหูหนวกอย่างสมบูรณ์ ...
ความสำเร็จนั้นยิ่งใหญ่มาก ตำรวจต้องใช้การแทรกแซงเพื่อยุติการปรบมือให้ยืน
Peter Ilyich Tchaikovsky
ในแนวเพลงซิมโฟนีโดย P.I. ไชคอฟสกีสร้างผลงานหกชิ้น Last Symphony - ที่หกใน B minor, Op. 74 - ตั้งชื่อโดยเขาว่า "น่าสงสาร"
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2436 ไชคอฟสกีมีแผนสำหรับซิมโฟนีใหม่ซึ่งกลายเป็นครั้งที่หก ในจดหมายฉบับหนึ่งของเขาเขากล่าวว่า: "ระหว่างการเดินทางฉันมีความคิดเกี่ยวกับซิมโฟนีอื่น ... ด้วยโปรแกรมดังกล่าวที่จะยังคงเป็นปริศนาสำหรับทุกคน ... ร้องไห้ "
ซิมโฟนีที่หกถูกบันทึกโดยนักแต่งเพลงอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ (4-11 กุมภาพันธ์) เขาได้บันทึกการเคลื่อนไหวครั้งแรกทั้งหมดและครึ่งหนึ่งของวินาที จากนั้นงานก็ถูกขัดจังหวะโดยการเดินทางจาก Klin ซึ่งนักแต่งเพลงอาศัยอยู่ที่มอสโก กลับมาที่คลินตั้งแต่วันที่ 17 ถึง 24 กุมภาพันธ์ เขาทำงานในส่วนที่สาม จากนั้นก็มีช่วงพักอีกช่วงหนึ่ง และในช่วงครึ่งหลังของเดือนมีนาคม นักแต่งเพลงได้เสร็จสิ้นการเคลื่อนไหวขั้นสุดท้ายและครั้งที่สอง การประสานเสียงต้องเลื่อนออกไปบ้าง เนื่องจากไชคอฟสกีมีแผนการเดินทางอีกหลายเที่ยว การประสานเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม
การแสดงครั้งแรกของ Sixth Symphony เกิดขึ้นที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2436 ภายใต้การดูแลของผู้เขียน ไชคอฟสกีเขียนหลังรอบปฐมทัศน์ว่า “มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับซิมโฟนีนี้! ไม่ใช่ว่าเธอไม่ชอบมัน แต่มันทำให้เกิดความสับสน สำหรับฉัน ฉันภูมิใจกับมันมากกว่าองค์ประกอบอื่นๆ ของฉัน " เหตุการณ์เพิ่มเติมที่น่าเศร้า: เก้าวันหลังจากการแสดงซิมโฟนีรอบปฐมทัศน์ P. Tchaikovsky เสียชีวิตอย่างกะทันหัน
V. Baskin ผู้เขียนชีวประวัติเล่มแรกของไชคอฟสกีซึ่งมีทั้งการแสดงรอบปฐมทัศน์ของซิมโฟนีและในการแสดงครั้งแรกหลังจากการเสียชีวิตของนักแต่งเพลงเมื่อ E. Napravnik ดำเนินการ (การแสดงนี้กลายเป็นชัยชนะ) เขียนว่า: "เราจำ อารมณ์เศร้าที่ครองราชย์ในห้องโถงของ Noble Assembly เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนเมื่อมีการแสดงซิมโฟนี "น่าสงสาร" เป็นครั้งที่สอง การแสดงครั้งแรกไม่ได้รับการชื่นชมอย่างเต็มที่ภายใต้การดูแลของไชคอฟสกีเอง ในซิมโฟนีนี้ซึ่งกลายเป็นเพลงหงส์ของนักแต่งเพลงของเราเขาปรากฏตัวใหม่ไม่เพียง แต่ในเนื้อหา แต่ยังอยู่ในรูปแบบ; แทนปกติ อัลเลโกรหรือ Prestoมันเริ่ม อดาจิโอ ลาเมนโตโซปล่อยให้ผู้ฟังอยู่ในอารมณ์ที่เศร้าที่สุด ในนั้น อดาจิโอนักแต่งเพลงดูเหมือนจะบอกลาชีวิต ค่อยเป็นค่อยไป โมเรนโด(อิตาลี - เฟด) ของวงออเคสตราทั้งหมดทำให้เรานึกถึงจุดจบอันโด่งดังของ Hamlet: “ ที่เหลือก็เงียบ"(เพิ่มเติม - เงียบ)".
