ศิลปที่ไร้ค่าคืออะไร?

หลังจากความคิดเห็นโดยละเอียดเกี่ยวกับผลการวิเคราะห์เนื้อหา เราจะพยายามสร้าง (บนพื้นฐานของตัวเอง) คำจำกัดความของศิลปที่ไร้ค่าเป็นปรากฏการณ์ที่มีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งในวัฒนธรรมสมัยใหม่ ศิลปที่ไร้ค่า "คลาสสิก" (ในความหมายยุโรปตะวันตกและอเมริกาในฐานะอนุพันธ์ของวัฒนธรรมสมัยนิยม) เป็นผลมาจากการสื่อสารระหว่างงานศิลปะที่แท้จริง สด ชื่นชมอย่างสูงจากวัฒนธรรม "ชนชั้นสูง" และผู้บริโภค - ตัวแทนของ วัฒนธรรม "มวล" การสื่อสารนี้เกิดขึ้นในสภาวะของตลาดศิลปะที่พัฒนาแล้วผ่านตัวกลาง: ผู้ผลิตศิลปที่ไร้ค่าหรือสื่อในฐานะผู้มีอำนาจในการลอกเลียนแบบ ก่อนการปรากฏตัวของสื่อสมัยใหม่ บทบาทของคนหลังสามารถทำได้ ตัวอย่างเช่น โดยศิลปินลอกเลียนแบบหรือช่างฝีมือ ผู้ผลิต "สินค้าอุปโภคบริโภค"

ข้างต้นเกี่ยวข้องกับหัวข้อของศิลปที่ไร้ค่า แต่ยังมีวรรณกรรม, ดนตรี, โทรทัศน์, ภาพยนตร์11 และศิลปที่ไร้ค่าอื่น ๆ การใช้ประโยชน์จากระบบโบราณของการแบ่งศิลปะตามหลักการของการแปลเวลาหรือเชิงพื้นที่เป็น "ดนตรี" และ "พลาสติก" เราจะแยกกลุ่มย่อยของศิลปที่ไร้ค่าออกเป็นสองกลุ่ม: เรียกพวกเขาว่า "ความบันเทิงที่ไร้ค่า" และ "ศิลปที่ไร้ค่า" อดีตตรงบริเวณช่องที่ให้ความบันเทิงซึ่งบางส่วนสอดคล้องกับการทำงานของศิลปะในขอบเขตของวัฒนธรรม "ชั้นสูง" สิ่งนี้ใช้กับงานระยะสั้นที่ต้องการความสนใจของผู้บริโภคและ "การใช้ชีวิต" การวางแผนความสนใจและการพักผ่อน ส่วนที่สองเชื่อมต่อกันตามชื่อของกลุ่มย่อยที่มีงานคงที่ - ภาพวาด, ประติมากรรม, ของที่ระลึก, เครื่องประดับ, เสื้อผ้าและรายการออกแบบ ฯลฯ ศิลปที่ไร้ค่าทั้งสองประเภทมีคุณสมบัติเหมือนกัน ความแตกต่างสามารถอยู่ในการเน้นเสียงเท่านั้น: ตัวอย่างเช่น ศิลปที่ไร้ค่าเพื่อความบันเทิงมีลักษณะเฉพาะมากขึ้นด้วยโครงเรื่อง ในขณะที่ศิลปที่ไร้ค่าการออกแบบมีลักษณะการดำรงอยู่ในระยะยาวในสภาพแวดล้อมที่แน่นอนและมีสัญญาณที่เกี่ยวข้อง

มาดูรายละเอียดความหมายของศิลปที่ไร้ค่ากันดีกว่า ความแตกต่างหลักจากงานศิลปะก็คือศิลปที่ไร้ค่าซึ่งไม่ได้มีคุณค่าทางสุนทรียะในแง่ความเป็นชนชั้นสูงเข้ามาแทนที่ความงามด้วยสัญลักษณ์ การเข้าสู่บริบทบางอย่าง - ในบ้าน หากเป็นวัตถุที่มีการออกแบบ ในชุดเสื้อผ้า หากเป็นเครื่องประดับ ฯลฯ - ศิลปที่ไร้ค่ากลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม ต้องขอบคุณความจงใจ12และแผนการแสดงออกที่ชัดเจน มันจึงทำหน้าที่ของสัญลักษณ์ได้อย่างง่ายดาย หากจำเป็นต้องพิสูจน์ประโยชน์ทางสังคม ปัญญา สุนทรียะ หรือแม้แต่ทางเพศ

เป็นที่น่าสังเกตว่าโดยทั่วไปแล้วศิลปที่ไร้ค่าโดยทั่วไปมีอยู่ในบริบท: หากไม่มีการทำสำเนาภาพวาดที่มีชื่อเสียงถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของเทคโนโลยีการคัดลอกที่ทันสมัยหรือเป็นสื่อการสอนสำหรับเด็กนักเรียนและ นักเรียน. การแต่งหน้าในสถานการณ์เช่นนี้แบ่งออกเป็นสีที่ไร้ความหมายและไอคอนกระดาษทำหน้าที่เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงสำหรับผู้เชื่อที่แท้จริง แต่คนที่ไม่สามารถซื้อของมีค่าได้

การรวมกันของแผนการแสดงออกที่สดใสและมูลค่าตลาดต่ำทำให้ศิลปที่ไร้ค่าเป็นที่นิยมและมีขนาดใหญ่ แต่ในสถานการณ์ทางสังคมแนวเขตบางจุด ในทางกลับกัน ต้นทุนที่สูงเกินจริงของงานและ "ความพิเศษเฉพาะตัว" เป็นที่ต้องการ ซึ่งทำให้การซื้อเป็นสัญญาณของความมั่งคั่งทางการเงิน ตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์ของเศรษฐีนูโวซึ่งโดยการศึกษาและการศึกษาไม่สามารถเข้าถึงวัฒนธรรมชั้นสูง แต่มีวิธีการที่ดีและถูกบังคับให้ยืนยันตัวเองในทางอื่น พูดอย่างเคร่งครัด ความหรูหราเป็นสัญลักษณ์ทางสังคมมีอยู่ตราบใดที่วัฒนธรรมมีอยู่ - "การกระทำใด ๆ ของการบริโภคที่โอ้อวดที่กระทบผลกระทบเป็นการแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง แต่ถ้าในวัฒนธรรมดั้งเดิม สิ่งนี้ได้รับความสำคัญทางพิธีกรรม (พิธีกรรม potlatch ของอินเดีย) ในสถานการณ์ปัจจุบันของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ความต้องการที่แท้จริงในการบ่งบอกถึงขอบเขตส่วนบุคคลและสังคมก็ถูกเพิ่มเข้าไป

