ฉันและเงาของฉัน จะบรรลุความสามัคคีได้อย่างไร? ความเป็นจริงที่สูงขึ้น

ความสามัคคีไม่ได้มาในชั่วข้ามคืน นี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยเป็นของประทานแห่งพระวิญญาณอันเป็นผลมาจากการสวดอ้อนวอนตลอดคืน ความสามัคคีคือสิ่งที่สร้างและเติบโตค่อยๆถึงขีด จำกัด ที่ตั้งไว้ ความสามัคคีไม่ใช่ผลของการตื่นรู้ ตรงกันข้ามก็ต่อเมื่อความสามัคคีมีที่ว่างสำหรับการตื่นขึ้น

เป็นไปได้หรือไม่ที่พระเจ้าผู้ทรงประทาน "พระบัญญัติบัญญัติกฎเพื่อการปกครอง" (อสย. 28:10, 13) อาจไม่มีแผนการอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ในการสร้างทีมแห่งความฝันของพระองค์? แผนการของพระเจ้ามีความเป็นเอกภาพหลายระดับและแต่ละระดับจะให้พลังที่เล็ดลอดออกมาสามารถมีอิทธิพลต่อทุกคนและเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งรอบตัว ดังนั้นพลังโดยรวมของความสามัคคีจึงเพิ่มขึ้นในแต่ละระดับใหม่ ในที่นี้ฉันจะพูดถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันห้าระดับดังกล่าวแม้ว่าจะมีมากกว่านั้นก็ตาม ทำความเข้าใจและจำไว้ว่าพลังที่มาในระดับหนึ่งเมื่อเปลี่ยนไปสู่ระดับถัดไปจะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ

ความสามัคคีของบุคลิกภาพ

คุณจะพบความสามัคคีระดับแรกในอาณาจักรของพระเจ้าในตัวคุณเอง คุณรู้ไหมว่ามันเป็นอย่างไรเมื่อไม่มีความสามัคคีในใจของคุณเอง? เกี่ยวกับการขาดความเป็นเอกภาพของบุคลิกภาพซึ่งอัครสาวกยากอบกล่าวว่า“ คนที่มีความคิดสองแง่ย่อมไม่มั่นคงในทุกวิถีทาง” (ยากอบ 1: 8) คุณจะพึ่งพาและเชื่อใจคุณได้อย่างไรเมื่อคุณไม่ไว้วางใจตัวเอง? หยุดและคิดเกี่ยวกับมัน คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมบางคนถึงทำตัวไร้ความหมายทำตัวไร้เหตุผล? ไม่มีใครสามารถพึ่งพาได้เพราะพวกเขาพึ่งพาตัวเองไม่ได้! คุณไม่สามารถพูดเกี่ยวกับพวกเขาล่วงหน้าได้ว่าพวกเขาจะถูกนำตัวไปที่ใดในช่วงเวลาถัดไป

ตัวอย่างเช่นลองนึกภาพว่าคนที่คิดไม่ซื่อเช่นนี้กำลังจะแต่งงาน แน่นอนว่าจะไม่มีใครเตือนสิ่งมีชีวิตที่อ่อนโยนและอายุน้อยที่กำลังจะแต่งงานกับชายที่มีความคิดซ้ำซ้อน? ที่จริงคนที่ขาดเอกภาพส่วนตัวอาจตื่นขึ้นมาในวันพรุ่งนี้และตัดสินใจว่าเขารักอีกคน สิ่งนี้เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย และทั้งหมดทำไม? แต่เพราะความคิด "สองเท่า"

คุณไม่สามารถก้าวไปสู่ความสามัคคีในระดับต่อไปได้จนกว่าคุณจะสั่งซื้อสมบูรณ์ในระดับก่อนหน้านี้ มันเหมือนกับการสร้างบ้านโดยไม่มีรากฐาน ผู้ชายจากตัวอย่างของเราไม่มีสิทธิ์คิดจะแต่งงานด้วยซ้ำมิฉะนั้นเขาจะทำลายชีวิตใครบางคน ก่อนอื่นเขาต้องเข้าใจว่าเขาเป็นใครเรียกว่าอะไรโดยตั้งมั่นใน "การเรียกร้องและการเลือกตั้ง" (2 ปต. 1610) นี่คือวิธีที่ทุกคนควรมีสิทธิ์พูด: ฉันรู้ว่าฉันเป็นใคร ฉันรู้ว่าฉันเชื่อในอะไร ฉันเข้าใจสถานที่ของฉันและเรียกร้องในพระคริสต์

นี่เป็นสถานที่สำหรับพูดถึงผู้ที่เปลี่ยนงานหรือรับใช้บ่อยพอ ๆ กับรองเท้าโดยไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ว่าพวกเขาต้องการทำอะไรและโดยทั่วไปแล้วพวกเขาเป็นใคร เป็นเรื่องยากที่จะพูดเกี่ยวกับคนเหล่านี้ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในโบสถ์หรือไม่อยู่ในคริสตจักร พวกมันสั่นไหวไปมาดังนั้นเมื่อคุณมองไปที่พวกเขาจะมีการสั่นไหวในดวงตาของคุณ คุณกำลังพยายามหาคำตอบจากพวกเขา:

คุณเป็นอย่างไร? สัปดาห์ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?

ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อย แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้านั้นยากที่จะพูด

มันคืออะไร? และนี่คือโรคดังกล่าว - ความคิดซ้ำซ้อนและอาการของมันคือการขาดความทุ่มเทอย่างหนักแน่นต่อสิ่งหนึ่ง

พระคัมภีร์กล่าวว่า: "... ถ้าตาของคุณสะอาดแล้วร่างกายของคุณก็จะสดใส ... " (ม ธ 6:22)

มีบางสิ่งที่ทรงพลังในความคิดของเปาโลที่เป็นเอกภาพโดยกล่าวว่า: "... ลืมสิ่งที่อยู่ข้างหลังและก้าวไปข้างหน้าฉันมุ่งมั่นเพื่อเป้าหมาย ... " (ฟิลิป 3:13) เขาทั้งหมดมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายเดียว เราทุกคนโหยหาโฟกัสนี้เมื่อเราสามารถพูดได้ว่า: ฉันวางใจในพระคริสต์ ฉันมีความน่าเชื่อถือในงานที่พระองค์ทรงเรียกฉัน ฉันมุ่งเน้นไปที่สิ่งนี้เป้าหมายเดียว ฉันรู้ว่าฉันเป็นใครและกำลังจะไปที่ไหน

ถ้าคุณแสดงให้ฉันเห็นว่าเป็นคนที่อุทิศตนเพื่อพระคริสต์เป็นคนที่หรือรู้แน่ชัดว่าเขากำลังแสดงเพื่ออะไรและในขณะเดียวกันก็ไม่คิดว่าจะมีคนอื่นชอบหรือไม่ชอบสิ่งนั้นหรือไม่ ตราบใดที่พระคริสต์ชอบสิ่งนี้ฉันจะบอกคุณว่าชายคนนี้มีฐานะใกล้เคียงกับอัครสาวกผู้ซึ่งระบุทุกสิ่งที่สามารถคาดหวังเขาได้สรุป: "แต่ฉันไม่มองสิ่งใดและไม่ให้คุณค่ากับชีวิตของฉันถ้า ด้วยความยินดีเท่านั้นที่ทำให้เส้นทางและพันธกิจของฉันสมบูรณ์ ... "(กิจการ 20:24) นี่คืออุดมคติที่แท้จริงของความน่าเชื่อถือและความมั่นคง

อะไรเป็นแรงผลักดันให้คุณ? บางทีมันอาจจะเป็นความกลัวของผู้คน? คุณคงแปลกใจที่ทราบว่ามีรัฐมนตรีกี่คนที่เข้าใจงานรับใช้ของตนเป็นหลัก แต่บ้านหลังเดียวที่พระเจ้าตรัสว่าจะยกขึ้นมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่าคือพลับพลาของดาวิด และมีผู้รับใช้เป็นเพียงม่านกั้นระหว่างพระยะโฮวาพระเจ้ากับโลก และพวกเขาหันหลังให้ผู้คน - ต่อผู้คน - เพราะด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่พวกเขาสามารถเผชิญหน้ากับพระศักดิ์สิทธิ์และรับใช้พระเจ้าได้ เราต้องเข้าใจว่าเราได้รับเรียกให้เป็นผู้รับใช้ก่อนอื่น - เพื่อพระองค์ ดังนั้นบางครั้งเพื่อที่จะได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์เราต้องหันหลังให้บุคคลนั้น นักร้องประสานเสียงหรือผู้ควบคุมวงออเคสตราปกติทุกคนตระหนักดีว่าเขาต้องหันหลังให้ผู้ฟังเพื่อเผชิญหน้ากับดนตรี หากคุณกลายเป็นผู้รับใช้ของพระองค์สิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังของคุณคือสิ่งที่ดีที่สุด การรับใช้พระองค์จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวของมนุษย์และจะทำให้ความรับผิดชอบของเราชัดเจนซึ่งไหลมาจากความยำเกรงพระเจ้า ด้วยความสามัคคีของวัตถุประสงค์เราได้รับความเข้มแข็ง

เมื่อถึงเวลาที่ลูกสาวต้องแต่งงานฉันจะไม่กังวลมากเกินไปกับสิ่งที่พ่อแม่หลายคนทำ แต่สิ่งแรกที่ฉันจะค้นหาคือสามีที่มีศักยภาพ "เข้าใจว่าพวกเขาเป็นใคร" มากแค่ไหน "ตา" "บริสุทธิ์" ของพวกเขาหรือไม่? พวกเขามีความน่าเชื่อถือทางวิญญาณและสติปัญญาหรือไม่? คุณได้สร้าง "ตำแหน่งและการเลือกตั้ง" ของตัวเองแล้วหรือยัง? คุณมุ่งเน้นไปที่จุดมุ่งหมายทางวิญญาณและชีวิตของคุณหรือไม่?

