รูปแบบและวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นวิธีการนำเสนอเนื้อหาที่กระตือรือร้นคืออะไร? แนวทางการจัดประเภทเครื่องมือแพทย์

วิธีการสอนเป็นกิจกรรมร่วมกันของครูและนักเรียนที่มุ่งแก้ปัญหาการเรียนรู้

เทคนิคเป็นส่วนสำคัญหรือด้านที่แยกจากกันของวิธีการ เทคนิคส่วนบุคคลสามารถเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการต่างๆ ตัวอย่างเช่น เทคนิคการจดแนวคิดพื้นฐานของนักเรียนจะใช้เมื่อครูอธิบายเนื้อหาใหม่ เมื่อทำงานกับแหล่งข้อมูลต้นฉบับอย่างอิสระ ในกระบวนการเรียนรู้จะใช้วิธีการและเทคนิคต่างๆ ร่วมกัน กิจกรรมของนักเรียนแบบเดียวกันในบางกรณีทำหน้าที่เป็นวิธีการอิสระและในบางกรณีเป็นวิธีการสอน ตัวอย่างเช่น คำอธิบาย การสนทนาเป็นวิธีการสอนที่เป็นอิสระ หากครูใช้เป็นครั้งคราวในการปฏิบัติงานจริงเพื่อดึงดูดความสนใจของนักเรียน แก้ไขข้อผิดพลาด จากนั้นคำอธิบายและการสนทนาจะทำหน้าที่เป็นวิธีการสอนที่รวมอยู่ในวิธีแบบฝึกหัด

ในคำสอนสมัยใหม่ ได้แก่

วิธีการทางวาจา (แหล่งที่มาเป็นคำพูดหรือพิมพ์คำ);

วิธีการมองเห็น (วัตถุที่สังเกตได้, ปรากฏการณ์เป็นแหล่งความรู้; โสตทัศนูปกรณ์); วิธีการปฏิบัติ (นักเรียนได้รับความรู้และพัฒนาทักษะและความสามารถโดยการปฏิบัติจริง);

วิธีการเรียนรู้ปัญหา

วิธีการทางวาจา

วิธีการทางวาจาเป็นผู้นำในระบบวิธีการสอน วิธีการทางวาจาช่วยให้สามารถถ่ายทอดข้อมูลจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาแก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้ในเวลาอันสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และระบุวิธีการแก้ไข คำกระตุ้นจินตนาการ ความจำ ความรู้สึกของนักเรียน วิธีการทางวาจาแบ่งออกเป็นประเภทต่อไปนี้: เรื่องราว, คำอธิบาย, การสนทนา, การอภิปราย, การบรรยาย, การทำงานกับหนังสือ

เรื่องราว - การพูดเป็นรูปเป็นร่างการนำเสนอตามลำดับของเนื้อหาขนาดเล็ก ความยาวของเรื่องคือ 20-30 นาที วิธีการนำเสนอสื่อการศึกษาแตกต่างจากการอธิบายในลักษณะที่เป็นเรื่องเล่าและถูกใช้เมื่อนักเรียนรายงานข้อเท็จจริง ตัวอย่าง คำอธิบายเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ ประสบการณ์การทำงานของสถานประกอบการ เมื่อกำหนดลักษณะวีรบุรุษวรรณกรรม บุคคลในประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ เรื่องราวสามารถนำมารวมกับวิธีการอื่นๆ: คำอธิบาย การสนทนา แบบฝึกหัด บ่อยครั้งเรื่องราวจะมาพร้อมกับการสาธิตการใช้อุปกรณ์ช่วยการมองเห็น การทดลอง แผ่นฟิล์มและคลิปฟิล์ม เอกสารเกี่ยวกับภาพถ่าย

มักจะนำเสนอข้อกำหนดด้านการสอนจำนวนหนึ่งให้กับเรื่องราวเป็นวิธีการนำเสนอความรู้ใหม่:

เรื่องราวควรจัดให้มีการปฐมนิเทศทางอุดมการณ์และศีลธรรมในการสอน

รวมตัวอย่างที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือจำนวนเพียงพอ ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ความถูกต้องของบทบัญญัติที่เสนอ

มีตรรกะที่ชัดเจนในการนำเสนอ

มีอารมณ์;

นำเสนอด้วยภาษาที่เรียบง่ายและเข้าถึงได้

สะท้อนให้เห็นถึงองค์ประกอบของการประเมินส่วนบุคคลและทัศนคติของครูต่อข้อเท็จจริงเหตุการณ์ดังกล่าว

คำอธิบาย. คำอธิบายควรเข้าใจว่าเป็นการตีความด้วยวาจาของกฎหมาย คุณสมบัติที่สำคัญของวัตถุที่ศึกษา แนวคิดส่วนบุคคล ปรากฏการณ์ คำอธิบายเป็นรูปแบบการนำเสนอคนเดียว คำอธิบายมีลักษณะเฉพาะโดยข้อเท็จจริงที่ว่าเป็นหลักฐานในธรรมชาติและมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุลักษณะสำคัญของวัตถุและปรากฏการณ์ ธรรมชาติและลำดับของเหตุการณ์ เพื่อเปิดเผยแก่นแท้ของแนวคิด กฎเกณฑ์ กฎหมายบางประการ ประการแรก หลักฐานมีให้โดยความสม่ำเสมอและความสม่ำเสมอของการนำเสนอ การโน้มน้าวใจ และความชัดเจนของการแสดงออกของความคิด อธิบายครูตอบคำถาม: "มันคืออะไร", "ทำไม"

ในการอธิบาย ควรใช้วิธีการต่างๆ ในการสร้างภาพข้อมูลให้ดี ซึ่งช่วยในการเปิดเผยด้านที่จำเป็น หัวข้อที่ศึกษา ตำแหน่ง กระบวนการ ปรากฏการณ์ และเหตุการณ์ต่างๆ ในระหว่างการอธิบาย ขอแนะนำให้ตั้งคำถามกับนักเรียนเป็นระยะ เพื่อรักษาความสนใจและกิจกรรมการเรียนรู้ ข้อสรุปและลักษณะทั่วไป สูตรและคำอธิบายของแนวคิด กฎหมายควรมีความแม่นยำ ชัดเจนและรัดกุม คำอธิบายส่วนใหญ่มักใช้เมื่อศึกษาเนื้อหาทางทฤษฎีของวิทยาศาสตร์ต่างๆ การแก้ปัญหาทางเคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ทฤษฎีบท เมื่อเปิดเผยสาเหตุและผลกระทบในปรากฏการณ์ธรรมชาติและชีวิตทางสังคม

การใช้วิธีการอธิบายต้องการ:

การเปิดเผยความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ การโต้แย้ง และหลักฐานอย่างสม่ำเสมอ

การใช้การเปรียบเทียบ การเทียบเคียง การเปรียบเทียบ

ตัวอย่างที่น่าดึงดูดใจ

ตรรกะที่ไร้ที่ติของการนำเสนอ

การสนทนา - วิธีการสอนแบบโต้ตอบซึ่งครูโดยการวางระบบคำถามอย่างรอบคอบจะนำนักเรียนให้เข้าใจเนื้อหาใหม่หรือตรวจสอบการดูดซึมของสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว การสนทนาเป็นวิธีการสอนทั่วไปวิธีหนึ่ง

ครูอาศัยความรู้และประสบการณ์ของนักเรียน โดยการตั้งคำถามอย่างสม่ำเสมอนำไปสู่ความเข้าใจและการดูดซึมความรู้ใหม่ ถามคำถามกับทั้งกลุ่ม และหลังจากหยุดครู่หนึ่ง (8-10 วินาที) ระบบจะเรียกชื่อนักเรียน สิ่งนี้มีความสำคัญทางจิตวิทยาอย่างยิ่ง - ทั้งกลุ่มเตรียมตอบสนอง หากนักเรียนพบว่าเป็นการยากที่จะตอบ เราไม่ควร "ดึง" คำตอบออกจากตัวเขา - เป็นการดีกว่าที่จะโทรหาคนอื่น

ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของบทเรียน การสนทนาประเภทต่างๆ ถูกนำมาใช้: ฮิวริสติก, การทำซ้ำ, การจัดระบบ

การสนทนาแบบฮิวริสติก (จากคำภาษากรีก "ยูเรก้า" - พบ, ค้นพบ) ใช้ในการศึกษาเนื้อหาใหม่

การสนทนาเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ (การควบคุมและการตรวจสอบ) มีเป้าหมายในการรวมเนื้อหาที่ศึกษาก่อนหน้านี้ไว้ในความทรงจำของนักเรียนและตรวจสอบระดับการดูดซึม

การสนทนาอย่างเป็นระบบจะดำเนินการเพื่อจัดระบบความรู้ของนักเรียนหลังจากศึกษาหัวข้อหรือส่วนในการทำซ้ำและสรุปบทเรียน

การสนทนาประเภทหนึ่งคือการสัมภาษณ์ สามารถทำได้ทั้งกับกลุ่มโดยรวมและกับนักเรียนแต่ละกลุ่ม

ความสำเร็จของการสัมภาษณ์ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความถูกต้องของการกำหนดคำถาม คำถามควรสั้น ชัดเจน มีความหมาย จัดทำขึ้นในลักษณะที่จะปลุกความคิดของนักเรียน คุณไม่ควรใส่คำถามซ้ำซ้อนหรือกระตุ้นการคาดเดาคำตอบ คุณไม่ควรกำหนดคำถามทางเลือกที่ต้องการคำตอบที่ชัดเจน เช่น "ใช่" หรือ "ไม่ใช่"

โดยรวมแล้ว วิธีการสนทนามีข้อดีดังต่อไปนี้:

เปิดใช้งานนักเรียน

พัฒนาความจำและคำพูด

ทำให้ความรู้ของนักเรียนเปิดกว้าง

มีอำนาจการศึกษาที่ดี

เป็นเครื่องมือวินิจฉัยที่ดี

ข้อเสียของวิธีการสนทนา:

ใช้เวลานาน

มีองค์ประกอบของความเสี่ยง (นักเรียนอาจให้คำตอบที่ไม่ถูกต้องซึ่งนักเรียนคนอื่นรับรู้และได้รับการแก้ไขในความทรงจำ)

การสนทนาเมื่อเทียบกับวิธีการให้ข้อมูลอื่น ๆ ให้กิจกรรมการเรียนรู้และจิตใจที่ค่อนข้างสูงของนักเรียน สามารถใช้ในการศึกษาวิชาใดก็ได้

การอภิปราย ... การอภิปรายเป็นวิธีการสอนขึ้นอยู่กับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นใดประเด็นหนึ่งโดยเฉพาะ และความคิดเห็นเหล่านี้สะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมเองหรือขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้อื่น ขอแนะนำให้ใช้วิธีนี้เมื่อนักเรียนมีวุฒิภาวะที่สำคัญและมีความคิดอิสระ สามารถโต้แย้ง พิสูจน์ และยืนยันความคิดเห็นของตนได้ การอภิปรายที่ดำเนินการอย่างดีมีคุณค่าทางการศึกษาและการศึกษา: สอนให้เข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ความสามารถในการปกป้องตำแหน่งของตน และพิจารณาความคิดเห็นของผู้อื่น

การทำงานกับตำราเรียนและหนังสือเป็นวิธีการสอนที่สำคัญที่สุด การทำงานกับหนังสือจะดำเนินการส่วนใหญ่ในห้องเรียนภายใต้การแนะนำของครูหรือโดยอิสระ มีเทคนิคมากมายสำหรับงานอิสระกับแหล่งสิ่งพิมพ์ คนหลักคือ:

ออกแบบ- สรุป บันทึกย่อของเนื้อหาที่อ่านโดยไม่มีรายละเอียดและรายละเอียดปลีกย่อย การสำรวจจะดำเนินการจากคนแรก (จากตัวเอง) หรือจากบุคคลที่สาม บันทึกย่อของบุคคลที่หนึ่งพัฒนาความเป็นอิสระทางความคิดที่ดีขึ้น ในโครงสร้างและลำดับ บทสรุปควรสอดคล้องกับแผน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องร่างแผนขึ้นมาก่อน แล้วจึงเขียนบทสรุปในรูปแบบของคำตอบสำหรับคำถามเกี่ยวกับแผน

บทคัดย่อเป็นข้อความ เรียบเรียงโดยคำต่อคำที่ตัดตอนมาจากข้อความของบทบัญญัติแต่ละฉบับซึ่งแสดงความคิดของผู้เขียนได้ถูกต้องแม่นยำที่สุด และเป็นอิสระ ซึ่งความคิดของผู้เขียนแสดงออกมาด้วยคำพูดของเขาเอง ส่วนใหญ่มักจะทำบันทึกแบบผสมบางสูตรถูกเขียนใหม่จากข้อความต่อคำส่วนความคิดที่เหลือจะแสดงเป็นคำพูดของตนเอง ในทุกกรณีต้องใช้ความระมัดระวังในการถ่ายทอดความคิดของผู้เขียนในเรื่องย่ออย่างถูกต้อง

การร่างแผนข้อความ: แผนอาจเรียบง่ายและซับซ้อน ในการร่างแผน หลังจากอ่านข้อความแล้ว ให้แบ่งออกเป็นส่วนๆ และมุ่งแต่ละส่วน

การทดสอบ -สรุปสาระสำคัญของการอ่าน

การอ้างอิง- ข้อความที่ตัดตอนมาจากข้อความ ต้องระบุสำนักพิมพ์ (ผู้แต่ง, ชื่องาน, สถานที่พิมพ์, ผู้จัดพิมพ์, ปีที่พิมพ์, หน้า)

คำอธิบายประกอบ- สรุปเนื้อหาสั้น ๆ ที่อ่านโดยไม่สูญเสียความหมายที่สำคัญ

รีวิวเพื่อน- เขียนรีวิวสั้นๆ เพื่อแสดงทัศนคติเกี่ยวกับสิ่งที่คุณอ่าน

การร่างใบรับรอง: ข้อมูลอ้างอิงเป็นข้อมูลทางสถิติ ชีวประวัติ คำศัพท์ ภูมิศาสตร์ ฯลฯ

การสร้างแบบจำลองตรรกะที่เป็นทางการ- ภาพวาจาและแผนผังของสิ่งที่อ่าน

บรรยาย เนื่องจากวิธีการสอนเป็นการนำเสนอตามลำดับโดยครูของหัวข้อหรือปัญหาซึ่งมีการเปิดเผยบทบัญญัติทางทฤษฎี กฎหมาย ข้อเท็จจริง เหตุการณ์ที่มีการรายงาน และการวิเคราะห์ และความเชื่อมโยงระหว่างกันจะถูกเปิดเผย มีการหยิบยกและโต้แย้งตำแหน่งทางวิทยาศาสตร์ที่แยกจากกัน มีการเน้นมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับปัญหาที่ศึกษาและพิสูจน์ตำแหน่งที่ถูกต้อง การบรรยายเป็นวิธีที่ประหยัดที่สุดในการรับข้อมูลสำหรับนักเรียน เนื่องจากการบรรยาย ครูสามารถสื่อสารความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในรูปแบบทั่วไป ซึ่งรวบรวมมาจากหลายแหล่งและยังไม่มีในตำราเรียน การบรรยาย นอกเหนือจากการนำเสนอตำแหน่งทางวิทยาศาสตร์ ข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ มีพลังแห่งความเชื่อมั่น การประเมินที่สำคัญ แสดงให้นักเรียนเห็นลำดับเชิงตรรกะของการเปิดเผยหัวข้อ ประเด็น ตำแหน่งทางวิทยาศาสตร์

เพื่อให้การบรรยายมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดหลายประการสำหรับการนำเสนอ

การบรรยายเริ่มต้นด้วยข้อความของหัวข้อ แผนการบรรยาย วรรณกรรม และการให้เหตุผลสั้นๆ เกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของหัวข้อ การบรรยายมักประกอบด้วยคำถาม 3-4 ข้อ สูงสุด 5 คำถาม คำถามจำนวนมากรวมอยู่ในเนื้อหาการบรรยายไม่อนุญาตให้นำเสนอในรายละเอียด

การนำเสนอเนื้อหาการบรรยายดำเนินการตามแผนตามลำดับตรรกะที่เข้มงวด การนำเสนอบทบัญญัติทางทฤษฎี กฎหมาย การเปิดเผยความสัมพันธ์ของเหตุและผลจะดำเนินการโดยสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชีวิต พร้อมด้วยตัวอย่างและข้อเท็จจริง) โดยใช้วิธีการต่างๆ ในการมองเห็น โสตทัศนูปกรณ์

ครูติดตามผู้ฟังอย่างต่อเนื่อง ความสนใจของนักเรียน และในกรณีที่หกล้ม ใช้มาตรการเพื่อเพิ่มความสนใจของนักเรียนในเนื้อหา: เปลี่ยนเสียงและจังหวะของการพูด ทำให้มีอารมณ์มากขึ้น ถามนักเรียน 1-2 คำถาม หรือกวนสมาธิพวกเขาด้วยเรื่องตลกเป็นเวลาหนึ่งหรือสองนาที ตัวอย่างที่น่าสนใจและตลก (มาตรการในการรักษาความสนใจของนักเรียนในหัวข้อการบรรยายนั้นครูเป็นผู้วางแผน)

ในบทเรียน เนื้อหาการบรรยายจะรวมเข้ากับงานสร้างสรรค์ของนักเรียน ทำให้ผู้เข้าร่วมมีความกระตือรือร้นและสนใจในบทเรียน

งานของครูแต่ละคนไม่เพียงแต่ให้งานสำเร็จรูปเท่านั้น แต่ยังต้องสอนนักเรียนเพื่อให้ได้มาเองด้วย

ประเภทของงานอิสระมีหลากหลาย: ทำงานกับบทของหนังสือเรียน, เชื่อมหรือแท็กมัน, การเขียนรายงาน, บทคัดย่อ, การเตรียมข้อความในประเด็นเฉพาะ, การรวบรวมปริศนาอักษรไขว้, ลักษณะเปรียบเทียบ, ทบทวนคำตอบของนักเรียน, การบรรยายของครู, การวาดภาพ อ้างอิงไดอะแกรมและกราฟ ภาพวาดศิลปะ และการป้องกัน ฯลฯ

งานอิสระ - ขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็นในการจัดบทเรียนและต้องคิดให้รอบคอบที่สุด เป็นไปไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ที่จะ "ส่ง" นักเรียนไปยังบทของหนังสือเรียนและเพียงแค่เชิญพวกเขาให้ร่างโครงร่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีน้องใหม่ต่อหน้าคุณและแม้แต่กลุ่มที่อ่อนแอ เป็นการดีที่สุดที่จะให้ชุดคำถามสำคัญก่อน เมื่อเลือกประเภทของงานอิสระ จำเป็นต้องเข้าหานักเรียนด้วยการสร้างความแตกต่าง โดยคำนึงถึงความสามารถของพวกเขาด้วย

รูปแบบการจัดระเบียบงานอิสระซึ่งเอื้อให้เกิดภาพรวมและความรู้ที่ได้มาก่อนหน้านี้อย่างลึกซึ้งที่สุดและที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาทักษะเพื่อควบคุมความรู้ใหม่อย่างอิสระการพัฒนากิจกรรมสร้างสรรค์ความคิดริเริ่มความโน้มเอียงและความสามารถ - นี่คือการสัมมนา .

สัมมนา - หนึ่งในวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด การสัมมนามักจะนำหน้าด้วยการบรรยายที่กำหนดหัวข้อ ลักษณะและเนื้อหาของการสัมมนา

สัมมนาให้:

การแก้ปัญหา, ความลึก, การรวมความรู้ที่ได้รับจากการบรรยายและจากการทำงานอิสระ

การก่อตัวและการพัฒนาทักษะของแนวทางที่สร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้ความรู้และนำเสนอต่อผู้ชมอย่างอิสระ

การพัฒนากิจกรรมของนักศึกษาในการอภิปรายประเด็นปัญหาและประเด็นที่จะอภิปรายในหัวข้อสัมมนา

สัมมนายังมีฟังก์ชั่นการควบคุมความรู้

สัมมนาในวิทยาลัยเหมาะสำหรับกลุ่มปีที่สองและปีสุดท้าย บทเรียนสัมมนาแต่ละบทต้องมีการเตรียมการอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งโดยครูและนักเรียน ครูกำหนดหัวข้อของการสัมมนาแล้วจึงจัดทำแผนการสัมมนาล่วงหน้า (ล่วงหน้า 10-15 วัน) ซึ่งระบุว่า:

หัวข้อ วันที่ และเวลาเรียนของการประชุมเชิงปฏิบัติการ

คำถามที่ส่งมาเพื่ออภิปรายการสัมมนา (ไม่เกิน 3-4 คำถาม)

หัวข้อรายงานหลัก (ข้อความ) ของนักเรียน เปิดเผยปัญหาหลักของหัวข้อสัมมนา (2-3 รายงาน)

รายการวรรณกรรม (หลักและเพิ่มเติม) แนะนำให้นักเรียนเตรียมการสัมมนา

แผนการประชุมเชิงปฏิบัติการมีการสื่อสารกับนักเรียนเพื่อให้นักเรียนมีเวลาเพียงพอในการเตรียมตัวสำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการ

บทเรียนเริ่มต้นด้วยคำปราศรัยเบื้องต้นโดยครู ซึ่งครูสื่อสารวัตถุประสงค์และลำดับของการสัมมนา ระบุว่าบทบัญญัติใดของหัวข้อที่ควรให้ความสนใจในการกล่าวสุนทรพจน์ของนักเรียน หากแผนงานสัมมนาจัดให้มีการอภิปรายรายงาน หลังจากคำปราศรัยเบื้องต้นของครูแล้ว จะมีการฟังรายงาน จากนั้นจะมีการอภิปรายรายงานและคำถามเกี่ยวกับแผนการสัมมนา

ในระหว่างการสัมมนา ครูจะถามคำถามเพิ่มเติม พยายามกระตุ้นให้นักเรียนเปลี่ยนไปใช้รูปแบบการสนทนาเพื่อหารือเกี่ยวกับบทบัญญัติและคำถามของครูแต่ละคน

ในตอนท้ายของบทเรียน ครูสรุปผลการสัมมนา ให้การประเมินเหตุผลของการแสดงของนักเรียน ชี้แจงและเพิ่มเติมบทบัญญัติบางประการของหัวข้อของการสัมมนา ระบุว่าประเด็นใดที่นักเรียนควรดำเนินการเพิ่มเติม

ทัศนศึกษา - หนึ่งในวิธีการได้มาซึ่งความรู้เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการศึกษา ทัศนศึกษาและความรู้ความเข้าใจสามารถสำรวจและทำความคุ้นเคยได้ ตามหัวข้อ และมักจะดำเนินการร่วมกันภายใต้การแนะนำของครูหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

ไกด์ทัวร์เป็นวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพพอสมควร พวกเขามีส่วนร่วมในการสังเกต การสะสมของข้อมูล การก่อตัวของความประทับใจทางสายตา

ทัศนศึกษาและการศึกษาจัดบนพื้นฐานของสิ่งอำนวยความสะดวกในการผลิตเพื่อวัตถุประสงค์ในการทำความคุ้นเคยกับการผลิตโครงสร้างองค์กรกระบวนการทางเทคโนโลยีส่วนบุคคลอุปกรณ์ประเภทและคุณภาพของผลิตภัณฑ์องค์กรและสภาพการทำงาน การทัศนศึกษาดังกล่าวมีความสำคัญมากสำหรับการแนะแนวอาชีพของคนหนุ่มสาว โดยเป็นการปลูกฝังความรักในอาชีพที่ตนเลือก นักเรียนจะได้รับแนวคิดที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับสถานะการผลิต ระดับของอุปกรณ์ทางเทคนิค ข้อกำหนดของการผลิตที่ทันสมัยสำหรับการฝึกอบรมวิชาชีพของพนักงาน

สามารถจัดทัศนศึกษาในพิพิธภัณฑ์ บริษัท และสำนักงาน สถานที่คุ้มครองเพื่อศึกษาธรรมชาติ นิทรรศการประเภทต่างๆ

ทัศนศึกษาแต่ละครั้งควรมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและการศึกษาที่ชัดเจน นักเรียนควรเข้าใจอย่างชัดเจนว่าจุดประสงค์ของการทัศนศึกษาคืออะไร สิ่งที่พวกเขาควรค้นหาและเรียนรู้ในระหว่างการทัศนศึกษา สิ่งที่จะรวบรวมเนื้อหา วิธีการและในรูปแบบใด สรุปมัน จัดทำรายงานเกี่ยวกับผลการทัศนศึกษา

นี่เป็นลักษณะโดยย่อของวิธีการสอนด้วยวาจาประเภทหลัก

วิธีการสอนด้วยภาพ

วิธีการสอนด้วยภาพเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นวิธีการที่การดูดซึมของสื่อการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับสื่อช่วยและเทคนิคที่ใช้ในกระบวนการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญ วิธีการทางสายตาใช้ร่วมกับวิธีการสอนด้วยวาจาและเชิงปฏิบัติ

วิธีการสอนด้วยภาพสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ตามเงื่อนไข: วิธีการแสดงภาพประกอบและวิธีการสาธิต

วิธีการภาพประกอบ เกี่ยวข้องกับการแสดงภาพประกอบของนักเรียน: โปสเตอร์, ตาราง, รูปภาพ, แผนที่, ภาพร่างบนกระดานดำ ฯลฯ

วิธีการสาธิต มักเกี่ยวข้องกับการสาธิตอุปกรณ์ การทดลอง การติดตั้งทางเทคนิค ฟิล์ม แถบฟิล์ม ฯลฯ

เมื่อใช้วิธีการสอนด้วยภาพ ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขหลายประการ:

การสร้างภาพข้อมูลที่ใช้ต้องสอดคล้องกับอายุของนักเรียน

ความชัดเจนควรใช้อย่างพอประมาณ และควรค่อยๆ แสดงให้เห็นในเวลาที่เหมาะสมของบทเรียนเท่านั้น การสังเกตควรจัดในลักษณะที่นักเรียนสามารถมองเห็นวัตถุที่แสดงให้เห็นได้ชัดเจน

จำเป็นต้องเน้นหลักอย่างชัดเจนซึ่งจำเป็นเมื่อแสดงภาพประกอบ

คิดรายละเอียดเกี่ยวกับคำอธิบายที่ให้ไว้ในระหว่างการสาธิตปรากฏการณ์

การมองเห็นที่แสดงให้เห็นจะต้องตรงกับเนื้อหาของวัสดุ

ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการค้นหาข้อมูลที่ต้องการในอุปกรณ์ช่วยการมองเห็นหรืออุปกรณ์สาธิต

วิธีการสอนเชิงปฏิบัติ

วิธีการสอนเชิงปฏิบัติขึ้นอยู่กับกิจกรรมเชิงปฏิบัติของนักเรียน ทักษะและความสามารถในทางปฏิบัติเกิดขึ้นจากวิธีการเหล่านี้ วิธีการปฏิบัติ ได้แก่ แบบฝึกหัด ห้องปฏิบัติการ และการปฏิบัติงานจริง

การออกกำลังกาย. การออกกำลังกายเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นการทำซ้ำ (ซ้ำ) ของการกระทำทางจิตหรือทางปฏิบัติโดยมีจุดประสงค์เพื่อฝึกฝนหรือปรับปรุงคุณภาพ แบบฝึกหัดใช้ในการศึกษาทุกวิชาและในขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการศึกษา ลักษณะและวิธีการของแบบฝึกหัดขึ้นอยู่กับลักษณะของวิชาวิชาการ วัสดุเฉพาะ คำถามที่กำลังศึกษา และอายุของนักเรียน

แบบฝึกหัดโดยธรรมชาติแบ่งออกเป็นการใช้ปากเปล่าเขียนกราฟิกและการศึกษา เมื่อทำการแสดงแต่ละอย่าง นักเรียนจะทำงานด้านจิตใจและการปฏิบัติ

ตามระดับความเป็นอิสระของนักเรียนเมื่อทำแบบฝึกหัดมีความโดดเด่นดังต่อไปนี้:

แบบฝึกหัดสำหรับการทำซ้ำของสิ่งที่รู้จักเพื่อวัตถุประสงค์ในการรวบรวม - แบบฝึกหัดการทำซ้ำ

แบบฝึกหัดสำหรับใช้ความรู้ในเงื่อนไขใหม่ - แบบฝึกหัดการฝึกอบรม

หากนักเรียนพูดกับตัวเองหรือออกมาดัง ๆ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการที่จะเกิดขึ้น แบบฝึกหัดดังกล่าวเรียกว่าแสดงความคิดเห็น การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกระทำช่วยให้ครูพบข้อผิดพลาดทั่วไป ปรับเปลี่ยนการกระทำของนักเรียน

พิจารณาคุณสมบัติของการใช้แบบฝึกหัด

การออกกำลังกายช่องปากมีส่วนช่วยในการพัฒนาการคิดเชิงตรรกะ ความจำ คำพูด และความสนใจของนักเรียน เป็นไดนามิกและไม่ต้องการการเก็บบันทึกที่ใช้เวลานาน

แบบฝึกหัดการเขียนใช้เพื่อรวบรวมความรู้และพัฒนาทักษะในการใช้งาน การใช้งานมีส่วนช่วยในการพัฒนาการคิดเชิงตรรกะวัฒนธรรมการเขียนความเป็นอิสระในการทำงาน แบบฝึกหัดที่เป็นลายลักษณ์อักษรสามารถใช้ร่วมกับแบบฝึกหัดปากเปล่าและกราฟิกได้

เพื่อการออกกำลังกายแบบกราฟิกรวมถึงงานของนักเรียนเกี่ยวกับการวาดไดอะแกรม ภาพวาด กราฟ แผนที่เทคโนโลยี การทำอัลบั้ม โปสเตอร์ ขาตั้ง การสเก็ตช์ภาพระหว่างห้องปฏิบัติการและการปฏิบัติงาน การทัศนศึกษา ฯลฯ แบบฝึกหัดกราฟิกมักจะทำพร้อมกันกับงานเขียนและแก้ปัญหาการศึกษาทั่วไป แอปพลิเคชันของพวกเขาช่วยให้นักเรียนเข้าใจสื่อการศึกษาได้ดีขึ้นและมีส่วนช่วยในการพัฒนาจินตนาการเชิงพื้นที่ งานกราฟิก ขึ้นอยู่กับระดับความเป็นอิสระของนักเรียนในการนำไปปฏิบัติ อาจเป็นการสืบพันธุ์ การฝึกอบรม หรือความคิดสร้างสรรค์ในธรรมชาติ

ผลงานสร้างสรรค์ นักเรียน. การทำงานสร้างสรรค์เป็นวิธีสำคัญในการพัฒนาความสามารถเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียน การสร้างทักษะของงานอิสระอย่างมีจุดมุ่งหมาย การเพิ่มพูนความรู้เชิงลึก และความสามารถในการใช้ทักษะเหล่านี้เมื่อปฏิบัติงานเฉพาะ งานสร้างสรรค์ของนักเรียนประกอบด้วย: การเขียนเรียงความ เรียงความ บทวิจารณ์ การพัฒนาโครงการภาคเรียนและประกาศนียบัตร การวาดภาพ สเก็ตช์ และการมอบหมายงานสร้างสรรค์อื่นๆ

งานห้องปฏิบัติการ - นี่คือพฤติกรรมของนักเรียนตามคำแนะนำของครูผู้สอนการทดลองโดยใช้เครื่องมือ การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางเทคนิคอื่น ๆ นั่นคือการศึกษาปรากฏการณ์ใด ๆ ของนักเรียนโดยใช้อุปกรณ์พิเศษ

บทเรียนภาคปฏิบัติ - นี่คือประเภทหลักของการฝึกอบรมที่มุ่งพัฒนาทักษะและความสามารถในทางปฏิบัติทางการศึกษาและวิชาชีพ

ชั้นเรียนในห้องปฏิบัติการและภาคปฏิบัติมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน ความสำคัญของพวกเขาอยู่ในความจริงที่ว่าพวกเขามีส่วนช่วยในการพัฒนาความสามารถของนักเรียนในการใช้ความรู้เชิงทฤษฎีในการแก้ปัญหาในทางปฏิบัติเพื่อสังเกตกระบวนการและปรากฏการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่โดยตรงและเรียนรู้ที่จะสรุปข้อสรุปและลักษณะทั่วไปโดยอิงจากการวิเคราะห์ผลการสังเกต . ที่นี่นักเรียนจะได้รับความรู้และทักษะการปฏิบัติอย่างอิสระในการจัดการเครื่องมือ วัสดุ รีเอเจนต์ อุปกรณ์ มีแบบฝึกหัดในห้องปฏิบัติการและภาคปฏิบัติในหลักสูตรและหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง งานของครูคือการจัดระเบียบการดำเนินงานของห้องปฏิบัติการและการปฏิบัติงานโดยนักเรียนอย่างถูกต้องอย่างมีระเบียบวิธีสั่งการกิจกรรมของนักเรียนอย่างเชี่ยวชาญจัดชั้นเรียนด้วยคำแนะนำที่จำเป็นเครื่องมือช่วยระเบียบวิธีวัสดุและอุปกรณ์ กำหนดเป้าหมายการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของบทเรียนอย่างชัดเจน ในระหว่างห้องปฏิบัติการและการปฏิบัติงานจริงยังเป็นสิ่งสำคัญในการตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติเชิงสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนที่ต้องการการกำหนดสูตรและการแก้ปัญหาที่เป็นอิสระ ครูตรวจสอบงานของนักเรียนแต่ละคน ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องการ ให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคล สนับสนุนกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกของนักเรียนทุกคนในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้

งานในห้องปฏิบัติการดำเนินการในรูปแบบภาพประกอบหรือแผนการวิจัย

การปฏิบัติจริงจะดำเนินการหลังจากศึกษาหัวข้อใหญ่ ๆ หัวข้อและมีลักษณะทั่วไป

วิธีการเรียนรู้ปัญหา

การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเกี่ยวข้องกับการสร้างสถานการณ์ปัญหา กล่าวคือ เงื่อนไขดังกล่าวหรือสภาพแวดล้อมดังกล่าวซึ่งมีความจำเป็นในกระบวนการคิดเชิงรุก การรับรู้อิสระของนักเรียน การค้นหาวิธีการและเทคนิคใหม่ๆ ที่ยังไม่รู้เพื่อทำงานให้เสร็จ อธิบายโดยที่ยังไม่ทราบ ปรากฏการณ์ เหตุการณ์ กระบวนการ

ขึ้นอยู่กับระดับความเป็นอิสระทางปัญญาของนักเรียน ระดับความซับซ้อนของสถานการณ์ปัญหาและวิธีแก้ปัญหา วิธีการเรียนรู้ปัญหาต่อไปนี้มีความโดดเด่น

การรายงานข้อความที่มีองค์ประกอบของปัญหา ... วิธีนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างสถานการณ์ปัญหาเดียวที่มีความซับซ้อนเล็กน้อย ครูสร้างสถานการณ์ปัญหาเฉพาะในบางช่วงของบทเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียนในประเด็นที่ศึกษา โดยเน้นความสนใจไปที่คำพูดและการกระทำ ปัญหาได้รับการแก้ไขในระหว่างการนำเสนอเนื้อหาใหม่โดยครูเอง เมื่อใช้วิธีนี้ในการสอน บทบาทของนักเรียนค่อนข้างเฉยเมย ระดับความเป็นอิสระทางปัญญาของพวกเขาต่ำ

คำชี้แจงปัญหาทางปัญญา... สาระสำคัญของวิธีนี้คือครูที่สร้างสถานการณ์ที่เป็นปัญหากำหนดปัญหาด้านการศึกษาและความรู้ความเข้าใจที่เฉพาะเจาะจงและตัวเองในกระบวนการนำเสนอเนื้อหาใช้วิธีแก้ปัญหาที่บ่งบอกถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ในที่นี้โดยใช้ตัวอย่างส่วนตัว ครูแสดงให้นักเรียนเห็นว่าวิธีการใดและควรแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นี้ในลำดับตรรกะใด เรียนรู้ตรรกะการให้เหตุผลและลำดับเทคนิคการค้นหาที่ครูใช้ในการแก้ปัญหา นักเรียนดำเนินการตามแบบจำลอง วิเคราะห์สภาพจิตใจของปัญหา เปรียบเทียบข้อเท็จจริงและปรากฏการณ์ และทำความคุ้นเคยกับวิธีการสร้างหลักฐาน .

ในบทเรียนดังกล่าว ครูใช้เทคนิควิธีการที่หลากหลาย - การสร้างสถานการณ์ปัญหาเพื่อกำหนดและแก้ปัญหาด้านการศึกษาและความรู้ความเข้าใจ: คำอธิบาย เรื่องราว การใช้วิธีการทางเทคนิคและสื่อการสอนด้วยภาพ

คำชี้แจงปัญหาการสนทนา... ครูสร้างสถานการณ์ที่เป็นปัญหา ปัญหาได้รับการแก้ไขด้วยความพยายามร่วมกันของครูและนักเรียน บทบาทที่กระตือรือร้นที่สุดของนักเรียนจะปรากฏในขั้นตอนการแก้ปัญหาซึ่งจำเป็นต้องมีการประยุกต์ใช้ความรู้ที่รู้จักอยู่แล้ว วิธีนี้สร้างโอกาสค่อนข้างเพียงพอสำหรับกิจกรรมการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ที่เป็นอิสระของนักเรียน ให้คำติชมอย่างใกล้ชิดในการเรียนรู้ นักเรียนได้ใช้ในการแสดงความคิดเห็นของเขาออกมาดัง ๆ พิสูจน์และปกป้องพวกเขาซึ่งส่งเสริมกิจกรรมในชีวิตของเขาให้ดีที่สุด ตำแหน่ง.