อีกตัวอย่างหนึ่งของการเกิดของศิลปที่ไร้ค่าในเขตชายแดนคือจุดเชื่อมต่อของวัฒนธรรมย่อยในเมืองและชนบท จากนั้นประเพณีและนิสัยของกลุ่มหนึ่งจะถูกซ้อนทับด้วยคุณลักษณะภายนอกของอีกกลุ่มหนึ่งและมีความแตกต่างระหว่างแผนการแสดงออกและแผนเนื้อหาและเป็นผลให้ "ศิลปที่ไร้ค่า" ที่สร้างขึ้นตาม ความคิดเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ของบางอย่าง แต่รูปแบบของคนอื่น มนุษย์ต่างดาว ในความเป็นจริง กับสิ่งเหล่านั้นและผู้อื่น ดังนั้น - "เคมี" ที่ทันสมัยทั้งหมดนี้ในคราวเดียวในหกเดือนซึ่งเป็นที่มาของแฟชั่นตะวันตกสำหรับทรงผมแบบลาแอฟริกาสดใสและไม่เหมาะสมสำหรับชาวเมืองเครื่องสำอางในชนบท ฯลฯ ตัวอย่างสุดท้ายนี้เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะอธิบายฟังก์ชันความหมายของศิลปที่ไร้ค่า: งุ่มง่าม, จากมุมมองของช่างแต่งหน้ามืออาชีพ, แขกที่มาเยี่ยมเยือนคันทรีคลับ (ซึ่งในหมู่นักวิจารณ์ชั้นนำได้กลายเป็นคำอุปมาที่ชื่นชอบสำหรับจังหวัด ศิลปที่ไร้ค่า) หมายถึงความงามของผู้หญิงในลักษณะนี้ราวกับว่าพูดกับคนปัจจุบัน: ตอนนี้ฉันสวยเพราะฉันอยู่ตามสบาย เป็นที่ชัดเจนว่าในสถานการณ์การทำงาน ผู้ติดตามดังกล่าวไม่เพียงไม่เหมาะสม แต่ยังเป็นอันตรายอีกด้วย ภาพประกอบอาจเป็นฉากจากภาพยนตร์เรื่อง "สวัสดีและลาก่อน" ซึ่งนางเอกมาที่ร้านค้าในเมืองและต้องการลิปสติก "ซึ่งริมฝีปากถูกทาสี" เมื่อทาริมฝีปากด้วยลิปสติกที่ซื้อมาในเวลากลางวันแสกๆ เธอพบว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่บอบบางและถูกบังคับให้ต้องขจัดร่องรอยของอาชญากรรมอย่างหงุดหงิด พล็อตที่คล้ายกันสามารถพบได้ในภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้านี้ "A Simple Story" ซึ่งนางเอก N. Mordyukova พยายามซ่อนการแต่งหน้าในเวลาที่ไม่ถูกต้อง

ตัวอย่างสามารถดำเนินการต่อได้: ในจังหวัดสมัยใหม่ เรามักพบรูปแบบการใช้คำที่น่าสนใจ ตัวอย่างเช่น "ห้องโถง" (ในเพศหญิงซึ่งบ่งชี้ที่มาของภาษาฝรั่งเศสตั้งแต่สมัยร้านทำฆราวาส) หมายถึงห้องนั่งเล่นและคำว่า "กิน" ยังใช้ในสังคมที่กล้าหาญของศตวรรษที่ 19 คือ ใช้ในชีวิตประจำวันแทนคำว่า "กิน" ตัวอย่างจากพื้นที่อื่นคือการใช้วลี "haute couture" ซึ่งจากการแปลโดยตรงจากภาษาฝรั่งเศส haut couture (แฟชั่นชั้นสูง) ได้ย้ายไปยังการกำหนดของสิ่งที่ "haute couture" เช่น "จากแฟชั่น" ("จากนักออกแบบแฟชั่น" ฯลฯ )

พูดอย่างเคร่งครัด วัฒนธรรมร้านทำผมของศตวรรษที่ 19 ถูกจำลองแบบในแวดวงร่วมสมัยอย่างแท้จริง แต่อยู่ห่างไกลจากชีวิตทางโลกของเมืองหลวง และสิ่งนี้สามารถแสดงให้เห็นได้ไม่เพียงแค่จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์13 แต่ยังรวมถึงตัวอย่างมากมายจากวรรณคดีรัสเซียคลาสสิก - รูปภาพ ของ N. Gogol, A. Chekhov และนักเขียนคนอื่นๆ ความพยายามทั้งหมดในการสร้างแฟชั่นและมารยาทของการสื่อสารทางโลกในแวดวงท้องถิ่นกลายเป็นโอกาสสำหรับการประชดและล้อเลียนตัวแทนของ "สูง"

Kitsch หรือที่เรียกกันว่า Kitsch หลายคนเคยได้ยินคำจำกัดความนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่ใช้กับสไตล์การตกแต่งภายในหรือชิ้นส่วนของเฟอร์นิเจอร์ ฉันเสนอให้เข้าใจสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังศิลปที่ไร้ค่า วิธีแยกแยะและวิธีใช้งาน และการแฮ็กแบบธรรมดาที่แตกต่างจากสไตล์ทั่วไปในการออกแบบ

ทุกวันนี้ ศิลปที่ไร้ค่าสามารถพบได้ทุกที่ ทั้งบนเวที โพเดียม ในภาพยนตร์ หรือแม้แต่บนถนนในเมือง จำเลดี้กาก้าและสไตล์ของเธอ ความเย้ายวนใจ เลื่อม ความไม่เข้ากันของสีและวัตถุที่สะดุดตา ชุดที่ฉูดฉาด ฉูดฉาด และแม้กระทั่งการแต่งหน้า ไม่มีอะไรมากไปกว่าศิลปที่ไร้ค่า แฟชั่นชั้นสูงก็ไม่ลังเลที่จะหันไปหารสนิยมที่ไม่ดี ตัวอย่างเช่น John Galliano ใช้ศิลปที่ไร้ค่าในการแสดงของเขา แสดงให้เห็นถึงการใช้ไม้ลอยในแฟชั่น

