ชีวิตของผู้คนที่ยอดเยี่ยม -. ชีวิตของแวนโก๊ะ

ลา วี เดอ แวนโก๊ะ

* * *

ส่วนที่หนึ่ง. ต้นมะเดื่อหมัน (1853-1880)

I. วัยเด็กที่เงียบงัน

พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าอยู่อีกฟากหนึ่งของการเป็นอยู่ และในความไม่สำคัญของข้าพเจ้ามีสันติสุขไม่รู้จบ ฉันถูกขับออกจากสถานะนี้เพื่อผลักดันฉันเข้าสู่งานรื่นเริงแห่งชีวิตที่แปลกประหลาด

เนเธอร์แลนด์ไม่ได้เป็นเพียงทุ่งดอกทิวลิปที่กว้างใหญ่เท่านั้น ดอกไม้ ความสุขของชีวิตที่รวมไว้ในดอกไม้ ความสนุกสนานที่สงบและมีสีสัน เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกโดยประเพณีในใจของเราด้วยทิวทัศน์ของกังหันลมและลำคลอง ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะเฉพาะของพื้นที่ชายฝั่งทะเล บางส่วนถูกยึดคืนจากทะเลและเนื่องมาจากความเจริญรุ่งเรืองของท่าเรือขนาดใหญ่ . พื้นที่เหล่านี้ - ทางเหนือและใต้ - แท้จริงแล้วคือฮอลแลนด์ นอกจากนี้ เนเธอร์แลนด์ยังมีอีก 9 จังหวัด ซึ่งทั้งหมดมีเสน่ห์ในตัวเอง แต่เสน่ห์นี้แตกต่างออกไป - บางครั้งก็รุนแรงกว่า: หลังทุ่งดอกทิวลิป, ดินแดนที่น่าสงสาร, ที่ที่เยือกเย็นกระจายออกไป

ในพื้นที่เหล่านี้ ผู้ด้อยโอกาสที่สุดน่าจะเป็นที่ที่เรียกว่า Brabant เหนือ ซึ่งมีทุ่งหญ้าและป่าไม้ปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้าและที่รกร้างว่างเปล่าทราย หนองพรุและหนองบึง ทอดยาวไปตามชายแดนเบลเยี่ยม - จังหวัดที่แยกจากเยอรมนีเพียงแห่งเดียว แถบลิมบูร์กที่แคบและไม่สม่ำเสมอหนึ่งเส้น ไปตามแม่น้ำมิวส์ เมืองหลักของมันคือ 's-Hertogenbosch บ้านเกิดของ Hieronymus Bosch จิตรกรสมัยศตวรรษที่ 15 ที่รู้จักกันในจินตนาการอันแปลกประหลาดของเขา ดินในจังหวัดนี้หายากและมีที่ดินรกร้างมากมาย ที่นี่ฝนตกบ่อย หมอกแขวนต่ำ ความชื้นแทรกซึมทุกสิ่งและทุกคน ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวนาหรือช่างทอผ้า ทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยความชื้นช่วยให้พวกมันพัฒนาพันธุ์โคได้อย่างกว้างขวาง ในดินแดนที่ราบเรียบที่มีสันเขาที่กระจัดกระจาย วัวขาวดำในทุ่งหญ้าและหนองบึงที่รกทึบ คุณสามารถเห็นเกวียนลากเลื่อนสุนัขบนถนน ซึ่งถูกนำไปที่เมืองเบอร์เกน-ออป-ซูม เมืองเบรดา เซเวนเบอร์เกน; Eindhoven - กระป๋องนมทองแดง

ชาวเมือง Brabant ส่วนใหญ่เป็นชาวคาทอลิก ลูเธอรันไม่ได้ทำขึ้นแม้แต่หนึ่งในสิบของประชากรในท้องถิ่น นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมวัดซึ่งดูแลคริสตจักรโปรเตสแตนต์จึงยากจนที่สุดในภูมิภาคนี้

ผู้หว่าน (เลียนแบบข้าวฟ่าง)

ในปี ค.ศ. 1849 พระสงฆ์อายุ 27 ปีชื่อธีโอดอร์ ฟาน โก๊ะได้รับแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในตำบลกรูท-ซูนเดิร์ต ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนเบลเยี่ยม ห่างจากโรเซนดัลสิบห้ากิโลเมตร ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานศุลกากรของเนเธอร์แลนด์ เส้นทางบรัสเซลส์-อัมสเตอร์ดัม ตำบลนี้น่าอิจฉามาก แต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับศิษยาภิบาลรุ่นเยาว์ที่จะพึ่งพาสิ่งที่ดีกว่า: เขาไม่มีความสามารถอันยอดเยี่ยมหรือคารมคมคาย คำเทศนาที่ซ้ำซากจำเจหนักหนาของเขาปราศจากการบิน มันเป็นเพียงการฝึกวาทศิลป์ธรรมดาๆ จริงอยู่ เขาทำหน้าที่ของเขาอย่างจริงจังและตรงไปตรงมา แต่เขาขาดแรงบันดาลใจ และไม่อาจกล่าวได้ว่าเขาโดดเด่นด้วยความกระตือรือร้นในศรัทธาเป็นพิเศษ ศรัทธาของเขาจริงใจและลึกซึ้ง แต่ความหลงใหลที่แท้จริงนั้นต่างจากความศรัทธา อย่างไรก็ตาม ศิษยาภิบาลลูเธอรัน Theodor Van Gogh เป็นผู้สนับสนุนโปรเตสแตนต์เสรีนิยมซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองโกรนิงเกน

บุคคลผู้ไม่ธรรมดาผู้นี้ ประพฤติตนเป็นภิกษุณีด้วยความถูกต้องเป็นเสมียน ย่อมไม่ขาดบุญ ความเมตตา ความสงบ ความเป็นมิตร - ทั้งหมดนี้เขียนบนใบหน้าของเขา เด็กน้อย ส่องสว่างด้วยรูปลักษณ์ที่นุ่มนวลและไร้เดียงสา ใน Zundert ชาวคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ต่างชื่นชมความมีมารยาท การตอบสนอง และความเต็มใจที่จะรับใช้อย่างสม่ำเสมอ นิสัยดีและหน้าตาดีพอๆ กัน นี่คือ "ศิษยาภิบาลที่รุ่งโรจน์" (de mooi domine) อย่างแท้จริง เนื่องจากเขาถูกเรียกง่าย ๆ ว่ามีความดูถูกเหยียดหยามจากนักบวช

เฮียโรนีมัส บอช ภาพเหมือน

พ่อของเขาซึ่งเป็นปู่ของธีโอดอร์ ซึ่งในตอนแรกเลือกงานฝีมือของเครื่องปั่นด้าย ต่อมากลายเป็นผู้อ่าน และต่อมาเป็นบาทหลวงที่โบสถ์อารามในกรุงเฮก เขาเป็นทายาทของเขาโดยลุงทวดของเขา ซึ่งในวัยหนุ่มของเขา - เขาเสียชีวิตเมื่อต้นศตวรรษ - รับใช้ใน Royal Swiss Guard ในปารีสและชื่นชอบงานประติมากรรม สำหรับ Van Goghs รุ่นสุดท้าย - และนักบวชที่หลงผิดมีลูกสิบเอ็ดคนแม้ว่าเด็กคนหนึ่งเสียชีวิตในวัยเด็ก - บางทีชะตากรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้มากที่สุดก็ตกอยู่กับ "ศิษยาภิบาลผู้รุ่งโรจน์" นอกเหนือจากพี่สาวสามคนที่เหลืออยู่ใน หญิงชรา พี่สาวอีกสองคนแต่งงานกับนายพล โยฮันเนส พี่ชายของเขากำลังประสบความสำเร็จในอาชีพการงานในกรมทหารเรือ - เรือบรรทุกของรองผู้บัญชาการอยู่ไม่ไกล พี่น้องอีกสามคนของเขา - Hendrik, Cornelius Marinus และ Vincent - มีส่วนร่วมในการค้างานศิลปะขนาดใหญ่ Cornelius Marinus ตั้งรกรากอยู่ในอัมสเตอร์ดัม Vincent มีหอศิลป์ในกรุงเฮก ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดในเมืองและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบริษัท Parisian "Goupil" ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและมีสาขาอยู่ทุกหนทุกแห่ง

และเป็นการยากที่จะจินตนาการว่าเขาจะสามารถตอบสนองได้หากมีเพียงเขาเท่านั้นที่มีความหลงใหลในการเดินทางซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของญาติของเขา ฟานก็อกฮ์เดินทางไปต่างประเทศอย่างกระตือรือร้น และบางคนถึงกับแต่งงานกับชาวต่างชาติด้วย คุณยายของบาทหลวงธีโอดอร์เป็นชาวเฟลมิชจากเมืองมาลีนส์

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1851 สองปีหลังจากที่เขามาถึง Groot-Zündert ธีโอดอร์ แวนโก๊ะ ตัดสินใจแต่งงานเมื่ออายุครบ 30 ปี แต่เขาไม่เห็นความจำเป็นในการหาภรรยานอกประเทศ เขาแต่งงานกับหญิงชาวดัตช์ที่เกิดในกรุงเฮก Anna Cornelia Carbentus ลูกสาวของผู้เย็บเล่มหนังสือในราชสำนัก เธอยังมาจากครอบครัวที่น่านับถือ แม้แต่อธิการแห่งอูเทรคต์ก็อยู่ในรายชื่อบรรพบุรุษของเธอด้วย พี่สาวคนหนึ่งของเธอแต่งงานกับวินเซนต์ น้องชายของบาทหลวงธีโอดอร์ ซึ่งขายภาพเขียนในกรุงเฮก

แอนนา คอร์เนเลีย ซึ่งแก่กว่าสามีของเธอสามปี แทบไม่มีอะไรเหมือนเขาเลย และสกุลของเธอมีรากที่แข็งแรงน้อยกว่าสามีของเธอมาก พี่สาวคนหนึ่งของเธอมีอาการชักจากโรคลมบ้าหมู ซึ่งเป็นพยานถึงมรดกทางประสาทที่รุนแรงซึ่งส่งผลต่อตัวแอนนา คอร์เนเลีย อ่อนโยนและรักใคร่โดยธรรมชาติ เธอมักจะแสดงความโกรธออกมาอย่างไม่คาดฝัน มีชีวิตชีวาและใจดี เธอมักจะดุร้าย กระฉับกระเฉง ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่รู้จักพักผ่อน ในขณะเดียวกันเธอก็ดื้อรั้นอย่างยิ่ง เธอรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงที่ช่างสงสัยและน่าประทับใจ ด้วยบุคลิกที่ค่อนข้างกระสับกระส่าย และนี่เป็นหนึ่งในลักษณะเด่นของเธอ - มีความโน้มเอียงอย่างมากต่อแนวการเขียนจดหมายข่าว เธอชอบพูดตรงไปตรงมา เขียนจดหมายยาวๆ "Ik maak กว้างใหญ่ een woordje klaar" - คุณมักจะได้ยินคำเหล่านี้จากเธอ: "ฉันจะไปเขียนสองสามบรรทัด" ในช่วงเวลาใด ๆ เธออาจถูกยึดโดยความปรารถนาที่จะหยิบปากกา

บ้านศิษยาภิบาลใน Zundert ซึ่ง Anna Kornelia เข้ามาเมื่ออายุ 32 ปี เป็นอาคารอิฐชั้นเดียว ด้านหน้าอาคารหันไปทางถนนสายหนึ่งของหมู่บ้าน - ตรงทั้งหมดเหมือนกับถนนอื่นๆ อีกด้านหนึ่งหันไปทางสวนซึ่งมีไม้ผล ต้นสนและอะคาเซียเติบโต และตามทางเดิน - mignonette และ levkoi รอบหมู่บ้านจนถึงสุดขอบฟ้า โครงร่างที่คลุมเครือซึ่งหายไปในท้องฟ้าสีเทา ที่ราบทรายทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด ที่นี่และที่นั่น - ป่าสปรูซที่เบาบาง พื้นที่รกร้างที่ปกคลุมไปด้วยเฮเทอร์ กระท่อมที่มีหลังคามุงด้วยตะไคร่น้ำ แม่น้ำอันเงียบสงบที่มีสะพานข้ามข้ามไป สวนไม้โอ๊ค ต้นหลิวที่ตัดแต่งกิ่ง แอ่งน้ำเป็นคลื่น ดินแดนพรุพรุทำให้สงบ บางครั้งคุณอาจคิดว่าชีวิตหยุดอยู่ที่นี่โดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นผู้หญิงในหมวกหรือชาวนาในหมวกก็จะผ่านไป มิฉะนั้นนกกางเขนจะร้องเสียงแหลมบนอะคาเซียที่เป็นสุสานสูง ชีวิตไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ ที่นี่ไม่ตั้งคำถาม วันเวลาผ่านไป คล้ายคลึงกันอย่างสม่ำเสมอ ดูเหมือนว่าชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่าจะถูกใส่เข้าไปในกรอบของขนบธรรมเนียมและประเพณีโบราณ พระบัญญัติของพระเจ้าและกฎหมาย มันอาจจะซ้ำซากจำเจและน่าเบื่อ แต่ก็เชื่อถือได้ ไม่มีอะไรจะปลุกความสงบสุขของเธอได้

รูปพ่อศิลปิน

* * *

วันเวลาผ่านไป Anna Cornelia ใช้ชีวิตใน Zundert

เงินเดือนศิษยาภิบาลตามตำแหน่งของเขานั้นเจียมเนื้อเจียมตัวมาก แต่คู่สมรสพอใจเพียงเล็กน้อย บางครั้งพวกเขาก็ช่วยเหลือผู้อื่นได้ พวกเขาอาศัยอยู่อย่างกลมกลืน มักจะไปเยี่ยมคนป่วยและคนยากจนด้วยกัน ตอนนี้ Anna Cornelia กำลังตั้งครรภ์ ถ้าเกิดเป็นเด็กผู้ชาย เขาจะมีชื่อว่า Vincent

และแน่นอน เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 1852 แอนนา คอร์เนเลียได้ให้กำเนิดเด็กชายคนหนึ่ง พวกเขาตั้งชื่อเขาว่าวินเซนต์

Vincent - เช่นเดียวกับปู่ของเขา ศิษยาภิบาลใน Breda เช่นเดียวกับลุงของเฮก เช่นเดียวกับญาติห่าง ๆ ที่รับใช้ในยามสวิสในปารีสในศตวรรษที่ 18 Vincent หมายถึงผู้ชนะ ขอให้เขาเป็นความภาคภูมิใจและความสุขของครอบครัว Vincent Van Gogh!

แต่อนิจจา! เด็กเสียชีวิตหกสัปดาห์ต่อมา

รูปแม่ของศิลปิน

Vincent van Gogh เมื่ออายุ 13 ปี

วันเวลาผ่านไป เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ในดินแดนที่น่าเบื่อนี้ไม่มีสิ่งใดเบี่ยงเบนความสนใจของบุคคลจากความเศร้าโศกของเขาและจะไม่บรรเทาลงเป็นเวลานาน ฤดูใบไม้ผลิผ่านไป แต่แผลยังไม่หาย โชคดีแล้วที่ฤดูร้อนได้นำความหวังมาสู่บ้านของศิษยาภิบาลที่เศร้าโศก: Anna Cornelia ตั้งครรภ์อีกครั้ง เธอจะคลอดบุตรอีกคนหนึ่งซึ่งรูปร่างหน้าตาจะอ่อนลงและบั่นทอนความเจ็บปวดของมารดาที่สิ้นหวังหรือไม่? และมันจะเป็นเด็กผู้ชายที่สามารถแทนที่พ่อแม่ของวินเซนต์ซึ่งพวกเขาตั้งความหวังไว้มากมายหรือไม่? ความลึกลับของการเกิดนั้นไม่สามารถเข้าใจได้

ฤดูใบไม้ร่วงสีเทา จากนั้นฤดูหนาวน้ำค้างแข็ง พระอาทิตย์ขึ้นช้า ๆ เหนือขอบฟ้า มกราคม. กุมภาพันธ์. พระอาทิตย์อยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า สุดท้าย - มีนาคม เด็กควรจะเกิดในเดือนนี้หนึ่งปีหลังจากที่พี่ชายเกิด ... 15 มีนาคม วันที่ 20 มีนาคม. วันฤดูใบไม้ผลิ Equinox. ดวงอาทิตย์เข้าสู่สัญลักษณ์ของราศีเมษเองตามที่นักโหราศาสตร์เป็นที่พำนักที่ชื่นชอบ 25, 26, 27 มีนาคม ... 28, 29 ... 30 มีนาคม 2396 หนึ่งปีต่อมา - วันแล้ววันเล่า - หลังคลอดของ Vincent Van Gogh ตัวน้อย Anna Cornelia ได้ให้กำเนิดลูกชายคนที่สองของเธออย่างปลอดภัย ความฝันของเธอเป็นจริงแล้ว

และเด็กชายคนนี้ในความทรงจำของคนแรกจะได้ชื่อว่า Vincent! วินเซนต์ วิลเลม.

และเขาจะถูกเรียกว่า: Vincent Van Gogh

* * *

บ้านของศิษยาภิบาลก็เต็มไปด้วยเด็กๆ ทีละน้อย ในปี ค.ศ. 1855 แวนโก๊ะมีลูกสาวคนหนึ่งชื่อแอนนา วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2500 เด็กชายอีกคนเกิด เขาได้รับการตั้งชื่อตามพ่อของเขาธีโอดอร์ หลังจากธีโอตัวน้อย เด็กหญิงสองคนก็ปรากฏตัวขึ้น - Elisabeth Hubert และ Wilhelmina - และเด็กชายคนหนึ่ง Cornelius ลูกคนสุดท้องของครอบครัวใหญ่นี้

บ้านของศิษยาภิบาลก้องไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กๆ ร้องไห้และร้องเจี๊ยก ๆ หลายครั้งที่ศิษยาภิบาลต้องอุทธรณ์คำสั่ง ขอความเงียบเพื่อไตร่ตรองคำเทศนาต่อไป ไตร่ตรองว่าจะตีความบทนี้หรือบทนั้นของพันธสัญญาเดิมหรือพันธสัญญาใหม่ได้อย่างไร และในบ้านเตี้ยก็เงียบ มีเพียงเสียงกระซิบที่หายใจไม่ออกเป็นครั้งคราวเท่านั้น การตกแต่งบ้านที่เรียบง่ายและไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนนั้นโดดเด่นด้วยความรุนแรงราวกับเตือนถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าตลอดเวลา แต่ถึงแม้จะยากจน แต่ก็เป็นบ้านของพวกหัวขโมยอย่างแท้จริง ด้วยรูปลักษณ์ทั้งหมดของเขา เขาได้จุดประกายความคิดเรื่องความมั่นคง ความแข็งแกร่งของศีลธรรมที่มีอยู่ ความขัดขืนของระเบียบที่มีอยู่ ยิ่งกว่านั้น ระเบียบของชาวดัตช์ล้วนๆ มีเหตุผล ชัดเจน และติดดิน เป็นพยานถึงบางอย่างที่เท่าเทียมกัน ความฝืดและความสุขุมของตำแหน่งชีวิต

จากลูกหกคนของศิษยาภิบาล มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่จำเป็นต้องเงียบ - วินเซนต์ เงียบขรึมและบูดบึ้งเขาหลีกเลี่ยงพี่น้องของเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในเกมของพวกเขา คนเดียว Vincent เดินไปรอบ ๆ ย่านนั้นโดยมองดูต้นไม้และดอกไม้ บ้างก็ดูชีวิตแมลง กางหญ้าใกล้แม่น้ำ ออกหาลำธารหรือรังนก ตรวจค้นป่า เขามีสมุนไพรและกล่องดีบุกสำหรับเก็บสะสมแมลง เขารู้จักชื่อแมลงทุกชนิด—บางครั้งแม้แต่ภาษาละติน— Vincent เต็มใจพูดคุยกับชาวนาและช่างทอผ้า ถามพวกเขาว่าเครื่องทอผ้าทำงานอย่างไร ข้าพเจ้าเฝ้ามองดูพวกสตรีกำลังซักผ้าลินินในแม่น้ำเป็นเวลานาน เขาเลือกเกมที่เขาสามารถเกษียณได้ เขาชอบทอด้ายทำด้วยผ้าขนสัตว์ ชื่นชมการผสมผสานและความคมชัดของสีสดใส เขาชอบวาดรูปด้วย Vincent อายุแปดขวบพาแม่ของเขาวาดรูป - เขาวาดภาพลูกแมวกำลังปีนต้นแอปเปิ้ลในสวน ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เขาก็พบกับอาชีพใหม่ เขาพยายามปั้นช้างจากดินเหนียว แต่ทันทีที่เขาสังเกตเห็นว่าเขาถูกจับตามองอยู่ เขาก็ทำให้ร่างที่แกะสลักเรียบขึ้นทันที มีเพียงเกมเงียบ ๆ เท่านั้นที่ทำให้เด็กน้อยแปลกหน้าขบขัน หลายครั้งที่เขาไปเยี่ยมกำแพงของสุสานที่ฝังศพพี่ชายของเขา Vincent Van Gogh ซึ่งเขารู้จักจากพ่อแม่ของเขาซึ่งเป็นชื่อที่เขาถูกตั้งชื่อไว้

พี่น้องยินดีที่จะร่วมเดินกับวินเซนต์ แต่พวกเขาไม่กล้าขอความเมตตาจากเขา พวกเขากลัวพี่ชายที่ไม่ค่อยเข้าสังคมซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้วดูเหมือนจะแข็งแกร่ง หมอบ กระดูก ร่างที่น่าอึดอัดเล็กน้อยของเขามีความแข็งแกร่งที่ควบคุมไม่ได้ มีบางสิ่งที่น่าตกใจในตัวเขาซึ่งส่งผลต่อรูปลักษณ์ของเขาแล้ว ความไม่สมดุลบางอย่างสามารถเห็นได้บนใบหน้าของเขา ผมสีบลอนด์แดงซ่อนความหยาบของกะโหลกศีรษะ หน้าผากลาด. คิ้วหนา. และในดวงตาแคบๆ ที่ตอนนี้เป็นสีฟ้า ตอนนี้เป็นสีเขียว ด้วยท่าทางเศร้าโศกเศร้า บางครั้งก็มีไฟสีดำลุกโชนขึ้น

แน่นอนว่าวินเซนต์ดูเหมือนแม่ของเขามากกว่าพ่อของเขา เช่นเดียวกับเธอ เขาแสดงความดื้อรั้นและตั้งใจจนถึงขั้นความดื้อรั้น ไม่ยอมประนีประนอม ไม่เชื่อฟัง ด้วยบุคลิกที่ยากและขัดแย้ง เขาทำตามความปรารถนาของเขาเองเท่านั้น เขาตั้งเป้าไว้เพื่ออะไร? ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ และแน่นอนว่าเขาเป็นคนที่น้อยที่สุด เขากระสับกระส่ายราวกับภูเขาไฟซึ่งบางครั้งประกาศตัวเองด้วยเสียงก้องกังวาน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขารักครอบครัวของเขา แต่เรื่องเล็กเรื่องเล็กเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจทำให้เขาโกรธได้ ทุกคนรักเขา นิสัยเสีย ยกโทษให้เขาสำหรับการแสดงตลกที่แปลกประหลาดของเขา ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงเป็นคนแรกที่กลับใจจากพวกเขา แต่เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เหนือแรงกระตุ้นที่ไม่ย่อท้อซึ่งครอบงำเขาในทันใด ผู้เป็นแม่ไม่ว่าจะด้วยความอ่อนโยนมากเกินไปหรือรู้จักตัวเองในลูกชายของเธอก็มีแนวโน้มที่จะพิสูจน์ให้เห็นถึงความฉุนเฉียวของเขา บางครั้งคุณยายของฉันซึ่งเป็นภรรยาของศิษยาภิบาลจอมเพ้อจะมาที่แซนเดอร์ท เมื่อเธอได้เห็นการแสดงตลกของวินเซนต์ เธอจับมือหลานชายของเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วตบหัวเขา แล้วเหวี่ยงเขาออกไปที่ประตู แต่ลูกสะใภ้รู้สึกว่าคุณย่าที่หลงผิดนั้นเกินสิทธิ์ของเธอ ทั้งวันเธอไม่เปิดปากและ "บาทหลวงผู้รุ่งโรจน์" หวังว่าทุกคนจะลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สั่งให้จำนำเก้าอี้เล็ก ๆ และเชิญผู้หญิงให้ขี่ไปตามเส้นทางป่าที่ล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้าดอกบาน การเดินผ่านป่าในยามเย็นมีส่วนทำให้เกิดการปรองดอง - ความงดงามของพระอาทิตย์ตกได้ขจัดความขุ่นเคืองของหญิงสาว

อย่างไรก็ตาม อารมณ์ทะเลาะวิวาทของวินเซนต์วัยเยาว์นั้นแสดงออกไม่เพียงแต่ในบ้านของพ่อแม่เท่านั้น เมื่อเข้าโรงเรียนชุมชนแล้ว ก่อนอื่นเขาได้เรียนรู้จากเด็กชาวนา ลูกชายของช่างทอผ้าในท้องถิ่น คำสาปทุกประเภทและเทพวกเขาโดยประมาททันทีที่เขาอารมณ์เสีย ไม่ต้องการยอมจำนนต่อระเบียบวินัยใด ๆ เขาแสดงพฤติกรรมที่ไม่ถูกควบคุมและประพฤติตัวท้าทายกับเพื่อนผู้ปฏิบัติที่ศิษยาภิบาลต้องพาเขาออกจากโรงเรียน

ธีโอดอร์ แวนโก๊ะ น้องชายของศิลปิน

อย่างไรก็ตามในจิตวิญญาณของเด็กชายที่มืดมนนั้นมีการซ่อนต้นอ่อนขี้อายของความอ่อนโยนและความอ่อนไหวที่เป็นมิตร ด้วยความขยันหมั่นเพียร กับความรักเท่าใด เจ้าคนป่าตัวน้อยจึงชักดอกไม้แล้วมอบภาพวาดให้เพื่อน ๆ ของเขา ใช่ เขาวาด ฉันวาดมาก สัตว์. ภูมิทัศน์ นี่คือภาพวาดสองภาพของเขาจากปี 1862 (เขาอายุเก้าขวบ): หนึ่งภาพสุนัข อีกภาพหนึ่งแสดงถึงสะพาน และเขายังอ่านหนังสือ อ่านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลืนกินทุกอย่างที่สะดุดตาเขาเท่านั้น

เหมือนกับที่ไม่คาดคิด เขาก็ติดอยู่กับธีโอน้องชายของเขาอย่างหลงใหล ซึ่งอายุน้อยกว่าเขาสี่ปี และเขาก็กลายเป็นเพื่อนร่วมทางที่คงอยู่ของเขาในการเดินเล่นในเขตชานเมือง Zundert ในช่วงเวลาพักผ่อนที่หายากซึ่งผู้บังคับบัญชาทิ้งไว้ให้พวกเขา ไม่นานมานี้ได้รับเชิญ โดยศิษยาภิบาลในการเลี้ยงลูก ในขณะเดียวกัน พี่น้องทั้งสองนั้นไม่เหมือนกันเลย ยกเว้นว่าผมของทั้งคู่มีสีอ่อนและสีแดงเท่าๆ กัน เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าธีโอไปหาพ่อของเขาโดยสืบทอดนิสัยอ่อนโยนและหน้าตาดี ด้วยความสงบ ความละเอียดอ่อน และความนุ่มนวลของใบหน้า ความเปราะบางของโครงสร้าง เขาจึงแตกต่างอย่างน่าประหลาดกับพี่ชายที่มีมุมแหลมและแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกัน ในความอัปลักษณ์ของป่าพรุและที่ราบ พี่ชายของเขาได้เปิดเผยความลับนับพันให้เขาฟัง เขาสอนให้มองเห็น ดูแมลงและปลา ต้นไม้และสมุนไพร Zundert กำลังงีบหลับ ที่ราบอันไร้ที่สิ้นสุดทั้งหมดถูกพันธนาการด้วยการหลับใหล แต่ทันทีที่วินเซนต์พูด ทุกสิ่งรอบตัวจะฟื้นคืนชีพ และวิญญาณของสิ่งต่างๆ จะถูกเปิดเผย ที่ราบทะเลทรายเต็มไปด้วยความลึกลับและชีวิตที่ครอบงำ ดูเหมือนว่าธรรมชาติจะหยุดนิ่ง แต่มีงานทำอยู่ตลอดเวลา มีบางอย่างต่ออายุและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ต้นหลิวที่ถูกตัดแต่งด้วยลำต้นที่คดเคี้ยวและบิดเบี้ยวก็ดูน่าเศร้าในทันใด ในฤดูหนาวพวกเขาปกป้องที่ราบจากหมาป่าซึ่งเสียงหอนที่หิวโหยทำให้ชาวนาหวาดกลัวในตอนกลางคืน ธีโอฟังเรื่องราวของพี่ชาย ไปตกปลากับเขา และประหลาดใจกับวินเซนต์ ทุกครั้งที่ปลากัด เขาจะอารมณ์เสียแทนที่จะดีใจ

แต่พูดตามความจริง วินเซนต์อารมณ์เสียไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ตกอยู่ในสภาวะของการกราบเหมือนฝัน ซึ่งเขาออกมาเพียงภายใต้อิทธิพลของความโกรธที่ไม่สมส่วนอย่างสมบูรณ์กับสาเหตุที่ก่อให้เกิดมัน หรือการระเบิดที่ไม่คาดคิดอธิบายไม่ได้ ความอ่อนโยนซึ่งพี่น้องของวินเซนต์ยอมรับด้วยความขลาดกลัวและถึงกับหวาดหวั่น

รอบ ๆ เป็นภูมิประเทศที่น่าสงสาร พื้นที่กว้างใหญ่ไม่รู้จบ ซึ่งเปิดออกสู่สายตาเหนือที่ราบที่ทอดยาวออกไปภายใต้เมฆต่ำ อาณาจักรสีเทาที่ไม่มีการแบ่งแยกซึ่งกลืนแผ่นดินและท้องฟ้า ต้นไม้ที่มืดมิด ป่าพรุสีดำ ความโศกเศร้าที่เจ็บปวด มีเพียงรอยยิ้มซีดๆ ของทุ่งหญ้าที่เบ่งบานเป็นครั้งคราวเท่านั้น และในบ้านของศิษยาภิบาลมีเตาครอบครัวที่เจียมเนื้อเจียมตัว จำกัด ศักดิ์ศรีในทุกอิริยาบถความรุนแรงและการละเว้นหนังสือที่รุนแรงที่สอนว่าชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าและความพยายามที่จะได้รับความรอดนั้นเปล่าประโยชน์ หนังสือเล่มหนาสีดำ - The Book of Books ด้วยคำพูดที่นำมาจากส่วนลึกของศตวรรษซึ่งเป็นแก่นแท้ของ Word การจ้องมองอย่างหนักของพระเจ้าพระเจ้าเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของคุณข้อพิพาทนิรันดร์กับผู้ทรงอำนาจซึ่งต้องเชื่อฟัง แต่กับที่ คุณต้องการที่จะกบฏ และข้างในจิตวิญญาณของฉันมีคำถามมากมายที่เดือดพล่านไม่ได้เปลี่ยนเป็นคำพูดความกลัวพายุความวิตกกังวลที่ไม่ได้อธิบายและอธิบายไม่ได้ - ความกลัวชีวิตความสงสัยในตนเองแรงกระตุ้นความบาดหมางภายใน ความรู้สึกผิดที่คลุมเครือ ความรู้สึกที่คลุมเครือ ที่คุณต้องแลกอะไรบางอย่าง ...

บนป่าช้าสูงต้นกระถิน เธอสร้างรังนกกางเขน บางทีบางครั้งเธอก็นั่งบนหลุมศพของ Vincent Van Gogh ตัวน้อย

* * *

เมื่อวินเซนต์อายุสิบสองปี พ่อของเขาตัดสินใจส่งเขาไปโรงเรียนประจำ เขาเลือกสถาบันการศึกษาซึ่งดูแลโดยนาย Provili ในเซเวนเบอร์เกน

Zevenbergen เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่าง Rosendaal และ Dordrecht ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ Vincent ได้รับการต้อนรับด้วยภูมิทัศน์ที่คุ้นเคย ในการก่อตั้ง Mr. Provili ในตอนแรกเขานุ่มนวลขึ้นและเข้ากับคนง่ายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเชื่อฟังไม่ได้ทำให้เขาเป็นนักเรียนที่เก่ง เขาอ่านมากกว่าเมื่อก่อน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่แน่วแน่และแรงกล้า แพร่กระจายไปยังทุกสิ่งอย่างเท่าเทียมกัน ตั้งแต่นวนิยายไปจนถึงหนังสือเชิงปรัชญาและเทววิทยา อย่างไรก็ตาม วิทยาศาสตร์ที่สอนในสถาบันของ Mr. Provili ไม่ได้กระตุ้นความสนใจในตัวเขาเช่นเดียวกัน

Vincent ใช้เวลาสองปีที่โรงเรียน Provili จากนั้นหนึ่งปีครึ่งใน Tilburg ซึ่งเขาศึกษาต่อ

เขามาที่ Zundert ในช่วงวันหยุดเท่านั้น ที่นี่ Vincent อ่านมากเหมือนเมื่อก่อน เขายิ่งผูกพันกับธีโอมากขึ้นเรื่อยๆ และพาเขาไปกับเขาด้วยการเดินระยะไกล ความรักในธรรมชาติของเขาไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย เขาเดินไปรอบๆ ละแวกบ้านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เปลี่ยนทิศทาง และบ่อยครั้ง ตัวแข็งค้าง มองไปรอบ ๆ หมกมุ่นอยู่กับความคิดลึก ๆ เขาเปลี่ยนไปขนาดนั้นเลยเหรอ? เขายังคงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ความคมชัดในตัวเขา ความลับเดียวกัน เขาลังเลที่จะออกไปที่ถนนเป็นเวลานาน ปวดหัวตะคริวในท้องทำให้วัยรุ่นของเขามืดลง เขาทะเลาะกับพ่อแม่บ่อยๆ บ่อยครั้งนักบวชและภรรยาของเขาต้องออกไปเยี่ยมคนป่วยด้วยกันบ่อยแค่ไหนแวะพักที่ไหนสักแห่งบนถนนที่รกร้างและเริ่มต้นการสนทนาเกี่ยวกับลูกชายคนโตของพวกเขา โดยตื่นตระหนกกับนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปและอุปนิสัยที่ไม่ประนีประนอม พวกเขากังวลว่าอนาคตของเขาจะเป็นอย่างไร

ในส่วนต่างๆ ของโลกนี้ ที่แม้แต่ชาวคาทอลิกก็ยังหนีไม่พ้นอิทธิพลของลัทธิคาลวิน ผู้คนมักคุ้นเคยกับการเอาจริงเอาจังกับทุกสิ่ง ความบันเทิงมีน้อยที่นี่ ห้ามมีโต๊ะเครื่องแป้ง ความบันเทิงใด ๆ ที่น่าสงสัย การไหลของวันที่วัดได้จะถูกรบกวนโดยวันหยุดของครอบครัวที่หายากเท่านั้น แต่ความสนุกของพวกเขาช่างยับยั้งชั่งใจ! ความสุขของชีวิตไม่ปรากฏในสิ่งใด การยับยั้งชั่งใจนี้ก่อให้เกิดธรรมชาติอันทรงพลัง แต่ก็ได้ผลักพลังเข้าไปในที่ลับแห่งจิตวิญญาณซึ่งวันหนึ่งเมื่อระเบิดออกมาก็สามารถปลดปล่อยพายุได้ บางที Vincent ขาดความจริงจัง? หรือตรงกันข้าม เขาจริงจังเกินไปหรือเปล่า? เมื่อเห็นนิสัยแปลก ๆ ของลูกชาย พ่ออาจสงสัยว่าวินเซนต์จริงจังเกินไปหรือเปล่า ถ้าเขาเอาทุกอย่างมาใกล้ใจเขาเกินไป ทุกเรื่อง ทุกอิริยาบถ ทุกความเห็นของใครคนหนึ่ง ทุกคำในหนังสือทุกเล่มที่เขาอ่าน . ... ความทะเยอทะยานที่เร่าร้อน ความกระหายในสัมบูรณ์ ซึ่งมีอยู่ในลูกชายที่ดื้อรั้นคนนี้ ทำให้พ่อสับสน แม้แต่การระเบิดความโกรธของเขาและสิ่งเหล่านี้ก็เป็นผลมาจากความตรงไปตรงมาที่เป็นอันตราย เขาจะทำหน้าที่ในชีวิตนี้ให้สำเร็จได้อย่างไร ลูกชายสุดที่รัก ที่มีสิ่งแปลกประหลาดดึงดูดใจผู้คนไปพร้อม ๆ กัน? เขาจะกลายเป็นผู้ชายที่สงบเสงี่ยมเป็นที่เคารพนับถือของทุกคนซึ่งจะไม่ทิ้งศักดิ์ศรีของเขาและทำธุรกิจอย่างชำนาญจะเชิดชูครอบครัวของเขาหรือไม่?

นี่คือวินเซนต์เพิ่งกลับมาจากการเดินเล่น เขาเดินก้มหัว งอนมากกว่า หมวกฟางที่คลุมผมสั้นของเขา บังใบหน้าที่ไม่มีอะไรอ่อนเยาว์อยู่แล้ว เหนือคิ้วที่ขมวดคิ้วของหน้าผากของเขา มีริ้วรอยก่อนวัย เขาเป็นคนธรรมดา เงอะงะ เกือบจะน่าเกลียด และถึงกระนั้น ... และถึงกระนั้นชายหนุ่มที่มืดมนผู้นี้ก็แสดงความยิ่งใหญ่ออกมา: "ชีวิตที่ลึกล้ำอยู่ในตัวเขา" เขาถูกกำหนดให้ทำอะไรสำเร็จในชีวิตของเขา? และเหนือสิ่งอื่นใด ตัวเขาเองอยากจะเป็นใคร?

สิ่งนี้เขาไม่รู้ เขาไม่ได้แสดงความโน้มเอียงใด ๆ สำหรับอาชีพนี้หรืออาชีพนั้น ทำงาน? ใช่ เราต้องทำงาน แค่นั้นเอง แรงงานเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ของมนุษย์ ในครอบครัวของเขา เขาจะได้พบกับชุดของประเพณีที่ยั่งยืน เขาจะเดินตามรอยพ่อของเขา ลุงของเขา เขาจะทำหน้าที่เหมือนคนอื่นๆ

พ่อของวินเซนต์เป็นนักบวช พี่ชายสามคนของพ่อของฉันประสบความสำเร็จในการค้าขายผลงานศิลปะ Vincent รู้จักลุงและคนชื่อเดียวกับเขาเป็นอย่างดี - Vincent หรือลุง Saint ในขณะที่ลูก ๆ ของเขาเรียกเขาว่า - พ่อค้างานศิลปะในเฮกซึ่งตอนนี้เกษียณแล้วอาศัยอยู่ใน Prinsenhag ใกล้เมือง Breda ในท้ายที่สุด เขาตัดสินใจขายห้องแสดงงานศิลปะของเขาให้กับบริษัท Goupil ในกรุงปารีส ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสาขาของบริษัทนี้ที่กรุงเฮก และขยายอิทธิพลไปในซีกโลกทั้งสอง ตั้งแต่บรัสเซลส์ถึงเบอร์ลิน จากลอนดอนถึงนิวยอร์ก ใน Prinsenhag ลุง Saint อาศัยอยู่ในวิลล่าที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ซึ่งเขาได้นำภาพวาดที่ดีที่สุดของเขามา ศิษยาภิบาลหนึ่งหรือสองครั้งซึ่งพี่ชายของเขาชื่นชมอย่างไม่ต้องสงสัยพาลูก ๆ ไปที่ปรินเสนฮัก วินเซนต์ยืนนิ่งอยู่นานราวกับถูกสะกดจิต ต่อหน้าผืนผ้าใบ หน้าโลกเวทมนตร์ใหม่ที่ถูกเปิดเผยแก่เขาเป็นครั้งแรก ต่อหน้าภาพแห่งธรรมชาตินี้ แตกต่างไปจากตัวมันเองเล็กน้อย ต่อหน้าความเป็นจริงนี้ ยืมมาจากความเป็นจริง แต่มีอยู่โดยอิสระ ต่อหน้าโลกที่สวยงาม เป็นระเบียบ และสดใส ที่ซึ่งวิญญาณที่ซ่อนอยู่ของสิ่งต่าง ๆ ถูกเปิดเผยโดยพลังของดวงตาที่ซับซ้อนและมือที่ชำนาญ ไม่มีใครรู้ว่า Vincent กำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ว่าเขาจะคิดว่าความรุนแรงของลัทธิถือลัทธิที่มากับวัยเด็กของเขานั้นไม่เหมาะกับโลกที่พร่างพรายใบใหม่นี้ จึงไม่เหมือนกับภูมิประเทศอันน้อยนิดของ Zundert และความสงสัยในเชิงจริยธรรมที่คลุมเครือมาชนกันในจิตวิญญาณของเขาด้วยความงดงามตระการตาหรือไม่ ศิลปะ?