วิธีการค้นหาแบบฮิวริสติกหรือบางส่วนใช้เมื่อครูกำหนดเป้าหมายในการสอนนักเรียนถึงองค์ประกอบส่วนบุคคลของการแก้ปัญหาที่เป็นอิสระต่อปัญหา จัดระเบียบและนำนักเรียนไปสู่การค้นหาความรู้ใหม่บางส่วน การค้นหาวิธีแก้ปัญหาจะดำเนินการทั้งในรูปแบบของการปฏิบัติจริงหรือผ่านการคิดภาพหรือนามธรรม - จากการสังเกตส่วนบุคคลหรือข้อมูลที่ได้รับจากครูจากแหล่งที่เป็นลายลักษณ์อักษร ฯลฯ เช่นเดียวกับวิธีการอื่น ๆ ของปัญหา การเรียนรู้ ครูในชั้นเรียนตอนต้นสร้างปัญหาให้กับนักเรียนด้วยวาจาหรือโดยการแสดงประสบการณ์หรือในรูปแบบของงานซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริงว่าบนพื้นฐานของข้อมูลที่ได้รับเกี่ยวกับข้อเท็จจริง เหตุการณ์ การจัดรูปแบบต่างๆ เครื่องจักร มวลรวม กลไก นักเรียนทำการสรุปโดยอิสระ มาถึงข้อสรุปบางประการ ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและรูปแบบที่กำหนดไว้ ความแตกต่างที่สำคัญและความคล้ายคลึงพื้นฐาน

วิธีวิจัย.กิจกรรมของครูมีความแตกต่างกันเล็กน้อยเมื่อใช้วิธีการวิจัยและการวิเคราะห์พฤติกรรม ทั้งสองวิธีเหมือนกันในแง่ของการสร้างเนื้อหา ทั้งวิธีฮิวริสติกและการวิจัยเกี่ยวข้องกับการกำหนดปัญหาด้านการศึกษาและงานที่มีปัญหา การจัดการกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของครูของนักเรียนและนักเรียนในทั้งสองกรณีได้รับความรู้ใหม่โดยส่วนใหญ่โดยการแก้ปัญหาการศึกษา

หากในกระบวนการใช้วิธีการฮิวริสติก คำถาม คำแนะนำ และงานที่มีปัญหามีลักษณะเชิงรุก กล่าวคือ ถูกวางก่อนหรืออยู่ในขั้นตอนการแก้ปัญหา และทำหน้าที่เป็นแนวทางในการวิจัย วิธีการ คำถามจะถูกโพสต์หลังจากที่นักเรียนส่วนใหญ่จัดการกับการแก้ปัญหาของการศึกษา - ปัญหาความรู้ความเข้าใจและการกำหนดของพวกเขาสำหรับนักเรียนเป็นวิธีการติดตามและตรวจสอบความถูกต้องของข้อสรุปและแนวคิดของตนเอง ความรู้ที่ได้รับ

วิธีการวิจัยจึงซับซ้อนกว่าและมีกิจกรรมการค้นหาเชิงสร้างสรรค์ที่เป็นอิสระของนักเรียนในระดับที่สูงขึ้น นำไปประยุกต์ใช้ในห้องเรียนกับนักเรียนที่มีพัฒนาการสูงและมีทักษะค่อนข้างดีในงานสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาทางการศึกษาและความรู้ความเข้าใจที่เป็นอิสระ เพราะวิธีการสอนโดยธรรมชาตินี้ใกล้เคียงกับกิจกรรมการวิจัย

ในวิทยาการสอนบนพื้นฐานของการศึกษาและสรุปประสบการณ์เชิงปฏิบัติของครูมีการพัฒนาแนวทางบางประการในการเลือกวิธีการสอนขึ้นอยู่กับการผสมผสานของสถานการณ์และเงื่อนไขเฉพาะของกระบวนการศึกษาต่างๆ

การเลือกวิธีการสอนขึ้นอยู่กับ:

จากเป้าหมายทั่วไปของการศึกษา การอบรมเลี้ยงดู และพัฒนานักศึกษา และทัศนคติชั้นนำของคณาจารย์สมัยใหม่

เกี่ยวกับลักษณะของวิชาที่กำลังศึกษา

เกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของวิธีการสอนของสาขาวิชาเฉพาะและข้อกำหนดสำหรับการเลือกวิธีการสอนทั่วไปที่กำหนดโดยเฉพาะ

เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์ และเนื้อหาของบทเรียนเฉพาะ

จากเวลาที่กำหนดสำหรับการศึกษาวัสดุเฉพาะ

เกี่ยวกับลักษณะอายุของนักเรียน

ระดับความพร้อมของนักเรียน (การศึกษา การเลี้ยงดู และการพัฒนา)

เกี่ยวกับอุปกรณ์วัสดุของสถาบันการศึกษาความพร้อมของอุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์วิธีการทางเทคนิค

เกี่ยวกับความสามารถและลักษณะของครู ระดับการฝึกอบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ทักษะระเบียบวิธีปฏิบัติ คุณสมบัติส่วนตัวของเขา

การเลือกและการประยุกต์ใช้วิธีการและเทคนิคการสอน ครูมุ่งมั่นที่จะค้นหาวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดที่จะรับประกันความรู้คุณภาพสูง การพัฒนาความสามารถทางจิตและความคิดสร้างสรรค์ ความรู้ความเข้าใจ และที่สำคัญที่สุดคือกิจกรรมอิสระของนักเรียน

รูปแบบการศึกษา

รูปแบบการจัดชั้นเรียนทั้งชั้นเรียน: บทเรียน, การประชุม, สัมมนา, การบรรยาย, การสัมภาษณ์, การให้คำปรึกษา, ห้องปฏิบัติการและการปฏิบัติจริง, การฝึกอบรมโปรแกรม, บทเรียนทดสอบ

รูปแบบการฝึกอบรมแบบกลุ่ม: การทำงานกลุ่มในห้องเรียน การฝึกปฏิบัติในห้องปฏิบัติการแบบกลุ่ม การมอบหมายงานสร้างสรรค์แบบกลุ่ม

รูปแบบการทำงานส่วนบุคคลในห้องเรียนและที่บ้าน: ทำงานกับวรรณกรรมหรือแหล่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ แบบฝึกหัดการเขียน การมอบหมายรายบุคคลในการเขียนโปรแกรมหรือเทคโนโลยีสารสนเทศที่คอมพิวเตอร์ ทำงานกับโปรแกรมการฝึกอบรมที่คอมพิวเตอร์

วิธีการสอน

วาจา: การบรรยาย เรื่องราว การสนทนา

ภาพ: ภาพประกอบ หน้าปีศาจ ทั้งแบบธรรมดาและแบบคอมพิวเตอร์

ภาคปฏิบัติ: การปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการและภาคปฏิบัติ, งานอิสระพร้อมหนังสืออ้างอิงและวรรณกรรม (แบบธรรมดาและอิเล็กทรอนิกส์), แบบฝึกหัดการเขียนอิสระ, งานอิสระที่คอมพิวเตอร์

ทางเลือกของธรรมชาติเชิงตรรกะของการประยุกต์ใช้วิธีการสอน: รับรองธรรมชาติอุปนัยของกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของเด็กนักเรียน; สร้างความมั่นใจในลักษณะนิรนัยของกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของเด็กนักเรียน ทางเลือกของธรรมชาติที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าของกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของเด็กนักเรียน สร้างความมั่นใจในลักษณะการสืบพันธุ์ของกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของเด็กนักเรียน สร้างความมั่นใจในธรรมชาติของกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของเด็กนักเรียน สร้างความมั่นใจในลักษณะการสืบพันธุ์และการค้นหาของกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของเด็กนักเรียน

ทางเลือกของวิธีการกระตุ้นกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจ: วิธีการสร้างความสนใจในการเรียนรู้ วิธีการกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบในการสอน

ทางเลือกของวิธีการควบคุมและการควบคุมตนเองระหว่างการฝึก

วิธีการควบคุมช่องปาก: การสำรวจหน้าผาก การสำรวจรายบุคคล การทดสอบด้วยคอมพิวเตอร์

วิธีการควบคุมแบบเขียน: งานควบคุม; เสร็จสิ้นการทดสอบการเขียน; รายงานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับห้องปฏิบัติการและการปฏิบัติงาน การเขียนตามคำบอกในวิทยาการคอมพิวเตอร์

วิธีการปฏิบัติในห้องปฏิบัติการและการควบคุมภาคปฏิบัติ: ห้องปฏิบัติการควบคุมและการปฏิบัติงานจริง ทำงานกับโปรแกรมควบคุม

วิธีการควบคุมตนเอง: การควบคุมตนเองด้วยการทำซ้ำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากปากเปล่า การควบคุมตนเองผ่านการเขียนซ้ำสิ่งที่ได้เรียนรู้ การควบคุมตนเองด้วยการทำงานกับโปรแกรมการฝึกอบรม การควบคุมตนเองด้วยการทดสอบคอมพิวเตอร์

จังหวะการเรียนรู้ที่เลือก: เร็ว; เฉลี่ย; ล่าช้า. รูปแบบการสอนและวิธีการส่วนใหญ่ในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนไม่ปรากฏในรูปแบบที่เรียกว่าบริสุทธิ์ วิธีการที่ jcok จะแทรกซึมซึ่งกันและกันโดยแสดงลักษณะการทำงานร่วมกันระหว่างครูและนักเรียนจากด้านต่างๆ หากเราพูดถึงแอปพลิเคชันในช่วงเวลาที่กำหนดของวิธีการบางอย่าง นั่นหมายความว่าแอปพลิเคชันจะกำหนดในขั้นตอนนี้ ซึ่งมีส่วนสนับสนุนอย่างมากในการแก้ปัญหาหลักการสอน

รูปแบบการจัดฝึกอบรม

เป็นไปได้ที่จะแยกแยะรูปแบบการฝึกสอนในชั้นเรียนตามธรรมเนียมดั้งเดิม: บทเรียน การประชุม สัมมนา การบรรยาย การสัมภาษณ์ การให้คำปรึกษา การปฏิบัติงานจริง การฝึกอบรมตามโปรแกรม การทดสอบ

บทเรียนทำหน้าที่สอนลักษณะเฉพาะดังต่อไปนี้: การสื่อสารความรู้ในเล่มที่กำหนดโดยหลักสูตร การพัฒนาทักษะพื้นฐานที่จัดสรรโดยหลักสูตร

บทเรียนเป็นรูปแบบหลักของการจัดการฝึกอบรมในโรงเรียนที่มีองค์ประกอบคงที่ของนักเรียนและตารางเวลาเฉพาะ รูปแบบการจัดฝึกอบรมนี้ทำให้คุณสามารถรวมงานของชั้นเรียนโดยรวมและของนักเรียนแต่ละกลุ่มเข้ากับงานของนักเรียนแต่ละคนได้ ด้วยรูปแบบการทำงานที่หลากหลายในบทเรียน บทบาทนำยังคงอยู่ที่ครู ครูวางแผนและจัดกระบวนการศึกษาทั้งหมดในรายวิชา

โดยปกติก่อนบทเรียนครูไม่ได้กำหนดงานเดียว แต่มีหลายอย่าง: การสื่อสารความรู้ใหม่ให้กับนักเรียน, พัฒนาความคิดและความสามารถทางปัญญา, สร้างโลกทัศน์ทางวิทยาศาสตร์, ปลูกฝังทักษะการปฏิบัติ, ทำซ้ำวัสดุที่ผ่านก่อนหน้านี้, ตรวจสอบผลการเรียน (ความรู้ของพวกเขา , ทักษะและความสามารถ). งานการศึกษา

ด้วยงานที่หลากหลายที่แก้ไขแล้วในบทเรียน ในกรณีส่วนใหญ่ ในแต่ละบทเรียน เราสามารถแยกเฉพาะหลักการสอน ซึ่งจะกำหนดเนื้อหาของบทเรียนและวิธีการทำงานของครูกับนักเรียน ตามงานหลักของบทเรียนประเภทต่อไปนี้มีความโดดเด่น: บทเรียนในการดูดซึมความรู้ใหม่, บทเรียนในการเรียนรู้ทักษะ, บทเรียนในการประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะ, บทเรียนเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปและการจัดระบบความรู้, บทเรียนในการตรวจสอบและทดสอบความรู้ ทักษะ และความสามารถด้วยตนเอง ซึ่งเป็นบทเรียนรวมในงานหลักที่ซับซ้อน การประชุม

การประชุมมีลักษณะดังนี้: การขยายและความรู้เชิงลึกในประเด็นที่ศึกษา การพัฒนาทักษะในการทำงานกับแหล่งข้อมูล ทำรายงาน, ข้อความ, สามารถร่างบทคัดย่อ, รายงาน, ข้อความ; ส่งเสริมความสนใจในการทำงานอิสระด้วยแหล่งข้อมูลต่างๆ (ปกติและอิเล็กทรอนิกส์)

การประชุมเพื่อการสอน เช่น บทเรียน จะจัดขึ้นกับทั้งชั้นเรียนในช่วงเวลาชั่วโมงของวิชาที่กำหนดไว้ บทบาทนำสงวนไว้สำหรับครู ในการประชุม เช่นเดียวกับในบทเรียน งานของชั้นเรียนโดยรวมจะถูกรวมเข้ากับงานของนักเรียนแต่ละคน การประชุมเตรียมเด็กนักเรียนให้ดำเนินการรูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้น - การบรรยายและการสัมมนา

การประชุมแตกต่างจากบทเรียนที่เด็กนักเรียนได้รับความรู้ใหม่จากวรรณกรรม (จากสามัญและอิเล็กทรอนิกส์) ซึ่งพวกเขาทำงานในกระบวนการเตรียมการประชุมและจากรายงานที่นำเสนอโดยนักเรียนคนอื่น บทบาทนำของครูในการประชุมคือเขาจัดระเบียบการนำเสนอของนักเรียนด้วยรายงานและการอภิปรายของพวกเขา ทำให้เพิ่มเติมและแก้ไขรายงาน หากไม่ได้ทำในระหว่างการอภิปรายรายงานโดยนักเรียน เขาสรุปผลการประชุม ประเมินงานในชั้นเรียนโดยรวมและของนักเรียนแต่ละคนที่ทำการนำเสนอและเพิ่มเติม

ความสำคัญทางการศึกษาของการประชุมคือในกระบวนการเตรียมความพร้อมสำหรับพวกเขา เด็กนักเรียนได้รับทักษะการทำงานอิสระกับวรรณกรรม แหล่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะที่ได้รับเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะที่ได้รับมอบหมาย

การจัดประชุมมีส่วนช่วยในการระบุความโน้มเอียงและความสามารถของนักเรียนการพัฒนาความสนใจในความรู้ทางวิทยาศาสตร์และทางเทคนิค

ในการประชุม คุณสามารถตั้งคำถามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การใช้เนื้อหาเชิงทฤษฎีที่ศึกษา การวางนัยทั่วไปและการจัดระบบความรู้ พร้อมหลักการของโครงสร้างและการทำงานของคอมพิวเตอร์ ฯลฯ

ในการเตรียมตัวสำหรับการประชุม ครู:

กำหนดงาน ช่วงของประเด็นที่จะหารือ เวลา

คัดเลือกวรรณกรรมสำหรับนักเรียน

แจกจ่ายหัวข้อรายงานให้กับนักเรียน สอนพวกเขาเกี่ยวกับขั้นตอนหลักของงาน

ให้คำแนะนำนักเรียนในระหว่างการจัดทำรายงานและตรวจสอบความพร้อม

แผนการประชุมและบรรณานุกรมจะประกาศล่วงหน้า

การสัมมนาทำหน้าที่ดังต่อไปนี้: การจัดระบบและความรู้ทั่วไปในประเด็นที่ศึกษา หัวข้อ ส่วน (รวมถึงในหลักสูตรฝึกอบรมหลายหลักสูตร) พัฒนาทักษะในการทำงานกับแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อเปรียบเทียบการนำเสนอประเด็นเดียวกันในแหล่งข้อมูลต่างๆ ความสามารถในการแสดงมุมมองของคุณ ยืนยัน; เขียนบทคัดย่อ บทคัดย่อ และแผนสำหรับรายงานและข้อความ จดบันทึกสิ่งที่อ่านแล้ว

การสัมมนาจัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำซ้ำ จัดระบบ และชี้แจงความรู้ที่ได้รับ การพัฒนาความสามารถในการใช้ความรู้ในการแก้ปัญหา บทบาทนำของครูในกรณีนี้มาจากการอธิบายวัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์ และแผนการสัมมนา การออกงานที่ได้รับมอบหมายเป็นรายบุคคล และดำเนินการปรึกษาหารือเกี่ยวกับการเตรียมบทความและข้อความของนักเรียน นักเรียนทุกคนจะได้รับวรรณกรรมและคำถามขั้นต่ำที่พวกเขาต้องตอบ แผนการประชุมเชิงปฏิบัติการมักจะระบุ:

ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา

รูปแบบของงานในชั้นเรียน

เมื่อเตรียมการสัมมนา วิธีการที่แตกต่างสำหรับนักเรียนเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง และเมื่อมีการจัดขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการอภิปรายประเด็นต่างๆ ที่นำมาสู่การสัมมนา

การสัมมนาดังต่อไปนี้มีความโดดเด่นด้วยวิธีการดำเนินการ: สัมภาษณ์, อภิปรายบทคัดย่อและรายงาน, การแก้ปัญหา, การสัมมนาที่มีลักษณะผสมและซับซ้อน, จุดประสงค์ของหลังคือการสรุปและจัดระบบความรู้ของนักเรียนในวิชาที่เกี่ยวข้อง (คณิตศาสตร์, ฟิสิกส์) ).

การบรรยายมีลักษณะการทำงานดังต่อไปนี้: การสร้างการนำเสนอภาพรวมในหัวข้อหรือปัญหา การจัดระบบและภาพรวมของความรู้ในหัวข้อหรือส่วน; พัฒนาความสามารถในการจดบันทึกในการบรรยาย

นักเรียน ฟังบรรยาย รับรู้และเข้าใจข้อมูลที่ครูให้มา ในระหว่างการบรรยายนำเสนอเนื้อหา เด็กนักเรียนไม่มีโอกาสแสดงความคิดริเริ่ม นี่เป็นหนึ่งในข้อเสียที่สำคัญของรูปแบบการศึกษานี้ ข้อเสียรวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าในกระบวนการนำเสนอ ในระดับหนึ่ง ครูขาดโอกาสในการตัดสินว่านักเรียนเข้าใจอย่างถูกต้องและดีเพียงใด หลังจากเสร็จสิ้นการนำเสนอแล้ว ครูสามารถอธิบายได้ว่าคำถามดังกล่าวเข้าใจได้อย่างไรผ่านชุดคำถามควบคุม การนำเสนอบทเรียนของเนื้อหาตามกฎจะกินเวลาส่วนหนึ่งของบทเรียนและในบางกรณีเท่านั้นทั้งบทเรียน บางครั้งการนำเสนอเนื้อหาอาจถูกขัดจังหวะเพื่อตอบคำถามของนักเรียน แล้วจึงนำเสนอต่อ การบรรยายในโรงเรียนมักจะจบลงด้วยการอธิบายว่าใครและอะไรในเนื้อหาการบรรยายไม่ชัดเจน และคำตอบของครูหรือนักเรียนสำหรับคำถามทั้งหมดที่เกิดขึ้น

สัมภาษณ์

สัมภาษณ์: ค้นหาสิ่งที่ได้เรียนรู้จากเนื้อหาหลัก ระบุช่องว่างความรู้และปรับเปลี่ยนความรู้ การกระตุ้นการทำงานอย่างเป็นระบบและเป็นอิสระ

การปรึกษาหารือ

การให้คำปรึกษา: ขจัดช่องว่างความรู้และทักษะ การชี้แจงสิ่งที่ได้เรียนรู้ คำตอบสำหรับคำถามที่เกิดขึ้นระหว่างการศึกษาและความช่วยเหลือในการเรียนรู้กิจกรรมการศึกษาและการปฏิบัติประเภทต่างๆ

ห้องปฏิบัติการและการปฏิบัติงาน

ห้องปฏิบัติการและการปฏิบัติงาน: การก่อตัวของความสามารถของนักเรียนในการจัดการคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ภายนอก, ความสามารถในการใช้โปรแกรมประยุกต์, ความสามารถในการเขียนโปรแกรม ลักษณะการทำงานจริงคือการจำกัดเวลาการทำงานของนักศึกษาในเวลาที่กำหนดใน SanPiN 2 2. 2. 542-96

นี่คือแผนโดยประมาณสำหรับการวาดภาพงานจริง:

การกำหนดหัวข้อการทำงานจริง

เป้าหมายที่กำหนดไว้สำหรับการปฏิบัติงานจริง

ทักษะและทักษะที่ควรปลูกฝังให้กับนักเรียนในการปฏิบัติงานจริง

ส่วนภาคทฤษฎีก่อนภาคปฏิบัติ

ตัวอย่างงาน.

งานปฏิบัติสำหรับการทำงาน

แบบรายงานการปฏิบัติงานจริง

เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติงานจริง

สรุปผลการปฏิบัติงานจริง

ประเด็นหลักในการดำเนินงานภาคปฏิบัติไม่ใช่ความรู้ที่ได้รับ แต่เป็นทักษะและความสามารถของการทำงานจริงอย่างอิสระกับคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ภายนอก โปรแกรมแอปพลิเคชัน การป้อนข้อมูล การแก้ไข และการดีบักของโปรแกรม

โปรแกรมการเรียนรู้

การเรียนรู้ด้วยโปรแกรมเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นการดูดซึมสื่อการเรียนรู้ที่ตั้งโปรแกรมได้โดยใช้คอมพิวเตอร์และโปรแกรมการฝึกอบรม สื่อการเรียนรู้ที่ตั้งโปรแกรมได้คือชุดข้อมูลการศึกษาส่วนเล็กๆ ที่นำเสนอในลำดับตรรกะที่แน่นอน ในการสอนแบบโปรแกรม อันดับแรก พวกเขาจะกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ เน้นอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่นักเรียนต้องรู้ เข้าใจ ความสามารถในการ: วิเคราะห์ระบบตรรกะของหลักสูตร ยกเว้นทุกสิ่งที่คล้ายคลึงกัน รองลงมา จากนั้นจะแยกแยะหัวข้อหลัก ส่วนและส่วนย่อย ซึ่งแบ่งออกเป็นปริมาณ - ปริมาณของข้อมูล ซึ่งการลดลงนั้นเป็นไปไม่ได้โดยไม่กระทบต่อเนื้อหาเชิงความหมาย เนื้อหาของข้อมูลแต่ละควอนตัมที่ตามมาจะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่มีอยู่ในควอนตัมก่อนหน้า ขนาดของควอนตัมของข้อมูลถูกกำหนดโดยลักษณะของวัสดุ ระดับการพัฒนาของนักเรียน

ต้องขอบคุณข้อเสนอแนะในทันที ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นจะถูกขจัดออกไปและการดูดซึมจะทำได้เร็วยิ่งขึ้น ข้อมูลเกี่ยวกับความถูกต้องของคำตอบหลังจากการดูดซึมของแต่ละควอนตัมมีความสำคัญทางจิตวิทยาอย่างมาก สิ่งนี้สร้างความมั่นใจและความสนใจของนักเรียนในวิชานี้ ความเร็วในการส่งข้อมูลสอดคล้องกับความสามารถส่วนบุคคลของนักเรียนแต่ละคน นักเรียนแต่ละคนใช้เวลามากเท่าที่จำเป็นในการเรียนรู้เนื้อหา ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคลของเขา นั่นคือ กระบวนการเรียนรู้สามารถปรับให้เข้ากับแต่ละบุคคลได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้แบบโปรแกรมมีข้อเสียอย่างร้ายแรง

การกระจายตัวของสื่อการศึกษาเป็นควอนตัมและความเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้า โดยมีเงื่อนไขว่าควอนตัมบางตัวไม่สามารถเข้าใจได้ ทำให้นักเรียนมองไม่เห็นมุมมองในการพัฒนาเนื้อหาที่กำลังศึกษา ความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์มากมายของมัน นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องยากมากที่จะรับรองความสมบูรณ์ของการรับรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาทั้งหมด

บทเรียนหน่วยกิตไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมความรู้และทักษะของนักเรียนเท่านั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดสำหรับการสอน การพัฒนา และการศึกษาของนักเรียนผ่านการทำงานกับนักเรียนแต่ละคนโดยตรงในระหว่างการทดสอบ

การทดสอบดำเนินการในหัวข้อหรือส่วนทั้งหมด ออกแบบมาเพื่อทดสอบความเข้าใจพื้นฐานทางทฤษฎีของหัวข้อที่กำลังศึกษา เพื่อทดสอบทักษะและความสามารถในการใช้ความรู้ของทฤษฎี เครดิตรวมถึงเนื้อหาที่นักเรียนทุกคนต้องเป็นเจ้าของ จำเป็นอย่างยิ่งที่ในระหว่างการทดสอบ จะต้องจัดให้มีความรู้ ทักษะ และความสามารถที่จำเป็นสำหรับเด็กนักเรียนในการศึกษาหัวข้อต่อไป นอกจากนี้ ขอแนะนำให้รวมเนื้อหาดังกล่าวที่รวมอยู่ในโปรแกรมการสอบปลายภาคและการสอบเข้า เนื่องจากจุดประสงค์ประการหนึ่งของการรับเครดิตคือเพื่อเตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับการสอบดังกล่าว

วิธีการสอน- เป็นกิจกรรมร่วมกันระหว่างครูและนักเรียน มุ่งแก้ปัญหาการเรียนรู้
แผนกต้อนรับเป็นส่วนสำคัญหรือด้านที่แยกจากกันของวิธีการ เทคนิคส่วนบุคคลสามารถเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการต่างๆ ตัวอย่างเช่น เทคนิคการจดแนวคิดพื้นฐานของนักเรียนจะใช้เมื่อครูอธิบายเนื้อหาใหม่ เมื่อทำงานกับแหล่งข้อมูลต้นฉบับอย่างอิสระ ในกระบวนการเรียนรู้จะใช้วิธีการและเทคนิคต่างๆ ร่วมกัน กิจกรรมของนักเรียนแบบเดียวกันในบางกรณีทำหน้าที่เป็นวิธีการอิสระและในบางกรณีเป็นวิธีการสอน ตัวอย่างเช่น คำอธิบาย การสนทนาเป็นวิธีการสอนที่เป็นอิสระ หากครูใช้เป็นครั้งคราวในการปฏิบัติงานจริงเพื่อดึงดูดความสนใจของนักเรียน แก้ไขข้อผิดพลาด จากนั้นคำอธิบายและการสนทนาจะทำหน้าที่เป็นวิธีการสอนที่รวมอยู่ในวิธีแบบฝึกหัด
การจำแนกวิธีการสอน
ในคำสอนสมัยใหม่ ได้แก่
วิธีการทางวาจา (แหล่งที่มาเป็นคำพูดหรือพิมพ์คำ);
วิธีการมองเห็น (วัตถุที่สังเกตได้, ปรากฏการณ์เป็นแหล่งความรู้; โสตทัศนูปกรณ์); วิธีการปฏิบัติ (นักเรียนได้รับความรู้และพัฒนาทักษะและความสามารถโดยการปฏิบัติจริง);
วิธีการเรียนรู้ปัญหา
วิธีการทางวาจาเป็นผู้นำในระบบวิธีการสอน วิธีการทางวาจาช่วยให้สามารถถ่ายทอดข้อมูลจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาแก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้ในเวลาอันสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และระบุวิธีการแก้ไข คำกระตุ้นจินตนาการ ความจำ ความรู้สึกของนักเรียน วิธีการทางวาจาแบ่งออกเป็นประเภทต่อไปนี้: เรื่องราว, คำอธิบาย, การสนทนา, การอภิปราย, การบรรยาย, การทำงานกับหนังสือ
เรื่องราว- การพูดเป็นรูปเป็นร่างการนำเสนอตามลำดับของเนื้อหาขนาดเล็ก ความยาวของเรื่องคือ 20-30 นาที วิธีการนำเสนอสื่อการศึกษาแตกต่างจากการอธิบายในลักษณะที่เป็นเรื่องเล่าและถูกใช้เมื่อนักเรียนรายงานข้อเท็จจริง ตัวอย่าง คำอธิบายเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ ประสบการณ์การทำงานของสถานประกอบการ เมื่อกำหนดลักษณะวีรบุรุษวรรณกรรม บุคคลในประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ เรื่องราวสามารถนำมารวมกับวิธีการอื่นๆ: คำอธิบาย การสนทนา แบบฝึกหัด บ่อยครั้งเรื่องราวจะมาพร้อมกับการสาธิตการใช้อุปกรณ์ช่วยการมองเห็น การทดลอง แผ่นฟิล์มและคลิปฟิล์ม เอกสารเกี่ยวกับภาพถ่าย
มักจะนำเสนอข้อกำหนดด้านการสอนจำนวนหนึ่งให้กับเรื่องราวเป็นวิธีการนำเสนอความรู้ใหม่:
เรื่องราวควรจัดให้มีการปฐมนิเทศทางอุดมการณ์และศีลธรรมในการสอน
มีเฉพาะข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้และได้รับการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์
รวมตัวอย่างที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือจำนวนเพียงพอ ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ความถูกต้องของบทบัญญัติที่เสนอ
มีตรรกะที่ชัดเจนในการนำเสนอ
มีอารมณ์;
นำเสนอด้วยภาษาที่เรียบง่ายและเข้าถึงได้
สะท้อนให้เห็นถึงองค์ประกอบของการประเมินส่วนบุคคลและทัศนคติของครูต่อข้อเท็จจริงเหตุการณ์ดังกล่าว
คำอธิบาย. คำอธิบายควรเข้าใจว่าเป็นการตีความด้วยวาจาของกฎหมาย คุณสมบัติที่สำคัญของวัตถุที่ศึกษา แนวคิดส่วนบุคคล ปรากฏการณ์ คำอธิบายเป็นรูปแบบการนำเสนอคนเดียว คำอธิบายมีลักษณะเฉพาะโดยข้อเท็จจริงที่ว่าเป็นหลักฐานในธรรมชาติและมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุลักษณะสำคัญของวัตถุและปรากฏการณ์ ธรรมชาติและลำดับของเหตุการณ์ เพื่อเปิดเผยแก่นแท้ของแนวคิด กฎเกณฑ์ กฎหมายบางประการ ประการแรก หลักฐานมีให้โดยความสม่ำเสมอและความสม่ำเสมอของการนำเสนอ การโน้มน้าวใจ และความชัดเจนของการแสดงออกของความคิด อธิบายครูตอบคำถาม: "มันคืออะไร", "ทำไม"
ในการอธิบาย ควรใช้วิธีการต่างๆ ในการสร้างภาพข้อมูลให้ดี ซึ่งช่วยในการเปิดเผยด้านที่จำเป็น หัวข้อที่ศึกษา ตำแหน่ง กระบวนการ ปรากฏการณ์ และเหตุการณ์ต่างๆ ในระหว่างการอธิบาย ขอแนะนำให้ตั้งคำถามกับนักเรียนเป็นระยะ เพื่อรักษาความสนใจและกิจกรรมการเรียนรู้ ข้อสรุปและลักษณะทั่วไป สูตรและคำอธิบายของแนวคิด กฎหมายควรมีความแม่นยำ ชัดเจนและรัดกุม คำอธิบายส่วนใหญ่มักใช้เมื่อศึกษาเนื้อหาทางทฤษฎีของวิทยาศาสตร์ต่างๆ การแก้ปัญหาทางเคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ทฤษฎีบท เมื่อเปิดเผยสาเหตุและผลกระทบในปรากฏการณ์ธรรมชาติและชีวิตทางสังคม
การใช้วิธีการอธิบายต้องการ:
การเปิดเผยความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ การโต้แย้ง และหลักฐานอย่างสม่ำเสมอ
การใช้การเปรียบเทียบ การเทียบเคียง การเปรียบเทียบ
ตัวอย่างที่น่าดึงดูดใจ
ตรรกะที่ไร้ที่ติของการนำเสนอ

การสนทนา- วิธีการสอนแบบโต้ตอบซึ่งครูโดยการวางระบบคำถามอย่างรอบคอบจะนำนักเรียนให้เข้าใจเนื้อหาใหม่หรือตรวจสอบการดูดซึมของสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว การสนทนาเป็นวิธีการสอนทั่วไปวิธีหนึ่ง
ครูอาศัยความรู้และประสบการณ์ของนักเรียน โดยการตั้งคำถามตามลำดับนำไปสู่ความเข้าใจและการดูดซึมความรู้ใหม่ ถามคำถามกับทั้งกลุ่ม และหลังจากหยุดครู่หนึ่ง (8-10 วินาที) ระบบจะเรียกชื่อนักเรียน สิ่งนี้มีความสำคัญทางจิตวิทยาอย่างยิ่ง - ทั้งกลุ่มเตรียมตอบสนอง หากนักเรียนพบว่าเป็นการยากที่จะตอบ เราไม่ควร "ดึง" คำตอบออกจากตัวเขา - เป็นการดีกว่าที่จะโทรหาคนอื่น