และให้ลูกเขยในอนาคตของฉันเป็นคนล้างรถเป็นอย่างน้อย ถ้านี่คือสิ่งที่เขาเรียกว่าเขาจะกลายเป็นอะไรได้? และท้ายที่สุดเขาจะกลายเป็นเจ้าของรถล้างโหล! สำหรับฉันสิ่งเดียวที่สำคัญคือไม่ว่าจะเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวรวบรวมไว้ด้วยกัน - หรือเป็น "คนสองใจ"? โลกพูดถึงสิ่งนี้ว่า "บุคลิกภาพที่แตกต่าง" อย่างไรก็ตามโลกมองว่ามันสายเกินไป - และบางครั้งก็ไม่มีการ "แตกแยก" เช่นนี้คน ๆ หนึ่งอกหักเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นแบบนี้พวกเขาจะ "แตกแยก" อย่างแน่นอน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง "ความคิดซ้อน" ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าโรคจิตเภททางจิตวิญญาณรูปแบบหนึ่ง

ความสามัคคีในครอบครัว

ความสามัคคีระดับที่สองคือความสามัคคีในครอบครัว หากคุณพยายามสร้างความสามัคคีในครอบครัวก่อนอื่นคุณต้องบรรลุความสามัคคีในบุคลิกภาพของคุณเอง คุณสามารถสอนและเทศนาได้มากเท่าที่คุณต้องการ: "สามีรักภรรยาของคุณ ... " (คส. 3:19) แต่จนกว่าสามีและภรรยาที่เฉพาะเจาะจงจะบรรลุเอกภาพแห่งบุคลิกของตนเองความสามัคคีที่แท้จริงจะไม่เกิดขึ้น ครอบครัวเฉพาะเหล่านี้ อย่างไรก็ตามหากคุณจะทำในสิ่งที่พระเจ้าเรียกให้คุณทำคุณต้องเป็นหนึ่งเดียวกับครอบครัวของคุณ

หลายปีก่อนฉันขับรถวัยรุ่นอายุประมาณสิบห้ากลับบ้านจากค่ายเยาวชนภาคฤดูร้อน บ้านของเขาเมื่อเราขับรถไปหาเขาทักทายเราด้วยหน้าต่างมืดและความเงียบที่น่าสงสัย พ่อแม่ของเขาหย่าร้างกันมานานแล้วและตอนนี้ในขณะที่เขาอยู่ในค่ายแม่ของเขาก็ย้ายไปโดยไม่มีคำเตือน! ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันสร้างความประทับใจให้กับเด็กชายได้อย่างไร! ในขณะที่ฉันขนสิ่งของของเขาออกจากรถเขากลับมาพร้อมกับกระดาษในมือซึ่งมีเพียงสองคำคือ "เราย้ายแล้ว" เธอไม่ได้สนใจที่จะเขียนว่าที่ไหนและทำไม

ไม่มีอะไรทำ - ฉันพาเขาไปที่ของฉัน ฉันบอกเขาว่า: "ลูกชายในขณะที่เราพบครอบครัวของคุณคุณสามารถอยู่กับเราได้" แต่ในที่สุดเมื่อเราพบพวกเขาเขาก็จำใจย้าย "บ้าน"! เขาอยากอยู่กับเรา ในท้ายที่สุดเขาอยู่กับเราเพื่อดำเนินชีวิตและปฏิบัติงานรับใช้บางทีอาจเป็นเพราะใครบางคนต้องแน่ใจว่าในวัยที่คนต้องการความมั่นคงส่วนใหญ่เขามีสิ่งนั้น ความมั่นคงในชีวิตไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่มีช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่นั่นหมายความว่าลมที่พัดเข้าหน้าของคุณจะไม่สามารถพาเรือของคุณออกไปในมหาสมุทรที่ขรุขระได้ ครอบครัวต้องกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวที่เชื่อถือได้ของเรา

ในวัยเด็กและวัยรุ่นของฉันฉันจำไม่ได้ว่าแม่ของฉันเคยขัดแย้งกับพ่อของฉันและในทางกลับกัน ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าบางครั้งอาจมีข้อพิพาทระหว่างกัน แต่พวกเขาไม่เคยทะเลาะต่อหน้าต่อตาหรือต่อหน้าน้องสาวของฉัน ฉันเป็นผลผลิตของครอบครัวที่มีจิตวิญญาณแห่งความสามัคคี เป็นการยากที่จะประเมินค่าสูงไปกว่าสิ่งที่ทำให้เด็กมีเอกภาพในครอบครัว เด็กเช่นนี้จากเปลนำหน้าเพื่อน ๆ ในทุกๆเรื่องเพราะพวกเขารู้สึกปลอดภัย หรืออย่างน้อยพวกเขาก็มีความกังวลน้อยลง ฉันไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับครอบครัวของฉัน - ฉันรู้ว่าพวกเขารักฉันและจะยืนอยู่ข้างหลังฉันเสมอเหมือนภูเขา เป็นเรื่องปกติเมื่ออย่างน้อยนี่คือ "การให้" ในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง

ตัวอย่างเช่นนี่คือประโยคแรกที่สมบูรณ์ประโยคแรกที่ฉันสอนลูกสาวทั้งสามคนจากเปล ฉันสอนให้พวกเขาตอบคำถาม:

คุณควรจำอะไรไว้เสมอ?

อาจไม่มีสองวันในชีวิตที่ฉันไม่ได้ถามคำถามนี้กับพวกเขาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และคำตอบที่ฉันเพิ่งสอนให้พวกเขาจำก็คือ:

พ่อของฉันรักฉัน

เมื่อพวกเขาเข้าใจสิ่งนี้อย่างมั่นคงแล้วกฎของเกมบทเรียนก็ขยายออกไป:

เขารักคุณตอนไหน?

เขารักคุณไหมเมื่อคุณดี?

เขารักคุณไหมเมื่อคุณประพฤติตัวไม่ดี?

คุณเข้าใจไหมว่าทำไมฉันถึงสอนพวกเขาทั้งหมดนี้? ฉันปลูกสิ่งที่เชื่อถือได้อย่างแท้จริงไว้ที่รากฐานชีวิตของพวกเขาที่พวกเขาไม่ต้องกังวลฉันเป็นพ่อของพวกเขาฉันรักพวกเขาโดยไม่มีเงื่อนไขและฉันจะไม่มีวันจากไป

เมื่อลูกสาวคนหนึ่งของฉันเข้าสู่วัยรุ่นฉันบอกเธอว่า:

ที่รักฉันไม่อยากให้คุณมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดก่อนแต่งงานนี่มันผิดไม่ควรเป็นอย่างนั้น หากคุณทำเช่นนี้ฉันจะต้องผิดหวังฉันจะกรีดร้องและร้องไห้และพยายามทำให้คุณอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง หัวใจของฉันจะระเบิดด้วยความเจ็บปวด อย่าทำอย่างนี้. แต่ถ้าคุณทำฉันจะยังคงรักคุณ คุณไม่สามารถลังเลที่จะมาหาฉันได้ตลอดเวลาเพราะตราบใดที่ฉันมีอาหารคุณก็จะมีมันเช่นกัน และตราบใดที่ฉันมีหลังคาเหนือศีรษะคุณก็จะมีมัน และฉันจะช่วยคุณในคำพูดและการกระทำเสมอเพื่อให้บรรลุสูงสุดที่คุณสามารถทำได้ และคุณจะประสบความสำเร็จ และฉันจะสอนวิธีหาเลี้ยงชีพของคุณเอง แต่สิ่งสำคัญคืออย่าคิดว่าฉันรักคุณหรืออาจจะไม่รักคุณอีกต่อไป ไม่ว่าคุณจะทำอะไรฉันจะยังรักคุณ

"พระบิดา" อีกคนหนึ่งยังเคยพูดว่า: "ลูก ๆ ของฉันฉันเขียนสิ่งนี้ถึงคุณเพื่อที่คุณจะได้ไม่ทำบาป แต่ถ้าใครทำเรามีผู้สนับสนุนกับพระบิดาพระเยซูคริสต์ผู้ชอบธรรม: พระองค์คือการชดใช้ของเรา บาป ... ” (1 ยอห์น 2: 1 - 2) กล่าวอีกนัยหนึ่งพระเจ้าบอกเราว่า: "คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความรักของเราฉันจะไม่มีวันทิ้งคุณ"

และอีกช่วงเวลาหนึ่งในการเลี้ยงดูฉันรู้สึกขอบคุณพ่อแม่เป็นพิเศษและจริงใจ ไม่ว่าสถานการณ์ของพวกเขาในการทำงานเพื่ออาณาจักรของพระเจ้าจะดีเพียงใดฉันไม่เคยได้ยินคำพูดที่ไม่ดีจากพวกเขาเกี่ยวกับใครเลยสักครั้ง ดังนั้นเมล็ดพันธุ์แห่งความดีจึงถูกหว่านลงในชีวิตของฉันเพื่อให้ผลไม้นั้นปราศจากรสชาติของความขมขื่น

ตลอดหลายปีที่ฉันเป็นศิษยาภิบาลมีเพียงครั้งเดียวที่คู่สมรสซึ่งเป็นสมาชิกในคริสตจักรของฉันพาลูกสาววัยรุ่นของพวกเขามาหาฉันเพื่อขอคำปรึกษา เด็กหญิงคนนี้ยืนยันในทุกวิถีทางว่าพ่อแม่ของเธออนุญาตให้เธอเข้าร่วมกิจกรรมโรงเรียนสมัครเล่นสำหรับนักเรียนมัธยมปลายซึ่งผู้ปกครองเองก็คิดว่าไม่สามารถยอมรับได้ เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวเพียงแค่กางปีกออกและรู้สึกถึงรสชาติแห่งความเป็นอิสระครั้งแรกตั้งใจที่จะทำตามแผนของเธอทั้งที่แสดงออกและไม่แสดงออกแม้ว่าพ่อแม่ของเธอจะใส่โซ่หรือในกรงก็ตาม .

และพ่อแม่ที่สิ้นหวังจึงตัดสินใจหันไปหาพระผู้อภิบาลของพวกเขานั่นคือ กับฉันเพื่อที่ฉันจะได้พูดคุยกับลูกสาวของพวกเขาโดยหวังว่าฉันจะพบข้อโต้แย้งที่พวกเขาไม่ได้พบ เมื่อนั่งตรงหน้าฉันฉันพูดด้วยความรักและหนักแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้:

ฉันชอบที่จะคุยกับลูกสาวของคุณ แต่ฉันแค่สงสัยว่าเธอจะได้ยินสิ่งที่ฉันพูดกับเธอ

คุณอาจขุ่นเคือง: เหตุใดศิษยาภิบาลจึงไม่สั่งภูเขานี้ด้วยศรัทธา: "ลุกขึ้นและดิ่งลงสู่ทะเล"? ทำไมเขาไม่ให้กำลังใจพ่อแม่ผู้โชคร้าย แต่ปัญหานั้นลึกกว่าและไม่ได้มีเพียงการไม่เชื่อฟังแบบเด็ก ๆ ปีแล้วปีเล่าฉันเฝ้าดูสามีภรรยาคู่นี้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่ลงรอยกันในคริสตจักร และในจิตวิญญาณของลูกของพวกเขาพวกเขาไม่ได้ปลูกเมล็ดพืชแห่งความเคารพต่อการทำงานหนักของศิษยาภิบาลเลยแม้แต่เม็ดเดียวเพราะพวกเขาเองไม่มีมัน ในตอนเย็นในงานเลี้ยงอาหารค่ำพวกเขาเคยใส่ร้ายไม่เพียง แต่ฉันศิษยาภิบาลของพวกเขา แต่ยังเป็นรัฐมนตรีทุกคนของคริสตจักรด้วย

ดังนั้นเมื่อบอกพวกเขาว่า:“ ฉันจะทำในสิ่งที่ทำได้ แต่แทบจะไม่บรรลุผล” และเมื่อได้ยินคำถาม“ ทำไม” ฉันตอบพวกเขาว่า:

คุณไม่เชื่อฉันและฉันกลัวหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่เชื่อในจิตวิญญาณลูกสาวของคุณ

โชคไม่ดีที่ลางสังหรณ์เป็นจริง ฉันไม่สามารถโน้มน้าวเธอได้ เมื่อพวกเขาต้องการฉันเมื่อพวกเขาต้องการฉันในฐานะผู้ประกาศข่าวประเสริฐฉันต้องการ แต่ไม่สามารถช่วยพวกเขาได้เพราะพวกเขาทิ้งดินแห่งการกบฏอย่างไม่เห็นแก่ตัวซึ่งเมล็ดพันธุ์แห่งการไม่เชื่อฟังต่ออำนาจทางวิญญาณเติบโตขึ้น