จากรสนิยมแย่ๆ สู่กระแสแฟชั่น

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าคำนี้มาจากภาษาเยอรมันว่า "ศิลปที่ไร้ค่า" ซึ่งหมายถึงความหยาบคาย รสนิยมไม่ดี งานแฮ็ก ดังนั้น วัตถุที่หยาบคายและไม่ทำงานของวัฒนธรรมหมู่ซึ่งมีค่าสถานะและผลิตขึ้นเป็นจำนวนมากสามารถจัดเป็นศิลปที่ไร้ค่า แต่ในขณะเดียวกันก็มีการออกแบบที่น่าดึงดูดและเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนจำนวนมาก

Kitsch ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในปี 1950 จากนั้นพวกเขาก็เริ่มผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ "ขยะ" คัดลอกตัวอย่างการออกแบบที่ "สูง" ซึ่งผู้บริโภคทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ เหนือสิ่งอื่นใดความนิยมของศิลปที่ไร้ค่าสามารถอธิบายได้ด้วยการขาดรสนิยมส่วนตัวของบางคน เบื้องหลังศิลปที่ไร้ค่า เป็นเรื่องง่ายที่จะซ่อนความรู้สึกด้านสุนทรียะที่ยังไม่ได้พัฒนา ทำให้บ้านเต็มไปด้วยสิ่งของ ซึ่งแต่ละอย่างเต็มไปด้วยสิ่งของและเรียกร้องความสนใจอย่างไม่หยุดหย่อน

• 

  

  

  

  

  

  Kitsch เป็นปรากฏการณ์ที่ตรงกันข้ามกับศิลปะชั้นสูงของชนชั้นสูงที่มีราคาแพง ในหนังสือของ Clement Greenberg เรื่อง "Avant-garde and kitsch" แนวคิดนี้ขยายออกไปอย่างมากและเริ่มรวมการโฆษณา วรรณกรรม "ราคาถูก" ดนตรี ภาพยนตร์ เขาเขียนว่า:“ ... พร้อมกับการถือกำเนิดของเปรี้ยวจี๊ดในอุตสาหกรรมตะวันตกปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สองเกิดขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวเยอรมันให้ชื่อที่ยอดเยี่ยมว่า "ศิลปที่ไร้ค่า": ศิลปะเชิงพาณิชย์และวรรณกรรมที่ออกแบบมาสำหรับมวลชน , ปกนิตยสาร, ภาพประกอบ, โฆษณา, การอ่าน, การ์ตูน, เพลงป๊อบ, เต้นรำ, ภาพยนตร์ฮอลลีวูด ฯลฯ ด้วยสีสันที่เป็นธรรมชาติ เป็นต้น".

  ร่วมกับการพัฒนาลัทธิหลังสมัยใหม่ Kitsch ใช้รูปแบบของการเคลื่อนไหวที่สร้างสรรค์ เขาได้รับการยกย่องจากการเปิดกว้างของเขา และเขาพบพื้นที่สำหรับการตระหนักรู้ภายในเปรี้ยวจี๊ด วัตถุ Kitsch เริ่มถูกนำมาใช้ในการตกแต่งภายในเพื่อให้ได้เอฟเฟกต์พิเศษอย่างแม่นยำเนื่องจากรสชาติไม่ดี ความหรูหราในจินตนาการที่อุกอาจอุกอาจและการปฏิเสธอำนาจ - นี่คือไพ่ตายหลักของศิลปที่ไร้ค่า

  คุณสมบัติสไตล์

  

  1. การกำจัดการแยกวัตถุออกจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ

  2. ความหยาบคาย ระเบิด. ความไร้สาระ ความผิดพลาด หากหลังจากดูหัวข้อแล้ว คุณต้องการแสดงออกถึงตัวตนด้วยคำพูดดังกล่าว เป็นไปได้มากว่าคุณมีศิลปที่ไร้ค่าอยู่ตรงหน้าคุณ

  3. การผสมผสานสไตล์ที่แตกต่างกันอย่างหยาบและจงใจ

  4. กรีดร้องผสมสี

  5. การตกแต่งที่มากเกินไป

  5. มักเป็นงานศิลปะปลอมหรือเลียนแบบง่ายๆ

  วัตถุไม่ได้เกิด "ศิลปที่ไร้ค่า" แต่กลายเป็น

  

  วัตถุจำนวนมากในกระบวนการวิวัฒนาการของวัฒนธรรมและสังคมได้กลายเป็นศิลปที่ไร้ค่า ตัวอย่างคือเครื่องคั้นน้ำส้ม Juicy Salif ของ Philip Stark สร้างขึ้นในปี 1990 ได้กลายเป็นดีไซน์คลาสสิก ขาตั้งกล้องอะลูมิเนียมได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจนพบได้ในทุกร้านแฟชั่นและบทความเกี่ยวกับการตกแต่งภายในทุกแบบ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ใช้มันตามจุดประสงค์จริง ๆ และถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่เกินสองครั้ง Juicy Salif เป็นสินค้าที่ไม่สามารถใช้งานได้จริงกลายเป็นเพียงการตกแต่งของเคาน์เตอร์ครัวและได้รับสถานะของศิลปที่ไร้ค่า

  เครื่องมือการค้า

  วันนี้ Kitsch ได้กลายเป็นเครื่องมือเชิงพาณิชย์ที่ดีในสื่อ ศิลปะ และการออกแบบ กลายเป็นปรากฏการณ์ดั้งเดิมและดึงดูดความสนใจของทุกคน นั่นคือเขาไม่ได้คัดลอกตัวอย่างของปีที่ผ่านมาและไม่หยาบคาย แต่สร้างสิ่งใหม่

  

  Kitsch เป็นการประชดตัวเองและเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปรากฏการณ์การกระจายจำนวนมากของสำเนาราคาถูกได้กลายเป็นแบบจำลองของการออกแบบที่มีทักษะโดยเน้นที่สถานะของผู้บริโภคเอง

  และเพื่อให้คุณสามารถแยกแยะความแตกต่างของศิลปที่ไร้ค่าจากการออกแบบอื่น ๆ ต่อไปนี้คือตัวอย่างบางส่วนของการรวมตัวกันในด้านต่างๆ:

Kitsch(เยอรมัน Kitsch) ศิลปที่ไร้ค่า - คำที่แสดงถึงปรากฏการณ์หนึ่งของวัฒนธรรมมวลชนซึ่งเป็นคำพ้องความหมายสำหรับศิลปะหลอกซึ่งเน้นไปที่ความฟุ่มเฟือยของรูปลักษณ์ภายนอกความดังขององค์ประกอบ ได้รับการจำหน่ายพิเศษในรูปแบบต่างๆ ของตกแต่งบ้านที่ได้มาตรฐาน ในฐานะที่เป็นองค์ประกอบของวัฒนธรรมมวลชน เป็นจุดสูงสุดของการละทิ้งคุณค่าทางสุนทรียะเบื้องต้นและในขณะเดียวกัน เป็นการสำแดงที่ก้าวร้าวมากที่สุดอย่างหนึ่งของแนวโน้มของการดั้งเดิมและการหยาบคายในศิลปะสมัยนิยม