เปิดใช้งานนักเรียน
พัฒนาความจำและคำพูด

ข้อเสียของวิธีการสนทนา:
ใช้เวลานาน


บทคัดย่อเป็นข้อความ เรียบเรียงโดยคำต่อคำที่ตัดตอนมาจากข้อความของบทบัญญัติแต่ละฉบับซึ่งแสดงความคิดของผู้เขียนได้ถูกต้องแม่นยำที่สุด และเป็นอิสระ ซึ่งความคิดของผู้เขียนแสดงออกมาด้วยคำพูดของเขาเอง บ่อยครั้งที่มีการจดบันทึกแบบผสม บางสูตรถูกเขียนใหม่โดยใช้คำถามที่สอดคล้องกันซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจและหลอมรวมความรู้ใหม่ ถามคำถามกับทั้งกลุ่ม และหลังจากหยุดครู่หนึ่ง (8-10 วินาที) ระบบจะเรียกชื่อนักเรียน สิ่งนี้มีความสำคัญทางจิตวิทยาอย่างยิ่ง - ทั้งกลุ่มเตรียมตอบสนอง หากนักเรียนพบว่าเป็นการยากที่จะตอบ เราไม่ควร "ดึง" คำตอบออกจากตัวเขา - เป็นการดีกว่าที่จะโทรหาคนอื่น
ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของบทเรียน การสนทนาประเภทต่างๆ ถูกนำมาใช้: ฮิวริสติก, การทำซ้ำ, การจัดระบบ
การสนทนาแบบฮิวริสติก (จากคำภาษากรีก "ยูเรก้า" - พบ, ค้นพบ) ใช้ในการศึกษาเนื้อหาใหม่
การสนทนาเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ (การควบคุมและการตรวจสอบ) มีเป้าหมายในการรวมเนื้อหาที่ศึกษาก่อนหน้านี้ไว้ในความทรงจำของนักเรียนและตรวจสอบระดับการดูดซึม
การสนทนาอย่างเป็นระบบจะดำเนินการเพื่อจัดระบบความรู้ของนักเรียนหลังจากศึกษาหัวข้อหรือส่วนในการทำซ้ำและสรุปบทเรียน
การสนทนาประเภทหนึ่งคือการสัมภาษณ์ สามารถทำได้ทั้งกับกลุ่มโดยรวมและกับนักเรียนแต่ละกลุ่ม
ความสำเร็จของการสัมภาษณ์ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความถูกต้องของการกำหนดคำถาม คำถามควรสั้น ชัดเจน มีความหมาย จัดทำขึ้นในลักษณะที่จะปลุกความคิดของนักเรียน คุณไม่ควรใส่คำถามซ้ำซ้อนหรือกระตุ้นการคาดเดาคำตอบ คุณไม่ควรกำหนดคำถามทางเลือกที่ต้องการคำตอบที่ชัดเจน เช่น "ใช่" หรือ "ไม่ใช่"
โดยรวมแล้ว วิธีการสนทนามีข้อดีดังต่อไปนี้:
เปิดใช้งานนักเรียน
พัฒนาความจำและคำพูด
ทำให้ความรู้ของนักเรียนเปิดกว้าง
มีอำนาจการศึกษาที่ดี
เป็นเครื่องมือวินิจฉัยที่ดี
ข้อเสียของวิธีการสนทนา:
ใช้เวลานาน
มีองค์ประกอบของความเสี่ยง (นักเรียนอาจให้คำตอบที่ไม่ถูกต้องซึ่งนักเรียนคนอื่นรับรู้และได้รับการแก้ไขในความทรงจำ)
การสนทนาเมื่อเทียบกับวิธีการให้ข้อมูลอื่น ๆ ให้กิจกรรมการเรียนรู้และจิตใจที่ค่อนข้างสูงของนักเรียน สามารถใช้ในการศึกษาวิชาใดก็ได้
การอภิปราย. การอภิปรายเป็นวิธีการสอนขึ้นอยู่กับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นใดประเด็นหนึ่งโดยเฉพาะ และความคิดเห็นเหล่านี้สะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมเองหรือขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้อื่น ขอแนะนำให้ใช้วิธีนี้เมื่อนักเรียนมีวุฒิภาวะที่สำคัญและมีความคิดอิสระ สามารถโต้แย้ง พิสูจน์ และยืนยันความคิดเห็นของตนได้ การอภิปรายที่ดำเนินการอย่างดีมีคุณค่าทางการศึกษาและการศึกษา: สอนให้เข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ความสามารถในการปกป้องตำแหน่งของตน และพิจารณาความคิดเห็นของผู้อื่น
การทำงานกับตำราเรียนและหนังสือเป็นวิธีการสอนที่สำคัญที่สุด การทำงานกับหนังสือจะดำเนินการส่วนใหญ่ในห้องเรียนภายใต้การแนะนำของครูหรือโดยอิสระ มีเทคนิคมากมายสำหรับงานอิสระกับแหล่งสิ่งพิมพ์ คนหลักคือ:
บทคัดย่อ - บทสรุป บันทึกสั้น ๆ ของเนื้อหาที่อ่านโดยไม่มีรายละเอียดและรายละเอียดปลีกย่อย การสำรวจจะดำเนินการจากคนแรก (จากตัวเอง) หรือจากบุคคลที่สาม บันทึกย่อของบุคคลที่หนึ่งพัฒนาความเป็นอิสระทางความคิดที่ดีขึ้น ในโครงสร้างและลำดับ บทสรุปควรสอดคล้องกับแผน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องร่างแผนขึ้นมาก่อน แล้วจึงเขียนบทสรุปในรูปแบบของคำตอบสำหรับคำถามเกี่ยวกับแผน
บทคัดย่อเป็นข้อความ เรียบเรียงโดยคำต่อคำที่ตัดตอนมาจากข้อความของบทบัญญัติแต่ละฉบับซึ่งแสดงความคิดของผู้เขียนได้ถูกต้องแม่นยำที่สุด และเป็นอิสระ ซึ่งความคิดของผู้เขียนแสดงออกมาด้วยคำพูดของเขาเอง ส่วนใหญ่มักจะทำบันทึกแบบผสมบางสูตรถูกเขียนใหม่และทำให้เกิดความเหนื่อยล้า
ในบทเรียน เนื้อหาการบรรยายจะรวมเข้ากับงานสร้างสรรค์ของนักเรียน ทำให้ผู้เข้าร่วมมีความกระตือรือร้นและสนใจในบทเรียน
งานของครูแต่ละคนไม่เพียงแต่ให้งานสำเร็จรูปเท่านั้น แต่ยังต้องสอนนักเรียนเพื่อให้ได้มาเองด้วย
ประเภทของงานอิสระมีหลากหลาย: ทำงานกับบทของหนังสือเรียน, เชื่อมหรือแท็กมัน, การเขียนรายงาน, บทคัดย่อ, การเตรียมข้อความในประเด็นเฉพาะ, การรวบรวมปริศนาอักษรไขว้, ลักษณะเปรียบเทียบ, ทบทวนคำตอบของนักเรียน, การบรรยายของครู, การวาดภาพ อ้างอิงไดอะแกรมและกราฟ ภาพวาดศิลปะ และการป้องกัน ฯลฯ
งานอิสระเป็นขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็นในการจัดบทเรียน และต้องคิดให้รอบคอบที่สุด เป็นไปไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ที่จะ "ส่ง" นักเรียนไปยังบทของหนังสือเรียนและเพียงแค่เชิญพวกเขาให้ร่างโครงร่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีน้องใหม่ต่อหน้าคุณและแม้แต่กลุ่มที่อ่อนแอ เป็นการดีที่สุดที่จะให้ชุดคำถามสำคัญก่อน เมื่อเลือกประเภทของงานอิสระ จำเป็นต้องเข้าหานักเรียนด้วยการสร้างความแตกต่าง โดยคำนึงถึงความสามารถของพวกเขาด้วย
รูปแบบการจัดระเบียบงานอิสระซึ่งเอื้อให้เกิดภาพรวมและความรู้ที่ได้มาก่อนหน้านี้อย่างลึกซึ้งที่สุดและที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาทักษะเพื่อควบคุมความรู้ใหม่อย่างอิสระการพัฒนากิจกรรมสร้างสรรค์ความคิดริเริ่มความโน้มเอียงและความสามารถ - นี่คือการสัมมนา .
การสัมมนาเป็นหนึ่งในวิธีการจัดชั้นเรียนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด การสัมมนามักจะนำหน้าด้วยการบรรยายที่กำหนดหัวข้อ ลักษณะและเนื้อหาของการสัมมนา
สัมมนาให้:
การแก้ปัญหา, ความลึก, การรวมความรู้ที่ได้รับจากการบรรยายและจากการทำงานอิสระ
การก่อตัวและการพัฒนาทักษะของแนวทางที่สร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้ความรู้และนำเสนอต่อผู้ชมอย่างอิสระ
การพัฒนากิจกรรมของนักศึกษาในการอภิปรายประเด็นปัญหาและประเด็นที่จะอภิปรายในหัวข้อสัมมนา
สัมมนายังมีฟังก์ชั่นการควบคุมความรู้
สัมมนาในวิทยาลัยเหมาะสำหรับกลุ่มปีที่สองและปีสุดท้าย บทเรียนสัมมนาแต่ละบทต้องมีการเตรียมการอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งโดยครูและนักเรียน ครูกำหนดหัวข้อของการสัมมนาแล้วจึงจัดทำแผนการสัมมนาล่วงหน้า (ล่วงหน้า 10-15 วัน) ซึ่งระบุว่า:
หัวข้อ วันที่ และเวลาเรียนของการประชุมเชิงปฏิบัติการ
คำถามที่จะพูดคุยในการสัมมนา (ไม่เกิน 3-4 คำถาม);
หัวข้อรายงานหลัก (ข้อความ) ของนักเรียน เปิดเผยปัญหาหลักของหัวข้อสัมมนา (2-3 รายงาน)
รายการวรรณกรรม (หลักและเพิ่มเติม) แนะนำให้นักเรียนเตรียมการสัมมนา
แผนการประชุมเชิงปฏิบัติการมีการสื่อสารกับนักเรียนเพื่อให้นักเรียนมีเวลาเพียงพอในการเตรียมตัวสำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการ
บทเรียนเริ่มต้นด้วยคำปราศรัยเบื้องต้นโดยครู ซึ่งครูสื่อสารวัตถุประสงค์และลำดับของการสัมมนา ระบุว่าบทบัญญัติใดของหัวข้อที่ควรให้ความสนใจในการกล่าวสุนทรพจน์ของนักเรียน หากแผนงานสัมมนาจัดให้มีการอภิปรายรายงาน หลังจากคำปราศรัยเบื้องต้นของครูแล้ว จะมีการฟังรายงาน จากนั้นจะมีการอภิปรายรายงานและคำถามเกี่ยวกับแผนการสัมมนา
ในระหว่างการสัมมนา ครูจะถามคำถามเพิ่มเติม พยายามกระตุ้นให้นักเรียนเปลี่ยนไปใช้รูปแบบการสนทนาเพื่อหารือเกี่ยวกับบทบัญญัติและคำถามของครูแต่ละคน
ในตอนท้ายของบทเรียน ครูสรุปผลการสัมมนา ให้การประเมินเหตุผลของการแสดงของนักเรียน ชี้แจงและเพิ่มเติมบทบัญญัติบางประการของหัวข้อของการสัมมนา ระบุว่าประเด็นใดที่นักเรียนควรดำเนินการเพิ่มเติม
การทัศนศึกษาเป็นวิธีหนึ่งในการได้มาซึ่งความรู้และเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการศึกษา ทัศนศึกษาและความรู้ความเข้าใจสามารถสำรวจและทำความคุ้นเคยได้ ตามหัวข้อ และมักจะดำเนินการร่วมกันภายใต้การแนะนำของครูหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ไกด์ทัวร์เป็นวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพพอสมควร พวกเขามีส่วนร่วมในการสังเกต การสะสมของข้อมูล การก่อตัวของความประทับใจทางสายตา
ทัศนศึกษาและการศึกษาจัดบนพื้นฐานของสิ่งอำนวยความสะดวกในการผลิตเพื่อวัตถุประสงค์ในการทำความคุ้นเคยกับการผลิตโครงสร้างองค์กรกระบวนการทางเทคโนโลยีส่วนบุคคลอุปกรณ์ประเภทและคุณภาพของผลิตภัณฑ์องค์กรและสภาพการทำงาน การทัศนศึกษาดังกล่าวมีความสำคัญมากสำหรับการแนะแนวอาชีพของคนหนุ่มสาว โดยเป็นการปลูกฝังความรักในอาชีพที่ตนเลือก นักเรียนจะได้รับแนวคิดที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับสถานะการผลิต ระดับของอุปกรณ์ทางเทคนิค ข้อกำหนดของการผลิตที่ทันสมัยสำหรับการฝึกอบรมวิชาชีพของพนักงาน
สามารถจัดทัศนศึกษาในพิพิธภัณฑ์ บริษัท และสำนักงาน สถานที่คุ้มครองเพื่อศึกษาธรรมชาติ นิทรรศการประเภทต่างๆ
ทัศนศึกษาแต่ละครั้งควรมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและการศึกษาที่ชัดเจน นักเรียนควรเข้าใจอย่างชัดเจนว่าจุดประสงค์ของการทัศนศึกษาคืออะไร สิ่งที่พวกเขาควรค้นหาและเรียนรู้ในระหว่างการทัศนศึกษา สิ่งที่จะรวบรวมเนื้อหา วิธีการและในรูปแบบใด สรุปมัน จัดทำรายงานเกี่ยวกับผลการทัศนศึกษา
นี่เป็นลักษณะโดยย่อของวิธีการสอนด้วยวาจาประเภทหลัก
วิธีการสอนด้วยภาพเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นวิธีการที่การดูดซึมของสื่อการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับสื่อช่วยและเทคนิคที่ใช้ในกระบวนการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญ วิธีการทางสายตาใช้ร่วมกับวิธีการสอนด้วยวาจาและเชิงปฏิบัติ
วิธีการสอนด้วยภาพสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ตามเงื่อนไข: วิธีการแสดงภาพประกอบและวิธีการสาธิต
วิธีการแสดงภาพประกอบเกี่ยวข้องกับการแสดงภาพประกอบของนักเรียน: โปสเตอร์, ตาราง, รูปภาพ, แผนที่, ภาพร่างบนกระดานดำ ฯลฯ
วิธีการสาธิตมักจะเกี่ยวข้องกับการสาธิตอุปกรณ์ การทดลอง การติดตั้งทางเทคนิค ฟิล์ม แถบฟิล์ม ฯลฯ
เมื่อใช้วิธีการสอนด้วยภาพ ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขหลายประการ:
การสร้างภาพข้อมูลที่ใช้ต้องสอดคล้องกับอายุของนักเรียน
ความชัดเจนควรใช้อย่างพอประมาณ และควรค่อยๆ แสดงให้เห็นในเวลาที่เหมาะสมของบทเรียนเท่านั้น การสังเกตควรจัดในลักษณะที่นักเรียนสามารถมองเห็นวัตถุที่แสดงให้เห็นได้ชัดเจน
จำเป็นต้องเน้นหลักอย่างชัดเจนซึ่งจำเป็นเมื่อแสดงภาพประกอบ
คิดรายละเอียดเกี่ยวกับคำอธิบายที่ให้ไว้ในระหว่างการสาธิตปรากฏการณ์
การมองเห็นที่แสดงให้เห็นจะต้องตรงกับเนื้อหาของวัสดุ
ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการค้นหาข้อมูลที่ต้องการในอุปกรณ์ช่วยการมองเห็นหรืออุปกรณ์สาธิต
วิธีการสอนเชิงปฏิบัติขึ้นอยู่กับกิจกรรมเชิงปฏิบัติของนักเรียน ทักษะและความสามารถในทางปฏิบัติเกิดขึ้นจากวิธีการเหล่านี้ วิธีการปฏิบัติ ได้แก่ แบบฝึกหัด ห้องปฏิบัติการ และการปฏิบัติงานจริง
การออกกำลังกาย. การออกกำลังกายเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นการทำซ้ำ (ซ้ำ) ของการกระทำทางจิตหรือทางปฏิบัติโดยมีจุดประสงค์เพื่อฝึกฝนหรือปรับปรุงคุณภาพ แบบฝึกหัดใช้ในการศึกษาทุกวิชาและในขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการศึกษา ลักษณะและวิธีการของแบบฝึกหัดขึ้นอยู่กับลักษณะของวิชาวิชาการ วัสดุเฉพาะ คำถามที่กำลังศึกษา และอายุของนักเรียน
แบบฝึกหัดโดยธรรมชาติแบ่งออกเป็นการใช้ปากเปล่าเขียนกราฟิกและการศึกษา เมื่อทำการแสดงแต่ละอย่าง นักเรียนจะทำงานด้านจิตใจและการปฏิบัติ
ตามระดับความเป็นอิสระของนักเรียนเมื่อทำแบบฝึกหัดมีความโดดเด่นดังต่อไปนี้:
แบบฝึกหัดสำหรับการทำซ้ำของสิ่งที่รู้จักเพื่อวัตถุประสงค์ในการรวบรวม - แบบฝึกหัดการทำซ้ำ
แบบฝึกหัดสำหรับใช้ความรู้ในเงื่อนไขใหม่ - แบบฝึกหัดการฝึกอบรม
หากนักเรียนพูดกับตัวเองหรือออกมาดัง ๆ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการที่จะเกิดขึ้น แบบฝึกหัดดังกล่าวเรียกว่าแสดงความคิดเห็น การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกระทำช่วยให้ครูพบข้อผิดพลาดทั่วไป ปรับเปลี่ยนการกระทำของนักเรียน
พิจารณาคุณสมบัติของการใช้แบบฝึกหัด
แบบฝึกหัดช่องปากมีส่วนช่วยในการพัฒนาการคิดเชิงตรรกะ ความจำ คำพูด และความสนใจของนักเรียน เป็นไดนามิกและไม่ต้องการการเก็บบันทึกที่ใช้เวลานาน
แบบฝึกหัดที่เป็นลายลักษณ์อักษรใช้เพื่อรวบรวมความรู้และพัฒนาทักษะในการสมัคร การใช้งานมีส่วนช่วยในการพัฒนาการคิดเชิงตรรกะวัฒนธรรมการเขียนความเป็นอิสระในการทำงาน แบบฝึกหัดที่เป็นลายลักษณ์อักษรสามารถใช้ร่วมกับแบบฝึกหัดปากเปล่าและกราฟิกได้
แบบฝึกหัดกราฟิกประกอบด้วยงานของนักเรียนเกี่ยวกับการวาดไดอะแกรม ภาพวาด กราฟ แผนที่เทคโนโลยี การทำอัลบั้ม โปสเตอร์ ขาตั้ง การทำสเก็ตช์ระหว่างห้องปฏิบัติการและการปฏิบัติงาน การทัศนศึกษา ฯลฯ แบบฝึกหัดกราฟิกมักจะทำพร้อมกันกับแบบฝึกหัดที่เป็นลายลักษณ์อักษรและแก้ปัญหาการศึกษาทั่วไป งาน แอปพลิเคชันของพวกเขาช่วยให้นักเรียนเข้าใจสื่อการศึกษาได้ดีขึ้นและมีส่วนช่วยในการพัฒนาจินตนาการเชิงพื้นที่ งานกราฟิก ขึ้นอยู่กับระดับความเป็นอิสระของนักเรียนในการนำไปปฏิบัติ อาจเป็นการสืบพันธุ์ การฝึกอบรม หรือความคิดสร้างสรรค์ในธรรมชาติ
ผลงานสร้างสรรค์ของนักเรียน การทำงานสร้างสรรค์เป็นวิธีสำคัญในการพัฒนาความสามารถเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียน การสร้างทักษะของงานอิสระอย่างมีจุดมุ่งหมาย การเพิ่มพูนความรู้เชิงลึก และความสามารถในการใช้ทักษะเหล่านี้เมื่อปฏิบัติงานเฉพาะ งานสร้างสรรค์ของนักเรียนประกอบด้วย: การเขียนเรียงความ เรียงความ บทวิจารณ์ การพัฒนาโครงการภาคเรียนและประกาศนียบัตร การวาดภาพ สเก็ตช์ และการมอบหมายงานสร้างสรรค์อื่นๆ
งานในห้องปฏิบัติการเป็นการดำเนินการของนักเรียนตามคำแนะนำของครูผู้สอนการทดลองโดยใช้เครื่องมือ การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางเทคนิคอื่น ๆ นั่นคือการศึกษาปรากฏการณ์ใด ๆ ของนักเรียนโดยใช้อุปกรณ์พิเศษ
บทเรียนภาคปฏิบัติเป็นประเภทหลักของการฝึกอบรมที่มุ่งพัฒนาทักษะและความสามารถภาคปฏิบัติทางการศึกษาและวิชาชีพ
ชั้นเรียนในห้องปฏิบัติการและภาคปฏิบัติมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน ความหมายของ ux คือการที่นักเรียนมีส่วนในการพัฒนาความสามารถของนักเรียนในการใช้ความรู้เชิงทฤษฎีในการแก้ปัญหาในทางปฏิบัติ เพื่อสังเกตกระบวนการและปรากฏการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่โดยตรง และเรียนรู้ที่จะสรุปข้อสรุปและลักษณะทั่วไปโดยอิงจากการวิเคราะห์ผลการสังเกต ที่นี่นักเรียนจะได้รับความรู้และทักษะการปฏิบัติอย่างอิสระในการจัดการเครื่องมือ วัสดุ รีเอเจนต์ อุปกรณ์ มีแบบฝึกหัดในห้องปฏิบัติการและภาคปฏิบัติในหลักสูตรและหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง งานของครูคือการจัดระเบียบการดำเนินงานของห้องปฏิบัติการและการปฏิบัติงานโดยนักเรียนอย่างถูกต้องอย่างมีระเบียบวิธีสั่งการกิจกรรมของนักเรียนอย่างเชี่ยวชาญจัดชั้นเรียนด้วยคำแนะนำที่จำเป็นเครื่องมือช่วยระเบียบวิธีวัสดุและอุปกรณ์ กำหนดเป้าหมายการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของบทเรียนอย่างชัดเจน ในระหว่างห้องปฏิบัติการและการปฏิบัติงานจริงยังเป็นสิ่งสำคัญในการตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติเชิงสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนที่ต้องการการกำหนดสูตรและการแก้ปัญหาที่เป็นอิสระ ครูตรวจสอบงานของนักเรียนแต่ละคน ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องการ ให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคล สนับสนุนกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกของนักเรียนทุกคนในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้
งานในห้องปฏิบัติการดำเนินการในรูปแบบภาพประกอบหรือแผนการวิจัย
การปฏิบัติจริงจะดำเนินการหลังจากศึกษาหัวข้อใหญ่ ๆ หัวข้อและมีลักษณะทั่วไป
การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเกี่ยวข้องกับการสร้างสถานการณ์ปัญหา กล่าวคือ เงื่อนไขดังกล่าวหรือสภาพแวดล้อมดังกล่าวซึ่งมีความจำเป็นในกระบวนการคิดเชิงรุก การรับรู้อิสระของนักเรียน การค้นหาวิธีการและเทคนิคใหม่ๆ ที่ยังไม่รู้เพื่อทำงานให้เสร็จ อธิบายโดยที่ยังไม่ทราบ ปรากฏการณ์ เหตุการณ์ กระบวนการ
ขึ้นอยู่กับระดับความเป็นอิสระทางปัญญาของนักเรียน ระดับความซับซ้อนของสถานการณ์ปัญหาและวิธีแก้ปัญหา วิธีการเรียนรู้ปัญหาต่อไปนี้มีความโดดเด่น
ข้อความสื่อสารที่มีองค์ประกอบของปัญหา วิธีนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างสถานการณ์ปัญหาเดียวที่มีความซับซ้อนเล็กน้อย ครูสร้างสถานการณ์ปัญหาเฉพาะในบางช่วงของบทเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียนในประเด็นที่ศึกษา โดยเน้นความสนใจไปที่คำพูดและการกระทำ ปัญหาได้รับการแก้ไขในระหว่างการนำเสนอเนื้อหาใหม่โดยครูเอง เมื่อใช้วิธีนี้ในการสอน บทบาทของนักเรียนค่อนข้างเฉยเมย ระดับความเป็นอิสระทางปัญญาของพวกเขาต่ำ
คำชี้แจงปัญหาทางปัญญา สาระสำคัญของวิธีนี้คือครูที่สร้างสถานการณ์ที่เป็นปัญหากำหนดปัญหาด้านการศึกษาและความรู้ความเข้าใจที่เฉพาะเจาะจงและตัวเองในกระบวนการนำเสนอเนื้อหาใช้วิธีแก้ปัญหาที่บ่งบอกถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ในที่นี้โดยใช้ตัวอย่างส่วนตัว ครูแสดงให้นักเรียนเห็นว่าวิธีการใดและควรแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นี้ในลำดับตรรกะใด เรียนรู้ตรรกะการให้เหตุผลและลำดับเทคนิคการค้นหาที่ครูใช้ในการแก้ปัญหา นักเรียนดำเนินการตามแบบจำลอง วิเคราะห์สภาพจิตใจของปัญหา เปรียบเทียบข้อเท็จจริงและปรากฏการณ์ และทำความคุ้นเคยกับวิธีการสร้างหลักฐาน .
ในบทเรียนดังกล่าว ครูใช้เทคนิควิธีการที่หลากหลาย - การสร้างสถานการณ์ปัญหาเพื่อกำหนดและแก้ปัญหาด้านการศึกษาและความรู้ความเข้าใจ: คำอธิบาย เรื่องราว การใช้วิธีการทางเทคนิคและสื่อการสอนด้วยภาพ
คำสั่งปัญหาไดอะล็อก ครูสร้างสถานการณ์ที่เป็นปัญหา ปัญหาได้รับการแก้ไขด้วยความพยายามร่วมกันของครูและนักเรียน บทบาทที่กระตือรือร้นที่สุดของนักเรียนจะปรากฏในขั้นตอนการแก้ปัญหาซึ่งจำเป็นต้องมีการประยุกต์ใช้ความรู้ที่รู้จักอยู่แล้ว วิธีนี้สร้างโอกาสค่อนข้างเพียงพอสำหรับกิจกรรมการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ที่เป็นอิสระของนักเรียน ให้คำติชมอย่างใกล้ชิดในการเรียนรู้ นักเรียนได้ใช้ในการแสดงความคิดเห็นของเขาออกมาดัง ๆ พิสูจน์และปกป้องพวกเขาซึ่งส่งเสริมกิจกรรมในชีวิตของเขาให้ดีที่สุด ตำแหน่ง.
วิธีการฮิวริสติกหรือการค้นหาเพียงบางส่วนจะใช้เมื่อครูกำหนดเป้าหมายในการสอนองค์ประกอบการพึ่งพาตนเองให้นักเรียนเป็นรายบุคคล
การแก้ปัญหาที่สมบูรณ์จัดระเบียบและดำเนินการโดยความพยายามของนักเรียนในการค้นหาความรู้ใหม่บางส่วน การค้นหาวิธีแก้ปัญหาจะดำเนินการทั้งในรูปแบบของการปฏิบัติจริงหรือผ่านการคิดภาพหรือนามธรรม - จากการสังเกตส่วนบุคคลหรือข้อมูลที่ได้รับจากครูจากแหล่งที่เป็นลายลักษณ์อักษร ฯลฯ เช่นเดียวกับวิธีการอื่น ๆ ของปัญหา การเรียนรู้ ครูในชั้นเรียนตอนต้นสร้างปัญหาให้กับนักเรียนด้วยวาจาหรือโดยการแสดงประสบการณ์หรือในรูปของงานที่ประกอบด้วยข้อเท็จจริงว่าบนพื้นฐานของข้อมูลที่ได้รับเกี่ยวกับข้อเท็จจริงเหตุการณ์อุปกรณ์ต่างๆ เครื่องจักร หน่วย กลไก นักเรียนทำการสรุปโดยอิสระ มาถึงข้อสรุปบางประการ ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและรูปแบบที่กำหนดไว้ ความแตกต่างที่มีนัยสำคัญ และความคล้ายคลึงพื้นฐาน
วิธีวิจัย. กิจกรรมของครูมีความแตกต่างกันเล็กน้อยเมื่อใช้วิธีการวิจัยและการวิเคราะห์พฤติกรรม ทั้งสองวิธีเหมือนกันในแง่ของการสร้างเนื้อหา ทั้งวิธีฮิวริสติกและการวิจัยเกี่ยวข้องกับการกำหนดปัญหาด้านการศึกษาและงานที่มีปัญหา การจัดการกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของครูของนักเรียนและนักเรียนในทั้งสองกรณีได้รับความรู้ใหม่โดยส่วนใหญ่โดยการแก้ปัญหาการศึกษา
หากในกระบวนการใช้วิธีการฮิวริสติก คำถาม คำแนะนำ และงานที่มีปัญหามีลักษณะเชิงรุก กล่าวคือ ถูกวางก่อนหรืออยู่ในขั้นตอนการแก้ปัญหา และทำหน้าที่เป็นแนวทางในการวิจัย วิธีการ คำถามจะถูกโพสต์หลังจากที่นักเรียนส่วนใหญ่จัดการกับการแก้ปัญหาของการศึกษา - ปัญหาความรู้ความเข้าใจและการกำหนดของพวกเขาสำหรับนักเรียนเป็นวิธีการติดตามและตรวจสอบความถูกต้องของข้อสรุปและแนวคิดของตนเอง ความรู้ที่ได้รับ
วิธีการวิจัยจึงซับซ้อนกว่าและมีกิจกรรมการค้นหาเชิงสร้างสรรค์ที่เป็นอิสระของนักเรียนในระดับที่สูงขึ้น นำไปประยุกต์ใช้ในห้องเรียนกับนักเรียนที่มีพัฒนาการสูงและมีทักษะค่อนข้างดีในงานสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาทางการศึกษาและความรู้ความเข้าใจที่เป็นอิสระ เพราะวิธีการสอนโดยธรรมชาตินี้ใกล้เคียงกับกิจกรรมการวิจัย
การเลือกวิธีการสอน
ในวิทยาการสอนบนพื้นฐานของการศึกษาและสรุปประสบการณ์เชิงปฏิบัติของครูมีการพัฒนาแนวทางบางประการในการเลือกวิธีการสอนขึ้นอยู่กับการผสมผสานของสถานการณ์และเงื่อนไขเฉพาะของกระบวนการศึกษาต่างๆ
การเลือกวิธีการสอนขึ้นอยู่กับ:
จากเป้าหมายทั่วไปของการศึกษา การอบรมเลี้ยงดู และพัฒนานักศึกษา และทัศนคติชั้นนำของคณาจารย์สมัยใหม่
เกี่ยวกับลักษณะของวิชาที่กำลังศึกษา
เกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของวิธีการสอนของสาขาวิชาเฉพาะและข้อกำหนดสำหรับการเลือกวิธีการสอนทั่วไปที่กำหนดโดยเฉพาะ
เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์ และเนื้อหาของบทเรียนเฉพาะ
จากเวลาที่กำหนดสำหรับการศึกษาวัสดุเฉพาะ
เกี่ยวกับลักษณะอายุของนักเรียน
ระดับความพร้อมของนักเรียน (การศึกษา การเลี้ยงดู และการพัฒนา)
เกี่ยวกับอุปกรณ์วัสดุของสถาบันการศึกษาความพร้อมของอุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์วิธีการทางเทคนิค
เกี่ยวกับความสามารถและลักษณะของครู ระดับการฝึกอบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ทักษะระเบียบวิธีปฏิบัติ คุณสมบัติส่วนตัวของเขา
การเลือกและการประยุกต์ใช้วิธีการและเทคนิคการสอน ครูมุ่งมั่นที่จะค้นหาวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดที่จะรับประกันความรู้คุณภาพสูง การพัฒนาความสามารถทางจิตและความคิดสร้างสรรค์ ความรู้ความเข้าใจ และที่สำคัญที่สุดคือกิจกรรมอิสระของนักเรียน

หลักการสอนแทรกซึมตลอดทั้งกระบวนการศึกษา เนื้อหา วิธีการ วิธีการและรูปแบบ

จากที่กล่าวข้างต้น รูปแบบการศึกษาเป็นวิธีการจัดกระบวนการศึกษา และวิธีการเป็นปฏิสัมพันธ์ทางการสอนระหว่างครูและนักเรียน ในการสอน รูปแบบของการจัดกระบวนการศึกษาจะถูกเปิดเผยผ่านวิธีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียนในการแก้ปัญหาการศึกษา พวกเขาได้รับการแก้ไขด้วยวิธีต่างๆ ในการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ การสื่อสาร ความสัมพันธ์ ภายในกรอบของหลังเนื้อหาการศึกษาวิธีการและวิธีการสอนเทคโนโลยีการศึกษาถูกนำมาใช้

รูปแบบการจัดฝึกอบรมแบบเดียวและแบบเดียวกันสามารถปรับเปลี่ยนได้ขึ้นอยู่กับงานและวิธีการฝึกอบรม ตัวอย่างเช่น รูปแบบชั้นนำของการจัดกระบวนการเรียนรู้ในระดับอุดมศึกษา เช่น การบรรยาย สามารถเป็นคำนำ ภาพรวม ปัญหา เลขฐานสอง เป็นต้น

รูปแบบหลักของการฝึกอบรม ได้แก่ การบรรยาย การประชุมเชิงปฏิบัติการ สัมมนา การประชุมเพื่อการศึกษา การปรึกษาหารือ การฝึกสอน การฝึกอบรมวิชาชีพ การศึกษาและการปฏิบัติทางอุตสาหกรรม การทำงานอิสระของนักศึกษา คลินิกกฎหมาย การทดสอบ การสอบ

บรรยาย(จาก Lat. lectio - การอ่าน) - การนำเสนอความรู้ทางวิทยาศาสตร์บางอย่างที่สอดคล้องกันสำหรับนักเรียน นี่เป็นหนึ่งในรูปแบบหลักของกระบวนการศึกษาและหลัก

วิธีการสอนของมหาวิทยาลัย การบรรยายปรากฏในการฝึกสอนในกรีกโบราณและรัฐโบราณอื่น ๆ จากนั้นจึงแพร่หลายในมหาวิทยาลัยยุคกลางและยังคงมีบทบาทเป็นผู้นำในการศึกษาระดับอุดมศึกษาจนถึงปัจจุบัน อาจารย์ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างวิทยาศาสตร์และนักศึกษา

ควรสังเกตว่าในการสอนสมัยใหม่มีมุมมองที่ตรงกันข้ามเกี่ยวกับประสิทธิผลของรูปแบบการสอนแบบบรรยาย ผู้สนับสนุนเชื่อว่าการบรรยายยังคงเป็นทั้งวิธีการสอนชั้นนำและรูปแบบหลักของการจัดกระบวนการศึกษาของมหาวิทยาลัย เนื่องจากเป็นช่องทางในการสื่อสารโดยตรงระหว่างนักศึกษาและอาจารย์ ซึ่งช่วยให้ใช้คำพูดที่มีชีวิตเพื่อกระตุ้นและรักษา สนใจในวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเพื่อแสดงตามหลักการสอนวิทยาศาสตร์ประเด็นนี้หรือประเด็นนั้นโดยคำนึงถึงความสำเร็จล่าสุดในระดับหนึ่งพูดคุยถึงกระบวนการศึกษาและเพิ่มประสิทธิภาพ ฝ่ายตรงข้ามให้ข้อโต้แย้งต่อไปนี้: การบรรยายสอนการรับรู้แบบพาสซีฟของเนื้อหาที่นำเสนอ, ขัดขวางการพัฒนาความคิดอิสระของนักเรียน, กีดกันการทำงานอิสระ, สอนคำพูดของอาจารย์ที่จะบันทึกโดยอัตโนมัติโดยไม่เข้าใจ, ป้องกันการดำเนินการของแต่ละบุคคล แนวทางและมีโอกาสที่อ่อนแอมากสำหรับการควบคุมการปฏิบัติงานเหนือสื่อการเรียนรู้

ประสิทธิผลของการบรรยายเพื่อการศึกษาและคุณภาพสูงช่วยให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดการสอนต่อไปนี้ ซึ่งสามารถใช้เป็นเกณฑ์สำหรับความสำเร็จของการบรรยาย: ลักษณะทางวิทยาศาสตร์และเนื้อหาข้อมูลของเนื้อหาที่นำเสนอ หลักฐานและความถูกต้องของคำพิพากษา การมีตัวอย่างข้อเท็จจริงและเอกสารที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือจำนวนเพียงพอ อารมณ์ความสนใจโดยตรงของผู้บรรยายในเรื่องการนำเสนอ การกระตุ้นความคิดและความสนใจของผู้ฟังเพื่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจและการเคลื่อนไหวของความคิดไปพร้อมกับความคิดของวิทยากร การจัดโครงสร้างที่เหมาะสมอย่างเป็นระบบของวัสดุ (แนะนำหัวข้อ, เน้นความคิดหลักและบทบัญญัติ, เน้นและทำซ้ำข้อสรุปในสูตรต่างๆ); ภาษาวรรณกรรมที่เข้าถึงได้ชัดเจน คำอธิบายคำศัพท์และแนวคิดที่นำมาใช้ พจน์ที่ชัดเจน อัตราการพูดปกติ เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฟัง ทำความเข้าใจ และบันทึกสั้นๆ

รูปแบบ; การใช้สื่อการสอนและโสตทัศนูปกรณ์

ผ่านการบรรยาย ครูจะทำหน้าที่หลักในการสอนของเขา: การสอน การให้ความรู้ การพัฒนา และการจัดองค์กรและการกระตุ้น

ฟังก์ชั่นการเรียนรู้แสดงให้ผู้ฟังได้รับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับกิจกรรมทางวิชาชีพของตน

ฟังก์ชั่นการศึกษาเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการก่อตัวของทิศทางคุณค่า โลกทัศน์ ความตระหนักทางกฎหมายของนักเรียนผ่านการนำเสนอสื่อการศึกษาที่เป็นตัวเป็นตน การแสดงความคิดเห็นในตำแหน่งและมุมมองต่างๆ ความเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ การอภิปรายเหตุการณ์สำคัญทางกฎหมายในปัจจุบัน

ฟังก์ชั่นการพัฒนาถูกนำมาใช้ในการสื่อสารการสอนโดยตรงระหว่างครูและนักเรียน ผ่านการกระตุ้นกิจกรรมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนผ่านการกำหนดและแก้ไขปัญหาที่รับประกันการพัฒนาอาชีพและส่วนบุคคล

ฟังก์ชั่นองค์กรและการกระตุ้นจัดให้มีการจัดและจัดการงานอิสระของนักศึกษาทั้งในระหว่างการบรรยายและนอกหลักสูตร ส่งเสริมการศึกษาเชิงลึกในประเด็นที่ยกขึ้นในการบรรยายโดยอิสระ

ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการสอนและสถานที่ในกระบวนการศึกษา ประเภทของการบรรยาย

บรรยายเบื้องต้นตามกฎแล้วในตอนต้นของหลักสูตรเพื่อให้นักเรียนมีความคิดทั่วไปเกี่ยวกับเนื้อหาวางในกระบวนการศึกษาและบทบาทในกิจกรรมภาคปฏิบัติในอนาคต การบรรยายเบื้องต้นสามารถเป็นที่นิยมและพูดคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ ในการบรรยายเบื้องต้นสามารถให้รายชื่อวรรณกรรมที่จำเป็นสำหรับการทำงานได้อธิบายว่าคำถามใดที่จะศึกษาในชั้นเรียนภาคปฏิบัติปัญหาที่จะได้รับการแก้ไขจะต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษ ครูที่มีประสบการณ์จะเริ่มต้นการบรรยายเบื้องต้นโดยอธิบายว่านักเรียนทำงานอย่างไรในการบรรยาย โดยคำนึงถึงลักษณะเฉพาะของวิชานั้นๆ เรื่องสั้นเกี่ยวกับประวัติของสาขาวิทยาศาสตร์เฉพาะและแผนกที่เกี่ยวข้อง ศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ที่มีอยู่

โรงเรียนในทิศทางนี้โอกาสในการร่วมมือกับภาควิชา

บรรยายภาพรวมมีข้อมูลโดยสังเขปและโดยทั่วไปเป็นส่วนใหญ่เกี่ยวกับปัญหาของโปรแกรมที่เป็นเนื้อเดียวกัน (คล้ายกันในเนื้อหา) การบรรยายเหล่านี้มักใช้ในขั้นสุดท้ายของการศึกษา (เช่น ก่อนการสอบของรัฐ) ตลอดจนในรูปแบบการศึกษานอกเวลาและนอกเวลา

บรรยายการติดตั้งรวมถึงภาพรวมของเนื้อหาหลักของวิชานี้ ให้แนวทางทั่วไปแก่นักเรียนสำหรับการเรียนรู้เนื้อหาในหลักสูตรหรือบางส่วนโดยอิสระ การบรรยายประเภทนี้มักจะเป็นการอธิบาย อาจใช้สื่อสาธิต อาจารย์สรุปแนวคิดสมัยใหม่เกี่ยวกับวัตถุที่กำลังศึกษา เน้นความสนใจของนักเรียนเกี่ยวกับปัญหาที่ยังไม่ได้แก้ไข แสดงมุมมองของตนเอง ให้การคาดการณ์ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการพัฒนาต่อไปของอุตสาหกรรมที่ศึกษาหรือสถาบันกฎหมาย ในการทำงานที่แผนกการติดต่อ ขอแนะนำให้ใช้วิธีการอ่านการบรรยายประเภทนี้ที่มีปัญหา ในขณะที่ครูสามารถเชิญนักเรียนให้ค้นหาคำตอบของปัญหาที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติได้เสมอ

การบรรยายปัจจุบันทำหน้าที่นำเสนอเนื้อหาหลักสูตรอย่างเป็นระบบ

บรรยายครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้นการศึกษาวัสดุการศึกษา สรุปสิ่งที่ศึกษาก่อนหน้านี้ตรวจสอบโอกาสในการพัฒนาสาขาวิทยาศาสตร์บางสาขา จะให้ความสนใจเป็นพิเศษกับงานอิสระของนักเรียนในช่วงก่อนสอบ

ขึ้นอยู่กับวิธีการจัดส่ง การบรรยายประเภทต่อไปนี้สามารถแยกแยะได้

การบรรยายข้อมูลใช้วิธีการนำเสนอที่อธิบายและอธิบายประกอบ นี่เป็นรูปแบบการบรรยายแบบดั้งเดิมที่สุดในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย

บรรยายปัญหาเป็นการบรรยายที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของครูของผู้ชมในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่ร้ายแรงที่กำหนดหัวข้อของบทเรียน ในแต่ละสื่อการศึกษาและการตั้งค่า วิทยากรได้สัมผัสถึงแก่นแท้ของปัญหาทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ เปิดเผยวิธีการที่เป็นไปได้ในการแก้ปัญหา แสดงให้เห็นถึงความสำคัญทางทฤษฎีและการปฏิบัติของความสำเร็จ กล่าวคือ การบรรยายแต่ละครั้ง

เป็นปัญหาในระดับหนึ่ง ขอแนะนำให้รวมการบรรยายที่มีปัญหาโดยสมบูรณ์อย่างน้อยหนึ่งครั้งในหลักสูตรการบรรยายโดยตั้งใจ นี่เป็นเพียงความจำเป็นในกรณีที่ทีมวิทยาศาสตร์ของแผนกได้ศึกษาปัญหาทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะมาหลายปีแล้ว โดยธรรมชาติแล้ว เขามีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นต้นฉบับและอาจมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การบรรยายปัญหาการอ่านมีค่าการสอนที่ยอดเยี่ยมและดึงดูดนักเรียนให้เป็นผู้วิจัยที่มีศักยภาพในการแก้ปัญหาเร่งด่วนของวิทยาศาสตร์

การบรรยาย-การแสดงภาพเกี่ยวข้องกับการนำเสนอด้วยสายตาของสื่อการสอนโดยใช้อุปกรณ์ช่วยสอนทางเทคนิค (อุปกรณ์เสียงและวิดีโอ ฯลฯ) พร้อมการพัฒนาหรือคำอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับสื่อภาพที่แสดงให้เห็น

เราสามารถตั้งชื่อประเภทของภาพบรรยายบรรยายได้ดังต่อไปนี้

วีดีโอบรรยายเป็นวิดีโอบรรยายโดยอาจารย์ สามารถเสริมด้วยแอปพลิเคชั่นมัลติมีเดียที่แสดงการนำเสนอการบรรยาย การเพิ่มดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้เนื้อหาของการบรรยายดีขึ้น แต่ยังทำให้การนำเสนอมีชีวิตชีวาและน่าสนใจสำหรับนักเรียนอีกด้วย ข้อได้เปรียบที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของวิธีการนำเสนอเนื้อหาเชิงทฤษฎีนี้คือความสามารถในการดูและ (หรือ) ฟังการบรรยายในเวลาที่สะดวก โดยอ้างถึงสถานที่ที่ยากที่สุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิดีโอบรรยายสามารถส่งไปยังศูนย์ฝึกอบรมเกี่ยวกับวิดีโอเทปหรือซีดี

การบรรยายมัลติมีเดียสำหรับงานอิสระในสื่อการสอน นักศึกษาสามารถใช้โปรแกรมการฝึกอบรมคอมพิวเตอร์แบบโต้ตอบได้ เหล่านี้เป็นตำราที่มีการจัดโครงสร้างเนื้อหาตามทฤษฎีด้วยการใช้เครื่องมือมัลติมีเดียเพื่อให้นักเรียนแต่ละคนสามารถเลือกวิธีที่ดีที่สุดในการศึกษาเนื้อหาขั้นตอนการทำงานที่สะดวกในหลักสูตรและวิธีการเรียนที่ดีที่สุด เหมาะสมกับลักษณะทางจิตฟิสิกส์ของการรับรู้ ผลการเรียนรู้ในโปรแกรมดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะเนื้อหาเท่านั้น แต่ยังมาจากการใช้โปรแกรมทดสอบต่างๆ ที่อนุญาตให้นักเรียนประเมินระดับการดูดซึมของสื่อการศึกษาเชิงทฤษฎี

การบรรยายแบบไบนารี (การบรรยายแบบสนทนา)จัดให้มีการนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบของการสนทนาระหว่างครูสองคนเช่น

นักวิทยาศาสตร์และนักปฏิบัติ ตัวแทนของสองทิศทางทางวิทยาศาสตร์

บรรยาย-ยั่วยุ(การบรรยายที่มีข้อผิดพลาดที่วางแผนไว้ล่วงหน้า) ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนติดตามข้อมูลที่เสนอและค้นหาข้อผิดพลาดอย่างต่อเนื่อง ในตอนท้ายของการบรรยาย ความรู้ของนักเรียนจะได้รับการวินิจฉัยและวิเคราะห์ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

บรรยาย-ประชุมจะดำเนินการเป็นบทเรียนทางวิทยาศาสตร์และการปฏิบัติด้วยการฟังรายงานและสุนทรพจน์ของนักเรียนเกี่ยวกับปัญหาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าภายในกรอบของหลักสูตร โดยสรุป ครูสรุปผลลัพธ์ เสริม และชี้แจงข้อมูล กำหนดข้อสรุปหลัก

บรรยาย-ให้คำปรึกษาเกี่ยวข้องกับการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับประเภทของ "คำถาม-คำตอบ" หรือ "คำถาม-คำตอบ-การอภิปราย"

พิจารณาคำถาม วิธีการจัดเตรียมและจัดส่งการบรรยาย

การเตรียมการบรรยายเริ่มต้นด้วยการพัฒนาโครงสร้างของหลักสูตรบรรยายการทำงานในสาขาเฉพาะโดยครู โปรแกรมการทำงานที่คำนึงถึงเนื้อหาเฉพาะของเนื้อหาการศึกษาในสถาบันการศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่งควรเป็นแนวทางที่นี่ โปรแกรมการทำงานเป็นแบบไดนามิก และครูแต่ละคนมีโอกาสที่จะทำการเปลี่ยนแปลงของตนเอง หลักสูตรและโปรแกรมการทำงานเป็นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรการบรรยาย

โครงสร้างของหลักสูตรบรรยายมักจะประกอบด้วยส่วนเกริ่นนำ หลัก และส่วนสุดท้าย จำนวนการบรรยายในส่วนใดส่วนหนึ่งพิจารณาจากจำนวนชั่วโมงทั้งหมดที่จัดสรรสำหรับงานบรรยาย และโครงสร้างเฉพาะของสาขานิติศาสตร์ที่ศึกษา

หลังจากกำหนดโครงสร้างของหลักสูตรการบรรยายแล้ว คุณสามารถเริ่มเตรียมการบรรยายเฉพาะได้ วิธีการทำงานบรรยายเกี่ยวข้องกับขั้นตอนต่อไปนี้โดยประมาณ:

การเลือกสื่อการสอน การร่างแผนการบรรยาย รายการวรรณกรรมขั้นพื้นฐานและเพิ่มเติม

การกำหนดปริมาณและเนื้อหาของการบรรยาย ศึกษาแหล่งข้อมูลพื้นฐาน

การเลือกลำดับและตรรกะของการนำเสนอ การเขียนเรื่องย่อ

การเลือกวัสดุประกอบภาพ

พัฒนาวิธีการบรรยาย

การเลือกสื่อสำหรับการบรรยายจะพิจารณาจากหัวข้อ ในการเลือกเนื้อหา จำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับกฎหมายและข้อบังคับในปัจจุบัน ความคิดเห็นที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับกฎหมายปัจจุบันและบทความที่เป็นปัญหาในวารสาร นอกจากนี้ อาจารย์ควรทำความคุ้นเคยกับเนื้อหาของหัวข้อในวรรณกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ใช้โดยนักเรียนอย่างรอบคอบ เพื่อค้นหาว่าประเด็นใดของปัญหาที่กำลังศึกษาได้รับการระบุอย่างดี ข้อมูลใดล้าสมัยและต้องมีการแก้ไข ขอแนะนำให้คิดถึงลักษณะทั่วไปที่จำเป็นต้องสร้าง เน้นมุมมองที่เป็นข้อขัดแย้ง และสร้างมุมมองของคุณให้ชัดเจน ผู้บรรยายต้องวิเคราะห์สถานะของปัญหาที่ร่างไว้ในตำราเรียนจากมุมมองที่ทันสมัย ​​จัดทำแผนการบรรยาย และเริ่มจัดทำแผนการบรรยายขยายเวลา

การกำหนดปริมาณและเนื้อหาของการบรรยายเป็นขั้นตอนสำคัญในการเตรียมการ ซึ่งจะกำหนดจังหวะการนำเสนอของเนื้อหา ทั้งนี้เนื่องมาจากกรอบเวลาที่จำกัดซึ่งกำหนดชั่วโมงการสอนสำหรับแต่ละสาขาวิชา ไม่แนะนำให้ปฏิบัติตามแนวทางการวางแผนการอ่านในการบรรยายของเนื้อหาทั้งหมดที่โปรแกรมจัดเตรียมไว้ เพื่อทำให้การนำเสนอประเด็นหลักมีความครบถ้วนสมบูรณ์ การบรรยายควรมีข้อมูลมากที่สุดเท่าที่ผู้ชมจะหลอมรวมได้ในเวลาที่กำหนด ควรถอดการบรรยายออกจากเนื้อหาบางส่วนแล้วโอนไปยังการศึกษาอิสระ ต้องส่งเอกสารนี้พร้อมกับเอกสารการบรรยายเพื่อสอบ ในขณะเดียวกันตามประสบการณ์แสดงให้เห็นว่าระยะเวลาที่จัดสรรสำหรับงานอิสระไม่ควรเกิน 30-40% ของเวลาบรรยาย หากการบรรยายมีการเตรียมมาอย่างดี แต่มีเนื้อหาที่เป็นข้อเท็จจริงมากเกินไป ก็จะไม่ได้ผลและจะไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ เมื่อเลือกปริมาณของการบรรยาย จำเป็นต้องคำนึงถึงความสามารถของนักเรียน "เฉลี่ย" ในการเขียนข้อมูลที่ตามความเห็นของครู เขาต้องดูดซึม

เมื่อตัดสินใจเกี่ยวกับปริมาณและเนื้อหาของการบรรยาย ควรพิจารณาคุณลักษณะพิเศษเฉพาะหลายประการของกิจกรรมประเภทนี้ รวมถึงลักษณะการสอนของการบรรยาย การบรรยายเป็นส่วนหนึ่งของระบบการฝึกอบรม และควรมีการเชื่อมโยงอย่างมีความหมายกับความซับซ้อน กับลักษณะของวินัยทางวิชาการ ตลอดจนโอกาสทางการศึกษาของการศึกษารูปแบบอื่น

การสอนแบบบรรยายเป็นการวางรากฐานของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ให้พื้นฐานทางทฤษฎีสำหรับสาขานิติศาสตร์ที่ศึกษา แนะนำให้นักศึกษารู้จักวิธีการวิจัย ระบุทิศทางการทำงานในรูปแบบและวิธีการสอนอื่นๆ ทั้งหมด

การเลือกภาพประกอบอาจเป็นขั้นตอนสำคัญในการเตรียมการบรรยาย ต้องไม่เพียงแค่เลือกตาราง แผ่นใส ภาพวาด ไดอะแกรมเท่านั้น แต่ยังต้องกำหนดและบันทึกตามลำดับเมื่อบรรยายด้วย คุณสามารถให้ความสนใจกับนักเรียนได้ เช่น เอกสารที่เป็นส่วนประกอบจริงของนิติบุคคล เอกสารบางรูปแบบที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ตามสัญญาของคู่สัญญา เป็นต้น นอกจากนี้ เอกสารดังกล่าวมีไว้เพื่อให้นักเรียนดูเท่านั้น เพื่อการศึกษาอย่างละเอียดยิ่งขึ้น ในระหว่างการบรรยายไม่คาดหวัง

การเลือกลำดับและตรรกะของการนำเสนอเนื้อหาเป็นขั้นตอนต่อไปของการบรรยาย เมื่อจัดทำแผนการบรรยาย จะเป็นการดีกว่าที่จะแยกส่วนอิสระออก หลังจากที่แต่ละส่วนแนะนำให้สร้างลักษณะทั่วไป เน้นข้อมูลที่จำเป็นต้องเน้นความสนใจของผู้ชม การกำหนดตรรกะของการสร้างการบรรยาย เราควรกำหนดวิธีการนำเสนออย่างชัดเจน - การชักนำ การหัก หรือการเปรียบเทียบ

วิธีการอุปนัยประกอบด้วยการย้ายจากเฉพาะไปสู่ทั่วไป การเหนี่ยวนำจะสมบูรณ์ได้เมื่อมีการสร้างลักษณะทั่วไปจากการวิเคราะห์คุณลักษณะ พารามิเตอร์ หรือข้อมูลอื่นๆ ทั้งหมดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่กำลังศึกษาหรือเกี่ยวกับตัวแบบโดยไม่มีข้อยกเว้น ข้อเสียของมันคือความยุ่งยาก เนื่องจากบางครั้งจำเป็นต้องดำเนินการกับข้อมูลจำนวนมาก ดังนั้น การเหนี่ยวนำที่ไม่สมบูรณ์จึงเป็นเรื่องปกติมากขึ้น เมื่อมีการสร้างลักษณะทั่วไปบนพื้นฐานของข้อมูลบางส่วน (ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่เพียงพอ)

วิธีการนำเสนอแบบนิรนัยประกอบด้วยการย้ายจากทั่วไปไปสู่เฉพาะ การหักเงินจะใช้หากทราบรูปแบบทั่วไปและโดยพื้นฐานแล้ว การหักล้างของรูปแบบนี้จะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์

วิธีเปรียบเทียบนั้นอาศัยการสรุปเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่กำลังศึกษาด้วยความคล้ายคลึงกันกับปรากฏการณ์อื่นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ความคล้ายคลึงกันนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากคุณลักษณะหลายอย่างที่ต้องมีนัยสำคัญและกำหนดลักษณะของปรากฏการณ์จากมุมต่างๆ การเปรียบเทียบจำเป็นต้องสร้างการพัฒนาของปรากฏการณ์ที่กำลังพิจารณาว่าวิธี

ความเที่ยงธรรมของการวิเคราะห์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้การเปรียบเทียบแบบผิวเผิน เนื่องจากอาจนำไปสู่ข้อผิดพลาดทั่วไปที่เรียกว่า "การเปรียบเทียบที่ผิดพลาด"

ขั้นตอนสุดท้ายของการทำงานกับเนื้อหาของการบรรยายคือการออกแบบ อาจารย์สามเณรส่วนใหญ่เตรียมวัสดุที่เลือกไว้ในรูปแบบของบทคัดย่อ ครูที่มีประสบการณ์มากขึ้นใช้บันทึกย่อและแผน ในวรรณคดีการสอน ขอแนะนำให้ใช้รูปแบบการบรรยาย (แผนการบรรยายแบบขยาย) ซึ่งใช้เมื่อบรรยาย