ไม่มีคำใดมาถึงเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ใช่ประโยคเดียว ไม่มีคำแนะนำเดียว

ในขณะเดียวกัน Vincent อายุสิบหกปี จำเป็นต้องกำหนดอนาคตของเขา บาทหลวงธีโอดอร์เรียกสภาครอบครัว และเมื่อลุงเซนต์พูดชวนหลานชายให้เดินตามรอยและเช่นเดียวกับตัวเขาเองที่จะประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมบนเส้นทางนี้ ทุกคนเข้าใจว่าลุงจะทำให้ก้าวแรกของชายหนุ่มง่ายขึ้นได้ไม่ยาก - เขาจะให้ Vincent ให้คำแนะนำแก่ Mr. Terstech ผู้อำนวยการสาขา Hague ของบริษัท “ Gupil " Vincent ยอมรับข้อเสนอของลุงของเขา

Vincent จะเป็นผู้ขายภาพวาด

ทายาทของศิลปินได้เก็บรักษาผมเปียทำด้วยผ้าขนสัตว์ไว้หลายเส้น ตาม Munsterberger การผสมสีที่พบในสิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะเฉพาะของผลงานของ Van Gogh - ต่อไปนี้ บันทึกทั้งหมดซึ่งไม่ได้ระบุไว้เป็นพิเศษเป็นของผู้เขียน

ส่งงานที่ดีของคุณในฐานความรู้เป็นเรื่องง่าย ใช้แบบฟอร์มด้านล่าง

นักศึกษา นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา นักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ที่ใช้ฐานความรู้ในการศึกษาและการทำงานจะขอบคุณอย่างยิ่ง

อองรี เพอร์รูชอต

ชีวิตของแวนโก๊ะ

OCR - อเล็กซานเดอร์ Prodan ( [ป้องกันอีเมล]) http://www.aldebaran.ru/

"Perrusho A. ชีวิตของแวนโก๊ะ": ก้าวหน้า; NS .; พ.ศ. 2516

ต้นฉบับ: Henri Perruchot, “La Vie de Van Gog”

แปล: โซเฟีย Arkadyevna Tarkhanova, Yuliana Yakovlevna Yakhnina

คำอธิบายประกอบ

หนังสือเกี่ยวกับ Vincent Van Gogh เปิดขึ้นต่อหน้าผู้อ่านเกี่ยวกับชีวิตของศิลปินด้วยความขัดแย้งประสบการณ์ความสงสัยทั้งหมด ยากลำบากในการค้นหาอาชีพซึ่งเป็นเส้นทางชีวิตที่คุณสามารถช่วยเหลือคนขัดสนและความทุกข์ยากได้ดีขึ้น ทุกอย่างในหนังสือมีความน่าเชื่อถือและได้รับการบันทึกเป็นเอกสาร แต่สิ่งนี้ไม่ได้ป้องกันไม่ให้เป็นเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นที่สร้างภาพลักษณ์ของศิลปินและสภาพแวดล้อมที่เขาอาศัยและทำงานได้อย่างเต็มตา

ส่วนที่หนึ่ง. ถังฟลูอิดไร้ผล

(1853-1880)

1. วัยเด็กเงียบ

พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าอยู่อีกฟากหนึ่งของการเป็นอยู่ และในความไม่สำคัญของข้าพเจ้ามีสันติสุขไม่รู้จบ ฉันถูกขับออกจากสถานะนี้เพื่อผลักดันฉันเข้าสู่งานรื่นเริงแห่งชีวิตที่แปลกประหลาด

Valerie

เนเธอร์แลนด์ไม่ได้เป็นเพียงทุ่งดอกทิวลิปที่กว้างใหญ่เท่านั้น ดอกไม้ ความสุขของชีวิตที่รวมไว้ในดอกไม้ ความสนุกสนานที่สงบและมีสีสัน เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกโดยประเพณีในใจของเราด้วยทิวทัศน์ของกังหันลมและลำคลอง ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะเฉพาะของพื้นที่ชายฝั่งทะเล บางส่วนถูกยึดคืนจากทะเลและเนื่องมาจากความเจริญรุ่งเรืองของท่าเรือขนาดใหญ่ . พื้นที่เหล่านี้ - ทางเหนือและใต้ - แท้จริงแล้วคือฮอลแลนด์ นอกจากนี้ เนเธอร์แลนด์ยังมีอีก 9 จังหวัด ซึ่งทั้งหมดมีเสน่ห์ในตัวเอง แต่เสน่ห์นี้แตกต่างออกไป - บางครั้งก็รุนแรงกว่า: ด้านหลังทุ่งดอกทิวลิปมีดินแดนที่น่าสงสารและที่เยือกเย็น

ในบรรดาพื้นที่เหล่านี้ บางทีผู้ด้อยโอกาสที่สุดน่าจะเป็นที่ที่เรียกว่า Brabant เหนือ ซึ่งเกิดจากทุ่งหญ้าและป่าไม้ รกไปด้วยทุ่งหญ้าและที่รกร้างว่างเปล่าทราย พื้นที่พรุและหนองบึง ทอดยาวไปตามชายแดนเบลเยี่ยม - จังหวัดที่แยกจากเยอรมนีเพียง แถบลิมบูร์กที่แคบและไม่สม่ำเสมอ ตามแม่น้ำมิวส์ไหล เมืองหลักของมันคือ 's-Hertogenbosch บ้านเกิดของ Hieronymus Bosch จิตรกรสมัยศตวรรษที่ 15 ที่รู้จักกันในจินตนาการอันแปลกประหลาดของเขา ดินในจังหวัดนี้หายากและมีที่ดินรกร้างมากมาย ที่นี่ฝนตกบ่อย หมอกแขวนต่ำ ความชื้นแทรกซึมทุกสิ่งและทุกคน ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวนาหรือช่างทอผ้า ทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยความชื้นช่วยให้พวกมันพัฒนาพันธุ์โคได้อย่างกว้างขวาง ในดินแดนที่ราบเรียบที่มีสันเขาที่กระจัดกระจาย วัวขาวดำในทุ่งหญ้าและหนองบึงที่รกทึบ คุณสามารถเห็นเกวียนลากเลื่อนสุนัขบนถนนซึ่งถูกนำไปยังเมืองของ Bergen_op_Zoom, Breda, Zevenbergen; Eindhoven - กระป๋องนมทองแดง

ชาวเมือง Brabant ส่วนใหญ่เป็นชาวคาทอลิก ลูเธอรันไม่ได้เป็นหนึ่งในสิบของประชากรในท้องถิ่น นั่นคือเหตุผลที่ตำบลที่โบสถ์โปรเตสแตนต์ดูแลอยู่นั้นยากจนที่สุดในภูมิภาคนี้

ในปี ค.ศ. 1849 พระสงฆ์อายุ 27 ปี ธีโอดอร์ แวนโก๊ะ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในตำบลเหล่านี้ Groot_Zündert หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนเบลเยียม ห่างจากเมืองโรเซนดัลสิบห้ากิโลเมตร ซึ่งสำนักงานศุลกากรของเนเธอร์แลนด์ตั้งอยู่ที่บรัสเซลส์ - เส้นทางอัมสเตอร์ดัม ตำบลนี้น่าอิจฉามาก แต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับศิษยาภิบาลรุ่นเยาว์ที่จะคาดหวังอะไรที่ดีกว่านี้: เขาไม่มีความสามารถอันยอดเยี่ยมหรือวาทศิลป์ คำเทศนาที่ซ้ำซากจำเจของเขานั้นปราศจากการบิน มันเป็นเพียงการฝึกวาทศิลป์ธรรมดา ๆ การเปลี่ยนแปลงซ้ำซากในหัวข้อที่ถูกแฮ็ก จริงอยู่ เขาทำหน้าที่ของเขาอย่างจริงจังและตรงไปตรงมา แต่เขาขาดแรงบันดาลใจ และไม่อาจกล่าวได้ว่าเขาโดดเด่นด้วยความกระตือรือร้นในศรัทธาเป็นพิเศษ ศรัทธาของเขาจริงใจและลึกซึ้ง แต่ความหลงใหลที่แท้จริงนั้นต่างจากความศรัทธา อย่างไรก็ตาม ศิษยาภิบาลลูเธอรัน Theodor Van Gogh เป็นผู้สนับสนุนโปรเตสแตนต์เสรีนิยมซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองโกรนิงเกน

อย่างไรก็ตาม ความธรรมดาของบาทหลวงธีโอดอร์ ฟาน โก๊ะ การดำรงอยู่เจียมเนื้อเจียมตัวที่กลายมาเป็นส่วนรวมของเขา พืชพรรณที่เขาถึงวาระโดยสามัญสำนึกของเขาเอง อาจทำให้เกิดความประหลาดใจได้ - ท้ายที่สุดศิษยาภิบาลของ Zundert ก็เป็นของ ถ้าไม่ใช่ มีชื่อเสียงไม่ว่าในกรณีใดกับครอบครัวชาวดัตช์ที่มีชื่อเสียง เขาภูมิใจในต้นกำเนิดอันสูงส่งของเขา ตราประจำตระกูลของเขา - กิ่งก้านที่มีดอกกุหลาบสามดอก ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ตัวแทนของตระกูลแวนโก๊ะได้รับตำแหน่งที่โดดเด่น ในศตวรรษที่ 17 หนึ่งในแวนโก๊ะเป็นหัวหน้าเหรัญญิกของสหภาพเนเธอร์แลนด์ ฟานก็อกฮ์อีกคนหนึ่งซึ่งดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่ในบราซิลเป็นครั้งแรกและต่อมาเป็นเหรัญญิกในนิวซีแลนด์ เดินทางไปอังกฤษในปี 1660 โดยเป็นส่วนหนึ่งของสถานทูตเนเธอร์แลนด์เพื่อต้อนรับพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เกี่ยวกับพิธีราชาภิเษกของพระองค์ ต่อมา Van Goghs บางคนกลายเป็นคริสตจักร บางคนสนใจงานหัตถกรรมหรือแลกเปลี่ยนผลงานศิลปะ และยังมีคนอื่น ๆ - การรับราชการทหาร ตามกฎแล้วพวกเขาเก่งในด้านที่เลือก พ่อของธีโอดอร์ แวนโก๊ะเป็นผู้มีอิทธิพล เป็นศิษยาภิบาลของเมืองใหญ่แห่งเบรดา และก่อนหน้านั้น ไม่ว่าเขาจะดูแลตำบลใด เขาได้รับการยกย่องทุกที่สำหรับ "การรับใช้ที่เป็นแบบอย่าง" ของเขา เขาเป็นลูกหลานของนักปั่นทองคำสามชั่วอายุคน พ่อของเขาซึ่งเป็นปู่ของธีโอดอร์ ซึ่งในตอนแรกเลือกงานฝีมือของเครื่องปั่นด้าย ต่อมากลายเป็นผู้อ่าน และต่อมาเป็นบาทหลวงที่โบสถ์อารามในกรุงเฮก เขาเป็นทายาทของเขาโดยลุงทวดของเขา ซึ่งในวัยหนุ่มของเขา - เขาเสียชีวิตเมื่อต้นศตวรรษ - รับใช้ใน Royal Swiss Guard ในปารีสและชื่นชอบงานประติมากรรม สำหรับ Van Goghs รุ่นสุดท้าย - และนักบวชที่หลงผิดมีลูกสิบเอ็ดคนแม้ว่าเด็กคนหนึ่งเสียชีวิตในวัยเด็ก - บางทีชะตากรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้มากที่สุดก็ตกอยู่กับ "ศิษยาภิบาลผู้รุ่งโรจน์" นอกเหนือจากพี่สาวสามคนที่เหลืออยู่ใน หญิงชรา พี่สาวอีกสองคนแต่งงานกับนายพล โยฮันเนส พี่ชายของเขากำลังประสบความสำเร็จในอาชีพการงานในแผนกการเดินเรือ - เกวียนของพลเรือโทอยู่ไม่ไกล พี่น้องอีกสามคนของเขา - Hendrik, Cornelius Marinus และ Vincent - มีส่วนร่วมในการค้างานศิลปะขนาดใหญ่ Cornelius Marinus ตั้งรกรากอยู่ในอัมสเตอร์ดัม Vincent มีหอศิลป์ในกรุงเฮก ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดในเมืองและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบริษัท Parisian "Goupil" ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและมีสาขาอยู่ทุกหนทุกแห่ง

ฟานก็อกฮ์มีชีวิตที่มั่งคั่งเกือบตลอดเวลา นอกจากนี้ พวกเขาทุกคนมีสุขภาพที่ดี ดูเหมือนนักบวชแบรดจะแบกรับภาระของวัยหกสิบได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม บาทหลวงธีโอดอร์ก็เสียเปรียบกับญาติของเขาในเรื่องนี้อย่างเสียเปรียบ และเป็นการยากที่จะจินตนาการว่าเขาจะสามารถตอบสนองได้หากมีเพียงเขาเท่านั้นที่มีความหลงใหลในการเดินทางซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของญาติของเขา ฟานก็อกฮ์เดินทางไปต่างประเทศอย่างกระตือรือร้น และบางคนถึงกับแต่งงานกับชาวต่างชาติด้วย คุณยายของบาทหลวงธีโอดอร์เป็นชาวเฟลมิชจากเมืองมาลีนส์

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2394 สองปีหลังจากที่เขามาถึง Groot_Zündert ธีโอดอร์ ฟานก็อกฮ์ ตั้งครรภ์ที่จะแต่งงานเมื่ออายุครบ 30 ปี แต่เขาไม่เห็นความจำเป็นในการหาภรรยานอกประเทศ เขาแต่งงานกับหญิงชาวดัตช์ที่เกิดในกรุงเฮก - Anna Cornelia Carbentus ลูกสาวของเจ้านายผู้เย็บเล่มหนังสือ เธอยังมาจากครอบครัวที่น่านับถือ แม้แต่อธิการแห่งอูเทรคต์ก็อยู่ในรายชื่อบรรพบุรุษของเธอด้วย พี่สาวคนหนึ่งของเธอแต่งงานกับวินเซนต์ น้องชายของบาทหลวงธีโอดอร์ ซึ่งขายภาพเขียนในกรุงเฮก

แอนนา คอร์เนเลีย ซึ่งแก่กว่าสามีของเธอสามปี แทบไม่มีอะไรเหมือนเขาเลย และสกุลของเธอมีรากที่แข็งแรงน้อยกว่าสามีของเธอมาก พี่สาวคนหนึ่งของเธอมีอาการชักจากโรคลมบ้าหมู ซึ่งเป็นพยานถึงมรดกทางประสาทที่รุนแรงซึ่งส่งผลต่อตัวแอนนา คอร์เนเลีย อ่อนโยนและรักใคร่โดยธรรมชาติ เธอมักจะแสดงความโกรธออกมาอย่างไม่คาดฝัน มีชีวิตชีวาและใจดี เธอมักจะดุร้าย กระฉับกระเฉง ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่รู้จักพักผ่อน ในขณะเดียวกันเธอก็ดื้อรั้นอย่างยิ่ง เธอรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงที่ช่างสงสัยและน่าประทับใจ ด้วยบุคลิกที่ค่อนข้างกระสับกระส่าย และนี่เป็นหนึ่งในลักษณะเด่นของเธอ - มีความโน้มเอียงอย่างมากต่อแนวการเขียนจดหมายข่าว เธอชอบพูดตรงไปตรงมา เขียนจดหมายยาวๆ "Ik maak กว้างใหญ่ een woordje klaar" - คุณมักจะได้ยินคำเหล่านี้จากเธอ: "ฉันจะไป ฉันจะเขียนสองสามบรรทัด" ในช่วงเวลาใด ๆ เธออาจถูกยึดโดยความปรารถนาที่จะหยิบปากกา

วันเวลาผ่านไป Anna Cornelia ใช้ชีวิตใน Zundert

Vincent - ในฐานะปู่ของเขา ศิษยาภิบาลใน Breda ในฐานะลุงของ Hague ในฐานะญาติห่าง ๆ ที่รับใช้ในยามสวิสในปารีสในศตวรรษที่ 18 Vincent หมายถึงผู้ชนะ ขอให้เขาเป็นความภาคภูมิใจและความสุขของครอบครัว Vincent Van Gogh!

แต่อนิจจา! เด็กเสียชีวิตหกสัปดาห์ต่อมา

ฤดูใบไม้ร่วงสีเทา จากนั้นฤดูหนาวน้ำค้างแข็ง พระอาทิตย์ขึ้นช้า ๆ เหนือขอบฟ้า มกราคม. กุมภาพันธ์. พระอาทิตย์อยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า สุดท้าย - มีนาคม เด็กควรจะเกิดในเดือนนี้หนึ่งปีหลังจากที่พี่ชายเกิด ... 15 มีนาคม วันที่ 20 มีนาคม. วันฤดูใบไม้ผลิ Equinox. ดวงอาทิตย์เข้าสู่สัญลักษณ์ของราศีเมษเองตามที่นักโหราศาสตร์เป็นที่พำนักที่ชื่นชอบ 25, 26, 27 ... 28, 29 ... 30 มีนาคม 1853 หนึ่งปีต่อมา - วันแล้ววันเล่า - หลังคลอดของ Vincent Van Gogh ตัวน้อย Anna Cornelia ได้ให้กำเนิดลูกชายคนที่สองของเธออย่างปลอดภัย ความฝันของเธอเป็นจริงแล้ว

และเด็กชายคนนี้ในความทรงจำของคนแรกจะได้ชื่อว่า Vincent! วินเซนต์ วิลเลม.

และเขาจะถูกเรียกว่า: Vincent Van Gogh

จากลูกหกคนของศิษยาภิบาล มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่จำเป็นต้องเงียบ - วินเซนต์ เงียบขรึมและบูดบึ้งเขาหลีกเลี่ยงพี่น้องของเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในเกมของพวกเขา คนเดียว Vincent เดินไปรอบ ๆ ย่านนั้นโดยมองดูต้นไม้และดอกไม้ บ้างก็ดูชีวิตแมลง กางหญ้าใกล้แม่น้ำ ออกหาลำธารหรือรังนก ตรวจค้นป่า เขามีสมุนไพรและกล่องดีบุกสำหรับเก็บสะสมแมลง เขารู้จักชื่อแมลงทุกชนิด—บางครั้งแม้แต่ภาษาละติน— Vincent เต็มใจพูดคุยกับชาวนาและช่างทอผ้า ถามพวกเขาว่าเครื่องทอผ้าทำงานอย่างไร ข้าพเจ้าเฝ้ามองดูพวกสตรีกำลังซักผ้าลินินในแม่น้ำเป็นเวลานาน เขาเลือกเกมที่เขาสามารถเกษียณได้ เขาชอบที่จะทอด้ายทำด้วยผ้าขนสัตว์โดยชอบการรวมกันและความคมชัดของสีสดใส ทายาทของศิลปินได้เก็บรักษาผมเปียทำด้วยผ้าขนสัตว์ไว้หลายอัน ตามที่ Munsterberger ระบุ การผสมสีที่พบในสีเหล่านี้เป็นลักษณะเฉพาะของผลงานของ Van Gogh - ต่อไปนี้บันทึกทั้งหมดที่ไม่ได้ระบุเป็นพิเศษ - โดยผู้เขียน .. เขาชอบวาดด้วย Vincent อายุแปดขวบพาแม่ของเขาวาดรูป - เขาวาดภาพลูกแมวกำลังปีนต้นแอปเปิ้ลในสวน ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เขาก็พบกับอาชีพใหม่ เขาพยายามปั้นช้างจากดินเหนียว แต่ทันทีที่เขาสังเกตเห็นว่าเขาถูกจับตามองอยู่ เขาก็ทำให้ร่างที่แกะสลักเรียบขึ้นทันที มีเพียงเกมเงียบ ๆ เท่านั้นที่ทำให้เด็กน้อยแปลกหน้าขบขัน หลายครั้งที่เขาไปเยี่ยมกำแพงของสุสานที่ฝังศพพี่ชายของเขา Vincent Van Gogh ซึ่งเขารู้จักจากพ่อแม่ของเขาซึ่งเป็นชื่อที่เขาถูกตั้งชื่อไว้

อย่างไรก็ตามในจิตวิญญาณของเด็กชายที่มืดมนนั้นมีการซ่อนต้นอ่อนขี้อายของความอ่อนโยนและความอ่อนไหวที่เป็นมิตร ด้วยความขยันหมั่นเพียร กับความรักเท่าใด เจ้าคนป่าตัวน้อยจึงชักดอกไม้แล้วมอบภาพวาดให้เพื่อน ๆ ของเขา ใช่ เขาวาด ฉันวาดมาก สัตว์. ภูมิทัศน์ นี่คือภาพวาดสองภาพของเขาจากปี 1862 (เขาอายุเก้าขวบ): หนึ่งภาพสุนัข อีกภาพหนึ่งเป็นสะพาน และเขายังอ่านหนังสือ อ่านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลืนกินทุกอย่างที่สะดุดตาเขาเท่านั้น

เหมือนกับที่ไม่คาดคิด เขาก็ติดอยู่กับธีโอน้องชายของเขาอย่างหลงใหล ซึ่งอายุน้อยกว่าเขาสี่ปี และเขาก็กลายเป็นเพื่อนร่วมทางที่คงอยู่ของเขาในการเดินเล่นในเขตชานเมือง Zundert ในช่วงเวลาพักผ่อนที่หายากซึ่งผู้บังคับบัญชาทิ้งไว้ให้พวกเขา ไม่นานมานี้ได้รับเชิญ โดยศิษยาภิบาลในการเลี้ยงลูก ในขณะเดียวกัน พี่น้องทั้งสองนั้นไม่เหมือนกันเลย ยกเว้นว่าผมของทั้งคู่มีสีอ่อนและสีแดงเท่าๆ กัน เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าธีโอไปหาพ่อของเขาโดยสืบทอดนิสัยอ่อนโยนและหน้าตาดี ด้วยความสงบ ความละเอียดอ่อน และความนุ่มนวลของใบหน้า ความเปราะบางของโครงสร้าง เขาจึงแตกต่างอย่างประหลาดกับพี่ชายที่มีมุมของเขา _ ชายที่แข็งแกร่ง ในขณะเดียวกัน ในความอัปลักษณ์ของป่าพรุและที่ราบ พี่ชายของเขาได้เปิดเผยความลับนับพันให้เขาฟัง เขาสอนให้มองเห็น ดูแมลงและปลา ต้นไม้และสมุนไพร Zundert กำลังงีบหลับ ที่ราบอันไร้ที่สิ้นสุดทั้งหมดถูกพันธนาการด้วยการหลับใหล แต่ทันทีที่วินเซนต์พูด ทุกสิ่งรอบตัวจะฟื้นคืนชีพ และวิญญาณของสิ่งต่างๆ จะถูกเปิดเผย ที่ราบทะเลทรายเต็มไปด้วยความลึกลับและชีวิตที่ครอบงำ ดูเหมือนว่าธรรมชาติจะหยุดนิ่ง แต่มีงานทำอยู่ตลอดเวลา มีบางอย่างต่ออายุและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ต้นหลิวที่ถูกตัดแต่งด้วยลำต้นที่คดเคี้ยวและบิดเบี้ยวก็ดูน่าเศร้าในทันใด ในฤดูหนาวพวกเขาปกป้องที่ราบจากหมาป่าซึ่งเสียงหอนที่หิวโหยทำให้ชาวนาหวาดกลัวในตอนกลางคืน ธีโอฟังเรื่องราวของพี่ชาย ไปตกปลากับเขา และประหลาดใจกับวินเซนต์ ทุกครั้งที่ปลากัด เขาจะอารมณ์เสียแทนที่จะดีใจ

นี่คือวินเซนต์เพิ่งกลับมาจากการเดินเล่น เขาเดินก้มหัว งอนมากกว่า หมวกฟางที่คลุมผมสั้นของเขา บังใบหน้าที่ไม่มีอะไรอ่อนเยาว์อยู่แล้ว เหนือคิ้วที่ขมวดคิ้วของหน้าผากของเขา มีริ้วรอยก่อนวัย เขาเป็นคนธรรมดา เงอะงะ เกือบจะน่าเกลียด แต่ถึงกระนั้น ... และชายหนุ่มที่มืดมนคนนี้แสดงความยิ่งใหญ่: "ชีวิตภายในลึก ๆ เดาอยู่ในตัวเขา" Elisabeth_Huberta du Quesne, Van Gogh: บุคลากรของที่ระลึก .. เขาถูกกำหนดให้ทำอะไรในชีวิตของเขาให้สำเร็จ? และเหนือสิ่งอื่นใด ตัวเขาเองอยากจะเป็นใคร?

พ่อของวินเซนต์เป็นนักบวช พี่ชายสามคนของพ่อของฉันประสบความสำเร็จในการค้าขายผลงานศิลปะ Vincent รู้จักลุงและคนชื่อเดียวกับเขาเป็นอย่างดี - Vincent หรือลุง Saint ในขณะที่ลูก ๆ ของเขาเรียกเขาว่า - พ่อค้างานศิลปะในเฮกซึ่งตอนนี้เกษียณแล้วอาศัยอยู่ใน Prinsenhag ใกล้เมือง Breda ในท้ายที่สุด เขาตัดสินใจขายห้องแสดงงานศิลปะของเขาให้กับบริษัท Goupil ในกรุงปารีส ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสาขาของบริษัทนี้ที่กรุงเฮก และขยายอิทธิพลไปในซีกโลกทั้งสอง ตั้งแต่บรัสเซลส์ถึงเบอร์ลิน จากลอนดอนถึงนิวยอร์ก ใน Prinsenhag ลุง Saint อาศัยอยู่ในวิลล่าที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ซึ่งเขาได้นำภาพวาดที่ดีที่สุดของเขามา ศิษยาภิบาลอีกคนหนึ่งที่น้องชายชื่นชมอย่างไม่ต้องสงสัย พาลูกๆ ไปที่ปรินเสนฮัก วินเซนต์ยืนนิ่งอยู่นานราวกับถูกสะกดจิต ต่อหน้าผืนผ้าใบ หน้าโลกเวทมนตร์ใหม่ที่ถูกเปิดเผยแก่เขาเป็นครั้งแรก ต่อหน้าภาพแห่งธรรมชาตินี้ แตกต่างไปจากตัวมันเองเล็กน้อย ต่อหน้าความเป็นจริงนี้ ยืมมาจากความเป็นจริง แต่มีอยู่โดยอิสระ ต่อหน้าโลกที่สวยงาม เป็นระเบียบ และสดใส ที่ซึ่งวิญญาณที่ซ่อนอยู่ของสิ่งต่าง ๆ ถูกเปิดเผยโดยพลังของดวงตาที่ซับซ้อนและมือที่ชำนาญ ไม่มีใครรู้ว่า Vincent กำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ว่าเขาจะคิดว่าความรุนแรงของลัทธิถือลัทธิที่มากับวัยเด็กของเขานั้นไม่เหมาะกับโลกที่พร่างพรายใบใหม่นี้ จึงไม่เหมือนกับภูมิประเทศอันน้อยนิดของ Zundert และความสงสัยในเชิงจริยธรรมที่คลุมเครือมาชนกันในจิตวิญญาณของเขาด้วยความงดงามตระการตาหรือไม่ ศิลปะ?

Vincent จะเป็นผู้ขายภาพวาด

2. แสงแห่งรุ่งอรุณ

ท้องฟ้าเหนือหลังคาเป็นสีฟ้าที่สงบนิ่งมาก ...

เวอร์เลน

ใช่ วินเซนต์จะเป็นเหมือนคนอื่นๆ

จดหมายที่นาย Terstech ส่งถึง Zundert ทำให้ Van Gogh มั่นใจเกี่ยวกับชะตากรรมของลูกชายคนโตของเขา ความวิตกกังวลของพวกเขาไร้ผล ทันทีที่ Vincent ยืนขึ้นและเขาเข้าใจสิ่งที่คาดหวังจากเขา Vincent ทำงานหนัก มีมโนธรรม เป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นพนักงานที่เป็นแบบอย่าง และอีกสิ่งหนึ่ง: แม้จะมีมุมของเขา แต่เขาก็คล่องแคล่วอย่างมากในการม้วนและคลี่ผืนผ้าใบ เขารู้จักภาพวาดและการทำซ้ำทั้งหมด การแกะสลักและภาพพิมพ์ในร้าน และความทรงจำที่ยอดเยี่ยม ประกอบกับมือที่ชำนาญ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะมีอาชีพที่ซื่อสัตย์ในด้านการค้าขาย

เขาแตกต่างจากพนักงานคนอื่นอย่างสิ้นเชิง: พยายามเอาใจลูกค้า ในขณะเดียวกันก็ปิดบังความเฉยเมยต่อสินค้าที่ขายได้ไม่ดี แต่วินเซนต์สนใจภาพวาดที่ส่งผ่านบริษัทกูปิลเป็นอย่างมาก มันเกิดขึ้นที่เขายอมให้ตัวเองท้าทายความคิดเห็นของคนรักคนนี้หรือคนรักคนนั้น บ่นพึมพำอะไรบางอย่างในใจด้วยความโกรธและไม่แสดงความชื่นชมยินดี แต่ทั้งหมดนี้จะได้รับการแก้ไขเมื่อเวลาผ่านไป นี่เป็นเพียงข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเขาน่าจะกำจัดได้ในไม่ช้าซึ่งเป็นผลมาจากการขาดประสบการณ์ความเหงาที่ยาวนาน บริษัท "Gupil" รับหน้าที่เฉพาะภาพวาดที่ได้รับการจัดอันดับสูงในตลาดศิลปะเท่านั้น - ภาพวาดโดยนักวิชาการ ผู้ได้รับรางวัล Rome Prize ปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงเช่น Anriquel_Dupont หรือ Kalamatta จิตรกรและช่างแกะสลักซึ่งความคิดสร้างสรรค์และความสามารถได้รับการส่งเสริมจากสาธารณชนและ เจ้าหน้าที่ สงครามระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมนีในปี พ.ศ. 2413 กระตุ้นให้ Goupil พร้อมด้วยภาพเปลือยจำนวนนับไม่ถ้วน ภาพสเก็ตช์ที่สื่อถึงอารมณ์หรือศีลธรรม อภิบาลในยามค่ำ และการเดินชมธรรมชาติอันงดงามในอ้อมอกของธรรมชาติ เพื่อแสดงตัวอย่างบางส่วนของประเภทการต่อสู้ในช่วงแรกๆ

Vincent จ้องมองศึกษาวิเคราะห์ภาพวาดที่เสร็จแล้วอย่างระมัดระวังเหล่านี้ เขากังวลเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ ทุกคราวเขารู้สึกอิ่มเอมใจ เขาเต็มไปด้วยความเคารพต่อบริษัท Gupil ซึ่งภาคภูมิใจในชื่อเสียงที่มั่นคง ทุกอย่างหรือเกือบทุกอย่างชื่นชมเขา ดูเหมือนว่าความกระตือรือร้นของเขาจะไม่มีการวัดผล อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากครั้งนั้นที่บ้านลุงส่งในปรินเสนหัง เขาไม่เคยเห็นงานศิลปะมาก่อน เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับศิลปะอย่างแน่นอน ทันใดนั้นเขาก็กระโจนเข้าสู่โลกใหม่นี้! Vincent เข้าใจมันอย่างกระตือรือร้น ในช่วงเวลาว่างเขาไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ศึกษาผลงานของอาจารย์เก่า ในวันอาทิตย์เหล่านั้น เมื่อเขาไม่ได้เดินไปตามห้องโถงของพิพิธภัณฑ์ใด ๆ เขาอ่านหรือไปที่ Scheveningen ในบริเวณใกล้เคียงกับกรุงเฮก ซึ่งตอนนั้นเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงที่เงียบสงบ เขาถูกชาวประมงที่ไปทะเลเพื่อหาปลาเฮอริ่งและช่างฝีมือที่ทอแห

Vincent ตั้งรกรากอยู่ในตระกูลเฮกที่น่านับถือ ชีวิตของเขาดำเนินไปอย่างสงบและเงียบสงบ เขาชอบงานนี้ ดูเหมือนคุณต้องการอะไรอีก

พ่อของเขาออกจาก Zundert ไปตั้งรกรากใน Helpourt อีกเมืองหนึ่งของ Brabant ใกล้ Tilburg ซึ่งเขาได้รับตำบลที่ยากจนพอ ๆ กันอีกครั้ง ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2415 วินเซนต์ไปพักผ่อนที่ Oisterwijk ใกล้ Helfourt ซึ่งพี่ชายของเขา Theo กำลังศึกษาอยู่ เขารู้สึกทึ่งในสติปัญญาของเด็กชายอายุสิบห้าปีผู้นี้ ซึ่งเติบโตก่อนวัยอันควรภายใต้อิทธิพลของการเลี้ยงดูที่โหดร้าย เมื่อกลับมาที่กรุงเฮก Vincent ได้ติดต่อกับเขา: ในจดหมายที่เขาบอกพี่ชายเกี่ยวกับบริการของเขาเกี่ยวกับ บริษัท Gupil “นี่เป็นงานที่ยอดเยี่ยม เขาเขียนว่า” ยิ่งคุณรับใช้นานเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งอยากทำงานมากขึ้นเท่านั้น”

ในไม่ช้าธีโอก็เดินตามรอยเท้าพี่ชายของเขา ครอบครัวมีฐานะยากจน เด็ก ๆ ต้องหาเลี้ยงชีพ ธีโออายุยังไม่ถึงสิบหกปีด้วยซ้ำ เมื่อตอนต้นของปี 2416 เขาออกเดินทางไปบรัสเซลส์และเข้าร่วมสาขาโกปิลในเบลเยียม

Vincent ก็ออกจากฮอลแลนด์เช่นกัน เพื่อเป็นรางวัลสำหรับความกระตือรือร้น Gupil ได้เลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นสาขาในลอนดอน เป็นเวลาสี่ปีแล้วที่เขารับใช้ในบริษัท Gupil ในเมืองหลวงของอังกฤษ เขาได้รับจดหมายแนะนำตัวจากคุณ Terstech ซึ่งเต็มไปด้วยคำพูดที่ใจดี สิ้นสุดระยะเวลาการฝึกอบรมของพ่อค้าสี

Vincent มาถึงลอนดอนในเดือนพฤษภาคม

เขาอายุยี่สิบปี เขายังคงจ้องมองเหมือนเดิม ปากของเขาบูดบึ้งเล็กน้อยเหมือนเดิม แต่ใบหน้าที่โค้งมนดูอ่อนเยาว์ที่โกนอย่างระมัดระวังของเขาดูเหมือนจะสว่างขึ้น ถึงกระนั้นก็พูดไม่ได้ว่า Vincent ฉายแววความสนุกสนานหรือแม้กระทั่งความร่าเริง ไหล่กว้างและต้นคอรั้นของเขาสร้างความรู้สึกของความแข็งแกร่ง พลังที่ยังไม่ตื่น

อย่างไรก็ตาม Vincent มีความสุข ที่นี่เขามีเวลาว่างมากกว่าในกรุงเฮกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้: เขาเริ่มทำงานตอนเก้าโมงเช้าเท่านั้น และในเย็นวันเสาร์และในวันอาทิตย์ เขาจะว่างอย่างสมบูรณ์ตามธรรมเนียมชาวอังกฤษ ทุกอย่างดึงดูดเขาในเมืองที่แปลกประหลาดนี้ เสน่ห์แปลก ๆ ที่เขารู้สึกชัดเจนในทันที

เขาไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ ร้านขายของเก่า ไม่เคยเบื่อที่จะคุ้นเคยกับงานศิลปะใหม่ๆ ไม่เคยเบื่อที่จะชื่นชมผลงานเหล่านั้น สัปดาห์ละครั้ง เขาไปดูภาพวาดที่แสดงในหน้าต่างโดย Grafic และ London News ภาพวาดเหล่านี้สร้างความประทับใจให้เขาอย่างมากจนพวกเขายังคงอยู่ในความทรงจำของเขาเป็นเวลานาน ในตอนแรก ศิลปะอังกฤษทำให้เขาสับสน Vincent ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าเขาชอบหรือไม่ แต่ก็ค่อยๆ ซึมซับเสน่ห์ของตัวเอง เขาชื่นชมตำรวจ เขาชอบ Reynolds, Gainsborough, Turner เขาเริ่มสะสมภาพพิมพ์

อังกฤษตกหลุมรักเขา เขารีบซื้อหมวกทรงสูงให้ตัวเอง "ถ้าไม่มีสิ่งนี้" เขารับรอง "เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำธุรกิจในลอนดอน" ... ระหว่างทางไปทำงาน - ไปที่หอศิลป์ที่ 17 ถนนเซาแธมป์ตันในใจกลางกรุงลอนดอน - และกลับมาเดินท่ามกลางฝูงชนในลอนดอนที่หนาแน่น เขาจำหนังสือและตัวละครของนักประพันธ์ชาวอังกฤษที่เขาอ่านอย่างขยันหมั่นเพียร ความอุดมสมบูรณ์ของหนังสือเหล่านี้ ลัทธิที่เป็นลักษณะเฉพาะของเตาไฟของครอบครัว ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของคนเจียมเนื้อเจียมตัว ความโศกเศร้าที่ยิ้มแย้มของนวนิยายเหล่านี้ อารมณ์ความรู้สึกที่ปรุงแต่งด้วยอารมณ์ขันเล็กน้อย และการสอนแบบหน้าซื่อใจคดเล็กน้อยทำให้เขากังวลอย่างสุดซึ้ง เขาชอบดิคเก้นเป็นพิเศษ

ดิคเก้นส์เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2413 เมื่อสามปีก่อนวินเซนต์จะเดินทางถึงลอนดอน จนถึงจุดสูงสุดของชื่อเสียงที่นักเขียนคนอื่นอาจไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิตของเขา เถ้าถ่านของเขาวางอยู่ในเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ถัดจากขี้เถ้าของเช็คสเปียร์และฟีลดิง แต่ตัวละครของเขา - Oliver Twist และทารก Nell, Nicholas Nickleby และ David Copperfield - ยังคงอยู่ในหัวใจของชาวอังกฤษ และวินเซนต์ก็ถูกภาพเหล่านี้หลอกหลอนเช่นกัน ในฐานะผู้รักการวาดภาพและการวาดภาพ เขาคงได้รับการชื่นชมจากความตื่นตัวอันน่าทึ่งของนักเขียน ผู้ซึ่งสังเกตลักษณะเด่นของมันในทุกปรากฏการณ์อย่างสม่ำเสมอ ไม่กลัวที่จะพูดเกินจริงเพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้นและในทุกตอนของทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็น ผู้หญิงหรือผู้ชายก็สามารถเน้นหลักได้ทันที

และถึงกระนั้น ศิลปะนี้ ไม่น่าจะสร้างความประทับใจอย่างแรงกล้าให้กับ Vincent หากดิคเก้นส์ไม่ได้สัมผัสสายใยลึกสุดหัวใจของเขา ในวีรบุรุษแห่งดิคเก้นส์ วินเซนต์พบคุณธรรมที่พ่อของเขาปลูกไว้ในซันเดอร์ต มุมมองทั้งหมดของดิคเก้นส์เต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและความเห็นอกเห็นใจ ความเห็นอกเห็นใจต่อมนุษย์ ความอ่อนโยนของพระเยซูอย่างแท้จริง ดิคเก้นเป็นนักร้องแห่งพรหมลิขิตของมนุษย์ ไม่รู้จักการขึ้นบินที่ยอดเยี่ยม หรือความเฉลียวฉลาดที่น่าสลดใจ ต่างด้าวกับสิ่งที่น่าสมเพช เจียมเนื้อเจียมตัว เฉลียวฉลาด แต่โดยพื้นฐานแล้ว มีความสุขกับความสงบสุข เนื้อหามีประโยชน์เบื้องต้นที่ทุกคนและทุกคนสามารถอ้างได้ พวกเขา. ฮีโร่ของ Dickens ต้องการอะไร? “หนึ่งร้อยปอนด์ต่อปี ภรรยาตัวน้อยที่น่ารัก ลูกสิบคน โต๊ะที่จัดไว้ด้วยความรักสำหรับเพื่อนที่ดี กระท่อมส่วนตัวใกล้ลอนดอนพร้อมสนามหญ้าสีเขียวใต้หน้าต่าง สวนเล็กๆ และความสุขเล็กๆ น้อยๆ” Stefan Zweig, Three Masters (ดอสโตเยฟสกี, บัลซัค, ดิคเก้นส์). ...

ชีวิตจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ วิเศษมาก นำความสุขง่ายๆ มาสู่คนๆ หนึ่งได้จริงหรือ? ฝันอะไร! มีบทกวีมากมายเพียงใดในอุดมคติที่ไม่ซับซ้อนนี้! เป็นไปได้ไหมที่สักวันหนึ่งเขา วินเซนต์ จะได้รับความสุขเช่นนี้ ให้มีชีวิต หรือลืมตัวเองที่หลับใหลในความสงบสุขนี้ ให้กลายเป็นหนึ่งในผู้เป็นที่รักแห่งโชคชะตา เขาคู่ควรกับสิ่งเหล่านี้หรือไม่?

Vincent เดินไปตามถนนแคบ ๆ ที่เหล่าฮีโร่ของดิคเก้นอาศัยอยู่ที่ซึ่งพี่น้องของพวกเขาอาศัยอยู่ แก่ ใจดี ร่าเริง อังกฤษ! เขาเดินไปตามเขื่อนแม่น้ำเทมส์ ชื่นชมสายน้ำในแม่น้ำ เรือบรรทุกหนักที่บรรทุกถ่านหิน สะพานเวสต์มินสเตอร์ บางครั้งเขาก็หยิบกระดาษกับดินสอออกมาจากกระเป๋าแล้วเริ่มวาด แต่ทุกครั้งที่เขาบ่นอย่างไม่พอใจ ภาพวาดไม่ทำงาน

ในเดือนกันยายน เมื่อพิจารณาจากค่าธรรมเนียมการขึ้นเครื่องที่สูงมาก เขาจึงย้ายไปอพาร์ตเมนต์อื่น เขาตกลงกับมาดามโลเยอร์แม่ม่ายของนักบวชซึ่งมาจากยุโรปตอนใต้ "ตอนนี้ฉันมีห้องที่ฉันอยากได้มานานแล้ว" Vincent เขียนด้วยความยินดีถึงธีโอน้องชายของเขา "โดยไม่มีคานเอียงและวอลเปเปอร์สีน้ำเงินที่มีเส้นขอบสีเขียว" ก่อนหน้านั้นไม่นาน เขาได้ล่องเรือร่วมกับชาวอังกฤษหลายคน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าน่าพอใจมาก บอกตรงๆว่าชีวิตสวยงาม...

ชีวิตของวินเซนต์ดูสวยงามขึ้นทุกวันจริงๆ

ฤดูใบไม้ร่วงของอังกฤษสัญญากับเขาถึงความสุขนับพัน ในไม่ช้าผู้ชื่นชอบ Dickens ที่กระตือรือร้นก็ตระหนักถึงความฝันของเขา: เขาตกหลุมรัก มาดามโลเยอร์มีลูกสาวคนหนึ่งชื่อเออร์ซูล่า ซึ่งช่วยเธอดูแลสถานรับเลี้ยงเด็กส่วนตัว Vincent ตกหลุมรักเธอในทันทีและเรียกเธอว่า "นางฟ้าที่มีลูก" ด้วยความรัก เกมรักเริ่มต้นขึ้นระหว่างพวกเขา และตอนนี้ในตอนเย็น Vincent ก็รีบกลับบ้านเพื่อไปหาเออร์ซูล่าโดยเร็วที่สุด แต่เขาขี้อาย เงอะงะ และไม่รู้ว่าจะแสดงความรักอย่างไร หญิงสาวดูเหมือนจะยอมรับการเกี้ยวพาราสีขี้อายของเขาอย่างสง่างาม โดยธรรมชาติแล้ว เธอสนุกกับเด็ก Brabant ที่พูดภาษาอังกฤษได้แย่มาก และเขาก็รีบเข้าไปในความรักนี้ด้วยความไร้เดียงสาและความหลงใหลในหัวใจของเขาด้วยความไร้เดียงสาและความหลงใหลเช่นเดียวกับที่เขาชื่นชมรูปภาพและภาพวาดโดยไม่ได้ระบุว่าดีหรือปานกลาง

เขาเป็นคนจริงใจ และในสายตาของเขา โลกทั้งใบมีความจริงใจและมีน้ำใจ เขายังไม่มีเวลาบอกเออร์ซูล่า แต่เขารอไม่ไหวที่จะบอกทุกคนเกี่ยวกับความสุขของเขา และเขาเขียนจดหมายถึงพี่น้องชายหญิงของเขา พ่อแม่: “ฉันไม่เคยเห็นและแม้แต่ในความฝันก็นึกภาพไม่ออกว่าจะมีอะไรสวยงามไปกว่าความรักอันอ่อนหวานที่ผูกมัดเธอไว้กับแม่ของเธอ รักเธอเพราะเห็นแก่ฉัน ... ในบ้านหลังนี้ที่ฉันชอบทุกอย่างมาก ฉันได้รับความสนใจมาก ชีวิตมีความเอื้อเฟื้อและสวยงามและทั้งหมดนี้พระเจ้าสร้างโดยคุณ!”

ความสุขของวินเซนต์ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกินที่ธีโอส่งพวงหรีดใบโอ๊กมาให้เขาและถามเขาด้วยความปีติยินดีที่จะไม่ลืมป่าของ Brabant พื้นเมืองของเขา

และในความเป็นจริง แม้ว่า Vincent ยังคงรักที่ราบและป่าไม้พื้นเมืองของเขา แต่เขาก็ยังไม่สามารถออกจากอังกฤษในครั้งนี้เพื่อเดินทางไป Helfourt เขาต้องการอยู่เคียงข้างเออร์ซูล่าเพื่อฉลองการเลื่อนตำแหน่งครั้งต่อไปใกล้เธอ ซึ่งบริษัท Gupil ทำให้เขามีความสุขในวันคริสต์มาส อย่างน้อยเพื่อเป็นการไถ่ถอนการไม่อยู่ของเขา เขาส่งภาพร่างของครอบครัวในห้องของเขา บ้านของมาดามลอยเออร์ ถนนที่บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ แม่ของเขาเขียนถึงเขาว่า “คุณอธิบายทุกอย่างได้ชัดเจนมาก เราจึงชัดเจนในเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์”

Vincent ยังคงแบ่งปันความสุขกับครอบครัวของเขาต่อไป ทุกสิ่งรอบตัวทำให้เขามีความสุขและเป็นแรงบันดาลใจ “ฉันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้จักลอนดอน วิถีชีวิตแบบอังกฤษ และตัวชาวอังกฤษเอง และฉันยังมีธรรมชาติและศิลปะและบทกวี ถ้ายังไม่พอ แล้วยังต้องการอะไรอีก?” เขาอุทานในจดหมายฉบับเดือนมกราคมถึงธีโอ และบอกรายละเอียดเกี่ยวกับศิลปินและภาพวาดที่เขาชื่นชอบให้น้องชายฟัง "ค้นหาความงามได้ทุกที่" เขาแนะนำ "คนส่วนใหญ่มักไม่สังเกตเห็นความงาม"

Vincent ชื่นชมภาพทุกภาพอย่างเท่าเทียมกันทั้งดีและไม่ดี เขารวบรวมรายชื่อศิลปินที่เขาชื่นชอบสำหรับธีโอ ("แต่ฉันสามารถทำมันต่อไปได้ไม่มีกำหนด" เขาเขียน) ซึ่งชื่อของปรมาจารย์ยืนอยู่ข้างชื่อจิ๋มไร้พรสวรรค์: Corot, Comte _ Cali, Bonnington, Mademoiselle Collard , Boudin, Feyen_Perrin , Ziem, Otto Weber, Theodor Rousseau, Jundt, Fromantin ... Vincent ชื่นชม Millet “ใช่” เขากล่าว “การสวดมนต์ตอนเย็นมีจริง นี่มันงดงาม นี่คือบทกวี”

วันเวลาผ่านไปอย่างมีความสุข - เงียบสงบ และทั้งหมวกทรงสูงหรือไอดีลกับ Ursula Loyer ก็ไม่ได้เปลี่ยน Vincent อย่างสมบูรณ์ ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในตัวเขาจากความป่าเถื่อนตัวน้อยที่เขาเคยเป็น ครั้งหนึ่งเคยมีโอกาสพาเขาไปพบกับศิลปินชาวดัตช์ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งในอังกฤษ - หนึ่งในสามพี่น้อง Maris - Theis Maris แต่การสนทนาของพวกเขาไม่ได้ไปไกลกว่าวลีซ้ำซาก

ดังนั้นถึงเวลาที่เจ้าชู้กับ Ursula Loyer จะต้องทำมากกว่าวลีซ้ำซาก แต่วินเซนต์ไม่กล้าที่จะพูดคำชี้ขาดเป็นเวลานาน เขาพอใจกับความจริงที่ว่าเขาสามารถชื่นชมความงามของหญิงสาวได้ มองดูเธอ พูดคุย อยู่เคียงข้างเธอ และรู้สึกมีความสุข เขาเต็มไปด้วยความฝัน ความฝันอันยิ่งใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจของเขา ได้เงิน แต่งงานกับเออร์ซูล่าผู้น่ารัก มีลูก มีบ้านเป็นของตัวเอง ดอกไม้ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในที่สุด ความสุข อย่างน้อยก็ความสุขเล็กๆ น้อยๆ เรียบง่าย ไร้ศิลปะ มอบให้ผู้คนนับล้านละลายใน ฝูงชนไร้หน้าในความอบอุ่นใจดี ...

ในเดือนกรกฎาคม Vincent จะได้รับวันหยุดสองสามวัน เขาใช้เวลาคริสต์มาสในอังกฤษ ซึ่งหมายความว่าในเดือนกรกฎาคมเขาจะไปที่ Helpourt ไม่เช่นนั้นจะเป็นไปไม่ได้ เออซูล่า! ความสุขอยู่ใกล้มาก! เออซูล่า! Vincent ไม่สามารถเลื่อนการอธิบายได้อีกต่อไป เขากำลังได้รับการแก้ไข และตอนนี้เขายืนอยู่ต่อหน้าเออซูล่า ในที่สุด เขาก็อธิบายตัวเอง พูดคำที่เขาติดอยู่ในใจมาเนิ่นนาน สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า เดือนแล้วเดือนเล่า เออร์ซูล่ามองมาที่เขาและหัวเราะออกมา ไม่ มันเป็นไปไม่ได้! เธอหมั้นแล้ว ชายหนุ่มผู้เช่าห้องในบ้านก่อนวินเซนต์ขอแต่งงานมานานแล้ว เธอเป็นเจ้าสาวของเขา เป็นไปไม่ได้! เออซูล่าหัวเราะ เธอหัวเราะ อธิบายให้เฟลมิชที่น่าอึดอัดใจคนนี้ฟังด้วยมารยาทที่ตลกขบขันของจังหวัด เขาทำผิดพลาดได้อย่างไร เธอกำลังหัวเราะ

ความสุขหยดเดียว! เขาจะไม่ได้รับความสุขหยดของเขา! Vincent ยืนกรานขอร้อง Ursula อย่างกระตือรือร้น เขาจะไม่ยอมแพ้เธอ! เขาเรียกร้องให้เธอยกเลิกการหมั้นเพื่อแต่งงานกับวินเซนต์ ผู้ซึ่งรักเธออย่างหลงใหล เธอไม่สามารถผลักเขาออกไปได้ราวกับว่าเขาถูกโชคชะตาปฏิเสธ

แต่เสียงหัวเราะของเออร์ซูล่าตอบเขา เสียงหัวเราะแดกดันของโชคชะตา

3. การขับไล่

ฉันเหงา อยู่คนเดียว

ห่อหมกทะเล

ถูกลืมโดยผู้คน ... ทั้งนักบุญและพระเจ้า

อย่าสงสารฉันเลย

โคเลอริดจ์ "เพลงของกะลาสีเฒ่า", IV

ใน Helloworth ศิษยาภิบาลและภรรยาของเขา หลังจากจดหมายที่สนุกสนานของเดือนก่อน คาดว่าจะเห็น Vincent ร่าเริง เต็มไปด้วยแผนการที่สดใสสำหรับอนาคต แต่วินเซนต์ผู้เฒ่าก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เข้ากับคนง่ายด้วยหน้าตาบูดบึ้งและบูดบึ้ง ช่วงเวลาแห่งความสุขที่สดใสจะหายไปอย่างถาวร ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำอีกครั้ง

วินเซนต์ไม่พูดอะไร แรงระเบิดกระทบเขาในหัวใจ คนเฒ่าคนแก่พยายามปลอบโยนเขา แต่เป็นไปได้ด้วยคำพูด การโน้มน้าวใจที่ไม่ต่อเนื่องและไม่ต่อเนื่องกัน เป็นไปได้หรือไม่ที่จะช่วยชายผู้เพิ่งประสบกับความปีติยินดี โห่ร้องครวญคราง และยกย่องความสุขของเขา ซึ่งจู่ๆ ก็ระเบิดออกมาราวกับฟองสบู่? "ทุกอย่างจะผ่านไป", "เวลาจะรักษาทุกอย่าง" - ไม่ยากเลยที่จะเดาคำพูดปลอบโยนซึ่งเป็นเรื่องปกติในกรณีเช่นนี้ซึ่งครอบครัวใช้โดยหวังว่ารอยยิ้มอันเงียบสงบจะเล่นบนใบหน้าที่อ่อนล้าของ Vincent อีกครั้ง แต่วินเซนต์ไม่พูดอะไร ตกอยู่ในการกราบเขาขังตัวเองอยู่ในห้องของเขาและสูบบุหรี่ทั้งกลางวันและกลางคืน เปล่าคำ! เขารัก เขายังคงรักเออซูล่าอย่างสุดหัวใจ เขาอุทิศร่างกายและจิตวิญญาณให้กับความรักของเขา และตอนนี้ทุกอย่างพังทลาย - เสียงหัวเราะของหญิงสาวที่รักของเขาทำลายและเหยียบย่ำทุกอย่าง เป็นไปได้หรือไม่ที่บุคคลผู้ได้ลิ้มรสความสุขมากมายนั้นจะถูกโยนลงในความเศร้าโศกที่สิ้นหวังเช่นนี้? ถอย อยู่กับความโชคร้าย จมน้ำตายเศร้าโศกในงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันในความกังวลน้อย? โกหก ขี้ขลาด! ทำไมเออร์ซูล่าถึงปฏิเสธเขา? ทำไมคุณถึงมองว่าเขาไม่คู่ควร? เธอเองก็ชอบเขาไม่ใช่เหรอ? หรืออาชีพของเขา? ตำแหน่งที่ต่ำต้อยและน่าสังเวชของเขาซึ่งเขาเสนอให้เธอร่วมกับเขาอย่างแยบยล? เธอหัวเราะ - โอ้ นั่นหัวเราะ! - มันยังคงก้องอยู่ในหูของเขา อีกครั้งเขาถูกความมืดห้อมล้อม ความมืดอันเยือกเย็นของความเหงา น้ำหนักถึงตายตกลงบนบ่าของเขา

วินเซนต์ถูกขังอยู่ในห้องของเขาด้วยกุญแจ รมควันไปป์และทาสี

ทุกครั้งที่เขาออกไปหาพวกเขา นักบวชและภรรยาของเขาจะมองดูผู้ใหญ่ของพวกเขาอย่างสงสาร ลูกชายที่ไม่มีความสุขอย่างเหลือล้น วันเวลาผ่านไป ผู้อำนวยการสาขาลอนดอนของบริษัท Gupil เรียก Vincent มาทำงาน เขาต้องไป พ่อแม่เป็นห่วง พวกเขากลัวว่าเขาจะรีบร้อน สงสัยว่าจะฉลาดหรือไม่ที่ปล่อยให้เขาไปลอนดอนคนเดียว ให้อันนาพี่สาวคนโตไปด้วยดีกว่า บางทีบริษัทของเธออาจจะทำให้ Vincent สงบลงได้บ้าง

ในลอนดอน Vincent และ Anna ตั้งรกรากอยู่บนถนน Kensington New Road ซึ่งค่อนข้างไกลจากหอพักของมาดามลอยเยอร์ Vincent กลับมารับราชการที่หอศิลป์ คราวนี้ไม่มีความกระตือรือร้น ดูเหมือนว่าอดีตพนักงานที่เป็นแบบอย่างจะถูกแทนที่ มันทำให้เจ้าของพอใจน้อยกว่ามาก Vincent บูดบึ้งหงุดหงิด เช่นเดียวกับใน Helpourt เขาหมกมุ่นอยู่กับความคิดอันยาวนาน ด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง แอนนาพยายามป้องกันไม่ให้เขาพยายามเจอเออร์ซูล่าอีกครั้ง เขาหยุดส่งจดหมายถึงครอบครัวของเขาโดยสิ้นเชิง ด้วยอารมณ์ของลูกชาย ศิษยาภิบาลจึงตัดสินใจบอก Vincent พี่ชายของเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลุงเซนต์ทำทุกอย่างที่เขาต้องการในทันที และผู้อำนวยการแกลเลอรี่ได้เรียนรู้ถึงความรักที่ไม่มีความสุขของเสมียนของเขา ตอนนี้เป็นที่ชัดเจนว่าความอึมครึมและความไม่เป็นมิตรต่อลูกค้ามาจากไหน สาเหตุก็ช่วยได้ง่าย เพียงพอที่จะส่ง Vincent ไปปารีส สอง_สามสัปดาห์ในปารีสที่ร่าเริง เมืองแห่งความสุข และเขาจะถอดทุกอย่างออกทันที แผลใจของชายหนุ่มจะหายเร็ว และเขาจะกลายเป็นลูกจ้างที่เป็นแบบอย่างอีกครั้ง

ในเดือนตุลาคม Vincent ไปปารีสที่สำนักงานใหญ่ของ Goupil และ Anna น้องสาวของเขากลับไปที่ Helpourt Vincent อยู่คนเดียวในปารีส ในเมืองแห่งความสุข เมืองแห่งศิลปะแห่งนี้ ในร้านเสริมสวยของช่างภาพ Nadar ศิลปินหลายคนของผู้ที่ถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง - Cézanne, Monet, Renoir, Degas ... ปีนี้จัดแสดงนิทรรศการกลุ่มแรกของพวกเขา เธอทำให้เกิดพายุแห่งความขุ่นเคือง และเนื่องจากหนึ่งในภาพวาดที่จัดแสดง ซึ่งเป็นของพู่กันของโมเนต์ ถูกเรียกว่า "พระอาทิตย์ขึ้น ความประทับใจ »ความประทับใจ - ในความประทับใจแบบฝรั่งเศส ดังนั้นพวกอิมเพรสชั่นนิสต์ - ประมาณ. แปล นักวิจารณ์ที่มีชื่อเสียง Louis Leroy เยาะเย้ยตั้งชื่อศิลปินเหล่านี้ว่าอิมเพรสชั่นนิสต์และชื่อนี้ยังคงอยู่กับพวกเขา

อย่างไรก็ตาม Vincent van Gogh ไม่ได้อุทิศเวลาให้กับศิลปะมากกว่าความบันเทิง ถึงวาระแห่งความเหงา เขาจมดิ่งสู่ความสิ้นหวังอย่างสิ้นหวัง และไม่ใช่มือเดียวที่เป็นมิตร! และไม่มีที่สำหรับรอความรอด! เขาเหงา เขาเป็นคนแปลกหน้าในเมืองนี้ซึ่งเหมือนที่อื่นไม่สามารถช่วยเขาได้ เขาเจาะลึกตัวเองไม่รู้จบในความสับสนวุ่นวายของความคิดและความรู้สึก เขาต้องการเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น - รัก รักอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เธอถูกปฏิเสธ ความรักที่ล้นหัวใจของเขา ไฟที่โหมกระหน่ำในจิตวิญญาณของเขาและพุ่งออกไป เขาต้องการมอบทุกสิ่งที่เขามี มอบความรักให้เออร์ซูล่า มอบความสุข ความปิติ มอบทุกสิ่งอย่างไม่อาจเพิกถอนได้ แต่ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว เสียงหัวเราะที่น่ารังเกียจ - โอ้ เสียงหัวเราะของเธอช่างน่าเศร้าเสียจริง! - เธอปฏิเสธทุกอย่างที่เขาต้องการพาเธอเป็นของขวัญ พวกเขาผลักเขาออกไป ปฏิเสธเขา ไม่มีใครต้องการความรักของวินเซนต์ ทำไม? เขาสมควรได้รับความแค้นเช่นนี้ได้อย่างไร? เพื่อค้นหาคำตอบสำหรับคำถามของเขา โดยหนีจากความคิดที่หนักหน่วงและเจ็บปวด วินเซนต์จึงเข้าไปในโบสถ์ ไม่ เขาไม่เชื่อว่าเขาถูกปฏิเสธ เขาคงไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง

Vincent กลับมาลอนดอนโดยไม่คาดคิด เขารีบวิ่งไปหาเออร์ซูล่า แต่อนิจจาเออร์ซูล่าไม่ได้เปิดประตูให้เขา เออซูล่าปฏิเสธที่จะยอมรับวินเซนต์

คริสต์มาสอีฟ. ภาษาอังกฤษ วันคริสต์มาสอีฟ ถนนที่ตกแต่งอย่างรื่นเริง หมอกที่ไฟเจ้าเล่ห์กะพริบ Vincent อยู่ตามลำพังในฝูงชนที่ร่าเริง ตัดขาดจากผู้คน จากโลกทั้งใบ

จะเป็นอย่างไร? ที่หอศิลป์บนถนนเซาแธมป์ตัน เขาไม่ปรารถนาที่จะเป็นเซลแมนรุ่นเก่า มีที่ไหน! การขายงานแกะสลัก ภาพวาดที่มีรสนิยมน่าสงสัย นั่นไม่ใช่งานฝีมือที่น่าสงสารที่สุดที่คุณคิดหรือ เป็นเพราะความสกปรกของอาชีพที่ Ursula ปฏิเสธเขาหรือไม่? ความรักของพ่อค้าผู้น้อยสำหรับเธอคืออะไร? นี่คือสิ่งที่เออซูล่าต้องคิด เขาดูเหมือนไม่มีสีสำหรับเธอ แท้จริงแล้ว ชีวิตที่เขาดำเนินไปนั้นไม่สำคัญสักเพียงไร แต่จะทำอย่างไร พระเจ้า จะทำอย่างไร? Vincent อ่านพระคัมภีร์อย่างกระตือรือร้น Dickens, Carlyle, Renan ... เขามักจะไปโบสถ์ จะหนีจากสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร วิธีชดใช้ความไม่สำคัญ ชำระตัวเองอย่างไร? Vincent ปรารถนาการเปิดเผยที่จะให้ความกระจ่างแก่เขาและช่วยชีวิตเขา

ลุงแซงต์ซึ่งยังคงติดตามหลานชายของเขาอยู่ไกลๆ ได้ใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อย้ายเขาไปปารีสเพื่อรับราชการถาวร เขาคงคิดว่าการเปลี่ยนฉากจะเป็นประโยชน์ต่อชายหนุ่ม ในเดือนพฤษภาคม Vincent ได้รับคำสั่งให้ออกจากลอนดอน ก่อนออกเดินทาง ในจดหมายถึงพี่ชายของเขา เขาได้ยกวลีหลายประโยคของเรนัน ซึ่งสร้างความประทับใจให้เขาอย่างลึกซึ้ง: “การมีชีวิตอยู่เพื่อผู้คน เราต้องตายเพื่อตัวเอง คนที่นำแนวคิดทางศาสนามาสู่ผู้อื่นไม่มีภูมิลำเนาอื่นใดนอกจากความคิดนี้ คนๆ หนึ่งเข้ามาในโลกไม่เพียงเพื่อมีความสุข ไม่ใช่แค่เพื่อความซื่อสัตย์ เขาอยู่ที่นี่เพื่อทำสิ่งยิ่งใหญ่เพื่อประโยชน์ของสังคมและเพื่อค้นหาขุนนางที่แท้จริงซึ่งอยู่เหนือความหยาบคายที่คนส่วนใหญ่เติบโตอย่างท่วมท้น "

วินเซนต์ไม่ลืมเออร์ซูล่า เขาลืมเธอไปได้อย่างไร แต่ความหลงใหลที่ครอบงำเขาถูกระงับคือการปฏิเสธของ Ursula ความหลงใหลในตัวเขาเองถึงขีด จำกัด โยนเขาเข้าไปในอ้อมแขนของพระเจ้าโดยไม่คาดคิด เขาเช่าห้องในมงต์มาตร์ "มองเห็นสวนที่รกไปด้วยไม้เลื้อยและองุ่นป่า" หลังจากทำงานในแกลเลอรี่เสร็จ เขาก็รีบกลับบ้าน ที่นี่เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงในบริษัทร่วมกับพนักงานอีกคนของแกลเลอรี แฮร์รี่ แกลดเวลล์ ชาวอังกฤษวัยสิบแปดปี ซึ่งเขาได้กลายเป็นเพื่อนกันในขณะที่อ่านและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพระคัมภีร์ หนังสือเล่มหนาสีดำจากยุคของ Zundert เข้ามาแทนที่บนโต๊ะของเขาอีกครั้ง จดหมายของวินเซนต์ถึงน้องชาย จดหมายจากพี่ถึงน้อง ชวนให้นึกถึงคำเทศนา: “ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนมีเหตุผล” เขาเขียน - อย่าคิดอย่างนั้น ทั้งหมดดีเรียนรู้ที่จะกำหนดอย่างอิสระว่าอะไรดีและอะไร แย่และให้ความรู้สึกนี้บอกหนทางที่ถูกต้องแก่ท่านผู้เฒ่าผู้ต้องการพรจากสวรรค์สำหรับพวกเราทุกคน เพื่อพระเจ้าจะทรงนำเรา”

ในวันอาทิตย์ วินเซนต์เข้าร่วมโบสถ์โปรเตสแตนต์หรือนิกายแองกลิกัน หรือบางครั้งทั้งคู่ และร้องเพลงสดุดีที่นั่น ทรงสดับฟังพระธรรมเทศนาของภิกษุ “ทุกคนพูดถึงความดีของบรรดาผู้รักพระเจ้า” - ในหัวข้อนี้ ศิษยาภิบาลเบอร์เนียร์เคยเทศนา “มันช่างสง่างามและสวยงาม” Vincent เขียนถึงพี่ชายของเขาอย่างตื่นเต้น ความปีติยินดีทางศาสนาช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากความรักที่ไม่สมหวังได้ Vincent หนีคำสาป เขารอดพ้นจากความเหงา ในคริสตจักรทุกแห่ง เช่นเดียวกับในบ้านสวดมนต์ คุณไม่ได้พูดคุยกับพระเจ้าเท่านั้น แต่พูดคุยกับผู้คนด้วย และพวกเขาทำให้คุณอบอุ่นด้วยความอบอุ่น เขาไม่ต้องโต้เถียงกับตัวเองอย่างไม่รู้จบอีกต่อไป เพื่อต่อสู้กับความสิ้นหวัง ยอมจำนนต่อพลังอำนาจแห่งความมืดที่ปลุกขึ้นในจิตวิญญาณของเขาอย่างไม่อาจเพิกถอนได้ ชีวิตกลับมาเรียบง่าย มีเหตุผล และมีความสุขอีกครั้ง “ทุกคนพูดถึงความดีของคนที่รักพระเจ้า” เพียงพอที่จะยกมือขึ้นสู่พระเจ้าของคริสเตียนในการสวดอ้อนวอนเพื่อจุดไฟแห่งความรักและเผาในนั้นเพื่อที่เมื่อชำระตัวเองให้บริสุทธิ์แล้วคุณจะพบความรอด

Vincent มอบตัวเองให้กับความรักของพระเจ้า ในสมัยนั้น มงต์มาตร์ซึ่งมีสวนสวย เขียวขจี และโรงสีซึ่งมีประชากรค่อนข้างเล็กและเงียบสงบ ยังไม่เคยสูญเสียรูปลักษณ์ในชนบท แต่วินเซนต์ไม่เห็นมงต์มาตร์ ปีนขึ้นหรือลงตามถนนแคบๆ ที่สูงชันซึ่งเต็มไปด้วยเสน่ห์อันงดงาม ที่ซึ่งชีวิตพื้นบ้านเต็มไปด้วยชีวิตชีวา Vincent ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรรอบๆ ไม่รู้จักมงต์มาตร์ เขาก็ไม่รู้จักปารีสเช่นกัน จริงอยู่เขายังคงสนใจงานศิลปะ เขาไปเยี่ยมชมนิทรรศการหลังมรณกรรมของ Corot ซึ่งศิลปินเพิ่งเสียชีวิตในปีนั้น ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ลักเซมเบิร์ก ในซาลอน เขาตกแต่งผนังห้องด้วยการแกะสลักโดย Corot, Millet, Philippe de Champaigne, Bonington, Ruisdael, Rembrandt แต่ความหลงใหลครั้งใหม่ของเขาส่งผลต่อรสนิยมของเขา สถานที่หลักในคอลเล็กชั่นนี้ถูกครอบครองโดยการทำสำเนาภาพวาดโดย Rembrandt "Reading the Bible" “สิ่งนี้ส่งเสริมความคิด” วินเซนต์ยืนยันด้วยความเชื่อมั่นที่สัมผัสได้ โดยอ้างพระวจนะของพระคริสต์: “ที่ใดที่รวบรวมสองหรือสามคนในนามของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็อยู่ท่ามกลางพวกเขา” Vincent ถูกเผาไหม้โดยไฟภายใน เขาถูกทำให้เชื่อและเผาไหม้ เขาชื่นชอบเออร์ซูล่า ฉันรักธรรมชาติ ฉันรักศิลปะ ตอนนี้เขารักพระเจ้า “ความรู้สึกแม้เพียงเล็กน้อยของความรักที่มีต่อธรรมชาติที่สวยงาม ก็ไม่เหมือนกับความรู้สึกทางศาสนาเลย” เขาประกาศในจดหมายถึงธีโอ แต่ในทันที เขาก็ยึดด้วยความสงสัย กลืนกิน และฉีกเป็นชิ้นๆ ด้วยกิเลสตัณหาที่เดือดพล่านในตัวเขา ความรักในชีวิตที่พุ่งออกมากล่าวเสริมว่า "แม้ว่าฉันจะเชื่อว่าความรู้สึกทั้งสองนี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด" เขาไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ก็อ่านมากเช่นกัน อ่าน Heine, Keats, Longfellow, Hugo ฉันยังอ่าน Scenes from the Life of the Clergy โดย George Elliot หนังสือเล่มนี้โดยเอลเลียตกลายเป็นหนังสือสำหรับเขาในวรรณคดีว่าภาพวาด "Reading the Bible" ของแรมแบรนดท์สำหรับเขาในการวาดภาพ เขาสามารถพูดคำที่มาดามคาร์ไลล์พูดซ้ำได้หลังจากอ่าน "อดัม บิด" โดยผู้เขียนคนเดียวกัน: "ความเห็นอกเห็นใจสำหรับมนุษยชาติทั้งมวลได้ตื่นขึ้นในตัวฉัน" ความทุกข์ทรมาน Vincent มีความสงสารที่คลุมเครือสำหรับทุกคนที่ทนทุกข์ ความเมตตาคือความรัก caritas เป็นรูปแบบสูงสุดของความรัก เกิดจากความผิดหวังในความรัก ความเศร้าโศกของเขาได้หลั่งไหลเข้าสู่ความรักที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก วินเซนต์เริ่มแปลสดุดี กระโจนเข้าสู่ความกตัญญู ในเดือนกันยายน เขาได้ประกาศกับพี่ชายของเขาว่าเขาตั้งใจจะแยกทางกับ Michelet และ Renan ด้วยความไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า “ทำเช่นเดียวกัน” เขาแนะนำ ในต้นเดือนตุลาคม เขากลับมาที่หัวข้อเดิมอย่างต่อเนื่อง ถามพี่ชายของเขาว่าเขากำจัดหนังสือที่ควรจะห้ามจริงๆ ในนามของความรักต่อพระเจ้าจริง ๆ หรือไม่ “อย่าลืมเพจของ Michelet ใน Portrait of a Woman โดย Philippe de Champaigne” เขากล่าวเสริม “และอย่าลืม Renan อย่างไรก็ตาม ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับพวกเขา…”

เอกสารที่คล้ายกัน

ชีวิตที่น่าเศร้าของ Vincent Van Gogh ทำงานในบริษัทการค้าและงานเผยแผ่ศาสนาของแวนโก๊ะ ลักษณะเฉพาะของวิธีการและวิสัยทัศน์ของโลก ช่วงเวลาแห่งชีวิตของชาวปารีส ออกเดินทางจากวิธีการพรรณนาแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ ชัยชนะมรณกรรมและการยอมรับ

เพิ่มเอกสารภาคเรียนเมื่อ 05/28/2015

ชีวประวัติของ Vincent Van Gogh: ทำงานใน บริษัท การค้างานศิลปะและทัศนคติต่อการวาดภาพหัวข้อทางศาสนาและภาพร่างการแจกจ่ายทรัพย์สินให้กับคนยากจน ชีวิตนักพรตของศิลปิน การแสดงภาพชีวิตผู้ด้อยโอกาส ช่วงเวลาแห่งการก้าวขึ้นอย่างสร้างสรรค์

เพิ่มการนำเสนอเมื่อ 30/09/2012

ชุดภาพวาดที่วาดภาพดอกทานตะวันเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของวินเซนต์ แวนโก๊ะ ศิลปินชาวดัตช์ เหตุการณ์สำคัญที่สำคัญของชีวประวัติของจิตรกร ประวัติจิตรกรรม "แจกันกับดอกทานตะวันสิบสองดอก" คำอธิบายของภาพวาดสมมติฐานของความถูกต้อง

ทดสอบเพิ่ม 05/28/2012

ชีวประวัติสั้น ๆ ของวินเซนต์ แวนโก๊ะ จิตรกร นักเขียนแบบร่าง ช่างแกะสลัก และช่างพิมพ์หิน การก่อตัวและการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของ Van Gogh ในฐานะตัวแทนที่ใหญ่ที่สุดของโพสต์อิมเพรสชันนิสม์ การวิเคราะห์ภาพบุคคล ทิวทัศน์ และผลงานอื่นๆ ของศิลปิน

เพิ่มการนำเสนอเมื่อ 01/18/2012

ชีวิตที่น่าเศร้าของ Vincent Van Gogh ทำงานในสาขาของ บริษัท ศิลป์ปารีส "Goupil" สัญลักษณ์เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อสุนทรียศาสตร์ของความสมจริงและธรรมชาตินิยมซึ่งท่วมท้นงานศิลปะในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 รูปภาพ "Starry Night", "Sunflowers"

เพิ่มบทคัดย่อเมื่อ 11/09/2015

ชีวประวัติของ Vincent Van Gogh ชะตากรรมที่น่าเศร้าของศิลปิน อิทธิพลของงานของเขาที่มีต่อกระแสศิลปะในยุคนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การออกเสียงและการแสดงออก สำหรับศิลปินแล้ว สีเป็นเครื่องมือในการรับรู้ถึงโลก "ศิลปะเพื่อคนรุ่นหลัง".