เนื่องจากคำนี้ถูกนำมาใช้เพื่อตอบสนองต่องานศิลปะขนาดใหญ่ของศตวรรษที่ 19 ที่ทำให้คุณภาพความงามสับสนกับอารมณ์ความรู้สึกหรือประโลมโลกที่เกินจริง Kitsch จึงมีความเกี่ยวข้องมากที่สุดกับงานศิลปะที่มีอารมณ์อ่อนไหวหรือน้ำตาไหล แต่สามารถใช้คำนี้ได้ วัตถุศิลปะ การเรียงลำดับใด ๆ ที่มีข้อบกพร่องด้วยเหตุผลที่คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นความซาบซึ้ง ฉูดฉาด โอ่อ่า หรือสร้างสรรค์ ศิลปที่ไร้ค่าได้รับการขนานนามว่าเป็นการแสดงตลกที่เลียนแบบศิลปะภายนอก มักกล่าวกันว่าศิลปที่ไร้ค่าอาศัยเพียงการทำซ้ำของอนุสัญญาและรูปแบบและปราศจากความคิดสร้างสรรค์และความถูกต้องที่แสดงออกโดยศิลปะที่แท้จริง Kitsch เป็นแบบกลไกและเป็นสูตร Kitsch เป็นเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ปลอมและความรู้สึกปลอม Kitsch เปลี่ยนไปตามสไตล์ แต่ยังคงเหมือนเดิมเสมอ Kitsch เป็นศูนย์รวมของทุกสิ่งที่ไม่มีนัยสำคัญในชีวิตสมัยใหม่" Clement Greenberg, "Avant-garde and kitsch", 1939

“ Kitch เป็นการปฏิเสธโดยสิ้นเชิงของอึในความหมายที่แท้จริงและเป็นรูปเป็นร่างของคำ ศิลปที่ไร้ค่าแยกออกจากการมองเห็นทุกสิ่งที่ยอมรับไม่ได้โดยเนื้อแท้ในการดำรงอยู่ของมนุษย์ " Milan Kundera, "ความสว่างอันเหลือทนของการเป็น", 1984 (แปลโดย Nina Shulgina)

“คิทช์เป็นรูปแบบการแสดงออกที่กระตือรือร้นในทุกระดับ ไม่ใช่ผู้รับใช้ของความคิด และในขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงกับศาสนาและความจริง ในศิลปที่ไร้ค่า งานฝีมือเป็นเกณฑ์ชี้ขาดของคุณภาพ… Kitsch ใช้ชีวิตและดึงดูดใจแต่ละบุคคล” Odd Nerdrum, “Kitch is a hard choice”, 1998 Kitsch เป็นผลผลิตของการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้มวลชนของยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวันตกกลายเป็นเมืองและ อเมริกาและสร้างสิ่งที่เรียกว่าการรู้หนังสือสากล

ก่อนหน้านั้น ตลาดเดียวสำหรับรูปแบบที่เป็นทางการและแตกต่างจากวัฒนธรรมสมัยนิยม คือ ตลาดที่นอกเหนือไปจากความสามารถในการอ่านและเขียนแล้ว ยังสามารถมีเวลาว่างและความสะดวกสบายที่มักจะไปพร้อมกับวัฒนธรรมบางอย่างได้ และสิ่งนี้ จนถึงจุดหนึ่งในอดีต เชื่อมโยงกับการรู้หนังสืออย่างแยกไม่ออก แต่ด้วยการกำเนิดของการรู้หนังสือสากล ความสามารถในการอ่านเขียนจึงกลายเป็นทักษะที่ไม่จำเป็น เช่น ความสามารถในการขับรถ และเลิกเป็นคุณลักษณะที่แยกแยะความโน้มเอียงทางวัฒนธรรมของแต่ละบุคคล เนื่องจากไม่มีอีกต่อไป ผลเฉพาะของรสชาติที่ประณีต

ชาวนาที่ตั้งรกรากอยู่ในเมืองใหญ่ในฐานะชนชั้นกรรมาชีพและชนชั้นนายทุนน้อยเรียนรู้ที่จะอ่านและเขียนเพื่อประสิทธิภาพของตนเอง แต่ไม่พบการพักผ่อนและความสะดวกสบายที่จำเป็นในการเพลิดเพลินกับวัฒนธรรมเมืองดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม การสูญเสียรสชาติของวัฒนธรรมสมัยนิยม ดินที่เป็นของชนบทและชีวิตในชนบท และในขณะเดียวกันก็ค้นพบความสามารถใหม่สำหรับความเบื่อหน่าย มวลชนในเมืองใหม่เริ่มกดดันสังคม เรียกร้องให้พวกเขาได้รับ เป็นวัฒนธรรมที่เหมาะกับการบริโภค เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดใหม่มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ - วัฒนธรรม ersatz ศิลปที่ไร้ค่าซึ่งมีไว้สำหรับผู้ที่ยังคงเฉยเมยและไม่รู้สึกตัวต่อค่านิยมของวัฒนธรรมที่แท้จริงยังคงประสบความหิวโหยทางจิตวิญญาณ ความฟุ้งซ่านที่วัฒนธรรมเท่านั้นที่จะให้ได้ บางอย่าง การใช้การจำลองวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เสื่อมค่า เสียหาย และให้การศึกษาเป็นวัตถุดิบ ทำให้ศิลปที่ไร้ค่านี้โอบรับและปลูกฝังความรู้สึกไม่อ่อนไหวนี้ เธอเป็นแหล่งที่มาของผลกำไรของศิลปที่ไร้ค่า Kitsch เป็นแบบกลไกและเป็นสูตร Kitsch เป็นเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ปลอมและความรู้สึกปลอม Kitsch เปลี่ยนไปตามสไตล์ แต่ยังคงเหมือนเดิมเสมอ Kitsch เป็นศูนย์รวมของทุกสิ่งที่ไม่มีนัยสำคัญในชีวิตสมัยใหม่ ดูเหมือนว่า Kitsch จะไม่ต้องการอะไรจากผู้บริโภคนอกจากเงิน ไม่ต้องการเวลาจากผู้บริโภคด้วยซ้ำ

ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการมีอยู่ของศิลปที่ไร้ค่า เงื่อนไขโดยที่ศิลปที่ไร้ค่าจะเป็นไปไม่ได้ คือการมีอยู่และการเข้าถึงได้ของประเพณีวัฒนธรรมที่เติบโตเต็มที่ในบริเวณใกล้เคียง การค้นพบ การได้มา และการมีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์แบบซึ่งศิลปที่ไร้ค่าใช้เพื่อจุดประสงค์ของตัวเอง Kitsch ยืมเทคนิค เทคนิค เทคนิค กฎพื้นฐาน ธีมจากประเพณีวัฒนธรรมนี้ แปลงทั้งหมดเป็นระบบบางอย่าง และละทิ้งส่วนที่เหลือ อาจกล่าวได้ว่าศิลปที่ไร้ค่าดึงเลือดจากแหล่งสะสมประสบการณ์ที่สั่งสมมานี้ แท้จริงแล้วนี่คือสิ่งที่มีความหมายเมื่อมีการกล่าวว่าศิลปะมวลชนและวรรณคดีมวลชนในปัจจุบันเคยเป็นศิลปะและวรรณคดีที่ลึกลับและกล้าหาญ แน่นอนว่าไม่เป็นเช่นนั้น ซึ่งหมายความว่าหลังจากเวลาผ่านไปนานพอสมควร สิ่งใหม่จะถูกปล้น: "ความคลาดเคลื่อน" ใหม่จะถูกดึงออกมา ซึ่งจะถูกเจือจางและทำหน้าที่เป็นศิลปที่ไร้ค่า เห็นได้ชัดว่าศิลปที่ไร้ค่าเป็นวิชาการผ่านและผ่าน; และในทางกลับกัน วิชาการทุกอย่างก็ไร้ค่า สำหรับสิ่งที่เรียกว่าวิชาการ ไม่มีความเป็นเอกเทศอีกต่อไป กลายเป็นเสื้อตัวหนาสำหรับศิลปที่ไร้ค่า วิธีการผลิตทางอุตสาหกรรมกำลังเข้ามาแทนที่งานหัตถกรรม

เนื่องจาก Kitsch สามารถผลิตได้โดยใช้กลไก มันจึงกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบการผลิตของเรา และทำในลักษณะที่วัฒนธรรมของแท้ไม่สามารถรวมเข้ากับระบบการผลิตได้ ยกเว้นในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ยาก Kitsch ใช้ประโยชน์จากการลงทุนขนาดใหญ่ที่ควรนำมาซึ่งผลตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ มันยังถูกบังคับให้ขยายเพื่อรองรับตลาด แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วศิลปที่ไร้ค่าจะเป็นผู้ขายของตัวเอง แต่ก็มีการสร้างเครื่องมือการขายขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งสร้างแรงกดดันต่อสมาชิกทุกคนในสังคม กับดักตั้งอยู่แม้ในมุมเหล่านั้นที่พูดได้ว่าเป็นวัฒนธรรมที่แท้จริง ทุกวันนี้ ในประเทศอย่างเรา การมีทัศนคติต่อวัฒนธรรมที่แท้จริงนั้นไม่เพียงพอ ผู้ชายต้องมีความกระตือรือร้นอย่างแท้จริงในวัฒนธรรมที่แท้จริง ซึ่งจะทำให้เขามีความแข็งแกร่งในการต่อต้านของปลอมที่ล้อมรอบตัวเขาและกดดันเขาตั้งแต่ตอนที่เขาโตพอที่จะดูภาพตลกๆ Kitsch กำลังทำให้เข้าใจผิด เขามีระดับที่แตกต่างกันมากมาย และระดับเหล่านี้บางระดับก็สูงพอที่จะเป็นอันตรายต่อผู้แสวงหาแสงที่แท้จริงที่ไร้เดียงสา นิตยสารอย่าง The New Yorker ซึ่งเป็นนิตยสาร Kitsch ระดับไฮเอนด์สำหรับการค้าสินค้าฟุ่มเฟือยได้เปลี่ยนแปลงและเจือจางวัสดุล้ำยุคจำนวนมากสำหรับความต้องการของตนเอง ไม่ควรคิดว่า Kitsch ชิ้นใดไร้ค่าโดยสิ้นเชิง จาก บางครั้งศิลปที่ไร้ค่าก็ผลิตบางสิ่งที่คู่ควร บางสิ่งที่มีรสชาติพื้นบ้านที่แท้จริง และตัวอย่างที่สุ่มและกระจัดกระจายเหล่านี้หลอกลวงผู้คนที่ควรเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดีขึ้น

ผลกำไรมหาศาลที่เก็บเกี่ยวโดยศิลปที่ไร้ค่าเป็นแหล่งของการล่อลวงสำหรับเปรี้ยวจี๊ดซึ่งตัวแทนไม่ได้ต่อต้านการทดลองนี้เสมอไป นักเขียนและศิลปินที่มุ่งมั่นภายใต้แรงกดดันของศิลปที่ไร้ค่าแก้ไขงานของพวกเขาและแม้กระทั่งยอมจำนนต่อศิลปที่ไร้ค่า แล้วก็มีกรณีแนวเขตที่น่าสับสน เช่น หนังสือของนักเขียนนวนิยายชื่อดัง Simenon ในฝรั่งเศสและ Steinbeck ในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าในกรณีใด ผลลัพธ์สุทธิมักจะส่งผลเสียต่อวัฒนธรรมที่แท้จริงเสมอ