การพัฒนาลักษณะการบรรยายเป็นรายบุคคลเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งและยาวนานในการเตรียมตัวสำหรับการบรรยาย ก่อนอื่น คุณไม่ควรอ่านเนื้อหาการบรรยาย เราต้องพยายามรักษาบทสนทนาที่กระตือรือร้นกับผู้ฟัง รักษาตัวเองให้สบายใจ เป็นอิสระ มั่นใจ เคลื่อนไหวไปรอบๆ ผู้ฟัง ทำให้แน่ใจว่านักเรียนมีเวลาบันทึกการบรรยาย ขอแนะนำให้ทำซ้ำบทบัญญัติที่สำคัญที่สุดเปลี่ยนเสียงต่ำเป็นระยะความเครียดเชิงตรรกะซึ่งแสดงความสำคัญของส่วนความคิดข้อสรุปหรือลักษณะทั่วไป สิ่งนี้จะต้องคิดล่วงหน้าเมื่อเตรียมการบรรยาย ดังที่ระบุไว้ในแบบจำลองการบรรยาย เช่น การเน้นบางช่วงของการบรรยายด้วยเครื่องหมายสี

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่านักเรียนมักจะได้รับแจ้งเป็นอย่างดีเกี่ยวกับอาจารย์ที่ยังไม่ได้เริ่มอ่านหลักสูตรของเขาและเกี่ยวกับตัวหลักสูตรเอง หากครูอ่านหลักสูตรของเขาทุกปีทัศนคติดั้งเดิมของผู้ชมก็พัฒนาขึ้นซึ่งในแง่หนึ่งจะกำหนดความสำเร็จของครู ผู้ชมประเมินอาจารย์เกี่ยวกับทักษะทางวิชาชีพ ความรู้ การมีส่วนร่วมในด้านวิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางสังคม เราต้องไม่ลืมว่านักเรียนมักชอบวิพากษ์วิจารณ์ความผิดพลาดของครู

ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ผู้ชม ผู้บรรยายควรคิดถึงภาพลักษณ์ของเขาโดยตั้งใจส่งผลกระทบทางจิตวิทยาอย่างรอบคอบต่อผู้ชมซึ่งเป็นรูปแบบการสื่อสารและลดความเฉยเมยของผู้ชม เป็นสิ่งสำคัญสำหรับครูตั้งแต่ต้น ให้ร่างระดับความต้องการสำหรับพวกเขาในกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันต่อหน้านักเรียน

อาจารย์ยืนอยู่ที่เก้าอี้เตรียมผู้ฟังสำหรับการบรรยายปรับความสนใจ สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าความสนใจเป็นแรงจูงใจในการดูดซึมและจดจำข้อมูล นักเรียนแต่ละคนควรตระหนักไว้เป็นอย่างดีว่าถ้าไม่ตั้งใจเรียน

เชนโน กลไกการท่องจำไม่เกิดผล นี่คือเหตุผลที่คุณไม่ควรเริ่มการบรรยายโดยไม่เน้นความสนใจของผู้ฟัง เทคนิคที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการบรรลุเป้าหมายนี้คือการทักทายตามประเพณีของครู เนื้อหาของหัวข้อ วัตถุประสงค์และแผนการบรรยาย การแนะนำที่น่าสนใจ

หากนักเรียนไม่ได้ยินหรือไม่เข้าใจสาระสำคัญของหัวข้อที่กำลังสนทนาด้วยเหตุผลบางอย่าง คำถามด้วยวาจาเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา สิ่งนี้ละเมิดความกลมกลืนของการนำเสนอเนื้อหาและเบี่ยงเบนความสนใจของเพื่อนบ้านโดยปิดกลไกการจัดเก็บข้อมูล ในกรณีนี้ คุณต้องเว้นที่ว่างในสมุดบันทึกและหลังจากสิ้นสุดการบรรยายหรือระหว่างพัก ให้กู้คืนส่วนที่ขาดหายไป บ่อยครั้งที่ผู้บรรยายเองถูกตำหนิสำหรับความเข้าใจผิดซึ่งต้องพยายามพูดด้วยวาจาคุณภาพสูง ตัวอย่างเช่น ในสาขาวิชากฎหมายส่วนตัวที่ไม่มีการฝึกพูดมาก่อน อาจเป็นเรื่องยากที่จะออกเสียงคำศัพท์ เช่น ริบ เดลเครเดเร แฟรนไชส์ ​​ฯลฯ

ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับข้อกำหนดบันทึกการบรรยาย ในวรรณคดีระเบียบวิธีไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนสำหรับการบันทึกการบรรยาย ขึ้นอยู่กับลักษณะส่วนบุคคลของความต้องการของครูและคุณสมบัติส่วนบุคคลของบุคลิกภาพของนักเรียน ในแง่นี้ผู้ฟังสามารถแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มตามเงื่อนไข

กลุ่มแรกตั้งใจฟังอาจารย์ วิเคราะห์ข้อมูล และจดบันทึก นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำความเข้าใจและบันทึกเนื้อหาการบรรยาย คนที่สองพยายามจดข้อความของการบรรยายแทบจะตามตัวอักษร บางครั้งโดยไม่ได้เจาะลึกลงไปในเนื้อหาด้วยซ้ำ คนที่สามตั้งใจฟัง วิเคราะห์ แต่ไม่ได้จดบันทึกใดๆ ตามกฎแล้วคนเหล่านี้มีความทรงจำที่ดีซึ่งพวกเขาเดิมพันหลัก คนที่สี่ไม่ฟังอะไรเลย มักจะทำอย่างอื่น ละเมิดสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและวินัย

ครูควรพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาวิธีที่จะสร้างอิทธิพลต่อแต่ละกลุ่มอย่างสร้างสรรค์ บ่อยครั้งที่นักเรียนจำนวนมากไม่มีทักษะเบื้องต้นของกิจกรรมการเรียนรู้ในการบรรยาย ดังนั้นครูจึงต้องเติมช่องว่างดังกล่าว

ในกรณีที่ไม่มีบทคัดย่อสนับสนุน (บทคัดย่อพร้อมพื้นฐานการพิมพ์) นักเรียนควรจดบันทึก ภารกิจหลัก

ซึ่ง - เพื่อส่งเสริมการทำงานของส่วนประกอบยานยนต์ของหน่วยความจำและการดูดซึมและการประมวลผลในเชิงลึกของสื่อการศึกษา

การก่อตัวของวัฒนธรรมการจดบันทึกการบรรยายเป็นงานการสอนที่สำคัญ เรื่องย่อมีประโยชน์เมื่อเริ่มเน้นไปที่การฟังบรรยายพร้อมกันและการประมวลผลทางจิตใจของเนื้อหา เน้นย้ำและแก้ไขเนื้อหาหลักของการบรรยายในรูปแบบที่มีเหตุผลในวิทยานิพนธ์ สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงว่านักเรียนมักจะพัฒนารูปแบบที่เรียกว่าอาลักษณ์นั่นคือความปรารถนาที่จะเขียนเนื้อหาการบรรยายทั้งหมดอย่างเต็มที่ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง และการดูดซึม

ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับประสิทธิภาพของการบรรยายคือทักษะการพูดของผู้บรรยาย ภาษาการนำเสนอที่เต็มไปด้วยสีสันและอารมณ์ รูปแบบการนำเสนอไม่เพียงแต่เป็นการตกแต่งการบรรยาย แต่ยังเป็นแนวทางที่สำคัญสำหรับการรับรู้ถึงเนื้อหาด้วย ความหมายของการสื่อสารอยู่ในคำตอบที่คุณได้รับ น่าเสียดายที่การรับรู้ไม่เพียงพอเสมอไป ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้บรรยาย ซึ่งทำให้คุณสามารถบรรลุการรับรู้ถึงสิ่งที่พูดได้ ตัวอย่างเช่น วลี “กฎหมายที่ดีผ่าน” สามารถออกเสียงอย่างกระตือรือร้น ขู่เข็ญ หรือประชดประชัน ขึ้นอยู่กับว่าอาจารย์ต้องการกระตุ้นทัศนคติของผู้ชมอย่างไร ในการแก้ไขการรองรับความหมาย ขอแนะนำให้นักเรียนใช้ชุดปากกาสักหลาดหรือปากกามาร์กเกอร์

นักเรียนควรมาถึงห้องเรียนเพื่อฟังบรรยายก่อนเริ่มเรียนสักสองสามนาที ครูที่มีประสบการณ์ส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้มาสายสำหรับการบรรยายและเข้าห้องเรียนหลังจากอาจารย์ผู้สอน เมื่อเริ่มการบรรยาย ไม่แนะนำให้แนะนำยาวๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อของการบรรยาย

ขอแนะนำให้เริ่มส่วนเกริ่นนำของการบรรยายด้วยการกำหนดหัวข้อและวัตถุประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงการประกาศและความคลุมเครือในการนำเสนอเนื้อหา ข้อความของแผนการบรรยายช่วยให้ท่องจำเนื้อหาได้ครบถ้วน 10-12% เมื่อเทียบกับการบรรยายเดียวกันแต่ไม่ประกาศแผน

เชื่อว่าการบรรยายสำเร็จหรือล้มเหลวใน 10 นาทีแรก ดังนั้นความสามารถในการดึงดูดความสนใจของผู้ชมที่อยู่ในส่วนเกริ่นนำจึงมีความสำคัญมาก บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้นของหลักสูตร นักเรียนมักจะระมัดระวังครู ดังนั้น อาจารย์ที่มีประสบการณ์จะเริ่มต้นส่วนเกริ่นนำด้วยข้อเท็จจริงที่ชัดเจนและเข้าใจได้ซึ่งเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของวิชาและ

สามารถปลุกความสนใจในบุคลิกภาพและวินัยในการอ่าน

เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชมในช่วงเริ่มต้นของการบรรยาย ขอแนะนำให้ใช้เทคนิคต่อไปนี้:

เน้นย้ำความสนใจทั่วไปในประเด็นที่กำลังหารือ

อ้างจากเอกสารราชการ ผลงานของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งแสดงถึงสาระสำคัญของปัญหา

เน้นให้เห็นความคลาดเคลื่อน ความขัดแย้ง เพื่อทำให้ผู้ชมงงและคิดเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น

การทำให้คำถามชัดเจนขึ้นเพื่อเปิดเผยทัศนคติโดยตรงของผู้ชมต่อเนื้อหาของคำแถลง

ข้อความสั้นๆ เกี่ยวกับตำแหน่งที่มีอยู่เกี่ยวกับปัญหาภายใต้การสนทนาและการนำเสนอมุมมองของตนเองโดยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในภายหลังในการอภิปราย

เทคนิคเมื่ออาจารย์ "ตั้งคำถาม" ทันทีซึ่งเขาจะให้คำตอบในการบรรยายของเขา

แสดงเศษเล็กเศษน้อยจากภาพยนตร์สารคดีหรือสไลด์ที่แสดงหัวข้อของการบรรยาย

รายการของมาตรการที่ใช้แก้ปัญหาที่กล่าวถึงซึ่งไม่ได้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ

จำเป็นต้องใช้ 15-20 นาทีแรกอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด - ช่วงเวลาแห่งความสนใจ "ลึก" ของผู้ฟัง ความเหนื่อยล้าและการสูญเสียความสนใจจะตามมาอีก นักวิจัยหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าความสามารถในการทำงานของนักเรียนลดลงสูงสุดภายในนาทีที่ 40 ของการบรรยาย เพื่อเอาชนะช่วงเวลาวิกฤตินี้ ผู้บรรยายต้องมีเทคนิคของตัวเองในคลังแสงของเขา สามารถเปลี่ยนไปใช้โทนการนำเสนอที่สนุกสนานได้ คุณสามารถถามคำถามกับผู้ชมและขอให้นักเรียนคนใดก็ได้ตอบคำถาม คุณสามารถอ่านใบเสนอราคาและในเวลานี้ให้ผู้ชมทำแบบฝึกหัดสำหรับนิ้ว

นักเรียนแต่ละคน ดังนั้น เนื้อหาที่สำคัญที่สุดในการบรรยายควรทำซ้ำ สร้างความซ้ำซ้อนของข้อมูลการศึกษา

ความสนใจของนักเรียนถูกแบ่งระหว่างกิจกรรมการเรียนรู้และการเขียนบันทึก ครูควรจะทำให้คนที่สองอ่อนแอลงได้โดยการเสริมกำลังครั้งแรก มิฉะนั้นกระบวนการสร้างสรรค์ของการรับรู้จะลดลง ในตอนเริ่มต้นของการบรรยาย ความสนใจมักจะเกิดขึ้นโดยไม่สมัครใจ หน้าที่ของวิทยากรคือการดึงดูดผู้ชมและเปลี่ยนความสนใจโดยไม่สมัครใจให้กลายเป็นความสมัครใจ ซึ่งมักจะทำได้โดยการปลุกและทำให้ผู้ฟังสนใจในการบรรยายและเกี่ยวข้องกับ:

การรวมการตัดสินทางทฤษฎีทั้งหมดไว้ในระบบของตัวอย่างและแนวความคิดเฉพาะที่คุ้นเคยกับนักเรียน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของเนื้อหาที่นำเสนอกับการปฏิบัติ

ดึงดูดสาขาวิชาการอ่านคู่ขนาน

ภาพประกอบของความสำคัญของวินัยเฉพาะในระบบความรู้ทางวิทยาศาสตร์

การอุทธรณ์ไปยังความสนใจโดยตรงของผู้ชม ("หลักสูตรจะขึ้นอยู่กับบทบัญญัติหลักของการบรรยายในวันนี้ ... ", "ไม่มีเนื้อหาในหัวข้อนี้ในตำราที่มีอยู่ซึ่งคุณใช้เตรียมสอบ .. ." ฯลฯ )

ช่วยรักษาความสนใจของผู้ฟังและนำวิทยากรกลับไปสู่แนวคิดหลัก

ควรสังเกตว่ากระดานดำยังคงเป็นวิธีการสร้างภาพข้อมูลที่สำคัญและในหลาย ๆ ด้านการใช้ซึ่งมีกฎและข้อดีของตัวเอง สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าผู้ชมต้องให้ความสนใจกับข้อเท็จจริงก่อนว่า อย่างไรเขียนแล้ว - อะไรที่เขียนไว้บนกระดานดำ เติมกระดานจากซ้ายไปขวาและบนลงล่างขณะที่เราเขียนลงบนกระดาษ ขนาดปกติของกระดานเป็นแบบที่เมื่อใช้ส่วนล่างสุดของกระดาน นักเรียนบางคนในห้องเรียนขนาดใหญ่ถูกบังคับให้ลุกขึ้นจากที่นั่ง ดังนั้นควรใช้ส่วนนี้ของกระดานน้อยที่สุด

ควรจำไว้ว่าสิ่งที่ปรากฎบนกระดานตามกฎแล้วจะถูกโอนโดยผู้ชมไปยังบันทึกย่อ ดังนั้นควรนำเสนอข้อมูลบนกระดานในรูปแบบของไดอะแกรมแบบง่ายที่ช่วยลดความเสี่ยงที่จะสับสนและคัดลอกอย่างไม่ถูกต้อง

ภาษีมูลค่าเพิ่ม คำที่สำคัญที่สุดควรเน้นด้วยกรอบเป็นสีอื่นหรือในลักษณะอื่น

การเก็บบันทึกอย่างเงียบๆ เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา เนื่องจากสูญเสียการติดต่อกับผู้ฟังและเสียเวลาไปเปล่าๆ เป็นการสมควรมากกว่าที่จะเริ่มอธิบายพร้อมๆ กับการเขียน จำเป็นที่นักเรียนจะต้องเข้าใจสาระสำคัญของสิ่งที่ปรากฎก่อน และหลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มวาดใหม่เป็นบทสรุป ขณะเช็ดกระดาน คุณควรพูดต่อไปพร้อมกัน

ในทางปฏิบัติของการศึกษาระดับอุดมศึกษาในต่างประเทศในการบรรยาย กระดานดำเกือบทั้งหมดถูกแทนที่ด้วยเครื่องฉายภาพเหนือศีรษะ (เครื่องฉายภาพเหนือศีรษะ) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศของเรา อุปกรณ์ฉายภาพเหล่านี้มีข้อได้เปรียบที่สำคัญจากมุมมองของการสอน มีขนาดกะทัดรัด ใช้งานง่าย มีฟลักซ์การส่องสว่างสูงมาก ซึ่งช่วยให้คุณแสดงภาพในห้องที่มีแสงสว่างได้โดยไม่ทำให้มืดลงอย่างเห็นได้ชัด วัสดุการสอนเตรียมล่วงหน้าในรูปแบบของแผ่นฟิล์มใส (โฟลิโอ) แยกต่างหากโดยใช้จารึกและภาพวาด ตามความจำเป็น ใบไม้จะถูกวางทับบนหน้าต่างเฟรม และภาพจะถูกฉายลงบนหน้าจอ Folies สามารถซ้อนทับกันได้ ซึ่งทำให้สามารถสร้างภาพสุดท้ายจากภาพบางส่วนได้อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งภาพที่วาดด้วยสีต่างๆ เครื่องบันทึกวิดีโอและคอมพิวเตอร์ กระดานไวท์บอร์ดแบบโต้ตอบได้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย

เพื่อเพิ่มกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน อาจารย์สามารถใช้เทคนิคหลายประการ:

การตั้งคำถามกับนักเรียน - เชิงวาทศิลป์หรือต้องการคำตอบ

การรวมองค์ประกอบการสนทนาในการบรรยาย

ข้อเสนอเพื่อกำหนดบทบัญญัติหรือคำจำกัดความบางอย่าง

แบ่งผู้ฟังออกเป็นไมโครกรุ๊ปเพื่ออภิปรายสั้น ๆ และแลกเปลี่ยนผลลัพธ์

การใช้เอกสารประกอบคำบรรยาย รวมถึงบทคัดย่อพร้อมแบบพิมพ์ ฯลฯ

การเพิ่มขึ้นของกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนนั้นอำนวยความสะดวกโดยความสามารถของอาจารย์ในการตอบคำถามอย่างชัดเจน ในการบรรยายเมื่อตอบคำถามความสำคัญของคุณลักษณะของสุนทรพจน์ในที่สาธารณะจะไม่ลดลง: เป็นการดีกว่าที่จะให้คำตอบทันทีอย่างชัดเจนและนับปฏิกิริยาของผู้ชมทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นอย่างกะทันหัน คำตอบที่ไม่ดีเพียงอย่างเดียวอาจทำให้ประสบการณ์แย่ลงได้

จากการบรรยายทั้งหมด มีความเชื่อที่แพร่หลายในหมู่นักเรียน ไม่ใช่โดยไร้เหตุผล ว่าความรู้ของครูแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดในคำตอบของคำถาม

จำเป็นต้องคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับส่วนสุดท้ายของการบรรยาย ทำซ้ำบทบัญญัติ และเริ่มต้นกับพวกเขาในการบรรยายครั้งต่อไป ส่วนสุดท้ายของการบรรยายเกี่ยวข้องกับการสรุปผล สรุปสิ่งที่อ่านและคุ้นเคยจากเนื้อหาที่นักเรียนศึกษาอย่างอิสระ ฯลฯ ในที่นี้เป้าหมายคือเพื่อปรับทิศทางนักเรียนให้ทำงานอิสระ สำหรับสิ่งนี้ สามารถแนะนำวรรณกรรมเกี่ยวกับปัญหาที่อยู่ระหว่างการศึกษา มีการอธิบายว่าคำถามใดบ้างที่นำมาสู่ชั้นเรียนภาคปฏิบัติ และคำถามใดที่ต้องศึกษาอย่างอิสระ ในตอนท้ายของการบรรยาย ควรตอบคำถามของนักเรียน อาจเป็นในรูปแบบของบันทึกย่อ (นักเรียนควรได้รับคำเตือนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ดังกล่าวล่วงหน้า) ขอแนะนำให้พูดคุยกับนักเรียนที่แสดงความสนใจในหัวข้อของการบรรยายหลังจากจบการบรรยาย เพื่อเชิญพวกเขาให้ปรึกษาหารือเพื่อดำเนินการสนทนาต่อ การตอบคำถามที่ไร้เดียงสาหรือไร้สาระ เราต้องละทิ้งความภาคภูมิใจของนักเรียนไว้ ความไร้ไหวพริบที่น้อยที่สุดอาจทำให้สูญเสียการติดต่อกับผู้ชมได้ คุณสามารถสอนบางสิ่งแก่ผู้คนได้โดยการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาเท่านั้น

ข้อเสนอแนะระหว่างอาจารย์และผู้ชมจะดำเนินการเพื่อควบคุมความแข็งแกร่งของการดูดซึมความรู้ หน้าที่แรกของการควบคุมดังกล่าวเป็นวิธีที่ผู้บรรยายจะได้รับแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการศึกษาเพื่อทำการปรับเปลี่ยนที่จำเป็น วิธีที่สองคือวิธีการมีอิทธิพลทางจิตวิทยาต่อนักเรียน ซึ่งกระตุ้นกิจกรรมการผลิตของพวกเขา

เมื่ออ่านการบรรยาย การควบคุมในปัจจุบันจะดำเนินการโดยธรรมชาติตามประเภทของการป้อนกลับแบบไม่ใช้คำพูด กล่าวคือ สัญญาณที่ผู้ฟังแสดงให้เห็นต่อวิทยากรโดยไม่รู้ตัว (รูปลักษณ์ การแสดงออกถึงความประหลาดใจ ความทรงจำ ฯลฯ) คำติชมด้วยวาจาและตั้งใจสามารถดำเนินการได้ในการบรรยาย โดยส่วนใหญ่ใช้การซักถามจากส่วนหน้า (แบบทั่วไปและแบบพร้อมกัน) ในห้องเรียนที่ติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัย ​​การจัดระเบียบงานดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดปัญหาใดๆ

ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเมื่อแผนกการสอนของห้องบรรยายติดตั้งคอมพิวเตอร์ ข้างหน้านักเรียนแต่ละคนจะมีแล็ปท็อป ซึ่งจะได้รับเอกสารการบรรยายทันที คำติชมช่วยให้ทันทีหลังจากจบการบรรยายเพื่อตรวจสอบว่านักเรียนมีความเชี่ยวชาญในสื่อการศึกษาอย่างไร สำหรับสิ่งนี้

พวกเขาต้องทำงานหลายอย่างให้เสร็จภายในห้าถึงเจ็ดนาที ผลลัพธ์ของงานเหล่านี้จะได้รับทันที

ลงในคอมพิวเตอร์ของครูพร้อมกับชื่อนักเรียนที่กำลังตรวจสอบ บนหน้าจอของอาจารย์ การจัดอันดับจะถูกสร้างขึ้นทันที - ที่ส่วนหัวของรายชื่อนักเรียนที่ทำภารกิจทั้งหมดอย่างถูกต้องแล้วเมื่อจำนวนคำตอบที่ถูกต้องลดลง หากต้องการ ผลลัพธ์เหล่านี้สามารถแสดงบนหน้าจอขนาดใหญ่ได้

ในกรณีที่ไม่มีเงื่อนไขดังกล่าว คุณสามารถใช้เอกสารประกอบคำบรรยาย - การ์ด แบบทดสอบในแบบฟอร์ม ฯลฯ ซึ่งวิทยากรจะแจกจ่ายก่อนการสำรวจและรวบรวมภายหลัง การกระจายและการรวบรวมการ์ดในสตรีมของนักเรียน 100 คนตามประสบการณ์แสดงให้เห็นว่าใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้นนักเรียนจะเสร็จสิ้นงานควบคุม - 10-12 นาที

องค์กรของการติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องจำเป็นต้องมีการแบ่งสื่อการศึกษาออกเป็นส่วนที่ค่อนข้างเล็ก เมื่อกำหนดขนาดที่สมเหตุสมผลของชิ้นส่วนเหล่านี้ ปัจจัยเหล่านี้จะถูกชี้นำโดยปัจจัยสองประการ: ช่วงเวลาระหว่างการสำรวจที่อยู่ติดกัน (ความถี่ของการสำรวจ) และเนื้อหาของงานที่มอบหมายตามระบบการแบ่งหลักสูตรการบรรยายออกเป็นหัวข้อ ประสบการณ์แสดงให้เห็นว่าช่วงที่มีเหตุผลสอดคล้องกับการสำรวจหนึ่งครั้งโดยเฉลี่ยในหกถึงแปดชั่วโมงของการบรรยาย ในขณะเดียวกัน การสำรวจแต่ละครั้งควรมีหัวข้อหนึ่งอย่างครบถ้วนหรือส่วนหนึ่งที่มีความหมายโดยอิสระ

ดังนั้น การบรรยายจึงเป็นรูปแบบหลักขององค์กรในการฝึกอบรมในมหาวิทยาลัย โดยมุ่งเป้าไปที่การเรียนรู้ความรู้เบื้องต้น วัตถุประสงค์หลักของการบรรยายคือเพื่อให้เป็นพื้นฐานทางทฤษฎีในการสอน เพื่อพัฒนาความสนใจของนักเรียนในกิจกรรมการศึกษาและสาขาวิชาเฉพาะ เพื่อสร้างแนวทางการทำงานอิสระ ตามเนื้อผ้าการบรรยายมีข้อได้เปรียบที่ไม่ต้องสงสัยไม่เพียง แต่เป็นวิธีการรับข้อมูลการศึกษาโดยนักเรียน แต่ยังเป็นวิธีการของอิทธิพลการศึกษาทางอารมณ์ของครูที่มีต่อนักเรียนเพิ่มกิจกรรมการเรียนรู้ของพวกเขา สิ่งนี้สำเร็จได้เนื่องจากทักษะการสอนของอาจารย์ วัฒนธรรมและวาทศิลป์ระดับมืออาชีพของเขา ในกรณีนี้ วิทยากรจะต้องคำนึงถึงจิตวิทยาของผู้ฟัง รูปแบบของการรับรู้ ความสนใจ การคิด และสภาวะทางอารมณ์ของผู้ฟัง

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับบางประการสำหรับครูผู้สอนรุ่นเยาว์ ซึ่งข้าพเจ้าได้จัดทำขึ้นในลักษณะล้อเล่นโดยอาศัยประสบการณ์ที่กว้างขวางของข้าพเจ้า

ศาสตราจารย์เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก Yu. G. Schneider เพื่อตอบคำถามว่าจะเป็นวิทยากรที่ดีได้อย่างไร 45

ใช้การบรรยายเบื้องต้นอย่างจริงจังมาก ไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งตัวอักษร "v" หนึ่งตัวออกจากชื่อ

พยายามทำให้คุณเคารพหัวข้อของคุณ อย่าดูถูกคนอื่น

จากการบรรยายครั้งแรก อย่าพยายามดูเหมือนไม่เข้มงวดหรือใจดี - เป็นตัวของตัวเองโดยที่แน่นอนว่าคุณเป็นคนที่คู่ควรในสิทธิของตนเอง

ทำทุกอย่างเพื่อให้นักเรียนรู้สึกถึงระบบในการนำเสนอของหลักสูตร ทันควัน ดีเฉพาะในตัวอย่าง ภาพประกอบ และคำตอบสำหรับคำถาม

เมื่อเลือกความเร็วของการนำเสนอ อย่ามุ่งความสนใจไปที่ตัวทากหรือผู้วิ่งแข่ง อย่างแรกจะทำให้คนดูส่วนใหญ่ และคุณเองจะพลาด และวินาทีที่ตัวคุณเองอาจตามไม่ทัน

อย่าประเมินความสนใจของนักเรียนในการบรรยายของคุณสูงเกินไป เพราะอาจทำให้คุณไม่สามารถเตรียมตัวสำหรับพวกเขาได้ดีขึ้น

อย่าปล่อยให้นักเรียนมาสายเข้าห้องเรียนแต่ถ้าคุณไม่มาสายเอง

อย่าคาดหวังให้นักเรียนเคารพคุณโดยไม่เคารพวิชาของคุณ

ใช้เวลาในการอธิบายพื้นฐาน อ่านน้อยแต่ลึกซึ้ง

จากการบรรยายครั้งแรก ให้บอกผู้เรียนให้กระจ่างว่าจะมีการสรุปที่ดี - แรงจูงใจไม่ได้ดีที่สุดแต่ทรงพลัง

อ่านอย่างหลงใหลเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นเช่นนี้: "อาจารย์ช้า แต่หลับไปอย่างแน่นอน - ผู้ชมอยู่ข้างหน้าเขา"

ห้ามพูด ห้ามอ่าน-คุย

อ่านไม่เร็วจนคำพูดแซงความคิด แต่ก็ไม่ช้าจนความคิดเบื่อโดยไม่มีคำพูด

อ่านด้วยความกระตือรือร้น แต่ไม่มีสิ่งที่น่าสมเพชและอย่าลืมโปรแกรม

ดูที่บันทึกการบรรยาย ให้ชัดเจนว่าคุณกำลังทำเช่นนี้เพื่อไม่ให้ละเมิดความกลมกลืนของการนำเสนอและบันทึกของนักเรียน

แสดงทัศนคติของคุณต่อปัญหาดังกล่าวที่ไหนและเมื่อเป็นไปได้เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายถ้านักเรียนรู้สึกว่าคุณกำลังบอกพวกเขาในวันนี้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณอ่านเมื่อวานนี้

อย่าขู่ว่าจะประชุมตอนสอบ - ห้ามแผนกต้อนรับ - หลักฐานมีสามประเภท: ตรง, จากด้านตรงข้าม, จากมารร้าย. เป็นการดีกว่าที่จะไม่พิสูจน์อะไรเลย ดีกว่าพิสูจน์โดยใช้หลักฐานประเภทที่สาม

อ่านไม่เพียงเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นและเป็นอยู่ แต่สิ่งที่ควรจะเป็นและจะเป็น

อย่าพยายามสร้างความบันเทิงให้นักเรียน พวกเขาทำได้ดีกว่า

พยายามให้อย่างน้อยสิ่งที่น่าสังเวช แต่กะทันหันที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณนำเสนอในขณะนี้ นี่คือชั้นสูงสุด แต่ปัญหาคือถ้าพวกเขาเดาหรือสงสัยว่ามีการเตรียมการล่วงหน้าอย่างกะทันหัน

เพื่อแสดงให้เห็นสิ่งนี้ ให้ยกตัวอย่างจากพื้นที่ที่นักเรียนคุ้นเคย แต่ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับทุนการศึกษา

พยายามให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการศึกษา - ถามคำถาม ถามความคิดเห็น หารือเกี่ยวกับทางเลือกสำหรับคำตอบ ทางเลือกในการแก้ปัญหา

อย่าแตะต้องหรือหยิ่งถ้าคุณสามารถดึงเอาความไม่ดีออกมาได้สามและลดระดับห้าไปเป็นสี่

หากคุณไม่สามารถจุดคบเพลิงแห่งความรู้ได้ ให้พยายามเติมมันลงในภาชนะอย่างมีสติ

“ อยู่และเรียนรู้ - คุณจะตายอย่างคนโง่” - นี่ไม่ใช่สำหรับคุณ เรียนรู้โดยไม่ล้มเหลว อย่ากลัวที่จะตายอย่างคนโง่

ศึกษาอย่างต่อเนื่องไม่เช่นนั้นคุณจะสอนเฉพาะสิ่งที่คุณรู้ในขณะนี้เท่านั้นและตามกฎแล้วไม่มากนัก

ทำทุกอย่างเพื่อให้แม่มดธรรมดา (และมีคนแบบนี้อยู่ในสตรีมเสมอ) ไม่ต้องการทำให้คุณอยู่ในตำแหน่งที่น่าอึดอัดใจ

อย่าทำซ้ำวัสดุ ให้ความคมชัดเพียงอย่างเดียว

ในสถานการณ์ใด ๆ อย่าอารมณ์เสียหากคุณไม่ต้องการให้นักเรียนมีความสุขในการทำให้แน่ใจว่าอาจารย์เป็นมนุษย์

เป็นนายของสถานการณ์เสมอ หากคุณไม่ได้เป็นเจ้าของผู้ชม เธอก็เป็นเจ้าของคุณ

อย่าหวั่นไหวหากมีนักเรียนหนึ่งหรือสองคนจากสตรีม 150 คนแสดงความสนใจในเรื่องของคุณและถามคำถามหนึ่งหรือสองคำถาม จากนั้นก่อนสอบ

อย่าเข้าไปในจิตวิญญาณของนักเรียนจนกว่าเขาจะเชิญคุณไปที่นั่น

อย่ารบกวนนักเรียนในการประกาศความรักในการบรรยาย - สิ่งนี้จะเติมพลังให้กับความหลงใหลเท่านั้น

อย่านำมาสู่การก่อกวนเพราะมันนำไปสู่การแต่งงาน

บทเรียนภาคปฏิบัติเช่นเดียวกับการบรรยาย พวกเขาเป็นองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการศึกษาในโรงเรียนกฎหมาย วัตถุประสงค์ของการฝึกปฏิบัติคือเพื่อให้ลึกขึ้น ขยายรายละเอียดของความรู้ที่ได้รับจากการบรรยาย พัฒนาทักษะและความสามารถที่สำคัญอย่างมืออาชีพ พวกเขาจะจัดขึ้นในการบรรยายสองหรือสามครั้งและทำงานด้านการศึกษาต่อที่เริ่มในการบรรยายอย่างมีเหตุผล ชั้นเรียนภาคปฏิบัติมีส่วนช่วยในการพัฒนาความคิดทางวิชาชีพและวัฒนธรรมการพูดของนักเรียน ซึ่งรวมถึงความเชี่ยวชาญด้านคำศัพท์ทางกฎหมาย อนุญาตให้ตรวจสอบความรู้ที่ได้รับ และทำหน้าที่เป็นวิธีการตอบรับการปฏิบัติงาน

จำเป็นที่แผนสำหรับบทเรียนภาคปฏิบัติจะต้องสอดคล้องกับจุดเน้นของหลักสูตรการบรรยายและมีความสัมพันธ์กับแผนในลำดับของหัวข้อที่ศึกษา เป็นเรื่องปกติสำหรับครูทุกคนหลังจากการอภิปรายและอนุมัติในที่ประชุมของแผนก ขอแนะนำให้อาจารย์ดำเนินการชั้นเรียนภาคปฏิบัติในหนึ่งหรือสองกลุ่มเข้าร่วมชั้นเรียนของผู้ช่วยเพื่อประสานงานการทำงานของอาจารย์และครูที่ดำเนินการในชั้นเรียนภาคปฏิบัติ ระหว่างการบรรยายและชั้นเรียนภาคปฏิบัติ นักศึกษาจะได้รับการวางแผนให้ทำงานอย่างอิสระในการศึกษาวรรณกรรมพิเศษ เอกสารระเบียบข้อบังคับ บันทึกการบรรยาย ในชั้นเรียนภาคปฏิบัติ นักเรียนจะได้รับทักษะในการใช้บรรทัดฐานทางกฎหมายกับสถานการณ์เฉพาะ การตีความเอกสารกำกับดูแล ความสามารถในการค้นหาบรรทัดฐานที่จำเป็นในการดำเนินการทางกฎหมายจำนวนมาก และยังได้รับโอกาสในการแสดงความเป็นตัวของตัวเอง ความเป็นอิสระทางความคิด ความสามารถในการ ปกป้องตำแหน่งของพวกเขา

วิธีฝึกปฏิบัติเนื่องจากวัตถุประสงค์และเวลาที่จัดสรรให้ตามหลักสูตร วิธีฝึกปฏิบัติอาจแตกต่างกันได้หลายประการ ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพของครู ประสบการณ์การสอน และระดับการเตรียมตัวสำหรับการสอน

ซ่อมบำรุง. ดังที่กล่าวไว้ในวรรณกรรมระเบียบวิธี ไม่ว่าประสบการณ์ของครูจะมากเพียงไร เขาควรเตรียมตัวสำหรับบทเรียนเชิงปฏิบัติแต่ละบท 46

การเตรียมครูสำหรับบทเรียนภาคปฏิบัติประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้:

ศึกษาหัวข้อของบทเรียนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาด้านกฎระเบียบล่าสุด การพิจารณาคดี วรรณกรรมพิเศษ

แก้ไขงานที่ได้รับมอบหมายทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงความประหลาดใจและพร้อมที่จะตอบคำถามใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของแต่ละงาน

จัดทำแผนสำหรับการดำเนินการบทเรียนภาคปฏิบัติซึ่งจำเป็นต้องกำหนดระยะเวลาในแต่ละขั้นตอนของบทเรียน: บทนำ การอภิปรายประเด็นเชิงทฤษฎี การแก้ปัญหา สรุปผล

ความมุ่งมั่นของนักเรียนที่จะต้องสัมภาษณ์ในหัวข้อนี้เพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการศึกษาและทดสอบความรู้ทักษะและความสามารถอย่างเท่าเทียมกัน

การคิดทบทวนและกำหนดงานสำหรับงานอิสระของนักเรียนในบทเรียนต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกงานในลักษณะที่เป็นไปได้ที่จะอภิปรายประเด็นที่สำคัญที่สุดในหัวข้อถัดไปบนพื้นฐานของพวกเขา

โครงสร้างของบทเรียนภาคปฏิบัติมักจะครอบคลุมองค์ประกอบต่อไปนี้: ช่วงเวลาขององค์กรที่เรียกว่า (ครูทักทายนักเรียน, จดบันทึกในสมุดบันทึกเกี่ยวกับการขาดเรียน, ค้นหาว่านักเรียนทุกคนได้เตรียมบทเรียนแล้วหรือยัง, ประกาศหัวข้อและแผน) ; คำตอบสำหรับคำถามของนักเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาที่ไม่ชัดเจน ส่วนหลัก (การอภิปรายประเด็นเชิงทฤษฎีและการแก้ปัญหา); สรุป (ครูประเมินงานของทั้งกลุ่ม, ประกาศและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเกรด, บันทึกความสำเร็จและข้อบกพร่องในงานของนักเรียนเฉพาะ, มอบหมายงานสำหรับบทเรียนต่อไป)

ส่วนหลักของบทเรียนภาคปฏิบัตินั้นเน้นไปที่การผสมผสานระหว่างการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสมกับการอภิปรายประเด็นเชิงทฤษฎี และส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการแก้ปัญหา ขอแนะนำให้จัดสรรเวลา 15-20 นาทีสำหรับการอภิปรายประเด็นเชิงทฤษฎี ระหว่างเรียนสองชั่วโมง การอภิปราย

คำถามเชิงทฤษฎีมีอยู่ในรูปแบบต่างๆ เช่น รายงานนักศึกษา การแก้ปัญหา การสัมมนาเชิงทฤษฎี

ครูต้องอธิบายให้นักเรียนฟังถึงข้อกำหนดของรายงาน หลังจากกำหนดหัวข้อของรายงานแล้ว คุณควรตั้งชื่อผู้เขียนที่มีผลงาน ใช้ร่างโครงร่างของรายงานและพิจารณาประเด็นที่ระบุโดยสังเขป โดยอ้างอิงถึงแหล่งที่มา อ้างถึงข้อความของผู้เขียน และหากเป็นไปได้ ให้แสดงตำแหน่งของคุณ .

ควรเขียนวิธีแก้ปัญหา มีคำถามที่ตั้งและคำตอบโดยละเอียดในสมุดบันทึกของนักเรียน ดังที่ S. M. Korneev เน้นย้ำ การสอนนักเรียนให้แก้ปัญหาเฉพาะบนพื้นฐานของคำถามที่เหมาะสมตามแผนการที่ชัดเจนนั้นมีความสำคัญมากในเชิงระเบียบวิธี ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์แต่ละอย่างที่กล่าวถึงในงานนั้น ตามกฎแล้ว ต้องมีการประเมินทางกฎหมายโดยตั้งคำถามที่เกี่ยวข้อง (เช่น ทำสัญญาเสร็จสิ้นหรือไม่ ตรงตามข้อกำหนดสำหรับรูปแบบของสัญญาหรือไม่ เงื่อนไขนี้จำเป็นหรือไม่ ไม่ว่า การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เรียกร้องเป็นความสูญเสียอันสมควร ฯลฯ ) คำถามแต่ละข้อต้องตอบอย่างชัดเจน (ใช่ ไม่ใช่) และอ้างอิงถึงบรรทัดฐานของกฎหมายเสมอ ในเวลาเดียวกันนักเรียนจะต้องแสดงให้เห็นว่าเขาใช้บรรทัดฐานนี้อย่างไรให้การตีความในกรณีที่เหมาะสมอ้างถึงคำอธิบายของบรรทัดฐานนี้ที่มีอยู่ในการตัดสินใจของ Plenums ของศาลฎีกาของสหพันธรัฐรัสเซียและ Plenums ของศาลฎีกา ศาลอนุญาโตตุลาการของสหพันธรัฐรัสเซียเช่นเดียวกับการตีความหลักคำสอน นักเรียนที่เชี่ยวชาญเทคนิคนี้จะได้รับประสบการณ์อันมีค่าในการแก้ปัญหาอย่างมืออาชีพ

คุณค่าทางการสอนที่สำคัญคือทัศนคติของครูต่อนักเรียนที่พูดในบทเรียนภาคปฏิบัติ เป็นที่ยอมรับไม่ได้ที่จะขัดจังหวะนักเรียน ให้ลักษณะนิสัยที่ไม่เหมาะสมของการแสดงของเขา และบุคลิกภาพของเขามากยิ่งขึ้นไปอีก นักเรียนจะต้องฟังอย่างสงบและอดทนในระหว่างการพูดของเขา เฉพาะในกรณีพิเศษเท่านั้นที่สามารถพูดสั้น ๆ ว่าเขาเบี่ยงเบนจากสาระสำคัญของงานทำการอ้างอิงที่ผิดพลาดต่อกฎหมายตั้งชื่อหน่วยงานของรัฐอย่างไม่ถูกต้อง ฯลฯ หลังจากการพูดของนักเรียน การอภิปรายอย่างมีน้ำใจจะดำเนินการโดยสรุปการอภิปรายโดยครูและการประเมินวัตถุประสงค์ของการแก้ปัญหาที่เสนอโดยนักเรียน

ในระหว่างบทเรียนภาคปฏิบัติ ครูจะแก้ไขข้อผิดพลาดทางภาษาของนักเรียนอย่างแนบเนียน เพื่อให้ได้การออกเสียงที่มีความสามารถทางกฎหมาย เช่น อู๋ r "," Iskov NS ฉันแก่แล้ว "," op อี คะ "," ใจ อี rhy "," เคสถูกเปิด อู๋ "," ความเชื่อมั่น อี น้า "," อี การอ่าน ".