สิ่งนี้มักเกิดขึ้น: เราอนุญาตให้ทำลายความสามัคคีในระดับหนึ่ง (ตัวอย่างเช่นความสามัคคีของคริสตจักรท้องถิ่น) - และตอนนี้เราเห็นด้วยความประหลาดใจว่าด้วยเหตุนี้ความสามัคคีในระดับอื่นจึงถูกทำลาย คู่รักที่มีความหมายดี แต่สับสนเหล่านี้ได้หว่านความไม่ลงรอยกันในคริสตจักรของพวกเขาและเก็บเกี่ยวชีวิตของลูกสาว

ดังที่ฉันได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ระดับความเป็นหนึ่งเดียวเหล่านี้เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกจนคุณต้องดึงด้ายเพียงเส้นเดียวและคุณจะไม่สวมเสื้อผ้าอีกต่อไป

ตามพระคัมภีร์อธิการควร "ปกครองบ้านของตนให้ดีดูแลลูก ๆ ให้เชื่อฟังด้วยความซื่อสัตย์สุจริตสำหรับใครก็ตามที่ไม่รู้วิธีปกครองบ้านของตนเองเขาจะสนใจคริสตจักรของพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่" (1 ท ธ 3: 4-5) ฉันคิดว่านี่ไม่ใช่แค่ข้อบ่งชี้เท่านั้น แต่ยังเป็นข้อสังเกตด้วย หากบุคคลไม่สามารถสร้างและรักษาความสามัคคีในครอบครัวได้แน่นอนคุณสามารถแต่งตั้งเขาเป็นศิษยาภิบาล แต่เขาจะไม่ประสบความสำเร็จในระดับที่สูงกว่านี้ สำหรับสิ่งเหล่านี้คือระดับที่อยู่ติดกันและระดับที่สองถูกสร้างขึ้นในระดับแรก

ใคร ๆ ก็รู้ว่าพระเจ้าสร้างผู้หญิงคนหนึ่งจากกระดูกซี่โครงของผู้ชาย“ ผู้ช่วยที่สอดคล้องกับเขา” (ปฐก. 2:18) - คนที่สอดคล้องกันไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชา! ความจริงข้อนี้จงใจปฏิเสธลัทธิเชาวินของผู้ชายและความโน้มเอียงของผู้ชายที่จะควบคุมผู้หญิงให้เป็นทาสหรือบ่าวของผู้ชาย

การแต่งงานแบบคริสเตียนแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่เท่าเทียมกันของคนสองคนที่ยอมอยู่ใต้อำนาจของพระเจ้าที่พระเจ้าประทานให้ในพระคริสต์ซึ่งกันและกัน การหย่าร้างมักเป็นผลมาจากความเจ็บป่วยจากการขาดการเชื่อมต่อและการต่อสู้ภายในครอบครัวเพื่อควบคุมซึ่งกันและกัน การต่อสู้ดังกล่าวเกิดขึ้นที่รากฐานของการสร้างบ้าน เราไม่ควรพยายามยืน "เหนือ" บุคคลใด ๆ - แม้กระทั่ง (หรือโดยเฉพาะ) สามีหรือภรรยา เป้าหมายของเราควรอยู่ภายใต้อำนาจของพระคริสต์และสนับสนุนให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกัน

เมื่อแทนที่จะพยายามบังคับเราเรียนรู้ที่จะสร้างแรงบันดาลใจเราจะได้รูปแบบการแต่งงานที่พระเจ้าประทานให้กลับคืนมาซึ่งมีเพียงการสร้างครอบครัวที่มีความสุขเท่านั้น

ความสามัคคีของสิ่งแวดล้อม

ดังนั้นระดับแรกของความสามัคคีคือความสามัคคีของแต่ละบุคคล ประการที่สองคือความสามัคคีในครอบครัว ระดับที่สามคือสภาพแวดล้อมของคุณเพื่อนของคุณ

ข้อมูลชิ้นแรกที่ฉันพยายามหาเกี่ยวกับคนที่ฉันจะทำงานอย่างใกล้ชิดคือข้อมูลว่าพวกเขามีเพื่อนเก่าที่สนิทหรือไม่ ความฉลาดสอนเรา: อย่าไว้ใจใครก็ตามที่ไม่สามารถมีมิตรภาพที่ภักดีและยาวนาน

ไม่มีใครสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเพื่อนเก่าได้ตลอดชีวิต แต่ก็เป็นไปได้มากที่จะยังคงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกเขาอย่างน้อยบางคน และถ้าแม้แต่เพื่อนสนิทของเขาก็ไม่สามารถเข้ากับคน ๆ หนึ่งได้ฉันจะหวังว่าจะเข้ากับเขาได้อย่างไร? และถ้ามิตรภาพที่อบอุ่นที่สุดที่คน ๆ นี้สามารถอยู่ได้ไม่เกินหกเดือนนั่นหมายความว่าคน ๆ นี้มีบางอย่างผิดปกติในขอบเขตของความสัมพันธ์

ในทางกลับกันถ้าคน ๆ หนึ่งได้ใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนเก่าความจริงข้อนี้พูดถึงบุคคลนี้เป็นอย่างมาก เป็นพยานถึงความจริงที่ว่าบุคคลได้เรียนรู้ที่จะรักษาความสงบสุขการให้อภัยความผิดและข้อบกพร่องตัวเขาเองได้รับการอภัยมากกว่าหนึ่งครั้งและฉลาดในความจริงที่ว่าทุกคนแตกต่างกันและนี่เป็นเรื่องปกติ เขารู้คุณค่าและคุณค่าของการอุทิศตน และถ้าคุณไม่มีมิตรภาพอันยาวนานกับใครคุณควรตรวจสอบรากฐานของคุณ - ระดับล่างของความเป็นหนึ่งเดียว ดังที่เราจำได้ว่าความสามัคคีทุกระดับมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและแต่ละระดับที่สูงขึ้นจะอยู่ที่ระดับล่าง

ฉันจะเรียกระดับที่สามนี้ว่า KOINONIA ในภาษากรีกซึ่งหมายถึงสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร - อาจเป็นกลุ่มที่บ้านหรือชั้นเรียนวันอาทิตย์ก็ได้ และกลุ่มคนอื่น ๆ ที่เป็นธรรมชาติและสนใจที่จะอยู่ร่วมกัน กลุ่มเล็ก ๆ เหล่านี้เป็นแหล่งสร้างความเข้มแข็งให้กับคริสตจักรท้องถิ่น ฉันเคยได้ยินคำเทศนาต่อต้านกลุ่มนิยม คำเทศนาดังกล่าวเป็นเรื่องโง่เขลา คุณไม่สามารถเป็นเพื่อนสนิทกับทุกคนได้ คุณจะเลือกคนที่คุณรู้สึกเหมือนเป็นญาติกัน เป็นเพื่อนและเป็นมิตรกับคนอื่น ๆ

เราทุกคนพบเจอผู้คนใหม่ ๆ และได้เพื่อนใหม่ แต่จะดีแค่ไหนเมื่อผู้คนรักมิตรภาพเก่า ๆ และพยายามรักษาไว้! ความสำคัญของความสัมพันธ์ระยะยาวที่ลึกซึ้งและไว้วางใจนั้นอยู่เหนือสิ่งอื่นใดในการที่ลูก ๆ ของคุณเฝ้าดูพวกเขาอย่างใกล้ชิด และเมื่อเหตุผลบางประการที่พวกเขาไม่สามารถคุยกับคุณได้พวกเขารู้ว่าพวกเขาสามารถหันไปหาเพื่อนเก่าของคุณได้ คุณเชื่อใจพวกเขาอย่างสมบูรณ์และครอบครัวของคุณก็รู้เรื่องนี้

ฉันจำได้ว่าฤดูร้อนเมื่อลูกสาวของเพื่อนคนหนึ่งมาหาฉันพร้อมกับปัญหาของเธอ เธอเจอเรื่องราวที่น่ารังเกียจและกลัวที่จะบอกพ่อของเธอ - เพราะก่อนอื่นเธอคิดว่าพ่อของเธอจะไม่มีวันให้อภัยเธอ แล้วเธอก็มาหาฉันพร้อมกับคำว่า "ตอนนี้ฉันไม่รู้จะทำอะไร" และฉันรับรองเธอ:

ฉันรู้จักพ่อของคุณแล้ว เขารักคุณมากเขาจะให้อภัยแน่นอน!

วันหรือสองวันเราอธิษฐานร่วมกันเพื่อขอวิธีแก้ปัญหาของเธอและในที่สุดเธอก็มาหาฉันและพูดว่า:

โอเคฉันอยากคุยกับเขา

ด้วยความยินดีอย่างเงียบ ๆ ฉันตอบว่า:

ฉันจะไปหาพ่อของคุณ คุณต้องการให้ฉันเตรียมเขาเล็กน้อยหรือไม่ "เธอกล่าวว่า:

ได้โปรดทำ ฉันกลัวว่าเมื่อเขาเข้ามาในห้องนี้ลิ้นของฉันจะถูกพรากไป

ฉันวิ่งไปหาพ่อของหญิงสาวเพื่อนของฉัน เป็นการสนทนาที่ยากที่สุดครั้งหนึ่งที่ฉันเคยมี ฉันเอาแขนไปโอบไหล่เขาแล้วพูดว่า:

ฉันต้องการที่จะบอกคุณบางสิ่งบางอย่าง. ลูกสาวของคุณทำผิดเธอกำลังมีปัญหา แต่ทุกอย่างจะได้ผล เธอมาหาฉันเพราะเธอรู้ว่าคุณและฉันเชื่อใจกันมาหลายปีแล้วและตอนนี้ฉันมาหาคุณเพื่อบอกคุณว่าเธอต้องการคุยกับคุณ

เพื่อนเข้าไปในห้องที่ลูกสาวของเขารออยู่ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรัก พวกเขาตัดสินทุกอย่างความผิดพลาดและบาดแผลทั้งหมดอยู่ในอดีต ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาเขามาหาฉันและพูดได้แค่ว่า:

ฉันไม่สามารถบอกได้ว่าฉันเป็นหนี้คุณมากแค่ไหน

ไม่ฉันพูดง่ายๆว่าคุณไม่ได้เป็นหนี้อะไรฉันเลย ทุกสิ่งที่คุณเป็นหนี้ฉันคุณได้มอบมิตรภาพของคุณให้ฉันแล้ว

และฉันบอกเขาว่าฉันรู้แน่ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับลูก ๆ พวกเขาก็จะมาหาเขาเช่นกัน และอีกสองปีต่อมาเมื่อครอบครัวของฉันต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างยากลำบากไม่มีใครอื่นนอกจากเพื่อนเก่าของฉันคนนี้ที่ช่วยเรา ฉันขอให้คุณเป็นเพื่อนทุกคน นี่คือความสามัคคีของสิ่งแวดล้อม

ฉันเชื่อว่ามีความจำเป็นที่ในร่างกายของพระคริสต์จะมีกลุ่มที่เชื่อมแน่นซึ่งบุคคลจะได้รับการสนับสนุนและการสนับสนุนอยู่เสมอ นี่คือหินที่โบสถ์สร้างขึ้น มันไม่ได้สร้างขึ้นจากเม็ดทรายที่มีบุคลิก มาเป็นเพื่อนกันเถอะเราจะรักและหวงแหนมิตรภาพ!