ทดสอบเพิ่ม 09/11/2009

ศิลปะของ Henri Toulouse-Lautrec ศิลปินจาก Montmartre เป็นศิลปะการแสดงด้นสดที่แสดงออกถึงวิสัยทัศน์และความรู้สึกของศิลปินได้อย่างสมบูรณ์แบบ ประวัติชีวิตและช่วงเวลาของผลงานของศิลปิน แกลเลอรี่ภาพบุคคลหญิงและชายที่เป็นของพู่กันของศิลปิน

เพิ่มบทคัดย่อเมื่อ 11/06/2013

วิกฤตการณ์อิมเพรสชันนิสม์ในปลายศตวรรษที่ 19 และจุดเริ่มต้นของโพสต์อิมเพรสชันนิสม์ การวิเคราะห์ภาพวาดโดยศิลปิน Vincent Willem Van Gogh "แจกันกับดอกทานตะวันสิบห้าดอก" ลักษณะของ Cezannim-เลียนแบบ Van Gogh และ Gauguin หลักการใช้สีตัดกันที่เกี่ยวข้อง

เพิ่มกระดาษภาคเรียน 03/13/2013

ชีวิตหลักและตำแหน่งที่สร้างสรรค์ของชาวดัตช์ Vincent Van Gogh และ Paul Gauguin ชาวฝรั่งเศส ปฏิสัมพันธ์ของศิลปินและอิทธิพลที่มีต่อกัน: ภาพอันน่าทึ่งของความสัมพันธ์ กระบวนการและปัญหาความสัมพันธ์ในสหภาพสร้างสรรค์ของศิลปิน

เพิ่มบทคัดย่อเมื่อ 14/08/2010

ธีมของเมืองในผลงานของ Claude Monet วงจรที่อุทิศให้กับลอนดอน ภาพบ้านเกิดของชาวดัตช์ใน "ความทรงจำของสวนที่ Etten" ของ Vincent Van Gogh "ภาพเหมือนของนักแสดงหญิง Jeanne Samary" โดย Renoir Pierre Auguste ภาพวาด "นักเต้นสองคน" โดย Edgar Degas

อองรี เพอร์รูชอต

ชีวิตของแวนโกก

ส่วนที่หนึ่ง. ถังฟลูอิดไร้ผล

I. วัยเด็กที่เงียบงัน

เนเธอร์แลนด์ไม่ได้เป็นเพียงทุ่งดอกทิวลิปที่กว้างใหญ่เท่านั้น ดอกไม้ ความสุขของชีวิตที่รวมไว้ในดอกไม้ ความสนุกสนานที่สงบและมีสีสัน เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกโดยประเพณีในใจของเราด้วยทิวทัศน์ของกังหันลมและลำคลอง ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะเฉพาะของพื้นที่ชายฝั่งทะเล บางส่วนถูกยึดคืนจากทะเลและเนื่องมาจากความเจริญรุ่งเรืองของท่าเรือขนาดใหญ่ . พื้นที่เหล่านี้ - ทางเหนือและใต้ - แท้จริงแล้วคือฮอลแลนด์ นอกจากนี้ เนเธอร์แลนด์ยังมีอีก 9 จังหวัด ซึ่งทั้งหมดมีเสน่ห์ในตัวเอง แต่เสน่ห์นี้แตกต่างออกไป - บางครั้งก็รุนแรงกว่า: ด้านหลังทุ่งดอกทิวลิปมีดินแดนที่น่าสงสารและที่เยือกเย็น

ในบรรดาพื้นที่เหล่านี้ บางทีผู้ด้อยโอกาสที่สุดน่าจะเป็นที่ที่เรียกว่า Brabant เหนือ ซึ่งเกิดจากทุ่งหญ้าและป่าไม้ รกไปด้วยทุ่งหญ้าและที่รกร้างว่างเปล่าทราย พื้นที่พรุและหนองบึง ทอดยาวไปตามชายแดนเบลเยี่ยม - จังหวัดที่แยกจากเยอรมนีเพียง แถบลิมบูร์กที่แคบและไม่สม่ำเสมอ ตามแม่น้ำมิวส์ไหล เมืองหลักของมันคือ 's-Hertogenbosch บ้านเกิดของ Hieronymus Bosch จิตรกรสมัยศตวรรษที่ 15 ที่รู้จักกันในจินตนาการอันแปลกประหลาดของเขา ดินในจังหวัดนี้หายากและมีที่ดินรกร้างมากมาย ที่นี่ฝนตกบ่อย หมอกแขวนต่ำ ความชื้นแทรกซึมทุกสิ่งและทุกคน ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวนาหรือช่างทอผ้า ทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยความชื้นช่วยให้พวกมันพัฒนาพันธุ์โคได้อย่างกว้างขวาง ในดินแดนที่ราบเรียบที่มีสันเขาที่กระจัดกระจาย วัวขาวดำในทุ่งหญ้าและหนองบึงที่รกทึบ คุณสามารถเห็นเกวียนลากเลื่อนสุนัขบนถนน ซึ่งถูกนำไปที่เมืองเบอร์เกน-ออป-ซูม เมืองเบรดา เซเวนเบอร์เกน; Eindhoven - กระป๋องนมทองแดง

ชาวเมือง Brabant ส่วนใหญ่เป็นชาวคาทอลิก ลูเธอรันไม่ได้เป็นหนึ่งในสิบของประชากรในท้องถิ่น นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมวัดซึ่งดูแลคริสตจักรโปรเตสแตนต์จึงยากจนที่สุดในภูมิภาคนี้

อย่างไรก็ตาม ความธรรมดาของบาทหลวงธีโอดอร์ ฟาน โก๊ะ การดำรงอยู่เจียมเนื้อเจียมตัวที่กลายมาเป็นส่วนรวมของเขา พืชพรรณที่เขาถึงวาระโดยสามัญสำนึกของเขาเอง อาจทำให้เกิดความประหลาดใจได้ - ท้ายที่สุดศิษยาภิบาลของ Zundert ก็เป็นของ ถ้าไม่ใช่ มีชื่อเสียงไม่ว่าในกรณีใดกับครอบครัวชาวดัตช์ที่มีชื่อเสียง เขาภูมิใจในต้นกำเนิดอันสูงส่งของเขา ตราประจำตระกูลของเขา - กิ่งก้านที่มีดอกกุหลาบสามดอก ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ตัวแทนของตระกูลแวนโก๊ะได้รับตำแหน่งที่โดดเด่น ในศตวรรษที่ 17 หนึ่งในแวนโก๊ะเป็นหัวหน้าเหรัญญิกของสหภาพเนเธอร์แลนด์ ฟานก็อกฮ์อีกคนหนึ่งซึ่งดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่ในบราซิลเป็นครั้งแรกและต่อมาเป็นเหรัญญิกในนิวซีแลนด์ เดินทางไปอังกฤษในปี 1660 โดยเป็นส่วนหนึ่งของสถานทูตเนเธอร์แลนด์เพื่อต้อนรับพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เกี่ยวกับพิธีราชาภิเษกของพระองค์ ต่อมา Van Goghs บางคนกลายเป็นคริสตจักร บางคนสนใจงานหัตถกรรมหรือแลกเปลี่ยนผลงานศิลปะ และยังมีคนอื่น ๆ - การรับราชการทหาร ตามกฎแล้วพวกเขาเก่งในด้านที่เลือก พ่อของธีโอดอร์ แวนโก๊ะเป็นผู้มีอิทธิพล เป็นศิษยาภิบาลของเมืองใหญ่แห่งเบรดา และก่อนหน้านั้น ไม่ว่าเขาจะดูแลตำบลใด เขาได้รับการยกย่องทุกที่สำหรับ "การรับใช้ที่เป็นแบบอย่าง" ของเขา เขาเป็นลูกหลานของนักปั่นทองคำสามชั่วอายุคน พ่อของเขาซึ่งเป็นปู่ของธีโอดอร์ ซึ่งในตอนแรกเลือกงานฝีมือของเครื่องปั่นด้าย ต่อมากลายเป็นผู้อ่าน และต่อมาเป็นบาทหลวงที่โบสถ์อารามในกรุงเฮก เขาเป็นทายาทของเขาโดยลุงทวดของเขา ซึ่งในวัยหนุ่มของเขา - เขาเสียชีวิตเมื่อต้นศตวรรษ - รับใช้ใน Royal Swiss Guard ในปารีสและชื่นชอบงานประติมากรรม สำหรับ Van Goghs รุ่นสุดท้าย - และนักบวชที่หลงผิดมีลูกสิบเอ็ดคนแม้ว่าเด็กคนหนึ่งเสียชีวิตในวัยเด็ก - บางทีชะตากรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้มากที่สุดก็ตกอยู่กับ "ศิษยาภิบาลผู้รุ่งโรจน์" นอกเหนือจากพี่สาวสามคนที่เหลืออยู่ใน หญิงชรา พี่สาวอีกสองคนแต่งงานกับนายพล โยฮันเนส พี่ชายของเขากำลังประสบความสำเร็จในอาชีพการงานในกรมทหารเรือ - เรือบรรทุกของรองผู้บัญชาการอยู่ไม่ไกล พี่น้องอีกสามคนของเขา - Hendrik, Cornelius Marinus และ Vincent - มีส่วนร่วมในการค้างานศิลปะขนาดใหญ่ Cornelius Marinus ตั้งรกรากอยู่ในอัมสเตอร์ดัม Vincent มีหอศิลป์ในกรุงเฮก ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดในเมืองและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบริษัท Parisian "Goupil" ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและมีสาขาอยู่ทุกหนทุกแห่ง

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1851 สองปีหลังจากที่เขามาถึง Groot-Zündert ธีโอดอร์ แวนโก๊ะ ตัดสินใจแต่งงานเมื่ออายุครบ 30 ปี แต่เขาไม่เห็นความจำเป็นในการหาภรรยานอกประเทศ เขาแต่งงานกับหญิงชาวดัตช์ที่เกิดในกรุงเฮก - Anna Cornelia Carbentus ลูกสาวของผู้เย็บเล่มหนังสือในราชสำนัก เธอยังมาจากครอบครัวที่น่านับถือ แม้แต่อธิการแห่งอูเทรคต์ก็อยู่ในรายชื่อบรรพบุรุษของเธอด้วย พี่สาวคนหนึ่งของเธอแต่งงานกับวินเซนต์ น้องชายของบาทหลวงธีโอดอร์ ซึ่งขายภาพเขียนในกรุงเฮก

วันเวลาผ่านไป Anna Cornelia ใช้ชีวิตใน Zundert

แต่อนิจจา! เด็กเสียชีวิตหกสัปดาห์ต่อมา

และเด็กชายคนนี้ในความทรงจำของคนแรกจะได้ชื่อว่า Vincent! วินเซนต์ วิลเลม.

และเขาจะถูกเรียกว่า: Vincent Van Gogh

อย่างไรก็ตามในจิตวิญญาณของเด็กชายที่มืดมนนั้นมีการซ่อนต้นอ่อนขี้อายของความอ่อนโยนและความอ่อนไหวที่เป็นมิตร ด้วยความขยันหมั่นเพียร กับความรักเท่าใด เจ้าคนป่าตัวน้อยจึงชักดอกไม้แล้วมอบภาพวาดให้เพื่อน ๆ ของเขา ใช่ เขาวาด ฉันวาดมาก สัตว์. ภูมิทัศน์ นี่คือภาพวาดสองภาพของเขาจากปี 1862 (เขาอายุเก้าขวบ): หนึ่งภาพสุนัข อีกภาพหนึ่งเป็นสะพาน และเขายังอ่านหนังสือ อ่านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลืนกินทุกอย่างที่สะดุดตาเขาเท่านั้น

รอบ ๆ เป็นภูมิประเทศที่น่าสงสาร พื้นที่กว้างใหญ่ไม่รู้จบ ซึ่งเปิดออกสู่สายตาเหนือที่ราบที่ทอดยาวออกไปภายใต้เมฆต่ำ อาณาจักรสีเทาที่ไม่มีการแบ่งแยกซึ่งกลืนแผ่นดินและท้องฟ้า ต้นไม้ที่มืดมิด ป่าพรุสีดำ ความโศกเศร้าที่เจ็บปวด มีเพียงรอยยิ้มซีดๆ ของทุ่งหญ้าที่เบ่งบานเป็นครั้งคราวเท่านั้น และในบ้านของศิษยาภิบาลมีเตาครอบครัวที่เจียมเนื้อเจียมตัว จำกัด ศักดิ์ศรีในทุกอิริยาบถความรุนแรงและการละเว้นหนังสือที่รุนแรงที่สอนว่าชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าและความพยายามที่จะได้รับความรอดนั้นเปล่าประโยชน์ หนังสือเล่มหนาสีดำ - The Book of Books ด้วยคำพูดที่นำมาจากส่วนลึกของศตวรรษซึ่งเป็นแก่นแท้ของ Word การจ้องมองอย่างหนักของพระเจ้าพระเจ้าเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของคุณข้อพิพาทนิรันดร์กับผู้ทรงอำนาจซึ่งต้องเชื่อฟัง แต่กับที่ คุณต้องการที่จะกบฏ และภายในจิตใจ มีคำถามมากมาย เดือดปุด ๆ ไม่เปลี่ยนเป็นคำพูด ความกลัว พายุ ความวิตกกังวลที่ไม่ได้แสดงออกและอธิบายไม่ได้นี้ - ความกลัวชีวิต ความสงสัยในตนเอง แรงกระตุ้น ความบาดหมางภายใน ความรู้สึกผิดที่คลุมเครือ ความรู้สึกที่คลุมเครือ ที่คุณต้องแลกอะไรบางอย่าง ...

พ่อของวินเซนต์เป็นนักบวช พี่ชายสามคนของพ่อของฉันประสบความสำเร็จในการค้าขายผลงานศิลปะ Vincent รู้จักลุงและคนชื่อเดียวกับเขาเป็นอย่างดี - Vincent หรือลุง Saint ในขณะที่ลูก ๆ ของเขาเรียกเขาว่า - พ่อค้างานศิลปะในเฮกซึ่งตอนนี้เกษียณแล้วอาศัยอยู่ใน Prinsenhag ใกล้เมือง Breda ในท้ายที่สุด เขาตัดสินใจขายห้องแสดงงานศิลปะของเขาให้กับบริษัท Goupil ในกรุงปารีส ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสาขาของบริษัทนี้ที่กรุงเฮก และขยายอิทธิพลไปในซีกโลกทั้งสอง - จากบรัสเซลส์ถึงเบอร์ลิน จากลอนดอนถึงนิวยอร์ก ใน Prinsenhag ลุง Saint อาศัยอยู่ในวิลล่าที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ซึ่งเขาได้นำภาพวาดที่ดีที่สุดของเขามา ศิษยาภิบาลหนึ่งหรือสองครั้งซึ่งพี่ชายของเขาชื่นชมอย่างไม่ต้องสงสัยพาลูก ๆ ไปที่ปรินเสนฮัก วินเซนต์ยืนนิ่งอยู่นานราวกับถูกสะกดจิต ต่อหน้าผืนผ้าใบ หน้าโลกเวทมนตร์ใหม่ที่ถูกเปิดเผยแก่เขาเป็นครั้งแรก ต่อหน้าภาพแห่งธรรมชาตินี้ แตกต่างไปจากตัวมันเองเล็กน้อย ต่อหน้าความเป็นจริงนี้ ยืมมาจากความเป็นจริง แต่มีอยู่โดยอิสระ ต่อหน้าโลกที่สวยงาม เป็นระเบียบ และสดใส ที่ซึ่งวิญญาณที่ซ่อนอยู่ของสิ่งต่าง ๆ ถูกเปิดเผยโดยพลังของดวงตาที่ซับซ้อนและมือที่ชำนาญ ไม่มีใครรู้ว่า Vincent กำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ว่าเขาจะคิดว่าความรุนแรงของลัทธิถือลัทธิที่มากับวัยเด็กของเขานั้นไม่เหมาะกับโลกที่พร่างพรายใบใหม่นี้ จึงไม่เหมือนกับภูมิประเทศอันน้อยนิดของ Zundert และความสงสัยในเชิงจริยธรรมที่คลุมเครือมาชนกันในจิตวิญญาณของเขาด้วยความงดงามตระการตาหรือไม่ ศิลปะ?

Vincent จะเป็นผู้ขายภาพวาด

ครั้งที่สอง แสงแห่งรุ่งอรุณ

ท้องฟ้าเหนือหลังคาเป็นสีฟ้าที่สงบนิ่งมาก ...

ใช่ วินเซนต์จะเป็นเหมือนคนอื่นๆ

เขาแตกต่างจากพนักงานคนอื่นอย่างสิ้นเชิง: พยายามเอาใจลูกค้า ในขณะเดียวกันก็ปิดบังความเฉยเมยต่อสินค้าที่ขายได้ไม่ดี แต่วินเซนต์สนใจภาพวาดที่ส่งผ่านบริษัทกูปิลเป็นอย่างมาก มันเกิดขึ้นที่เขายอมให้ตัวเองท้าทายความคิดเห็นของคนรักคนนี้หรือคนรักคนนั้น บ่นพึมพำอะไรบางอย่างในใจด้วยความโกรธและไม่แสดงความชื่นชมยินดี แต่ทั้งหมดนี้จะได้รับการแก้ไขเมื่อเวลาผ่านไป นี่เป็นเพียงข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเขาน่าจะกำจัดได้ในไม่ช้าซึ่งเป็นผลมาจากการขาดประสบการณ์ความเหงาที่ยาวนาน บริษัท "Gupil" รับค่าคอมมิชชั่นเฉพาะภาพวาดที่ได้รับการจัดอันดับสูงในตลาดศิลปะ - ภาพวาดโดยนักวิชาการ, ผู้ได้รับรางวัล Rome Prize, ปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงเช่น Anriquel-Dupont หรือ Calamatta, จิตรกรและช่างแกะสลักที่มีความคิดสร้างสรรค์และความสามารถ ประชาชนและเจ้าหน้าที่ สงครามระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมนีในปี พ.ศ. 2413 กระตุ้นให้ Goupil พร้อมด้วยภาพเปลือยจำนวนนับไม่ถ้วน ภาพสเก็ตช์ที่สื่อถึงอารมณ์หรือศีลธรรม อภิบาลในยามค่ำ และการเดินชมธรรมชาติอันงดงามในอ้อมอกของธรรมชาติ เพื่อแสดงตัวอย่างบางส่วนของประเภทการต่อสู้ในช่วงแรกๆ

พ่อของเขาออกจาก Zundert ไปตั้งรกรากใน Helpourt อีกเมืองหนึ่งของ Brabant ใกล้ Tilburg ซึ่งเขาได้รับตำบลที่ยากจนพอ ๆ กันอีกครั้ง ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2415 วินเซนต์ไปพักผ่อนที่ Oisterwijk ใกล้ Helfourt ซึ่งพี่ชายของเขา Theo กำลังศึกษาอยู่ เขารู้สึกทึ่งในสติปัญญาของเด็กชายอายุสิบห้าปีผู้นี้ ซึ่งเติบโตก่อนวัยอันควรภายใต้อิทธิพลของการเลี้ยงดูที่โหดร้าย เมื่อกลับมาที่กรุงเฮก Vincent ได้ติดต่อกับเขา: ในจดหมายที่เขาบอกพี่ชายเกี่ยวกับบริการของเขาเกี่ยวกับ บริษัท Gupil “นี่เป็นงานที่ยอดเยี่ยม” เขาเขียนว่า “ยิ่งคุณรับใช้นานเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งอยากทำงานมากขึ้นเท่านั้น”

Vincent มาถึงลอนดอนในเดือนพฤษภาคม

อังกฤษตกหลุมรักเขา เขารีบซื้อหมวกทรงสูงให้ตัวเอง "ถ้าไม่มีสิ่งนี้" เขารับรอง "เป็นไปไม่ได้ที่จะทำธุรกิจในลอนดอน" เขาอาศัยอยู่ในหอพักของครอบครัว ซึ่งน่าจะค่อนข้างเหมาะสมสำหรับเขา หากไม่สูงเกินไป - สำหรับกระเป๋าของเขา - ค่าจ้างและนกแก้วช่างพูดเกินทน ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของสาวใช้สองคน แอร์โฮสเตสของหอพัก ระหว่างทางไปทำงาน - ไปที่หอศิลป์ที่ 17 ถนนเซาแธมป์ตันในใจกลางกรุงลอนดอน - และกลับมาเดินท่ามกลางฝูงชนในลอนดอนที่หนาแน่น เขาจำหนังสือและตัวละครของนักประพันธ์ชาวอังกฤษที่เขาอ่านอย่างขยันหมั่นเพียร ความอุดมสมบูรณ์ของหนังสือเหล่านี้ ลัทธิที่เป็นลักษณะเฉพาะของเตาไฟของครอบครัว ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของคนเจียมเนื้อเจียมตัว ความโศกเศร้าที่ยิ้มแย้มของนวนิยายเหล่านี้ อารมณ์ความรู้สึกที่ปรุงแต่งด้วยอารมณ์ขันเล็กน้อย และการสอนแบบหน้าซื่อใจคดเล็กน้อยทำให้เขากังวลอย่างสุดซึ้ง เขาชอบดิคเก้นเป็นพิเศษ

และถึงกระนั้น ศิลปะนี้ ไม่น่าจะสร้างความประทับใจอย่างแรงกล้าให้กับ Vincent หากดิคเก้นส์ไม่ได้สัมผัสสายใยลึกสุดหัวใจของเขา ในวีรบุรุษแห่งดิคเก้นส์ วินเซนต์พบคุณธรรมที่พ่อของเขาปลูกไว้ในซันเดอร์ต มุมมองทั้งหมดของดิคเก้นส์เต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและความเห็นอกเห็นใจ ความเห็นอกเห็นใจต่อมนุษย์ ความอ่อนโยนของพระเยซูอย่างแท้จริง ดิคเก้นเป็นนักร้องแห่งพรหมลิขิตของมนุษย์ ไม่รู้จักการขึ้นบินที่ยอดเยี่ยม หรือความเฉลียวฉลาดที่น่าสลดใจ ต่างด้าวกับสิ่งที่น่าสมเพช เจียมเนื้อเจียมตัว เฉลียวฉลาด แต่โดยพื้นฐานแล้ว มีความสุขกับความสงบสุข เนื้อหามีประโยชน์เบื้องต้นที่ทุกคนและทุกคนสามารถอ้างได้ พวกเขา. ฮีโร่ของ Dickens ต้องการอะไร? “หนึ่งร้อยปอนด์ต่อปี ภรรยาที่แสนดี ลูกสิบคน โต๊ะที่จัดไว้ด้วยความรักสำหรับเพื่อนที่ดี กระท่อมส่วนตัวใกล้ลอนดอนพร้อมสนามหญ้าสีเขียวใต้หน้าต่าง สวนเล็กๆ และความสุขเล็กๆ น้อยๆ”

ชีวิตจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ วิเศษมาก นำความสุขง่ายๆ มาสู่คนๆ หนึ่งได้จริงหรือ? ฝันอะไร! มีบทกวีมากมายเพียงใดในอุดมคติที่ไม่ซับซ้อนนี้! เป็นไปได้ไหมที่สักวันหนึ่งเขา วินเซนต์ จะได้รับความสุขเช่นนี้ ให้มีชีวิตอยู่ หรือให้ลืมตัวเองในความฝันในความสงบสุขนี้ ให้กลายเป็นหนึ่งในลูกสมุนแห่งโชคชะตา เขาคู่ควรกับสิ่งเหล่านี้หรือไม่?

ในเดือนกันยายน เมื่อพิจารณาจากค่าธรรมเนียมการขึ้นเครื่องที่สูงมาก เขาจึงย้ายไปอพาร์ตเมนต์อื่น เขาตกลงกับมาดามโลเยอร์แม่ม่ายของนักบวชซึ่งมาจากยุโรปตอนใต้ "ตอนนี้ฉันมีห้องที่ฉันอยากได้มานานแล้ว" Vincent เขียนอย่างพึงพอใจถึงธีโอน้องชายของเขา "โดยไม่มีคานเอียงและวอลเปเปอร์สีน้ำเงินที่มีเส้นขอบสีเขียว" ก่อนหน้านั้นไม่นาน เขาได้ล่องเรือร่วมกับชาวอังกฤษหลายคน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าน่าพอใจมาก บอกตรงๆว่าชีวิตสวยงาม...

ชีวิตของวินเซนต์ดูสวยงามขึ้นทุกวันจริงๆ

Vincent ยังคงแบ่งปันความสุขกับครอบครัวของเขาต่อไป ทุกสิ่งรอบตัวทำให้เขามีความสุขและเป็นแรงบันดาลใจ “ฉันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้จักลอนดอน วิถีชีวิตแบบอังกฤษ และตัวชาวอังกฤษเอง และฉันยังมีธรรมชาติและศิลปะและบทกวี ถ้ายังไม่พอ แล้วยังต้องการอะไรอีก?” เขาอุทานในจดหมายฉบับเดือนมกราคมถึงธีโอ และบอกรายละเอียดเกี่ยวกับศิลปินและภาพวาดที่เขาชื่นชอบให้น้องชายฟัง "ค้นหาความงามได้ทุกที่" เขาแนะนำ "คนส่วนใหญ่ไม่ได้สังเกตเห็นความงามเสมอไป"

Vincent ชื่นชมภาพทุกภาพอย่างเท่าเทียมกันทั้งดีและไม่ดี เขารวบรวมรายชื่อศิลปินที่เขาชื่นชอบสำหรับธีโอ ("แต่ฉันสามารถทำมันต่อไปได้อย่างไม่มีกำหนด" เขาเขียน) ซึ่งชื่อของปรมาจารย์ยืนอยู่ข้างชื่อจิ๋มธรรมดา ๆ : Corot, Comte Cali, Bonnington, Mademoiselle Collard, Boudin, Feyen -Perrin, Ziem, Otto Weber, Theodore Rousseau, Jundt, Fromentin ... Vincent ชื่นชม Millet “ใช่” เขากล่าว “การสวดมนต์ตอนเย็นมีจริง วิเศษมาก เป็นบทกวี”

วันเวลาไหลอย่างมีความสุขและเงียบสงบ และทั้งหมวกทรงสูงหรือไอดีลกับ Ursula Loyer ก็ไม่ได้เปลี่ยน Vincent อย่างสมบูรณ์ ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในตัวเขาจากความป่าเถื่อนตัวน้อยที่เขาเคยเป็น ครั้งหนึ่งเคยมีโอกาสพาเขาไปพบกับศิลปินชาวดัตช์ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งในอังกฤษ - หนึ่งในสามพี่น้อง Maris - Theis Maris แต่การสนทนาของพวกเขาไม่ได้ไปไกลกว่าวลีซ้ำซาก

แต่เสียงหัวเราะของเออร์ซูล่าตอบเขา เสียงหัวเราะแดกดันของโชคชะตา

สาม. เนรเทศ

ฉันเหงา อยู่คนเดียว

ห่อหมกทะเล

ถูกลืมโดยผู้คน ... ทั้งนักบุญและพระเจ้า

อย่าสงสารฉันเลย

โคเลอริดจ์ "เพลงของกะลาสีเฒ่า", IV

วินเซนต์ถูกขังอยู่ในห้องของเขาด้วยกุญแจ รมควันไปป์และทาสี

ในลอนดอน Vincent และ Anna ตั้งรกรากอยู่บนถนน Kensington New Road ซึ่งค่อนข้างไกลจากหอพักของมาดามลอยเยอร์ Vincent กลับมารับราชการที่หอศิลป์ คราวนี้ไม่มีความกระตือรือร้น ดูเหมือนว่าอดีตพนักงานที่เป็นแบบอย่างจะถูกแทนที่ มันทำให้เจ้าของพอใจน้อยกว่ามาก Vincent บูดบึ้งหงุดหงิด เช่นเดียวกับใน Helpourt เขาหมกมุ่นอยู่กับความคิดอันยาวนาน ด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง แอนนาพยายามป้องกันไม่ให้เขาพยายามเจอเออร์ซูล่าอีกครั้ง เขาหยุดส่งจดหมายถึงครอบครัวของเขาโดยสิ้นเชิง ด้วยอารมณ์ของลูกชาย ศิษยาภิบาลจึงตัดสินใจบอก Vincent พี่ชายของเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลุงเซนต์ทำทุกอย่างที่เขาต้องการในทันที และผู้อำนวยการแกลเลอรี่ได้เรียนรู้ถึงความรักที่ไม่มีความสุขของเสมียนของเขา ตอนนี้เป็นที่ชัดเจนว่าความอึมครึมและความไม่เป็นมิตรต่อลูกค้ามาจากไหน สาเหตุก็ช่วยได้ง่าย เพียงพอที่จะส่ง Vincent ไปปารีส สองหรือสามสัปดาห์ในปารีสที่เป็นเกย์ เมืองแห่งความสุข และทุกอย่างจะถูกลบออกในทันที แผลใจของชายหนุ่มจะหายเร็ว และเขาจะกลายเป็นลูกจ้างที่เป็นแบบอย่างอีกครั้ง

ในเดือนตุลาคม Vincent ไปปารีสที่สำนักงานใหญ่ของ Goupil และ Anna น้องสาวของเขากลับไปที่ Helpourt Vincent อยู่คนเดียวในปารีส ในเมืองแห่งความสุข เมืองแห่งศิลปะแห่งนี้ ในร้านเสริมสวยของช่างภาพ Nadar ศิลปินหลายคนของผู้ที่ถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง - Cézanne, Monet, Renoir, Degas ... ปีนี้จัดแสดงนิทรรศการกลุ่มแรกของพวกเขา เธอทำให้เกิดพายุแห่งความขุ่นเคือง และเนื่องจากหนึ่งในภาพวาดที่จัดแสดง ซึ่งเป็นของพู่กันของโมเนต์ ถูกเรียกว่า "พระอาทิตย์ขึ้น ความประทับใจ” นักวิจารณ์ที่มีชื่อเสียง Louis Leroy เยาะเย้ยตั้งชื่อศิลปินเหล่านี้ว่าอิมเพรสชั่นนิสต์และชื่อนี้ยังคงอยู่กับพวกเขา

จะเป็นอย่างไร? ที่หอศิลป์บนถนนเซาแธมป์ตัน เขาไม่ได้พยายามที่จะเป็นอดีตเสมียนนางแบบเลย มีที่ไหน! การขายงานแกะสลัก ภาพวาดที่มีรสนิยมน่าสงสัย นั่นไม่ใช่งานฝีมือที่น่าสงสารที่สุดที่คุณคิดหรือ เป็นเพราะความสกปรกของอาชีพที่ Ursula ปฏิเสธเขาหรือไม่? ความรักของพ่อค้าผู้น้อยสำหรับเธอคืออะไร? นี่คือสิ่งที่เออซูล่าต้องคิด เขาดูเหมือนไม่มีสีสำหรับเธอ แท้จริงแล้ว ชีวิตที่เขาดำเนินไปนั้นไม่สำคัญสักเพียงไร แต่จะทำอย่างไร พระเจ้า จะทำอย่างไร? Vincent อ่านพระคัมภีร์อย่างกระตือรือร้น Dickens, Carlyle, Renan ... เขามักจะไปโบสถ์ จะหนีจากสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร วิธีชดใช้ความไม่สำคัญ ชำระตัวเองอย่างไร? Vincent ปรารถนาการเปิดเผยที่จะให้ความกระจ่างแก่เขาและช่วยชีวิตเขา

และวินเซนต์ยังเขียนถึงพี่ชายของเขาด้วยว่า "จงแสวงหาแสงสว่างและอิสรภาพ และอย่าจมดิ่งลงไปในความสกปรกของโลกนี้มากเกินไป" สำหรับตัวของวินเซนต์เอง ความสกปรกของโลกนี้กระจุกตัวอยู่ในแกลเลอรี ซึ่งเขาถูกบังคับให้ต้องเหยียบย่ำทุกเช้า

อาจารย์ Bousso และ Valadon ลูกสะใภ้ของ Adolphe Goupil ผู้ก่อตั้งแกลเลอรีแห่งนี้เมื่อครึ่งศตวรรษก่อน กลายมาเป็นกรรมการของบริษัทหลังจากเขา พวกเขาเป็นเจ้าของร้านค้าสามแห่ง - ที่ Place de l'Opera ที่ 2, ที่ 19, บน Boulevard Montmartre และที่ 9 ที่ rue Chaptal ในร้านสุดท้ายนี้ Vincent เสิร์ฟในห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหรา โคมระย้าคริสตัลระยิบระยับห้อยลงมาจากเพดานส่องโซฟานุ่ม ๆ ซึ่งลูกค้าของสถานประกอบการที่ทันสมัยแห่งนี้ได้พักผ่อนและชื่นชมภาพในกรอบปิดทองอันหรูหราที่แขวนอยู่บนผนัง นี่คือผลงานการวาดอย่างระมัดระวังของเมตรที่มีชื่อเสียงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา - Jean-Jacques Ennet และ Jules Lefebvre, Alexander Cabanel และ Joseph Bonn - ภาพเหมือนอันโอ่อ่า, ภาพเปลือยที่มีคุณธรรม, ฉากฮีโร่เทียม - ภาพวาดหวาน ๆ เลียและทาโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง นี่คือนักแสดงของโลกที่พยายามซ่อนความชั่วร้ายและความยากจนไว้เบื้องหลังรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และความเหมาะสมที่ผิด โลกนี้เองที่ Vincent หวาดกลัวโดยไม่รู้ตัว ในภาพธรรมดาๆ เหล่านี้ เขารู้สึกผิด: ไม่มีวิญญาณอยู่ในภาพ และประสาทที่เปลือยเปล่าของเขาจับความว่างเปล่าอย่างเจ็บปวด ด้วยความกระหายที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยสำหรับความดี หมดแรงด้วยการดิ้นรนเพื่อความสมบูรณ์แบบที่ไม่อาจต้านทานได้ เขาจึงถูกบังคับ เพื่อที่จะไม่ตายจากความหิวโหย ให้ขายขยะที่น่าสังเวชนี้ ไม่สามารถยอมรับชะตากรรมเช่นนี้ได้ เขากำหมัดแน่น

“คุณต้องการอะไร? นี่คือแฟชั่น!" เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของเขาบอกเขา แฟชั่น! ความมั่นใจในตนเองที่โอ้อวด ความโง่เขลาของบรรดาคนอวดดีและคนสวยที่ไปเยี่ยมชมแกลเลอรี ทำให้เขาหงุดหงิดจนสุดขีด Vincent รับใช้พวกเขาด้วยความรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง และบางครั้งก็ตะโกนใส่พวกเขา ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่พอใจกับการรักษานี้ เรียกเขาว่า "บัมพ์กิ้นชาวดัตช์" อีกกรณีหนึ่ง โดยไม่สามารถระงับการระคายเคืองได้ เขาได้โพล่งกับเจ้าของของเขาว่า "การค้าขายผลงานศิลปะเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการโจรกรรมอย่างเป็นระบบ"

แน่นอน อาจารย์ บูสโซและวาลาดอนไม่สามารถพอใจกับปลัดอำเภอที่น่ารังเกียจเช่นนี้ได้ และพวกเขาได้ส่งจดหมายถึงฮอลแลนด์เพื่อบ่นเรื่องวินเซนต์ เขายอมให้ตัวเองคุ้นเคยกับลูกค้าอย่างไม่เหมาะสมโดยสิ้นเชิง Vincent เองก็ไม่พอใจกับบริการของเขาเช่นกัน ในเดือนธันวาคม ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาออกจากปารีสโดยไม่มีใครเตือน และไปฮอลแลนด์เพื่อฉลองคริสต์มาสที่นั่น

พ่อของเขาเปลี่ยนตำบลของเขาอีกครั้ง บัดนี้เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นปุโรหิตในเอทเทน หมู่บ้านเล็กๆ ใกล้เมืองเบรดา การแปลนี้ไม่ได้หมายถึงการโปรโมตแต่อย่างใด ศิษยาภิบาลซึ่งเงินเดือนประจำปีอยู่ที่ประมาณแปดร้อยฟลอริน (แม้แต่วินเซนต์ก็ทำเงินได้มากกว่าหนึ่งพัน) ยังยากจนอยู่และดังนั้นจึงมีความฝันอันแรงกล้าที่จะรักษาอนาคตของลูกๆ ของเขาไว้ นี่เป็นข้อกังวลที่ร้ายแรงที่สุดของเขา แต่ไม่กังวลเรื่องสภาพจิตใจที่หดหู่ใจซึ่งวินเซนต์ปรากฏตัวต่อเขา เขายังสับสนกับความสูงส่งอันลึกลับของลูกชายของเขา - ในจดหมายฉบับหนึ่งที่เขาเตือนให้เขานึกถึงเรื่องราวของอิคารัสผู้ต้องการบินไปในดวงอาทิตย์และสูญเสียปีก และลูกชายอีกคน - ธีโอ - เขาเขียนว่า:“ Vincent น่าจะมีความสุข! บางทีมันอาจจะดีกว่าที่จะหาบริการอื่นให้เขา "

การขาดงานของ Vincent นั้นสั้น ในช่วงต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2419 เขากลับไปปารีส เสมียน Bousso และ Valadon ทักทายเสมียนอย่างเย็นชาซึ่งสำหรับความผิดทั้งหมดของเขาพวกเขายังคงคิดถึงเขามากในช่วงก่อนวันคริสต์มาส “เมื่อฉันได้พบกับคุณบุสโซอีกครั้ง ฉันถามเขาว่าเขาตกลงหรือไม่ว่าฉันควรจะอยู่ในบริการของบริษัทในปีนี้ โดยเชื่อว่าเขาไม่สามารถตำหนิติเตียนฉันได้ในเรื่องที่ร้ายแรงเป็นพิเศษ” Vincent เขียนถึงธีโอที่เขินอาย เมื่อวันที่ 10 มกราคม “อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง ทุกอย่างแตกต่างกัน และด้วยความเข้าใจที่ฉันพูด เขาบอกว่าฉันสามารถถือว่าตัวเองถูกไล่ออกตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน และขอบคุณสุภาพบุรุษของเจ้าของบริษัทสำหรับทุกสิ่งที่ฉันเรียนรู้จากพวกเขาในการบริการของพวกเขา”

วินเซนต์รู้สึกสับสน เขาเกลียดงานของเขาและพฤติกรรมของเขาในการให้บริการไม่ช้าก็เร็วต้องพัวพันกับเจ้าของ แต่เมื่อสองปีที่แล้วเขาไม่เข้าใจความตลกขบขันและความเหลื่อมล้ำของเออซูล่าดังนั้นที่นี่เช่นกันเขาไม่รู้ว่าจะคาดการณ์ผลที่ตามมาของการแสดงตลกของเขาได้อย่างไร - การเลิกจ้างทำให้เขาประหลาดใจและไม่พอใจ พลาดอีกแล้ว! หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรักที่ไม่รู้จักหมดสิ้นต่อผู้คน แต่เธอ ความรักนี้ ที่แยกเขาออกจากผู้คน ทำให้เขากลายเป็นคนนอกคอก เขาถูกปฏิเสธอีกครั้ง วันที่ 1 เมษายน เขาจะออกจากราชการที่หอศิลป์และเดินทางอย่างโดดเดี่ยวบนเส้นทางที่มีหนาม เขาควรไปที่ไหน? ไปภูมิภาคไหน? เขาไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างไร ซึ่งเขาคลำเหมือนคนตาบอด ทั้งหมดที่เขารู้คือเขาถูกโยนลงทะเล และเขารู้สึกเลือนลางว่าไม่มีที่ใดในโลกสำหรับเขา และเขาก็รู้ - นี่คือสิ่งสำคัญ! - ซึ่งนำไปสู่ความสิ้นหวังของคนที่รัก ลุงเซนต์โกรธจัดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ประกาศว่าเขาจะไม่สนใจหลานชายที่น่ารังเกียจของเขาอีกต่อไป จะพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าครอบครัวได้อย่างไร? Vincent คิดถึงพ่อของเขา ดูเหมือนว่าเส้นทางชีวิตที่ตรงไปตรงมาและตรงไปตรงมาของเขาควรเป็นแบบอย่างสำหรับลูกชายของเขา ด้วยความวิตกกังวล เขาคิดว่าเขาหลอกลวงความคาดหวังของพ่อ ทำให้เขาเศร้าใจเป็นพักๆ ในขณะที่พี่ชายและน้องสาวของเขามักจะเอาใจชายชราเท่านั้น ความเจ็บปวดที่ลึกล้ำและเหลือทนของความสำนึกผิดได้เกาะกุมจิตวิญญาณของ Vincent เขาไม่มีกำลังที่จะแบกกางเขน - ภาระนั้นหนักเกินไป! - และด้วยเหตุนี้เขาจึงประณามตัวเองถึงความอ่อนแอ เออซูล่าปฏิเสธเขาและหลังจากเธอเขาถูกคนทั้งโลกปฏิเสธ เขาเป็นคนแบบไหน? อะไรซ่อนอยู่ในตัวเขาที่ขัดขวางไม่ให้เขาทำทุกสิ่ง แม้แต่ความสำเร็จที่เจียมเนื้อเจียมตัวที่สุด ทั้งหมดที่เขากล้าเรียกร้อง? ความลับอะไร เขาควรชดใช้เพื่ออะไร? ในไม่ช้าเขาก็จะอายุยี่สิบสามปี และเขาก็เป็นเหมือนเด็กผู้ชายที่ถูกโยนจากทางด้านข้างเป็นระยะๆ และเขาไม่สามารถหาจุดศูนย์กลางได้ ราวกับว่าต้องพบกับความล้มเหลวนิรันดร์! จะทำอย่างไรตอนนี้โอ้พระเจ้า!

พ่อของเขาแนะนำให้เขาหางานทำในพิพิธภัณฑ์ และธีโอบอกว่ามันคุ้มค่าที่จะวาดภาพเพราะวินเซนต์มีความกระหายและความสามารถที่ปฏิเสธไม่ได้สำหรับธุรกิจนี้ ไม่ ไม่ วินเซนต์ยืนกรานอย่างดื้อรั้น เขาจะไม่เป็นศิลปิน เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมองหาวิธีง่ายๆ เขาต้องชดใช้ความผิดพิสูจน์ว่าเขาไม่คู่ควรกับการดูแลที่ญาติของเขาล้อมรอบเขา เมื่อปฏิเสธ Vincent สังคมก็โทษเขา เขาต้องเอาชนะตัวเองและปฏิรูปเพื่อให้ได้ความเคารพนับถือจากเพื่อนร่วมชาติในที่สุด ความล้มเหลวทั้งหมดเป็นผลมาจากความไร้ความสามารถและไม่สำคัญของเขา เขาจะแก้ไขตัวเองกลายเป็นคนละคน พระองค์จะทรงชดใช้บาปของเขา ระหว่างนี้เขากำลังมองหางาน เรียนโฆษณาในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ เลิกจ้างกับนายจ้าง

ในช่วงต้นเดือนเมษายน Vincent มาถึง Etten เขาจะไม่อยู่ที่นี่นาน ฉันไม่อยากเป็นภาระของพ่อแม่ที่เป็นห่วงเขามานานเกินไป ความอ่อนโยนของแม่และพ่อของเขาซึ่งกระตุ้นด้วยจดหมายที่น่าตกใจของธีโอไม่ได้ทำให้อ่อนลง แต่ในทางกลับกัน ตอกย้ำความขมขื่นของการกลับใจในจิตวิญญาณของเขามากยิ่งขึ้น Vincent ติดต่อบาทหลวง Stokes ผู้อำนวยการโรงเรียนประจำ Rams Gate และเขาได้เสนอตำแหน่งการสอนที่สถาบันของเขา Vincent จะกลับไปอังกฤษในไม่ช้า

เขาจะพบเออซูล่าและใครจะรู้ ...