ตัวอย่างเช่น เราจะให้ข้อกำหนดเกี่ยวกับระเบียบวิธีปฏิบัติสำหรับการเรียนภาคปฏิบัติจาก "การรวบรวมสื่อการศึกษาและระเบียบวิธีเกี่ยวกับกฎหมายแพ่ง" ที่กล่าวถึงแล้วซึ่งจัดพิมพ์โดยภาควิชากฎหมายแพ่ง มหาวิทยาลัยแห่งรัฐมอสโก 47

1. ควรให้ความสนใจหลักในชั้นเรียนภาคปฏิบัติเพื่อพัฒนาทักษะของนักเรียนในการใช้กฎหมายที่ควบคุมความสัมพันธ์ประเภทนี้ตลอดจนมติของ Plenum ของศาลฎีกาแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย, ศาลอนุญาโตตุลาการสูงสุดของสหพันธรัฐรัสเซีย และร่างกายอื่นๆ

ในเวลาเดียวกัน ในการจัดชั้นเรียน ควรให้ความสนใจกับประเด็นเชิงทฤษฎี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหัวข้อที่ซับซ้อน ประเด็นทางทฤษฎีได้รับการพิจารณาอย่างเป็นอิสระหรือเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาเฉพาะกรณี การอภิปรายประเด็นเชิงทฤษฎีจะบังคับให้นักเรียนไม่เพียงแต่เตรียมการแก้ปัญหาเท่านั้น แต่ยังต้องเตรียมตัวสำหรับหัวข้อโดยรวมด้วย ขอแนะนำให้ใช้เวลา 15-20 นาทีกับคำถามเชิงทฤษฎี หากจำเป็น สามารถใช้ประเด็นเชิงทฤษฎีกับบทเรียนส่วนใหญ่ได้ และบางครั้งอาจครอบคลุมทั้งบทเรียน (เช่น เพื่อสนทนาเกี่ยวกับงานหรือบทความ) ในบางหัวข้อจะมีการสัมมนาเชิงทฤษฎีเป็นพิเศษ

เหตุการณ์และคำถามเชิงทฤษฎีที่ถามนักเรียนเพื่อเตรียมการที่บ้านสำหรับการอภิปรายในชั้นเรียนภาคปฏิบัติควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้ครอบคลุมทุกแง่มุมที่สำคัญของหัวข้อมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จำนวนเหตุการณ์ที่จะถามขึ้นอยู่กับหัวข้อและความซับซ้อนของวิธีแก้ปัญหา แต่โดยปกติแล้วจะอย่างน้อยสามหรือสี่ครั้ง นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องตั้งชื่อข้อบังคับและสิ่งพิมพ์ล่าสุดที่ปรากฏตั้งแต่การตีพิมพ์ของการประชุมเชิงปฏิบัติการ

การแก้ปัญหาโดยนักเรียนจะต้องระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในสมุดบันทึกพิเศษสำหรับชั้นเรียนภาคปฏิบัติในกฎหมายแพ่งซึ่งนักเรียนจะได้รับคำเตือนในบทเรียนแรก สมุดบันทึกถูกตรวจสอบโดยครูผู้สอน ในแต่ละเหตุการณ์ นักเรียนจะต้องถามคำถามว่า

เกิดจากเนื้อหาของปัญหา คำถามควรกำหนดขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และคำตอบควรได้รับการพิสูจน์โดยบทบัญญัติทางทฤษฎี (หากจำเป็น) และการอ้างอิงถึงบรรทัดฐานทางกฎหมาย จำเป็นต้องให้นักเรียนระบุในสมุดบันทึกอย่างเต็มที่และมีความสามารถและเมื่อตอบข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติเชิงบรรทัดฐานและบรรทัดฐานเฉพาะที่ใช้ในการแก้คดี (ชื่อของพระราชบัญญัติกฎเกณฑ์จำนวนบทความส่วนวรรค , ฯลฯ , เนื้อหาของบรรทัดฐาน, แหล่งที่มาของสิ่งพิมพ์) ... หากนักเรียนไม่มีกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมในห้องเรียน เขาจำเป็นต้องเขียนข้อมูลทั้งหมดเหล่านี้ลงในสมุดจดเมื่อแก้ปัญหาและนำไปใช้ในชั้นเรียน การขาดวิธีแก้ปัญหาที่เป็นลายลักษณ์อักษรสำหรับเหตุการณ์นั้นถือเป็นความล้มเหลวในการบ้าน

สำหรับแต่ละบทเรียน ครูต้องมีวิธีแก้ปัญหาเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมคำถามและคำตอบ

ในการแก้ปัญหาในชั้นเรียนภาคปฏิบัติ นักเรียนต้องบอกเนื้อหาของเหตุการณ์ด้วยคำพูดของเขาเอง และไม่อ่านเหตุการณ์ ครูประเมินว่านักเรียน "รายงานกรณี" ได้สำเร็จและมีความสามารถเพียงใด

ขอแนะนำให้ใช้นักเรียนจำนวนมากที่สุดในการแก้ปัญหาแต่ละข้อ เราไม่ควรพยายามทำให้แน่ใจว่าปัญหานี้ได้รับการแก้ไขโดยสมบูรณ์โดยนักเรียนคนเดียว จำเป็นต้องกระตุ้นการอภิปราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ขัดแย้งในทางทฤษฎีและการปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรหลีกเลี่ยงคำถามที่เกิดขึ้นจากงาน การตัดสินใจที่ถูกต้องควรเป็นข้อสรุปที่สมเหตุสมผลจากการอภิปรายร่วมกันในประเด็นทั้งหมดภายใต้การแนะนำของครู

ครูให้ความเห็นในการแก้ปัญหาแต่ละกรณีแยกกัน ในเวลาเดียวกัน นักเรียนจะสังเกตเห็นว่าใครแก้ปัญหาได้ถูกต้อง และยังระบุด้วยว่าเหตุใดคำตอบบางข้อจึงไม่ถูกต้อง

นักเรียนที่ขาดเรียน (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม) ที่ไม่มีวิธีแก้ปัญหาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ได้เตรียมบทเรียนเชิงปฏิบัตินี้ จะต้องไม่ช้ากว่าสองสัปดาห์ต่อมา มาปรึกษากับครูและรายงานเรื่อง หัวข้อที่เรียนในชั้นเรียน นักเรียนที่ไม่ได้รายงานในแต่ละหัวข้อที่ไม่ได้ทำงานในห้องเรียนก่อนเริ่มภาคเรียนเครดิตจะไม่ได้รับเครดิตสำหรับภาคการศึกษาที่เกี่ยวข้อง

9. ครูจะบันทึกงานของนักเรียนแต่ละคนในชั้นเรียนภาคปฏิบัติในสมุดบันทึกของเขาและจะต้องนำมาพิจารณาเมื่อทำการทดสอบและการสอบ หากครูไม่เข้าสอบในกลุ่ม ให้แจ้งผู้สอบเกี่ยวกับผลงานของนักเรียนแต่ละคนตลอดทั้งปี

10. ข้อกำหนดข้างต้นสำหรับการทำแบบฝึกหัดภาคปฏิบัติได้อธิบายให้นักเรียนฟังในบทเรียนแรกในปีที่สองและได้รับการเตือนในบทเรียนแรกในปีที่สาม

ในบทเรียนที่หนึ่งหรือสองในปีที่สอง ขอแนะนำให้ยกตัวอย่างวิธีแก้ปัญหาของเหตุการณ์ (พร้อมคำถามและคำตอบทั้งหมดโดยอ้างอิงถึงกฎหมาย) เพื่อให้นักเรียนเขียนวิธีแก้ปัญหานี้ไว้เป็นแบบอย่าง .

นอกจากนี้ ในบทเรียนแรกในปีที่สอง เราควร:

ก) บอกรายละเอียดเกี่ยวกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการศึกษาหลักสูตรกฎหมายแพ่ง เกี่ยวกับความกว้างและความซับซ้อนของกฎหมายแพ่ง เกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษาอย่างเป็นระบบและมีเป้าหมายในทุกรูปแบบ (การบรรยาย ตำรา งานอิสระ บทเรียนภาคปฏิบัติ , การปรึกษาหารือ, รายวิชา, การมีส่วนร่วมในวงวิทยาศาสตร์ของนักเรียน);

b) เพื่อให้นักเรียนรู้จักวารสารทางกฎหมายและสิ่งพิมพ์เช่น "แถลงการณ์ของศาลฎีกาแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย", "แถลงการณ์ของศาลอนุญาโตตุลาการสูงสุดของสหพันธรัฐรัสเซีย", "แถลงการณ์เชิงบรรทัดฐานของกระทรวงและหน่วยงานของสหพันธรัฐรัสเซีย " ซึ่งจะต้องใช้ในห้องเรียนและตอนเขียนรายงานภาคเรียน

c) บอกวิธีการเขียนและจัดเอกสารภาคการศึกษา

d) บอกเกี่ยวกับแผนกกฎหมายแพ่ง;

จ) ทำความรู้จักกับกลุ่มโดยเฉพาะ ถามว่านักศึกษาคนไหนทำงานอยู่ มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับงานในอนาคต ผู้ที่อาศัยอยู่ในหอพัก จดหมายเลขโทรศัพท์บ้านของหัวหน้ากลุ่ม ฯลฯ

1. วัตถุประสงค์ของบทเรียนเบื้องต้นกับนักศึกษากฎหมายแพ่งชั้นปีที่ 2 คือเพื่อ

ทำความรู้จักกับนักเรียนของกลุ่ม

เพื่อให้นักศึกษาได้ทราบถึงข้อกำหนดของภาควิชาสำหรับนักศึกษาสาขากฎหมายแพ่ง

เพื่อเปิดเผยแก่นักศึกษาเกี่ยวกับโครงการฝึกอบรมด้านกฎหมายแพ่ง

เพื่อเปิดเผยความรู้ของนักศึกษาที่เชี่ยวชาญในปีแรกโดยเฉพาะด้านทฤษฎีรัฐและกฎหมาย

อธิบายให้นักเรียนทราบถึงข้อกำหนดที่จะนำเสนอในการสัมมนา

ทำความคุ้นเคยกับขั้นตอนการถือออฟเซ็ตและ (หรือ) การสอบในกฎหมายแพ่ง

ความคุ้นเคยของครูกับกลุ่มควรหมายถึงความคุ้นเคยส่วนตัวกับนักเรียนแต่ละคนในกลุ่ม มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำความคุ้นเคยอย่างไม่เป็นทางการเพื่อไม่ให้ถูก จำกัด การโทรในรายการ แต่ต้องพูดคุยกับนักเรียนแต่ละคนพยายามระบุผลการเรียนของเขาความปรารถนาที่จะศึกษาด้านนิติศาสตร์อย่างน้อยหนึ่งสาขาโอกาสสำหรับเขา งานในอนาคต ฯลฯ สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือต้องใส่ใจกับทัศนคติของนักเรียนที่มีต่อภาษาต่างประเทศ : ฉันเรียนภาษาอะไร ระดับของการฝึกภาษาคืออะไร จำเป็นต้องพิจารณานักเรียนอย่างใกล้ชิดจากมุมมองของการพัฒนาทั่วไปของเขา: เขาอ่านหรือไม่และวรรณกรรมประเภทใด, วารสาร, ความสนใจของเขาในด้านวัฒนธรรม ฯลฯ กล่าวอีกนัยหนึ่งควรเป็นการสนทนาโดยมีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดนักเรียนให้สื่อสารกับครูตามปกติ ครูต้องดูแลการสร้างการติดต่อดังกล่าวตั้งแต่บทเรียนแรก จำเป็นต้องละทิ้ง "คำสั่ง" ทันทีและสนทนากับนักเรียนอย่างเท่าเทียมกัน แต่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดบางประการของแผนก

ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการทำความคุ้นเคยกับความต้องการของภาควิชาเพื่อการศึกษากฎหมายแพ่ง หลักการสำคัญในที่นี้ควรทำให้นักเรียนเข้าใจได้กระจ่างว่าสามารถรับความรู้ได้ด้วยตัวเองเท่านั้น โดยใช้แรงงานของตนเอง และบทบาทของครูคือการช่วยให้พวกเขาได้รับความรู้ดังกล่าว ในกรณีนี้ข้อกำหนดหลักคือความรู้ของเรื่อง แต่นี่ไม่ได้หมายความเพียงแค่การท่องจำถ้อยคำของกฎหมายหรือตำราเรียนเท่านั้น จำเป็นต้องให้ความรู้กับคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ - นักกฎหมายมืออาชีพในอนาคตที่สามารถไตร่ตรองและค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาชีวิตที่ยากลำบากได้อย่างอิสระ ควรกล่าวอย่างแน่วแน่ว่าพวกเขาจะไม่ "ยุ่ง" กับคนเกียจคร้าน: ผู้ที่ได้รับประกาศนียบัตรจากมหาวิทยาลัยจะต้องเป็นทนายความที่มีคุณวุฒิสูงและไม่ใช่คนกลางคัน

เป็นสิ่งสำคัญมากในบทเรียนแรกที่จะอธิบายให้นักเรียนทราบถึงหลักสูตรการฝึกอบรมด้านกฎหมายแพ่งและลักษณะของชั้นเรียน จำเป็นต้องให้ความสนใจกับความจริงที่ว่าเฉพาะการรวมกันของการศึกษาทุกรูปแบบในกฎหมายแพ่งเท่านั้นที่จะได้รับระดับความรู้ที่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเป็นต้องพูด

อ่านเกี่ยวกับการบรรยายที่นักเรียนบางคนละเลย ท้ายที่สุด เฉพาะในการบรรยายเท่านั้นที่พวกเขาได้รับระบบความรู้ที่พวกเขาต้องการ สิ่งสำคัญคือต้องเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้แนวทางที่เป็นระบบในการศึกษาเรื่องที่ซับซ้อนเช่นกฎหมายแพ่ง ขอแนะนำให้พูดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเชี่ยวชาญพิเศษ และที่นี่เพื่อพูดถึงหลักสูตรและวิทยานิพนธ์ระดับอนุปริญญา ควรเน้นว่าเอกสารภาคการศึกษาที่ไร้ประโยชน์และวิทยานิพนธ์ที่เขียนใหม่ "จากแหล่งที่มา" ไม่สามารถประเมินในเชิงบวกได้ ควรกล่าวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหัวข้อเอกสารภาคการศึกษากับวิทยานิพนธ์

5. ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับข้อกำหนดที่จะนำเสนอต่อนักเรียนในการสัมมนา พื้นฐานในที่นี้ควรเป็นแผนคร่าวๆ สำหรับการจัดสัมมนา คุณสามารถลองไม่เพียงแต่เสนอรูปแบบการเรียนที่จัดไว้ให้ในตารางเท่านั้น แต่ยังใช้ข้อเสนอของนักเรียนเองทุกครั้งที่ทำได้

จำเป็นต้องอธิบายให้นักเรียนทราบถึงความสำคัญของการศึกษากฎหมายแพ่งในปีที่สองซึ่งพวกเขาจะต้องเชี่ยวชาญประเภททั่วไปของกฎหมายแพ่งซึ่งพวกเขาต้องการในการศึกษาต่อทั้งกฎหมายแพ่งและสาขาวิชาอื่น ๆ อีกมากมาย (ครอบครัว, ขั้นตอน กฎหมายแรงงาน ฯลฯ)

เมื่อทำบทเรียนเบื้องต้นแนะนำให้จัดสรรเวลาเพื่อค้นหาว่านักเรียนได้เรียนรู้อะไรจากเนื้อหาในปีแรกโดยให้ความสนใจเป็นพิเศษในหัวข้อเช่นแนวคิดของกฎหมายความสัมพันธ์ทางกฎหมายการดำเนินการของกฎหมายในเวลา , ในอวกาศและในแวดวงของบุคคล, แนวความคิดของความจำเป็นและความไม่แน่นอน บรรทัดฐาน ฯลฯ แน่นอนว่าเราไม่ควรคาดหวังคำตอบที่ลึกซึ้งที่นี่: ประสบการณ์แสดงให้เห็นว่านักเรียนไม่รู้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาผ่านอะไรไปในปีแรก เราต้องทำให้พวกเขาเข้าใจว่าจำเป็นต้องทำซ้ำบางสิ่งจากอดีต ตัวอย่างเช่น คุณสามารถหยิบยกประเด็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีแพ่ง ตรวจสอบอย่างน้อย ความเข้าใจทั่วไปของระบบกฎหมาย

ภารกิจหนึ่งของบทเรียนเบื้องต้นคือการอธิบายขั้นตอนการขยายหน่วยกิตและการสอบวิชากฎหมายแพ่งและข้อกำหนดของอาจารย์ประจำภาค แน่นอนเหมือนเมื่อก่อนสามารถตั้งค่าปิดอัตโนมัติได้ แต่ควรอธิบายว่าการทดสอบดังกล่าวเป็นไปได้ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้: นักเรียนต้องเข้าชั้นเรียนเป็นประจำ ที่พลาดบทเรียนไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามต้องผ่านหัวข้อนี้เพื่อขอคำปรึกษา

ชั่น; นักเรียนต้องทำงานอย่างแข็งขันในห้องเรียน (เป็นสิ่งสำคัญสำหรับครูในการเก็บบันทึกงานของนักเรียนในภาคการศึกษา) จำเป็นต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษกับรายงานของนักเรียนในห้องเรียน การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการอภิปรายร่วมกัน

เมื่อพูดถึงการสอบต้องเน้นว่าการสอบกฎหมายแพ่งสามารถทำได้โดยไม่ต้องมีตั๋ว โปรแกรมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเรียน จำเป็นต้องเตือนนักเรียนว่าคำถามในการสอบจะถูกกำหนดโดยผู้สอบตามโปรแกรมอย่างเคร่งครัด

8. เมื่อสิ้นสุดบทเรียน จำเป็นต้องมอบหมายงานให้กับนักเรียนในบทเรียนถัดไป และบอกว่าจะกำหนดงานมอบหมายอย่างไรในอนาคต ตามกฎแล้วครูจะตั้งชื่อหมายเลขของปัญหาระบุการกระทำเชิงบรรทัดฐานที่จำเป็นสำหรับการแก้ปัญหา (นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ) แนะนำสิ่งพิมพ์ใหม่ อาจมีทั้งงานทั่วไปสำหรับนักเรียนทุกคน และงานพิเศษสำหรับนักเรียนแต่ละคน เช่น การส่งข้อความเกี่ยวกับบทความใหม่ในวารสาร เกี่ยวกับกฎหมายใหม่ เป็นต้น

เมื่อดำเนินการสัมมนาในรูปแบบของ "โต๊ะกลม" หรืออภิปรายเกี่ยวกับเอกสาร กฎหมาย หรือฉบับร่าง ครูควรทำงานอย่างรอบคอบที่สุด เช่นเดียวกันเมื่อเล่นเกมธุรกิจซึ่งตามกฎแล้วควรเตรียมล่วงหน้าหลายเดือน (สัปดาห์) ก่อนจะจัดขึ้น ครูควรทำงานร่วมกับแต่ละกลุ่มที่เข้าร่วมในเกมธุรกิจและแนะนำวิธีการเตรียมสำหรับกิจกรรมดังกล่าว ขอแนะนำให้แก้ไขเหตุการณ์ง่ายๆ (ปัญหา) จากการประชุมเชิงปฏิบัติการให้เป็นแบบจำลอง กำหนดและเขียนคำถามและคำตอบที่เป็นไปได้บนกระดานโดยอ้างอิงถึงกฎหมาย และเพื่อให้นักเรียนสามารถเขียนวิธีแก้ปัญหานี้

โดยสรุป ควรสังเกตว่าลำดับงานในบทเรียนเบื้องต้นอาจแตกต่างไปจากที่ระบุไว้ในคำแนะนำ ตรรกะและระเบียบวิธีของบทเรียนนั้นครูเป็นผู้เลือกเอง ซึ่งชี้นำโดยเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการสอน

สัมมนา(จาก Lat. สัมมนา - สถานรับเลี้ยงเด็ก) - รูปแบบของกระบวนการศึกษาที่สร้างขึ้นจากการศึกษาอิสระของนักเรียนตามคำแนะนำของหัวหน้าของแต่ละประเด็นปัญหาตามด้วยการลงทะเบียนในรูปแบบของรายงานและการอภิปรายร่วมกันของพวกเขา การสัมมนาซึ่งแตกต่างจากการฝึกปฏิบัติ มีลักษณะทางทฤษฎีมากกว่าและมีจุดมุ่งหมายเพื่อเจาะลึก

ศึกษาวินัยหรือส่วนใดส่วนหนึ่งโดยเชี่ยวชาญวิธีการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มันนำทางนักเรียนไปสู่การแสดงออกของความเป็นอิสระมากขึ้นในกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจ มีส่วนช่วยในการรวมความรู้ของพวกเขา เนื่องจากในระหว่างการสัมมนา ความรู้ที่ได้รับจากการทำงานอิสระในแหล่งข้อมูลเบื้องต้น เอกสาร วรรณกรรมเพิ่มเติม จะถูกจัดระบบ ลึกซึ้ง และควบคุม . เป้าหมายหลักของการสัมมนาคือการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้ทักษะและความสามารถในการใช้ความรู้เชิงทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมที่กำลังศึกษา

งานสอนหลักของการสัมมนา: การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางวิชาชีพของนักเรียน เพิ่มแรงจูงใจด้านการศึกษาและความรู้ความเข้าใจ การเรียนรู้ภาษาของกฎหมาย ทักษะในการดำเนินการเครื่องมือที่จัดหมวดหมู่และแนวคิดของนิติศาสตร์ การเรียนรู้ทักษะและความสามารถในการกำหนดและแก้ไขปัญหาอย่างมืออาชีพ การก่อตัวของความสามารถในการปกป้องมุมมองของพวกเขาอย่างสมเหตุสมผล การทำให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การจัดระบบ การรวมและการควบคุมความรู้ การเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเชื่อ

การสัมมนามีสามประเภทขึ้นอยู่กับการกำหนดเป้าหมายหลัก:

สัมมนาศึกษาเจาะลึกหลักสูตรอบรมเฉพาะทางเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับเนื้อหาของหลักสูตรนี้

สัมมนาเพื่อศึกษาหัวข้อที่สำคัญที่สุดและเป็นไปตามระเบียบวิธีของหลักสูตรอย่างละเอียดหรือหนึ่งหัวข้อ;

สัมมนาการวิจัยเพื่อพัฒนาวิทยาศาตร์เฉพาะปัญหาเฉพาะเรื่อง ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนเป็นการสัมมนาพิเศษได้

สัมมนาพิเศษมักจะดำเนินการในรุ่นพี่และเป็นโรงเรียนของการสื่อสารสำหรับนักวิจัยสามเณรในปัญหาเฉพาะภายใต้การแนะนำของนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ผู้นำที่มีประสบการณ์จะสร้างบรรยากาศของการสร้างสรรค์ร่วมทางวิทยาศาสตร์ นำนักเรียนไปสู่กิจกรรมการคิดร่วมกัน และใช้วิธีการวิจัยที่มีประสิทธิภาพ ในบทเรียนสุดท้าย ตามกฎแล้ว ครูจะทำการทบทวนเอกสารการวิจัยของนักเรียนโดยสมบูรณ์ สรุปผล เปิดเผยโอกาสในการค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นและความเป็นไปได้ที่นักเรียนที่สนใจจะมีส่วนร่วม

การสัมมนามีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการบรรยาย อย่างไรก็ตาม เอกสารการฝึกอบรมของการสัมมนาจะไม่ซ้ำกับเนื้อหาการบรรยาย แม้ว่าจะยังคงมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับบทบัญญัติพื้นฐาน บทบาทนำของครูแสดงให้เห็นในการวางแผนงานการศึกษาอย่างรอบคอบ โดยเน้นประเด็นสำคัญสำหรับการอภิปรายในงานสัมมนา การคัดเลือกวรรณกรรมเพื่อการศึกษาโดยอิสระ และการจัดการกระบวนการอภิปราย ตามกฎแล้วจะมีคำถามพื้นฐานไม่เกินสี่หรือห้าคำถามในหัวข้อสำหรับการสัมมนา

การสัมมนาประเภทต่อไปนี้แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิธีการดำเนินการ

สัมมนา-สนทนาสมมติว่าเตรียมบทเรียนของนักเรียนทุกคนในทุกประเด็นของแผนการสัมมนา อนุญาตให้มีผู้เข้าร่วมจำนวนสูงสุดในการอภิปรายอย่างแข็งขันในหัวข้อ หลังจากครูแนะนำสั้น ๆ ข้อความโดยละเอียดของนักเรียนหลายคนในประเด็นเฉพาะของแผนจะได้ยิน ซึ่งเสริมด้วยสุนทรพจน์ของนักเรียนคนอื่น ๆ จากนั้นจึงอภิปรายสุนทรพจน์ทั้งหมดและครูทำการสรุป

สัมมนาอภิปรายหรือข้อพิพาทการสัมมนาเปิดโอกาสให้มีการสื่อสารแบบโต้ตอบของผู้เข้าร่วมเพื่อวัตถุประสงค์ในการอภิปรายและการแก้ปัญหาร่วมกัน ประเด็นเร่งด่วนที่สุดของสาขาวิชาที่อยู่ระหว่างการศึกษานำมาอภิปราย ผู้เข้าร่วมในการอภิปรายเรียนรู้ที่จะกำหนดความคิดของตนอย่างถูกต้อง ปกป้องมุมมองของตนเองอย่างแข็งขัน และตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผล รูปแบบที่เหมาะสมที่สุดของการสัมมนาคือการอภิปรายในหลักการของ "โต๊ะกลม" โดยมีการจัดผู้เข้าร่วมทั้งหมดอย่างเหมาะสม ในขณะเดียวกัน สิ่งสำคัญคือต้องสอนวัฒนธรรมของการสื่อสารและการมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียน เพื่อให้ผ่านการสนทนา หัวข้อของการอภิปรายจะพัฒนาร่วมกัน

แบบผสมของการสัมมนารวมการอภิปรายรายงาน การนำเสนอผู้เข้าร่วมฟรี การอภิปรายตามกำหนดการ

แนวทางการสอนในการเตรียมนักเรียนสำหรับการสัมมนา คือ ครูช่วยจัดทำแผนการพูด สอนการรวบรวมบทคัดย่อของแหล่งวรรณกรรม การออกแบบข้อความบทคัดย่อและรายงานที่ถูกต้อง ให้คำแนะนำในทุกประเด็นที่เกิดขึ้นในกระบวนการ งานอิสระ

1. ตามตารางการบรรยายและการสัมมนาที่ได้รับอนุมัติ อาจมีการแนะนำรูปแบบการฝึกอบรมพิเศษในการสัมมนา - การสัมมนาเชิงทฤษฎีที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มระดับการทำงานอิสระของนักศึกษาในกฎหมายแพ่ง

รูปแบบการจัดชั้นเรียนนี้สามารถใช้ได้เฉพาะในกรณีที่แผนงานจำนวนการสัมมนาเกี่ยวกับกฎหมายแพ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่านั่นคือแทนที่จะเป็น 34 ชั่วโมง - 60-62 ชั่วโมงในแต่ละครั้ง จำนวนชั่วโมงที่เพิ่มขึ้นสำหรับกฎหมายแพ่งนี้เป็นผลมาจากบทบาทที่เพิ่มขึ้นในการพัฒนาเศรษฐกิจแบบตลาด

พื้นฐานสำหรับการแนะนำรูปแบบการฝึกอบรมที่มีชื่อคือแนวคิดของการเปลี่ยนจากวิธีการฝึกอบรมทนายความด้านข้อมูลไปสู่การฝึกอบรมตามระเบียบวิธีโดยพิจารณาจากการดูดซึมหมวดหมู่พื้นฐานที่สำคัญที่สุดของกฎหมายแพ่งการพัฒนาทักษะ สำหรับงานอิสระด้านวรรณกรรม กฎหมาย การวิเคราะห์กิจกรรมเชิงปฏิบัติของหน่วยงานทางกฎหมาย ความสามารถในการประเมินสถานการณ์ชีวิตเฉพาะที่นักกฎหมายต้องเผชิญในทางปฏิบัติ

2. การสัมมนาเชิงทฤษฎีอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเป้าหมายเฉพาะที่ครูกำหนดในขั้นตอนนี้ของการฝึกอบรม การสัมมนาเชิงทฤษฎีมีสามประเภทหลัก

NS. การสัมมนาเชิงทฤษฎีเป็นการให้ข้อมูลมันถูกออกแบบมาสำหรับการดูดซึมโดยนักเรียนในหมวดหมู่พื้นฐานหลักของหัวข้อที่ศึกษา ("บล็อก") รูปแบบของการสัมมนานี้สามารถใช้ในตอนเริ่มต้นของการศึกษาหัวข้อ ("บล็อก") เพื่อเป็นการทำความรู้จักเบื้องต้นกับหมวดหมู่หลักที่จะต้องจัดการ ในกรณีนี้ สามารถใช้วิธีการต่างๆ ในการจัดสัมมนาดังกล่าว โดยเฉพาะงานทั่วไปสำหรับนักเรียนทุกคนเพื่อศึกษาคำจำกัดความของแนวคิดหรือโครงสร้าง (หมวดหมู่) เป็นไปได้ที่จะแนะนำนักเรียนหนึ่งหรือหลายคนให้เตรียมข้อความสั้นเกี่ยวกับประเด็นเฉพาะและการอภิปรายในภายหลัง คุณสามารถมอบหมายให้นักเรียนคนหนึ่งหรือนักเรียนหลายคนศึกษาบทความบางอย่างในนิตยสารที่ครอบคลุมบางส่วนได้

NS. สัมมนาเชิงทฤษฎี-อภิปราย.การสัมมนาประเภทนี้ควรดำเนินการได้ดีที่สุดเมื่อมีการศึกษาหัวข้อหรือส่วนสำคัญของการสัมมนาในประเด็นการอภิปรายหลักบางประเด็นแล้ว สามารถทำได้ในรูปแบบของ "โต๊ะกลม" โดยที่แต่ละคนแสดงตำแหน่งของเขาพร้อมสรุปในภายหลัง ในกรณีนี้พร้อมกับการใช้วิธีการฝึกอบรมที่ระบุไว้ในย่อหน้า "A" คุณสามารถใช้องค์ประกอบบางอย่างของ "เกมธุรกิจ" โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มซึ่งแต่ละส่วนจะต้องปกป้องตำแหน่งที่แน่นอนด้วยความจำเป็น หลักฐาน. นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม "ผู้เชี่ยวชาญ" ที่ต้องวิเคราะห์สุนทรพจน์และสรุปว่าควรคำนึงถึงตำแหน่งใด บทบาทของครูมีมากขึ้นที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเตรียมการสัมมนา ซึ่งจำเป็นต้องกำหนดขอบเขตของประเด็นที่ขัดแย้งกัน เลือกวรรณกรรมตามนั้น เพื่อให้งานบางอย่างแก่นักเรียน (กลุ่มนักเรียน) ฯลฯ งานอิสระในการจัดเตรียมข้อพิพาท ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับข้อเท็จจริงที่ว่าในระหว่างช่วงการอภิปราย นักเรียนไม่เพียงแค่อ้างถึงวรรณกรรมที่อ่านเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอนุญาโตตุลาการและการพิจารณาคดีด้วย จำเป็นต้องให้ความสนใจกับความถูกต้องของผู้พูดเพื่อปลูกฝังทักษะด้านสติปัญญาในการอภิปรายเคารพในมุมมองอื่น ๆ

วี การสัมมนาเชิงทฤษฎีเป็นครั้งสุดท้ายสามารถทำได้เมื่อสิ้นสุดการศึกษาหัวข้อโดยสรุป การจัดสัมมนาดังกล่าวเป็นไปได้ในรูปแบบของการประชุมหรือในรูปแบบอื่น วัตถุประสงค์ของการสัมมนาคือเพื่อระบุความรู้ของนักเรียนและประเมินผลได้ดียิ่งขึ้น หากเมื่อสรุปผลการศึกษา "บล็อก" นี้นักเรียนแสดงความรู้ที่ดีการประเมินนี้สามารถนำมาพิจารณาเมื่อทำการสอบหลักสูตร จำเป็นต้องแนะนำให้นักเรียนทำสิ่งนี้ล่วงหน้า ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจในการทำงานอิสระของพวกเขา

การเลือกประเภทการสัมมนาเชิงทฤษฎีในหัวข้อเฉพาะ - กรณีของครู ขึ้นอยู่กับหัวข้อและลักษณะของกลุ่ม ไม่ควรคิดว่าควรจัดสัมมนาเชิงทฤษฎีทั้งสามประเภทในแต่ละหัวข้อ ต้องหาสิทธิ์

การผสมผสานที่ดีของการสัมมนาเชิงทฤษฎีกับการนำเสนอรูปแบบอื่นของการสัมมนาและชั้นเรียนภาคปฏิบัติ

3. เมื่อเตรียมการสัมมนาเชิงทฤษฎี ครูควรจำไว้ว่าเป้าหมายหลักของการสัมมนาเชิงทฤษฎีคือ - การปรับปรุงคุณภาพงานอิสระของนักเรียน สิ่งนี้สามารถทำได้ไม่ได้โดยการมอบหมายทั่วไปและคลุมเครือให้กับกลุ่ม แต่อาจทำได้อย่างแม่นยำและเฉพาะเจาะจงสำหรับนักเรียนแต่ละคนหรือกลุ่มนักเรียน ซึ่งสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกัน เป็นการผิดที่จะมอบหมายงานให้เฉพาะนักเรียนที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น ในเรื่องนี้ประสบการณ์การจัดสัมมนาปัญหาในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญสามารถช่วยได้

ดูเหมือนว่าการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของนักเรียนในการสัมมนาเชิงทฤษฎีจะช่วยให้ครูสามารถกำหนดทิศทางของนักเรียนให้มุ่งไปที่งานของหลักสูตร และอาจนำไปสู่วิทยานิพนธ์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้นำของการสัมมนาควรดูที่งานที่มอบหมายให้กับนักเรียนในการสัมมนาเชิงทฤษฎีในมุมมอง โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของการใช้งานในรายวิชา

ควรมีการอภิปรายว่าบทความที่ยอดเยี่ยมในการสัมมนาเชิงทฤษฎีสามารถให้เครดิตเป็นบทความภาคเรียนได้หรือไม่เมื่อนำเสนอบทความดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษร ในขณะเดียวกัน ก็เป็นไปได้ที่จะประเมินรายวิชาประเภทนี้ในแง่ของการเตรียมการและการส่งมอบรายวิชาที่สำนักงานคณบดีกำหนดไว้ก่อนหน้านี้ จึงทำให้อาจารย์สามารถกระจายงานตรวจสอบรายวิชาได้ยาวนานขึ้น

ประชุมอบรมในด้านเนื้อหาและองค์กรนั้น ใกล้เคียงกับการสัมมนาและเป็นการพัฒนา อันเป็นผลมาจากวิธีการประชุมที่คล้ายกับวิธีการสัมมนา ตามกฎแล้วการประชุมจะจัดขึ้นกับกลุ่มการศึกษาหลายกลุ่มและมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมขยายและปรับปรุงความรู้พิเศษ การเตรียมตัวสำหรับการประชุมเริ่มต้นด้วยคำจำกัดความของหัวข้อ โดยเปิดเผยคำถามและวิทยากร เป้าหมายหลักคืออภิปรายประเด็นเฉพาะและค้นหาแนวทางแก้ไขที่เพียงพอ ข้อกำหนดในการจัดทำบทคัดย่อและรายงานสำหรับการประชุมนั้นสูงกว่าการสัมมนามาก เนื่องจากใช้เป็นแนวทางในการสร้างประสบการณ์ของนักเรียนเกี่ยวกับกิจกรรมสร้างสรรค์และเพิ่มความยากในเนื้อหาของงานที่มอบหมาย

การปรึกษาหารือได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยนักเรียนในการทำงานอิสระเพื่อขจัดช่องว่างในความรู้ ในระหว่างการปรึกษาหารือ สื่อการศึกษาจะได้รับการวิเคราะห์โดยละเอียด ซึ่งนักเรียนอาจไม่เข้าใจหรือไม่เข้าใจเลย การให้คำปรึกษาอาจเป็นปัจจุบันและก่อนการสอบ ซึ่งกำหนดข้อกำหนดสำหรับนักเรียนในการทดสอบและการสอบ ตลอดจนรายบุคคลและกลุ่ม พวกเขาสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยสำหรับแนวทางของนักเรียนแต่ละคน ให้ครูพิจารณาลักษณะทางจิตวิทยาของแต่ละคน รวมถึงระดับของการฝึกอบรมและโอกาสทางการศึกษา

การปฏิบัติทางการศึกษาและอุตสาหกรรมเป็นส่วนสำคัญและเป็นรูปแบบที่ยากที่สุดรูปแบบหนึ่งของกระบวนการศึกษา ทั้งในแง่องค์กรและระเบียบวิธี เนื่องจากสำหรับการดำเนินการ จำเป็นต้องรวมผลประโยชน์ของกิจกรรมทางวิชาชีพจริงและสถาบันการศึกษาเพื่อปรับกระบวนการเรียนรู้ให้เข้ากับ การปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ศาล องค์กรและวิสาหกิจเฉพาะ

เป้าหมายการสอนของการฝึกปฏิบัติทางการศึกษา (เบื้องต้น) และภาคอุตสาหกรรม (ก่อนอนุปริญญา) คือการพัฒนาและปรับปรุงทักษะทางวิชาชีพ การรวม การสรุปทั่วไป และการจัดระบบความรู้พิเศษผ่านการประยุกต์ใช้ในกิจกรรมทางกฎหมายในทางปฏิบัติในการปฏิบัติหน้าที่เฉพาะ

การได้มาซึ่งประสบการณ์เชิงปฏิบัติของกิจกรรมระดับมืออาชีพนั้นเกิดขึ้นจากระบบการทำงานของผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่เหมาะสมในการสอนภายใต้การดูแลของครูและหัวหน้าภาคปฏิบัติที่ได้รับการแต่งตั้งจากสถาบัน ในระหว่างการฝึกเตรียมอนุปริญญา นักศึกษาต้องแสดงให้เห็นถึงความพร้อมและความสามารถในการทำกิจกรรมทางวิชาชีพ ความสามารถในการใช้ความรู้พิเศษที่ได้รับอย่างอิสระ เพื่อให้สอดคล้องกับบรรทัดฐานของจรรยาบรรณวิชาชีพ วัตถุประสงค์หลักคือการรวบรวมเอกสารสำหรับวิทยานิพนธ์ นักศึกษาต้องส่งรายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับผลการเรียนพร้อมกับคำรับรองที่ออกโดยสถานที่ฝึกงาน

คลินิกกฎหมายเป็นรูปแบบใหม่ของการศึกษาและการปฏิบัติทางอุตสาหกรรม แม้ว่าจะอยู่ในรัสเซียก่อนการปฏิวัติก็ตาม นักศึกษากฎหมายก็รวมการศึกษาในมหาวิทยาลัยกับกงสุล

งาน tatson (จำประสบการณ์การให้คำปรึกษาประชากรโดยนักศึกษาคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัย Kazan ในกลางศตวรรษที่ 19 ภายใต้การแนะนำของ Prof. D. I. Meyer) วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมในคลินิกกฎหมายโดยทั่วไปสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการศึกษาและการปฏิบัติทางอุตสาหกรรม ดังนี้

การพัฒนาทักษะและทักษะการปฏิบัติของกิจกรรมทางกฎหมายอย่างมืออาชีพ

การเตรียมนักศึกษาภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเพื่อปฏิบัติหน้าที่เฉพาะทางวิชาชีพของทนายความ

การก่อตัวของจรรยาบรรณวิชาชีพทนายความ

การพัฒนาทัศนคติที่เห็นอกเห็นใจต่อบุคคลที่ต้องการการคุ้มครองทางกฎหมายและต่อประชาชนโดยทั่วไป

ความสามารถในการสร้างบรรยากาศทางจิตวิทยาที่จำเป็นในการติดต่อกับลูกค้า

อบรมหาวิธีแก้ไขปัญหาทางกฎหมายอย่างสร้างสรรค์

พัฒนาความรู้สึกรับผิดชอบต่องานและคุณสมบัติที่สำคัญทางวิชาชีพอื่น ๆ ของบุคลิกภาพของทนายความ

นักศึกษาอาวุโสมีส่วนร่วมในการทำงานของคลินิกกฎหมาย ก่อนเริ่มทำงานในคลินิก อาจารย์และผู้ปฏิบัติงานที่มีประสบการณ์จะทำการบรรยายและชั้นเรียนภาคปฏิบัติกับนักเรียนเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและการรณรงค์ร่วมกับประชากร เป้าหมายของพวกเขาคือการพัฒนาทักษะในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง: การฟังลูกค้า การสร้างการติดต่อทางจิตวิทยากับเขา และถามคำถามที่จำเป็น เน้นข้อเท็จจริงที่สำคัญทางกฎหมาย ให้คุณสมบัติทางกฎหมาย และคำแนะนำทางกฎหมายที่ถูกต้อง คัดเลือกและวิเคราะห์บรรทัดฐานของกฎหมายที่มีสาระสำคัญและขั้นตอนพิจารณา แสดงความคิดเห็นในบทความของกฎหมายแต่ละฉบับ โดยคำนึงถึงการพิจารณาคดี จัดทำเอกสารขั้นตอน คำร้อง คำคัดค้าน คำร้อง ฯลฯ

ตามกฎแล้วคลินิกกฎหมายทำงานในแผนกหนึ่งหรือที่คณะในห้องที่มีอุปกรณ์พิเศษพร้อมคอมพิวเตอร์ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลและระบบอ้างอิง คุณภาพของการปรึกษาหารือ ร่างเอกสารทางกฎหมาย ผ่านการตรวจสอบโดยอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ ครูที่ปรึกษาปฏิบัติหน้าที่ที่คลินิกตามกำหนดเวลาเพื่อช่วยเหลือที่ปรึกษานักเรียนที่มีกรณีที่ซับซ้อน

ผลงานภาคปฏิบัติของนักศึกษาในคลินิกกฎหมายต้องได้รับการวิเคราะห์อย่างครอบคลุมในกลุ่มโดยมีส่วนร่วมของครูผู้สอน เพื่อรวบรวมการดำเนินการที่มีนัยสำคัญทางกฎหมายอย่างมีประสิทธิผล