คริสตจักรบางแห่งทำเช่นนี้ผ่านกลุ่มที่บ้านส่วนบางคริสตจักรใช้เวลาเรียนในโรงเรียนวันอาทิตย์หรือกิจกรรมพิเศษเพื่อสร้างมิตรภาพ อย่างไรก็ตามมันไม่สำคัญมากว่าเราจะทำอย่างไร สิ่งสำคัญคือเราต้องทำเช่นนี้ เพราะมันอยู่บนความเชื่อมโยงเหล่านี้บนความสามัคคีของกลุ่มเล็ก ๆ เหล่านี้ไม่ว่าเราจะเรียกอะไรก็ตามที่สร้างความสามัคคีของศาสนจักร

ความสามัคคีของคริสตจักรท้องถิ่น

ความสามัคคีระดับที่สี่คือความสามัคคีของคริสตจักรท้องถิ่น คริสตจักรท้องถิ่นของคุณจะไม่เป็นหนึ่งเดียวกันจนกว่าจะมีความสามัคคีในครอบครัวของคุณและในสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับครอบครัวของคุณ

เมื่อพระเจ้ารวบรวมกลุ่มคนที่มุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายร่วมกันและแบ่งปันมุมมองร่วมกันเกี่ยวกับการเรียกของพวกเขาในพระเจ้าความสามัคคีของคริสตจักรท้องถิ่นจึงเกิดขึ้น

นั่นคือเหตุผลที่คุณควรต้องการเฉพาะคนที่พระเจ้าส่งคุณมาที่คริสตจักรในพื้นที่ของคุณเท่านั้นเพราะจุดประสงค์ของพวกเขาสอดคล้องกับคุณ และแม้ว่าในทางกลับกันการมองเห็นของพวกเขาจะเติมเต็มคุณและในทางกลับกัน แต่โดยทั่วไปคุณเห็นสิ่งเดียวกันคุณก็เห็นในความเป็นจริงดังนั้นในกรณีใด ๆ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำคนตาบอดของคนตาบอดหรือมีส่วนร่วมในบทสนทนาของ หูหนวก. ใช่แน่นอนคุณยอมรับว่าทุกคนมีอาชีพของตัวเองและถ้าคุณไม่เห็นบางสิ่งที่อีกฝ่ายเห็นนั่นหมายความว่าเขาคนอื่น ๆ พูดว่ามีหนังสืออยู่ในมือเท่านั้น: ปล่อยให้เขาทำ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้เขาทำและสิ่งที่เขาสั่งให้เขาทำผ่านพระคำของพระองค์ ค้นหาการโทรของคุณและติดตามว่าจะนำคุณไปที่ใด

การสร้างความสามัคคี - ครอบครัวและกลุ่มที่มีใจเดียวกัน - สร้างความสามัคคีของคริสตจักร ฉันได้กล่าวถึงคำเทศนาต่อต้าน "กลุ่มนิยม" แล้ว แน่นอนว่าหากมีการสร้างกลุ่มโดยมีจุดประสงค์เพื่อก่อให้เกิดความไม่ลงรอยกันในคริสตจักรท้องถิ่นทัศนคติที่สำคัญต่อพวกเขาก็เป็นสิ่งที่ชอบธรรม อย่างไรก็ตาม "koinonia" ที่ฉันพูดถึงข้างต้นไม่มีอยู่นอกกลุ่มคนเล็ก ๆ ที่เชื่อมโยงกันด้วยผลประโยชน์ส่วนรวมและวิถีชีวิตร่วมกัน นั่นหมายความว่าคริสตจักรท้องถิ่นไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากไม่มีกลุ่มเหล่านี้

หากคุณเห็นรอยแตกที่ผนังบ้านคุณก็สามารถตีมันขึ้นมาได้สักพักกำแพงจะดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกว่าอากาศจะเปลี่ยนแปลงหรือดินจะทรุดตัวลง แต่รอยแตกจะลึกกว่าก่อนที่คุณจะปิดทับ และจำเป็นจนกว่าอาคารทั้งหลังจะแตกร้าวเพียงเพื่อเสริมสร้างรากฐาน

วิธีเดียวที่จะป้องกันการสลายตัวในระดับที่สูงขึ้นคือการเสริมความแข็งแกร่งให้กับคนที่ต่ำกว่า หลังจากที่คุณเสริมความแข็งแรงของฐานรากแล้วคุณสามารถปกปิดรอยแตกในผนังได้ - มันจะไม่ปรากฏขึ้นอีก ควรปฏิบัติตามกฎเดียวกันทุกครั้งที่มีปัญหาเกิดขึ้นในทุกระดับชีวิตของคุณ คุณสามารถฟื้นฟูความสามัคคีของจิตวิญญาณครอบครัวความสามัคคีของคุณกับเพื่อน ๆ และคริสตจักรในพื้นที่ของคุณ

นี่คือตัวอย่าง ศิษยาภิบาลไม่สามารถหวังว่าจะแก้ปัญหาความขัดแย้งได้เพียงแค่ประกาศเกี่ยวกับอันตรายของพวกเขา นี่ก็เหมือนกับการปกปิดรอยร้าว ถ้าเป็นศิษยาภิบาลที่ฉลาดเขาก็จะไปหาคนกลุ่มเล็ก ๆ บางครอบครัวโดยมีคำถามว่า "เกิดอะไรขึ้นเราจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร" เขาจะทำงานร่วมกับกลุ่มเหล่านี้และครอบครัวเหล่านี้เพื่อสร้างรากฐาน และหลังจากนั้นวันอาทิตย์ที่ดีวันหนึ่งเขาจะออกมาต่อหน้าคนทั้งคริสตจักรและเทศนาเรื่องความสามัคคีเพราะตอนนี้มันเป็นไปได้แล้วที่จะ "ปกปิดรอยแตกร้าวในกำแพง" - มันจะไม่ปรากฏขึ้นอีก

หากความขัดแย้งลุกลามเข้ามาในคริสตจักรโดยปกติแล้วจะไม่มีการเทศนาใดหยุดยั้งพวกเขาได้ จำเป็นต้องเดินตามรอยแตกไปยังฐานของมันค้นหากลุ่มเล็ก ๆ ที่เกิดการแบ่งส่วนและทำความเข้าใจในระดับนี้ เมื่อคุณแข็งตัวฐานรอยแตกจะหายไปเอง เราไม่ควรพยายามคืนความเป็นเอกภาพในระดับที่มีการค้นพบการขาดการเชื่อมต่อ คุณต้องลดลงเสมอคุณต้องเสริมฐาน

การแต่งงานก็เช่นกัน หากคุณกำลังมีปัญหาในชีวิตสมรสสิ่งแรกที่คุณไม่ควรถามตัวเองคือ "เกิดอะไรขึ้นกับการแต่งงานของฉัน" เช่นเดียวกับการปกปิดรอยแตกในผนัง แต่สิ่งแรกที่คุณต้องถามตัวเองคือ "เกิดอะไรขึ้นกับฉัน?" เมื่อคุณเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณแล้วคุณจะสามารถเสริมสร้างรากฐานของบุคลิกภาพของคุณให้มั่นคงซึ่งจากนั้นคุณจะเริ่มเสริมสร้างชีวิตสมรสของคุณ - ระดับความสามัคคีระหว่างคุณและคู่สมรสที่สูงขึ้นและซับซ้อนมากขึ้น

ความสามัคคีระหว่างคู่สมรส

ความสามัคคีระดับที่ห้าคือความสามัคคีระหว่างกลุ่มคริสตจักรหรือสมาคม และในที่สุดสหภาพในพระคริสต์จะเข้มแข็งพอที่จะทำลายฐานที่มั่นพิชิตเมืองและการอัศจรรย์เมื่อใด

ลองคิดดูว่าถ้าคริสตจักรพ่นพลังงานทั้งหมดที่ใช้ไปกับการรักษาเอกภาพภายในกำแพงทั้งสี่ของมันเวลาและความพยายามของสมาชิกคริสตจักรที่บันทึกไว้ในการทะเลาะวิวาทภายในที่ไม่ได้เริ่มต้นหรือหยุดลงตามเวลาจะถูกนำไปสู่การบรรลุความสามัคคี ในเมืองของพวกเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างคริสตจักรท้องถิ่นของนิกายคริสเตียนที่แตกต่างกัน ท้ายที่สุดนี่คือสิ่งที่เราต้องการในตอนนี้: แทนที่ใบเรือสำหรับสายลมทั้งหมดก้าวไปสู่เป้าหมายช่วยโลก แต่เราพยายามอย่างยิ่งที่จะตักน้ำออกจากที่เก็บเพื่อช่วยรักษาผิวหนังของเรา

แต่เมื่อบรรลุความสามัคคีภายในคริสตจักรท้องถิ่นแล้วเราก็สามารถถ่ายทอดความพยายามของเราไปสู่ระดับที่สูงขึ้นหยุดการสูญเสียพลังงานของเรา จากนั้นการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสามัคคีจะเริ่มขึ้นทั่วเมืองทั่วทั้งอำเภอ และตอนนี้คริสตจักรและสมาคมคริสตจักรต่าง ๆ เริ่มรวมตัวกันและเห็นว่า“ พวกเขา” ไม่ใช่ศัตรู และสิ่งดีๆก็เริ่มเกิดขึ้น! เราสับสนมากที่พยายามคิดว่าศัตรูของเราอยู่ที่ไหน แต่เรามีศัตรูร่วมกันคนหนึ่งคือลูซิเฟอร์ และยิ่งไปกว่านั้นหนึ่งเดียว และยังมีคนอื่น ๆ ที่อาจทำให้คุณรำคาญและไม่พอใจคุณ แต่พวกเขาไม่ใช่ศัตรู ศัตรูอาจใช้เป็นเครื่องมือ แต่พวกเขาไม่ใช่ศัตรู แม้ว่าพวกเขาจะยิงคุณพวกเขาก็ยังไม่ใช่ศัตรู มีใครบางคนสั่งให้พวกเขาเชื่อพวกเขา และถ้าคุณไปที่แหล่งนั้นรากแรงจูงใจหากคุณคิดออกว่าใครหรืออะไรกำลังนำกระสุนของพวกเขาปัญหาก็จะสามารถแก้ไขได้ มองหารองพื้น.

ก่อนที่เราจะไปสอนเมืองของเราเราต้องเปลี่ยนวิธีคิดของเรา ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเลิกเป็นผู้เลี้ยงแกะในคริสตจักรของเราและเริ่มเป็นผู้เลี้ยงแกะในเมืองของเรา ตราบใดที่คุณคิดว่าตัวเองเป็นแค่ผู้เลี้ยงแกะของคริสตจักรนั่นคือทั้งหมดที่คุณจะมี แต่เมื่อคุณสามารถคิดว่าตัวเองเป็นผู้เลี้ยงแกะของเมืองของคุณการฟื้นฟูจะมาถึงเมืองนั้น ถึงเวลาที่ผู้พิทักษ์ของพระเจ้าจะยืนอยู่ที่ประตูและปกป้องเมืองของคุณ!