วินเซนต์เตรียมพร้อมที่จะไป

วันที่ 16 เมษายน วินเซนต์เดินทางถึงแรมส์เกต เมืองเล็กๆ ริมอ่าวเทมส์ในเคนต์ ในจดหมายที่ส่งถึงครอบครัว เขาเล่าถึงการเดินทางของเขา โดยอธิบายว่าชายผู้รักธรรมชาติอย่างสุดซึ้งและมีสีสันที่ละเอียดอ่อนอย่างผิดปกติ: “เช้าวันรุ่งขึ้น ตอนที่ฉันเดินทางโดยรถไฟจาก Harwich ไปลอนดอน ฉันรู้สึกดีมาก ให้ฉันได้มองดูทุ่งสีดำในยามพลบค่ำ จนถึงที่ราบสีเขียวที่ลูกแกะและแกะเล็มหญ้า ที่นี่และที่นั่น - พุ่มไม้หนาม ต้นโอ๊กสูงที่มีกิ่งก้านสีเข้มและลำต้นที่ปกคลุมไปด้วยมอสสีเทา ท้องฟ้าสีครามก่อนรุ่งสาง ซึ่งดาวหลายดวงยังคงส่องแสงระยิบระยับ และบนขอบฟ้า เป็นกลุ่มเมฆสีเทา ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงนกร้อง ขณะที่เราเข้าใกล้สถานีสุดท้ายก่อนถึงลอนดอน ดวงอาทิตย์ก็ออกมา ฝูงเมฆสีเทากระจัดกระจาย และฉันเห็นดวงอาทิตย์ ช่างเป็นดวงอาทิตย์อีสเตอร์ที่เรียบง่าย ใหญ่โตอย่างแท้จริง น้ำค้างและน้ำค้างแข็งในยามค่ำคืนส่องประกายบนพื้นหญ้า ... รถไฟไป Ramsgate ไม่ได้ออกไปจนกระทั่งสองชั่วโมงหลังจากที่ฉันมาถึงลอนดอน นั่นคืออีกประมาณสี่ชั่วโมงครึ่ง ถนนสวยงาม - เราผ่าน เช่น พื้นที่ที่เป็นเนินเขา ใต้เนินเขาปกคลุมไปด้วยหญ้าอ่อน และด้านบนเป็นสวนต้นโอ๊ก ทั้งหมดนี้คล้ายกับเนินทรายของเรา ระหว่างเนินเขาตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านที่มีโบสถ์ที่โอบล้อมด้วยไม้เลื้อย เช่นเดียวกับบ้านหลายหลัง สวนต่างๆ ก็บานสะพรั่ง และทั่วทุกแห่งก็มีท้องฟ้าสีฟ้าที่มีเมฆสีเทาและสีขาวหายาก "

Vincent เป็นผู้ชื่นชมและชื่นชอบของดิคเก้นส์ เมื่อเข้าไปในบ้านเก่าที่ปูด้วยแผ่นอิฐสีเทาที่โอบล้อมด้วยดอกกุหลาบและวิสทีเรีย ที่ซึ่งสาธุคุณสโตกส์เป็นโรงเรียนของเขา เขารู้สึกเหมือนกับเดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยในทันที ดูเหมือนว่าสภาพแวดล้อมใหม่สำหรับเขาจะถูกย้ายมาที่นี่จากนวนิยายของดิคเก้นส์ สาธุคุณสโตกส์มีรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาด แต่งกายด้วยชุดสีดำ ผอมแห้ง ผอมอยู่เสมอ ใบหน้ามีรอยย่นลึก สีน้ำตาลเข้ม ราวกับรูปเคารพไม้เก่าๆ ตามที่วินเซนต์อธิบาย เขาดูเหมือนผีในตอนเย็น เป็นสมาชิกของนักบวชชาวอังกฤษผู้น้อย เขาถูกมัดด้วยเงินอย่างมาก ด้วยความยากลำบากอย่างมาก เขาจึงเลี้ยงดูครอบครัวที่ใหญ่เกินควร ซึ่งภรรยาที่เงียบและไม่เด่นของเขาดูแลอยู่ หอพักของเขากำลังอิดโรย เขาสามารถรับสมัครนักเรียนเฉพาะในย่านที่ยากจนที่สุดในลอนดอนเท่านั้น โดยรวมแล้ว สาธุคุณสโตกส์มีผู้ฝึกหัดยี่สิบสี่คนตั้งแต่อายุสิบถึงสิบสี่ปี - เด็กชายผิวซีดและผอมแห้ง ทำให้หมวก กางเกงขายาว และเสื้อแจ็กเก็ตรัดรูปของพวกเขาดูน่าสมเพชยิ่งกว่าเดิม ในเย็นวันอาทิตย์ Vincent ดูเศร้าขณะที่พวกเขาเล่นกระโดดข้ามในชุดเดียวกัน

สาวกของสาธุคุณสโตกส์เข้านอนตอนแปดโมงเช้าและตื่นนอนตอนหกโมงเช้า Vincent ไม่ได้ค้างคืนที่หอพัก เขาได้รับห้องพักในบ้านหลังถัดไป ซึ่งครูสอนพิเศษคนที่สองของลูกศิษย์ของ Stokes ซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดปีอาศัยอยู่ “เป็นการดีที่จะตกแต่งผนังด้วยภาพพิมพ์สองสามภาพ” Vincent เขียน

Vincent มองดูภูมิทัศน์โดยรอบด้วยความสนใจ - ต้นซีดาร์ในสวน เขื่อนหินของท่าเรือ ฉันใส่ก้านสาหร่ายลงในจดหมาย บางครั้งเขาก็พาสัตว์เลี้ยงไปเดินเล่นที่ชายทะเล เด็กที่อ่อนแอเหล่านี้ไม่มีเสียงดัง ยิ่งกว่านั้น การขาดสารอาหารอย่างต่อเนื่องยังขัดขวางการพัฒนาจิตใจของพวกเขา และหากพวกเขาไม่ทำให้เขาพอใจในความสำเร็จ ซึ่งครูทุกคนมีสิทธิที่จะพึ่งพาได้ พวกเขาก็ไม่รบกวนเขาในทางใดทางหนึ่ง นอกจากนี้ ในความเป็นจริง Vincent ไม่ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นครูที่เก่งกาจ เขาสอน "ทุกสิ่งเล็กน้อย" - ภาษาฝรั่งเศสและเยอรมัน, คณิตศาสตร์, การสะกดคำ ... แต่ด้วยความเต็มใจมากขึ้นเมื่อมองไปที่ท้องทะเลที่แผ่ออกไปนอกหน้าต่างเขาทำให้นักเรียนของเขามีเรื่องราวเกี่ยวกับ Brabant และความงามของมัน เขายังให้ความบันเทิงกับพวกเขาด้วยนิทานของ Andersen โดยเล่าถึงนวนิยายของ Erkman-Shatrian อยู่มาวันหนึ่งเขาเดินขึ้นจากแรมส์เกตไปลอนดอนและแวะที่แคนเทอร์เบอรีซึ่งเขาชื่นชมอาสนวิหาร แล้วค้างคืนที่ริมสระ

ไม่ใช่ว่าเมื่อ Vincent รู้ว่า Ursula แต่งงานแล้ว? เขาไม่เคยเอ่ยชื่อเธออีกเลย ไม่พูดถึงเธอเลย ความรักของเขาถูกเหยียบย่ำอย่างไม่อาจเพิกถอนได้ เขาจะไม่มีวันได้เห็น "นางฟ้า" ของเขาอีกเลย

ชีวิตของเขาช่างยากจนและไร้สีสันสักเพียงใด! เขาหายใจไม่ออกในโลกใบเล็กที่ตอนนี้กลายเป็นโลกของเขา ระเบียบวินัยของโรงเรียนชั้นเรียนปกติและน่าเบื่อในเวลาเดียวกันนั้นขัดต่อธรรมชาติของเขากดขี่เขา เขาทนทุกข์ทรมานไม่คุ้นเคยกับกิจวัตรที่แม่นยำเพียงครั้งเดียวและตลอดไป แต่เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะกบฏ เต็มไปด้วยความเศร้าโศก เขาดื่มด่ำกับภาพสะท้อนอันมืดมนในหมอกอังกฤษ หมอกนี้ ที่ซึ่งโลกรอบๆ ดูเหมือนจะละลายไป กระตุ้นให้เขาจดจ่อกับตัวเองที่บาดแผลในใจ คำปราศรัยงานศพของ Bossuet ตอนนี้วางอยู่บนโต๊ะข้างพระคัมภีร์ น้ำเสียงของจดหมายถึงธีโอค่อยๆ เปลี่ยนไป เขาประสบกับความพ่ายแพ้หลายครั้งในชีวิตของเขาที่จะพูดกับพี่ชายของเขาในฐานะพี่กับน้อง ฝนตก. ไฟถนนปกคลุมทางเท้าที่เปียกด้วยสีเงิน เมื่อนักเรียนส่งเสียงดังเกินไป พวกเขาจะถูกทิ้งไว้โดยไม่มีขนมปังหรือชาและส่งเข้านอน “ถ้าคุณเห็นพวกเขาในช่วงเวลาเหล่านี้ ให้เกาะติดกับหน้าต่าง ภาพที่น่าเศร้าจะปรากฏขึ้นต่อหน้าคุณ” ตัวตนของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าของแผ่นดินนี้ มันคล้ายกับอารมณ์ของความคิดของเขาเองและปลุกความเศร้าโศกที่คลุมเครือในตัวเขา ดิคเก้นส์และจอร์จ เอลเลียตด้วยงานเขียนที่ละเอียดอ่อนของพวกเขา ชักชวนให้เขายอมรับความอ่อนน้อมถ่อมตนที่ไร้ความสุขนี้ ซึ่งความกตัญญูผสานเข้ากับความเห็นอกเห็นใจ “ในเมืองใหญ่” Vincent เขียนถึงพี่ชายของเขา “ผู้คนมีแรงดึงดูดอย่างมากต่อศาสนา คนงานและพนักงานจำนวนมากกำลังประสบกับช่วงเวลาพิเศษของเยาวชนที่สวยงามและเคร่งศาสนา ปล่อยให้ชีวิตในเมืองบางครั้งปล้นคนในยามเช้าตรู่ แต่ความอยากในเรื่องราวที่เก่าแก่และเก่าแก่นั้นยังคงอยู่ - ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่มีอยู่ในจิตวิญญาณจะยังคงอยู่ในจิตวิญญาณ เอลเลียตอธิบายไว้ในหนังสือของเขาเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตของคนงานในโรงงานที่ได้รวมตัวกันในชุมชนเล็กๆ และเฉลิมฉลองการบริการในโบสถ์บนลานโคมไฟ และสิ่งนี้ เธอกล่าวว่า "อาณาจักรของพระเจ้าบนดิน - ไม่มาก ไม่น้อย" . .. เมื่อคนหลายพันคนรีบไปเทศน์ นับเป็นภาพที่น่าประทับใจจริงๆ "

ในเดือนมิถุนายน สาธุคุณสโตกส์ได้ย้ายสถานประกอบการของเขาไปยังชานเมืองลอนดอนแห่งหนึ่ง - ไอล์เวิร์ธ บนแม่น้ำเทมส์ เขาวางแผนที่จะจัดระเบียบใหม่และขยายโรงเรียน เห็นได้ชัดว่าแผนนี้ขับเคลื่อนด้วยการพิจารณาทางการเงิน ค่าเล่าเรียนรายเดือนช้า ผู้ปกครองของนักเรียนของเขามักจะเป็นช่างฝีมือที่ถ่อมตน เจ้าของร้านเล็กๆ ซุกตัวอยู่ในย่านที่ยากจนของ Whitechapel และอาศัยอยู่ภายใต้แอกของหนี้สินและเงินสมทบที่ค้างชำระตลอดไป พวกเขาส่งลูกไปโรงเรียนของ Reverend Stokes เพราะพวกเขาไม่มีหนทางที่จะส่งพวกเขาไปที่อื่น เมื่อพวกเขาหยุดจ่ายค่าเล่าเรียน สาธุคุณสโตกส์พยายามเกลี้ยกล่อมพวกเขา ถ้าเขาไม่สามารถหาเงินจากพวกเขาได้เขาไม่ต้องการเสียเวลาและความพยายามขับไล่ลูก ๆ ของพวกเขาออกจากโรงเรียน คราวนี้ สาธุคุณสโตกส์เป็นหน้าที่ที่ไม่ต้องขอบคุณมากในการเลี่ยงพ่อแม่และเก็บค่าเล่าเรียน

วินเซนต์จึงไปลอนดอน เมื่อเก็บเงินที่ค้างชำระ เขาเดินไปทีละถนนตามถนนที่สกปรกของอีสต์เอนด์ พร้อมกับบ้านสีเทาเตี้ยๆ จำนวนมาก และเครือข่ายตรอกซอกซอยที่รกร้างหนาแน่นซึ่งทอดยาวไปตามท่าเรือและเป็นที่อยู่อาศัยของคนยากไร้และยากจนข้นแค้น Vincent รู้เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของย่านที่ยากจนเหล่านี้จากหนังสือ - ท้ายที่สุดแล้ว Dickens อธิบายรายละเอียดเหล่านี้ แต่ภาพที่สดใสของความยากจนของมนุษย์ทำให้เขาตกใจมากกว่าที่นวนิยายวิคตอเรียนทั้งหมดนำมารวมกัน เพราะอารมณ์ขันของหนังสือ บทกวีแห่งความไร้เดียงสาที่ต่ำต้อย เปล่าเลย แต่ปลุกรอยยิ้ม ส่องสว่างความมืดมิดด้วยแสงสีทอง อย่างไรก็ตาม ในชีวิต - อย่างที่มันเป็น ถูกลดขนาดให้เหลือแก่นแท้ที่สุด ปราศจากการปรุงแต่งที่ยืมมาจากคลังแสงแห่งศิลปะ ไม่มีที่สำหรับรอยยิ้ม วินเซนต์เดินต่อไป เขาเคาะที่อยู่อาศัยของผ้าขี้ริ้ว ช่างทำรองเท้า คนขายเนื้อ ซึ่งขายเนื้อในสลัมท้องถิ่นที่ไม่มีใครในลอนดอนต้องการซื้อ ผู้ปกครองหลายคนต้องจ่ายเงินค่าเล่าเรียนที่ค้างชำระโดยไม่ทันตั้งตัวเมื่อมาถึง สาธุคุณสโตกส์แสดงความยินดีกับความสำเร็จของเขา

แต่การแสดงความยินดีก็จบลงในไม่ช้า

Vincent ไปหาพ่อแม่ของเขา - ลูกหนี้เป็นครั้งที่สองและไม่ได้นำ Stokes มาแม้แต่ชิลลิงเดียว เขาไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับงานมอบหมายของเขามากเท่ากับเรื่องความยากจนที่เห็นได้ชัดทุกหนทุกแห่ง เขารับฟังเรื่องราวอย่างเห็นอกเห็นใจ ทั้งเรื่องจริงหรือเรื่องสมมติ ซึ่งลูกหนี้ของสาธุคุณสโตกส์พยายามจะแตะต้องเขาเพื่อชะลอการชำระเงิน พวกเขาประสบความสำเร็จโดยไม่ยาก วินเซนต์พร้อมที่จะฟังเรื่องราวใด ๆ - ความสงสารที่ไร้ขอบเขตสำหรับผู้คนที่ส่องประกายในใจเมื่อเห็นสลัมที่ไม่มีอากาศ ไม่มีน้ำ มีกลิ่นเหม็นอับ ไร้แสงไฟ ซึ่งในแต่ละห้องมีคนเจ็ดหรือแปดคนแต่งตัวด้วยผ้าขี้ริ้ว . เขาเห็นกองขี้เลอะเทอะเกลื่อนถนนที่สกปรก เขาไม่รีบออกจากส้วมซึมนี้ “แล้วตอนนี้คุณเชื่อเรื่องนรกไหม” Carlyle ถาม Emerson หลังจากพาเขาไปที่ Whitechapel โรค ความมึนเมา ความมึนเมาครอบงำสูงสุดในที่พำนักของความชั่วร้ายทั้งปวงนี้ ที่ซึ่งสังคมวิกตอเรียได้ผลักดันคนนอกคอก ในถ้ำที่มีกลิ่นเหม็น นั่นคือ ตึกแถว บนฟาง บนกองเศษผ้า คนที่โชคร้ายนอนหลับ ซึ่งไม่มีแม้แต่สามชิลลิงต่อสัปดาห์เพื่อเช่าห้องใต้ดิน คนจนถูกต้อนเข้าเรือนจำที่มืดมนเกินจินตนาการ “การประดิษฐ์นี้เรียบง่ายพอๆ กับการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ทั้งหมด” คาร์ไลล์กล่าวอย่างประชดประชัน - เพียงพอที่จะสร้างสภาพที่เลวร้ายสำหรับคนจนและพวกเขาจะเริ่มตาย ความลับนี้เป็นที่รู้จักของนักจับหนูทุกคน การใช้สารหนูควรได้รับการยอมรับว่าเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น "

พระเจ้า! พระเจ้า! คุณทำอะไรกับผู้ชายคนนั้น! วินเซนต์เดินต่อไป การทรมานของคนเหล่านี้คล้ายกับการทรมานของเขาเอง เขารู้สึกถึงความเศร้าโศกของพวกเขาด้วยความเฉียบแหลมราวกับว่ามันเกิดขึ้นกับเขา ไม่ใช่ความเห็นอกเห็นใจที่ดึงดูดเขาให้มาหาพวกเขา แต่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าอย่างนับไม่ถ้วน ในความหมายที่แท้จริงและสมบูรณ์ที่สุดของคำว่า ความรักอันยิ่งใหญ่ที่กวาดไปทั่วและเขย่าตัวเขาทั้งหมด อับอายขายหน้าไม่มีความสุขเขาอยู่กับคนที่โชคร้ายที่สุดและเสียเปรียบที่สุด เขาจำพ่อของเขาได้ นึกถึงคำที่เขามักพูดซ้ำๆ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่: "เราบอกความจริงแก่ท่านว่าคนเก็บภาษีและหญิงแพศยานำหน้าท่านไปสู่อาณาจักรของพระเจ้า" แนวของข่าวประเสริฐฟังดูเหมือนระฆังเตือนในจิตวิญญาณที่มีปัญหาของเขา กระหายการไถ่ถอน วิญญาณที่ทุกข์ทรมานนี้ตอบสนองต่อปรากฏการณ์ชีวิตใด ๆ ทันทีพร้อมที่จะเห็นอกเห็นใจผู้คนและการกระทำอย่างไม่เห็นแก่ตัวรู้รักเดียว ทุกคนปฏิเสธความรักของวินเซนต์ เขาจะนำเธอเป็นของขวัญให้กับผู้โชคร้ายเหล่านี้ซึ่งเขาถูกดึงดูดโดยโชคชะตาร่วมกัน - ความยากจนและหลายครั้งที่เขาปฏิเสธความรักและศรัทธาทางศาสนา พระองค์จะทรงนำถ้อยคำแห่งความหวังมาให้พวกเขา จะเดินตามรอยพ่อ

เมื่อกลับมาที่ไอล์เวิร์ธเพื่อพบสาธุคุณสโตกส์ ผู้ซึ่งรอคอยการมาถึงของเขาอย่างใจจดใจจ่อ วินเซนต์ภายใต้อิทธิพลของความเศร้าโศกที่เขาได้เห็น บอกศิษยาภิบาลเกี่ยวกับการเดินทางอันน่าสลดใจของเขาผ่านไวท์แชปเพิล แต่บาทหลวงสโตกส์คิดเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น - เงิน ได้เงินมาเท่าไหร่? Vincent เริ่มพูดถึงความเศร้าโศกของครอบครัวที่เขาไปเยี่ยม แค่คิดว่าคนเหล่านี้ไม่มีความสุขเพียงใด! แต่สาธุคุณสโตกส์ขัดจังหวะเขาตลอดเวลา แล้วเงินที่วินเซนต์เอาเงินไปเท่าไหร่? ชีวิตที่เลวร้ายสำหรับคนเหล่านี้ปัญหาเช่นนี้ .. พระเจ้าพระเจ้าคุณทำอะไรกับผู้ชายคนหนึ่ง! แต่ศิษยาภิบาลยังคงพูดซ้ำตัวเอง: และเงิน เงินอยู่ที่ไหน? แต่วินเซนต์ไม่ได้นำอะไรเลย เป็นไปได้ไหมที่จะเรียกร้องเงินจากคนโชคร้ายเหล่านี้? เขากลับมาโดยไม่มีเงินได้อย่างไร? สาธุคุณ Stokes อยู่ข้างตัวเขาเอง ก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจะไล่ครูไร้ค่าคนนี้ออกไปทันที

สำคัญแค่ไหนที่โดนไล่ออก! ต่อจากนี้ไป วินเซนต์ ทั้งร่างกายและจิตใจ จะเป็นของความรักครั้งใหม่ของเขา เป็นศิลปินตามที่ธีโอแนะนำเขา? แต่วินเซนต์ถูกทรมานอย่างสุดความสามารถด้วยความสำนึกผิดที่จะทำตามรสนิยมและความโน้มเอียงของเขาเองเท่านั้น “ฉันไม่อยากเป็นลูกชายที่อับอาย” เขากระซิบเบาๆ กับตัวเอง เขาต้องชดใช้ความผิดของเขา ได้รับการลงโทษสำหรับความเศร้าโศกที่เขาทำกับพ่อของเขา แต่จะเป็นการไถ่ถอนที่ดีที่สุดไม่ใช่หรือหากเขาเดินตามรอยพ่อของเขา? วินเซนต์คิดที่จะเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐมานานแล้ว มีโรงเรียนอื่นในไอล์เวิร์ธ นำโดยบาทหลวงเมธอดิสต์ชื่อโจนส์ Vincent เสนอบริการของเขาและเขาก็รับเขาเข้ารับราชการ เช่นเดียวกับในโรงเรียนสโตกส์ เขาต้องทำงานกับนักเรียน แต่สิ่งสำคัญคือต้องช่วยศิษยาภิบาลในระหว่างการรับใช้ในโบสถ์ เป็นเหมือนผู้ช่วยนักเทศน์ วินเซนต์มีความสุข ความฝันของเขาเป็นจริง

เขากระโจนเข้าสู่งานอย่างร้อนรน เขาแต่งบทเทศน์ทีละคน ซึ่งบางครั้งดูคล้ายกับคำอธิบายของพระวรสารที่มีความยาวอย่างน่าประหลาดใจในรูปภาพใดภาพหนึ่ง เขามีข้อพิพาททางศาสนศาสตร์ไม่รู้จบกับโจนส์ ศึกษาบทสวด ในไม่ช้าเขาก็เริ่มเทศน์เทศน์ด้วยตัวเอง เขาสั่งสอนพระกิตติคุณในย่านชานเมืองลอนดอนหลายแห่ง - ใน Petersham, Turnham Green และอื่น ๆ

Vincent ไม่สามารถอวดถึงคารมคมคายได้ เขาไม่เคยกล่าวสุนทรพจน์ในที่สาธารณะมาก่อนและไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ และเขาก็พูดภาษาอังกฤษได้ไม่คล่องนัก แต่วินเซนต์ยังคงพูดต่อไป พยายามเอาชนะข้อบกพร่องของตัวเอง โดยพิจารณาว่าเป็นเพียงการทดสอบอีกครั้งที่ส่งถึงเขาเพื่อความถ่อมตนมากขึ้น เขาไม่ได้ละเว้นตัวเอง เขาใช้เวลาว่างในโบสถ์ - คาทอลิก โปรเตสแตนต์และธรรมศาลา - โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่าง ปรารถนาพระวจนะของพระเจ้าองค์เดียวไม่ว่าจะสวมใส่ในรูปแบบใด ความแตกต่างเหล่านี้ - ผลจากความอ่อนแอของมนุษย์ที่จะรู้ความจริงอันแท้จริง - ไม่สามารถสั่นคลอนศรัทธาของเขาได้ “ทิ้งทุกสิ่งและตามเรามา” พระคริสต์ตรัส และอีกครั้ง: "และทุกคนที่ออกจากบ้านหรือพี่น้องหรือน้องสาวหรือพ่อหรือแม่หรือภรรยาหรือลูกหรือที่ดินเพื่อเห็นแก่นามของเราจะได้รับชีวิตร้อยเท่าและได้รับชีวิตนิรันดร์" วันหนึ่งวินเซนต์โยนนาฬิกาและถุงมือทองคำของเขาลงในแก้วของโบสถ์ เขาตกแต่งผนังห้องเล็กๆ ของเขาด้วยการแกะสลักตามจิตวิญญาณของงานอดิเรกใหม่ นั่นคือ "วันศุกร์ประเสริฐ" และถัดจาก "การกลับมาของบุตรน้อยหลงหาย", "พระคริสต์ผู้ปลอบโยน" และ "ภรรยาศักดิ์สิทธิ์ที่ติดตามสุสานศักดิ์สิทธิ์ ."

วินเซนต์เทศน์สอนของพระคริสต์: "ความสุขมีแก่ผู้ที่ร้องไห้ เพราะพวกเขาจะได้รับการปลอบโยน" เขาโน้มน้าวคนงานในลอนดอนว่าความเศร้าโศกดีกว่าความยินดี ทุกข์ย่อมดีกว่าสุข หลังจากอ่านคำอธิบายที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนในพื้นที่ถ่านหินจากดิคเก้นแล้ว เขาได้จุดไฟฝันที่จะนำพระวจนะของพระเจ้าไปยังคนงานเหมือง เพื่อเปิดเผยให้พวกเขาเห็นว่าหลังจากความมืดมิดมาถึงแสงสว่าง: โพสต์เทเนบราส ลักซ์ แต่เขาได้รับแจ้งว่าการเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐในอ่างถ่านหินนั้นเป็นไปได้ก็ต่อเมื่ออายุครบยี่สิบห้าปีเท่านั้น

วินเซนต์ไม่ได้ละเว้นความเข้มแข็งของเขา กินไม่ดีและรีบร้อนอยู่เสมอ ใช้เวลาหลายวันในการอธิษฐานและที่ทำงาน และในท้ายที่สุด ทนไม่ไหวก็ล้มป่วย เขายอมรับโรคนี้อย่างกระตือรือร้น โดยพิจารณาเช่นเดียวกับปาสกาลว่ามันคือ "สภาพธรรมชาติของมนุษย์" ทุกข์ย่อมดีกว่าสุข “ การป่วยโดยรู้ว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าสนับสนุนคุณและหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเราด้วยแรงบันดาลใจและความคิดใหม่ ๆ ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้เมื่อเราแข็งแรง รู้สึกว่าในวันเจ็บป่วยศรัทธาของคุณเปล่งประกายและแข็งแกร่งขึ้น - จริงๆ มันก็ไม่ได้แย่เลย” - เขาเขียน “สิ่งที่เราไม่สามารถเข้าถึงได้เมื่อเราแข็งแรง” - สัญชาตญาณบอก Vincent ว่าผู้ที่มุ่งมั่นเพื่อความสูงของจิตวิญญาณไม่ควรกลัววิธีที่ผิดปกติมอบตัวเองทั้งหมดให้กับสาเหตุที่เลือก

แต่เขาหมดแรง และแล้วคริสต์มาสก็มาถึงอีกครั้ง Vincent กลับไปฮอลแลนด์

ศิษยาภิบาล Ettenan ผู้รับใช้ที่สงบสุขแห่งความจริงของพระเจ้า รู้สึกตกใจมากเมื่อเห็นลูกชายของเขากลับมาจากอังกฤษในชุดของเควกเกอร์ ซีด ผอมแห้ง มีดวงตาที่แผดเผาอย่างเผ็ดร้อน ถูกครอบงำด้วยเวทย์มนต์รุนแรงที่แสดงออกในทุกอิริยาบถของเขา ทุกคำ สำหรับผู้อยู่อาศัยในบ้านที่ยากจนและยังเป็นบ้านเมืองอย่างแท้จริง ความรักอันเร่าร้อนของ Vincent ที่มีต่อผู้ถูกขับไล่ออกจาก Whitechapel และพี่น้องของพวกเขานั้นดูน่าหัวเราะเป็นอย่างน้อย ความรักที่มีต่อพระเจ้าซึ่งแสดงออกอย่างรุนแรงเกินไป ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้คน การลอกเลียนแบบพระบัญญัติของพระกิตติคุณอย่างแท้จริง ทำให้เกิดความกังวลอย่างลึกซึ้งในตัวศิษยาภิบาล

แม้ว่าลุงเซนต์จะประกาศว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะดูแลหลานชายของเขาอีกต่อไป แต่ในความสิ้นหวัง ศิษยาภิบาลหันไปหาเขาอีกครั้งเพื่อขอความช่วยเหลือ Vincent ไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปอังกฤษ โกรธและพูดซ้ำๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยว่าวินเซนต์จะไม่มีอะไรดีขึ้นมา ลุงเซนต์ยอมจำนนต่อการยืนกรานของพี่ชายของเขา ถ้า Vincent ต้องการ เขาสามารถทำงานเป็นเสมียนในร้านหนังสือ Braham และ Bluesse ใน Dordrecht ได้ เขาเล่นซอกับหนังสือมากในชีวิตของเขาจนต้องคิดว่าเขาจะต้องขึ้นศาลและไม่ต้องพยายามเป็นพิเศษในส่วนของเขา

วินเซนต์เห็นด้วย ไม่ใช่เพราะเขามั่นใจในคำตำหนิของคนที่เขารัก ไม่เลย. เขาแค่คิดว่าการเป็นเสมียนในร้านหนังสือ เขาจะสามารถเติมเต็มช่องว่างในความรู้ของเขา อ่านหนังสือมากมาย ทั้งด้านปรัชญาและเทววิทยา ซึ่งเขาไม่สามารถซื้อได้

Dordrecht ซึ่งเป็นท่าเรือริมแม่น้ำขนาดเล็กที่พลุกพล่านอย่างมากในเซาท์ฮอลแลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์ ตามพงศาวดารทางประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 9 มันถูกบุกโจมตีโดยชาวนอร์มัน Hrote Kerk อันโด่งดังรอบหอคอยสไตล์โกธิกทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มียอดมงกุฎ ริมเขื่อนกันคลื่นและท่าเรือ บ้านที่ร่าเริงพร้อมหลังคาสีแดงและสันเขาที่ขาดไม่ได้ที่ด้านบนได้รับการหล่อขึ้นรูป ศิลปินหลายคนเกิดภายใต้ท้องฟ้าสดใสของ Dordrecht และในหมู่พวกเขา Cape ก็เป็นหนึ่งในจิตรกรที่เก่งที่สุดของโรงเรียนดัตช์

การปรากฏตัวของ Vincent ซึ่งไม่ต้องการแยกเสื้อผ้าของ Quaker กลายเป็นความรู้สึกใน Dordrecht ความรักที่เขามีต่อผู้คนนั้นไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับความรักที่เขามีต่อพระเจ้า อย่างที่ความรักที่เขามีต่อเออร์ซูลาเคยเป็น แต่ยิ่งความรักนี้แข็งแกร่งขึ้น ความหลงใหลของเขาที่เข้มงวดมากขึ้นเท่าใด ช่องว่างก็เปิดกว้างขึ้น แยกเขาออกจากคนที่ไม่ต้องการการปฏิเสธตัวเองเลย และในพืชพันธุ์ที่ไม่มีปีกของพวกเขาอ้างว่าเป็นวิถีแห่งวิเวนดีที่ยอมรับได้ สัมปทานและการประนีประนอม แต่วินเซนต์ไม่ได้สังเกตเห็นก้นบึ้งนี้ เขาไม่เข้าใจว่าความปรารถนาของเขา แรงกระตุ้นที่ไม่อาจต้านทานได้ทำให้เขาต้องพบกับชะตากรรมของผู้ถูกเนรเทศอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครเข้าใจ พวกเขาหัวเราะเยาะเขา

ปลัดร้านหนังสือเย้ยหยันผู้มาใหม่ที่บูดบึ้งและบูดบึ้งซึ่งไม่สนใจการค้า แต่สนใจเฉพาะเนื้อหาของหนังสือเท่านั้น คนหนุ่มสาวในหอพักบน Tolbruchstraat บนฝั่งของ Meuse ที่ Vincent ตั้งรกรากและสนุกสนานกับวิถีชีวิตนักพรต > ผู้ชายอายุยี่สิบสามปีที่เป็นเหมือน เคยเขียนน้องสาวตัวเองว่า

แต่การเยาะเย้ยไม่ได้แตะต้อง Vincent เขาดื้อรั้นไปตามทางของเขาเอง เขาไม่ใช่คนที่ทำธุรกิจด้วยปลายนิ้ว ดูแลตัวเองและผู้อื่น ไม่ว่างานใดที่เขาทุ่มเทไป เขาจะไม่หยุดครึ่งทาง จะไม่พึงพอใจกับตัวแทน ด้วยความเอื้อเฟื้อของเจ้าของร้านที่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความอยากรู้ด้วยความเคารพ เขาจึงสามารถเข้าถึงส่วนรุ่นหายากได้ เขาอ่านหนังสือทีละเล่ม พยายามเจาะลึกความหมายของแนวพระคัมภีร์ เขาเริ่มแปลเป็นภาษาทั้งหมดที่เขารู้จัก ไม่พลาดคำเทศนาแม้แต่บทเดียว กระทั่งมีส่วนร่วมในข้อพิพาทด้านเทววิทยาที่ทำให้ส่วนหนึ่งของชาวดอร์เดรชต์กังวล เขาทำให้เนื้อหนังของเขาอับอาย พยายามทำตัวให้ชินกับความยากลำบาก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถเลิกยาสูบ ไปป์ ซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนแท้ของเขามาช้านาน ครั้งหนึ่งในดอร์เดรชต์ เมื่อน้ำท่วมบ้านหลายหลัง รวมถึงร้านหนังสือ ชายหนุ่มผู้แปลกประหลาดคนนี้ที่รู้จักกันในนามพวกเกลียดชัง สร้างความประหลาดใจให้ทุกคนด้วยความทุ่มเท ความอดทน พละกำลัง และความอดทน เขาช่วยหนังสือจำนวนมากจากอุทกภัย

อนิจจา Vincent ไม่ได้ทำธุรกิจกับใคร คนเดียวที่เขาพูดด้วยคือครูชื่อ Gorlits ซึ่งอาศัยอยู่ในหอพักเดียวกัน ด้วยความคิดที่ไม่ธรรมดาของ Vincent เขาจึงแนะนำให้เขาศึกษาต่อและรับประกาศนียบัตรนักศาสนศาสตร์ นี่คือสิ่งที่ Vincent คิดเอง “เพราะสิ่งที่ฉันได้เห็นในปารีส ลอนดอน แรมส์เกต และไอล์เวิร์ธ” เขาเขียนถึงบราเดอร์ธีโอ “ฉันสนใจทุกสิ่งในพระคัมภีร์ไบเบิล ฉันต้องการปลอบเด็กกำพร้า ฉันคิดว่าอาชีพศิลปินหรือศิลปินนั้นดี แต่อาชีพของพ่อฉันเคร่งศาสนามากกว่า ฉันอยากจะเป็นเหมือนเขา " คำพูดเหล่านี้ ความคิดเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในจดหมายของเขา เหมือนการละเว้นอย่างต่อเนื่อง “ฉันไม่ได้อยู่คนเดียวเพราะพระเจ้าอยู่กับฉัน ฉันอยากเป็นนักบวช นักบวชเช่นพ่อของฉันปู่ของฉัน ... "

บนผนังห้องของเขา ภาพวาดของเขาเองแขวนอยู่ถัดจากงานแกะสลัก ในจดหมายถึงธีโอ เขาอธิบายภูมิทัศน์ของดอร์เดรชต์ การเล่นของแสงและเงา ราวกับเป็นศิลปินตัวจริง เขาไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ แต่ในทุกภาพเขาถูกดึงดูดโดยเนื้อเรื่องเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น ภาพที่อ่อนแอของอารี แชฟเฟอร์ จิตรกรของโรงเรียนโรแมนติกและชาวดอร์เดรชต์ "พระคริสต์ในสวนเกทเสมนี" ซึ่งเป็นภาพสไตล์ที่ไม่จืดชืดและหยิ่งทะนงอย่างเหลือทน ทำให้เขามีความสุขอย่างล้นเหลือ Vincent ตัดสินใจที่จะเป็นนักบวช

เย็นวันหนึ่งเขาแบ่งปันแผนการของเขากับคุณบราม เขาได้รับการยอมรับจากคนใช้ของเขาด้วยความสงสัย โดยสังเกตว่าคำกล่าวอ้างของเขานั้นค่อนข้างสุภาพ: Vincent จะเป็นเพียงศิษยาภิบาลธรรมดาและเช่นเดียวกับพ่อของเขา จะฝังความสามารถของเขาในหมู่บ้าน Brabant ที่คลุมเครือ วินเซนต์โกรธเคืองกับคำพูดนี้ “แล้วไง” เขาตะโกน “พ่อฉันอยู่ที่นั่น แทนเขา! เขาเป็นผู้เลี้ยงแกะวิญญาณมนุษย์ที่ฝากความคิดของพวกเขาไว้กับเขา!”

เมื่อเห็นความมุ่งมั่นที่ชัดเจนและแน่วแน่เช่นนี้ ศิษยาภิบาล Etten ก็ครุ่นคิด ถ้าลูกชายของเขาตัดสินใจที่จะอุทิศตนเพื่อรับใช้พระเจ้า เราควรจะช่วยเขาให้เข้าสู่เส้นทางที่เขาเลือกไว้ไม่ใช่หรือ? บางทีสิ่งที่ฉลาดที่สุดที่ต้องทำคือสนับสนุนแรงบันดาลใจของ Vincent? อาชีพใหม่นี้จะบังคับให้เขาควบคุมความเพ้อฝันที่ไม่สอดคล้องกันเพื่อกลับไปสู่มุมมองที่มีสติมากขึ้น อาชีพนี้เต็มไปด้วยความสูงส่งและการปฏิเสธตนเอง ทำให้เขากลับไปสู่อ้อมอกแห่งศรัทธาดั้งเดิม จะสามารถดับเปลวเพลิงที่กลืนกินเขาด้วยความสงบและความพอประมาณของชาวดัตช์ อีกครั้งที่บาทหลวงธีโอดอร์ แวนโก๊ะเรียกสภาครอบครัว

“งั้นก็ได้! - สภาตัดสินใจ “ให้ Vincent ได้รับการศึกษาและกลายเป็นนักบวชโปรเตสแตนต์”

พวกเขาตัดสินใจส่งเขาไปที่อัมสเตอร์ดัม ซึ่งเขาจะต้องเรียนหลักสูตรเตรียมความพร้อมและสอบผ่าน ซึ่งต่อมาทำให้เขาได้รับประกาศนียบัตรนักศาสนศาสตร์ อาของเขา รองพลเรือโทโยฮันเนส ซึ่งในปี พ.ศ. 2420 เดียวกันได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการอู่ต่อเรือของกองทัพเรืออัมสเตอร์ดัม จะจัดหาที่พักและโต๊ะให้เขา

เมื่อวันที่ 30 เมษายน Vincent ออกจากร้านหนังสือ Braham and Blues เขามาถึงดอร์เดรชต์เมื่อวันที่ 21 มกราคม มากกว่าสองเดือนก่อน ในจดหมายฉบับแรกของเขาจากที่นั่น เขาอุทานว่า “โอ้ เยรูซาเล็มเอ๋ย! โอ เยรูซาเล็ม! หรือมากกว่าเกี่ยวกับ Zundert!” ความโศกเศร้าที่คลุมเครืออะไรอยู่ในจิตวิญญาณที่กระสับกระส่ายนี้ ถูกกลืนกินด้วยเปลวเพลิงอันแรงกล้าของกิเลส? ความปรารถนาของเขาจะเป็นจริงหรือไม่ เขาจะค้นพบตัวเองหรือไม่? บางทีในที่สุดเขาก็พบหนทางสู่ความรอดและความยิ่งใหญ่ - ความสำเร็จที่สมส่วนกับความรักอันยิ่งใหญ่ที่กัดกินเขา

IV. ตัวป้องกันคาร์บอน

อยากเห็นคนรอบข้าง

อิ่มเอิบอิ่มเอิบอิ่มนอนหลับสบาย

และแคสเซียสนี้ดูเหมือนหิวโหย:

เขาคิดมากเกินไป เช่น

เช็คสเปียร์, จูเลียส ซีซาร์, องก์ 1, ฉาก II

เมื่อมาถึงอัมสเตอร์ดัมในต้นเดือนพฤษภาคม Vincent เริ่มการศึกษาของเขาทันที ซึ่งสองปีต่อมาได้เปิดประตูของเซมินารีเทววิทยาให้เขา ก่อนอื่น จำเป็นต้องเรียนภาษากรีกและละติน รับบี Mendes da Costa วัยหนุ่มซึ่งอาศัยอยู่ในย่านชาวยิวเริ่มให้บทเรียนกับ Vincent ศิษยาภิบาล Stricker ซึ่งเป็นพี่เขยคนหนึ่งของแม่ของเขาให้คำมั่นว่าจะดูแลหลักสูตรของชั้นเรียน

ตามที่ตกลงกัน Vincent ได้ตกลงกับอาของเขา พลเรือโทโยฮันเนส ระหว่างนั้นแทบไม่ได้เจอกันเลย วินเซนต์ซึ่งถูกกินด้วยกิเลสตัณหา กับผู้มีเกียรติสำคัญ ผู้ซึ่งแข็งทื่อในชุดเครื่องแบบถูกแขวนไว้ตามคำสั่ง และปฏิบัติตามกิจวัตรประจำวันด้วยความตรงต่อเวลาอย่างเหล็ก ซึ่งถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าในรายละเอียดที่เล็กที่สุดมานานแล้ว? เป็นความจริงที่ว่าไม่เคยได้รับแขกที่ผิดปกติเช่นนี้ในบ้านของผู้อำนวยการอู่ต่อเรือ รองพลเรือโทตกลงที่จะอำนวยความสะดวกให้กับหลานชายผู้แปลกประหลาดนี้ด้วยความเคารพต่อประเพณีของครอบครัวเท่านั้น แต่ต้องการให้ทุกคนระบุระยะห่างระหว่างพวกเขาให้ชัดเจน เขาไม่เคยแม้แต่นั่งลงกับวินเซนต์ที่โต๊ะ ให้หลานชายจัดการชีวิตของเขาตามที่เขารู้ พลเรือโทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน!