งานอิสระของนักศึกษา(ต่อไปนี้จะเรียกว่า CDS) พร้อมกับห้องเรียนเป็นรูปแบบที่สำคัญที่สุดของกระบวนการศึกษา เนื่องจากไม่มีความรู้ ความสามารถ ทักษะที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากกิจกรรมอิสระสามารถกลายเป็นองค์ประกอบที่แท้จริงของความสามารถทางวิชาชีพของผู้เชี่ยวชาญได้ งานอิสระเป็นงานที่วางแผนไว้ของนักเรียน ซึ่งดำเนินการอย่างอิสระตามงานที่ได้รับมอบหมายและตามแนวทางของครูเพื่อพัฒนาความสามารถทางปัญญาและมุ่งเน้นไปที่การศึกษาด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง

เนื่องด้วยปริมาณวัสดุทางการศึกษาและวิทยาศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยมีจำนวนชั่วโมงเรียนไม่เพียงพอสำหรับการศึกษา CDS จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในกรอบของกระบวนการศึกษา อัตราส่วนเวลาที่จัดสรรสำหรับห้องเรียนและการทำงานอิสระของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในโลกคือ 1: 3.5 ตามกระบวนทัศน์การศึกษาสมัยใหม่ ผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยจะต้องมีความรู้พื้นฐาน ทักษะและความสามารถของกิจกรรมระดับมืออาชีพ ประสบการณ์ในกิจกรรมสร้างสรรค์และการวิจัย ความสามารถทางสังคม การสื่อสาร และ autopsychological ซึ่งเกิดขึ้นในกระบวนการทำงานอิสระของนักเรียนด้วย

งานการสอนของ IWS: การรวบรวม การเพิ่มความลึก การขยายและการจัดระบบของความรู้ที่ได้รับระหว่างห้องเรียน การเรียนรู้สื่อการศึกษาใหม่อย่างอิสระ การพัฒนาทักษะทางวิชาชีพตลอดจนทักษะและความสามารถของงานจิตอิสระ การพัฒนาความคิดอย่างอิสระ ความสนใจในวรรณกรรมทางกฎหมาย กิจกรรมทางกฎหมายเชิงปฏิบัติ กระบวนการจัดทำกฎหมาย

รูปแบบหลักของ IWS: งานศึกษาที่บ้าน; การจัดทำบทคัดย่อในหัวข้อที่เลือก งานวิจัยทางการศึกษาและงานวิจัยของนักศึกษา (งานวิจัยทางการศึกษาของนักศึกษา - UIRS และผลงานวิจัยของนักศึกษา - SRWS) ที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในงานของนักศึกษาวงการวิทยาศาสตร์และนักศึกษาวิทยาศาสตร์

การประชุม; การจัดทำเอกสารภาคการศึกษา วิทยานิพนธ์ และวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท องค์กรและการดำเนินธุรกิจนอกห้องเรียน

การพัฒนาและการนำวิธีการหาเหตุผลเข้าข้างตนเองและเพิ่มประสิทธิภาพ CDS เป็นหนึ่งในงานหลักของการสอนการศึกษาระดับอุดมศึกษา ผลการศึกษาพบว่า นักเรียน (โดยเฉพาะรุ่นน้อง) มักเรียนไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เพราะได้รับการเตรียมการที่ไม่ดีในโรงเรียนมัธยมศึกษา แต่เนื่องจากไม่ได้สร้างความตั้งใจและความสามารถในการศึกษาด้วยตนเอง ควบคุมและประเมินตนเอง บริหารจัดการตนเอง ลักษณะทางปัญญา กิจกรรม ความสามารถในการจัดสรรเวลาทำงานอย่างเหมาะสมเพื่อการเตรียมตัวด้วยตนเอง

จากผลการศึกษาทางสังคมวิทยาของงบประมาณเวลา วันทำงานของนักเรียนโดยคำนึงถึงการเรียนในห้องเรียนนั้นเกินแปดถึงเก้าชั่วโมง นักเรียนส่วนใหญ่ (ประมาณ 80%) ใช้เวลาสองถึงสามชั่วโมงต่อวันในการฝึกอบรมในวิชาหลัก ส่วนที่เหลือใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงในเรื่องนี้ นักเรียนประมาณ 50% ใช้เวลาเตรียมตัวหนึ่งชั่วโมงในวิชาที่ไม่ใช่วิชาหลัก และนักเรียนประมาณ 25% ใช้เวลาสูงสุดสองชั่วโมง ระบบการศึกษาของมหาวิทยาลัยแตกต่างอย่างมากจากระบบของโรงเรียน เนื่องจากได้รับการออกแบบมาเพื่อให้มีจิตสำนึกในระดับสูง ความสนใจในวิชาชีพ และความโน้มเอียงของนักศึกษา อย่างเป็นทางการขาดระบบการตรวจสอบโรงเรียนประจำวันที่เข้มงวด "ความกลัว" ของครูความจำเป็นในการ "เรียนรู้บทเรียน" ทุกวัน นักเรียนบางคนที่สอบผ่านการสอบเข้าแข่งขันแล้วพบว่าตนเองไม่พร้อมสำหรับการศึกษาอิสระอย่างมีความรับผิดชอบ โดยปกติแล้ว นักเรียนเพียง 10% เท่านั้นที่เตรียมสอบตลอดภาคการศึกษา และในระหว่างภาคเรียนจะดูแต่เนื้อหาเท่านั้น ตามกฎแล้วประมาณ 50 คน ให้ศึกษาเนื้อหาของหลักสูตรใหม่ทั้งหมดจากหนังสือเรียนและบันทึกย่อ และประมาณ 40% ของ นักเรียน - จากบันทึกเท่านั้น

ปัญหาหลักของการปรับตัวของนักศึกษาใหม่ให้เข้ากับชีวิตในมหาวิทยาลัยคือประสบการณ์เชิงลบที่เกี่ยวข้องกับการออกจากโรงเรียนด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันและการสนับสนุนทางศีลธรรม ความไม่แน่นอนหรือแรงจูงใจไม่เพียงพอในการเลือกอาชีพ ไม่สามารถดำเนินการควบคุมตนเองทางจิตวิทยาของพฤติกรรมและกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งกำเริบจากการไม่มีนิสัยในการควบคุมครูทุกวัน ค้นหาระบบการทำงานและการพักผ่อนที่เหมาะสมในสภาพใหม่

การสร้างชีวิตประจำวันและการบริการตนเองโดยเฉพาะเมื่อย้ายจากสภาพบ้านมาเป็นหอพัก ขาดทักษะในการทำงานอิสระ, ไม่สามารถจดบันทึก, ทำงานกับแหล่งข้อมูลเบื้องต้น, พจนานุกรม, หนังสืออ้างอิง, ข้อบังคับ, ดัชนี

เพื่อพัฒนากลวิธีและกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพซึ่งรับรองว่านักศึกษาจะปรับตัวเข้ากับชีวิตในมหาวิทยาลัยได้อย่างเหมาะสม ครูและฝ่ายบริหารจำเป็นต้องทราบความสนใจและแผนชีวิตของน้องใหม่ ระบบแรงจูงใจหลักของเขา ระดับของแรงบันดาลใจ ความนับถือตนเอง ความสามารถและ ความพร้อมในการควบคุมพฤติกรรมและกิจกรรมการเรียนรู้อย่างอิสระ ภารกิจของกลุ่มนักเรียนคือการสร้างเงื่อนไขสำหรับกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีที่สุดของทั้งเด็กนักเรียนเมื่อวานและผู้ที่มาจากวงการอุตสาหกรรม

กิจกรรมที่สำคัญที่สุดที่เอื้อต่อการปรับตัวของนักศึกษาใหม่ให้เข้ากับสภาพของมหาวิทยาลัย ได้แก่ การทำงานเกี่ยวกับการสร้างกลุ่มนักศึกษาอย่างมีเหตุผล พิธีกรรม "การเริ่มต้นสู่นักเรียน" การอ่านหลักสูตร "ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับความสามารถพิเศษ", "พื้นฐานของกิจกรรมการศึกษา"; สุนทรพจน์กลุ่มโดยครูชั้นนำ ทำความคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย ประเพณี บัณฑิตที่มีชื่อเสียง การจัดศูนย์ให้คำปรึกษาในหอพักของครูและนักเรียน การแนะนำการรับรองแบบ intersessional ซึ่งช่วยให้คุณควบคุมงานอิสระของนักเรียนในระหว่างภาคเรียนเพื่อให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นตรงเวลา ข้อมูลเกี่ยวกับผลงานอิสระของนักศึกษาซึ่งได้รับจากสำนักงานคณบดี จะใช้เพื่อช่วยนักเรียนที่ล้าหลัง ส่งเสริมนักเรียนที่ประสบความสำเร็จ และตำหนิผู้ที่ประมาทเลินเล่อ นักศึกษาทำงานอย่างสม่ำเสมอและทำผลงานได้ดีในช่วงเปิดเทอม นักศึกษาสามารถรับหน่วยกิตได้โดยอัตโนมัติ คะแนนที่ดีเยี่ยมสมควรสอบในการสอบ สิทธิในการโอนไปยังตารางเรียนของแต่ละคน

ทำการบ้านรวมถึงการเตรียมตัวอย่างอิสระสำหรับภาคปฏิบัติและการสัมมนา ตลอดจนกิจกรรมการศึกษาอิสระที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการศึกษา หน้าที่พิเศษคือการพัฒนาความสามารถในการศึกษาอย่างอิสระ กำหนดวิธีการและวิธีการทำงาน และเพื่อวางแผนการเรียนรู้ วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อรวบรวมความรู้และทักษะที่ได้รับใน

การฝึกอบรมในห้องเรียน การพัฒนาทักษะ การเรียนรู้เนื้อหาใหม่ๆ

เงื่อนไขการสอนที่รับรองการทำงานอิสระที่ประสบความสำเร็จ: การกำหนดงานที่ชัดเจนและคำแนะนำสำหรับการดำเนินการ แรงจูงใจในการมอบหมายงานศึกษา (เพราะเหตุใด มีส่วนสนับสนุนอะไร) ปริมาณที่เหมาะสมของปริมาณการบ้าน; คำจำกัดความของแบบฟอร์มการรายงานของครูเงื่อนไขการส่ง การกำหนดประเภทของความช่วยเหลือที่ปรึกษา เกณฑ์การประเมิน ชนิดและรูปแบบของการควบคุม

เนื้อหาของงานการศึกษาอิสระของนักเรียนคือ การอ่านและการจดบันทึกแหล่งข้อมูลที่ครูแนะนำ ตามด้วยการอภิปรายประเด็นเฉพาะในชั้นเรียนและสัมมนาเชิงปฏิบัติ การแก้ปัญหาในบางส่วนและหัวข้อของหลักสูตร ตามด้วยการอภิปรายในชั้นเรียนภาคปฏิบัติ ร่างการทบทวนสั้น ๆ เกี่ยวกับคดีในศาลโดยทั่วไปแล้วจะมีการอภิปรายในภายหลังในการสัมมนาหรือการประชุมของกลุ่มนักศึกษาวิทยาศาสตร์ การเยี่ยมชมตามคำแนะนำของครู การประชุมในศาล แผนกกฎหมายขององค์กรต่างๆ สำนักงานรับรองเอกสารเพื่อให้นักเรียนคุ้นเคยกับงานและการวิเคราะห์ที่ตามมาในชั้นเรียนภาคปฏิบัติและการสัมมนา การเตรียมการทบทวนร่างกฎหมายเป็นการบ้าน ตามด้วยการอภิปรายในห้องเรียน การเตรียมร่างเอกสารทางกฎหมายโดยคำนึงถึงหัวข้อที่ศึกษาพร้อมการวิเคราะห์ที่ตามมาในบทเรียนภาคปฏิบัติ

การเตรียมบทคัดย่อ- หนึ่งในรูปแบบการจัดองค์กรและการควบคุมซีดีเอส บทคัดย่อ (จาก Lat. Referre - to report, to report) เป็นบทสรุปของเนื้อหาของแหล่งข้อมูลด้วยการประเมินที่รัดกุมหรือการเปิดเผยสถานะของปัญหาโดยพิจารณาจากการเปรียบเทียบภาพรวมและการวิเคราะห์จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ในกระบวนการศึกษา บทคัดย่อแบ่งออกเป็นทางวิทยาศาสตร์และปัญหาและการสำรวจและข้อมูล

จุดประสงค์ของการเขียนเรียงความคือเพื่อพัฒนาทักษะของนักเรียนในการทำงานอิสระด้วยแหล่งข้อมูลทางวรรณกรรมและกฎหมาย ซึ่งจัดพิมพ์โดยการพิจารณาคดีและอนุญาโตตุลาการ จากการวิเคราะห์และการวางนัยทั่วไป นักเรียนสามารถสรุปผลทางทฤษฎีและเชิงปฏิบัติโดยให้เหตุผลของตนเอง หัวข้อของเรียงความรายการวรรณกรรมที่แนะนำกำหนดโดยครูผู้สอน บทคัดย่อจาก

บทสรุปของเนื้อหาหลักของหนังสือหรือบทความเกี่ยวกับปัญหาเฉพาะถือได้ว่าเป็นขั้นตอนเริ่มต้นในการจัดทำบทความภาคเรียนในหัวข้อที่เกี่ยวข้อง ปริมาณของบทคัดย่อควรอยู่ภายใน 15-20 หน้าพิมพ์ดีด โครงสร้างปกติของนามธรรม: เค้าร่าง; บทนำพร้อมการพิสูจน์หัวข้อและวัตถุประสงค์ เนื้อหาหลักของหลายย่อหน้า บทสรุปซึ่งประกอบด้วยข้อสรุป รายการบรรณานุกรม

หลักสูตรการทำงานในฐานะที่เป็นบทความทางวิทยาศาสตร์เชิงสร้างสรรค์ที่เป็นอิสระของนักเรียน มันถูกออกแบบมาเพื่อให้แนวคิดเกี่ยวกับความรู้และทักษะพิเศษที่ได้มาซึ่งใช้ในการแก้ปัญหาทางกฎหมายบางอย่าง เมื่อเขียนรายงานภาคการศึกษา นักเรียนจะพัฒนาและพัฒนาความสามารถในการทำงานกับวรรณกรรม คัดแยก จดบันทึก วิเคราะห์แหล่งข้อมูลทางกฎหมายและแนวปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย และหาข้อสรุปอย่างมีข้อมูล

แผนกจัดทำเอกสารภาคการศึกษาเป็นขั้นตอน ในขั้นตอนขององค์กร นักศึกษาจะเลือกหัวข้อของงานรายวิชาโดยพิจารณาจากรายชื่อหัวข้อโดยประมาณสำหรับสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องที่ได้รับอนุมัติจากภาควิชา กำหนดข้อกำหนดสำหรับงานหลักสูตร จัดทำกำหนดการซึ่งขั้นตอนของ มีการสรุปการทำงานและวันที่ให้คำปรึกษา นักศึกษาจะตกลงเกี่ยวกับแผนงาน บรรณานุกรม เงื่อนไขและขั้นตอนในการเตรียมงานหลักสูตรกับหัวหน้างานที่ได้รับการแต่งตั้ง รายวิชามีโครงสร้างดังนี้ แผน; การแนะนำสั้น ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องของหัวข้อและกำหนดงาน ส่วนสำคัญ; รายการกฎเกณฑ์ที่ใช้ เอกสารการฝึกปฏิบัติ และวรรณกรรม ปริมาณงานโดยประมาณของหลักสูตรคือข้อความพิมพ์ดีด 30-40 หน้า

เกณฑ์การประเมินงานของหลักสูตร: ความเพียงพอของเนื้อหาของหัวข้อที่เลือกและระดับการเปิดเผย ความสมบูรณ์ของการครอบคลุมวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ การใช้ระเบียบข้อบังคับ การปฏิบัติตามกฎหมาย แนวทางสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในงานหลักสูตร ความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์และความถูกต้องของข้อสรุป การโต้ตอบกับงานที่กำหนดไว้ในบทนำ ความถูกต้องทางภาษาศาสตร์และความถูกต้องของงานหลักสูตร ในการประเมินงานของหลักสูตรไม่เพียง แต่เนื้อหาเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงผลลัพธ์ของการป้องกันช่องปากด้วย

โดยการตัดสินใจของแผนกตามการนำเสนอของผู้บังคับบัญชาสำหรับงานหลักสูตร สามารถให้เครดิตได้ดังต่อไปนี้: รายงานในที่ประชุมของวงกลมนักศึกษาวิทยาศาสตร์หรือในการประชุมนักศึกษาทางวิทยาศาสตร์ รายงานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการปฏิบัติทางอุตสาหกรรม การแปลโดยนักเรียนจากภาษาต่างประเทศเป็นภาษารัสเซียจากแหล่งวิทยาศาสตร์ต่างประเทศหรือการกระทำเชิงบรรทัดฐานที่จำเป็นในงานด้านการศึกษาหรือวิทยาศาสตร์ของภาควิชาโดยมีคำอธิบายสั้น ๆ

งานบัณฑิต- นี่เป็นงานสร้างสรรค์ที่เป็นอิสระที่ซับซ้อน ซึ่งนักเรียนจะต้องแก้ไขงานเฉพาะทางที่สอดคล้องกับโปรไฟล์ของความเชี่ยวชาญพิเศษและระดับการศึกษา ควรเป็นการผสมผสานระหว่างการเปิดเผยเชิงทฤษฎีของประเด็นในหัวข้อที่มีการวิเคราะห์เอกสารกำกับดูแลและการปฏิบัติตามกฎหมาย

เป้าหมายการสอนของการเขียนวิทยานิพนธ์: การขยาย การรวม และการจัดระบบของความรู้ ความสามารถและทักษะพิเศษ และการประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์และการปฏิบัติที่มีลักษณะทางกฎหมาย การพัฒนาทักษะและความสามารถของงานทางวิทยาศาสตร์อิสระรวมถึงการเรียนรู้วิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และประยุกต์เกี่ยวกับปัญหาทางกฎหมาย การตรวจสอบและกำหนดระดับความพร้อมของบัณฑิตมหาวิทยาลัยสำหรับการปฏิบัติงานอิสระในองค์กรและสถาบันที่เกี่ยวข้องหรือเพื่อศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา

แผนกจัดทำรายการโดยประมาณสำหรับวิทยานิพนธ์ระดับอนุปริญญาที่ควรมีความเกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความต้องการของวิทยาศาสตร์กฎหมายและการปฏิบัติ เมื่อเลือกหัวข้อสำหรับวิทยานิพนธ์ นักศึกษาอาจใช้เนื้อหาจากบทความ รายงาน เอกสารภาคการศึกษาจากปีก่อนหน้าของการศึกษา ความกระตือรือร้นของนักศึกษาในการค้นคว้าปัญหาทางกฎหมายเฉพาะด้านตลอดหลายปีของการศึกษาที่มหาวิทยาลัยควรได้รับการต้อนรับ เขาสามารถเสนอหัวข้อโดยให้เหตุผลถึงความเป็นไปได้ ความเกี่ยวข้อง และความเป็นไปได้ของการเปิดเผย

หลังจากหัวข้อได้รับการอนุมัติ นักเรียนเห็นด้วยกับหัวหน้างานเกี่ยวกับแผน ขั้นตอน และโปรแกรมการปฏิบัติก่อนอนุปริญญา หน้าที่ของหัวหน้างาน ได้แก่ การประเมินและอภิปรายแผนงานที่นักศึกษาเสนอในงานวิทยานิพนธ์ การตรวจสอบและอภิปรายรายการวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่คัดสรร นิติกรรม และแหล่งข้อมูลอื่นๆ คอน-

ให้คำปรึกษาแก่นักเรียนในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานและความยากลำบากที่พบเจอ จัดทำโปรแกรมการฝึกปฏิบัติระดับปริญญาตรี

ในกระบวนการเตรียมวิทยานิพนธ์ นักศึกษาจะศึกษาปัญหาทางกฎหมายที่เฉพาะเจาะจงอย่างครอบคลุม ทั้งในด้านทฤษฎีและภาคปฏิบัติ วิเคราะห์วรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์และเอกสารกำกับดูแล สรุปและวิเคราะห์การปฏิบัติตามกฎหมาย พัฒนาจุดยืนของตนเองในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ทัศนคติต่อมุมมองที่มีอยู่ การปฏิบัติตามกฎหมาย กำหนดข้อเสนอของเขาสำหรับการปรับปรุงการปฏิบัติตามกฎหมายและการออกกฎหมายหากเป็นไปได้ โครงสร้างของวิทยานิพนธ์: หน้าชื่อเรื่อง; สารบัญ; บทนำ ซึ่งตรวจสอบความเกี่ยวข้องของหัวข้อที่เลือกและปัญหาการวิจัย เหตุผลในการเลือกโดยนักเรียน ระดับของการพัฒนา เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของงาน ข้อความหลักพร้อมรายละเอียดเป็นบทและย่อหน้า บทสรุป ซึ่งสรุปผลการศึกษา สรุปข้อสรุปและข้อเสนอของผู้เขียน บรรณานุกรม รวมถึงแหล่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ข้อบังคับ เอกสารประกอบการปฏิบัติตามกฎหมาย ใบสมัคร (ถ้ามี) ปริมาณของงานที่มีคุณสมบัติขั้นสุดท้ายคือ 50-60 หน้าของข้อความที่พิมพ์ดีด

ในความเห็นของผู้บังคับบัญชาและการทบทวน ข้อดีและข้อเสียของวิทยานิพนธ์จะถูกบันทึกไว้ มีการสรุปโดยทั่วไปเกี่ยวกับระดับของวิทยานิพนธ์ และสามารถเสนอการประเมินเฉพาะได้ ขั้นตอนในการปกป้องวิทยานิพนธ์ประกอบด้วย: ข้อความสั้น ๆ จากนักเรียนเกี่ยวกับบทบัญญัติหลักของงาน ข้อสรุปและข้อเสนอของเขา คำถามจากสมาชิกของ SAC คำถามอื่น ๆ นำเสนอต่อนักเรียนและคำตอบสำหรับคำถาม ผู้วิจารณ์กล่าวสุนทรพจน์หรือได้ยินคำวิจารณ์ของเขา ถ้อยแถลงของบุคคลอื่นที่ประสงค์จะพูดเกี่ยวกับคุณธรรมของประเด็น สุนทรพจน์สุดท้ายของนักเรียนพร้อมคำตอบสำหรับคำถามและความคิดเห็นที่แสดงในการทบทวน ทบทวน และระหว่างการอภิปรายของงาน

เกณฑ์การประเมินวิทยานิพนธ์: ตัวละครที่สร้างสรรค์, การใช้วรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์, ระเบียบข้อบังคับในปัจจุบัน, วัสดุของการปฏิบัติก่อนอนุปริญญา การนำเสนออย่างมีเหตุผลและชัดเจนของเนื้อหาที่นำเสนอ หลักฐานและความน่าเชื่อถือของข้อเท็จจริงและข้อสรุป ความสามารถของนักเรียนในการใช้วิธีการค้นหา การคัดเลือก การประมวลผลและการจัดระบบข้อมูลอย่างมีเหตุผล ความสามารถในการทำงานกับบรรทัดฐาน

นิติกรรม; ความถูกต้องและถูกต้องของการออกแบบวิทยานิพนธ์ ระดับของความพร้อมทางวิชาชีพที่แสดงออกทั้งในเนื้อหาของวิทยานิพนธ์และในกระบวนการป้องกัน

การเปิดใช้งาน CDS เกี่ยวข้องกับการใช้เทคนิคและวิธีการต่างๆ ในการฝึกสอน ซึ่งสามารถจัดกลุ่มได้ดังนี้

1. สอนวิธีการทำงานอิสระของนักเรียน (การพัฒนาทักษะในการวางแผนงบประมาณเวลา การสื่อสารความรู้ที่จำเป็นสำหรับการวิปัสสนาและการประเมินตนเองของกิจกรรมการศึกษา พัฒนาทักษะในการค้นหา การเลือก การจัดระบบและการดูดซึมข้อมูลที่จำเป็นโดยใช้เหตุผลต่างๆ แหล่งที่มาและฐานข้อมูล)

การสาธิตที่น่าเชื่อถือโดยครูของความจำเป็นในการเรียนรู้สื่อการสอนที่เสนอสำหรับกิจกรรมการศึกษาและวิชาชีพที่จะเกิดขึ้นในการบรรยายและรูปแบบอื่น ๆ ของกระบวนการศึกษาในสื่อการสอนและคำแนะนำระเบียบวิธี

การจัดแผนการฝึกอบรมรายบุคคลโดยการมีส่วนร่วมของนักศึกษาในการวิจัยและกิจกรรมทางวิชาชีพภาคปฏิบัติ (ผ่านการทำสัญญากับองค์กรและองค์กร สมาคมวิทยาศาสตร์ของนักศึกษา - SSS คลินิกกฎหมาย ฯลฯ)

การนำเสนอเนื้อหาทางการศึกษาที่มีปัญหา ทำซ้ำวิธีทั่วไปในการให้เหตุผลที่แท้จริง และค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาทางวิชาชีพที่ใช้ในวิทยาศาสตร์และการปฏิบัติทางกฎหมาย

การประยุกต์ใช้วิธีการสอนเชิงรุก

การพัฒนาและความคุ้นเคยของนักเรียนด้วยรูปแบบโครงสร้างและตรรกะของวินัยทางวิชาการและองค์ประกอบต่างๆ

การพัฒนาแนวทางระเบียบวิธีปฏิบัติสำหรับนักเรียนรุ่นเยาว์ที่มีอัลกอริธึมแบบละเอียดของกิจกรรมการศึกษา โดยส่วนที่อธิบายจะค่อยๆ ลดลงจากรายวิชาหนึ่งไปอีกรายวิชา เพื่อให้นักเรียนคุ้นเคยกับความเป็นอิสระมากขึ้น

การพัฒนาสื่อการสอนแบบครอบคลุมสำหรับงานอิสระของนักเรียน โดยผสมผสานเนื้อหาทางทฤษฎี คำสั่งระเบียบวิธีปฏิบัติ และงานในการแก้ปัญหา

การพัฒนาสื่อการสอนแบบสหวิทยาการ

การบ้านส่วนบุคคล ความแตกต่างของงาน และประเภทของกิจกรรมการศึกษาในองค์กรของ IWS

กำหนดสถานะของ "ที่ปรึกษานักเรียน" ให้กับนักเรียนที่มีความสามารถและประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยติดพวกเขาไว้กับคนที่ล้าหลังเพื่อช่วยในการศึกษาของพวกเขา

การพัฒนาและการนำวิธีการสอนแบบรวมกลุ่มและงานคู่มาใช้

การอ่านส่วนหนึ่งของการบรรยายโดยนักเรียนระหว่างการเตรียมการเบื้องต้นด้วยความช่วยเหลือจากครู

ควบคุมคำถามในกระแสการบรรยายหลังจากการบรรยายแต่ละครั้ง เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพ

การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาด้วยตนเองและการควบคุมตนเองของนักเรียน การพัฒนาการเรียนทางไกล

องค์กรของการควบคุมอย่างต่อเนื่อง (การให้คะแนน) ของกิจกรรมการศึกษาของนักเรียน ซึ่งจะลดกิจกรรมการควบคุมแบบเดิมให้เหลือน้อยที่สุด และเพิ่มงบประมาณเวลา CPC เนื่องจากช่วงเวลาของเซสชัน รูปแบบหนึ่งของการควบคุมอย่างต่อเนื่องดังกล่าว ตามปฏิญญาโบโลญญา อาจเป็นระบบสะสมหน่วยกิต เมื่อมีการบรรยาย สัมมนา ฯลฯ แต่ละครั้ง คะแนนเครดิตจะได้รับและเมื่อรวบรวมตามจำนวนที่ต้องการเท่านั้นนักเรียนจะได้รับประกาศนียบัตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา

รูปแบบและวิธีการควบคุมการสอนเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการศึกษา ลองพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติม

Colloquium(จาก Lat. colloquium - การสนทนา, การสนทนา) - หนึ่งในรูปแบบของการฝึกอบรม, การแสดง, เช่นเดียวกับรูปแบบ CPC ที่อธิบายไว้ข้างต้น, ฟังก์ชันการควบคุมและการฝึกอบรม colloquium ใช้เป็นรูปแบบการควบคุมขั้นสุดท้ายหลังจากเรียนวิชาหนึ่งสองสามภาคการศึกษาและเป็นการสนทนาระหว่างครูและนักเรียนเพื่อค้นหาระดับความรู้ที่ได้รับ นอกจากการวินิจฉัยการดูดซึมของความรู้แล้ว คอลโลเคียมยังทำหน้าที่จัดระเบียบ เปิดใช้งานงานอิสระของนักเรียน และแนะนำว่าเป็นรูปแบบข้อเสนอแนะที่มีประสิทธิภาพสูงสุดรูปแบบหนึ่งในกระบวนการศึกษา

การควบคุมการสอนมีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกันสามประการ: การวินิจฉัย การสอน และการศึกษา

ฟังก์ชั่นการวินิจฉัยประกอบด้วย การระบุระดับความรู้ ความสามารถ ทักษะ ในการกำหนดระดับการก่อตัว

คุณสมบัติที่สำคัญอย่างมืออาชีพในการประเมินกิจกรรมการศึกษาและพฤติกรรมของนักเรียน

ฟังก์ชั่นการเรียนรู้การควบคุมปรากฏในการฟื้นฟูกิจกรรมการศึกษาของนักเรียน

ฟังก์ชั่นการศึกษาอยู่ในความจริงที่ว่าระบบของสาขาวิชาการควบคุมการสอนจัดระเบียบและชี้นำกิจกรรมการศึกษาของนักเรียนช่วยในการระบุและขจัดช่องว่างในความรู้ก่อให้เกิดการพัฒนาทัศนคติที่สร้างสรรค์ต่อการเรียนรู้และความสามารถ autodidactic

การควบคุมการสอนแบ่งออกเป็นกระแส เฉพาะเรื่อง กลางภาค ขั้นสุดท้าย และขั้นสุดท้าย

การควบคุมปัจจุบันช่วยแยกแยะนักเรียนเป็นนักเรียนที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ กระตุ้นกิจกรรมการเรียนรู้ของพวกเขา (แบบสำรวจในชั้นเรียนและสัมมนาเชิงปฏิบัติ การทดสอบ การบ้าน การพิสูจน์ข้อมูลการควบคุมตนเอง)

การควบคุมเฉพาะเรื่องใช้เพื่อกำหนดระดับความเชี่ยวชาญในหัวข้อหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของหลักสูตร

การควบคุมระยะกลางคือการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเริ่มศึกษาส่วนถัดไปของสื่อการเรียนการสอน ซึ่งการดูดซึมซึ่งเป็นไปไม่ได้หากไม่มีการดูดซึมจากส่วนก่อนหน้า

การควบคุมขั้นสุดท้ายในรูปแบบของการทดสอบขั้นสุดท้ายหรือการสอบนั้นออกแบบมาเพื่อเปิดเผยผลการเรียนวินัยบางอย่างและความเป็นไปได้ของนักเรียนในการศึกษาต่อ

การควบคุมขั้นสุดท้ายดำเนินการในรูปแบบของการสอบของรัฐและการป้องกันวิทยานิพนธ์

รูปแบบของการควบคุมการสอนแต่ละรูปแบบ (การฝึกปฏิบัติ การสัมมนา ภาษาพูด การทดสอบข้อเขียน เรียงความ รายงาน เอกสารภาคเรียนและวิทยานิพนธ์ การทดสอบ การสอบ การทดสอบ) มีลักษณะ ข้อดีและข้อเสียของตัวเอง หากรูปแบบการควบคุมด้วยวาจาและวาจามีส่วนช่วยในการพัฒนาวัฒนธรรมการพูด ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ งานเขียนจะช่วยให้คุณกำหนดระดับการดูดซึมของสื่อการเรียนรู้ได้เป็นเอกสาร แต่ต้องใช้เวลามากจากครู

แบบฝึกหัดภาคปฏิบัติในรูปแบบของข้อพิพาท การอภิปราย เกมธุรกิจ การสนทนา การจัดทำบทความ รายงาน หลักสูตรและอนุปริญญามีส่วนช่วยในการพัฒนาบุคลิกภาพที่สร้างสรรค์และมีความสามารถอย่างมืออาชีพของผู้เชี่ยวชาญ การทดสอบและการสอบสร้างความเครียดเพิ่มเติมในจิตใจของนักเรียน การทดสอบช่วยขจัดความเป็นปัจเจกของ

ผู้สมัครเพิ่มความเป็นกลางในการประเมินความรู้และทักษะของนักเรียน โดยที่รายการทดสอบต้องตรงตามข้อกำหนดของความน่าเชื่อถือและความถูกต้อง

การทดสอบใช้ในกระบวนการศึกษาเพื่อวัตถุประสงค์ในการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพของความรู้ที่ได้รับเป็นหลัก

การทดสอบ (จากการทดสอบภาษาอังกฤษ - การทดสอบ, การทดลอง) - ระบบงานที่เพิ่มความยากของรูปแบบเฉพาะ, ทดสอบบนพื้นฐานของเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์, สำหรับการประเมินวัตถุประสงค์ของระดับและโครงสร้างของความรู้ของนักเรียนหรือสำหรับการวัดการสอนของ ระดับของการก่อตัวของลักษณะบุคลิกภาพบางอย่าง การทดสอบจะใช้ในกระบวนการแนะแนวอาชีพและการคัดเลือกสายอาชีพ (เช่น เพื่อสร้างความเพียงพอของการเลือกอาชีพโดยผู้สมัคร) ในการรับรองและรับรองมหาวิทยาลัย เพื่อระบุโครงสร้างและความสมบูรณ์ของความรู้ของนักศึกษาและ ประเมินประสิทธิผลของอาจารย์แต่ละคนหรือทั้งแผนก

การทดสอบประเภทต่อไปนี้จะแตกต่างกันไปตามเกณฑ์ต่างๆ

ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน- การทดสอบ: คำจำกัดความของความสามารถ การวินิจฉัย; ผลการเรียน; ทักษะทั่วไป "การจัดตำแหน่ง" ของนักเรียนเมื่อทำการสรรหากลุ่มการศึกษา ฯลฯ

โดยธรรมชาติของการดำเนินการควบคุมการสอน- การทดสอบ: การควบคุมความคืบหน้าในปัจจุบันและระดับกลาง การควบคุมความก้าวหน้าขั้นสุดท้าย

โดยวัตถุของการควบคุม- การทดสอบ: ความสามารถแบบมืออาชีพซึ่งวัดระดับและปริมาณของการเรียนรู้สื่อการศึกษาในเรื่องนั้น เชิงปฏิบัติ การวัดระดับของการพัฒนาทักษะการปฏิบัติอย่างมืออาชีพ

โดยทิศทางของรายการทดสอบ- การทดสอบ: ไม่ต่อเนื่อง (ส่วนหนึ่งหรือวิชา); แบบบูรณาการ; ทั่วโลก (เพื่อทดสอบปริมาณความรู้)

ตามแบบรายการทดสอบ- การทดสอบ: แบบฟอร์มปิดพร้อมตัวเลือกหนึ่ง (ถูกต้อง) คำตอบจากหลาย ๆ คำตอบ แบบฟอร์มเปิด ซึ่งอาสาสมัครจำเป็นต้องเสริม เติมประโยคให้สมบูรณ์ ให้คำจำกัดความของตนเอง (เช่น: "ประชาธิปไตยคือ ... ")

การพัฒนารายการทดสอบประกอบด้วยหลายขั้นตอน ได้แก่ การเลือกเนื้อหาและรูปแบบการมอบหมาย การสร้างคำแนะนำและคำอธิบายของการทดสอบ การทดสอบการอนุมัติ การประมวลผลเชิงประจักษ์

ข้อมูล; การตีความผลการประมวลผล การตรวจสอบคุณภาพของการทดสอบ

การเลือกรูปแบบของรายการทดสอบขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการสร้างและการใช้แบบทดสอบ เนื้อหาของหลักสูตรการฝึกอบรม คุณสมบัติ และประสบการณ์ของนักพัฒนา ข้อกำหนดต่อไปนี้กำหนดขึ้นในเนื้อหาของงานทดสอบ: ความบริสุทธิ์ของวิชา ความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์และความน่าเชื่อถือ ความสำคัญและการเป็นตัวแทน (เน้นความรู้พื้นฐานและนำเสนอหลักสูตรการฝึกอบรมอย่างเต็มที่ที่สุด)

ข้อกำหนดต่อไปนี้กำหนดไว้ในการทดสอบแบบปิด: คำสั่งมาตรฐาน; ความชัดเจนและความกระชับสูงสุดของข้อความ; โครงสร้างโวหารที่เรียบง่าย มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียวเท่านั้น คำตอบทั้งหมดมีความยาวเท่ากัน ไม่มีความขัดแย้งระหว่างส่วนหลักและคำตอบ

ยิ่งเนื้อหาของหลักสูตรแสดงอยู่ในรายการทดสอบมากเท่าใด ความถูกต้องของการทดสอบก็จะยิ่งสูงขึ้น ความเที่ยงธรรมของการทดสอบเป็นผลจากการผสมผสานระหว่างความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ

ความถูกต้อง- นี่คือความเหมาะสมของการทดสอบสำหรับการวัดเชิงคุณภาพของสิ่งที่สร้างขึ้น นั่นคือความสอดคล้องของการทดสอบในรูปแบบและเนื้อหาตามวัตถุประสงค์ ความถูกต้องจะถูกประเมินโดยพิจารณาจากผลการทดสอบ ผลการสอบ และผลงานระดับมืออาชีพ ซึ่งควรมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง

ลักษณะสำคัญของการทดสอบอีกประการหนึ่งคือ ความน่าเชื่อถือ- ความเสถียรของผลการทดสอบที่ได้จากการใช้ซ้ำ ความน่าเชื่อถือได้รับการประเมินโดยผลการทดสอบแบบคู่ขนานในสองกลุ่ม การทดสอบซ้ำ แบ่งการทดสอบออกเป็นสองส่วนเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน

การทดสอบคอมพิวเตอร์มีส่วนช่วยให้กระบวนการศึกษาเข้มข้นขึ้นและปรับปรุงคุณภาพเนื่องจากการเลือกเนื้อหาอย่างรอบคอบ ปริมาณที่สมเหตุสมผล ความต่อเนื่องทางตรรกะของข้อมูลการศึกษา การใช้เวลาเรียนอย่างประหยัดและเหมาะสม การฝึกอบรมส่วนบุคคล การใช้อุปกรณ์ช่วยสอนทางเทคนิคที่ทันสมัย . ข้อดีของการทดสอบคอมพิวเตอร์: การใช้งานจริงในกระบวนการศึกษาของระบบการควบคุมการสอนแบบหลายระดับ การควบคุมเป็นรายบุคคลสำหรับการเข้าพักกลุ่มนักเรียน ความเที่ยงธรรมและความยืดหยุ่นของการประเมิน การทำให้เป็นรายบุคคลของจังหวะและ

ระดับการดูดซึมของสื่อการศึกษา ความเป็นไปได้ในการสร้างฐานข้อมูลในระหว่างการฝึกอบรม การประมวลผลผลการทดสอบทางสถิติโดยอัตโนมัติซึ่งช่วยให้ครูสามารถตัดสินใจได้อย่างเพียงพอในเวลาที่เหมาะสมเกี่ยวกับการจัดการกระบวนการศึกษา การกระตุ้นการทำงานอิสระของนักเรียน การพัฒนาการควบคุมตนเองและการจัดการกิจกรรมการศึกษาด้วยตนเอง

เครดิตและข้อสอบเป็นรูปแบบดั้งเดิมของการควบคุมการสอน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบและประเมินความรู้และทักษะของนักเรียน ในระหว่างการทดสอบและการสอบ นักเรียนจำนวนมากประสบปัญหาทางประสาทวิทยามากเกินไป ดังนั้นองค์ประกอบสำคัญของวิธีการดำเนินการเหล่านี้คือการสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยโดยครู ครูในทุกสถานการณ์ต้องแสดงความปรารถนาดี ความอดทน ความเที่ยงธรรม ความอดทน หลีกเลี่ยงการประเมินคำพูดของนักเรียนในเชิงลบอย่างรุนแรง การเยาะเย้ย ลักษณะที่ไม่เหมาะสมของความรู้

การตรวจสอบระดับความรู้ของนักเรียน ควบคู่ไปกับการตรวจสอบสิ่งที่เขาจำได้ ควรรวมถึงการตรวจสอบความแข็งแกร่งและความสม่ำเสมอของความรู้ ความสามารถในการวิเคราะห์เนื้อหาทางกฎหมายอย่างอิสระและเป็นมืออาชีพ และดำเนินการตามแนวคิดและหมวดหมู่ทางกฎหมายอย่างอิสระ

เมื่อทำการทดสอบและการสอบ ขอแนะนำให้ครูปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้:

ครูเชิญนักเรียนสี่ถึงห้าคนแรกแต่ละคนเสนอตั๋วและระบุสถานที่สำหรับเตรียมการ หลังจากที่นักเรียนคนหนึ่งตอบและได้รับคะแนน เชิญคนต่อไป

เมื่อเตรียมคำตอบสำหรับคำถามบนตั๋ว นักเรียนสามารถร่างแผนและจดสูตรแต่ละสูตรได้ แต่ไม่แนะนำให้จดและอ่านข้อความต่อเนื่องของคำตอบ

คำตอบที่มีความหมายโดยละเอียดควรจัดทำขึ้นภายในขอบเขตของถ้อยคำที่ถูกต้องของคำถาม เริ่มต้นด้วยคำจำกัดความทางวิทยาศาสตร์และการเปิดเผยแนวคิดที่เกี่ยวข้อง

ถ้าแทนที่จะตอบคำถามโดยตรง นักเรียนเริ่มเรื่องจากระยะไกล จากนั้นผู้ตรวจสอบจะหยุดเขาและเสนอที่จะตอบคำถามอย่างแน่นอน

คำถามเพิ่มเติมเล็กน้อยที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำถามหลักช่วยให้ครูกำหนดว่านักเรียนมีสมาธิในสื่อการศึกษาอย่างไรเขาแน่นแค่ไหน

ต่อสู้กับแนวความคิดพื้นฐานว่าเขาสามารถกำหนดความคิดได้อย่างไรโดยไม่ต้องไตร่ตรองเบื้องต้น คำตอบของคำถามเหล่านี้จะถูกนำมาพิจารณาในการตั้งเครื่องหมายสอบด้วย

แม้ว่าการประเมินความรู้ของนักเรียนจะขึ้นอยู่กับการรับรู้ตามอัตนัยของคำตอบโดยครู ผู้สอบทุกคนควรได้รับคำแนะนำจากเกณฑ์การประเมินและข้อกำหนดเดียวกันที่พัฒนาขึ้นในแผนกและเป็นที่รู้จักของนักเรียน