ความผิดส่วนใหญ่ของสิ่งที่เกิดขึ้นกับเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์คือการอยู่กับโลทเพราะเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่เขาได้รับมอบอำนาจให้ทำ พระคัมภีร์บอกเราว่า "โลทนั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม" (ปฐมกาล 19: 1) หากคุณเป็นยามที่ประตูนั่นหมายความว่าคุณมีอำนาจเหนือทุกสิ่งที่เข้ามาและสิ่งที่ออกมา คุณมีสิทธิ์ที่จะพูดว่า: เราจะไม่ปล่อยสิ่งนี้ออกไปจากเมืองของเรา - แต่เราจะไม่ปล่อยให้สิ่งนี้เข้ามา แต่เห็นได้ชัดว่าโลทยอมจำนนต่อแรงกดดันบางอย่างจากชาวเมืองกลายเป็นผู้พิทักษ์ที่ปฏิบัติตามได้จนเขาเมินเฉยต่อทุกสิ่งที่เขาต้องต่อต้านแทรกซึมเข้ามาในเมืองของเขา

บางทีเขาอาจจะคิดว่า: "ทั้งหมดที่อยู่ในอำนาจของฉันคือการป้องกันไม่ให้ครอบครัวของฉันได้รับอันตราย" แต่กลับกลายเป็นว่าเขาไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้เช่นกัน ลูกสาวทั้งสองของเขาเสียหายอย่างมากจากอิทธิพลของเมืองโสโดมหลังจากที่พวกเขาออกจากเมืองนี้ที่ถูกทำลายโดยพระเจ้าพวกเขาตัดสินใจว่า: "ดังนั้นให้เราดื่มเหล้าองุ่นให้พ่อของเราและนอนกับเขาและยกเผ่าจากพ่อของเรา" ( ปฐมกาล 19:32) ... และแท้จริงพวกเขาก่อให้เกิดสองเผ่าศัตรูนิรันดร์ของอิสราเอลสองคนคือชาวโมอับและคนอัมโมน ดังนั้นในขณะที่โลทคิดว่าเขากำลังทำทุกอย่างเพื่อช่วยครอบครัวของเขาให้รอดพ้นจากความชั่วร้ายอิทธิพลของเมืองโซโดมก็เข้ามารุกรานบ้านของเขาอย่างรุนแรงทำให้มันเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้ เราควรหยุดคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ และเริ่มคิดในแง่ของทั้งเมืองซึ่งเป็นส่วนสำคัญของอาณาจักรแห่งพระเจ้า

ตอนนี้เราอยู่ที่จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวใหม่ที่กระทรวงและคริสตจักรกำลังสร้างความสัมพันธ์กับพี่น้องที่ไม่ถูกต้องซึ่งอยู่ห่างจากพวกเขา 300 กิโลเมตรที่ไหนสักแห่งในอีกฟากหนึ่งของประเทศ พระเจ้าทรงเริ่มสร้าง "คริสตจักรในเมือง" - ความสัมพันธ์ของพี่น้องที่พร้อมจะยืนเคียงข้างคุณที่ประตูเมืองของคุณ และเมื่อเรายืนอยู่ด้วยกันโดยไม่สามารถทำลายได้ที่ประตูพระกายของพระคริสต์จะได้รับสิทธิอำนาจเหนือทุกสิ่งที่เข้ามาในเมืองของเราและจากที่นั่น และตราบใดที่เราเฝ้าดูบ้านหลังเล็ก ๆ ของเราหรือการประชุมเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคริสตจักรเมืองของเราก็จะได้รับบาปและความโชคร้าย เราเป็นผู้พิทักษ์ของพระเจ้าและที่ของเราอยู่ที่ประตู สำหรับเราแต่ละคนพระเจ้าทรงกำหนดให้เขาอดอาหารที่ประตูเมือง และถ้าคุณปฏิบัติหน้าที่แล้ว แต่ฉันยังไม่ได้อยู่เมืองนี้ก็ยังตกอยู่ในอันตราย ถึงเวลาที่เราจะต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อที่จะออกมายืนอยู่ที่ประตูเมืองด้วยกัน!

แต่คุณไม่สามารถช่วยเมืองได้หากคุณยังไม่ได้ตัดสินใจว่าคุณต้องการเป็นผู้เลี้ยงแกะของเมืองนี้ บางทีคุณอาจอยากเป็นครู? หรือชาวนา? “ ... พยายามเรียกร้องและการเลือกตั้งให้เข้มแข็ง” (2 ปต. 1:10)

และรับฟังหากคุณไม่แน่ใจว่าต้องการอะไรและสามารถเป็นผู้เลี้ยงแกะได้ให้ทำอย่างอื่น เริ่มต้นด้วยการเพิ่มความสามัคคีส่วนตัว ส่งเสริมความสามัคคีในครอบครัว เสริมสร้างความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสของคุณในวงเพื่อนในคริสตจักรของคุณ หากไม่มีความสามัคคีในบ้านของคุณคุณแทบจะไม่สามารถต่อสู้เพื่อเอกภาพในคริสตจักรได้สำเร็จ หากคริสตจักรในพื้นที่ของคุณไม่มีความสามัคคีคุณจะไม่มีที่ใดที่จะดึงพลังเพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่คริสตจักรในเมืองของคุณ หากคุณยกย่องตัวเองให้อยู่เหนือเมืองพยายามยืน "เหนือ" ผู้คนเมืองแทบจะไม่ฟังคุณเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าคุณรับใช้เมืองของคุณเมืองนั้นจะติดตามคุณและคุณจะนำไปสู่: ในการอธิษฐานในการพยากรณ์ในการเลี้ยงแกะ เลิกกลัวความคิดเห็นของผู้คน - และคุณจะสามารถมองเข้าไปในดวงตาของคนทั้งเมืองได้อย่างกล้าหาญและรับใช้ร่วมกับผู้พิทักษ์ของพระเจ้าคนอื่น ๆ ที่ประตูเมืองและสร้างเอกภาพที่แท้จริงซึ่งพระเจ้าของเราจะส่งการฟื้นฟู!

พ่อสอนความภักดี! สอนให้ฉันเป็นผู้พิทักษ์อย่างน้อยประตูเล็ก ๆ ที่คุณมอบให้ฉัน ผู้พิทักษ์ชีวิตของตัวเองครอบครัวเพื่อนของฉัน เมื่อฉันสรรเสริญคุณฉันต่อต้านการแยกจากกันฉันภาวนาว่าเราจะกลายเป็น "หนึ่งเดียว": หนึ่งหัวใจหนึ่งบ้านหนึ่งร่างกาย แล้วข้า แต่พระเจ้าช่วยเราผ่านไปยังเมืองของเรา!

พรมแดนเป็นภาพลวงตาสิ่งประดิษฐ์ของจิตสำนึกที่ซ่อนความสามัคคี
เส้นขอบถูกสร้างขึ้นโดยการระบุและความแตกต่าง เมื่อสติสัมปชัญญะถูกระบุไว้กับร่างกายความคิดเกี่ยวกับ "ร่างกายของฉัน" และ "ร่างกายอื่น ๆ " ก็เกิดขึ้นมีการแยกออกเป็นฉันและไม่ใช่ฉัน ไม่มีอะไรผิดปกติกับสิ่งนี้ แต่เป็นการระบุตัวตนและความเชื่อ (สะสมเกี่ยวกับการระบุตัวตนเหล่านี้) ที่นำไปสู่ความทุกข์ในที่สุด
การทำให้ขอบเขตเบลอคือการกำจัดการระบุตัวตนและความเชื่ออื่น ๆ ในการแบ่งแยกซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จของความเป็นหนึ่งเดียว
ขอบเขตเป็นเพียงรูปลักษณ์ที่มีอยู่ในโลกที่ประจักษ์ ในระดับที่สูงขึ้นของจิตสำนึกไม่มีขอบเขตเนื่องจากทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียว
เมื่อคุณเห็นอีกคนคุณจะเห็นเพียงร่างกายเท่านั้น ร่างกายแตกต่างกันแน่นอนว่าคุณคิดว่าฉันเป็นฉันและเขาคือเขา มีการระบุและเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับร่างกาย เห็นได้ชัดว่าร่างกายแตกต่างกันและมีขอบเขต แต่มีขอบเขตระหว่างความคิดของเขาและของคุณหรือไม่? คุณไม่มีเช่นนั้นหรือที่คุณ "อ่านความคิดของใครบางคน"? หรือคนของคุณ? บางทีพวกเขาอาจจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่หรือพวกเขาก็พูดในสิ่งเดียวกัน? ดังนั้นขอบเขตในระดับของจิตใจจึงไม่ชัดเจน
นอกเหนือจากจิตใจ (อัตตาตัวตนจอมปลอม) ไม่มีขอบเขตไม่มีความรู้สึกแบ่งแยกทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นการลบขอบเขตจึงนำไปสู่ความสำเร็จของ Unity อย่างสม่ำเสมอ
Unity คืออะไร? ขาดการระบุตัวตนและความแตกต่างขาดความรู้สึกแยกจากกันการไม่มี "ฉัน" และ "ไม่ใช่ฉัน" ทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีความกังวลไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์ มี แต่ความสุขชั่วนิรันดร์และไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งมักเรียกอีกนัยหนึ่งว่า: ความสุขความรักความสุขความสงบนิพพานการตรัสรู้เป็นต้น สถานะนี้บางครั้งเกิดขึ้น (สั้น ๆ ) ในการทำสมาธิแบบฝึกหัดเมื่อใช้เทคนิคการทำให้ไม่สามารถระบุตัวตน (เช่นการทำงานกับคู่) เช่นเดียวกับในชีวิตปกติโดยไม่ (หรือภายนอก) การปฏิบัติใด ๆ
การลบขอบเขตสามารถทำได้อย่างตั้งใจแม้ว่าการลบขอบเขตอาจเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่เนื่องจากตัวตนและความเชื่อเกี่ยวกับตนเองผู้อื่นและชีวิตโดยทั่วไปมีจำนวนมาก อย่างไรก็ตามคุณสามารถลอง นั่งสบาย ๆ หลับตาและผ่อนคลาย จำเป็นที่จะต้องไม่มีสิ่งใดมารบกวนหรือกวนใจเพื่อให้ความสนใจปราศจากปัญหาและความกังวล ฉันจะยกตัวอย่างการลบขอบเขตระหว่างตนเองกับพระเจ้า - บรรลุความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
คุณมุ่งความสนใจไปที่ตนเองแล้วจึงไปที่พระเจ้า "ฉัน" ของคุณคือชุดของการระบุตัวตนและความเชื่อเกี่ยวกับตัวคุณเอง พระเจ้ายังเป็นแหล่งรวบรวมความเชื่อของคุณเกี่ยวกับพระองค์ ความเชื่อเหล่านี้สร้างขอบเขต โดยไม่ต้องเร่งรีบคุณมองหาความเหมือนและความแตกต่างค้นหาความเชื่อทั้งหมดเกี่ยวกับตัวคุณและพระเจ้า ใช้เวลาสักพัก. ควรเข้าใจว่าความคิดทั้งหมดของคุณเกี่ยวกับตัวคุณและพระเจ้าเป็นเพียงชุดความคิด (การระบุตัวตนความเชื่อ) ไม่มีอะไรเพิ่มเติม
จากนั้นมองอย่างใกล้ชิดและพยายามรู้สึกว่ามีพรมแดนกั้นระหว่างคุณกับพระเจ้าในตอนนี้หรือไม่ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือที่ที่ฉันสิ้นสุดและพระเจ้าเริ่มต้น หากมีเส้นขอบ (สำหรับคุณ) คุณจะรู้สึกได้และในกรณีนี้คุณต้องพิจารณา (รู้สึก) ในรายละเอียดทั้งหมดว่ามันประกอบด้วยอะไรอยู่ที่ไหนในระยะเท่าใดมีความหนาแน่นหรือไม่ และลักษณะอื่น ๆ สำรวจเส้นขอบนี้ในทุกรายละเอียดอย่างละเอียดและครบถ้วน พิจารณาความเชื่อความรู้สึกและความรู้สึกทั้งหมดของคุณเกี่ยวกับขอบเขตนี้
การลบขอบเขตเกิดขึ้นโดยการตรวจสอบอย่างรอบคอบ เมื่อคุณตรวจสอบขอบเขตอย่างถี่ถ้วนคุณจะรู้สึกว่ามันเริ่มเปลี่ยนแปลงหลุดลอยและหายไป จากนั้นคุณจะเริ่มเข้าใจว่านี่เป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ของจิตสำนึกเป็นเพียงความเชื่อ และเนื่องจากความเชื่อเป็นเพียงภาพลวงตาขอบเขตที่ประกอบด้วยภาพลวงตาเหล่านี้จึงถูกลบหายไป เมื่อขอบเขตที่กำหนดไว้ถูกลบไปความสามัคคีดั้งเดิมความสมบูรณ์ยังคงอยู่
เมื่อขอบเขตหายไปความคิด“ ฉันกับพระเจ้า” อาจปรากฏขึ้น - หนึ่ง วลี "ฉันกับพระเจ้า" บ่งบอกถึงการแยกจากกันที่ยังเหลืออยู่ ท้ายที่สุดแล้วมีเพียงความเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีป้ายกำกับเช่น "ฉัน" และ "พระเจ้า" ไม่มีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และไม่มีความรู้สึกแบ่งแยก
ยิ่งการระบุตัวตนและความเชื่อสะสมมากขึ้นการลบข้อมูลก็จะยิ่งนานขึ้นเท่านั้น หากเทคนิคการลบเส้นขอบช้ามากและไม่มีผลลัพธ์ที่น่าทึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องทำในตอนนี้ บางทีเทคนิคอื่น ๆ ที่แนะนำในไซต์อาจมีประสิทธิภาพมากกว่าในกรณีนี้
การลบขอบเขตสามารถทำได้โดยสัมพันธ์กับสิ่งใดก็ตามที่คุณรู้สึกแยกกัน (กับใคร) แต่อีกครั้งนี่จะไม่ใช่เทคนิคที่เหมาะสมในทุกกรณี บางทีก่อนอื่นคุณต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับความเชื่อของคุณเกี่ยวกับตัวเองเพื่อให้เกิดความไม่ลงรอยกัน
การบรรลุความเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่ถ้อยคำที่ถูกต้องนักเพราะสิ่งที่คุณพยายามจะบรรลุนั้นมีอยู่แล้วและเป็นมาตลอด นี่ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ถูกลืม ความสามัคคีมีอยู่แล้วคุณเพียงแค่ต้องกำจัดขอบเขตลวงตาที่ทำให้คุณไม่รู้ตัว