อย่างไรก็ตาม วินเซนต์มีข้อกังวลอื่นๆ

ในชีวิตของแวนโก๊ะ เหตุการณ์หนึ่งนำไปสู่อีกเหตุการณ์หนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขากำลังจะไปไหน? เขาเองก็พูดไม่ได้ Vincent ไม่ได้เป็นเพียงคนที่มีใจรัก - เขาเป็นคนที่หลงใหลในตัวเอง ความหลงใหลที่กลืนกินเขาชี้นำชีวิตของเขา โดยอยู่ภายใต้ตรรกะที่น่าขนลุกและไม่อาจให้อภัยได้ ในอดีตของเขา Vincent ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการแสวงหาความรู้ทางวิชาการ มันคงเป็นเรื่องยากที่จะพบสิ่งแปลกปลอมและน่ารังเกียจต่อธรรมชาติของ Vincent มากกว่าการทดสอบที่ไม่คาดคิดซึ่งกำหนดไว้กับเขาด้วยตรรกะในชีวิตของเขา เขาเป็นคนใจดี ใจร้อน รักเป็นตัวเป็นตน; เขาต้องมอบตัวเองให้กับผู้คนทุกชั่วโมง ทุกนาที เพราะเขาสั่นสะเทือนถึงก้นบึ้งของจิตวิญญาณด้วยความทุกข์ทรมานของมนุษยชาติ - ตัวเขาเอง และเพียงเพราะเขาต้องการเทศนา ช่วยเหลือผู้คน เป็นมนุษย์ท่ามกลางผู้คน เขาถึงวาระที่จะศึกษาวิทยาศาสตร์ที่แห้งแล้ง - กรีกและละติน เขาทำแบบทดสอบนี้ราวกับท้าทายธรรมชาติของเขาเอง รีบเร่งที่จะบุกทะลวงภูมิปัญญาของโรงเรียน ทว่าในไม่ช้าเขาก็เชื่อว่าชั้นเรียนมีแต่จะกดดันและทำให้เขาหมดแรง “วิทยาศาสตร์ไม่ใช่เรื่องง่ายพ่อเฒ่า แต่ฉันต้องอดทนไว้” เขาเขียนถอนหายใจถึงพี่ชายของเขา

“ลุกขึ้น อย่าถอย!” เขาย้ำกับตัวเองทุกวัน ไม่ว่าธรรมชาติของเขาจะขัดขืนอย่างไร เขาก็เอาชนะตัวเองและกลับไปอย่างดื้อรั้น ผันแปร คำพูดและเรียงความ มักจะนั่งอ่านหนังสือจนถึงเที่ยงคืน พยายามเอาชนะวิทยาศาสตร์ที่ขัดขวางเส้นทางสู่ผู้คนให้เร็วที่สุด - วิทยาศาสตร์ที่ไม่มีเขา ไม่สามารถทนต่อพระวจนะของพระคริสต์ได้

“ฉันเขียนมาก เรียนมาก แต่การเรียนรู้ไม่ง่าย ฉันหวังว่าฉันจะแก่กว่าสองปีแล้ว " เขาเหน็ดเหนื่อยภายใต้ภาระความรับผิดชอบอันหนักหน่วง: “เมื่อฉันคิดว่าสายตาของหลายคนมองมาที่ฉัน ... คนที่จะไม่ประณามฉันด้วยการประณามธรรมดา แต่อย่างที่เป็นอยู่ก็จะพูดด้วยการแสดงออกของพวกเขา ใบหน้า:“ เราสนับสนุนคุณ เราทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อคุณ คุณมุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายด้วยสุดใจของคุณตอนนี้ผลงานและรางวัลของเราอยู่ที่ไหน .. เมื่อฉันคิดถึงสิ่งนี้และสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายในลักษณะเดียวกัน ... ฉันต้องการที่จะยอมแพ้ทุกอย่าง! และฉันก็ยังไม่ยอมแพ้ " และวินเซนต์ก็ทำงานโดยไม่ยอมจำนน พยายามเจาะลึกหนังสือเรียนแบบแห้งๆ ซึ่งเขาไม่สามารถเรียนรู้สิ่งที่คุ้มค่าได้ เขาไม่สามารถต้านทานการล่อลวงให้เปิดหนังสือเล่มอื่นๆ ได้เช่นกัน โดยเฉพาะผลงานของนักเวทย์มนตร์ ตัวอย่างเช่น การเลียนแบบของพระคริสต์ แรงกระตุ้นสูง การปฏิเสธตนเองอย่างสมบูรณ์ ความรักที่มีชัยต่อพระเจ้าและผู้คน - นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาหลงใหล เบื่อกับการยัดเยียดจิตใจที่ซ้ำซากจำเจ ปฏิเสธ rosa, rosae หรือ conjugate (ในภาษากรีก) เมื่อโลกสั่นสะเทือนด้วยความคร่ำครวญ! เขามักจะไปโบสถ์อีกครั้ง - คาทอลิก โปรเตสแตนต์ และธรรมศาลา ด้วยความคลั่งไคล้ของเขา ไม่สังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างลัทธิ ร่างบทเทศนา ตอนนี้เขาฟุ้งซ่านจากภาษากรีกและละติน ความคิดและความรู้สึกหลั่งไหลเข้ามาในจิตวิญญาณของเขา ฉีกมันออกจากกัน “บทเรียนในภาษากรีก (ในใจกลางอัมสเตอร์ดัม ใจกลางย่านชาวยิว) ในวันฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าว เมื่อคุณรู้ว่าคุณจะต้องสอบยากมากมายจากอาจารย์ที่มีการศึกษาสูงและเจ้าเล่ห์ บทเรียนเหล่านี้น้อยกว่ามาก น่าดึงดูดกว่าทุ่งข้าวสาลีของ Brabant คงจะดีในวันแบบนี้” เขาถอนหายใจในเดือนกรกฎาคม ทุกสิ่งรอบตัวเขาทำให้เขาตื่นเต้น เบี่ยงเบนความสนใจของเขา ตอนนี้เขาไม่ได้อ่านแต่เรื่องลึกลับอีกต่อไปแล้ว สิบกับมิเคเลต์ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนโต๊ะของเขา และบางครั้ง ... เขาสารภาพกับธีโอ: “ฉันต้องบอกคุณอย่างหนึ่ง เธอก็รู้ว่าฉันอยากเป็นพระเหมือนพ่อของเรา และยัง - มันตลก - บางครั้งฉันวาดระหว่างเรียนโดยไม่สังเกต ... "

เธอแข็งแกร่งกว่าเขา - ความต้องการที่จะสะท้อนความเป็นจริง เข้าถึงจุดต่ำสุดของความหมาย แสดงออกผ่านจังหวะที่เขาร่างอย่างเร่งรีบขณะนั่งอยู่ในบทเรียน เขาขอโทษพี่ชายของเขาที่ยอมจำนนต่อสิ่งล่อใจขอโทษสำหรับความสนใจในการวาดภาพและพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองทันที:“ สำหรับผู้ชายอย่างพ่อของเราซึ่งหลายครั้งทั้งกลางวันและกลางคืนรีบถือตะเกียงในมือให้ป่วย หรือคนที่กำลังจะตายไปเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับทอม ซึ่งคำพูดของเขาคือแสงแห่งแสงสว่างในความมืดแห่งความทุกข์ทรมานและความกลัวต่อความตาย คนๆ นั้นคงจะชอบรอยสลักของแรมแบรนดท์อย่างแน่นอน เช่น "The Flight to Egypt" หรือ "The Entombment" ".

การวาดภาพสำหรับ Vincent ไม่ได้เป็นเพียงหมวดหมู่ที่สวยงามเท่านั้น เขาคิดว่ามันเป็นหลักเป็นวิธีการของการมีส่วนร่วม การมีส่วนร่วมกับศีลศักดิ์สิทธิ์ที่เปิดเผยต่อผู้ลึกลับผู้ยิ่งใหญ่ นักมายากลผู้ยิ่งใหญ่โอบรับความยิ่งใหญ่ด้วยพลังแห่งศรัทธาของพวกเขา จิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ที่มีพลังแห่งศิลปะของพวกเขา แต่พวกเขามีเป้าหมายเดียว ศิลปะและความศรัทธา - แม้จะมีรูปลักษณ์ที่ผิด - เป็นเพียงวิธีที่แตกต่างกันในการรู้จักจิตวิญญาณที่มีชีวิตของโลก

วันหนึ่งในเดือนมกราคม พ.ศ. 2421 ลุงคอร์นีเลียส มารินัสถามวินเซนต์ว่าเขาชอบเพลง "ไฟรย์นี" ของเจอโรมหรือไม่ “ไม่” วินเซนต์ตอบ “โดยพื้นฐานแล้วร่างกายที่สวยงามของไฟรย์นีหมายความว่าอย่างไร” เป็นเพียงเปลือกที่ว่างเปล่า Vincent ไม่ชอบความสนุกด้านสุนทรียะ น้ำหนักเบาจึงไม่แตะต้องหัวใจของเขา ความวิตกกังวลมากเกินไป ความกลัวความบาปที่คลุมเครือมากเกินไปครอบงำจิตใจของเขาเพื่อที่ความมีคุณธรรมที่ผิวเผินของภาพดังกล่าวจะไม่ดูน่าสมเพชสำหรับเขา วิญญาณ? วิญญาณอยู่ที่นี่ที่ไหน? เท่านั้นที่สำคัญ แล้วลุงของเขาถามว่า: วินเซนต์จะไม่หลงเสน่ห์ผู้หญิงหรือผู้หญิงคนไหนหรอกหรือ? ไม่ เขาตอบ เขาอยากจะดึงดูดผู้หญิงที่น่าเกลียด แก่ ยากจน หรือไม่มีความสุขด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่เป็นผู้ที่ได้พบจิตวิญญาณและจิตใจในการทดลองและความเศร้าโศกของชีวิต

วิญญาณของเขาเป็นเหมือนแผลเปิด ประสาทของเขายืดออกไปถึงขีดสุด ด้วยความเหนื่อยล้า เขายังคงประกอบอาชีพที่ตัวเองต้องเผชิญต่อไป แต่เขาตระหนักดีว่านี่ไม่ใช่การเรียกของเขา บางครั้งเขาก็สะดุดในเส้นทางที่ยากลำบากซึ่งเขาเลือกเอง ล้มแล้วลุกขึ้นอีกครั้ง เดินเซ เดินโซเซไปมาด้วยความกลัว ความสิ้นหวัง และหมอก หน้าที่ของเขาที่มีต่อตัวเองและครอบครัวคือการเอาชนะภาษากรีกและละติน แต่เขารู้อยู่แล้วว่าเขาจะไม่มีวันบรรลุสิ่งนี้ อีกครั้ง - ครั้งที่ร้อย! - เขาจะเสียใจกับพ่อที่เชื่อเขาซึ่งเขาต้องการเดินตามรอยเท้าของเขาด้วยความภาคภูมิใจ เขาจะไม่มีวันชดใช้ความผิดของเขา เขาจะไม่มีวันรู้จักความสุขของ "การขจัดความเศร้าโศกอันไร้ขอบเขตอันเกิดจากการล่มสลายของกิจการทั้งหมด" ไม่ เขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาจะไม่เสียใจกับความพยายาม - ไม่นะ! - แต่พวกเขาไร้สาระไร้สาระเช่นเคย

ทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอดเวลาของวัน Vincent เดินไปรอบ ๆ อัมสเตอร์ดัมตามถนนสายแคบ ๆ เก่าแก่ริมคลอง วิญญาณของเขากำลังลุกไหม้ จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความคิดที่มืดมิด “ฉันทานอาหารเช้ากับขนมปังแห้งและเบียร์สักแก้ว” เขากล่าวในจดหมายฉบับหนึ่งของเขา "วิธีการรักษานี้ Dickens แนะนำให้ทุกคนที่พยายามฆ่าตัวตายเป็นวิธีที่แน่นอนที่จะละทิ้งความตั้งใจของพวกเขาชั่วขณะหนึ่ง"

ในเดือนกุมภาพันธ์ พ่อของเขามาหาเขาในช่วงเวลาสั้นๆ และจากนั้น Vincent ก็รู้สึกสำนึกผิดและรักด้วยความกระปรี้กระเปร่าขึ้นใหม่ ความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ได้จับเขาไว้เมื่อเห็นศิษยาภิบาลสีเทาคนหนึ่งในชุดสูทสีดำที่เรียบร้อยพร้อมเคราที่หวีอย่างระมัดระวังซึ่งวางอยู่ด้านหน้าเสื้อเชิ้ตสีขาว วินเซนต์ไม่ใช่เหรอ ที่มีความผิดที่ทำให้ผมหงอก ผมของพ่อบางลงไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่เหตุผลที่หน้าผากของพ่อเต็มไปด้วยรอยย่นไม่ใช่หรือ? เขาไม่สามารถมองดูใบหน้าที่ซีดเซียวของพ่อได้โดยไม่เจ็บปวด ดวงตาที่อ่อนโยนและใจดีส่องประกายแวววาว “เมื่อพาพ่อไปส่งที่สถานี ข้าพเจ้าดูแลรถไฟจนหายไปจากตา และควันรถจักรไอน้ำก็จางหายไป แล้วข้าพเจ้าก็กลับห้องไป เมื่อเห็นเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ปะเพิ่งนั่งลงที่โต๊ะนั้น ตั้งแต่เมื่อวานมีหนังสือและโน้ต ฉันอารมณ์เสียเหมือนเด็ก ทั้งที่รู้ว่าอีกไม่นานจะได้เจอเขาอีก”

Vincent ประณามตัวเองสำหรับชั้นเรียนที่ขาดเรียนบ่อยครั้ง เนื่องจากได้รับผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยจากการศึกษาวิชาที่ไม่น่าสนใจและไม่จำเป็นสำหรับเขา และสิ่งนี้เพิ่มความรู้สึกผิดในจิตวิญญาณของเขา ทำให้เขาสิ้นหวังมากขึ้น เขาเขียนถึงธีโออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยทั้งแม่และพ่อ มันเกิดขึ้นที่พ่อแม่ของเขาได้รับจดหมายหลายฉบับต่อวันจากเขา paroxysm ของ epistolary ผ้าปูที่นอนเหล่านี้มีวลีที่น่าอึดอัดใจและหายใจลำบากซึ่งครึ่งหนึ่งไม่สามารถระบุได้ซึ่งในตอนท้ายบรรทัดที่รวมกันอย่างสิ้นหวังทำให้พ่อแม่กังวลอย่างสุดซึ้ง - บ่อยครั้งที่พวกเขานอนไม่หลับทั้งคืนคิดถึงจดหมายรบกวนเหล่านี้ ทรยศต่อความสิ้นหวังของลูกชาย พวกเขาถูกครอบงำด้วยความวิตก สิบเอ็ดเดือนแล้วตั้งแต่ Vincent ไปเรียนที่อัมสเตอร์ดัม เกิดอะไรขึ้นกับเขา? เกิดอะไรขึ้นถ้าเขาอีกครั้ง - เป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน - ผิดพลาดในการเรียกของเขา? มันจะเป็นที่น่ารังเกียจอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เขาอายุยี่สิบห้าปี และหากการคาดเดาของพวกเขาถูกต้อง หมายความว่าโดยทั่วไปแล้วเขาไม่สามารถทำธุรกิจอย่างจริงจัง เพื่อบรรลุตำแหน่งในสังคมได้

ตำแหน่งในสังคม! นั่นคือสิ่งที่ Vincent คิดน้อยที่สุดเมื่อเขาตัดสินใจที่จะเป็นศิษยาภิบาล และถ้าตอนนี้มือของเขาตกลงไป มันก็ไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้รับตำแหน่งที่มั่นคง แต่เพราะภาระที่เขาแบกรับไว้ทำให้เขาบดขยี้เหมือนหลุมศพ ด้วยความสิ้นหวัง เขาเหน็ดเหนื่อยจากความกระหายในถิ่นทุรกันดารแห่งปัญญาหนังสือ และเช่นเดียวกับกวางที่พ่ายแพ้ต่อดาวิด เขาค้นหาแหล่งที่ให้ชีวิตและคร่ำครวญ ที่จริงแล้ว พระคริสต์ทรงเรียกร้องอะไรจากสาวกของพระองค์ - การเรียนรู้หรือความรัก? เขาไม่อยากให้พวกเขาจุดไฟแห่งความดีในจิตใจของผู้คนหรือ? การไปหาผู้คน พูดคุยกับพวกเขา เพื่อให้แสงสลัวที่คุกรุ่นอยู่ในใจพวกเขาลุกเป็นไฟ สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้ไม่ใช่หรือ? ความรัก - เท่านั้นที่ช่วยประหยัดและอบอุ่น! และทุนการศึกษาที่คริสตจักรเรียกร้องจากนักบวชก็ไร้ประโยชน์ เย็นชา และน่าเบื่อหน่าย "ความสุขมีแก่คนยากจน เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา!" ด้วยความวิตกกังวลและขมขื่นจากพายุที่โหมกระหน่ำในใจ Vincent อย่างไม่ลดละ แสวงหาเขา ฉัน.ค้นหาโดยการคลำ เขาถูกเอาชนะด้วยความสงสัยระทมทุกข์เหมือนอาการกระตุก เขารู้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น: เขาต้องการที่จะเป็น "ผู้ชายที่มีชีวิตทางจิตวิญญาณ" ละเลยความแตกต่างที่มีอยู่ระหว่างศาสนา เขายังเพิกเฉยต่อกิจกรรมของมนุษย์ประเภทต่าง ๆ เฉพาะเจาะจง โดยเชื่อว่ามันบดบังเฉพาะหลักที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาเท่านั้น และเขาเชื่อว่าสิ่งสำคัญนี้สามารถพบได้ทุกที่ - ในพระคัมภีร์และในประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติใน Michelet และใน Rembrandt ใน Odyssey และในหนังสือของ Dickens คุณต้องดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย เอาชนะความยากลำบากและความผิดหวัง เพื่อเสริมสร้างศรัทธาของคุณ "รักให้มากที่สุดเพราะมีเพียงในความรักเท่านั้นคือความแข็งแกร่งที่แท้จริงและคนที่รักมากทำความดีและทำมากได้ และสิ่งที่ทำด้วยความรักก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี" ศักดิ์สิทธิ์ "ความยากจนแห่งจิตวิญญาณ"! คุณไม่ควรปล่อยให้ “ความเร่าร้อนของจิตวิญญาณคุณเย็นลง แต่ในทางกลับกัน คุณต้องรักษามันไว้” เพื่อที่จะเป็น “บุคคลธรรมดา” ตามแบบอย่างของโรบินสัน ครูโซ และสิ่งนี้ Vincent กล่าวเสริมว่า “แม้กระทั่ง หากคุณย้ายในแวดวงการศึกษาในสังคมที่ดีที่สุดและอยู่ในสภาพที่เอื้ออำนวย” เขาเปี่ยมด้วยความรัก ความรักในพลังชำระล้างอันยิ่งใหญ่ และเขาใฝ่ฝันที่จะให้คนดื่ม เป็นไปได้ไหมว่าในการที่จะมอบความรักที่ท่วมท้นให้กับผู้คน เขาต้องสามารถแปลวลีเหล่านี้ทั้งหมดด้วยสายตาที่มองดูเขาจากหน้าหนังสือที่น่าเศร้าอย่างดูถูกเหยียดหยามได้อย่างแน่นอน ทำไมเขาถึงต้องการวิทยาศาสตร์ที่ไร้ประโยชน์และไร้ประโยชน์นี้?

Vincent ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป และในเดือนกรกฎาคม หนึ่งปีกับสามเดือนหลังจากมาถึงอัมสเตอร์ดัม เขาออกจากการศึกษาของเขา - ปัญญาที่ตายไปแล้ว - และกลับไปที่ Etten ไม่ได้สร้างมาเพื่องานของศิษยาภิบาล เพื่อการบำเพ็ญเพียร เพื่อการบำเพ็ญเพียรที่ไร้ผลทั้งหมดนี้ เขาต้องรับใช้ประชาชน เผา เพื่อค้นหาตัวเอง การเผาไหม้ในไฟนี้ เขาเป็นไฟทั้งหมด - และเขาจะเป็นไฟ ไม่ เขาจะไม่กลายเป็นนักบวช เขาจะอุทิศตัวเองให้กับภารกิจที่แท้จริง - ซึ่งเขาสามารถค้นหาแอปพลิเคชันสำหรับพลังของเขาได้ทันที เขาจะเป็นนักเทศน์ เขาจะนำพระวจนะของพระเจ้าไปยังดินแดนสีดำที่ดิคเก้นส์เขียนไว้ ที่ซึ่งมีเปลวไฟแฝงตัวอยู่ในท้องโลก ใต้หิน

คุณจะไปไหน วินเซนต์ แวนโก๊ะ? คุณเป็นใคร วินเซนต์ แวนโก๊ะ? ที่นั่น ใน Zundert ในสุสาน มีนกกางเขนร้องเจี๊ยก ๆ ในใบของต้นอะคาเซียสูง บางครั้งเธอนั่งบนหลุมศพของพี่ชายคุณ

สิ่งที่ศิษยาภิบาลและภริยากลัวได้บังเกิดขึ้นแล้ว ทว่าพวกเขารู้สึกเศร้ามากกว่าความรำคาญเมื่อเห็นวินเซนต์ แน่นอนว่าพวกเขาผิดหวังอย่างมาก แต่พวกเขายิ่งเศร้าใจกับรูปลักษณ์อันน่าสมเพชของลูกชายของพวกเขา “เขาเดินก้มหน้าตลอดเวลา และค้นหาความยากลำบากต่างๆ ด้วยตนเองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย” พ่อของเขาพูดถึงเขา ใช่ มันเป็นความจริง สำหรับวินเซนต์ไม่มีและไม่สามารถเป็นอะไรที่ง่ายได้ “คุณไม่ควรมองหาวิถีชีวิตที่ง่ายเกินไป” เขาเขียนถึงธีโอ ตัวเขาเองอยู่ไกลจากสิ่งนี้อย่างไม่สิ้นสุด! และถ้าเขาออกจากอัมสเตอร์ดัม แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงเพราะเป็นการยากสำหรับเขาที่จะเรียนรู้วิทยาศาสตร์ซึ่งทำให้เขารังเกียจ ความยากลำบากนี้มีลักษณะทางวัตถุที่ซ้ำซากจำเจ เธอเป็นเพียงสิ่งกีดขวางธรรมดาบนเส้นทางที่พลุกพล่านซึ่งฝูงชนรีบเร่งมาเป็นเวลานาน ความยากลำบากนี้ไม่ได้เป็นหนึ่งในปัญหาที่สามารถเอาชนะได้ด้วยค่าชีวิตเท่านั้น โดยต้องแลกกับการเสียสละอย่างไม่เห็นแก่ตัว อย่างไรก็ตาม ผลของการต่อสู้นั้นไม่แยแส การต่อสู้ที่สิ้นหวังนั้นสำคัญ จากการทดลองและความพ่ายแพ้ทั้งหมดที่เขาต้องทนระหว่างทาง Vincent ถูกทิ้งให้อยู่กับความขมขื่นที่มืดมนและขมขื่นซึ่งอาจปรุงรสด้วยความรู้สึกเศร้าหมองของการตำหนิตนเอง จิตสำนึกของความเป็นไปไม่ได้ของการไถ่ถอน "ผู้ที่รักพระเจ้าไม่มีสิทธิ์พึ่งพาการตอบแทนซึ่งกันและกัน" - ความยิ่งใหญ่อันมืดมนของคำสั่ง Spinoza นี้สะท้อนคำพูดที่รุนแรงของ Calvin ซึ่งฟังอยู่ในใจของ Vincent เสมอว่า "ความเศร้าโศกดีกว่าความยินดี"

ศิษยาภิบาลโจนส์ซึ่งวินเซนต์มีการอภิปรายเกี่ยวกับเทววิทยามากมายในช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่ไอล์เวิร์ธ เมื่อเขาเริ่มเทศนาครั้งแรกกับคนงานชาวอังกฤษ มาถึงเอทเทนโดยไม่คาดคิด เขาเสนอให้ช่วย Vincent ในการดำเนินการตามแผนของเขา ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม Vincent เดินทางไปบรัสเซลส์เพื่อแนะนำตัวเองกับสมาชิกของ Evangelical Society ร่วมกับศิษยาภิบาลโจนส์และคุณพ่อ ในกรุงบรัสเซลส์ เขาได้พบกับบาทหลวงเดอจอง จากนั้นไปเยี่ยมบาทหลวงปีเตอร์เสนในมาลิน และสุดท้ายที่โรเซแลร์กับบาทหลวงแวนเดอร์บริงค์ วินเซนต์ต้องการเข้าเรียนในโรงเรียนสอนศาสนาทางจิตวิญญาณ ซึ่งนักเรียนต้องการสติปัญญาเชิงเทววิทยาน้อยกว่าความกระตือรือร้นและความสามารถในการโน้มน้าวจิตวิญญาณของคนทั่วไป นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ ความประทับใจที่เขามีต่อ "สุภาพบุรุษเหล่านี้" ส่วนใหญ่เป็นไปในทางที่ดี และมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด เขากลับมาที่ฮอลแลนด์เพื่อรอการตัดสินใจของพวกเขา

ที่ Etten วินเซนต์ฝึกฝนการแต่งบทเทศนา หรือไม่ก็วาดภาพโดยคัดลอก "ด้วยปากกา หมึก และดินสอ" อย่างขยันขันแข็ง โดย Jules Breton ชื่นชมภาพชีวิตในชนบทของเขา

ในที่สุด เขาเข้ารับการรักษาอย่างมีเงื่อนไขในโรงเรียนมิชชันนารีเล็กๆ ของบาทหลวงบอคมา ในเมืองลาเคน ใกล้กรุงบรัสเซลส์ ดังนั้น ในช่วงครึ่งหลังของเดือนกรกฎาคม Vincent จะเดินทางไปเบลเยียมอีกครั้ง ที่นี่เขาจะต้องเรียนเป็นเวลาสามเดือนหลังจากนั้นหากพวกเขาพอใจเขาจะได้รับการนัดหมาย ด้วยประสบการณ์อันขมขื่น พ่อแม่ของเขาจึงเตรียมเขาให้อยู่บนเส้นทางใหม่โดยไม่กลัว “ฉันกลัวอยู่เสมอ” แม่ของเขาเขียนว่า “ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม Vincent จะทำลายทุกอย่างด้วยตัวเขาเองด้วยความประหลาด ความคิดที่ไม่ธรรมดาของเขาเกี่ยวกับชีวิต” เธอรู้จักลูกชายของเธอดี ผู้หญิงคนนี้ ซึ่งเขาได้รับความรู้สึกไวเกินควร และแววตาที่เปลี่ยนไป มักจะจุดประกายด้วยไฟแปลกๆ

ด้วยอารมณ์ดี Vincent มาถึงบรัสเซลส์ นอกจากเขาแล้ว บาทหลวงบกมายังมีลูกศิษย์อีกเพียงสองคน ไม่สนใจรูปร่างหน้าตาของเขาเลย วินเซนต์ก็แต่งตัวตามอำเภอใจ คิดถึงแต่งานที่เขาอุทิศตนเท่านั้น และทั้งหมดนี้โดยไม่รู้ตัว ได้ปลุกปั่นโรงเรียนมิชชันนารีที่เงียบสงบ ปราศจากคารมคมคายโดยสิ้นเชิง เขาเสียใจที่ขาดสิ่งนี้ เขาทุกข์ทรมานจากความยากลำบากในการพูด จากความทรงจำที่ไม่ดีที่ทำให้เขาไม่สามารถท่องจำข้อความของพระธรรมเทศนา โกรธตัวเองและทำงานด้วยกำลัง นอนไม่หลับอย่างสมบูรณ์ และกลายเป็นคนผอมแห้ง ความประหม่าของเขาถึงขีด จำกัด เขาไม่ยอมให้คำสอนและคำแนะนำใดๆ กับคำพูดใดๆ ที่พูดด้วยน้ำเสียงที่รุนแรง เขาตอบโต้ด้วยความโกรธที่ระเบิดออกมา ถูกครอบงำด้วยแรงกระตุ้นที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ ตาบอดโดยองค์ประกอบนี้และถูกโยนเข้าไปในท่ามกลางผู้คนด้วยธาตุนี้ เขาไม่เห็นพวกเขา ไม่ต้องการเห็นพวกเขา เขาไม่รู้เลยว่ามันจะดีกว่ามากที่จะมองหาภาษาร่วมกับผู้คนรอบตัวเขาว่าชีวิตในสังคมมีความเกี่ยวข้องกับสัมปทานบางอย่าง ถูกลมบ้าหมูพัดพาไป หูหนวกเพราะกระแสชีวิตที่ปั่นป่วน เขาเป็นเหมือนลำธารที่ไหลผ่านเขื่อน และในโรงเรียนที่เงียบสงบ ถัดจากเพื่อนฝึกหัดไร้สีสองคน เตรียมงานเผยแผ่ศาสนาอย่างขยันขันแข็งและถ่อมตน ในไม่ช้าเขาก็รู้สึกไม่สบายใจ เขาแตกต่างจากพวกเขามากเกินไปราวกับว่าปั้นจากแป้งที่แตกต่างกัน - บางครั้งเขาก็เปรียบเทียบตัวเองกับ "แมวที่ปีนเข้าไปในร้านของคนอื่น"

บางทีนี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่ "สุภาพบุรุษจากบรัสเซลส์" เห็นด้วยกับเขา สับสนและไม่พอใจกับพฤติกรรมของเขา พวกเขาประกาศว่าความกระตือรือร้นของเขาไม่เกี่ยวข้อง และความกระตือรือร้นของเขาไม่สอดคล้องกับศักดิ์ศรีที่เขาอ้าง อีกหน่อย - และพวกเขาจะเขียนจดหมายถึงศิษยาภิบาล Etten เพื่อนำลูกชายของเขากลับมา

ความเกลียดชังนี้ การคุกคามนี้ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ของเขาดีขึ้น Vincent ถูกกดขี่ด้วยความเหงา การถูกจองจำนี้ ซึ่งธรรมชาติของเขาประณามเขา ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน เขานั่งนิ่งไม่ไหวติง แทบรอที่จะออกจากโรงเรียนไม่ไหวแล้ว และสุดท้ายก็ทำธุรกิจสดท่ามกลางผู้คน เขาต้องการไปที่เขตถ่านหินโดยเร็วที่สุดเพื่อนำพระวจนะของพระเจ้าไปยังคนงานเหมือง ในหนังสือเรียนภูมิศาสตร์บางเล่ม เขาพบคำอธิบายของอ่างถ่านหิน Borinage ซึ่งตั้งอยู่ที่ Hainaut ระหว่าง Quievren และ Mons บนพรมแดนฝรั่งเศส และเมื่อเขาอ่านมัน เขารู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก ความประหม่าของเขาเป็นเพียงผลของความไม่พอใจ ความไม่พอใจต่อตนเองและผู้อื่น เป็นกระแสเรียกที่คลุมเครือและในเวลาเดียวกัน

ในเดือนพฤศจิกายน เขาส่งภาพวาดให้น้องชายของเขา ซึ่งทำขึ้นราวกับเครื่องจักร ซึ่งวาดภาพโรงเตี๊ยมที่ Laeken

บวบถูกเรียกว่า "บนเหมือง" เจ้าของยังซื้อขายโค้กและถ่านหิน ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจว่าความคิดใดที่ปลุกขึ้นในจิตวิญญาณของวินเซนต์เมื่อเห็นกระท่อมที่น่าเบื่อนี้ อย่างงุ่มง่าม แต่ขยันหมั่นเพียร เขาพยายามสร้างมันขึ้นมาใหม่บนกระดาษ รักษาทุกรายละเอียดในแบบชาวดัตช์ พยายามถ่ายทอดลักษณะเฉพาะของหน้าต่างทั้งห้าบานแต่ละบาน ความประทับใจโดยรวมนั้นเยือกเย็น ภาพวาดไม่ได้เคลื่อนไหวโดยการปรากฏตัวของมนุษย์ ข้างหน้าเราคือโลกที่ถูกทอดทิ้ง แม่นยำกว่า โลกที่รู้ว่าจะถูกทอดทิ้ง ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปกคลุมไปด้วยเมฆ มีบ้านว่างเปล่า แต่ถึงแม้จะถูกทอดทิ้งและว่างเปล่า ชีวิตก็ยังคาดเดาได้ในนั้น - แปลก , เกือบเป็นลางไม่ดี

อย่างที่คุณเห็น ฟานก็อกฮ์กล่าวถึงบทเทศนาที่นี่ ราวกับเป็นข้ออ้างที่สละเวลาวาดรูป แต่คำเทศนาเดียวกันนี้สามารถใช้เป็นคำอธิบายเกี่ยวกับภาพร่างของเขาได้ ทั้งสองเป็นผลจากความคิดในสุดเดียวกัน และไม่ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมแนวข้อความของพระวรสารของลุคจึงตื่นเต้นกับวินเซนต์

“มีต้นมะเดื่อต้นหนึ่งปลูกอยู่ในสวนองุ่นของตน และมาหาผลที่ต้นนั้น แต่เขาหาไม่พบ พระองค์ตรัสกับคนสวนองุ่นว่า "ดูเถิด ข้าพเจ้ามาแสวงหาผลที่ต้นมะเดื่อนี้อยู่เป็นปีที่สามแล้ว แต่ข้าพเจ้าหาไม่พบ ตัดมันลง: ทำไมมันถึงยึดครองที่ดินได้ "

แต่เขาตอบเขาว่า: “ท่านอาจารย์! ปล่อยให้เธอสำหรับปีนี้เช่นกันในขณะที่ฉันขุดและทิ้งเธอ มันจะเกิดผลหรือไม่ ถ้าไม่เช่นนั้นต่อไป ปีตัดมันลง” (ch. XIII, 6-9)

วินเซนต์ดูเหมือนต้นมะเดื่อที่แห้งแล้งไม่ใช่หรือ ท้ายที่สุดเขาก็ยังไม่เกิดผลเหมือนเธอ ยังเร็วเกินไปที่จะประกาศว่าเขาหมดหวัง อย่างน้อยก็ควรปล่อยให้เขามีความหวังเล็กๆ น้อยๆ จะดีกว่าไหม? การฝึกงานในกรุงบรัสเซลส์กำลังจะสิ้นสุดลง เขากำลังรออยู่ โดยหวังว่าอีกไม่นานเขาจะจากไปเพื่อโบรินาจเพื่อสั่งสอนพระกิตติคุณ “ก่อนเริ่มเทศนาและเริ่มต้นการเดินทางของอัครสาวกที่ห่างไกล ก่อนเริ่มการกลับใจใหม่ของผู้ไม่เชื่อ อัครสาวกเปาโลใช้เวลาสามปีในอาระเบีย” เขาเขียนถึงพี่ชายของเขาในจดหมายฉบับเดียวกันในเดือนพฤศจิกายน “หากฉันสามารถทำงานอย่างสงบสุขในดินแดนแห่งนี้เป็นเวลาสองหรือสามปี ศึกษาและสังเกตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เมื่อกลับมา ฉันก็สามารถพูดได้มากมายว่าควรค่าแก่การฟัง” โพสต์เทเนบราส ลักซ์ มิชชันนารีในอนาคตเขียนคำเหล่านี้ "ด้วยความถ่อมตัวที่จำเป็น แต่ด้วยความตรงไปตรงมา" เขาเชื่อว่าในดินแดนที่มืดมนนี้ในการสื่อสารกับคนงานเหมืองสิ่งที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในนั้นจะทำให้สุกในนั้นและจะให้สิทธิ์เขาในการพูดกับผู้คนนำความจริงที่เขาเก็บไว้ในใจมาให้พวกเขา เริ่มต้นเส้นทางชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา คุณเพียงแค่ต้องอดทนขุดและทิ้งต้นมะเดื่อที่แห้งแล้ง แล้ววันหนึ่งมันก็จะออกผลที่รอคอยมานาน

ในจดหมายฉบับยาวฉบับเดือนพฤศจิกายนที่ส่งถึงธีโอ ซึ่งเต็มไปด้วยความคิดที่หลากหลาย คำสารภาพโดยไม่สมัครใจมากมาย ความทะเยอทะยานใหม่ๆ ที่คลุมเครือก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนเช่นกัน วินเซนต์มักจะสะท้อนการไตร่ตรองเกี่ยวกับเทววิทยาของเขาอย่างไม่หยุดหย่อนด้วยการตัดสินเกี่ยวกับงานศิลปะ ในจดหมายของเขาเป็นระยะๆ ชื่อของศิลปิน - Durer และ Carlo Dolci, Rembrandt, Corot และ Bruegel ซึ่งเขาจำได้ทุกโอกาส พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเห็นและประสบ เกี่ยวกับความคิด ความรัก และความกลัวของเขา - สั่นไหว และทันใดนั้นเขาก็อุทานด้วยความกระตือรือร้น: “ความงามอยู่ในศิลปะมากแค่ไหน! คุณเพียงแค่ต้องจดจำทุกสิ่งที่คุณเห็น แล้วคุณจะไม่กลัวความเบื่อหน่ายหรือความสันโดษ และคุณจะไม่โดดเดี่ยวอย่างสมบูรณ์ "

การฝึกงานที่โรงเรียนของบาทหลวงบอกมาสิ้นสุดลงแล้ว แต่อนิจจามันจบลงด้วยความล้มเหลว - Evangelical Society ปฏิเสธที่จะส่ง Vincent ไปที่ Borinage อีกครั้ง - เป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนที่ความหวังของเขาพังทลาย Vincent รู้สึกหดหู่อย่างสมบูรณ์ พ่อของเขารีบไปบรัสเซลส์ แต่ Vincent ได้ดึงตัวเองเข้าด้วยกันแล้ว เขาฟื้นจากความสิ้นหวังอย่างรวดเร็ว ตรงกันข้าม การโจมตีที่ไม่คาดคิดทำให้เขามีความมุ่งมั่นอย่างมาก และเขาปฏิเสธที่จะติดตามพ่อของเขาที่ฮอลแลนด์อย่างแน่นหนา เนื่องจากเขาถูกปฏิเสธ ตรงกันข้ามกับการตัดสินใจของ Evangelical Society เขาจะไปที่ Borinage ด้วยความเสี่ยงและอันตรายของตัวเอง และไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เขาจะบรรลุภารกิจที่เขาใฝ่ฝันอย่างหลงใหล

หลังจากออกจากบรัสเซลส์ Vincent ไปที่พื้นที่ Mons และตั้งรกรากใน Paturage ในใจกลางของภูมิภาคเหมืองแร่ เริ่มทำงานทันที ซึ่งพวกเขาไม่ต้องการมอบหมายให้เขา พร้อมที่จะรับใช้ผู้คนด้วยใจจริง ท่านเทศน์สอนหลักคำสอนของพระคริสต์ เยี่ยมคนป่วย สอนลูกเรื่องคำสอน สอนพวกเขาให้อ่านออกเขียน และทำงานโดยไม่ลดกำลังของเขา