ในการสอบนักเรียนมีสิทธิ์ใช้หลักสูตรในวิชาที่พวกเขาได้รับพร้อมกับรายการคำถามสำหรับการสอบในตอนต้นของการศึกษาวิชาซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อทำข้อสอบโดยไม่มีตั๋ว

หากผู้สอบคนหนึ่งทุกปีประมาณ 75% ของนักเรียนได้รับคะแนนที่ดีเยี่ยมหรือไม่พอใจเพียงอย่างเดียวก็แนะนำให้ทำการทดสอบข้อเขียน (การสอบข้อเขียน) หรือการสอบปากเปล่าในกลุ่มของเขาโดยมีส่วนร่วมของผู้ตรวจภาค

ระดับเป็นผลและวิธีการยืนยันการติดต่อหรือความไม่สอดคล้องกันของความรู้ทักษะและความสามารถของนักเรียนที่มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมมีส่วนช่วยในการจัดกิจกรรมการศึกษาระบุสาเหตุของความล้มเหลวทางวิชาการกำหนดงานการศึกษาเฉพาะสำหรับ นักเรียนแต่ละคน เครื่องหมายเป็นการเปรียบเทียบแบบดิจิทัลหรือทางวาจาของการประเมิน

ในการประเมินความรู้และทักษะของนักเรียน ควรดำเนินการตามคำแนะนำต่อไปนี้

"ยอดเยี่ยม" มอบให้กับนักเรียนที่ได้แสดงให้เห็นในความรู้เชิงปริมาณที่ต้องการของแนวคิดและหมวดหมู่ทางทฤษฎีพื้นฐาน ความคุ้นเคยกับวรรณกรรมพิเศษ เนื้อหาเชิงบรรทัดฐาน การคิดอย่างอิสระ ทักษะการปฏิบัติ และวัฒนธรรมการพูดในระดับสูง

"ดี" มีไว้สำหรับความรู้ที่ลึกซึ้งและมั่นคงเพียงพอของเรื่อง ความสามารถในการนำเสนอเนื้อหาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอ้างอิงถึงกฎหมาย โดยมีความไม่ถูกต้องเล็กน้อย การละเลย ข้อผิดพลาด

"น่าพอใจ" สมควรได้รับสำหรับนักเรียนที่รู้เนื้อหาในเล่มของตำราเรียนและคุ้นเคยกับการกระทำเชิงบรรทัดฐานหลัก ในขณะที่ค้นพบช่องว่างและความไม่ถูกต้องที่เห็นได้ชัดเจน (ซึ่งไม่ใช่อุปสรรคต่อการศึกษาต่อ)

"ไม่น่าพอใจ" มอบให้สำหรับความไม่รู้ของวิชา ข้อผิดพลาดจำนวนมาก นักเรียนปฏิเสธที่จะตอบคำถามของตั๋ว

คำขอของนักเรียนต่อผู้สอบเพื่อเปลี่ยนตั๋วไม่ควรได้รับการตอบสนอง เนื่องจากเป็นการบ่งชี้ถึงความไม่รู้ของนักเรียนในเรื่องวิชาการในปริมาณที่กำหนด

การก่อตัวของกิจกรรมการศึกษาเป็นวิธีการเรียนรู้อย่างแข็งขันเป็นหนึ่งในทิศทางในการพัฒนาบุคลิกภาพของนักเรียน ความจำเพาะของวิธีนี้อยู่ในการพัฒนาที่สอดคล้องกันและเด็ดเดี่ยวของกิจกรรมของนักเรียนเอง บนพื้นฐานนี้ ปัญหาเกิดขึ้นจากการสร้างความเป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ ของการเปลี่ยนผ่านของผู้ฝึกงานจากการดำเนินกิจกรรมการศึกษาส่วนหนึ่งไปสู่ผู้อื่น นั่นคือ การก่อตัวของวิธีการจัดกิจกรรมด้วยตนเอง
รูปแบบการศึกษา
ในวรรณคดีการสอน แนวความคิดของวิธีการและรูปแบบการสอนมักจะสับสน ให้คำจำกัดความต่อไปนี้:
แบบฟอร์ม - ลักษณะของการวางแนวของกิจกรรม แบบฟอร์มจะขึ้นอยู่กับวิธีการชั้นนำ
วิธีการเป็นกิจกรรมร่วมกันของครูและนักเรียนในการแก้ปัญหา
รูปแบบของการฝึกอบรมมีความเฉพาะเจาะจง (บทเรียน การบ้าน กิจกรรมนอกหลักสูตร หลักสูตร การให้คำปรึกษา ชั้นเรียนเพิ่มเติม รูปแบบการควบคุม ฯลฯ) และทั่วไป
พิจารณาแบบฟอร์มบางส่วนโดยละเอียดยิ่งขึ้น
บทเรียนคือรูปแบบการสอนแบบรวมซึ่งมีองค์ประกอบคงที่ของนักเรียน กรอบของชั้นเรียน และกฎระเบียบที่เข้มงวดของงานการศึกษาในสื่อการศึกษาเดียวกันสำหรับทุกคน
การวิเคราะห์บทเรียนที่สอนแสดงให้เห็นว่าโครงสร้างและวิธีการส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการสอนและงานที่แก้ไขในกระบวนการเรียนรู้ตลอดจนวิธีการของครู ทั้งหมดนี้ทำให้เราสามารถพูดคุยเกี่ยวกับความหลากหลายของบทเรียนตามระเบียบวิธี ซึ่งสามารถจำแนกตามประเภทได้:
1. บทเรียน - การบรรยาย (ในทางปฏิบัตินี่เป็นบทพูดคนเดียวของครูในหัวข้อที่กำหนดแม้ว่าจะมีทักษะบางอย่างของครู แต่บทเรียนดังกล่าวได้รับลักษณะของการสนทนา)
2. ห้องปฏิบัติการ (ภาคปฏิบัติ) ชั้นเรียน (บทเรียนดังกล่าวมักจะทุ่มเทให้กับการพัฒนาทักษะและความสามารถ);
3. บทเรียนในการตรวจสอบและประเมินความรู้ (แบบทดสอบ ฯลฯ )
4. บทเรียนรวม บทเรียนดังกล่าวดำเนินการตามโครงการ:
- การทำซ้ำของสิ่งที่ครอบคลุม - ทำซ้ำโดยนักเรียนของเนื้อหาที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ ตรวจการบ้าน การซักถามด้วยวาจาและลายลักษณ์อักษร ฯลฯ
- การเรียนรู้วัสดุใหม่ ในขั้นตอนนี้ ครูจะนำเสนอเนื้อหาใหม่ หรือ "ได้รับ" ในกระบวนการทำงานวรรณกรรมอิสระของนักเรียน
- การพัฒนาทักษะและความสามารถในการใช้ความรู้ในทางปฏิบัติ (ส่วนใหญ่ - การแก้ปัญหาโดยใช้วัสดุใหม่)
- ออกการบ้าน
ชั้นเรียนทางเลือกเป็นรูปแบบการศึกษาเปิดตัวในช่วงปลายทศวรรษที่ 60 - ต้นทศวรรษ 70 ศตวรรษที่ XX ในกระบวนการของความพยายามอีกครั้งหนึ่งที่ไม่ประสบความสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษาของโรงเรียน ชั้นเรียนเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อให้ทุกคนได้ศึกษาวิชานี้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น แม้ว่าในทางปฏิบัติ ชั้นเรียนเหล่านี้มักคุ้นเคยกับการทำงานกับผู้เรียนที่ล้าหลัง
ทัศนศึกษาเป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดฝึกอบรมซึ่งงานด้านการศึกษาดำเนินการภายใต้กรอบของความคุ้นเคยโดยตรงกับวัตถุของการศึกษา
การบ้านเป็นรูปแบบหนึ่งขององค์กรการสอนซึ่งงานด้านการศึกษามีลักษณะเฉพาะโดยไม่มีการชี้แนะของครูโดยตรง
กิจกรรมนอกหลักสูตร: การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก วงกลม ฯลฯ ควรมีส่วนช่วยในการพัฒนาความสามารถส่วนบุคคลของนักเรียนให้ดีที่สุด
ประเภทของการฝึก
มีหลายวิธีในการจำแนกประเภทการเรียนรู้ เรียงความจะพิจารณาสามเรื่อง: การศึกษาแบบดั้งเดิม ทางไกล และการพัฒนา
การสอนแบบดั้งเดิม
การศึกษาประเภทนี้เป็นที่แพร่หลายมากที่สุด (ในปัจจุบัน) (โดยเฉพาะในโรงเรียนมัธยมศึกษา) และเป็นการสอนความรู้ ทักษะ และความสามารถตามโครงการ: การเรียนรู้ใหม่ - การรวม - การควบคุม - การประเมิน การฝึกประเภทนี้มีข้อเสียหลายประการ ซึ่งจะกล่าวถึงด้านล่างเมื่อเปรียบเทียบกับการฝึกอีกสองประเภท ปัจจุบันการศึกษาแบบเดิมค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยการศึกษาประเภทอื่นเพราะ ข้อกำหนดอื่น ๆ สำหรับบุคลิกภาพและกระบวนการพัฒนาในโรงเรียนจะถูกกำหนด สาระสำคัญของพวกเขาคือกระบวนทัศน์การศึกษาก่อนหน้านี้ตามความเห็นว่าเป็นไปได้ที่จะกำหนดคลังความรู้ที่เพียงพอสำหรับชีวิตที่ประสบความสำเร็จและโอนไปยังนักเรียนได้หมดลงแล้ว
ประการแรก การเพิ่มขึ้นของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถเลี่ยงผ่านโรงเรียนได้ เนื่องจากถูกฉายไปยังเนื้อหาของสาขาวิชาทางวิชาการ ประการที่สอง ครูในขณะที่ยังคงปฐมนิเทศไปสู่การถ่ายทอดมากกว่าการเรียนรู้อย่างอิสระของความรู้ที่จำเป็นสำหรับนักเรียน แต่เพิ่มข้อกำหนดสำหรับปริมาณความรู้ที่นักเรียนได้รับ ประการที่สาม ความพยายามของครูและโรงเรียนในการจัดหาทางเลือกต่างๆ สำหรับชีวิตของนักเรียนและจัดหาคลังความรู้ที่จำเป็นแก่พวกเขา ยังนำไปสู่การเพิ่มขึ้นและความซับซ้อนของสื่อการสอน ทั้งหมดนี้นำไปสู่การโอเวอร์โหลดของนักเรียน ดังนั้น เราสามารถสรุปได้ว่าในสภาพปัจจุบัน โรงเรียนจำเป็นต้องย้ายจากการปฐมนิเทศข้อมูลไปเป็นการปฐมนิเทศส่วนบุคคล และเอาชนะแรงเฉื่อยที่ยิ่งใหญ่ของการสอนแบบดั้งเดิมในสาขาวิชาที่สอน นี่คือสิ่งที่บริการเพื่อการพัฒนาและการเรียนทางไกล (ตามลำดับ)
การเรียนทางไกล
การเรียนทางไกล (DL) คือการรับบริการการศึกษาโดยไม่ต้องไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยเป็นประจำโดยใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีการศึกษาที่ทันสมัยและระบบโทรคมนาคมเช่นอีเมลโทรทัศน์และอินเทอร์เน็ต การเรียนทางไกลสามารถใช้ในการศึกษาระดับอุดมศึกษาเช่นเดียวกับการฝึกอบรมขั้นสูงและการฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญ โดยคำนึงถึงลักษณะดินแดนของรัสเซียและความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการศึกษาที่มีคุณภาพในภูมิภาค การเรียนรู้ทางไกลจะเกิดขึ้นในไม่ช้าในตลาดบริการการศึกษา
การเรียนทางไกลทำให้ทุกคนที่ไม่สามารถเรียนเต็มเวลาได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็สามารถได้รับประกาศนียบัตรจากมหาวิทยาลัยได้ นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรัสเซียที่ปัญหาของการฝึกอบรมและการอบรมขึ้นใหม่ของผู้เชี่ยวชาญได้รุนแรงขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
การศึกษาทางไกลให้โอกาสที่ดีแก่นักเรียนที่มีความทุพพลภาพ เทคโนโลยีการศึกษาสารสนเทศสมัยใหม่ช่วยให้คนตาบอด คนหูหนวก และผู้ที่เป็นโรคของระบบกล้ามเนื้อและกระดูกสามารถศึกษาได้
เมื่อได้รับสื่อการศึกษาในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และ / หรือแบบพิมพ์โดยใช้เครือข่ายโทรคมนาคม นักเรียนสามารถฝึกฝนความรู้ที่บ้าน ที่ทำงาน หรือในชั้นเรียนคอมพิวเตอร์พิเศษได้ทุกที่ในรัสเซียและต่างประเทศ
ระบบคอมพิวเตอร์สามารถตรวจสอบ ระบุข้อผิดพลาด ให้คำแนะนำที่จำเป็น ดำเนินการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติ เข้าถึงห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ได้ภายในไม่กี่วินาที ค้นหาใบเสนอราคา ย่อหน้า ย่อหน้า หรือบทของหนังสือที่ต้องการ เน้นสิ่งสำคัญในนั้น หลักสูตรการฝึกอบรมจะมาพร้อมกับสถานการณ์ของเกม พร้อมกับพจนานุกรมคำศัพท์และการเข้าถึงฐานข้อมูลหลักและความรู้ในประเทศและระหว่างประเทศอย่างเปิดเผยในทุกระยะทางและทุกเวลา
โดยคำนึงถึงความสามารถ ความต้องการ อารมณ์ และการจ้างงานของนักเรียนแต่ละคนด้วย เขาสามารถเรียนหลักสูตรในลำดับใดก็ได้ เร็วขึ้นหรือช้าลง ทั้งหมดนี้ทำให้การเรียนทางไกลดีขึ้น ราคาไม่แพง และถูกกว่าการศึกษาแบบดั้งเดิม
อบรมพัฒนาการ
ในบรรดานวัตกรรมจำนวนมากที่มีอยู่ทั่วโรงเรียนในปัจจุบัน การศึกษาเพื่อการพัฒนา (RO) มีตำแหน่งที่ค่อนข้างคงที่และเป็นหนึ่งในสถานที่แรกๆ ในแง่ของความสำคัญและความคาดหวังที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงคุณภาพการศึกษา ในขณะเดียวกัน ทฤษฎีและเทคโนโลยีการศึกษาเชิงพัฒนาการก็ยังไม่สมบูรณ์นัก โดยเฉพาะในระดับกลางและระดับสูง นอกจากนี้ แนวคิดของ "การพัฒนาการเรียนรู้" ยังมีอยู่ในระดับของภาพที่ค่อนข้างคลุมเครือและถูกตีความไปไกลจากผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ
แนวคิดของ "วิธีการสอน" การจำแนกวิธีการสอน
วิธีการสอนเป็นแนวคิดที่ซับซ้อน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำจำกัดความที่แตกต่างกันซึ่งกำหนดให้กับแนวคิดนี้โดยการสอนของแต่ละคน แต่ก็เป็นไปได้ที่จะสังเกตบางสิ่งที่เหมือนกันซึ่งนำมุมมองของพวกเขาเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ผู้เขียนส่วนใหญ่มักจะพิจารณาวิธีการสอนเป็นวิธีการจัดกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของนักเรียน โดยใช้ตำแหน่งนี้เป็นจุดเริ่มต้น เราจะพยายามพิจารณาแนวคิดนี้ในรายละเอียดเพิ่มเติมและเข้าใกล้การตีความทางวิทยาศาสตร์
คำว่า "วิธีการ" ในการแปลจากภาษากรีกหมายถึง "การวิจัย, ทาง, ทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย" นิรุกติศาสตร์ของคำนี้ยังส่งผลต่อการตีความเป็นหมวดหมู่ทางวิทยาศาสตร์ด้วย "วิธีการ - ในความหมายทั่วไปที่สุด - วิธีที่จะบรรลุเป้าหมาย วิธีหนึ่งของกิจกรรมที่ได้รับคำสั่ง" - กล่าวในพจนานุกรมปรัชญา เห็นได้ชัดว่าในกระบวนการเรียนรู้ วิธีการนี้ทำหน้าที่เป็นวิธีการสั่งกิจกรรมที่สัมพันธ์กันของครูและนักเรียนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการศึกษาบางอย่าง จากมุมมองนี้ วิธีการสอนแต่ละวิธีรวมถึงงานสอนของครู (การนำเสนอ การอธิบายเนื้อหาใหม่) และการจัดกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของนักเรียน นั่นคือครูอธิบายเนื้อหาด้วยตนเองและในทางกลับกันเขาพยายามกระตุ้นกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของนักเรียน (กระตุ้นให้พวกเขาคิดกำหนดข้อสรุปอย่างอิสระ ฯลฯ ) บางครั้ง ดังที่แสดงด้านล่าง ครูเองไม่ได้อธิบายเนื้อหาใหม่ แต่เพียงกำหนดหัวข้อ จัดการสนทนาเบื้องต้น แนะนำนักเรียนในกิจกรรมการศึกษาที่กำลังจะมีขึ้น (งานสอน) จากนั้นเชิญพวกเขาให้เข้าใจและซึมซับ วัสดุจากหนังสือเรียน
อย่างที่คุณเห็น ที่นี่เช่นกัน งานสอนของครูและกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของนักเรียนที่จัดโดยเขาถูกรวมเข้าด้วยกัน ทั้งหมดนี้ทำให้เราสรุปได้ว่า วิธีการสอนควรเข้าใจว่าเป็นวิธีการสอนงานของครูและการจัดกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของนักเรียนเพื่อแก้ปัญหาการสอนต่างๆ ที่มุ่งเป้าไปที่การเรียนรู้เนื้อหาที่ศึกษา
วิธีการนำเสนอความรู้ด้วยวาจาโดยครูและการกระตุ้นกิจกรรมการศึกษาและความรู้ความเข้าใจของนักเรียน
วิธีการเหล่านี้ได้แก่ เรื่องราว คำอธิบาย การบรรยาย การสนทนา วิธีการแสดงภาพประกอบและสาธิตการนำเสนอด้วยวาจาของเนื้อหาที่ศึกษา สี่วิธีแรกของวิธีการเหล่านี้เรียกอีกอย่างว่าวาจา (จากภาษาละติน, verbalis - ปากเปล่า, วาจา) ควรสังเกตว่าในช่วงปี ค.ศ. 1920-1930 มีความพยายามในการสอนเพื่อลดความสำคัญของวิธีการสอนด้วยวาจาเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าไม่เปิดใช้งานกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนและลดกระบวนการศึกษาเพื่อนำเสนอ "ความรู้สำเร็จรูป ."
บทเรียนหรือสอนหรือการเรียนและเครื่องเตือนสติ