ความเป็นจริงที่สูงขึ้น UNITY
ในการอธิบายปรากฏการณ์นี้คุณต้องใช้คำที่แน่นอนว่าไม่สะท้อนความจริง แต่สามารถใช้เป็นตัวชี้ให้เห็นได้ ดังนั้นเราอย่ายึดติดกับคำพูด แต่พยายามดูว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลัง
ความเป็นจริงสูงสุดคือหนึ่ง
ความเป็นหนึ่งเดียวหมายถึงการไม่มีการแยกจากกัน (ความรู้สึกแบ่งแยก) การแยกจากกันเริ่มต้นด้วยความรู้สึก“ ฉัน” และ“ ไม่ใช่ฉัน”: ฉันแยกจากคนอื่นฉันแยกจากสิ่งนี้สิ่งนี้จากพระเจ้าและอื่น ๆ เมื่อมีการแยกจากกันทัศนคติต่อสิ่งที่“ แตกต่าง” เกิดขึ้นตำแหน่งที่แน่นอนบทบาทในการเล่นเกิดขึ้นจากนั้น - การตรึงในตำแหน่งหรือบทบาทนี้ซึ่งนำไปสู่การสะสมประสบการณ์ของการแยกจากกันซึ่งขัดขวางไม่ให้ตระหนักถึง ความสามัคคี. แน่นอนว่าการแยกจากกันเป็นเพียงภาพลวงตากลลวงของจิตใจแม้ว่ากลอุบายนี้จะค่อนข้างสมจริงและน่าเชื่อก็ตามใช่หรือไม่? วิธีกำจัดภาพลวงตาของการแยกจากกันอ่านบทความก่อนหน้า“ บรรลุความสามัคคี”
ความจริงสูงสุดคือความสามัคคี
เมื่อไม่มีการแบ่งเป็น "ฉัน" และ "ไม่ใช่ฉัน" ก็จะไม่มีความตึงเครียดความเป็นศัตรูความวิตกกังวลการต่อสู้ของสิ่งตรงข้าม (ไม่มีความเป็นคู่) เพราะทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด ความแตกแยกมาจากไหนใน Unity? ความไม่ลงรอยกันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีมากกว่าหนึ่งเท่านั้นนั่นคือหากมีภาพลวงตาของการแยกจากกัน เมื่อไม่มีตัวตน (แยก) ใครจะประสบกับความแตกแยก? ใครสามารถพูดได้ว่ามีความแตกแยก?
ความจริงสูงสุดคือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข
ไม่มีเงื่อนไข - เพราะไม่มีใครกำหนดเงื่อนไขไม่มี "ฉัน" ส่วนตัวแยกจากกัน (ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างคือหนึ่งเดียว) ความรัก - เพราะไม่มีความแตกแยกไม่มีความสัมพันธ์แบบวัตถุไม่มีความตึงเครียดการต่อสู้ความวิตกกังวล
ความจริงสูงสุดคือความสุข
ความสุข - เพราะไม่มีปัญหาความกลัวความปรารถนาเป้าหมาย เมื่อมี แต่ความเป็นหนึ่งเดียวเมื่อไม่มีตัวตนที่แยกจากกันใครจะบอกว่ามีปัญหา? ไม่มีการแบ่งแยกระหว่าง "ฉัน" และ "ปัญหา" ใครและอะไรจะกลัวเมื่อทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียว? ไม่มีการแยกระหว่าง "ฉัน" กับวัตถุที่ต้องการดังนั้นความปรารถนามาจากไหน? อะไรจะเป็นเป้าหมายได้เมื่อไม่มีการแบ่งออกเป็น“ ผู้ปรารถนา” และ“ เป้าหมายแห่งความมุ่งมั่น”? จิตใจสร้างความแตกแยกและผลที่ตามมาทั้งหมดของการแบ่งนั้น ไม่มีจิตใจไม่มีผลที่ตามมา มีเพียงความสุขในช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปชั่วนิรันดร์ในขณะนี้
ความจริงสูงสุดคือความสุข
เพราะไม่มีตัวตนแยกต่างหากที่สามารถพูดว่า "ฉันไม่มีความสุข" ไม่มี "ฉัน" และ "สถานการณ์ที่ทำให้ฉันไม่มีความสุข" ไม่มีการแบ่งส่วนนี้มีเพียง Unity
ในความเป็นจริงสูงสุดไม่มีการปฏิเสธสิ่งที่แนบมาการพึ่งพาความชอบไม่มีความรู้สึกว่าบางสิ่งสำคัญกว่าสิ่งอื่น
ความเป็นจริงสูงสุดเป็นสภาวะที่อยู่เหนือภาพลวงตา ดังนั้นความจริงสูงสุดจึงสามารถเรียกได้ว่าเป็นความจริงสูงสุด
ในความเป็นจริงทุกสิ่งที่เขียนไว้ข้างต้นเกี่ยวข้องกับคำอธิบายของการตรัสรู้
เป็นไปได้หรือไม่ที่จะรับรู้ถึงความเป็นจริงสูงสุดด้วยประสบการณ์ของตนเอง? คุณสามารถพูดว่า“ ใช่” แต่ในช่วงเวลาแห่งการรับรู้นั้นจะไม่ใช่“ ประสบการณ์ของคุณเอง” อีกต่อไปเพราะจะไม่มีการแบ่งส่วน“ ฉัน” และ“ ประสบการณ์” จำไว้ว่าอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ความเป็นหนึ่งเดียวคือภาพลวงตา
กำจัดภาพลวงตาได้สำเร็จ! ให้เทคนิคการรู้แจ้งที่อธิบายไว้ในเว็บไซต์นี้ช่วยคุณในเรื่องนี้

พรมแดนเป็นภาพลวงตาสิ่งประดิษฐ์ของจิตสำนึกที่ซ่อนความสามัคคี

เส้นขอบถูกสร้างขึ้นโดยการระบุและความแตกต่าง เมื่อสติสัมปชัญญะถูกระบุไว้กับร่างกายความคิดเกี่ยวกับ "ร่างกายของฉัน" และ "ร่างกายอื่น ๆ " ก็เกิดขึ้นการแยกออกเป็นฉันและไม่ใช่ฉันเกิดขึ้น ไม่มีอะไรผิดปกติกับสิ่งนี้ แต่เป็นการระบุตัวตนและความเชื่อ (สะสมที่เกี่ยวข้องกับการระบุเหล่านี้) ที่นำไปสู่ความทุกข์ทรมานในที่สุดซึ่งอธิบายไว้ในบทความอัตตา - สาเหตุของปัญหาความทุกข์และความหดหู่และวัสดุอื่น ๆ บนเว็บไซต์ .

การลบขอบเขตคือการกำจัดการระบุตัวตนและภาพลวงตาอื่น ๆ ของชีวิตซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จของความเป็นหนึ่งเดียว

ขอบเขตเป็นเพียงรูปลักษณ์ที่มีอยู่ในโลกที่ประจักษ์ ในระดับที่สูงขึ้นของจิตสำนึกไม่มีขอบเขตเนื่องจากทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียว

เมื่อคุณเห็นอีกคนคุณจะเห็นเพียงร่างกายเท่านั้น ร่างกายแตกต่างกันแน่นอนคุณคิดว่าฉันเป็นฉันและเขาคือเขา มีการระบุและเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับร่างกาย เห็นได้ชัดว่าร่างกายแตกต่างกันและมีขอบเขต แต่ความคิดของเขากับคุณมีขอบเขตไหม? คุณไม่มีเช่นนั้นหรือที่คุณ "อ่านความคิดของใครบางคน"? หรือคนของคุณ? บางทีพวกเขาอาจเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่หรือพวกเขาก็พูดในสิ่งเดียวกัน? ดังนั้นขอบเขตในระดับของจิตใจจึงไม่ชัดเจน

นอกเหนือจากจิตใจ (อัตตาหรือตัวตนจอมปลอม) ไม่มีขอบเขตไม่มีความรู้สึกแบ่งแยกทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นการลบขอบเขตจึงนำไปสู่ความสำเร็จของ Unity อย่างสม่ำเสมอ

Unity คืออะไร? ขาดการระบุตัวตนและความแตกต่างขาดความรู้สึกแยกจากกันไม่มี "ฉัน" และ "ไม่ใช่ฉัน" ทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีความกังวลไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์ มี แต่ความสุขชั่วนิรันดร์และไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งมักเรียกอีกนัยหนึ่งว่า: ความสุขความรักความสุขความสงบนิพพานการตรัสรู้เป็นต้น สถานะนี้บางครั้งเกิดขึ้น (สั้น ๆ ) ในการทำสมาธิแบบฝึกหัดเมื่อใช้เทคนิคการทำให้ไม่สามารถระบุตัวตน (ตัวอย่างเช่นการทำงานกับความเป็นคู่) เช่นเดียวกับในชีวิตปกติที่ไม่มี (หรือภายนอก) การปฏิบัติใด ๆ