Kitsch ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เมืองที่มันถือกำเนิดขึ้น แต่ยังขยายไปสู่ชนบท กวาดล้างวัฒนธรรมสมัยนิยม ไม่เปิดเผยศิลปที่ไร้ค่าและเคารพขอบเขตทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมระดับชาติ อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์มวลรวมของระบบอุตสาหกรรมตะวันตก Kitsch กำลังเดินทัพไปทั่วโลกอย่างมีชัย ลบล้างความแตกต่างของวัฒนธรรมพื้นเมืองและกีดกันวัฒนธรรมของสมัครพรรคพวกในอาณาจักรอาณานิคมแห่งหนึ่งหลังจากนั้น ดังนั้น Kitsch จึงกลายเป็นวัฒนธรรมสากล วัฒนธรรมสากลครั้งแรกใน ประวัติศาสตร์. ทุกวันนี้ ชาวพื้นเมืองของจีน เช่น ชาวอินเดียในอเมริกาใต้ ชาวฮินดู หรือโพลินีเซียน เริ่มชอบหน้าปกนิตยสาร ปฏิทินกับเด็กผู้หญิง และภาพพิมพ์บนวัตถุที่เป็นงานศิลปะประจำชาติของตน จะอธิบายความรุนแรงนี้ได้อย่างไร, การติดเชื้อของศิลปที่ไร้ค่า, การอุทธรณ์ที่ไม่อาจต้านทานได้? โดยธรรมชาติแล้วศิลปที่ไร้ค่าที่ผลิตโดยเครื่องจักรนั้นมีราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์พื้นเมืองที่ทำด้วยมือและสิ่งนี้อำนวยความสะดวกโดยศักดิ์ศรีของตะวันตก แต่ทำไม kitsch ถึงมีกำไรมากกว่า Rembrandt? ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งคู่สามารถทำซ้ำได้ในราคาถูกเท่าๆ กัน

ในบทความล่าสุดของเขาเกี่ยวกับภาพยนตร์โซเวียตที่ตีพิมพ์ใน Partisan Review Dwight MacDonald ชี้ให้เห็นว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา Kitsch ได้กลายเป็นวัฒนธรรมที่โดดเด่นในโซเวียตรัสเซีย Macdonald ตำหนิสิ่งนี้ในระบอบการเมืองซึ่งเขาประณามไม่เพียง แต่สำหรับความจริงที่ว่าศิลปที่ไร้ค่าเป็นวัฒนธรรมที่เป็นทางการ แต่ยังสำหรับความจริงที่ว่าศิลปที่ไร้ค่าได้กลายเป็นวัฒนธรรมที่โดดเด่นและเป็นที่นิยมมากที่สุดโดยพฤตินัย คำพูดของแมคโดนัลด์จากงาน Seven Soviet Arts ของเคิร์ตลอนดอน: "บางทีทัศนคติของมวลชนที่มีต่อรูปแบบของศิลปะทั้งเก่าและใหม่ยังคงขึ้นอยู่กับธรรมชาติของการศึกษาที่มอบให้โดยรัฐที่เกี่ยวข้อง" Macdonald ยังคงคิดต่อไปว่า: "เพราะเหตุใดชาวนาที่ไม่รู้ควรชอบ Repin (ตัวแทนชั้นนำของศิลปที่ไร้ค่าในภาพวาดของรัสเซีย) มากกว่า Picasso ซึ่งเทคนิคนามธรรมอย่างน้อยก็มีความเกี่ยวข้องกับศิลปะพื้นบ้านดั้งเดิมของพวกเขาเอง ไม่ ถ้ามวลชน เติม Tretyakov Gallery (พิพิธภัณฑ์ศิลปะรัสเซียสมัยใหม่แห่งมอสโก - ศิลปที่ไร้ค่า) ส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกเขามีรูปร่างและตั้งโปรแกรมในลักษณะที่พวกเขาหลีกเลี่ยง "ความเป็นทางการ" และชื่นชม "สัจนิยมสังคมนิยม"

ประการแรก ไม่ใช่เรื่องของการเลือกระหว่างเก่ากับใหม่ เนื่องจากลอนดอนดูเหมือนจะเชื่อ แต่ระหว่างที่แย่ อัปเดตเก่า และใหม่อย่างแท้จริง ทางเลือกของ Picasso ไม่ใช่ Michelangelo แต่เป็นศิลปที่ไร้ค่า ประการที่สอง ไม่ว่าในรัสเซียที่ล้าหลังหรือในตะวันตกที่ก้าวหน้า มวลชนไม่ชอบศิลปที่ไร้ค่าเพียงเพราะรัฐบาลของพวกเขาได้หล่อหลอมพวกเขาให้เป็นเช่นนั้น เมื่อระบบการศึกษาของรัฐพยายามพูดถึงศิลปะ ผู้คนควรเคารพปรมาจารย์ผู้เฒ่า ไม่ใช่ศิลปที่ไร้ค่า อย่างไรก็ตาม ผู้คนยังคงแขวนอยู่บนฝาผนังทำซ้ำภาพวาด ไม่ใช่โดย Rembrandt และ Michelangelo แต่โดย Maxfield Parrish หรือผลงานที่เทียบเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ตามที่ MacDonald เองได้ชี้ให้เห็น ราวปี 1925 เมื่อระบอบการปกครองของโซเวียตสนับสนุนภาพยนตร์แนวหน้า มวลชนชาวรัสเซียยังคงชื่นชอบภาพยนตร์ฮอลลีวูดต่อไป ไม่ "การสร้าง" ไม่ได้อธิบายพลังของศิลปที่ไร้ค่า

ค่านิยมทั้งหมดในงานศิลปะและในที่อื่นๆ เป็นค่าของมนุษย์ ค่าสัมพัทธ์ และดูเหมือนว่าจะมีข้อตกลงร่วมกันระหว่างส่วนที่ตรัสรู้ของมนุษยชาติตลอดหลายยุคทุกสมัยว่าสิ่งใดเป็นศิลปะที่ดีและสิ่งใดคือศิลปะที่ไม่ดี รสนิยมเปลี่ยนไปแล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกินขอบเขตที่กำหนด ผู้ชื่นชอบศิลปะสมัยใหม่เห็นด้วยกับชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในศตวรรษที่ 18 และถือว่าโฮคุไซเป็นหนึ่งในศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น เรายังเห็นด้วยกับชาวอียิปต์โบราณว่าศิลปะของราชวงศ์ที่สามและสี่นั้นมีค่าควรแก่การเลือกเป็นแบบอย่างสำหรับลูกหลาน บางทีเราอาจชอบ Giotto มากกว่า Raphael แต่เรายังไม่ปฏิเสธว่าราฟาเอลเป็นหนึ่งในจิตรกรที่เก่งที่สุดในยุคของเขา เคยมีข้อตกลงกันมาก่อน และผมเชื่อว่าสิ่งนี้อยู่บนพื้นฐานของความแตกต่างที่ค่อนข้างคงที่ระหว่างค่านิยมที่สามารถพบได้เฉพาะในงานศิลปะและค่านิยมที่สามารถพบได้ในด้านอื่นๆ ด้วยวิธีการที่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์และทางอุตสาหกรรมของศิลปที่ไร้ค่าในทางปฏิบัติความแตกต่างนี้ได้ถูกลบไปแล้ว