ลิงค์หลัก (ขั้นตอน) ของบทเรียนสมัยใหม่
1. ช่วงเวลาขององค์กรที่โดดเด่นด้วยความพร้อมภายนอกและภายใน (จิตวิทยา) ของนักเรียนสำหรับบทเรียน
2. ตรวจการบ้าน
3. การทดสอบความรู้และทักษะของนักเรียนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับหัวข้อใหม่
4. กำหนดเป้าหมายของบทเรียนสำหรับนักเรียน
5. การจัดระเบียบการรับรู้และความเข้าใจในข้อมูลใหม่
6. การตรวจสอบความเข้าใจเบื้องต้น
7. องค์กรของการดูดซึมของวิธีการของกิจกรรมโดยการทำซ้ำข้อมูลและแบบฝึกหัดในการประยุกต์ใช้ (รวมถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเลือก) ตามแบบจำลอง
8. การประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์และการได้มาซึ่งความรู้ การพัฒนาวิธีการของกิจกรรมโดยการแก้ปัญหาที่เป็นปัญหา สร้างขึ้นบนพื้นฐานของความรู้และทักษะที่ได้มาก่อนหน้านี้
9. ภาพรวมของสิ่งที่ศึกษาในบทเรียนและการแนะนำในระบบของความรู้ที่ได้มาก่อนหน้านี้
10. ควบคุมผลกิจกรรมการศึกษาที่ดำเนินการโดยครูและนักเรียน การประเมินความรู้
11. การบ้านสำหรับบทเรียนต่อไป
12. สรุปผลการเรียน
โครงสร้างที่หลากหลายของบทเรียนในรูปแบบการสอนที่กำลังพัฒนา โครงสร้างของบทเรียนคือชุดของตัวเลือกต่างๆ สำหรับการโต้ตอบระหว่างองค์ประกอบของบทเรียนที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้และรับรองประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์ โครงสร้างบทเรียนสำหรับการเรียนรู้สื่อใหม่:
... การแนะนำเบื้องต้นของเนื้อหาโดยคำนึงถึงกฎของกระบวนการรับรู้ด้วยกิจกรรมทางจิตระดับสูงของนักเรียน
... ข้อบ่งชี้ว่านักเรียนควรจำอะไร
... แรงจูงใจในการท่องจำและจดจำในระยะยาว
... การสื่อสารหรือเทคนิคการท่องจำให้เป็นจริง (ทำงานกับวัสดุที่สนับสนุนหน่วยความจำ การจัดกลุ่มความหมาย ฯลฯ );
... การรวมหลักภายใต้การแนะนำของครูผ่านการทำซ้ำโดยตรง ข้อสรุปบางส่วน;
... การควบคุมผลลัพธ์ของการท่องจำหลัก
... การจัดระบบซ้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลาสั้นและยาวร่วมกับข้อกำหนดต่างๆ สำหรับการทำซ้ำ รวมถึงงานที่แตกต่าง
... การทำซ้ำภายในและการใช้ความรู้และทักษะที่ได้รับอย่างต่อเนื่องเพื่อรับความรู้ใหม่
... รวมเนื้อหาอ้างอิงสำหรับการท่องจำบ่อยครั้งในการควบคุมความรู้ การประเมินผลการท่องจำและการประยุกต์ใช้เป็นประจำ
โครงสร้างบทเรียนสำหรับการรวบรวมและพัฒนาความรู้ ทักษะ และความสามารถ:
... การสื่อสารกับนักเรียนถึงวัตถุประสงค์ของงานที่จะเกิดขึ้น
... การทำซ้ำโดยนักเรียนที่มีความรู้ ทักษะ และความสามารถที่จำเป็นต่อการทำงานที่เสนอให้เสร็จสมบูรณ์
... การแสดงของนักเรียนในงานต่างๆ งาน แบบฝึกหัด;
... การตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงาน
... อภิปรายข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นและการแก้ไข
... การบ้าน (ถ้าจำเป็น)
โครงสร้างของบทเรียนสำหรับการพัฒนาทักษะ:
... การกำหนดเป้าหมายบทเรียน
... การทำซ้ำทักษะและความสามารถที่ได้รับการสนับสนุน
... แบบฝึกหัดการทดสอบ
... ทำความคุ้นเคยกับทักษะใหม่ ๆ แสดงตัวอย่างการก่อตัว
... แบบฝึกหัดเพื่อฝึกฝน;
... แบบฝึกหัดเพื่อรวมเข้าด้วยกัน
... แบบฝึกหัดตามตัวอย่าง อัลกอริธึม คำแนะนำ
... แบบฝึกหัดสำหรับการถ่ายโอนไปยังสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน
... แบบฝึกหัดสร้างสรรค์
... ผลลัพธ์ของบทเรียน
... งานบ้าน.
ทบทวนโครงสร้างบทเรียน:
... การจัดจุดเริ่มต้นของบทเรียน
... การจัดการศึกษา การอบรมเลี้ยงดู พัฒนาการ;
... ตรวจการบ้านโดยมุ่งเป้าไปที่การทวนแนวคิดพื้นฐาน ข้อสรุป ความรู้พื้นฐาน ทักษะ วิธีการทำกิจกรรม (เชิงปฏิบัติและด้านจิตใจ) ในบทเรียนที่แล้ว คุณต้องเลือกการบ้านที่เหมาะสม
... สรุปผลการทำซ้ำ การตรวจสอบผลงานการศึกษาในบทเรียน
... งานบ้าน.
โครงสร้างของบทเรียนทดสอบความรู้:
... องค์กรของการเริ่มต้นบทเรียน ที่นี่จำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่สงบเหมือนธุรกิจ เด็กไม่ควรกลัวการทดสอบและการทดสอบหรือวิตกกังวลมากเกินไป เนื่องจากครูจะตรวจสอบความพร้อมของเด็ก ๆ เพื่อศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติม
... คำแถลงภารกิจของบทเรียน ครูบอกนักเรียนว่าเขาจะตรวจสอบหรือควบคุมเนื้อหาใด ขอให้เด็กจำกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมและใช้ในที่ทำงาน เตือนนักเรียนให้ตรวจสอบงานด้วยตนเอง
... การนำเสนอเนื้อหาของการทดสอบหรืองานทดสอบ (งาน ตัวอย่าง การเขียนตามคำบอก เรียงความหรือคำตอบสำหรับคำถาม ฯลฯ) งานในแง่ของปริมาณหรือระดับความยากควรสอดคล้องกับโปรแกรมและเป็นไปได้สำหรับนักเรียนแต่ละคน
... สรุปบทเรียน ครูเลือกงานที่ดีของนักเรียน วิเคราะห์ข้อผิดพลาดในงานอื่น และจัดระเบียบงานจากข้อผิดพลาด (บางครั้งอาจต้องใช้บทเรียนถัดไป)
... การระบุข้อผิดพลาดทั่วไปและช่องว่างในความรู้และทักษะตลอดจนวิธีการกำจัดและปรับปรุงความรู้และทักษะ
โครงสร้างของบทเรียนเรื่องการประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และความสามารถ:
... การจัดจุดเริ่มต้นของบทเรียน (ทัศนคติทางจิตวิทยาของนักเรียน);
... ข้อความในหัวข้อของบทเรียนและงานของบทเรียน
... การเรียนรู้ความรู้ใหม่ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาทักษะ
... การก่อตัว การรวมทักษะเบื้องต้นและการประยุกต์ใช้ในสถานการณ์มาตรฐาน - โดยการเปรียบเทียบ
... แบบฝึกหัดการใช้ความรู้และทักษะในสภาวะที่เปลี่ยนแปลง
... การประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะอย่างสร้างสรรค์
... แบบฝึกหัดการพัฒนาทักษะ
... การบ้าน;
... ผลลัพธ์ของบทเรียนพร้อมการประเมินงานที่นักเรียนทำ
โครงสร้างของบทเรียนการทำซ้ำทั่วไป:
... เวลาจัด;
... คำพูดเบื้องต้นของครูซึ่งเขาเน้นถึงความสำคัญของเนื้อหาของหัวข้อที่ศึกษาหรือหัวข้อที่ศึกษาสื่อสารวัตถุประสงค์และแผนของบทเรียน
... การแสดงของนักเรียนเป็นรายบุคคลและโดยรวมของงานปากเปล่าและงานเขียนประเภทต่างๆ ที่มีลักษณะทั่วไปและเป็นระบบ พัฒนาความรู้เชิงแนวคิดทั่วไปบนพื้นฐานของการสรุปข้อเท็จจริง ปรากฏการณ์
... การตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงาน การปรับ (ถ้าจำเป็น);
... การกำหนดข้อสรุปตามเนื้อหาที่ศึกษา
... การประเมินผลลัพธ์ของบทเรียน
... สรุป;
... การบ้าน (ไม่เสมอไป)
โครงสร้างของบทเรียนรวม (โดยปกติมีเป้าหมายการสอนสองข้อขึ้นไป):
... การจัดจุดเริ่มต้นของบทเรียน
... ตรวจการบ้าน กำหนดเป้าหมายของบทเรียน
... การเตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับการรับรู้สื่อการเรียนรู้ใหม่ๆ เช่น ปรับปรุงความรู้และทักษะการปฏิบัติและจิตใจ
... การศึกษาวัสดุใหม่รวมถึง และคำอธิบาย;
... การรวมเนื้อหาที่ศึกษาในบทเรียนนี้และก่อนหน้านี้ที่กล่าวถึง เกี่ยวข้องกับเนื้อหาใหม่
... ลักษณะทั่วไปและการจัดระบบของความรู้และทักษะ การสื่อสารสิ่งใหม่ ๆ กับสิ่งที่ได้รับและรูปแบบเดิม
... สรุปผลลัพธ์และผลลัพธ์ของบทเรียน
... การบ้าน;
... การเตรียมการ (งานเบื้องต้น) ที่จำเป็นสำหรับนักเรียนในการเรียนรู้หัวข้อใหม่ (ไม่เสมอไป)
เรื่องราวของครูและคำอธิบาย นี่เป็นวิธีการทั่วไปในการจัดการศึกษา การเล่าเรื่องเป็นวิธีการนำเสนอเนื้อหาที่ศึกษาจากการเล่าเรื่องโดยให้ความรู้แก่ครู และเสริมสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน ส่วนใหญ่มักจะใช้เมื่อนำเสนอสื่อการศึกษาดังกล่าวซึ่งเป็นคำอธิบาย ในรูปแบบที่บริสุทธิ์ เรื่องราวถูกใช้ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่มักจะรวมถึงการให้เหตุผลของครู การวิเคราะห์ข้อเท็จจริง ตัวอย่าง การเปรียบเทียบปรากฏการณ์ต่างๆ เช่น พร้อมคำอธิบายเนื้อหาที่กำลังศึกษา บ่อยครั้งที่การนำเสนอความรู้ใหม่ขึ้นอยู่กับคำอธิบายของครู ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าหากเรื่องราวเป็นวิธีการบรรยาย-ให้ข้อมูล หรือวิธีการบรรยาย-ให้ข้อมูลในการนำเสนอความรู้ วิธีการอธิบายจะสัมพันธ์กับการชี้แจง วิเคราะห์ ตีความ และพิสูจน์บทบัญญัติต่างๆ ของเนื้อหาที่นำเสนอ
บรรยาย. การเล่าเรื่องและคำอธิบายใช้ในการศึกษาเนื้อหาการศึกษาจำนวนค่อนข้างน้อย เมื่อทำงานกับนักเรียนที่มีอายุมากกว่า ครูจะต้องนำเสนอความรู้ใหม่จำนวนมากในหัวข้อเฉพาะโดยใช้วาจา โดยใช้เวลา 20-30 นาทีของบทเรียน และบางครั้งบทเรียนทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องนี้ การนำเสนอเนื้อหาดังกล่าวดำเนินการโดยใช้การบรรยาย
คำว่าบรรยายมีต้นกำเนิดมาจากภาษาละตินและแปลเป็นภาษารัสเซียหมายถึงการอ่าน ประเพณีการนำเสนอเนื้อหาโดยการอ่านข้อความที่เขียนไว้ล่วงหน้าแบบคำต่อคำ (เรื่องย่อ) ย้อนกลับไปที่มหาวิทยาลัยในยุคกลาง อย่างไรก็ตาม ในอังกฤษจนถึงปัจจุบัน อาจารย์มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องมาเรียนพร้อมข้อความบรรยายและใช้ในการนำเสนอเนื้อหาต่อนักเรียนในชั้นเรียน ในประเทศอื่น ๆ ประเพณีนี้สูญเสียความหมายไป และแนวคิดของการบรรยายหมายถึงการไม่อ่านข้อความที่เตรียมไว้มากนัก เป็นวิธีการเฉพาะในการอธิบายเนื้อหาที่กำลังศึกษา ในแง่นี้ การบรรยายควรเข้าใจว่าเป็นวิธีการสอนเมื่อครูแสดงเนื้อหาการศึกษาจำนวนมากด้วยวาจาเป็นเวลานานโดยใช้เทคนิคในการเสริมสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน
เนื่องจากการบรรยายเป็นหนึ่งในวิธีการนำเสนอความรู้ด้วยวาจาโดยครู คำถามจึงเกิดขึ้นเกี่ยวกับความแตกต่างจากเรื่องราวและคำอธิบาย ในหนังสือเรียนการสอนเล่มหนึ่งเขียนไว้ว่า "การบรรยายแตกต่างจากเรื่องราวตรงที่การนำเสนอจะไม่ถูกขัดจังหวะด้วยการถามคำถามกับนักเรียน" หนังสือเล่มอื่นพูดถึงความแตกต่างอีกประการหนึ่ง: "การบรรยาย เมื่อเทียบกับเรื่องราวและคำอธิบาย มีลักษณะเฉพาะด้วยความเข้มงวดในการนำเสนอทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น" แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นด้วยกับข้อบ่งชี้ของความแตกต่างเหล่านี้ระหว่างการบรรยายกับเรื่องราวและคำอธิบาย อันที่จริงการบรรยายหยุดเป็นการบรรยายเพราะครูในระหว่างการนำเสนอ (อธิบาย) เนื้อหาหันไปหานักเรียนด้วยคำถามหรือไม่? ในทางตรงกันข้าม บางครั้ง (ซึ่งจะกล่าวถึงด้านล่าง) เป็นการดีที่จะถามคำถามกับนักเรียน เพื่อให้พวกเขาคิดเพื่อกระตุ้นความสนใจและการคิด ในทางกลับกัน คำกล่าวที่ว่าการบรรยายแตกต่างไปจากเรื่องราวที่มีความเข้มงวดทางวิทยาศาสตร์หรือความถูกต้องแม่นยำกว่านั้นไม่สามารถรับรู้ได้ว่าถูกต้อง เนื่องจากการนำเสนอทางวิทยาศาสตร์เป็นข้อกำหนดที่สำคัญที่สุดสำหรับวิธีการสอนทั้งหมด แล้วการบรรยายต่างจากนิทานและคำอธิบายอย่างไร? ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือใช้การบรรยายเพื่อนำเสนอสื่อการเรียนรู้ที่มีปริมาณมากหรือน้อย ดังนั้นจึงใช้เกือบทั้งบทเรียน โดยธรรมชาติแล้ว สิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องไม่เพียงแต่กับความซับซ้อนบางอย่างของการบรรยายในฐานะวิธีการสอน แต่ยังรวมถึงคุณลักษณะเฉพาะหลายประการด้วย
บรรยาย
1. การบรรยายปัญหา มันจำลองความขัดแย้งของชีวิตจริงผ่านการเป็นตัวแทนในแนวคิดทางทฤษฎี เป้าหมายหลักของการบรรยายคือการได้มาซึ่งความรู้ของนักเรียนอย่างอิสระ
2. การบรรยาย-วิชวลไลเซชัน เมื่อเนื้อหาหลักของการบรรยายถูกนำเสนอในรูปแบบที่เป็นรูปเป็นร่าง (ในรูป กราฟ ไดอะแกรม ฯลฯ) การแสดงภาพถือเป็นวิธีการให้ข้อมูลโดยใช้ระบบสัญญาณต่างๆ
3. Lecture for two ซึ่งเป็นผลงานของครูสองคน (ครูและนักเรียน) ให้บรรยายในหัวข้อเดียวกันและโต้ตอบกับเนื้อหาที่เป็นปัญหาขององค์กรทั้งในหมู่ตนเองและกับนักเรียน ปัญหาเกิดขึ้นทั้งที่ค่าใช้จ่ายของแบบฟอร์มและค่าใช้จ่ายของเนื้อหา
4. บรรยาย-แถลงข่าว เมื่อเนื้อหาถูกร่างขึ้นตามคำร้องขอ (ตามคำถาม) ของนักเรียน โดยมีครูหลายท่านเข้ามาเกี่ยวข้อง
5. การบรรยาย-ปรึกษาจะคล้ายกับการบรรยาย-แถลงข่าว ความแตกต่าง - ผู้ที่ได้รับเชิญ (ผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถ) มีความสามารถในการสอนเพียงเล็กน้อย การให้คำปรึกษาผ่านการบรรยายช่วยให้คุณสามารถกระตุ้นความสนใจของนักเรียนและใช้ความเป็นมืออาชีพของเขา
6. การบรรยาย - การยั่วยุ (หรือการบรรยายที่มีข้อผิดพลาดตามแผน) ซึ่งทำให้นักเรียนสามารถวิเคราะห์ นำทางในข้อมูล และประเมินได้อย่างรวดเร็ว สามารถใช้เป็นวิธีการ "สถานการณ์สด"
7. Lecture-dialogue ซึ่งเนื้อหาถูกนำเสนอผ่านชุดคำถามที่นักเรียนต้องตอบโดยตรงในระหว่างการบรรยาย ประเภทนี้เกี่ยวข้องกับการบรรยายโดยใช้เทคนิคป้อนกลับ รวมถึงการให้คำปรึกษาแบบบรรยายด้วยโปรแกรม
8. บรรยายโดยใช้วิธีเล่นเกม (วิธีระดมสมอง วิธีสถานการณ์เฉพาะ ฯลฯ) เมื่อผู้เรียนคิดโจทย์เองและพยายามแก้ปัญหาด้วยตนเอง
... การบรรยายในโรงเรียนมีความเหมาะสม: เมื่อส่งผ่านสื่อใหม่ที่มีความเกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยกับสิ่งก่อนหน้า เมื่อสรุปส่วนต่าง ๆ ของสื่อการศึกษาที่ส่งผ่าน เมื่อสิ้นสุดการศึกษาหัวข้อ เมื่อแจ้งนักเรียนเกี่ยวกับการใช้งานจริงของรูปแบบที่ศึกษา เมื่อแสดงรูปแบบที่ซับซ้อน เมื่อศึกษาเนื้อหาที่มีปัญหา เมื่อศึกษาหัวข้อที่มีความเกี่ยวโยงกับสหวิทยาการเป็นพิเศษ
เงื่อนไขสำหรับการบรรยายที่มีประสิทธิภาพคือ:
... คิดอย่างชัดเจนและสื่อสารแผนการบรรยายให้ผู้ชมฟัง
... การนำเสนอทุกจุดของแผนอย่างมีเหตุผลและสอดคล้องตามหลักเหตุผลพร้อมข้อสรุปและข้อสรุปหลังจากแต่ละประเด็น
... ความสอดคล้องของการเชื่อมต่อเมื่อย้ายไปส่วนถัดไป
... การเข้าถึง ความชัดเจนของสิ่งที่นำเสนอ
... การใช้วิธีการต่างๆ ในการสร้างภาพข้อมูลและ TCO
... สอนให้นักเรียนจดบันทึก ความสามารถในการเน้นสิ่งสำคัญ เน้นความคิดหลัก ทำสรุป ฯลฯ
... การสนทนาครั้งสุดท้ายในหัวข้อการบรรยาย
ตัวอย่างคำถามสำหรับการวิเคราะห์การบรรยาย:
... ความเหมาะสมของการเลือกหัวข้อของการบรรยาย, วัตถุประสงค์, แนวคิดชั้นนำ, แนวคิดพื้นฐาน
... การประเมินความเหมาะสมของเนื้อหาของเอกสารการบรรยาย:
- ความสมเหตุสมผลของตรรกะของการนำเสนอ
- ความสมบูรณ์ของการเปิดเผยหัวข้อ
- เน้นความคิดหลัก แนวคิดหลัก
- การศึกษา การปฐมนิเทศ และอิทธิพลต่อพัฒนาการของเนื้อหา
... เทคนิคการระดมความสนใจ, ความสนใจของนักเรียน, การกระตุ้นกิจกรรมการเรียนรู้:
- การทำให้เป็นจริงของหัวข้อ, ความสำคัญเชิงปฏิบัติ;
- ความชัดเจนของโครงสร้างและแผนการบรรยาย
- อารมณ์และลักษณะที่เป็นปัญหาของการนำเสนอเนื้อหา
- การสร้างสถานการณ์ของความแปลกใหม่ ความบันเทิง ฯลฯ .;
- การใช้ TCO;
- การดำเนินการสื่อสารระหว่างกัน
... ทักษะที่นักเรียนพัฒนาในระหว่างการบรรยายและระดับของการพัฒนา
... ลักษณะของปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียน วิธีการให้ข้อเสนอแนะ
... วิธีการรวมบัญชี ลักษณะของคำถามและงานที่ส่งเพื่อรวมบัญชี
... ลักษณะและลักษณะของการสื่อสารระหว่างครูและนักเรียน
... คุณภาพและปริมาณของข้อสรุปสุดท้าย การวิเคราะห์งานที่ทำ การวางแผนและระดับความรู้ที่บรรลุผล
การสัมมนาเป็นรูปแบบที่สำคัญในการพัฒนาความเป็นอิสระ กิจกรรม ความสามารถในการทำงานกับวรรณกรรม คิดและดำเนินการอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียน
การสัมมนาแตกต่างจากบทเรียน:
1. มีความเป็นอิสระในระดับสูงในการเตรียมตัวสำหรับการสัมมนา กิจกรรมที่ดีของนักศึกษาเมื่อกล่าวถึงผลการฝึกอบรม การมีทักษะในการทำงานด้านวรรณกรรม
2. การเปลี่ยนแปลงในการจัดขั้นตอนของการฝึกอบรม (ลำดับและเนื้อหา) ตัวอย่างเช่นการบ้านเป็นสิ่งที่คาดหวังและการตรวจสอบเกิดขึ้นพร้อมกับการศึกษาเนื้อหาใหม่
3. การเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของครูและนักเรียน นักเรียนทำหน้าที่ให้ข้อมูลและครู - ผู้กำกับดูแลและองค์กร
ตัวอย่างคำถามสำหรับการวิเคราะห์บทเรียนสัมมนา:
1. สถานที่สัมมนาท่ามกลางบทเรียน หัวข้อ ความสัมพันธ์กับพวกเขา ประเภทของสัมมนา เงื่อนไขของเป้าหมาย เนื้อหา ระดับการฝึกอบรมของนักศึกษา
2. ความเกี่ยวข้องของหัวข้อ คุณค่าทางการศึกษาและการศึกษา
3. วิธีการเตรียมการสัมมนา เน้นการดึงดูดนักเรียนส่วนใหญ่ในชั้นเรียนให้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน:
- ความทันเวลาในการแจ้งวัตถุประสงค์ หัวข้อ และแผนการสัมมนา ความรอบคอบ ของแผน การปรับเปลี่ยนตามความต้องการของนักศึกษา
- ระบบการเตรียมการ: การเลือกวรรณกรรมพื้นฐานและเพิ่มเติม, ลักษณะการปรึกษาหารือ, การทำงานของที่ปรึกษา, สภาธุรกิจ, กลุ่มสร้างสรรค์, การใช้วัสดุจากอัฒจันทร์ “การเตรียมการสัมมนา”, อัลกอริธึม (วิธีการทำงานกับวรรณกรรม, วิธีการเขียนบทคัดย่อ , วิธีการจัดทำรายงาน, วิธีการพูด);
- การพัฒนาระบบงานที่แตกต่าง (การเตรียมรายงาน ทบทวน คัดค้าน งานรวบรวมวัสดุในพิพิธภัณฑ์ หอจดหมายเหตุ สถาบัน สัมภาษณ์ จัดทำไดอะแกรม ตาราง กราฟ การสาธิต ฯลฯ)
1. วิธีการสัมมนา เน้นการเปิดเผยศักยภาพเชิงสร้างสรรค์ของนักศึกษา :
- ความชัดเจนของคำจำกัดความของหัวข้อและวัตถุประสงค์ของการสัมมนา
- การเตรียมจิตวิทยาของนักเรียนเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ
- รูปแบบของการกระตุ้นกิจกรรมและความสนใจทางปัญญา
- อัตราส่วนกิจกรรมครูและนักเรียน ความสั้นและจุดประสงค์ของคำเกริ่นนำของครู ความเหมาะสมและความรอบคอบของความคิดเห็นและการแก้ไข การจัดระเบียบการอภิปรายรวม การอภิปราย
การสนทนา. การเล่าเรื่อง คำอธิบาย และการบรรยายเป็นวิธีการสอนแบบพูดคนเดียวหรือแบบให้ข้อมูล การสนทนาเป็นวิธีการโต้ตอบในการนำเสนอสื่อการศึกษา (จากบทสนทนาภาษากรีก - การสนทนาระหว่างบุคคลสองคนขึ้นไป) ซึ่งในตัวมันเองพูดถึงลักษณะเฉพาะที่สำคัญของวิธีนี้ สาระสำคัญของการสนทนาอยู่ที่ความจริงที่ว่าครูผ่านการตั้งคำถามอย่างชำนาญ กระตุ้นให้นักเรียนใช้เหตุผล วิเคราะห์ข้อเท็จจริงและปรากฏการณ์ที่ศึกษาในลำดับตรรกะที่แน่นอน และเข้าถึงข้อสรุปเชิงทฤษฎีและลักษณะทั่วไปที่เกี่ยวข้องอย่างอิสระ
การสนทนาไม่ใช่การรายงาน แต่เป็นวิธีการถามตอบของงานการศึกษาเกี่ยวกับความเข้าใจในเนื้อหาใหม่ ความหมายหลักของการสนทนาคือการกระตุ้นให้นักเรียนใช้คำถามในการให้เหตุผล วิเคราะห์เนื้อหาและลักษณะทั่วไป เพื่อ "ค้นพบ" ข้อสรุป แนวคิด กฎหมาย และอื่นๆ สำหรับพวกเขาโดยอิสระ ดังนั้นเมื่อทำการสนทนาเกี่ยวกับความเข้าใจในเนื้อหาใหม่ จำเป็นต้องตั้งคำถามเพื่อไม่ให้มีคำตอบยืนยันพยางค์เดียวหรือคำตอบเชิงลบ แต่ให้เหตุผลโดยละเอียด อาร์กิวเมนต์และการเปรียบเทียบบางอย่าง อันเป็นผลมาจากการที่นักเรียนแยกคุณลักษณะที่สำคัญและ คุณสมบัติของวัตถุและปรากฏการณ์ที่ศึกษาและในลักษณะนี้จึงได้มาซึ่งความรู้ใหม่ “ความสามารถในการถามคำถาม” KD เขียน Ushinsky - และค่อยๆเพิ่มความซับซ้อนและความยากลำบากของคำตอบเป็นหนึ่งในนิสัยการสอนที่สำคัญและจำเป็นที่สุด " สิ่งสำคัญเท่าเทียมกันคือคำถามต้องมีลำดับและทิศทางที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจตรรกะภายในของความรู้ที่เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง
คุณลักษณะเฉพาะเหล่านี้ของการสนทนาทำให้เป็นวิธีการสอนที่กระตือรือร้นมาก อย่างไรก็ตาม การประยุกต์ใช้วิธีนี้ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน เนื่องจากเนื้อหาทั้งหมดไม่สามารถนำเสนอผ่านการสนทนาได้ วิธีนี้มักใช้บ่อยที่สุดเมื่อหัวข้อที่กำลังศึกษาค่อนข้างง่าย และเมื่อนักเรียนมีความคิดหรือการสังเกตชีวิตอยู่บ้าง ทำให้พวกเขาเข้าใจและซึมซับความรู้ด้วยวิธีฮิวริสติก (จากภาษากรีก heurisko - find) หากเนื้อหาซับซ้อนหรือนักเรียนไม่มีความคิดที่จำเป็นอยู่แล้ว ไม่ควรนำเสนอด้วยความช่วยเหลือของการสนทนาแบบฮิวริสติก เพราะบางครั้งวิธีนี้เรียกว่า แต่ใช้เรื่องราว คำอธิบาย หรือการบรรยาย
นอกจากนี้ ควรสังเกตด้วยว่าการนำเสนอเนื้อหาด้วยวิธีการสนทนาต้องใช้เวลาในการศึกษาอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงเป็นประโยชน์ในบางครั้งที่จะอธิบายเนื้อหาในลักษณะที่ช่วยประหยัดเวลามากขึ้น โดยใช้คำอธิบายเดียวกัน เพื่อมุ่งเน้นที่การจัดระเบียบแบบฝึกหัดข้อเขียนและแบบฝึกหัดให้มากขึ้น
วิธีการนำเสนอด้วยวาจาของวัสดุใหม่โดยครูมักจะรวมกับการใช้อุปกรณ์ช่วยการมองเห็น นั่นคือเหตุผลที่วิธีการแสดงภาพประกอบและสาธิตอุปกรณ์ช่วยสอนมีบทบาทสำคัญในการสอน ซึ่งบางครั้งเรียกว่าวิธีการแสดงภาพประกอบ - การสาธิต (จากภาพประกอบภาษาละติน - รูปภาพ คำอธิบายด้วยภาพ และการแสดงตัวอย่าง) สาระสำคัญของวิธีนี้อยู่ในความจริงที่ว่าในกระบวนการของการศึกษาครูใช้ภาพประกอบเช่น คำอธิบายด้วยภาพ หรือแสดงให้เห็นตำราเล่มนี้หรือเล่มนั้น ซึ่งสามารถอำนวยความสะดวกในการรับรู้และความเข้าใจในเนื้อหาที่กำลังศึกษา และในทางกลับกัน ทำหน้าที่เป็นแหล่งความรู้ใหม่
ประสิทธิผลของการใช้ภาพประกอบและการสาธิตส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการผสมผสานของคำและความชัดเจนอย่างชำนาญ โดยขึ้นอยู่กับความสามารถของครูในการแยกคุณสมบัติและคุณลักษณะเหล่านั้นออก ซึ่งเผยให้เห็นสาระสำคัญของวัตถุและปรากฏการณ์ที่ศึกษาในระดับที่มากขึ้น
เมื่อพิจารณาถึงวิธีการนำเสนอความรู้ด้วยวาจาโดยครู จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความตื่นเต้นในกิจกรรมของนักเรียนในด้านการรับรู้และความเข้าใจในเนื้อหาที่กำลังศึกษา
การฟังเนื้อหาเป็นเรื่องยาก ทำให้นักเรียนต้องให้ความสนใจและพยายามอย่างเต็มที่ ไม่ใช่โดยไม่มีเหตุผลที่ K.D. Ushinsky ตั้งข้อสังเกตว่าในกรณีของการสอนบทเรียนที่ไม่เหมาะสม นักเรียนสามารถ "อยู่ในห้องเรียน" ภายนอกได้เท่านั้นและภายใน - คิดเกี่ยวกับตนเองหรือยังคงอยู่ "โดยปราศจากความคิดในหัว" ST Shatsky เขียนเกี่ยวกับสิ่งเดียวกันโดยชี้ให้เห็นว่าบ่อยครั้งที่นักเรียนสามารถเข้าสู่ "การนอนหลับเพื่อการสอน" ระหว่างบทเรียนนั่นคือ รักษาเพียงรูปลักษณ์ของความสนใจ แต่อย่าเฉยเมยต่องานอย่างสมบูรณ์และไม่ยอมรับเนื้อหาที่นำเสนอ อย่างไรก็ตาม ข้อบกพร่องเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากวิธีการนำเสนอความรู้ด้วยวาจาในลักษณะนี้ แต่เกิดจากการใช้งานอย่างไม่เหมาะสม
คุณจะป้องกันความเฉื่อยชาของนักเรียนในการนำเสนอด้วยวาจาของสื่อการเรียนรู้ได้อย่างไร และทำให้แน่ใจได้ว่าพวกเขาจะรับรู้และเข้าใจความรู้ใหม่อย่างกระตือรือร้นได้อย่างไร เงื่อนไขการสอนสองข้อมีความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ปัญหานี้: ประการแรกการนำเสนอเนื้อหาโดยครูควรมีความหมายทางวิทยาศาสตร์มีชีวิตชีวาและน่าสนใจในรูปแบบและประการที่สองในกระบวนการนำเสนอความรู้ด้วยวาจาจำเป็นต้อง ใช้เทคนิคการสอนพิเศษที่กระตุ้นกิจกรรมทางจิตของเด็กนักเรียนและมีส่วนร่วมในการรักษาความสนใจ
หนึ่งในเทคนิคเหล่านี้คือ ในการนำเสนอความรู้ด้วยวาจา ครูจะสร้างสถานการณ์ปัญหา ตั้งหน้างานด้านความรู้ความเข้าใจของนักเรียนและคำถามที่พวกเขาควรแก้ไขในกระบวนการรับรู้และทำความเข้าใจเนื้อหาที่นำเสนอ สิ่งที่ง่ายที่สุดในกรณีนี้คือคำจำกัดความที่ชัดเจนของหัวข้อของเนื้อหาใหม่และเน้นประเด็นหลักที่นักเรียนจำเป็นต้องเข้าใจ ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อนักเรียนประสบกับความขัดแย้งภายในระหว่างความรู้และความไม่รู้ พวกเขามีความจำเป็นต้องแก้ไขความขัดแย้งเหล่านี้ และพวกเขาก็เริ่มแสดงกิจกรรมการเรียนรู้
ในการกระตุ้นกิจกรรมการเรียนรู้ ความสามารถของครูจะมีบทบาทอย่างมากในการกระตุ้นให้นักเรียนเข้าใจตรรกะและความสอดคล้องในการนำเสนอหัวข้อที่กำลังศึกษา เพื่อเน้นบทบัญญัติหลักและสำคัญที่สุดในหัวข้อนั้น
ผลดีในการเสริมสร้างกิจกรรมทางจิตของนักเรียนในการนำเสนอความรู้ด้วยวาจานั้นมาจากเทคนิคที่ทำให้พวกเขาต้องเปรียบเทียบ เปรียบเทียบข้อเท็จจริง ตัวอย่างและบทบัญญัติใหม่กับสิ่งที่ศึกษาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะ K.D. Ushinsky ชี้ให้เห็นถึงบทบาทมหาศาลของการเปรียบเทียบในการเสริมสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน และเชื่อว่าการเปรียบเทียบเป็นพื้นฐานของความเข้าใจและการคิดทั้งหมด ซึ่งทุกสิ่งในโลกรับรู้ได้โดยการเปรียบเทียบเท่านั้น
Helvetius พยายามเปิดเผยกลไกทางจิตวิทยาของอิทธิพลของการเปรียบเทียบต่อกิจกรรมการคิดของบุคคล เขาเขียนว่า "การเปรียบเทียบสิ่งของใดๆ ความสนใจทั้งหมดหมายถึงความพยายาม และความพยายามทั้งหมดเป็นแรงกระตุ้นที่บังคับให้คุณทำ "
ในการรับรู้และความเข้าใจอย่างกระตือรือร้นของเนื้อหาที่กำลังศึกษา ความสามารถของครูในการมอบตัวละครที่น่าสนใจให้กับการนำเสนอ เพื่อให้มีชีวิตชีวาและน่าสนใจมีความสำคัญมาก ประการแรก ไม่ควรลืมว่าสื่อการศึกษาประกอบด้วยสิ่งเร้ามากมายที่กระตุ้นความอยากรู้และกิจกรรมทางจิตของนักเรียน สิ่งเหล่านี้รวมถึง: ความแปลกใหม่ของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์, ความสว่างของข้อเท็จจริง, ความคิดริเริ่มของข้อสรุป, แนวทางในการเปิดเผยความคิดที่มีอยู่, การเจาะลึกเข้าไปในสาระสำคัญของปรากฏการณ์ ฯลฯ โดยคำนึงถึงสิ่งนี้ ครูต้องดูแลอย่างต่อเนื่องไม่ลดการนำเสนอของเขาให้เป็นการเล่าตำราแบบง่ายๆ แต่เพื่อให้เนื้อหาลึกซึ้งยิ่งขึ้น เสริมด้วยรายละเอียดใหม่และตัวอย่างที่น่าสนใจ เค.ดี. Ushinsky เขียนว่าการศึกษา "เรื่องควรเป็นตัวแทนของข่าวสำหรับเรา แต่เป็นข่าวที่น่าสนใจเช่น ข่าวดังกล่าวที่จะเสริมหรือยืนยันหรือหักล้างหรือทำลายสิ่งที่อยู่ในจิตวิญญาณของเรานั่นคือในคำข่าวดังกล่าวที่จะเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในร่องรอยที่หยั่งรากอยู่ในตัวเราแล้ว " ...
ผลดีในการสอนคือ การประยุกต์ใช้หลักการของการมองเห็น: การสาธิตรูปภาพ ไดอะแกรม ภาพวาด อุปกรณ์ ตลอดจนการทดลอง ฯลฯ ไม่น่าแปลกใจที่ KD Ushinsky ชี้ให้เห็นว่าครูที่อ้างว่าพัฒนาจิตใจในเด็ก ก่อนอื่นต้องใช้ความสามารถในการสังเกต นำพวกเขาจากการรับรู้ที่ไม่มีการแบ่งแยกไปสู่การมีจุดมุ่งหมายและการวิเคราะห์
เหล่านี้เป็นวิธีการสอนทั่วไปที่สำคัญที่สุดในการเปิดใช้งานกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนในการนำเสนอความรู้ด้วยวาจาโดยครู
การทำงานกับเนื้อหาใหม่ในการนำเสนอด้วยวาจาควรจบลงด้วยการสรุปโดยย่อการกำหนดข้อสรุปและรูปแบบทางทฤษฎี ไม่จำเป็นเสมอไปที่ครูจะต้องสร้างภาพรวมเหล่านี้ บ่อยครั้ง เขาสนับสนุนให้นักเรียนเองกำหนดข้อสรุปหลักที่เกิดจากเนื้อหาที่กำลังศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเนื้อหานี้นำเสนอโดยวิธีการสนทนา ทั้งหมดนี้ยังกระตุ้นกิจกรรมการคิดของนักเรียนอีกด้วย
บทบัญญัติที่พิจารณาแล้วทำให้เราสามารถเน้นถึงวิธีการที่สำคัญที่สุดในการนำเสนอเนื้อหาใหม่โดยวิธีการเล่าเรื่อง คำอธิบาย การบรรยาย และการสนทนาแบบศึกษาสำนึก ร่วมกับภาพประกอบและการสาธิต เทคนิคเหล่านี้รวมถึงต่อไปนี้:
ก) กำหนดหัวข้อของเนื้อหาใหม่และระบุคำถามที่นักเรียนต้องเข้าใจและเรียนรู้
b) การนำเสนอเนื้อหาโดยครูโดยใช้ภาพประกอบและการสาธิตตลอดจนเทคนิคในการเสริมสร้างกิจกรรมทางจิตของเด็กนักเรียน
c) ลักษณะทั่วไปของเนื้อหาที่นำเสนอการกำหนดข้อสรุปหลักกฎรูปแบบ
พื้นฐานการสอนที่ระบุของงานการศึกษาเกี่ยวกับเนื้อหาใหม่นั้นมีอยู่ในวิธีการนำเสนอความรู้ด้วยวาจาโดยครูผู้สอนทุกรูปแบบ อย่างไรก็ตาม ในที่นี้ จำเป็นต้องอาศัยคุณลักษณะเหล่านั้นซึ่งมีอยู่ในการบรรยาย
เนื่องจากการบรรยายนำเสนอสื่อการศึกษาจำนวนมาก จึงไม่แนะนำเพียงเพื่อสื่อสารแผนหัวข้อด้วยวาจาเท่านั้น แต่ควรเขียนลงบนกระดานหรือแขวนในห้องเรียนในรูปแบบของโต๊ะพิเศษ ควรส่งเสริมให้นักเรียนเขียนแผนนี้ลงในสมุดจด
สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือการใช้ในกระบวนการบรรยายเทคนิควิธีการต่างๆ เพื่อเสริมสร้างกิจกรรมทางจิตของนักเรียนและรักษาความสนใจซึ่งได้กล่าวถึงข้างต้น นอกจากเทคนิคเหล่านี้แล้ว การกระตุ้นให้นักเรียนจดบันทึกสั้นๆ หรือจดบันทึกการบรรยายก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน
วิธีการรวมเนื้อหาที่ศึกษา: การสนทนา ทำงานกับตำราเรียน
การนำเสนอความรู้โดยปากเปล่าโดยครูเกี่ยวข้องกับการรับรู้และความเข้าใจเบื้องต้นของนักเรียน แต่ในฐานะที่เป็นการสอน M.A. Danilov "ความรู้ที่เป็นผลมาจากขั้นตอนแรกของการศึกษายังไม่เป็นเครื่องมือสำหรับการคิดและกิจกรรมของนักเรียนที่กระตือรือร้นและเป็นอิสระ" นักชีววิทยาระเบียบวิธีที่รู้จักกันดี N.M. Verzilin ชี้ให้เห็นว่าแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่ต้องผ่านหลายขั้นตอนโดยแต่ละขั้นตอนมีการเสริมความจำด้วยวัสดุที่เป็นข้อเท็จจริงการวิเคราะห์เชิงลึกและครอบคลุมมากขึ้นทำให้เกิดข้อสรุปที่หลอมรวม การวางนัยทั่วไปหรือกฎเกณฑ์กลายเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของนักเรียน ... ในแง่นี้คำอธิบายของครูเกี่ยวกับเนื้อหาควรได้รับการพิจารณาว่าแม้ว่าจะมีความสำคัญมาก แต่ก็ยังเป็นขั้นตอนแรกของงานการศึกษา ตามความสม่ำเสมอข้างต้น ในการสอน ความสำคัญอย่างยิ่งถูกแนบมากับงานการศึกษาที่ตามมาเกี่ยวกับการดูดซึม (การรวม การท่องจำ และความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น) ของเนื้อหาที่นำเสนอ ในกรณีนี้ใช้วิธีใด?
วิธีสนทนา วิธีนี้ใช้บ่อยที่สุดเมื่อเนื้อหาที่นำเสนอโดยครูค่อนข้างง่ายและสำหรับการดูดซึมก็เพียงพอที่จะใช้เทคนิคการทำซ้ำ (การทำซ้ำ) สาระสำคัญของวิธีการสนทนาในกรณีนี้อยู่ที่ความจริงที่ว่าครูด้วยความช่วยเหลือของคำถามที่มีความชำนาญจะกระตุ้นให้นักเรียนทำซ้ำเนื้อหาที่นำเสนออย่างแข็งขันโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เข้าใจและดูดซึมได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น (การท่องจำ)
การสนทนาเป็นวิธีการดูดซึมเนื้อหาที่เพิ่งได้รับใช้ในวิชาของโรงเรียนทั้งหมด
การทำงานกับบทช่วยสอน ในแต่ละวิชามีหัวข้อที่ค่อนข้างซับซ้อนซึ่งทำให้นักเรียนดูดซึมได้ยาก ในกรณีเช่นนี้ ครูไม่แนะนำให้ทำการสนทนาเกี่ยวกับการดูดซึม (การท่องจำ) ทันทีหลังจากการนำเสนอเนื้อหาใหม่ เป็นการดีที่สุดที่จะเปิดโอกาสให้นักเรียนทำงานด้วยตนเองกับหนังสือเรียน จากนั้นจึงนำการสนทนา
โดยหลักการ ในแต่ละบทเรียน หลังจากครูอธิบายแล้ว นักเรียนควรได้รับโอกาสให้ทำงานกับหนังสือเรียนด้วยตนเอง นี่เป็นเพราะกฎของกิจกรรมการรับรู้ เพื่อซึมซับสิ่งนี้หรือวัสดุนั้นอย่างแน่นหนา จำเป็นต้องหันไปศึกษาซ้ำแล้วซ้ำอีก งานใดๆ ที่ตามมา หากมีการจัดระเบียบอย่างเหมาะสม ไม่เพียงแต่ช่วยให้การท่องจำความรู้ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้ค้นหารายละเอียดและเฉดสีใหม่ๆ ในตัวงาน และเข้าถึงงานเหล่านั้นได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น น่าเสียดายที่ไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับสิ่งนี้เสมอไป จำเป็นต้องจัดระเบียบงานด้วยหนังสือเรียนอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้นักเรียนอ่านอย่างเดียว แต่ยังคงเข้าใจและซึมซับเนื้อหาที่กำลังศึกษาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เทคนิคที่สำคัญที่สุดเมื่อใช้วิธีนี้มีดังต่อไปนี้: a) คำชี้แจงเป้าหมายในการทำงานกับตำราเรียนที่ชัดเจน b) การบ่งชี้คำถามที่นักเรียนต้องเชี่ยวชาญ c) การกำหนดขั้นตอนการทำงานอิสระและ เทคนิคการควบคุมตนเอง d) ติดตามความคืบหน้าของงานอิสระและการให้ความช่วยเหลือนักเรียนแต่ละคน จ) การสนทนาเกี่ยวกับการรวมเนื้อหาใหม่
วิธีการทำงานอิสระของนักเรียนเพื่อทำความเข้าใจและซึมซับเนื้อหาใหม่
นอกจากการนำเสนอเนื้อหาที่ศึกษาโดยปากเปล่าโดยครูแล้ว สถานที่สำคัญในกระบวนการเรียนรู้ยังถูกครอบครองโดยวิธีการทำงานอิสระของนักเรียนในด้านการรับรู้และความเข้าใจในความรู้ใหม่
นี่เป็นวิธีการที่สำคัญมาก เค.ดี. ตัวอย่างเช่น Ushinsky เชื่อว่ามีเพียงงานอิสระเท่านั้นที่สร้างเงื่อนไขสำหรับการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งของความรู้และการพัฒนาความคิดของนักเรียน
สาระสำคัญของงานการศึกษาอิสระคืออะไร? โดยเปิดเผยเรื่องนี้ บี.พี. Esipov ตั้งข้อสังเกตว่า "งานที่เป็นอิสระของนักเรียนซึ่งรวมอยู่ในกระบวนการเรียนรู้เป็นงานดังกล่าวที่ดำเนินการโดยปราศจากการมีส่วนร่วมโดยตรงจากครู แต่ตามคำแนะนำของเขาในเวลาที่กำหนดไว้เป็นพิเศษสำหรับเรื่องนี้ ในเวลาเดียวกันนักเรียนจงใจมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ในงานโดยแสดงความพยายามของพวกเขาและแสดงผลลัพธ์ของการกระทำทางจิตใจและร่างกาย (หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน) ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง " ลองพิจารณาสาระสำคัญของวิธีการเหล่านี้
การทำงานกับตำราเรียนเกี่ยวกับการทำความเข้าใจและการดูดซึมความรู้ใหม่ สาระสำคัญของวิธีนี้อยู่ในความจริงที่ว่าการเรียนรู้ความรู้ใหม่ดำเนินการโดยนักเรียนแต่ละคนอย่างอิสระผ่านการศึกษาเนื้อหาจากตำราเรียนอย่างรอบคอบและทำความเข้าใจข้อเท็จจริงตัวอย่างที่มีอยู่ในนั้นและการวางแนวทฤษฎี (กฎ, ข้อสรุป, กฎหมาย, เป็นต้น) ที่ตามมาในขณะที่การดูดซึมความรู้ นักเรียนได้รับความสามารถในการทำงานกับหนังสือ คำจำกัดความนี้อาจไม่ได้ไร้ที่ติ แต่ถึงกระนั้นก็ให้แนวคิดที่ค่อนข้างชัดเจนเกี่ยวกับธรรมชาติของวิธีนี้และเน้นสองประเด็นที่เกี่ยวข้องกันที่สำคัญในนั้น: การเรียนรู้เนื้อหาที่ศึกษาโดยนักเรียนโดยอิสระและการก่อตัวของความสามารถในการทำงาน กับวรรณคดีศึกษา
การประยุกต์ใช้วิธีนี้มีประวัติของตัวเอง ในช่วงปี ค.ศ. 1920-1930 ที่โรงเรียนพยายามแนะนำโครงการที่ซับซ้อน และจากนั้นจึงใช้วิธีการสอนแบบห้องทดลองของกองพลน้อย และแทนที่จะใช้ตำราเรียน (โดยวิธีนี้ถือว่าไม่จำเป็น) เรียกว่า "สมุดงาน" ถูกนำมาใช้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสื่อท้องถิ่น งานอิสระของนักเรียนที่จะได้รับความรู้จากตำราเรียนไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลาย; ยิ่งกว่านั้นบทบาทของครูในกระบวนการศึกษาก็ถูกดูหมิ่น เมื่อวิธีการเหล่านี้ถูกยกเลิก ภาระงานการศึกษาทั้งหมดก็ถูกย้ายไปยังครู: เขาจำเป็นต้องอธิบายแต่ละหัวข้อที่ศึกษาด้วยตัวเอง สิ่งนี้ได้ลดความสำคัญของงานอิสระของนักเรียนกับหนังสือเรียนอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น หากครูบางคนพยายามจัดระเบียบงานอิสระด้วยหนังสือเรียนเพื่อที่จะเชี่ยวชาญเนื้อหาใหม่ในบทเรียน ความพยายามดังกล่าวก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์
สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อปัญหาในการปรับปรุงคุณภาพความรู้ของนักเรียนเริ่มรุนแรง ในปี พ.ศ. 2501 บทความของบี.พี. Esipova และ L.P. Aristova ภายใต้ชื่อลักษณะ: "เปิดตำรา" ผู้เขียนดึงความสนใจของครูว่าปัญหาในการปรับปรุงงานอิสระของนักเรียนในห้องเรียนไม่สามารถแก้ไขได้หากไม่ได้ใช้ตำราเรียนและวรรณกรรมเพื่อการศึกษา ดังนั้นแทนที่จะใช้ข้อกำหนดดั้งเดิม "ปิดตำราเรียน" ในห้องเรียน พวกเขาแนะนำให้ใช้งานการศึกษารูปแบบต่างๆ กับหนังสือเพื่อส่งเสริมกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน นับจากนี้เป็นต้นไป ได้มีการสรุปแนวทางการใช้งานที่กว้างขึ้นและการปรับปรุงระเบียบวิธีในการทำงานกับตำราเรียนในกระบวนการฝึกอบรม
เพื่อให้การทำงานกับตำราเรียนในห้องเรียนมีผลการเรียนรู้ ครูต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดต่อไปนี้:
ก) ก่อนอื่น การเลือกเนื้อหา (หัวข้อ) ที่ถูกต้องสำหรับการศึกษาแบบอิสระจากหนังสือเรียนในบทเรียนเป็นสิ่งสำคัญ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าไม่ใช่ทุกคำถามที่นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยไม่มีคำอธิบายโดยละเอียดจากครู หลายหัวข้อมีข้อมูลใหม่ทั้งหมด เป็นข้อมูลเบื้องต้นหรือลักษณะทั่วไป การศึกษาของพวกเขาทำให้เกิดปัญหาอย่างมากสำหรับเด็กนักเรียน ในหัวข้อดังกล่าว ไม่ควรส่งนักเรียนไปทำงานกับหนังสือเรียนอย่างอิสระ ควรนำเสนอและอธิบายให้ครูทราบด้วยตนเอง ดังนั้นการยึดมั่นในหลักการของการเข้าถึงการศึกษาจึงเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำหรับองค์กรที่ถูกต้องของงานอิสระของนักเรียนที่มีตำราเรียนเพื่อที่จะเชี่ยวชาญในเนื้อหาใหม่
b) งานอิสระของนักเรียนที่มีตำราเรียนควรนำหน้าด้วยการสนทนาเบื้องต้นอย่างละเอียดของครู ก่อนอื่น คุณต้องกำหนดหัวข้อของเนื้อหาใหม่ให้ถูกต้อง ทำความคุ้นเคยทั่วไปกับเนื้อหา ดึงความสนใจของนักเรียนไปที่คำถามที่พวกเขาต้องเรียนรู้ (บางครั้งการเขียนไว้บนกระดานหรือ แขวนไว้เป็นโต๊ะ) พร้อมทั้งให้คำแนะนำโดยละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการศึกษาด้วยตนเอง การทำงาน และการควบคุมตนเอง
ค) ในหลักสูตรของชั้นเรียน ครูต้องสังเกตความก้าวหน้าของงานอิสระของนักเรียน ถามคำถามกับนักเรียนบางคนว่าพวกเขาเข้าใจเนื้อหาที่กำลังศึกษาอย่างไร หากบางคนประสบปัญหา จำเป็นต้องช่วยให้พวกเขาเข้าใจตำแหน่งที่เข้าใจยาก
ง) ควรให้ความสนใจอย่างจริงจังกับการพัฒนาความสามารถของนักเรียนในการทำความเข้าใจและซึมซับเนื้อหาใหม่จากตำราเรียนอย่างอิสระ
จ) บ่อยครั้ง การทำงานอิสระกับตำราเรียนสามารถนำหน้าด้วยการสาธิตการทดลองและโสตทัศนูปกรณ์เพื่อสร้างสถานการณ์ที่เป็นปัญหาในชั้นเรียนและกระตุ้นให้นักเรียนมีความเข้าใจอย่างถี่ถ้วนมากขึ้นเกี่ยวกับเนื้อหาที่กำลังศึกษา
ฉ) การศึกษาเนื้อหาใหม่จากตำราเรียนมักจะดำเนินการในรูปแบบของการอ่านแบบเลือกข้อของข้อความแต่ละข้อเพื่อซึมซับคำถามเชิงพรรณนาอย่างอิสระ ในกรณีนี้ การนำเสนอเนื้อหาโดยครูจะสลับกับงานของนักเรียนในหนังสือเรียน
g) เมื่อศึกษาเนื้อหาใหม่ บ่อยครั้งจำเป็นต้องหันไปทบทวนหัวข้อที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้โดยสังเขป วิธีการหลักในกรณีเช่นนี้คือการซักถามด้วยวาจา อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งไม่ได้ผลตามที่ต้องการ เนื่องจากนักเรียนจำนวนมากไม่สามารถจำและทำซ้ำเนื้อหาที่ส่งผ่านได้ตลอดเวลา ในกรณีเช่นนี้ จะดีกว่าถ้าใช้งานอิสระกับบทช่วยสอน
h) การทำงานกับหนังสือเรียนไม่ว่ากรณีใดควรใช้บทเรียนทั้งหมด จะต้องรวมกับรูปแบบและวิธีการสอนอื่นๆ ดังนั้นหลังจากทำงานกับตำราเรียนแล้ว จำเป็นต้องตรวจสอบคุณภาพของการดูดซึมของเนื้อหาที่กำลังศึกษา เพื่อให้แบบฝึกหัดที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะและความสามารถ และความรู้ของนักเรียนที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ตัวอย่างที่ให้มาแสดงให้เห็นว่างานอิสระของนักเรียนที่มีหนังสือเรียนเกี่ยวกับการดูดซึมวัสดุใหม่เป็นวิธีการสอนต้องการให้ครูมีความรู้ที่ดีและเชี่ยวชาญในวิธีการต่างๆขององค์กร
งานห้องปฏิบัติการ (ชั้นเรียน) สำหรับการเรียนรู้วัสดุใหม่ ในระบบการทำงานเกี่ยวกับการรับรู้และการดูดซึมของวัสดุใหม่โดยนักเรียน วิธีการใช้ห้องปฏิบัติการอย่างกว้างขวาง ได้ชื่อมาจาก lat. labare แปลว่า ทำงาน นักวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นหลายคนได้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทที่ยิ่งใหญ่ของงานห้องปฏิบัติการในด้านการรับรู้ “ เคมี” M.V. Lomonosov "เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเรียนรู้โดยไม่ได้เห็นการปฏิบัติและไม่ใช้สารเคมี" นักเคมีชาวรัสเซียที่โดดเด่นอีกคน D.I. Mendeleev ตั้งข้อสังเกตว่าในช่วงก่อนวิทยาศาสตร์ คำจารึกแสดง: การสังเกต, การสันนิษฐาน, ประสบการณ์, จึงบ่งบอกถึงความสำคัญของวิธีการทดลอง (ห้องปฏิบัติการ) ของความรู้ความเข้าใจ
สาระสำคัญของงานห้องปฏิบัติการเป็นวิธีการสอนคืออะไร? งานในห้องปฏิบัติการเป็นวิธีการสอนที่นักเรียนภายใต้การแนะนำของครูและตามแผนล่วงหน้า ทำการทดลองหรือปฏิบัติงานจริงบางอย่าง และในกระบวนการรับรู้และทำความเข้าใจสื่อการเรียนการสอนใหม่
การดำเนินงานในห้องปฏิบัติการเพื่อให้เข้าใจสื่อการศึกษาใหม่รวมถึงเทคนิควิธีการดังต่อไปนี้:
1) กำหนดหัวข้อของชั้นเรียนและกำหนดงานของห้องปฏิบัติการ
2) การกำหนดลำดับของงานห้องปฏิบัติการหรือแต่ละขั้นตอน
3) การดำเนินงานในห้องปฏิบัติการโดยตรงโดยนักเรียนและครูควบคุมหลักสูตรของชั้นเรียนและการปฏิบัติตามข้อควรระวังด้านความปลอดภัย 4) สรุปงานห้องปฏิบัติการและกำหนดข้อสรุปหลัก
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็นว่าห้องปฏิบัติการเป็นวิธีการสอนโดยส่วนใหญ่มีลักษณะการวิจัย และในแง่นี้ได้รับการชื่นชมอย่างสูงในการสอน พวกเขาปลุกให้นักเรียนสนใจอย่างลึกซึ้งในธรรมชาติโดยรอบ ความปรารถนาที่จะเข้าใจ เพื่อศึกษาปรากฏการณ์รอบข้าง เพื่อนำความรู้ที่ได้รับมาใช้กับการแก้ปัญหาทั้งเชิงปฏิบัติและเชิงทฤษฎี วิธีนี้ส่งเสริมความมีสติสัมปชัญญะในการสรุปความมีสติสัมปชัญญะ งานในห้องปฏิบัติการมีส่วนทำให้นักเรียนคุ้นเคยกับพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของการผลิตสมัยใหม่ พัฒนาทักษะในการจัดการรีเอเจนต์ อุปกรณ์และเครื่องมือ สร้างข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการฝึกอบรมด้านเทคนิค
วิธีการศึกษางานเพื่อพัฒนาทักษะและความสามารถในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ
ในกระบวนการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะและความสามารถของนักเรียนให้นำความรู้ที่ได้ไปปฏิบัติจริงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
วิธีการออกกำลังกาย ทักษะและทักษะได้รับการพัฒนาโดยใช้วิธีการออกกำลังกาย สาระสำคัญของวิธีนี้คือให้นักเรียนดำเนินการหลายอย่าง เช่น ฝึกฝน (ออกกำลังกาย) ในการประยุกต์ใช้เนื้อหาที่เรียนรู้ในทางปฏิบัติและด้วยวิธีนี้ทำให้ความรู้ของพวกเขาลึกซึ้งขึ้นพัฒนาทักษะและความสามารถที่เหมาะสมและพัฒนาความคิดและความคิดสร้างสรรค์ จากคำจำกัดความนี้ แบบฝึกหัดแรกควรมีลักษณะที่มีสติและดำเนินการเฉพาะเมื่อนักเรียนเข้าใจและซึมซับเนื้อหาที่กำลังศึกษา ประการที่สอง ควรส่งเสริมความรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และประการที่สาม มีส่วนในการพัฒนา ของความสามารถสร้างสรรค์ของเด็กนักเรียน
การจัดกิจกรรมการฝึกอบรมยังได้รับอิทธิพลจากธรรมชาติของทักษะและความสามารถเหล่านั้นที่ต้องพัฒนาในนักเรียน ในแง่นี้ เราสามารถแยกแยะ: ก) แบบฝึกหัดช่องปาก; b) แบบฝึกหัดการเขียน; c) การดำเนินงานภาคปฏิบัติในวิชาที่เกี่ยวข้องกับงานวัดด้วยการพัฒนาทักษะในการจัดการกลไกเครื่องมือ ฯลฯ
สำหรับการจัดแบบฝึกหัดเพื่อนำความรู้ไปปฏิบัติจริงนั้น เทคนิคต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการสร้างทักษะและความสามารถนั้นมีความจำเป็น เทคนิคเหล่านี้รวมถึงต่อไปนี้:
- ครั้งแรก - ครูอาศัยความรู้เชิงทฤษฎีที่หลอมรวมโดยนักเรียนอธิบายให้พวกเขาทราบถึงวัตถุประสงค์และภารกิจของกิจกรรมการฝึกอบรมที่จะเกิดขึ้น
- ครั้งที่สอง - แสดงให้ครูดูวิธีการทำแบบฝึกหัดนี้หรือแบบฝึกหัดนั้น
- ที่สาม - การทำซ้ำเริ่มต้นโดยนักเรียนของการกระทำเพื่อนำความรู้ไปปฏิบัติ
- ที่สี่ - กิจกรรมการฝึกอบรมที่ตามมาของนักเรียนโดยมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาทักษะและความสามารถในทางปฏิบัติที่ได้รับ
แน่นอนว่าขั้นตอนเหล่านี้ไม่ได้มีความชัดเจนเพียงพอเสมอไป อย่างไรก็ตาม การให้คะแนนดังกล่าวขึ้นอยู่กับระดับหนึ่งหรือระดับอื่นๆ ที่มีอยู่ในการก่อตัวของทักษะและทักษะใดๆ
เมื่อเลือกแบบฝึกหัด จำเป็นต้องรวมกิจกรรมที่เลียนแบบและสร้างสรรค์ของนักเรียนเข้าไว้ด้วยกัน และกำหนดให้พวกเขาใช้ไหวพริบ คิด และมองหาวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะของตนเอง แม้แต่ K.D. Ushinsky ตั้งข้อสังเกตว่าการเลียนแบบมีประโยชน์เฉพาะเมื่อกิจกรรมอิสระเติบโตขึ้น แนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมในด้านการสอน แอล.วี. Zankov ชี้ให้เห็นว่าหากพื้นฐานของการเรียนรู้ความรู้และแบบฝึกหัดของนักเรียนเป็นเพียงการทำซ้ำกิจกรรม การคิดและกิจกรรมของพวกเขาจะเป็นไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย สิ่งนี้ไม่เพียง แต่จะไม่ช่วย แต่ในกรณีอื่น ๆ ยังขัดขวางการพัฒนาจิตใจของเด็กนักเรียนอีกด้วย พวกเขาไม่คุ้นเคยกับการวิเคราะห์เชิงลึกของเนื้อหาที่เป็นข้อเท็จจริง แต่มุ่งมั่นที่จะจดจำข้อมูลและวิธีการใช้งานในทางปฏิบัติเท่านั้น
ในทางกลับกัน ครูจำเป็นต้องตระหนักถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการฝึกอบรม แบบฝึกหัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากดำเนินการอย่างสร้างสรรค์มีความเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่ในทางจิตวิทยาและการสอนมักเรียกว่าการถ่ายทอดความรู้ สาระสำคัญของปรากฏการณ์นี้อยู่ในความจริงที่ว่าในกระบวนการของงานการศึกษา นักเรียนต้องย้ายการดำเนินการทางจิตที่ได้มา ความสามารถและทักษะไปยังเนื้อหาอื่น ๆ นั่นคือเพื่อนำไปใช้ในเงื่อนไขที่แตกต่างกัน เมื่อเข้าใจกฎข้อนี้หรือกฎนั้นโดยอาศัยตัวอย่างและข้อเท็จจริงที่เฉพาะเจาะจงแล้ว นักเรียนก็ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างง่ายดายเสมอไป เมื่อจำเป็นต้องนำกฎนี้ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน หรือด้วยความช่วยเหลือในการอธิบายปรากฏการณ์ใหม่และ ข้อเท็จจริง ในการนี้ N.A. Menchinskaya เน้นว่าค่อนข้างง่ายสำหรับนักเรียนในการสรุปผลทางทฤษฎีที่จำเป็น กำหนดกฎเกณฑ์ ตามการวิเคราะห์ตัวอย่างและข้อเท็จจริง และเป็นการยากกว่ามากที่จะใช้ข้อสรุปเหล่านี้เพื่ออธิบายตัวอย่างและข้อเท็จจริงใหม่ หลังเกิดขึ้นเมื่อรวบรวมเนื้อหาที่เรียนรู้
วิธีการดังกล่าวสำหรับการจัดแบบฝึกหัดสำหรับการประยุกต์ใช้ความรู้ในทางปฏิบัติมีความสำคัญเป็นพิเศษในปัจจุบันเมื่อมีงานพัฒนาจิตใจอย่างเข้มข้นของนักเรียน แต่แบบฝึกหัดจะมีลักษณะที่กำลังพัฒนาก็ต่อเมื่อมีงานที่สร้างสรรค์ ซึ่งการดำเนินการนั้นต้องใช้จากนักเรียนที่เปลี่ยนความคิด การไตร่ตรอง และความเป็นอิสระทางจิตใจ
เทคนิคดังกล่าว ถ้าคุณนึกถึงสาระสำคัญของเทคนิคนี้ จะขึ้นอยู่กับการปรับปรุงงานอิสระของนักเรียน โดยวิเคราะห์เชิงตรรกะอย่างลึกซึ้งของเนื้อหาที่เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งรองรับการก่อตัวของแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการปฏิบัติและความสามารถ
งานห้องปฏิบัติการ. การจัดห้องปฏิบัติการของนักเรียนเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ความรู้ในทางปฏิบัติรวมถึงเทคนิคต่อไปนี้: a) การกำหนดเป้าหมายของห้องปฏิบัติการ (ภาคปฏิบัติ) ชั้นเรียน b) การกำหนดลำดับของงานและแนวทางการดำเนินงาน c) สรุป ผลงาน เมื่อดำเนินการชั้นเรียนในห้องปฏิบัติการ (ภาคปฏิบัติ) นักเรียนสามารถใช้หนังสือเรียนและอุปกรณ์ช่วยสอนอื่น ๆ รวมทั้งปรึกษากับครู