การลบขอบเขตสามารถทำได้อย่างมีจุดมุ่งหมายแม้ว่าการลบขอบเขตอาจเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่เนื่องจากตัวตนและความเชื่อเกี่ยวกับตนเองผู้อื่นและชีวิตโดยทั่วไปมีจำนวนมาก อย่างไรก็ตามคุณสามารถลอง

นั่งสบาย ๆ หลับตาและผ่อนคลาย จำเป็นที่จะต้องไม่มีสิ่งใดมารบกวนหรือกวนใจเพื่อให้ความสนใจปราศจากปัญหาและความกังวล ฉันจะยกตัวอย่างการลบขอบเขตระหว่างตนเองกับพระเจ้า - บรรลุความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า

คุณมุ่งความสนใจไปที่ตนเองแล้วจึงไปที่พระเจ้า "ฉัน" ของคุณคือชุดของการระบุตัวตนและความเชื่อเกี่ยวกับตัวคุณเอง พระเจ้ายังเป็นแหล่งรวบรวมความเชื่อที่คุณมีเกี่ยวกับพระองค์ ความเชื่อเหล่านี้สร้างขอบเขต โดยไม่ต้องเร่งรีบคุณมองหาความเหมือนและความแตกต่างค้นหาความเชื่อทั้งหมดเกี่ยวกับตัวคุณและพระเจ้า ใช้เวลาสักพัก. ควรเข้าใจว่าความคิดทั้งหมดของคุณเกี่ยวกับตัวคุณและพระเจ้าเป็นเพียงชุดความคิด (การระบุตัวตนความเชื่อ) ไม่มีอะไรเพิ่มเติม

จากนั้นมองอย่างใกล้ชิดและพยายามรู้สึกว่ามีพรมแดนกั้นระหว่างคุณกับพระเจ้าหรือไม่ในตอนนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือที่ที่ฉันสิ้นสุดและพระเจ้าเริ่มต้น หากมีเส้นขอบ (สำหรับคุณ) คุณจะรู้สึกได้และในกรณีนี้คุณต้องพิจารณา (รู้สึก) ในรายละเอียดทั้งหมดว่ามันประกอบด้วยอะไรอยู่ที่ไหนในระยะเท่าใดมีความหนาแน่นหรือไม่ และลักษณะอื่น ๆ สำรวจเส้นขอบนี้ในทุกรายละเอียดอย่างละเอียดและครบถ้วน พิจารณาความเชื่อความรู้สึกและความรู้สึกทั้งหมดของคุณเกี่ยวกับขอบเขตนี้

มองหาความเหมือนและความแตกต่างระหว่างตัวเองกับพระเจ้าอีกครั้งจากนั้นดูอีกครั้งว่ามีขอบเขตหรือไม่ ฯลฯ - จนกว่าเส้นขอบจะหายไปอย่างสมบูรณ์

การลบขอบเขตเกิดขึ้นโดยการตรวจสอบอย่างรอบคอบ เมื่อคุณตรวจสอบขอบเขตอย่างถี่ถ้วนคุณจะรู้สึกว่ามันเริ่มเปลี่ยนแปลงหลุดลอยและหายไป จากนั้นคุณจะเริ่มเข้าใจว่านี่เป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ของจิตสำนึกเป็นเพียงความเชื่อ และเนื่องจากความเชื่อเป็นเพียงภาพลวงตาขอบเขตที่ประกอบด้วยภาพลวงตาเหล่านี้จึงถูกลบหายไป ความคิดและความเชื่อทั้งหมดเกี่ยวกับตนเองและเกี่ยวกับพระเจ้าจะต้องหมดไป เมื่อขอบเขตที่กำหนดไว้ถูกลบไปความสามัคคีดั้งเดิมความสมบูรณ์ก็ยังคงอยู่

เมื่อขอบเขตหายไปความคิดที่ว่า“ ฉันและพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน” อาจปรากฏขึ้น วลี "ฉันกับพระเจ้า" บ่งบอกถึงการแยกจากกันที่ยังเหลืออยู่ ในที่สุดก็บรรลุความเป็นหนึ่งเดียวกันโดยไม่มีป้ายกำกับเช่น "I" และ "God" ไม่มีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และไม่มีความรู้สึกแบ่งแยก

ยิ่งการระบุตัวตนและความเชื่อสะสมมากขึ้นการลบข้อมูลก็จะยิ่งนานขึ้นเท่านั้น หากเทคนิคการลบเส้นขอบช้ามากและไม่มีผลลัพธ์ที่น่าทึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องทำในตอนนี้

การลบขอบเขตสามารถทำได้โดยสัมพันธ์กับสิ่งใดก็ตามที่คุณรู้สึกแยกกัน (กับใคร) แต่อีกครั้งนี่จะไม่ใช่เทคนิคที่เหมาะสมในทุกกรณี บางทีก่อนอื่นคุณต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับความเชื่อของคุณเกี่ยวกับตัวคุณเองเพื่อให้เกิดความไม่ลงรอยกัน ความเห็นแก่ตัวการแสดงออกใด ๆ รบกวนการทำงานอย่างมาก

การบรรลุความเป็นหนึ่งเดียวไม่ใช่ถ้อยคำที่ถูกต้องนักเพราะสิ่งที่คุณพยายามจะบรรลุนั้นมีอยู่แล้วและเป็นมาตลอด นี่ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ถูกลืม ความสามัคคีมีอยู่แล้วคุณเพียงแค่ต้องกำจัดขอบเขตลวงตาที่ทำให้คุณไม่รู้ตัว

คุณเคยมีประสบการณ์ดังต่อไปนี้เมื่อคุณพบคน ๆ หนึ่งคุณเข้าใจทันทีว่าเขาเป็นคริสเตียนผู้เชื่อหรือไม่? นี่เป็นเพราะเอกภาพของคริสเตียนที่แท้จริงตั้งอยู่บนหลักการแห่งชีวิตใหม่ในพระคริสต์ มันขึ้นอยู่กับร่างกายทางวิญญาณที่มองไม่เห็นของพระคริสต์ซึ่งประกอบด้วยชุมชนของผู้เชื่อทั่วโลกไม่ใช่นิกาย “ มีเพียงเนื้อหนังเท่านั้นที่เกิดจากเนื้อหนังและมีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่ให้กำเนิดวิญญาณ อย่าแปลกใจกับสิ่งที่ฉันบอกคุณ: พวกคุณแต่ละคนต้องเกิดใหม่” (ยอห์น 3: 6, 7; แปลโดย MP Kulakov) ในข้อความข้างต้นเราเห็นพระเยซูบอกนิโคเดมัสว่าเขาจะต้องบังเกิดใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นสื่อกลางของการบังเกิดใหม่ หากปราศจากพระวิญญาณบริสุทธิ์มนุษย์ก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์ (ดูโรม 8: 9) นี่คือการเรียกของพระเจ้าทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันผ่านพระวิญญาณองค์เดียว คริสตจักรเป็นสถานที่ที่เรารู้สึกได้ว่าพระเยซูอยู่กับเรา ฉันแน่ใจว่าคุณรู้สึกถึงการประทับของพระผู้เป็นเจ้าเมื่อหัวใจของคุณสัมผัสถึงแกนกลางด้วยเพลงคำเทศนาการทำสมาธิในโรงเรียนวันสะบาโตหรือเพียงแค่สามัคคีธรรมกับสมาชิกของศาสนจักร ในนาทีนี้คุณจะรู้สึกราวกับว่าพระเยซูอยู่ข้างๆคุณ นี่เป็นแผนของพระคริสต์ในการก่อตั้งศาสนจักรอย่างแม่นยำ สาวกของพระเยซูมีประสบการณ์คล้าย ๆ กัน

ในขณะเดียวกันคุณสามารถคัดค้าน: "ใช่นี่คือสิ่งที่ฉันฝันถึง แต่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในศาสนจักรในความเป็นจริง" มีการทะเลาะวิวาทการต่อสู้เพื่ออิทธิพลและตำแหน่งทางการ ฉันมีความรู้สึกว่าผู้คนไม่สนใจฉันและคำถามของฉันอย่างจริงจัง ฉันอยากสัมผัสประสบการณ์แห่งการสามัคคีธรรมกับพระเยซูมากเหลือเกิน แต่ฉันไม่รู้สึกถึงความรักในศาสนจักร " น่าเสียดายที่บางครั้งนี่เป็นเรื่องจริง เงื่อนไขนี้สามารถเปรียบเทียบได้กับการขับรถโดยยกเบรกมือ หากคุณยังไม่เคยลองมาก่อนคุณสามารถทดลองได้ ขับขี่ลำบากเมื่อไม่ได้ลดเบรกมือ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างดึงคุณกลับมา ในบางครั้งควันเริ่มพวยพุ่งออกมาจากใต้ล้อและคุณได้กลิ่นฉุน คุณคิดว่าปัญหาคืออะไร? ล้อไม่สามารถหมุนได้อย่างอิสระและส่งผลให้เครื่องจักรที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบกลายเป็นภาระหนัก

ทางออกคืออะไร? เรียนรู้บทเรียนแรกของพระกิตติคุณ! เราทุกคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความรักของพระเจ้าและพระคุณที่พระองค์ประทานให้กับผู้เชื่อทุกคน ความสามัคคีของผู้เชื่อเป็นประเด็นสำคัญในพระคัมภีร์ เป็นสิ่งสำคัญมากที่พระเยซูทรงอธิษฐานขอสิ่งนี้ก่อนที่จะไปที่กางเขน

“ เมื่อตรัสอย่างนี้พระเยซูก็ทรงจ้องมองไปยังสวรรค์และทรงเริ่มอธิษฐาน:

"พ่อ! ชั่วโมงนี้มาแล้ว เปิดเผยพระสิริของพระบุตรของพระองค์ให้โลกรู้เพื่อพระบุตรจะทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ ท้ายที่สุดคุณมอบสิทธิอำนาจให้กับพระองค์เหนือทุกคนเพื่อทุกคนที่คุณได้มอบความไว้วางใจให้กับพระองค์พระองค์จะประทานชีวิตนิรันดร์ และการมีชีวิตอยู่นิรันดร์คือการรู้จักคุณพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวและพระเยซูคริสต์ผู้ที่คุณส่งมา ... เพื่อให้พวกเขาทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน ในฐานะที่คุณเป็นพ่ออยู่ในเราและฉันอยู่ในคุณดังนั้นให้พวกเขาอยู่ในเราเพื่อโลกจะได้เชื่อว่า

คุณเป็นคนส่งฉันมา ฉันให้เกียรติพวกเขาเช่นเดียวกับที่คุณมอบให้ฉันเพื่อที่เช่นเราพวกเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกัน” (ยอห์น 17: 1-3, 21, 22; แปลโดย MP Kulakov)

เปาโลเตือนเราว่าพระเจ้าทรงเตรียมใจเราให้พร้อมตอบรับข่าวดีแห่งศรัทธาที่ช่วยให้รอด ลองดูข้อพระคัมภีร์สองข้อ:

“ พระองค์ทรงช่วยเราให้พ้นจากความพินาศและเรียกเราไปสู่ชีวิตศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เพื่อการกระทำของเราที่เรียก แต่ตามแผนของพระองค์และพระคุณของพระองค์ที่ประทานให้เราในพระเยซูคริสต์ก่อนเวลาเริ่มต้น” (2 ท ธ . 1: 9; แปล โดย MP Kulakov)

“ หนึ่งในคนที่ฟังเราชื่อลิเดีย (เธอแลกด้วยผ้าสีม่วง) หญิงคนนี้จากเมืองธิยาทิรานมัสการพระเจ้าองค์เดียวและพระองค์ทรงเปิดใจเพื่อที่เธอจะยอมรับทุกสิ่งที่เปาโลกล่าวด้วยศรัทธา” (กิจการ 16:14; แปลโดย MP Kulakov)

เพื่อสนับสนุนแนวคิดเรื่องความสามัคคีในศรัทธาเราต้องเข้าใจความสำคัญของมัน เราต้องฝึกฝนคุณสมบัติที่ทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวเป็นไปได้และยั่งยืน ควรพยายามปกป้องและรักษาเอกภาพ เพื่อให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันพระคริสต์เสด็จไปที่กางเขนเพราะสิ่งนี้สำคัญสำหรับพระองค์! ผู้เชื่อที่แท้จริงทุกคนจะได้รับความรอดที่พระคริสต์ประทานให้โดยพระคุณและศรัทธาเพียงอย่างเดียว เราสามารถรับของขวัญแห่งความรักนี้ได้เท่านั้น หากคุณรู้ว่าคุณเป็นที่รักคุณสามารถรักตัวเองและพบอิสระในการเติบโตและพัฒนาบุคลิกภาพของคุณอย่างที่คุณเป็นจริงๆ หากคุณรู้ว่าคุณเป็นที่รักคุณสามารถรักผู้อื่นโดยไม่มีเงื่อนไขเช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงรัก ในขณะที่เราใช้ศรัทธาของเราทุกวันเราจะเติบโตในความรักและความสามัคคีซึ่งกันและกัน เปาโลพูดถึงเรื่องนี้ในเอเฟซัส 4:13 (ตัวเอียงของผู้เขียน): "จนกว่าเราทุกคนจะเข้าสู่เอกภาพแห่งศรัทธาและความรู้เกี่ยวกับพระบุตรของพระเจ้าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ตามอายุเต็มที่ของพระคริสต์ ... " ความสามัคคีจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเราเติบโตในศรัทธา แต่เราบรรลุเอกภาพที่สมบูรณ์เมื่อเรามองไปที่พระเยซู - ความหวังแห่งความรอดของเรา

นั่นคือเหตุผลที่เราคริสเตียนร้องเพลงสวด: "แสงสว่างแห่งความหวัง":

แสงแห่งความหวังแผดเผาในอกของฉัน

วันอันรุ่งโรจน์นั้นอยู่ไม่ไกลเมื่อความสว่างของดวงอาทิตย์ข้างหน้าทางทิศตะวันออกจะเปล่งประกายด้วยแสง

ชั่วโมงแห่งการพยากรณ์มาถึงแล้วผู้คนทุกหนทุกแห่งลุกขึ้นและท่ามกลางผู้คนดังสนั่น ราชาแห่งราชันย์!

หวังว่าแสงจะส่องมาข้างหน้าเรา พระผู้ช่วยให้รอดของเรามา

โอ้ความสุขที่รอเราอยู่ข้างหน้าเมื่อพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมา นั่นคือเหตุผลที่ด้วยความหวังในอกวิญญาณจึงชื่นชมยินดีและร้องเพลง

คริสตจักรของพระเจ้าจงกล้าหาญ!

ใส่พลังจากด้านบน

ให้มันฟังท่ามกลางผู้คน: พระเยซูเป็นราชาแห่งกษัตริย์!

มรดกของเรา

คริสตจักรรวบรวมผู้คนที่มีประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน เมื่อสมาชิกของศาสนจักรให้ความสำคัญกับพระเยซูพวกเขามีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันและเป็นพี่น้องกัน Ellen White อธิบายความลับของความสามัคคีที่แท้จริงว่า“ ความลับของความสามัคคีที่แท้จริงระหว่างคริสตจักรและครอบครัวไม่ใช่การทูตไม่ใช่การปกครองไม่ใช่ความพยายามของมนุษย์ที่จะเอาชนะความยากลำบากซึ่งจะบรรลุได้มาก แต่เป็นเอกภาพกับพระคริสต์ ยิ่งเราใกล้ชิดกับพระคริสต์มากเท่าไหร่เราก็ยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเรารวมตัวกันด้วยความพยายามอย่างกลมกลืนเพื่อสาเหตุร่วมกันเราก็ถวายเกียรติแด่พระเจ้า” (Christian Home, น. 179) ในบ้านของพระเจ้าทุกคนเท่าเทียมกัน เราทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าองค์เดียว เกลียดและไม่รักกัน

| การปฏิรูปที่เปลี่ยนแปลงโลก

- หมายถึงเกลียดหรือไม่รักภาพลักษณ์ของพระเจ้าในบุคคลอื่น ความรักและความสงบความสามัคคีความกตัญญูความมีระเบียบและวินัย - นี่คืออุดมคติที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับการบรรลุพันธกิจ - ธุรกิจหลักของเราบนโลกนี้ การสามัคคีธรรมที่แท้จริงของผู้เชื่อจะต้องมากกว่าการเข้าร่วมนมัสการตามปกติ การมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในชีวิตและพันธกิจของศาสนจักรจะช่วยรวมชุมชน

“ คริสตจักรเป็นชุมชนของผู้เชื่อที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด หลังจากเปลี่ยนคนรุ่นของพระเจ้าในช่วงเวลาของพันธสัญญาเดิมแล้วเรายังได้รับเรียกให้รวมตัวกันเพื่อการนมัสการการมีส่วนร่วมการสั่งสอนในพระวจนะการเฉลิมฉลองอาหารค่ำของพระเจ้าการรับใช้มนุษยชาติและการประกาศการเทศนาทั่วโลกของ พระกิตติคุณ. คริสตจักรได้รับสิทธิอำนาจจากพระคริสต์ซึ่งตามพระคัมภีร์เป็นพระวจนะที่มาเกิด คริสตจักรเป็นครอบครัวของพระเจ้าซึ่งบุตรบุญธรรมของพระคริสต์อาศัยอยู่บนพื้นฐานของพันธสัญญาใหม่ คริสตจักรเป็นร่างกายของพระคริสต์ชุมชนของผู้เชื่อซึ่งมีพระคริสต์เป็นประมุข คริสตจักรเป็นเจ้าสาวที่พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อชำระและชำระเธอให้บริสุทธิ์ เมื่อพระองค์เสด็จกลับมายังโลกพระองค์จะทรงนำเสนอศาสนจักรอันรุ่งโรจน์ต่อพระองค์เองโดยจะประกอบด้วยผู้เชื่อทุกยุคทุกสมัยซึ่งได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระองค์โดยไม่มีจุดหรือรอยย่น แต่บริสุทธิ์และไร้ตำหนิ "(ดูปฐก 12: 1-3 ; อพย. 19: 3-7; ม ธ .

16: 13-20; 18:18 ฯ ; 28:19, 20; พระราชบัญญัติ. 2: 38-42; 7:38; 1 คร. 1: 2; เอฟ. 1:22, 23; 2: 19-22; 3: 8-11; 5: 23-27; จำนวน 1:17, 18; 1 ปีเตอร์ 2: 9)

ประเด็นสำหรับการอภิปราย:

(ผู้นำเยาวชนหากคุณคิดว่ามีปัญหามากเกินไปและคุณจะไม่มีเวลาพูดคุยในเวลาที่กำหนดให้เลือกประเด็นที่จะเป็นประโยชน์กับกลุ่มของคุณมากที่สุด)

1. แนวคิดเรื่อง "เอกภาพ" หมายถึงอะไร?

2. ทำไมการมีความสามัคคีในโรงเรียนจึงสำคัญ? ที่ทำงาน? ในสังคม? ในแวดวงสาธารณะ?

3. พิจารณาว่าทุกคนมีความแตกต่างกันเราจะเป็นหนึ่งศาสนจักรได้อย่างไร? เอกภาพและหลักคำสอนที่มั่นคงสามารถอยู่ร่วมกันได้หรือไม่? วิธีการรักษาหลักคำสอนที่ถูกต้องและในเวลาเดียวกัน

ถึงเวลารวมตัวกับคนที่ไม่ยึดมั่นในศรัทธาของเรา?

คำถามที่ส่งถึงทุกคนเป็นการส่วนตัว:

1. คุณจัดการเพื่อสร้างความสามัคคีในบ้านครอบครัวคริสตจักรชุมชนโรงเรียน ฯลฯ ได้อย่างไร?

2. ตรวจสอบตัวเองและขอให้พระเจ้าเปิดเผยให้คุณทราบว่าคุณต้องทำอะไรเพื่อไม่ให้สูญเสียหรือช่วยสร้างเอกภาพในทุกสถานการณ์

พระเจ้าสัญญากับคุณ:

พระเยซูทรงอธิษฐานว่าคุณจะเป็นหนึ่งเดียวในพระองค์ในขณะที่พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา อ่านพระวรสารนักบุญยอห์น 17: 20-26 แปลพระคัมภีร์โดย M.P. Kulakov:

“ แต่ฉันไม่ขอเพียงเพื่อพวกเขาเท่านั้นฉันยังขอสำหรับผู้ที่เชื่อในตัวฉันตามคำพูดของพวกเขาเกี่ยวกับฉันด้วย ขอให้พวกเขาทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกันและขอให้พวกเขาอยู่ในเราเช่นคุณพระบิดาในเราและฉัน - ในคุณ และให้โลกเชื่อว่าคุณส่งฉันมา ฉันให้เกียรติพวกเขาเช่นเดียวกับที่คุณมอบให้ฉันเพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวเหมือนกับที่เราเป็นหนึ่งเดียวกับคุณ ฉันอยู่ในพวกเขาและคุณอยู่ในฉันเพื่อให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์! และบอกให้โลกรู้ว่าคุณส่งฉันมาและคุณรักพวกเขาเหมือนที่คุณรักฉัน

พ่อ! ฉันต้องการให้คนที่คุณให้ฉันมาอยู่กับฉัน ขอให้พวกเขาเห็นรัศมีภาพของฉันที่คุณมอบให้ฉันเพราะคุณรักฉันก่อนที่โลกจะถูกสร้าง พระบิดาที่ชอบธรรมโลกไม่รู้จักคุณ - แต่ฉันรู้จักคุณ - และพวกเขารู้ว่าคุณส่งฉันมา ฉันได้แสดงให้พวกเขาเห็นแล้วและจะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าคุณเป็นอย่างไรดังนั้นความรักแบบเดียวกับที่คุณรักฉันจะอยู่ในพวกเขาเหมือนกับที่ฉันอยู่ในนั้น "

วันที่ 5

© 2015-2019 เว็บไซต์
สิทธิ์ทั้งหมดเป็นของผู้เขียน ไซต์นี้ไม่ได้อ้างสิทธิ์ในการเป็นผู้แต่ง แต่ให้การใช้งานฟรี
วันที่สร้างเพจ: 2017-04-03