เราสามารถพูดได้เพียงสั้นๆ เกี่ยวกับผลงานชิ้นเอกของดนตรีไพเราะเพียงไม่กี่ชิ้น นอกจากการละทิ้งองค์ประกอบทางดนตรีที่แท้จริงแล้ว เนื่องจากการสนทนาดังกล่าวต้องการเสียงที่แท้จริงของดนตรี แต่จากเรื่องนี้ก็เห็นได้ชัดว่าซิมโฟนีเป็นประเภทและซิมโฟนีที่สร้างสรรค์จากจิตวิญญาณมนุษย์เป็นแหล่งของความสุขสูงสุด โลกของดนตรีไพเราะนั้นกว้างใหญ่ไพศาลและไม่สิ้นสุด
ขึ้นอยู่กับวัสดุของนิตยสาร "Art" №08 / 2009
บนโปสเตอร์: Great Hall of the St. Petersburg Academic Philharmonic ตั้งชื่อตาม D. D. Shostakovich Tori Huang (เปียโน, สหรัฐอเมริกา) และ Philharmonic Academic Symphony Orchestra (2013)
อ่านยาว " เพลงไพเราะ"บนบริการทิลด้า
http: //โครงการ134743. tilda. ws/ หน้าหนังสือ621898.html
ดนตรีไพเราะ
ผลงานดนตรีที่ตั้งใจจะให้แสดงโดยวงดุริยางค์ซิมโฟนี
กลุ่มเครื่องมือวงดุริยางค์ซิมโฟนี:ทองเหลืองลม: ทรัมเป็ต ทูบา ทรอมโบน โวลทอร์น
ลมไม้: โอโบ, คลาริเน็ต, ฟลุต, บาสซูน
เครื่องสาย: ไวโอลิน วิโอลา เชลโล เคาเตอร์เบส
กลอง: กลองเบส, กลองสแนร์, แทมตัม, ทิมปานี, เซเลสตา, แทมบูรีน, ฉาบ, แคสทาเนต, มาราคาส, ฆ้อง, สามเหลี่ยม, ระฆัง, ระนาด
เครื่องดนตรีอื่นๆ ของวงซิมโฟนีออร์เคสตรา: ออร์แกน, เซเลสตา, ฮาร์ปซิคอร์ด, ฮาร์ป, กีตาร์, เปียโน (แกรนด์เปียโน, เปียโน)
ลักษณะเฉพาะของเครื่องดนตรี
ไวโอลิน : ละเอียดอ่อน เบา สว่าง ไพเราะ ชัดเจน อบอุ่น
วิโอลา: ด้าน นุ่ม
เชลโล่ : รวย หนา
คำตรงกันข้าม : หูหนวก ดุ มืดมน หนา
ขลุ่ย: ผิวปากเย็น
โอโบ: จมูก จมูก
คลาริเน็ต: Matte, bow
บาสซูน : สำลัก หนา
ทรัมเป็ต: แวววาว สว่าง เบา เมทัลลิก
เฟรนช์ฮอร์น : โค้งมน นุ่ม
ทรอมโบน : เมทัลลิก คม ทรงพลัง
ทูบา: รุนแรง หนา หนัก
ประเภทหลักเพลงไพเราะ:
ซิมโฟนี, สวีท, ทาบ, กวีไพเราะ
ซิมโฟนี
- (จากภาษากรีก. ซิมโฟเนีย -
"ความสอดคล้อง", "ความยินยอม")
แนวเพลงออร์เคสตราชั้นนำซึ่งเป็นงานหลายส่วนที่ซับซ้อนซึ่งได้รับการพัฒนาอย่างมั่งคั่ง
คุณสมบัติซิมโฟนี
เป็นแนวเพลงที่สำคัญ
- เวลาในการทำให้เกิดเสียง: จาก 30 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมง
ตัวละครหลักและนักแสดงคือวงซิมโฟนีออร์เคสตรา
โครงสร้างซิมโฟนี (แบบคลาสสิก)
ประกอบด้วย 4 ส่วน ที่รวบรวมแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิตมนุษย์
1 ส่วน
เพลงที่เร็วและน่าทึ่งที่สุด บางครั้งก็นำหน้าด้วยอินโทรที่ช้า เขียนในรูปแบบโซนาตา อย่างรวดเร็ว (อัลเลโกร)
ตอนที่ 2
สงบสุข ครุ่นคิด อุทิศให้กับภาพธรรมชาติอันเงียบสงบ ประสบการณ์เชิงโคลงสั้น ๆ อารมณ์เศร้าโศกหรือโศกสลด
เสียงในแบบสโลว์โมชั่น เขียนในรูปแบบของ rondo น้อยกว่าในรูปแบบของโซนาต้าหรือรูปแบบการแปรผัน
ตอนที่ 3
นี่คือเกม ความสนุก ภาพชีวิตชาวบ้าน มันคือ scherzo หรือ minuet ในรูปแบบสามส่วน
ตอนที่ 4