ตัวอย่างเช่น ลองพิจารณาว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อชาวนารัสเซียที่โง่เขลาอย่าง MacDonald พูดถึง ยืนอยู่หน้าภาพวาดสองภาพ ภาพหนึ่งโดย Picasso และอีกภาพหนึ่งโดย Repin ต้องเผชิญกับเสรีภาพในการเลือกโดยสมมุติฐาน บนผืนผ้าใบผืนแรก ชาวนาคนนี้เห็นการเล่นของเส้น สี และช่องว่าง ซึ่งเป็นบทละครที่เป็นตัวแทนของผู้หญิง หากเรายอมรับข้อสันนิษฐานของ MacDonald ซึ่งฉันมักจะสงสัยในความถูกต้อง เทคนิคที่เป็นนามธรรมจะช่วยเตือนชาวนาเกี่ยวกับไอคอนที่หลงเหลืออยู่ในหมู่บ้านบางส่วน และชาวนาก็สนใจสิ่งที่คุ้นเคย เรายังสันนิษฐานว่าชาวนามีความคิดคลุมเครือเกี่ยวกับคุณค่าของศิลปะที่ยิ่งใหญ่บางอย่างซึ่งค้นพบโดยผู้รู้แจ้งในผลงานของปิกัสโซ จากนั้นชาวนาก็หันไปที่ผืนผ้าใบของ Repin และเห็นฉากต่อสู้ วิธีการของศิลปินไม่คุ้นเคย แต่สำหรับชาวนาสิ่งนี้มีความสำคัญน้อยมาก เพราะจู่ๆ เขาก็ค้นพบตัวเองในผืนผ้าใบของ Repin ที่ดูเหมือนว่าเขามีความสำคัญมากกว่าค่านิยมที่เขาเคยพบในการวาดภาพไอคอน และความมืดมนของสิ่งที่ค้นพบกลายเป็นหนึ่งในแหล่งที่มาของค่านิยมเหล่านี้ - การรับรู้ที่มีชีวิต ความอัศจรรย์และความเห็นอกเห็นใจ ในภาพวาดของ Repin ชาวนารู้จักและมองเห็นวัตถุต่างๆ ในขณะที่เขารู้จักและมองเห็นวัตถุเหล่านั้นนอกภาพวาด ช่องว่างระหว่างศิลปะกับชีวิตหายไป ความจำเป็นในการยอมรับแบบแผนและบอกตัวเองว่าไอคอนแสดงถึงพระคริสต์ เพราะมันมีจุดประสงค์เพื่อสื่อถึงพระคริสต์ แม้ว่าภาพวาดไอคอนจะไม่เตือนให้ฉันนึกถึงบุคคลใด ๆ มากเกินไป แต่ก็หายไป ความจริงที่ว่า Repin สามารถวาดภาพได้เหมือนจริงมากจนสามารถระบุตัวตนได้ชัดเจนในตัวเอง ทันที และไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ จากผู้ชมนั้นช่างยอดเยี่ยม ชาวนายังชอบความมั่งคั่งของความหมายที่ชัดเจนในตัวเองซึ่งเขาพบในภาพ: "มันบอก" เมื่อเทียบกับภาพวาดของ Repin ภาพวาดของ Picasso นั้นตระหนี่และขาดแคลนมาก นอกจากนี้ Repin ยังยกระดับความเป็นจริงและทำให้ดูน่าทึ่ง: พระอาทิตย์ตก การระเบิดของเปลือกหอย ผู้คนกำลังวิ่งและตกลงมา ไม่มีการพูดถึง Picasso หรือไอคอนอีกต่อไป Repin คือสิ่งที่ชาวนาต้องการ ซึ่งไม่ต้องการอะไรนอกจาก Repin โชคดีสำหรับ Repin แม้ว่าชาวนารัสเซียรายนี้จะได้รับการคุ้มครองจากผลผลิตของลัทธิทุนนิยมอเมริกัน มิฉะนั้น เขาจะต้องยอมจำนนต่อปกของ Norman Rockwell ใน Saturday Evening Post

ในท้ายที่สุดอาจกล่าวได้ว่าผู้ชมที่มีวัฒนธรรมและได้รับการพัฒนาดึงเอาค่านิยมเดียวกันกับที่ชาวนาดึงออกมาจากภาพวาดของ Repin เนื่องจากสิ่งที่ชาวนาชอบในการวาดภาพของ Repin ในแง่หนึ่งก็เป็นศิลปะเช่นกัน ระดับล่างและชาวนาถูกผลักดันให้ดูภาพด้วยสัญชาตญาณเดียวกันกับที่ทำให้ผู้ชมที่มีวัฒนธรรมมองภาพวาด แต่คุณค่าสุดท้ายที่ผู้ชมที่พัฒนาทางวัฒนธรรมได้รับจากภาพวาดของปิกัสโซนั้นได้มาในระยะที่สอง อันเป็นผลมาจากการสะท้อนความประทับใจที่หลงเหลือจากรูปแบบศิลปะโดยตรง จากนั้นจึงเกิดสิ่งที่เป็นที่จดจำ อัศจรรย์ และชวนให้นึกถึง คุณสมบัติเหล่านี้ปรากฏโดยตรงหรือโดยชัดแจ้งในภาพวาดของปิกัสโซ แต่ผู้ชมที่อ่อนไหวพอที่จะตอบสนองต่อคุณสมบัติทางศิลปะอย่างเพียงพอจะต้องแสดงคุณสมบัติเหล่านี้ไว้ในภาพวาดของปิกัสโซ คุณสมบัติเหล่านี้อ้างถึงเอฟเฟกต์ "สะท้อน" ในทางกลับกัน เอฟเฟกต์ "สะท้อน" ของ Repin นั้นรวมอยู่ในภาพวาดแล้ว และเหมาะสำหรับความเพลิดเพลินของผู้ชมโดยไม่สะท้อน ที่ Picasso ดึงสาเหตุ Repin ดึงผลกระทบ Repin แยกแยะศิลปะสำหรับผู้ชมและช่วยเขาให้พ้นจากความพยายาม ให้เส้นทางสั้น ๆ สู่ความสุข หลีกเลี่ยงสิ่งที่ยากในงานศิลปะของแท้ Repin (หรือศิลปที่ไร้ค่า) เป็นศิลปะสังเคราะห์ เช่นเดียวกัน อาจกล่าวได้เกี่ยวกับวรรณกรรมศิลปที่ไร้ค่า: มันให้ประสบการณ์ปลอมแก่ผู้ที่ไม่อ่อนไหวด้วยความฉับไวมากกว่าวรรณกรรมจริงจังที่หวังว่าจะทำได้ ทั้ง Eddie Guest และ Indian Love Lyrics เป็นบทกวีมากกว่า T. S. Eliot และ Shakespeare