รอบ ๆ - ที่ราบที่ไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งมีเพียงแท่นยกของเหมืองถ่านหินเท่านั้นที่ขึ้นเป็นที่ราบที่เต็มไปด้วยกองขยะและกองหินสีดำ พื้นที่ทั้งหมดนี้เป็นสีดำ เชื่อมโยงกับแรงงานในครรภ์ของโลกอย่างแยกไม่ออก หรือที่จริงแล้ว ทั้งหมดเป็นสีเทาและโคลน ท้องฟ้าสีเทา ผนังบ้านสีเทา สระน้ำสกปรก หลังคากระเบื้องสีแดงเพียงอย่างเดียวทำให้อาณาจักรแห่งความมืดและความยากจนมีชีวิตชีวาขึ้น ในช่วงเวลาระหว่างภูเขาหินที่แห้งแล้ง ที่นี่และที่นั่น ยังมีเศษซากของทุ่งนา จุดเขียวขจีที่มีลักษณะแคระแกรน แต่ถ่านหินค่อยๆ เติมเต็มทุกสิ่ง คลื่นของมหาสมุทรที่กลายเป็นหินของเขม่านี้เข้ามาใกล้สวนที่คับแคบ ซึ่งในวันที่อากาศอบอุ่น ดอกไม้ที่เปรอะเปื้อน - ดอกดาเลียและดอกทานตะวัน - ทอดยาวไปทางดวงอาทิตย์อย่างอายๆ

รอบตัว - คนที่ Vincent ต้องการช่วยด้วยคำพูด, คนงานเหมืองที่มีกระดูก, ใบหน้าที่เปื้อนฝุ่น, ถึงวาระที่จะใช้ชีวิตทั้งชีวิตด้วยค้อนและพลั่วในมือของพวกเขาในท้องดินเพื่อดูดวงอาทิตย์เพียงครั้งเดียว สัปดาห์ - วันอาทิตย์; ผู้หญิงที่ตกเป็นทาสของเหมืองเช่นกัน: รถลากขนาดใหญ่, เข็นรถเข็นด้วยถ่านหิน, เด็กผู้หญิง, ตั้งแต่อายุยังน้อยที่ทำงานเกี่ยวกับการคัดแยกถ่านหิน พระเจ้า พระเจ้า คุณทำอะไรกับผู้ชายคนนั้น? เช่นเดียวกับเมื่อสองปีที่แล้วในไวท์แชปเพิล Vincent รู้สึกสะเทือนใจกับความเศร้าโศกของมนุษย์ ซึ่งเขามองว่าเป็นของตัวเอง รุนแรงกว่าตัวเขาเอง เขาเจ็บปวดที่เห็นเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิง ผู้หญิงหลายร้อยคนเหนื่อยกับการทำงานหนัก มันเจ็บที่เห็นคนงานเหมืองทุกวัน เวลาสามโมงเช้าพวกเขาลงมาพร้อมกับตะเกียงของพวกเขาเพื่อออกจากที่นั่นสิบสองหรือสิบสามชั่วโมงต่อมา การฟังเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขา เกี่ยวกับโรงฆ่าสัตว์ที่อบอ้าว ที่พวกเขามักจะต้องทำงานในขณะที่ยืนอยู่ในน้ำนั้น รู้สึกเจ็บปวด ในขณะที่เหงื่อไหลออกมาที่หน้าอกและใบหน้าของพวกเขา เกี่ยวกับดินถล่มที่คุกคามความตายอยู่ตลอดเวลา เกี่ยวกับรายได้ที่ขอทาน หลายปีที่ผ่านมา ไม่มีรายรับน้อยๆ เท่านี้เลย: หากในปี 1875 นักขุดได้รับ 3.44 ฟรังก์ต่อวัน ดังนั้นในปีปัจจุบันคือปี 1878 รายได้ของพวกเขาจะอยู่ที่ 2.52 ฟรังก์เท่านั้น วินเซนต์รู้สึกเสียใจแม้กระทั่งคนตาบอดที่เข็นรถขนถ่านหินไปใต้ดินลึก พวกเขาถูกลิขิตให้ตายโดยไม่ได้อยู่บนพื้นผิว ทุกสิ่งที่ Vincent เห็นทำร้ายเขา ด้วยความเห็นอกเห็นใจที่ไม่สิ้นสุด เขาดีใจที่มีโอกาสเพียงเล็กน้อยที่จะรับใช้ผู้คน ช่วยพวกเขา รับใช้ อุทิศตนทั้งหมด ลืมตัวเองโดยสิ้นเชิง การดูแลผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ อาชีพของเขา เมื่อความเศร้าโศกและความยากจนอยู่รอบตัว Vincent ไม่สามารถจินตนาการได้ เขาตั้งรกรากอยู่ที่ rue d'Eglise เช่าห้องจากพ่อค้าเร่ชื่อ Van der Hachen และให้บทเรียนกับลูก ๆ ของเขาในตอนเย็น การ์ดของปาเลสไตน์และสำหรับงานนี้เขาได้รับเงินสี่สิบฟลอริน ดังนั้นเขาจึงมีชีวิตอยู่ขัดจังหวะจากวัน ในวันนี้ แต่มันคุ้มค่าไหมที่จะให้ความสนใจกับการใช้ชีวิตของคุณ ต่อความยากจนที่ทำให้คุณหายใจไม่ออกเมื่อสิ่งสำคัญคือต้องประกาศ ประกาศพระวจนะของพระเจ้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และช่วยเหลือผู้คน

นักเทศน์คนนี้ไม่มีภารกิจอย่างเป็นทางการ ชายผมแดงที่มีหน้าผากดื้อรั้นและท่าทางเชิงมุม ไม่รู้ว่าจะดูแลตัวเองอย่างไรดี ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าเพียงอย่างเดียว ซึ่งเขาทุ่มเททั้งหมดให้กับตัวเอง เขาสามารถหยุดคนบนถนนให้อ่านข้อพระคัมภีร์ให้เขาฟัง และเห็นได้ชัดว่าการกระทำที่รวดเร็วและรุนแรงของเขาในบางครั้งนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยศรัทธาที่ไร้ขอบเขต

มิชชันนารีคนนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจในตอนแรก ฉันรู้สึกทึ่งกับความมหัศจรรย์ของปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา แต่ทีละน้อย ผู้คนเริ่มตกอยู่ภายใต้เสน่ห์ของบุคลิกภาพของเขา พวกเขาฟังเขา แม้แต่ชาวคาทอลิกก็ฟังเขา พลังที่น่าดึงดูดแปลก ๆ เล็ดลอดออกมาจากชายประหลาดคนนี้ซึ่งคนธรรมดารู้สึกได้อย่างชัดเจนไม่ถูกทำลายด้วยความฉลาดและการเลี้ยงดูอย่างประณีตและผู้ที่ได้รักษาคุณธรรมพื้นฐานของมนุษย์ไว้ไม่เสื่อมคลาย เมื่ออยู่กับเขา เด็ก ๆ ก็นิ่งเงียบ หลงใหลในเรื่องราวของเขา และในขณะเดียวกันก็ตกใจกับความโกรธของเขาที่ระเบิดออกมาอย่างกะทันหัน บางครั้งต้องการตอบแทนพวกเขาสำหรับความสนใจของพวกเขา Vincent ใช้โอกาสที่จะตอบสนองความหลงใหลในการวาดภาพ: สำหรับเด็กที่ด้อยโอกาสเหล่านี้ที่ไม่รู้จักของเล่นเขาวาดรูปซึ่งเขาแจกทันที

ข่าวลือเกี่ยวกับกิจกรรมของ Vincent ใน Patyurazh ในไม่ช้าก็มาถึงสมาชิกของ Evangelical Society พวกเขาคิดว่า Dutchman อาจยังมีประโยชน์ต่อพวกเขาอยู่

หลังจากทบทวนการตัดสินใจในเดือนพฤศจิกายน สมาคมได้ให้คำแนะนำอย่างเป็นทางการแก่ Vincent เป็นระยะเวลาหกเดือน เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักเทศน์ในเมือง You ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ อีกแห่งหนึ่งในอ่างถ่านหิน ห่างจาก Paturage เพียงไม่กี่กิโลเมตร Vincent ได้รับเงินเดือน - ห้าสิบฟรังก์ต่อเดือน - และอยู่ภายใต้การดูแลของนักบวชท้องถิ่น Monsieur Bont ซึ่งอาศัยอยู่ใน Varkiny

วินเซนต์รู้สึกยินดี ในที่สุด เขาก็จะสามารถอุทิศตนเพื่อภารกิจได้อย่างเต็มที่ ในที่สุดเขาจะชดใช้ความผิดพลาดในอดีตทั้งหมด ต่อหน้าชาว Vama เขาดูเรียบร้อยมาก - มีเพียงชาวดัตช์เท่านั้นที่สามารถเป็นได้ในชุดที่เหมาะสม แต่วันรุ่งขึ้นทุกอย่างเปลี่ยนไป เดินไปรอบๆ บ้านของ Wama Vincent แจกจ่ายเสื้อผ้าและเงินทั้งหมดของเขาให้กับคนยากจน จากนี้ไป พระองค์จะทรงแบ่งปันชีวิตของตนกับคนยากจน ดำเนินชีวิตเพื่อคนจน ท่ามกลางคนยากจน ตามที่พระคริสต์ตรัสกับผู้ติดตามของพระองค์ว่า “ถ้าท่านต้องการเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ จงไปขายทรัพย์สินของท่านและมอบให้แก่คนยากจน และเจ้าจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วตามเรามา” และวินเซนต์ก็สวมแจ็กเก็ตทหารเก่า กรีดผ้ากระสอบ สวมหมวกหนังของคนงานเหมืองบนหัวของเขา และสวมรองเท้าไม้ ยิ่งกว่านั้น ด้วยความต้องการอันอ่อนหวานในการเลิกชอบตัวเอง เขาจึงป้ายมือและใบหน้าของเขาด้วยเขม่าเพื่อที่ภายนอกเขาจะไม่แตกต่างจากคนงานเหมืองในทางใดทางหนึ่ง พระองค์จะทรงอยู่กับพวกเขาอย่างที่พระคริสต์จะทรงอยู่กับพวกเขา บุตรมนุษย์จะรักษาความหน้าซื่อใจคดไม่ได้ คุณต้องทำการเลือก: ไม่ว่าจะกักขังพระคริสต์ไว้ในใจ ดำเนินชีวิตตามที่ต้องการจากคุณ หรือไปที่ค่ายของพวกฟาริสี คุณไม่สามารถเทศนาคำสอนของพระคริสต์และทรยศในเวลาเดียวกัน

Vincent ตั้งรกรากอยู่ที่คนทำขนมปัง Jean-Baptiste Denis อายุ 21 ปี Petit-Vam rue ซึ่งสะดวกสบายกว่าบ้านหลังอื่นๆ ในหมู่บ้านเล็กน้อย เดนิสได้จัดร่วมกับ Julien Sauduier เจ้าของ Salon of Tiny ซึ่งเป็นสถานประกอบการที่ผสมผสานระหว่างการเต้นรำและคาบาเร่ต์ ซึ่ง Vincent จะเทศนาของเขาในห้องนี้ Salon ใน Borinage ถูกเรียกว่าห้องใดก็ได้สำหรับการประชุม (และ Salon of Tiny ได้รับการตั้งชื่อตาม Madame Soduye ที่มีแก้มอ้วน) ร้านเสริมสวยของ Kroshka ซึ่งอยู่ด้านข้างหมู่บ้านเล็กน้อย มองข้ามป่า Clairfontaine ซึ่งทอดยาวไปในส่วนลึกของหุบเขา Vamskaya ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Varkinha ธรรมชาติอยู่ใกล้มากที่นี่ ที่นี่ไหลชลประทานสวนที่อ่อนแอหยดสกปรก ต้นหลิวบิดเบี้ยวที่นี่และที่นั่น อีกหน่อย - แนวต้นป็อปลาร์ ทางแคบที่ล้อมรอบด้วยพุ่มไม้หนาม หนีไปยังที่ดินทำกิน หมู่บ้านเหมืองแร่บนที่ราบสูง ถัดจากเหมือง ข้างนอกหนาวแล้ว หิมะกำลังตก ไม่สามารถรอได้อีกต่อไป Vincent เริ่มเทศนาที่ Tiny's Salon ในห้องโถงแคบที่มีผนังสีขาวภายใต้คานของเพดานที่มืดลงเป็นครั้งคราว

ครั้งหนึ่งวินเซนต์กำลังพูดถึงชาวมาซิโดเนียคนหนึ่งซึ่งปรากฏตัวต่อพอลในนิมิตของเขา เพื่อให้คนงานเหมืองจินตนาการถึงรูปร่างหน้าตาของเขา Vincent กล่าวว่าเขาดูเหมือน "คนงานที่มีตราประทับของความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานและความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของเขา ... แต่ด้วยจิตวิญญาณอมตะที่ปรารถนาความดีนิรันดร์ - พระวจนะของพระเจ้า " วินเซนต์พูดและฟังอยู่ “พวกเขาฟังฉันด้วยความสนใจ” เขาเขียน ทว่าร้าน Peewee's Salon กลับไม่ค่อยมีผู้มาเยี่ยมเยียน เดนิสคนทำขนมปัง ภรรยาและลูกชายสามคนของเขาเป็นแกนหลักของสังคมเล็กๆ แห่งนี้ แต่ถึงแม้จะไม่มีใครอยากฟังเขา วินเซนต์ก็ยังเทศน์สอน อย่างน้อยก็หันไปที่โต๊ะหินตรงมุมห้องโถง ถ้าจำเป็น เขาได้รับมอบหมายให้เทศนาพระคำของพระเจ้า - เขาจะเทศนาพระคำของพระเจ้า

คุณหลงเสน่ห์เขา เขาเขียนจดหมายถึงพี่ชายของเขาว่า "ในคืนสุดท้ายที่มืดมิดก่อนวันคริสต์มาส หิมะตกหนัก ทุกอย่างรอบตัวชวนให้นึกถึงภาพวาดของยุคกลางโดย Bruegel Muzhitsky รวมถึงผลงานของศิลปินอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถถ่ายทอดการผสมผสานที่แปลกประหลาดของสีแดงและสีเขียวขาวดำ " สีสันเพิ่มเติมในภูมิประเทศโดยรอบดึงดูดสายตาของนักเทศน์คนใหม่อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ภูมิทัศน์เหล่านี้ทำให้เขานึกถึงภาพวาดของคนอื่นตลอดเวลา "สิ่งที่ฉันเห็นที่นี่ทำให้นึกถึงผลงานของ Theis Maris หรือ Albrecht Durer เสมอ" ไม่มีใครเคยสังเกตเห็นความงามมากมายในสถานที่เหล่านี้เท่ากับชายผู้นี้ กระตือรือร้นยอมรับความประทับใจใดๆ หากพุ่มไม้พุ่มต้นไม้เก่าแก่ที่มีรากที่แปลกประหลาด "เตือนเขาถึงภูมิทัศน์ในการแกะสลักของDürer" อัศวินและความตาย " พวกเขาก็ทำให้เขานึกถึง Brabant ซึ่งเขาใช้เวลาในวัยเด็กของเขาและแม้กระทั่งเนื่องจากการเล่นที่แปลกประหลาด ของสมาคม - ความคิดของพระคัมภีร์: "ในวันสุดท้ายหิมะตก" เขาเขียน "และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเขียนบนกระดาษขาวเช่นหน้าของพระกิตติคุณ"

บางครั้งเขาวาดภาพแช่แข็งอยู่ข้างถนนหรือไม่ไกลจากเหมือง เขาไม่สามารถต้านทาน "ความบันเทิง" นี้ได้

แน่นอนว่าภารกิจของเขาไม่ได้ประสบกับสิ่งนี้เลยแม้แต่น้อย เขาอ่านคำเทศนา ดูแลผู้ป่วย สอนเด็กให้อ่านและเขียน และเข้าร่วมการอ่านพระคัมภีร์ในครอบครัวโปรเตสแตนต์ ในตอนเย็นเขาได้พบกับคนงานเหมืองที่เลิกกะที่ทางออกของเหมือง เหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวัน “พี่ชายอย่าดุฉัน เพราะฉันสมควรได้รับ แต่ฟังพระวจนะของพระเจ้า” เขาตอบอย่างสุภาพ เด็ก ๆ และคนที่ล้อเลียนวินเซนต์ แต่เขาก็ยังอดทนศึกษากับพวกเขา สอนพวกเขาอย่างขยันขันแข็งและเอาใจพวกเขา

ความเกลียดชังและความหวาดระแวงค่อยๆ หายไป การเยาะเย้ยก็หยุดลง Salon of Peewee กลายเป็นที่แออัดมากขึ้น เงินทั้งหมดที่ Vincent ได้รับนั้นมอบให้กับคนจน และเขาให้เวลาและพลังงานของเขากับทุกคนที่ต้องการ เข้าไปในบ้านของคนงานเหมือง เขาให้ความช่วยเหลือพวกผู้หญิง ทำอาหารเย็นและล้างพวกเขา “ส่งงานให้ฉัน เพราะฉันเป็นคนรับใช้ของคุณ” เขากล่าว แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนและการปฏิเสธตนเอง เขาปฏิเสธตัวเองทุกอย่าง เขากินขนมปัง ข้าว และกากน้ำตาลเพียงเล็กน้อย เขาเดินเท้าเปล่าเป็นส่วนใหญ่ สำหรับมาดามเดนิสที่ตำหนิเขาในเรื่องนี้ เขาตอบว่า: "รองเท้าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยเกินไปสำหรับเอกอัครราชทูตของพระคริสต์" ท้ายที่สุดแล้ว พระคริสต์ตรัสว่า: "อย่าเอากระสอบ, กระเป๋าถือ, อย่าสวมรองเท้า" Vincent ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ที่เขารับหน้าที่ส่งไปยังผู้คนอย่างกระตือรือร้นและพิถีพิถัน ในตอนแรก นักขุดหลายคนมาฟัง Vincent ด้วยความกตัญญูเท่านั้น เขาซื้อยาด้วยเงินของตัวเอง สอนลูกจากคนอื่น ดังนั้นพวกเขาจึงลังเลใจและเดินไปที่ Salon of Tiny แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็เริ่มไปที่นั่นด้วยเจตจำนงเสรีของตนเอง วินเซนต์ยังคงพูดไม่เก่ง ขณะแสดงพระธรรมเทศนา ท่านก็โบกมืออย่างแรง แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้วิธีที่จะเคลื่อนไหว กระตุ้นหัวใจ คนงานเหมืองเชื่อฟังเสน่ห์ของผู้ชายคนหนึ่งที่ "ไม่เหมือนคนอื่นๆ" อย่างที่มาดามเดนิสเคยพูดไว้

มีเพียงบาทหลวงบอนเตเท่านั้นที่พอใจกับวินเซนต์น้อยกว่ามาก เขาตำหนิชายหนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาเข้าใจผิดเกี่ยวกับภารกิจของเขา และไม่ได้ปิดบังว่าพฤติกรรมของเขาดูไม่เหมาะสมสำหรับเขา ความสูงส่งที่มากเกินไปทำลายผลประโยชน์ของศาสนา นอกจากนี้ ไม่ควรสับสนสัญลักษณ์และความเป็นจริง! ใจเย็นๆ ได้โปรด! ก้มศีรษะลง Vincent สัญญาว่าจะปรับปรุง แต่ไม่เคยเปลี่ยนพฤติกรรมของเขา

และเขาจะเปลี่ยนมันได้อย่างไร? ทุกสิ่งที่เขาทำไม่ตอบสนองต่อพระบัญชาของพระคริสต์ใช่หรือไม่? และความยากจน ความยากจนรอบข้าง จะไม่ชักจูงให้คนใดทำตามแบบอย่างของเขา จริงไหม? เป็นความจริงที่คนงานเหมืองยังมีช่วงเวลาแห่งความสุขเมื่อพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับความสนุกสนานที่หยาบคาย: การแข่งขันนักธนู การแข่งขันนักสูบบุหรี่ การเต้นรำ และเพลง แต่ช่วงเวลาเหล่านี้หายาก พวกเขาไม่อนุญาตให้ผู้คนลืมปัญหาชีวิตที่ยากลำบากและน่าเศร้า แล้วถ้าไม่ใช่ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ใครจะเป็นตัวอย่างของการปฏิเสธตนเองให้พวกเขาได้? ใครจะเชื่อคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเขา ถ้าตัวเขาเองไม่กลายเป็นคำยืนยันที่มีชีวิต? เขาต้องเปิดจิตวิญญาณทั้งหมดแห่งความดีของข่าวประเสริฐ ละลายความเจ็บปวดของเขาให้เป็นความเมตตา

Vincent ยังคงทำงานของเขาต่อไป “บาปมีเพียงอย่างเดียว” เขากล่าว “นั่นคือการทำความชั่ว” และสัตว์ต่างๆ ก็เหมือนกับมนุษย์ที่ต้องการความเห็นอกเห็นใจ เขาห้ามไม่ให้เด็กทรมานด้วง May หยิบและรักษาสัตว์จรจัดซื้อนกเพื่อปล่อยพวกมันทันที ครั้งหนึ่ง ในสวนของคู่สมรสของเดนิส เขาหยิบหนอนผีเสื้อตัวหนึ่งที่คลานไปตามทางเดิน และพามันไปยังที่เปลี่ยวอย่างระมัดระวัง เกี่ยวกับ "ดอกไม้" โดย Vincent Van Gogh! ครั้งหนึ่งคนขุดถ่านหินโยนกระสอบใส่ตัวเอง และมีข้อความจารึกบนหลังของเขาว่า "ระวังแก้ว!" ทุกคนรอบตัวหัวเราะเยาะคนงานเหมือง มีเพียงวินเซนต์เท่านั้นที่อารมณ์เสีย ที่นี่ได้รับพร! ทุกคนเริ่มหัวเราะเยาะคำพูดที่น่าสมเพชของเขา

Vincent เต็มไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและความอ่อนโยนและบ่อยครั้งที่เขาถูกครอบงำด้วยความเศร้าโศกที่สิ้นหวัง แต่บางครั้งเขาก็ถูกครอบงำด้วยความบ้าคลั่ง: ครั้งหนึ่งเมื่อพายุฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น Vincent รีบเข้าไปในป่าและเดินไปกลางสายฝน จากเขาชื่นชม "ปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ ผู้สร้าง " แน่นอนว่าชาว Wama บางคนถือว่าเขาเป็นคนบ้า “พระคริสต์ผู้ช่วยให้รอดของเราก็โกรธเช่นกัน” เขาตอบ

ทันใดนั้น เกิดการระบาดของโรคไข้รากสาดใหญ่ในพื้นที่ เธอตัดขาดทุกคน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งชายและหญิง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดพ้นจากโรคนี้ แต่วินเซนต์ก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ เขากระตือรือร้นใช้โอกาสที่หายากเพื่อสนองความหลงใหลในการบำเพ็ญตบะอย่างกระตือรือร้น คงกระพัน ไม่ย่อท้อ เขาอุทิศกำลังทั้งหมดของเขาเพื่อดูแลคนป่วยทั้งกลางวันและกลางคืน ละเลยอันตรายของการติดเชื้อ เขาได้มอบทุกสิ่งที่เขามีเมื่อนานมาแล้ว เหลือเพียงผ้าขี้ริ้วที่น่าสมเพชสำหรับตัวเขาเอง เขาไม่กินไม่นอน เขาซีดและผอม แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีความสุขพร้อมสำหรับการเสียสละอื่น ๆ นับไม่ถ้วน มีคนจำนวนมากที่ประสบกับปัญหา หลายคนที่ถูกทิ้งไว้โดยไม่มีรายได้ จะต้องพบกับความยากจน - เขาจะใช้เงินจำนวนมากเพื่อตัวเองในสภาพเหล่านี้ได้อย่างไร ครอบครองทั้งห้องในบ้านที่สะดวกสบาย? เผาด้วยความกระหายที่จะปฏิเสธตัวเองด้วยมือของเขาเองเขาสร้างเพิงสำหรับตัวเองในส่วนลึกของสวนและทำเตียงสำหรับคืนนี้ด้วยฟาง ทุกข์ย่อมดีกว่าสุข ทุกข์คือการทำให้บริสุทธิ์

และความเห็นอกเห็นใจคือความรัก และทุกอย่างต้องทำเพื่อช่วยเหลือผู้คน บางทีในที่สุดผู้คนก็รู้สึกว่าความรักอันทรงพลังของ Vincent มีต่อพวกเขา? อิทธิพลของเขาเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้ผู้คนคาดหวังปาฏิหาริย์จากเขา เมื่อเกณฑ์ทหารได้รับการแต่งตั้งจากการจับฉลาก มารดาของทหารเกณฑ์จะขอให้ผู้ที่ถูกเรียกว่า "บาทหลวงวินเซนต์" ฟังคำกล่าวจากข่าวประเสริฐอย่างเชื่องช้า บางทียันต์นี้อาจจะช่วยลูกชายของพวกเขาจากสายรัดของทหารที่หนักหน่วงได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นกระท่อมที่วินเซนต์สร้างขึ้นเพื่อตัวเอง บาทหลวงบอนท์ก็รู้สึกอับอายในความเร่าร้อนของเขา การเสียสละตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดก็กลายเป็นความโกรธ แต่วินเซนต์กลับดื้อดึง ฉันดื้อรั้นต่อความโชคร้ายของฉันเพราะในเวลานั้นตัวแทนของ Evangelical Society มาถึงคุณเพื่อตรวจสอบครั้งต่อไป “ความขยันขันแข็งที่น่าเสียใจ” เขากล่าวสรุป "ชายหนุ่มคนนี้" เขาบอกกับสาธารณชนในการบรรยาย "ขาดคุณสมบัติของสามัญสำนึกและความพอประมาณที่จำเป็นสำหรับมิชชันนารีที่ดี"

คำตำหนิที่ถาโถมใส่วินเซนต์จากทุกทิศทุกทางทำให้คุณแม่เดนิสไม่พอใจ แต่เธอกำลังสิ้นหวังจากความยากลำบากที่ผู้เช่าที่แปลกประหลาดของเธอได้ประสบกับตนเอง ไม่สามารถต้านทานได้ เธอเองตำหนิเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขามีชีวิตอยู่ "ในสภาพที่ไม่ปกติ" เธอจึงตัดสินใจเขียนจดหมายถึงเอตเทน เธอเป็นแม่ ดังนั้นหน้าที่ของเธอคือการบอกศิษยาภิบาลและภรรยาของเขาว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเชื่อว่าเขาอาศัยอยู่กับเธอด้วยความอบอุ่นและสบายใจ แต่เขาก็มอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีโดยไม่ทิ้งอะไรไว้ให้ตัวเองเลย: เมื่อเขาต้องการแต่งตัว เขาจะตัดเสื้อเชิ้ตจากกระดาษสีน้ำตาล

ที่เอตเทน บาทหลวงและภรรยาของเขา กำลังอ่านจดหมายของแม่เดนิสอย่างเงียบๆ ส่ายหัวอย่างเศร้าสร้อย ดังนั้นวินเซนต์จึงกลับไปสู่ความวิปริตของเขา เหมือนเดิมเสมอ! จะทำอย่างไร? เห็นได้ชัดว่ามีสิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่: ไปหาเขาอีกครั้ง - เป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน - ลงโทษเด็กตัวใหญ่คนนี้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เหมือนคนอื่น ๆ

แม่เดนิสไม่ได้โกหก: ศิษยาภิบาลมาถึงคุณโดยไม่คาดคิดพบวินเซนต์นอนอยู่ในกระท่อม เขารายล้อมไปด้วยคนงานเหมืองที่เขาอ่านข่าวประเสริฐ

มันเป็นตอนเย็น แสงสลัวของตะเกียงส่องสว่างฉากนี้ วาดภาพเงาที่แปลกประหลาด เน้นลักษณะมุมของใบหน้าที่ผอมแห้ง เงาของร่างที่โค้งคำนับอย่างคารวะ และในที่สุด ความผอมบางอันน่าสยดสยองของวินเซนต์ซึ่งดวงตาของเขาไหม้เกรียมด้วยไฟสีเข้มบนใบหน้าของเขา

ด้วยสายตาที่ท่วมท้น ศิษยาภิบาลจึงรอจนกว่าการอ่านจะจบลง เมื่อคนงานเหมืองออกไป เขาบอก Vincent ว่ามันยากแค่ไหนที่เขาจะเห็นลูกชายของเขาในสภาพแวดล้อมที่ขอทาน เขาต้องการที่จะฆ่าตัวตาย? มันสมเหตุสมผลไหมที่จะประพฤติแบบนี้? ด้วยพฤติกรรมที่ประมาทของเขา เขาจะดึงดูดคนจำนวนไม่มากภายใต้ร่มธงของพระคริสต์ มิชชันนารีทุกคน เช่นเดียวกับนักบวช ต้องรักษาระยะห่างตามตำแหน่งที่กำหนด และต้องไม่เสียศักดิ์ศรี

Vincent ติดตามพ่อของเขาอย่างเคร่งขรึมและกลับไปที่ห้องเก่าในบ้านของมาดามเดนิส เขารักพ่อของเขา - ปล่อยให้เขากลับบ้านอย่างปลอดภัย แต่วินเซนต์เองควรคิดอย่างไรเกี่ยวกับการประณามทั้งหมดที่ถาโถมใส่เขาจากด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง? แม้แต่บิดาของเขาซึ่งเขาต้องการเลียนแบบอย่างหลงใหลก็เยาะเย้ยเขา เขาเลือกผิดอีกแล้วเหรอ? หลังจากการระบาดของไข้รากสาดใหญ่ แทบจะไม่มีใครเรียกเขาว่าบ้าในตอนนี้ จริงอยู่ว่าคนบนถนนหัวเราะและดูแลเขา แต่นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ศิษยาภิบาล Bonte ผู้ตรวจการของ Evangelical Society พ่อของเขาเอง ต่างประณามความศรัทธาที่จริงจังของเขา เรียกร้องให้เขาระงับแรงกระตุ้น แต่กระนั้น เขาเป็นคนบ้าจริง ๆ เพียงเพราะเขายืนหยัดในการรับใช้ศรัทธาอย่างไม่แบ่งแยกหรือ? หากพระกิตติคุณเป็นความจริง ข้อจำกัดก็เป็นไปไม่ได้ หนึ่งในสองสิ่ง: พระกิตติคุณเป็นความจริง และคุณต้องปฏิบัติตามในทุกสิ่ง ทั้ง ... หรือ ... ไม่มีตัวเลือกที่สาม การเป็นคริสเตียน - สิ่งนี้สามารถลดลงเหลือเพียงท่าทางน่าสมเพชที่ไม่มีความหมายที่แท้จริงได้อย่างไร? ต้องยอมจำนนต่อศรัทธาในวิญญาณและร่างกาย รับใช้ด้วยกายและวิญญาณ อุทิศตนเพื่อรับใช้ผู้คน ร่างกายและจิตวิญญาณเพื่อเร่งเข้าสู่ไฟและเผาด้วยเปลวเพลิงอันเจิดจ้า อุดมคติสามารถบรรลุได้ด้วยอุดมคติเท่านั้น เขาบ้าเหรอ? เขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทั้งหมดของศรัทธาที่เผาไหม้ในหัวใจของเขาหรือ? แต่บางทีความเชื่อนี้อาจทำให้จิตใจของเขาขุ่นมัว? เป็นเรื่องบ้าหรือไม่ที่เชื่อว่าคุณธรรมจะรอดได้? พระเจ้าจะทรงช่วยผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะสาปแช่งผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จะสาปแช่ง - โอ้ ความเชื่อที่ประชดประชัน! บุคคลถูกประณามหรือเลือกในขั้นต้น “ผู้ใดก็ตามที่รักองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่มีสิทธิ์คาดหวังการตอบแทนซึ่งกันและกัน” บางทีอาจเป็นพระเจ้าเอง - ผ่านทางริมฝีปากของผู้ว่าวินเซนต์ - พูดคำสาปที่น่ากลัว? มันเป็นเรื่องไร้สาระ สิ้นหวังในไร้สาระ? ตัวอย่างเช่น ตัวเขาเอง Vincent Van Gogh ไม่ว่าเขาจะพยายามชดใช้ความผิดด้วยการลงโทษที่รุนแรงที่สุดเพียงใด ไม่ว่าเขาจะประกาศความรักและศรัทธามากแค่ไหน เขาจะไม่มีวันลบรอยเปื้อนที่ตราหน้าเขาออกจาก เปล; การทรมานนี้จะไม่มีวันสิ้นสุด

คุณจะไปไหน วินเซนต์ แวนโก๊ะ? เขาดื้อรั้นป่วยด้วยความสิ้นหวังในใจเขาเดินทางต่อไป ผ่านความมืดมิดสู่แสงสว่าง จำเป็นต้องจมลงต่ำลงต่ำมากเพื่อทราบขอบเขตของความสิ้นหวังของมนุษย์เพื่อกระโดดลงไปในความมืดมิดของโลก “อย่าผสมสัญลักษณ์กับความเป็นจริง” ไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไร! สัญลักษณ์ ความเป็นจริง - ทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียว ทุกสิ่งรวมกันเป็นสัจธรรมอันแท้จริงเดียว คนที่โชคร้ายที่สุดคือคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในท้องสีดำของโลก วินเซนต์จะไปหาพวกเขา

ในเดือนเมษายน เขาลงไปที่เหมือง Marcas และเดินจากอาดิทสู่อาดิทติดต่อกันหกชั่วโมงที่ระดับความลึกเจ็ดร้อยเมตร “เหมืองนี้” เขาเขียนถึงพี่ชายของเขาว่า “มีชื่อเสียงไม่ดี เพราะคนจำนวนมากเสียชีวิตที่นี่ - ระหว่างการสืบเชื้อสาย ระหว่างทางขึ้น จากการหายใจไม่ออก หรือจากการระเบิดของไฟชื้น เมื่อการล่องลอยถูกน้ำท่วมด้วยน้ำใต้ดินเมื่อ adits เก่ายุบและอื่น ๆ นี่เป็นสถานที่ที่น่ากลัว และเมื่อมองแวบแรก พื้นที่ทั้งหมดก็ตกตะลึงกับความตายอันน่าขนลุก คนงานที่นี่ส่วนใหญ่เป็นคนผิวซีดผอมแห้งเป็นไข้ พวกเขาดูซีดเซียว, เหนื่อย, หยาบ, คนแก่ก่อนวัยอันควร ผู้หญิงมักจะซีดและเหี่ยวแห้งถึงตาย รอบ ๆ เหมืองมีกระท่อมคนงานเหมืองที่น่าสมเพชและต้นไม้ที่ตายแล้วสองสามต้น ที่ดำสนิทด้วยเขม่า พุ่มไม้หนาม ขยะและตะกรัน ภูเขาถ่านหินที่ไร้ค่า ฯลฯ มาริสจะสร้างภาพที่สวยงามจากสิ่งนี้” Vincent กล่าวสรุป .