จบเร็ว. เป็นผลให้ทุกส่วนโดดเด่นด้วยตัวละครที่ได้รับชัยชนะและเคร่งขรึม มันเขียนในรูปแบบโซนาต้าหรือในรูปแบบของรอนโด, รอนโดโซนาต้า
แต่ก็มีซิมโฟนีที่มีส่วนน้อย (หรือมากกว่า) ด้วย นอกจากนี้ยังมีซิมโฟนีส่วนเดียว
ซิมโฟนีในผลงานของนักประพันธ์เพลงต่างประเทศ
- Franz Joseph Haydn (1732 - 1809)
108 ซิมโฟนี
ซิมโฟนีหมายเลข 103 "กับ Tremolo Timpani"
ชื่อของมัน " ด้วยลูกคอ timpani»ซิมโฟนีได้รับขอบคุณแถบแรกซึ่งทิมปานีเล่นลูกคอ (ลูกคออิตาลี - ตัวสั่น) ชวนให้นึกถึงเสียงฟ้าร้องที่อยู่ห่างไกล
เกี่ยวกับเสียงโทนิคในอีแฟลต นี่คือจุดเริ่มต้นของการแนะนำพร้อมกันอย่างช้าๆ (Adagio) กับการเคลื่อนไหวครั้งแรก ซึ่งมีบุคลิกที่เข้มข้นอย่างลึกซึ้ง
- โวล์ฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ท (1756-1791)
56 ซิมโฟนี
ซิมโฟนีหมายเลข 40
หนึ่งในซิมโฟนีสุดท้ายของโมสาร์ทที่โด่งดังที่สุด ซิมโฟนีได้รับความนิยมอย่างมากจากดนตรีที่จริงใจอย่างผิดปกติ เป็นที่เข้าใจสำหรับผู้ฟังในวงกว้างที่สุด
การเคลื่อนไหวครั้งแรกของซิมโฟนีไม่มีการแนะนำ แต่เริ่มต้นทันทีด้วยการนำเสนอธีมของส่วนหลัก allegro หัวข้อนี้กระวนกระวายใจ ในขณะเดียวกันเธอก็โดดเด่นด้วยความไพเราะและความจริงใจ
- ลุดวิก ฟาน เบโธเฟน (1770—1827)
9 ซิมโฟนี
ซิมโฟนีหมายเลข 5
ซิมโฟนีโจมตีด้วยการนำเสนอที่รัดกุม กระชับรูปแบบ มุ่งมั่นเพื่อการพัฒนา ดูเหมือนว่าเกิดในแรงกระตุ้นที่สร้างสรรค์เพียงครั้งเดียว
“นี่คือชะตากรรมที่เคาะประตูของเรา” เบโธเฟนกล่าว
เกี่ยวกับแถบเปิดของงานชิ้นนี้ เพลงที่แสดงออกอย่างสดใสของแรงจูงใจหลักของซิมโฟนีทำให้สามารถตีความได้ว่าเป็นภาพของการต่อสู้กับชะตากรรมของบุคคล การเคลื่อนไหวทั้งสี่ของซิมโฟนีถูกนำเสนอเป็นขั้นตอนของการต่อสู้ครั้งนี้
- ฟรานซ์ ชูเบิร์ต(1797—1828)
9 ซิมโฟนี
ซิมโฟนีหมายเลข 8 "ยังไม่เสร็จ"
หนึ่งในหน้าที่มีบทกวีมากที่สุดในคลังของ World Symphony คำใหม่ที่เป็นตัวหนาในแนวดนตรีที่ซับซ้อนที่สุดซึ่งเปิดทางให้กับแนวโรแมนติก นี่เป็นละครแนวเพลงและแนวจิตวิทยาเรื่องแรกในแนวไพเราะ
มันไม่มี 4 ส่วนเหมือนซิมโฟนีของนักประพันธ์เพลงคลาสสิค แต่มีเพียงสองส่วน อย่างไรก็ตาม สองส่วนของซิมโฟนีนี้ทิ้งความประทับใจของความสมบูรณ์ อ่อนล้าอย่างน่าอัศจรรย์
ซิมโฟนีในผลงานของคีตกวีชาวรัสเซีย
- Sergei Sergeevich Prokofiev (1891— 1953)
7 ซิมโฟนี
ซิมโฟนีหมายเลข 1 "คลาสสิก"
ได้ชื่อว่า "คลาสสิค" เพราะ มันยังคงรักษาความรุนแรงและตรรกะของรูปแบบคลาสสิกของศตวรรษที่ 18 และในขณะเดียวกันก็มีความโดดเด่นด้วยภาษาดนตรีสมัยใหม่
ดนตรีเต็มไปด้วยธีมที่เฉียบคมและ "เต็มไปด้วยหนาม" ข้อความที่ใจร้อน ใช้ลักษณะเฉพาะของประเภทการเต้น (polonaise, minuet, gavotte, gallop) ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่การประพันธ์เพลงประกอบขึ้นเป็นเพลงของซิมโฟนี