สไตล์ศิลปที่ไร้ค่าในการตกแต่งภายในนั้นดีเพราะทุกคนสามารถใช้ได้ ในการตกแต่งห้องในบ้านของคุณในสไตล์นี้ คุณไม่จำเป็นต้องมีรสนิยมพิเศษ มีไหวพริบทางศิลปะ งบประมาณจำนวนมาก และประสบการณ์การออกแบบ เพียงพอที่จะเข้าใจแนวคิดหลักของสไตล์ซึ่งก็คือการต่อต้านทุกสิ่งที่คลาสสิกมาตรฐานศิลปะมีเหตุผลและธรรมดา

สไตล์ศิลปะทั้งหมด "ซับซ้อน", ศิลปที่ไร้ค่า, เหมือนเดิม, เยาะเย้ย, เป็นชนิดของ การ์ตูนล้อเลียนเขาตกแต่งภายในด้วยสีสันสดใสและผสมผสานองค์ประกอบการตกแต่งที่ดูไม่เข้ากัน แต่เรื่องนี้ไม่ได้จบลงที่จานสีและการตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ทั้งสองชิ้นและเลย์เอาต์ของห้องโดยรวมนั้นถือว่าผิดปกติมาก

มันเริ่มต้นอย่างไร...

เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จากนั้นศิลปที่ไร้ค่า ( ศิลปที่ไร้ค่าแปลตามตัวอักษรจากภาษาเยอรมันว่า "หยาบคาย", "แฮ็ก", "ไร้รสชาด";) เรียกว่าสิ่งที่ออกแบบมาเพื่อเลียนแบบของเก่าและความหรูหราในบ้านของผู้อยู่อาศัยที่ร่ำรวย ด้วยการถือกำเนิดของแนวคิดที่ดูเรียบง่ายนี้ เพื่อนำวัฒนธรรมมาสู่บ้านทุกหลัง แม้แต่ในรุ่นที่ถูกกว่านั้น ทิศทางการออกแบบใหม่ก็เริ่มปรากฏขึ้น ซึ่งในไม่ช้าก็กลายเป็นที่นิยมอย่างล้นหลาม
การรวมกันของความไม่ลงรอยกันได้กลายเป็นเทรนด์ใหม่และทางเลือกที่มีสติตามกฎของคนที่มีความคิดสร้างสรรค์และไม่ธรรมดาที่ต้องการและสามารถเชิญแขกไปที่บ้านที่บนกำแพงอิฐหยาบภาพเขียนโดย Rafael Santi และผลงาน โดย Andy Warhol แขวนไว้ใกล้ ๆ ราวกับว่าจำเป็นและจำเป็น แต่โซฟาสีกรดและโครงสร้างบังตาที่เป็นช่องเก่า a la อยู่ห่างกันครึ่งเมตร

นี่คือขนมที่ไร้ค่า?

Kitsch ในการตกแต่งภายในนั้นง่ายต่อการระบุอย่างแม่นยำด้วยการผสมผสานที่แปลกประหลาดและวุ่นวายของสิ่งที่ไม่ควรอยู่ใกล้อย่างแน่นอน ดังนั้นหากพลาสติกต้อนรับและไม่รวมงานทำมือ ทุกอย่างทอจากวัสดุธรรมชาติและไม่ยอมรับความทันสมัยในรูปแบบใด ๆ ประกอบด้วยของเก่าในสีพาสเทลและสีสดใสจะทำลายความคิดและเสน่ห์ของมันอย่างสมบูรณ์ ศิลปที่ไร้ค่าเป็นเบาะสีน้ำเงินปักด้วยมือบนเก้าอี้พลาสติกสีแดงภายใต้ภาพวาดของศิลปินยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่แขวนอยู่บนผนังไม้ซุง...

จากสิ่งนี้จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเดาว่าศิลปที่ไร้ค่าจริงไม่มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด
ชัยชนะที่แปลกประหลาดของรสนิยมแย่เป็นแนวคิดเดียวและกำหนดแนวคิดสำหรับการกำหนด

ลักษณะเฉพาะของสไตล์

อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ในรูปแบบที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ คุณลักษณะที่สำคัญหลายประการสามารถแยกแยะได้:

1. ความไม่ลงรอยกันของสี รูปทรง และวัสดุในการออกแบบ ตัวอย่างเช่น การใช้สีที่ไม่เป็นด้านแบบด้านร่วมกับสีที่เป็นกรดและเข้มข้น การใช้เฟอร์นิเจอร์คลาสสิกหรือทั่วไปร่วมกับอนาคต ไม้หรือหินพร้อมกับพลาสติกมันเงา
2. ในการตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ และการตกแต่ง มีสัญญาณที่ชัดเจนของสไตล์การตกแต่งภายในที่แตกต่างกัน
3. รายการที่จัดแสดงมีตั้งแต่เก่าแก่จนถึงทันสมัยและทันสมัย
4. เลียนแบบทุกสิ่งที่สามารถเลียนแบบได้ - เสื่อน้ำมัน "หินอ่อน", โคมระย้าแก้ว "คริสตัล", โซฟา "หนัง", จริง ๆ แล้วหุ้มด้วยหนังเทียม, แผ่นผนัง "คล้ายไม้" พลาสติก, "หนังสัตว์" เทียม, ไม้สักทองยูรีเทนปิดทอง ฯลฯ . ป.

ภายในในสไตล์ศิลปที่ไร้ค่า - photo

เนื่องจากสไตล์ศิลปที่ไร้ค่าในการตกแต่งภายในไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดโดยพื้นฐาน คุณจึงควรพึ่งพาแต่ความชอบของคุณเองในการเลือกสี วัสดุ เฟอร์นิเจอร์และการตกแต่ง เพื่อให้เข้าใจว่าการตกแต่งภายในของคุณเป็นอย่างไรในสไตล์นี้ คุณควรทำความคุ้นเคยกับตัวอย่างสำเร็จรูป

ธรรมชาติที่วิจิตรบรรจงอยู่ในห้องที่ไร้ค่ามักจะรู้สึกไม่สบายใจสไตล์นี้มักจะถูกเลือกโดยบุคลิกที่ไม่ธรรมดาคนหนุ่มสาวและผู้ที่ชื่นชอบซึ่งตัวเองมักไม่รู้ว่าจินตนาการของพวกเขาจะพาพวกเขาไปที่ใด