- Dmitry Dmitrievich Shostakovich(1906—1975)
15 ซิมโฟนี
ซิมโฟนีหมายเลข 7 "เลนินกราดสกายา"
ในปีพ. ศ. 2484 โดยมีซิมโฟนีหมายเลข 7 นักแต่งเพลงตอบสนองต่อเหตุการณ์เลวร้ายของสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งอุทิศให้กับการปิดล้อมของเลนินกราด (เลนินกราดซิมโฟนี)
“The Seventh Symphony เป็นบทกวีเกี่ยวกับการต่อสู้ของเรา เกี่ยวกับชัยชนะที่จะมาถึง” Shostakovich เขียน ซิมโฟนีได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับลัทธิฟาสซิสต์
ท่วงทำนองที่แหบแห้งของธีมหลัก จังหวะกลองที่ต่อเนื่องทำให้รู้สึกตื่นตัวและมีความคาดหวังอย่างวิตกกังวล
- Vasily Sergeevich Kalinnikov (1866-1900)
2 ซิมโฟนี
ซิมโฟนีหมายเลข 1
Kalinnikov เริ่มเขียนซิมโฟนีแรกของเขาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2437 และเสร็จสิ้นในอีกหนึ่งปีต่อมาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2438
ซิมโฟนีเป็นตัวเป็นตนที่ชัดเจนที่สุดของความสามารถของนักแต่งเพลง - การเปิดกว้างอย่างจริงใจ, ความเป็นธรรมชาติ, ความสมบูรณ์ของความรู้สึกเชิงโคลงสั้น ๆ ในการแสดงซิมโฟนีของเขา นักแต่งเพลงยกย่องความงามและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ชีวิตรัสเซีย เป็นตัวเป็นตนภาพของรัสเซีย จิตวิญญาณของรัสเซีย ผ่านดนตรีรัสเซีย
- Peter Ilyich Tchaikovsky (1840—1893)
7 ซิมโฟนี
ซิมโฟนีหมายเลข 5
บทนำของซิมโฟนีคือการเดินขบวนศพ “ ชื่นชมโชคชะตาอย่างสมบูรณ์ ... สำหรับโชคชะตาที่ไม่อาจเข้าใจได้” ไชคอฟสกีเขียนในร่างของเขา
ด้วยวิธีนี้ ผ่านเส้นทางที่ยากลำบากของการเอาชนะและการต่อสู้ภายใน นักแต่งเพลงจึงได้รับชัยชนะเหนือตัวเอง เหนือความสงสัย ความไม่ลงรอยกันทางจิตใจ และความสับสนในความรู้สึก
ผู้ถือแนวคิดหลักคือธีมที่บีบอัดและยืดหยุ่นตามจังหวะ พร้อมแรงดึงดูดที่คงที่ต่อเสียงต้นฉบับ ซึ่งส่งผ่านทุกส่วนของวงจร
“จุดประสงค์ของดนตรีคือสัมผัสหัวใจ”
(โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค).
“ดนตรีควรจุดไฟจากใจมนุษย์”
(ลุดวิก ฟาน เบโธเฟน).
"ดนตรี แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ก็ต้องจับใจหูอยู่เสมอ และยังคงเป็นดนตรีอยู่เสมอ"
(วูล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท).
“เนื้อหาทางดนตรี คือ ทำนอง ความกลมกลืน และจังหวะ ไม่มีวันหมดสิ้นอย่างแน่นอน
ดนตรีเป็นขุมทรัพย์ที่ทุกชาติมีส่วนช่วยเหลือส่วนรวม”
(ปีเตอร์ อิลิช ไชคอฟสกี).
รักและศึกษาศิลปะที่ยิ่งใหญ่ของดนตรี มันจะเปิดให้คุณเห็นโลกทั้งใบที่มีความรู้สึก ความสนใจ ความคิดสูง มันจะทำให้คุณร่ำรวยยิ่งขึ้นฝ่ายวิญญาณ ด้วยดนตรี คุณจะค้นพบพลังใหม่ๆ ที่คุณไม่เคยรู้จักมาก่อน คุณจะเห็นชีวิตในสีสันและสีสันใหม่ "
(ดิมิทรี ดิมิทรีเยวิช โชสตาโควิช).