Vincent ได้ข้อสรุปอื่น ๆ จากการเดินทางไปยังมดลูกของโลก เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจำนวนคนงานเหมืองจะน่ากลัวขนาดนี้ ด้านล่างในครรภ์ของโลกเขาไม่พอใจผู้ที่กำหนดสภาพการทำงานที่เลวร้ายเช่นนี้ให้กับพี่น้องของพวกเขาไม่ได้ให้อากาศใน adits และไม่ปลอดภัยในการเข้าถึงพวกเขาไม่สนใจเลยเกี่ยวกับการบรรเทาชะตากรรมของคนงานเหมืองซึ่ง มันยากมากอยู่แล้ว ด้วยความขุ่นเคืองใจ "บาทหลวงวินเซนต์" ด้วยขั้นตอนเด็ดขาดไปที่การจัดการของเหมืองและเรียกร้องให้ใช้มาตรการความปลอดภัยด้านแรงงานอย่างเร่งด่วนในนามของภราดรภาพของประชาชนในนามของความยุติธรรมที่เรียบง่าย สุขภาพขึ้นอยู่กับมันบ่อยครั้งแม้กระทั่งชีวิตของคนงานในนรก เจ้าของตอบสนองความต้องการของเขาด้วยเสียงหัวเราะเยาะเย้ยและการล่วงละเมิด วินเซนต์ยืนกรานด้วยความโกรธ “คุณวินเซนต์” พวกเขาตะโกนบอกเขา “ถ้าคุณไม่ปล่อยให้เราอยู่คนเดียว เราจะพาคุณไปโรงพยาบาลบ้า!” "บ้า" - คลานออกมาอีกครั้งยิ้มเยาะเย้ยคำที่น่ารังเกียจนี้ บ้า - แน่นอน! มีเพียงคนบ้าเท่านั้นที่สามารถรุกล้ำผลกำไรของเจ้าของเพื่อเห็นแก่การปรับปรุงที่ไม่จำเป็น! มีเพียงคนบ้าเท่านั้นที่สามารถเรียกร้องให้ละทิ้งเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยเช่นนี้ได้ - จากทุก ๆ 100 ฟรังก์ที่ยกขึ้นสำหรับถ่านหินที่ออกไปยังภูเขาผู้ถือหุ้นจะได้รับ 39 สุทธิ การเปรียบเทียบตัวเลขเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วและความบ้าคลั่งของ Vincent Van Gogh จะ กลายเป็นชัดเจน

เมื่อมาถึงที่นี่ใน Borinage Vincent พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่เกิดสังคมสมัยใหม่และมีการจัดตั้งองค์กรที่สามารถทำลายบุคคลที่มีอำนาจของตนได้ ที่ราบเนินเขานี้ ทั้งหมดเป็นสีเทา เศร้าและหดหู่ มีเพิงอิฐสกปรกและกองตะกรัน ราวกับเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของชายหญิงในท้องถิ่น ดึงสายรัดของพวกเขาอย่างเหน็ดเหนื่อย Vincent ไม่สามารถเห็นอกเห็นใจพวกเขาได้หรือไม่? ความเศร้าโศกของพวกเขาคล้ายกับความเศร้าโศกของเขา เช่นเดียวกับเขา ผู้ยากไร้ ผู้ถูกขับไล่ พวกเขารู้จักการทรมานเพียงครั้งเดียว ไม่มีใคร ไม่มีอะไรตอบสนองต่อเสียงคร่ำครวญของพวกเขา พวกเขาอยู่เพียงลำพัง หลงทางในโลกที่โหดร้ายนี้ ท้องฟ้ามืดครึ้มต่ำลงมาอย่างน่ากลัว โลก. ภายใต้ท้องฟ้าสีเทามรณะ วินเซนต์เดินข้ามที่ราบ เขาเต็มไปด้วยความสงสัยและคำถาม ความวิตกกังวลและความสยดสยอง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรับรู้ถึงความเหงาอันน่าสยดสยองได้ชัดเจนขนาดนี้มาก่อน แต่มันจะเป็นอย่างอื่นได้ไหม? จิตวิญญาณของเขาที่โหยหาอุดมคตินั้น เป็นมนุษย์ต่างดาว ต่างดาวจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง ไม่มีตัวตนด้วยเครื่องจักร โหดร้าย ไร้ความปราณี และน่าเกลียด จากโลกที่ไร้มนุษยธรรมนี้ เขาถูกปฏิเสธด้วยความทุกข์ทรมาน คนที่รู้เพียงถ้อยคำแห่งความรัก ความเมตตาเป็นตัวเป็นตน บุคคลผู้นำมิตรภาพ ภราดรภาพ ความยุติธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ มาสู่ผู้อื่น เขาเปรียบเสมือนข้อกล่าวหาที่มีชีวิตในโลกนี้

เมื่อวันที่ 16 เมษายน เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่เหมือง Agrapp ในหมู่บ้าน Frameri ที่อยู่ใกล้เคียง เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากการระบาดของไข้รากสาดใหญ่ Borinage ได้รับความเศร้าโศกและความตายอีกครั้ง การระเบิดทำให้คนงานเหมืองหลายคนเสียชีวิต ผู้บาดเจ็บจำนวนมากถูกหามออกจากเหมือง อนิจจา เหมืองไม่มีโรงพยาบาล ผู้บริหารคิดว่ามันแพงเกินไป มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก แพทย์เร่งให้การปฐมพยาบาลแก่ผู้ที่มีความหวังที่จะรอดชีวิต และวินเซนต์ก็อยู่ที่นี่ด้วย เขาไม่มาได้ยังไง? ทุกหนทุกแห่งที่มีปัญหา เขาจะตอบสนองโดยไม่ล้มเหลวต่อความเศร้าโศกใดๆ และเช่นเคย เขาไม่เหลืออะไรเลย ช่วยเหลือเท่าที่เขาจะทำได้: ฉีกผ้าลินินที่เหลือของเขาเป็นผ้าพันแผลอย่างบ้าคลั่ง ซื้อน้ำมันตะเกียงและแว็กซ์ แต่ต่างจากแพทย์ เขาพิงคนงานเหมืองที่ได้รับบาดแผลร้ายแรงที่สุด Vincent ไม่มีความคิดเกี่ยวกับยา เขาทำได้แค่รัก ด้วยความรัก ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น เขาก้มตัวเหนือร่างของผู้ต้องโทษ ละทิ้งชะตากรรมของพวกเขา เขาได้ยินเสียงหายใจดังเสียงฮืด ๆ ของผู้ตาย ความรักของเขาที่มีต่อความชั่วร้ายของโลกนี้คืออะไร? เขาจะทำอะไรได้บ้าง Vincent คนบ้าที่โชคร้าย? วิธีการบันทึกวิธีการรักษาคนเหล่านี้? ด้วยท่าทางที่อึดอัด เขายกศีรษะของเหยื่อรายหนึ่งขึ้น คนขุดแร่มีเลือดออกหน้าผากของเขาเป็นแผลต่อเนื่อง เขาคร่ำครวญเมื่อวินเซนต์จับตัวเขา แต่มันจะอ่อนโยนกว่ามือของวินเซนต์ที่จะสัมผัสใบหน้าเปื้อนเลือดที่เสียโฉม คล้ำดำ และเปื้อนเลือดนี้ได้หรือไม่? แพทย์ประกาศว่าเขาหมดหวัง แล้วจะดูแลเขาทำไม? แต่มันคุ้มค่าที่จะละเลยการดูแลหรือไม่? ทำไมไม่แสดงความห่วงใยต่อผู้คนทุกที่และทุกเวลาให้มากขึ้น? Vincent พาคนงานเหมืองไปที่กระท่อมของเขา แล้วนั่งลงข้างเตียงวันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า วิทยาศาสตร์ตัดสินประหารชีวิตชายคนนี้ แต่ความรัก ความรักที่บ้าคลั่งของ Vincent ตัดสินแตกต่างออกไป คนนี้ต้องอยู่ เขาจะมีชีวิตอยู่! และทีละเล็กทีละน้อย วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า บาดแผลของคนงานเหมืองก็หาย และเขาก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมา

“ฉันเห็นรอยแผลเป็นที่หน้าผากของชายผู้นี้ และสำหรับฉันดูเหมือนว่าพระคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์อยู่ตรงหน้าฉัน” วินเซนต์กล่าว

วินเซนต์มีความยินดี เขาบรรลุผลสำเร็จ ซึ่งเป็นงานแรกในชีวิตของเขาที่พระคริสต์เรียกร้องจากผู้คน "ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาศิลปิน" ผู้ซึ่ง "ปฏิเสธหินอ่อน ดินเหนียว และสี" เลือกเนื้อที่มีชีวิตเป็นเป้าหมายของการสร้างสรรค์ของเขา วินเซนต์ชนะ ความรักชนะเสมอ

ใช่ ความรักชนะเสมอ “ ฉันมาสวดมนต์จมูก ... ” คนขี้เมาบ่นซึ่งได้รับบาดเจ็บระหว่างภัยพิบัติที่เหมืองที่แคชเชียร์เมื่อ "บาทหลวงวินเซนต์" ปรากฏตัวในบ้านของเขาโดยเสนอการมีส่วนร่วมและความช่วยเหลือแก่เขา คนขี้เมาเป็นเจ้าแห่งการสบถและปฏิบัติต่อ Vincent ให้สาบานด้วยทางเลือก แต่ความรักมักจะชนะ วินเซนต์ทำให้ผู้ที่ไม่เชื่อต้องอับอาย

วินเซนต์จะประสบความสำเร็จได้มากเพียงใดหากเขาไม่โดดเดี่ยวและอ่อนแออย่างน่าเศร้า! เขารู้สึกว่ามีวงแหวนที่เป็นศัตรูล้อมรอบตัวเขา สมาคมผู้เผยแพร่ศาสนาไม่ได้ทิ้งเขาไว้ตามลำพัง: ศิษยาภิบาล Roshdier ถูกส่งไปหาเขาเพื่อเรียกเขาว่าตามคำพูดของบาทหลวง Bonte "เพื่อประเมินสิ่งต่าง ๆ อย่างมีสติมากขึ้น" เขาถูกคุกคามด้วยการไล่ออกจากตำแหน่งในฐานะนักเทศน์หากเขายังคงทำเช่นนี้และทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงคริสตจักรอย่างต่อเนื่องด้วยพฤติกรรมที่น่าอับอายของเขา Vincent รู้ว่าเขาถึงวาระแล้ว แต่เขายังคงเดินไปตามทางของเขา เขาจะผ่านมันไปจนจบโดยไม่คำนึงถึงผลของการต่อสู้ที่สิ้นหวังนี้

เขาไม่ใช่คนที่ต้องการความหวังเพื่อทำงานของเขาและประสบความสำเร็จเพื่อให้มันดำเนินต่อไป เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่รู้เห็นความหายนะของเขาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ไม่รู้จักตัวเองว่าพ่ายแพ้และไม่ยอมแพ้ เขามาจากเผ่ากบฏ

บางทีเขาอาจจะพูดอะไรบางอย่างที่คล้ายกับคนงานเหมืองด้วยซ้ำ การระบาดของไข้รากสาดใหญ่ การระเบิดของไฟชื้นทำให้เกิดปัญหามากมาย ความไร้เหตุผลและความโหดร้ายของเจ้าของเหมืองถ่านหินนั้นชัดเจนมากจนคนงานเหมืองตัดสินใจหยุดงานประท้วง สุนทรพจน์ของวินเซนต์ซึ่งชนะใจพวกเขาอย่างสมบูรณ์ บางทีอาจเร่งการตัดสินใจของพวกเขาในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม Vincent ถือเป็นหนึ่งในผู้นำการโจมตี เขาจัดกองทุนเพื่อช่วยผู้หยุดงานโต้เถียงกับเจ้าของเหมือง อย่างไรก็ตาม กองหน้าเองก็มีแนวโน้มที่จะระบายความขุ่นเคืองด้วยการตะโกนเสียงดังและกวัดแกว่งหมัด เขาสอนความอ่อนโยนและความรัก พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้พวกเขาจุดไฟเผาเหมือง “ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง” เขากล่าว “จงรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองให้ดี เพราะความรุนแรงฆ่าทุกสิ่งที่ดีงามในตัวบุคคล”

ความเมตตาและความกล้าหาญของเขาไม่สิ้นสุด เราต้องสู้ สู้ให้ถึงที่สุด และพรุ่งนี้คนงานเหมืองก็จะลงไปที่เหมืองอีกครั้ง และจะเกิดอะไรขึ้นกับวินเซนต์ .. เขารู้ว่าเขาถึงวาระ ถูกลืม และถูกทอดทิ้งสู่ความเมตตาแห่งโชคชะตา เช่นเดียวกับคนงานเหมืองในส่วนลึกของอาดิต เช่นเดียวกับชายผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นซึ่งถูกตัดสินประหารชีวิตโดยแพทย์ซึ่งเขาทิ้งไว้ เขาโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวด้วยความรักที่ไม่สิ้นสุด ว่าจะไปที่ไหน? จะทำอย่างไร? จะจัดการกับการต่อต้านของโชคชะตานี้ได้อย่างไร? บางทีชะตากรรมของเขาคือการพินาศเพื่อเหี่ยวเฉาในการต่อสู้ครั้งนี้? บางครั้งในตอนเย็นเขาวางเด็กผู้ชายคนหนึ่งของเดนิสไว้บนตักของเขา และบอกลูกถึงความเศร้าโศกของเขาด้วยน้ำตา “ลูก” เขาพูด “ตั้งแต่ฉันอยู่ในโลกนี้ ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในคุก ทุกคนคิดว่าฉันไม่เก่งอะไรเลย แต่ถึงกระนั้น ” เขากล่าวเสริมทั้งน้ำตา “ผมต้องทำอะไรซักอย่าง ฉันรู้สึก: ฉันต้องทำอะไรบางอย่างที่ฉันทำได้เท่านั้น แต่มันคืออะไร? อะไร? ฉันไม่รู้ว่า”

ในช่วงพักระหว่างสองบทเทศนา วินเซนต์มักจะเล่าให้โลกฟังถึงความเศร้าโศกของผู้คนที่ไม่มีใครกังวลแม้แต่น้อย ซึ่งไม่มีใครอยากจะรู้สึกเสียใจ

ข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วใน Wama: "สุภาพบุรุษบรัสเซลส์" ไล่ Vincent ออกจากตำแหน่งนักเทศน์โดยอ้างว่าเขาไม่มีคารมคมคาย ในไม่ช้าเขาจะออกจาก Borinage คนกำลังร้องไห้ “เราจะไม่มีเพื่อนแบบนี้อีกแล้ว” พวกเขากล่าว

“บาทหลวงวินเซนต์” พับเก็บข้าวของ พวกเขาทั้งหมดพอดีกับผ้าพันคอที่ผูกเป็นปม เขาซ่อนภาพวาดของเขาไว้ในโฟลเดอร์ คืนนี้เขาจะไปบรัสเซลส์ เขาจะเดินเท้า เพราะเขาไม่มีเงินสำหรับการเดินทาง เท้าเปล่า เพราะเขาให้ทุกสิ่งที่เขามีไป เขาซีด หมดแรง หดหู่ เศร้าอย่างไม่รู้จบ หกเดือนแห่งความอดอยาก ความห่วงใยที่เสียสละต่อผู้คนทำให้บุคลิกของเขาคมขึ้น

ค่ำก็มา วินเซนต์ไปบอกลาบาทหลวงบอนท์ เคาะประตูแล้วข้ามธรณีประตูบ้านศิษยาภิบาล เขาก้มศีรษะลง ... เพื่อตอบสนองต่อคำพูดของศิษยาภิบาลเขาพูดอย่างเฉื่อยชา:“ ไม่มีใครเข้าใจฉัน ฉันถูกประกาศว่าบ้าเพราะฉันต้องการทำสิ่งที่คริสเตียนแท้ควรทำ พวกเขาไล่ฉันออกไปเหมือนสุนัขจรจัด กล่าวหาว่าฉันก่อเรื่องอื้อฉาว และทั้งหมดเป็นเพราะฉันพยายามบรรเทาชะตากรรมของผู้เคราะห์ร้าย ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำอย่างไร” วินเซนต์ถอนหายใจ - บางทีคุณพูดถูกและฉันเป็นคนฟุ่มเฟือยบนโลกนี้คนเกียจคร้านที่ไม่จำเป็น

บาทหลวงบอนท์ไม่พูดอะไร เขา. มองดูชายที่ขาดสติและไม่มีความสุขที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยตอซังสีแดง ดวงตาที่แผดเผา บางทีอาจจะเป็นศิษยาภิบาล Bonte เป็นครั้งแรก เคยเห็น Vincent van Gogh.

วินเซนต์ไม่ลังเลใจ มีทางยาวไปข้างหน้า ยังมีอีกมากที่ต้องไป! เขาบอกลาศิษยาภิบาลด้วยกล่องกระดาษแข็งใต้วงแขน พร้อมกับห่อมัดบนไหล่ของเขา เดินเข้าไปในตอนกลางคืนและเดินไปตามถนนที่มุ่งสู่บรัสเซลส์ เด็ก ๆ ตะโกนตามเขา: “ขยับ! ซึ้ง!" เสียงร้องดังกล่าวมักจะรีบเร่งหลังจากที่พ่ายแพ้

บาทหลวงบอนเตโกรธจัดสั่งเด็กๆ ให้หุบปาก กลับมาที่บ้านของเขา เขาทรุดตัวลงบนเก้าอี้แล้วกระโจนเข้าสู่ห้วงความคิดลึกๆ เขากำลังคิดอะไรอยู่? บางทีเขาอาจจะจำแนวของข่าวประเสริฐได้? ไม่ใช่ถ้อยคำเหล่านี้ของพระคริสต์: "ดูเถิด เราใช้เจ้าไปดุจแกะท่ามกลางหมาป่า" ชายผู้นี้ถูกคริสตจักรไล่ออกจากใคร? เขาคือใคร? แต่มียอดเขาที่ไม่สามารถเข้าถึงได้สำหรับศิษยาภิบาลผู้น่าสงสารของหมู่บ้านเหมืองแร่ที่ยากจน ...

ทันใดนั้น บาทหลวงบอนเต้ก็ทำลายความเงียบ “เราพาเขาไปเป็นคนบ้า” เขาพูดอย่างเงียบ ๆ กับภรรยาของเขาด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินการสั่นเล็กน้อย - เราพาเขาไปเป็นคนบ้าและเขาอาจเป็นนักบุญ ... "

V. "มีบางอย่างในจิตวิญญาณของฉัน แต่อะไรนะ"

ฉันอยู่ที่นี่ฉันไม่สามารถทำอย่างอื่นได้

ลูเทอร์ จากสุนทรพจน์ที่ Worms Cathedral

ศิษยาภิบาลที่เคารพ Petersen สมาชิกของ Evangelical Society รู้สึกทึ่งกับการปรากฏตัวของ Vincent เขามองดูชายผู้นี้ด้วยความประหลาดใจ เหนื่อยกับการเดินระยะไกล ซึ่งปรากฏตัวต่อหน้าเขาด้วยผ้าขี้ริ้วที่เต็มไปด้วยฝุ่น ขาเปื้อนเลือด

ทั้งหมดอยู่ในกำมือของความคิดเดียว พึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเองไม่หยุด Vincent เดินไปข้างหน้าด้วยก้าวใหญ่ ไม่ยอมให้ตัวเองได้พักผ่อน และในที่สุดก็มาถึงบ้านของบาทหลวงปีเตอร์เสน พระศาสดาทรงอัศจรรย์ใจและเคลื่อนไหว เขาตั้งใจฟังวินเซนต์ ตรวจดูภาพวาดที่เขาหยิบออกมาจากแฟ้มอย่างระมัดระวัง ในยามว่าง ศิษยาภิบาลวาดภาพด้วยสีน้ำ บางทีเขาอาจจะสนใจภาพวาดของวินเซนต์จริงๆ? บางทีเขาอาจเห็นจุดเริ่มต้นของพรสวรรค์พรสวรรค์ของศิลปิน? หรือบางทีเขาอาจตัดสินใจด้วยค่าใช้จ่ายใดๆ ที่จะให้กำลังใจ สงบสติอารมณ์ชายที่ไร้มารยาท อารมณ์ร้อน และใจร้อน ซึ่งน้ำเสียงและดวงตาของเขามีความสิ้นหวังและเศร้าสร้อยลึกๆ อย่างไรก็ตาม เขาแนะนำให้เขาวาดภาพให้มากที่สุดและซื้อภาพวาดสองภาพจากเขา บางทีนี่อาจเป็นเพียงการกุศลที่ปลอมตัวมาอย่างชาญฉลาด? ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง บาทหลวงปีเตอร์เสนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้วิญญาณที่ทุกข์ทรมานของวินเซนต์สงบลง เขาทิ้งเขาไว้ที่บ้านสองสามวันทำให้เขาอบอุ่นด้วยความเป็นมิตรและความเสน่หาและทำให้แน่ใจว่า Vincent ต้องการทำงานของนักเทศน์ในเมือง Borinage ต่อไปเพื่อให้คำแนะนำแก่นักบวชของหมู่บ้าน ลูกเบี้ยว.

วินเซนต์เดินทางกลับ ไม่กี่วันที่บ้านของศิษยาภิบาลปีเตอร์เสนเป็นการพักผ่อนที่มีความสุขสำหรับเขา ตอนนี้เขาจะกลับไปที่ Borinage ไปที่หมู่บ้าน Cam ซึ่งตามที่ตกลงเขาจะเป็นผู้ช่วยศิษยาภิบาล แต่มีบางอย่างแตกสลายในจิตวิญญาณของเขา ความเป็นมิตรและการต้อนรับของ Petersen ไม่สามารถทำให้ Vincent ลืมความผิดที่เกิดขึ้นกับเขาได้ พระเจ้าก็สาปแช่งเขาด้วย เขาปฏิเสธเขาอย่างที่เออซูล่าเคยปฏิเสธเมื่อสังคมของเขาและชาวเมืองปฏิเสธเขา ประการแรก พวกเขาเหยียบย่ำความรักของเขา จากนั้น ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น ได้ตรึงศรัทธาของเขาไว้ที่กางเขน ด้วยความกระหายในความทุกข์ทรมาน เขาปีนขึ้นไปบนยอดเขาที่เปลือยเปล่าและไร้ที่อยู่อาศัย ที่ซึ่งพายุและพายุฝนฟ้าคะนองโหมกระหน่ำ ที่ซึ่งชายคนหนึ่ง - โดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่ง - ถูกทิ้งให้อยู่กับตัวเองโดยสมบูรณ์ ที่นั่นเขาถูกฟ้าผ่า จิตวิญญาณของเขาไหม้เกรียมจากการพบกับพระองค์ผู้ไม่มีชื่ออยู่ในที่สูงเหนือธรรมชาติเหล่านี้อีกต่อไป - กับพระองค์ผู้เป็นไม่มีอะไรขนาดมหึมาและลึกลับ

วินเซนต์เดินไปตามถนน เต็มไปด้วยความวิตกกังวลและเป็นไข้ สับสน หดหู่ ครอบงำด้วยความเจ็บป่วยที่ไม่มีชื่อเช่นกัน เขาเดินเอามือล้วงกระเป๋าและหายใจหอบ พูดกับตัวเองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่สามารถอยู่ที่ใดที่หนึ่งได้เป็นเวลานาน เขาคิดว่าเขายังคงต้องการจะเทศนา แต่ตอนนี้เทศนาล้มเหลว ทันใดนั้นคริสตจักรก็ดูเหมือนหลุมศพหินว่างเปล่าที่น่าสลดใจสำหรับเขา ห้วงเหวที่ข้ามไม่ได้แยกพระคริสต์ตลอดกาลจากบรรดาผู้ที่เรียกตนเองว่าผู้รับใช้ของพระองค์ พระเจ้าอยู่ไกลเกินทน ...

ระหว่างทาง จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนทิศทาง เขารีบไปที่เอตเทน ราวกับว่าอยู่ในบ้านพ่อแม่ของเขา เขาสามารถพบคำตอบของคำถามที่แออัดและเดือดพล่านอยู่ในจิตวิญญาณของเขา เพื่อหาทางไปสู่ความรอด เขาเข้าใจว่าใน Etten เขาจะได้รับการต้อนรับด้วยการประณาม - ไม่มีอะไรสามารถทำได้!

แท้จริงแล้วไม่มีการขาดแคลนการตำหนิติเตียน แต่อนิจจาการเดินทางหลักก็ไร้ผล จริงอยู่ศิษยาภิบาลทักทาย Vincent อย่างเสน่หา แต่เขาไม่ได้ซ่อนจากเขาว่าการโยนโดยประมาทนั้นไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีกต่อไป Vincent อายุยี่สิบหกปีแล้ว - ถึงเวลาที่จะเลือกงานฝีมือของเขาและไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่ถูกเลือก ให้เขากลายเป็นช่างแกะสลัก, คนทำบัญชี, ช่างทำตู้ - ใครก็ได้, ถ้าเพียงแต่เลิกขว้างปาทิ้งไป! วินเซนต์ก้มศีรษะลง “ยามันแย่กว่าโรคเสียอีก” เขาพึมพำ การเดินทางนั้นไร้ประโยชน์ “ฉันไม่ต้องการที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยตัวเอง? - เขาคัดค้านด้วยความไม่พอใจ “ฉันไม่ได้ดิ้นรนเพื่อสิ่งนี้ ฉันรู้สึกว่าจำเป็นหรือไม่” แต่จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากการที่จู่ๆ เขาก็กลายเป็นนักบัญชีหรือช่างแกะสลัก? สองสามวันมานี้กับพ่อของเขา ซึ่งเขาเคยพยายามเลียนแบบด้วยความกระตือรือร้นเช่นนั้น กลายเป็นที่มาของความทุกข์ทรมานครั้งใหม่สำหรับวินเซนต์ นอกจากนี้มันไม่ได้โดยไม่มีแรงเสียดทาน “คนไข้สามารถถูกตำหนิได้ว่าต้องการทราบว่าแพทย์ของเขามีความรู้เพียงใด ไม่ต้องการได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้อง หรือมอบหมายให้คนหลอกลวง?” วินเซนต์ถาม เขาหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือในบ้านพ่อแม่ แต่ต้องเผชิญกับความเข้าใจผิดทั้งหมด ด้วยภาระใหม่ในใจเขา เขากลับไปที่ Borinage จะไม่มีใครยื่นมือช่วยเหลือเขาหรือ? เขาถูกปฏิเสธจากทุกคน - โดยพระเจ้าและคริสตจักร ผู้คนและแม้แต่ญาติ ทุกคนประณามเขา แม้แต่น้องชายของธีโอ

Theo ซึ่งเป็นพนักงานของ Goupil ที่เป็นแบบอย่างคนเดียวกัน มีกำหนดจะย้ายไปปารีสในเดือนตุลาคม เพื่อไปยังสำนักงานใหญ่ของบริษัท เขามาหา Vincent ที่ Borinage แต่คราวนี้พี่น้องไม่พบภาษากลาง พวกเขากำลังเดินไปรอบ ๆ เหมืองร้างที่ชื่อว่า The Witch และ Theo สะท้อนข้อโต้แย้งของพ่อของเขา ยืนยันว่า Vincent กลับไปที่ Etten และเลือกงานฝีมือของเขาที่นั่น (เขาตำหนิพี่ชายของเขาค่อนข้างรุนแรงว่าเขาต้องการเป็น "คนพึ่งพา" “จากนั้นเราก็ตัดสินเหมือนกันในหลายเรื่อง แต่ตั้งแต่นั้นมาคุณเปลี่ยนไป คุณก็ไม่เหมือนเดิม” ธีโอกล่าว เช่นเดียวกับ Petersen เขาแนะนำให้ Vincent วาดภาพ อย่างไรก็ตาม นักเทศน์คนล่าสุดยังมีชีวิตอยู่ในวินเซนต์ และเขาเพียงยักไหล่อย่างหงุดหงิด และตอนนี้เขาอยู่คนเดียว คราวนี้อยู่คนเดียวโดยสิ้นเชิง และไม่มีทางออกจากทะเลทรายอันน่ากลัวที่ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป เปล่าประโยชน์เขาค้นหาโอเอซิสที่เขาสามารถทำให้ตัวเองสดชื่นด้วยน้ำเย็น รอบตัวมีแต่ความมืดมิด และไม่มีความหวังสำหรับรุ่งอรุณที่ใกล้เข้ามา ไม่สิ! เขาถูกตัดขาดจากโลกอย่างไม่อาจเพิกถอนได้ เขาอยู่คนเดียว แม้กระทั่งหยุดเขียนจดหมายถึงพี่ชายของเขา ซึ่งเป็นคนสนิทตามปกติของเขา ในดินแดนถ่านหินซึ่งท้องฟ้าฤดูหนาวที่มืดมนทำให้เกิดความเศร้าโศก Vincent วนรอบที่ราบต่อสู้กับความคิดหนัก ๆ วิ่งไปมาเหมือนสัตว์ที่ถูกข่มเหง เขาไม่มีที่อยู่ เขาใช้เวลาทั้งคืนไม่ว่าจะไปที่ไหน คุณสมบัติเดียวของเขาคือโฟลเดอร์ที่มีภาพวาด ซึ่งเขาเติมด้วยภาพร่าง บางครั้งเขาก็หาขนมปังหรือมันฝรั่งสักสองสามชิ้นเพื่อแลกกับการวาดภาพ เขาดำรงอยู่ด้วยบิณฑบาต ปรากฏว่าไม่กินอะไรเลยทั้งวัน เขาหิว เย็นชา เขาเดินไปรอบ ๆ ขอบถ่าน วาด อ่าน ศึกษาผู้คน สิ่งของ และหนังสืออย่างดื้อรั้นเพื่อค้นหาความจริงที่สามารถทำให้เขาฟื้นคืนชีพและเสรีภาพ แต่กลับหันหน้าหนีจากเขาอย่างดื้อรั้น

แม้ว่าเขาจะติดหล่มอยู่ในความยากจน เขาก็ยอมรับเช่นกัน เขารู้ ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ ตัวเขาเองต้องต่อสู้กับ "ชะตากรรมในจิตวิญญาณของเขา" และเอาชนะชะตากรรมนี้ ซึ่งนำเขาจากจุดจบด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ซ่อนความลับและพลังของเขาจากเขาด้วยเล่ห์เหลี่ยมมหึมา ตัวเขาเองไม่มีแนวโน้มที่จะคิดว่าตัวเองเป็น "คนอันตรายและไม่เหมาะกับสิ่งใดเลย" เขาบอกตัวเองว่าเขาเป็นเหมือนนกที่ถูกขังอยู่ในกรงซึ่งในฤดูใบไม้ผลิกระแทกกับลูกกรงตาข่าย รู้สึกว่าเขาต้องทำอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร "ท้ายที่สุด มีกรงอยู่รอบตัว และนกก็บ้าคลั่งด้วยความเจ็บปวด" ดังนั้นวินเซนต์จึงรู้สึกถึงลมหายใจแห่งความจริงในจิตวิญญาณของเขา มีบางอย่างเต้นอยู่ในอกของเขา แต่มันคืออะไร? เขาเป็นคนแบบไหน? “มีบางอย่างในจิตวิญญาณของฉัน แต่อะไรนะ?” เสียงครวญครางนี้แล้วอ่านทุ่งของ Borinage ซึ่งถูกทำลายโดยลมหนาว

ฤดูหนาวปีนี้รุนแรงมาก หิมะและน้ำแข็งมีอยู่ทั่วไป "ฉันกำลังมองหาอะไร?" คนพเนจรถามตัวเอง เขาไม่รู้เรื่องนี้แต่ก็ยังพยายามตอบอย่างเชื่องช้า “ฉันอยากจะดีขึ้นมาก” เขากล่าว โดยไม่สามารถวัดความซับซ้อนทั้งหมดของธรรมชาติของเขา ที่จะโอบรับอย่างครบถ้วน ในอาการวิงเวียนศีรษะ สนิทสนม ไม่รู้จักแรงกระตุ้น ซึ่งเขาพยายามอย่างไร้ผลเพื่อสนองความปรารถนานี้ เพื่อความสมบูรณ์แบบ ความกระหายในการละลายอย่างลึกลับ ซึ่งไม่สมส่วนกับความทะเยอทะยานของมนุษย์ทั่วไป เขาแค่รู้สึกว่ากำลังโหมกระหน่ำในตัวเขา โดยเลือกเขาเป็นเครื่องมือที่ตาบอด พวกเขาควบคุมชีวิตของเขา แต่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้จดจำพวกเขา และเขาก็เดินเตร่ไปในหมอกโดยบังเอิญ หลงทาง เปล่าประโยชน์ในการแสวงหาทางของเขา เมื่อเปรียบตัวเองกับนกในกรง เขาถามด้วยความปวดร้าวในใจถึงสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้เขาใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป ด้วยความไร้เดียงสาที่หาได้ยาก เขาจินตนาการว่าตนก็เหมือนกับคนอื่นๆ ทั้งหมด ว่าเขามีความต้องการและความปรารถนาแบบเดียวกันกับที่พวกเขามี เขาไม่เห็นสิ่งที่แตกต่างไปจากพวกเขาอย่างไม่อาจแก้ไขได้ และไม่ว่าเขาจะไตร่ตรองถึงอดีตของเขามากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเข้าใจเหตุผลของความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องของเขาได้ ความปรารถนาที่จะครอบครองตำแหน่งหนึ่งในสังคมความกังวลในชีวิตประจำวัน - ทั้งหมดนี้เป็นมนุษย์ต่างดาวอย่างไม่สิ้นสุดสำหรับเขา! คนจรจัดผู้หิวโหยผู้นี้ เร่ร่อนอยู่ลึกถึงเข่าในหิมะ มองดูผู้คนด้วยความสงสาร เพื่อค้นหาคำตอบสำหรับคำถามที่หนักใจของเขา หันไปหาจุดสูงสุดของจิตวิญญาณ นี่เป็นวิธีเดียวที่เขาสามารถหายใจและมีชีวิตอยู่ได้ แต่บางครั้งเขาก็ใกล้จะเข้าใจแก่นแท้ของความขัดแย้ง “เหตุผลหนึ่งที่ตอนนี้ฉันไม่มีที่ และทำไมฉันถึงไม่มีที่แห่งนี้มาหลายปีแล้ว เป็นเพราะว่าฉันมีมุมมองที่ต่างไปจากสุภาพบุรุษเหล่านี้ที่มอบสถานที่ทั้งหมดให้กับผู้ที่แบ่งปันวิธีคิดของพวกเขา ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าของฉันเท่านั้น อย่างที่ฉันถูกบอกด้วยการประณามหน้าซื่อใจคด ประเด็นนี้ร้ายแรงกว่ามาก " วินเซนต์รู้สึกขุ่นเคืองเกี่ยวกับข้อพิพาทล่าสุดของเขากับเจ้าหน้าที่ของโบสถ์ ไม่มีความผิดใด ๆ อยู่เบื้องหลังเขา เขาเชื่อมั่นในสิ่งนี้ แต่ “สำหรับผู้ประกาศข่าวประเสริฐ สถานการณ์ก็เหมือนกับศิลปิน และที่นี่มีโรงเรียนวิชาการเก่าแก่ซึ่งบางครั้งก็ดูถูกเผด็จการอย่างน่ารังเกียจสามารถทำให้ทุกคนตกอยู่ในความสิ้นหวังได้ " พระเจ้าของพวกเขา? นี่คือ "หุ่นไล่กา"! แต่พอประมาณนั้น ช่างมันเถอะ!

Vincent มักจะอยู่บนท้องถนน บางครั้งก็ปรากฏตัวขึ้นที่ Borinage เพื่อนของเขา ทุกครั้งที่เขาเดินทางจากตูร์เนหรือบรัสเซลส์ แต่ไม่ใช่จากหมู่บ้านบางแห่งในแฟลนเดอร์ตะวันออก เขายอมรับการรักษาที่เสนอให้เขาอย่างเงียบๆ เมื่อพวกเขาไม่ได้รับอะไรเลย เขาหยิบเปลือกขนมปังหรือมันฝรั่งแช่แข็งในกองขยะ ขณะรับประทานอาหาร เขาอ่านเรื่อง Shakespeare, Hugo, Dickens หรือ Uncle Tom's Cabin บางครั้งเขาวาดด้วยโฟลเดอร์บนตักของเขา ในจดหมายฉบับหนึ่งที่ส่งถึงพี่ชายของเขา Vincent เขียนว่า: “ฉันไม่รู้นิยามของคำว่า “ศิลปะ” ที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว:“ ศิลปะคือคนบวกกับ “ธรรมชาติ” นั่นคือธรรมชาติ ความจริง ความจริง แต่ด้วย ความหมายด้วยความหมายและลักษณะเฉพาะของศิลปินที่เจาะจงและแสดงออกในนั้น เปิดเผย เผยแพร่ และชี้แจง ภาพวาดของ Mauve, Maris หรือ Israel พูดได้ชัดเจนกว่าธรรมชาติ” ธรรมชาติคือความโกลาหล ความหลากหลายที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เต็มไปด้วยคำตอบสำหรับคำถามทุกข้อ แต่คำตอบเหล่านี้เต็มไปด้วยการจองและสับสนอย่างซับซ้อนจนไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ ผลงานของศิลปินประกอบด้วยการเน้นย้ำถึงหลักการพื้นฐานที่เขาเติบโตในความสับสนวุ่นวายนี้: พยายามค้นหาความหมายของโลก ฉีกปกของความไร้สาระในจินตนาการจากโลกนี้ ศิลปะคือการแสวงหาอนันต์ ความลึกลับ เวทมนตร์ การรับใช้ศิลปะก็เหมือนกับการรับใช้ศาสนา เป็นขอบเขตของอภิปรัชญา วินเซนต์ แวนโก๊ะจึงให้เหตุผล สำหรับเขาแล้ว ศิลปะอาจเป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้น คือหนทางแห่งการเข้าใจวิถีแห่งการดำรงอยู่ที่ไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะมันไม่สามารถลดลงเหลือเพียงการดำรงชีวิตทางกายภาพ การมีชีวิตอยู่หมายถึงการเข้าหาพระเจ้าและด้วยความรักที่สิ้นหวังซึ่งเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งยวดที่สุดเพื่อแย่งชิงความลับจากเขาเพื่อปล้นอำนาจหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือความรู้

วินเซนต์ แวนโก๊ะจึงให้เหตุผล เพื่อบอกความจริงกับคุณ Vincent ไม่ได้ให้เหตุผล และถ้าเขาโต้เถียงกับตัวเองไม่รู้จบ แต่ละครั้งก็อยู่ในรูปของอารมณ์ เขารู้เพียงว่าความหลงใหลกำลังผลักดันเขาไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง เขาถูกดึงดูดโดยความต้องการที่ครอบงำ เช่นเดียวกับที่ทำให้เขารักผู้คน สั่งสอนพระกิตติคุณ อดทนต่อวัสดุและการกีดกันทางสังคมทุกประเภท เขาจะสั่นเทาด้วยความขุ่นเคืองถ้ามีคนบอกเขาว่าศิลปะสามารถเป็นงานฝีมือได้มากเท่ากับสิ่งอื่นใด เป้าหมายของงานฝีมือทุกชิ้นเป็นสิ่งที่น่าสมเพชที่สุด - เพื่อให้ได้ขนมปังของคุณเอง เรื่องนี้เหรอ! การวาดภาพ วินเซนต์พยายามที่จะรู้ถึงแก่นแท้ของความเจ็บปวดของเขา ความเจ็บปวดของมวลมนุษยชาติ เพื่อเปิดเผยรูปร่างหน้าตาของมัน เพื่อสื่อถึงความโง่เขลาของค่ำคืนอันเยือกเย็น ซึ่งวิญญาณที่ปั่นป่วนของเขากำลังเต้นอยู่ โหยหาการไถ่ถอน ในภาพวาดที่วินเซนต์รีบร่างไว้ใกล้ๆ กับเหมือง มีความเจ็บปวดอยู่ข้างกองตะกรัน เมื่อมองไปรอบๆ ขอบฟ้า ที่เรียงรายไปด้วยเงาของลิฟต์และโครงสร้างของฉัน คล้ายกับร่างมนุษย์ที่โค้งคำนับด้วยความเศร้าโศก เขายังคงถามคำถามเดิมซ้ำๆ นาน นาน นาน ตลอดไป จริงหรือ?”

ใครก็ตามที่พบกับ Vincent จะรู้สึกเศร้าใจ "ความโศกเศร้าที่น่าสยดสยอง" ลูกสาวของคนงานเหมือง Charles DeCruc จาก Cam กล่าวกี่ครั้งว่า “ฉันตื่นนอนตอนกลางคืนเพื่อได้ยินเขาร้องไห้และคร่ำครวญในห้องใต้หลังคาที่เขาอาศัยอยู่” วินเซนต์ไม่มีแม้แต่เสื้อที่จะปกป้องจากความหนาวเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งดุร้ายในฤดูหนาวที่เลวร้ายนั้น แต่เขาแทบไม่สังเกตเห็นความหนาวเหน็บ ฟรอสต์แผดเผาผิวเหมือนไฟ และวินเซนต์คือไฟทั้งหมด ไฟแห่งความรักและศรัทธา

“ฉันยังคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะรู้จักพระเจ้าคือรักให้มากๆ รักเพื่อนบางคนสิ่งนี้หรือสิ่งนั้นเหมือนกัน - คุณจะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องและจากความรักนี้คุณจะได้ความรู้ - เขาพูดกับตัวเอง - แต่คนๆ หนึ่งต้องรักด้วยความทุ่มเท ความมุ่งมั่น และสติปัญญาที่แท้จริงและลึกซึ้ง พยายามทำความรู้จักเป้าหมายของความรักให้ดียิ่งขึ้น ลึกซึ้ง และเต็มที่มากขึ้นอย่างสม่ำเสมอ นี่คือหนทางสู่พระเจ้า - สู่ศรัทธาที่ไม่มีวันแตกสลาย " แต่วินเซนต์ไม่ได้ระบุพระเจ้าและศรัทธาองค์นี้กับพระเจ้าและความเชื่อที่ปรากฏในโบสถ์อีกต่อไป อุดมคติของเขากำลังเคลื่อนห่างจากอุดมคติของคริสตจักรมากขึ้นทุกวัน The Evangelical Society ถอด Vincent ออกจากตำแหน่งนักเทศน์ แต่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาต้องแยกตัวออกจากกรอบที่อู้อี้ ง่อย หยาบคายต่อแรงบันดาลใจภายในสุดของมนุษย์ ความปรารถนาของเขาที่จะเรียนรู้ความลับที่ไม่รู้จักของโลก . Vincent ไม่สามารถอยู่ในกรงนี้ได้ ขอให้ความเร่าร้อนทางศาสนาของเขาหมดไป แต่ศรัทธาของเขาไม่เสื่อมคลาย เปลวเพลิงและความรักซึ่งไม่มีสิ่งใดทำให้อ่อนลงได้ ไม่ว่าในกรณีใด Vincent ตระหนักดีว่า: "ด้วยความไม่เชื่อของฉัน ฉันยังคงเป็นผู้เชื่อ และเมื่อเปลี่ยนไป ฉันก็ยังเหมือนเดิม" ศรัทธาของเขาไม่เสื่อมคลาย - นี่คือการทรมานของเขาที่ศรัทธาของเขาไม่พบการใช้งาน "ฉันจะมีประโยชน์อะไร ฉันไม่มีประโยชน์อะไร" - เขาถามตัวเองและเขินอายสับสนพูดคนเดียวของเขาต่อไป:“ มีคนถือเปลวไฟที่เจิดจ้าในจิตวิญญาณของเขา แต่ไม่มีใครเข้ามาอุ่นเครื่องใกล้ ๆ เขาผู้สัญจรไปมาสังเกตเห็นเพียงควันเล็ก ๆ ที่ออกมาจากปล่องไฟแล้วไป ทางของพวกเขาเอง สิ่งที่ต้องทำตอนนี้: รักษาไฟนี้จากภายใน เก็บเกลือของจักรวาลไว้ในตัวเอง อดทน และในขณะเดียวกันก็ตั้งตารอเวลาที่มีคนต้องการมานั่งข้างกองไฟของคุณ แล้วใครจะไปรู้ล่ะ? - บางทีเขาอาจจะอยู่กับคุณ "

ครั้งหนึ่ง "เกือบจะไม่ได้ตั้งใจ" เขายอมรับในภายหลังว่า "ฉันบอกไม่ได้ว่าทำไม" Vincent คิด: "ฉันต้องไปดู Courier" Vincent เชื่อมั่นในตัวเองว่าในเมือง Courier ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ในเขต Pas-de-Calais เขาสามารถหางานทำได้ แต่เขาไม่ได้ไปที่นั่นเพื่อสิ่งนั้น เขายอมรับว่า “ไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน จากสถานที่บางแห่ง” เขายอมรับ “ความใฝ่ฝันสำหรับสถานที่เหล่านี้ถูกยึดไว้ เพราะดินแดนเหล่านี้เป็นบ้านเกิดของภาพวาด” ความจริงก็คือ Jules Breton จิตรกรภูมิทัศน์ซ้ำซาก สมาชิกของ French Academy อาศัยอยู่ใน Courier เขาวาดภาพจากชีวิตชาวนา และพวกเขากระตุ้นความชื่นชมในวินเซนต์ ซึ่งถูกเข้าใจผิดโดยหัวข้อของภาพวาดเหล่านี้ ในระยะสั้น Vincent กำลังจะไปที่ Courier ในตอนแรกเขาเดินทางโดยรถไฟ แต่เขามีเงินเพียงสิบฟรังก์ในกระเป๋า และในไม่ช้าเขาก็ถูกบังคับให้ต้องเดินทางต่อไปด้วยการเดินเท้า เขาเดินตลอดทั้งสัปดาห์ "ขยับขาลำบาก" ในที่สุดเขาก็มาถึง Courier และในไม่ช้าก็หยุดที่โรงงานของ Monsieur Jules Breton

วินเซนต์ไม่ได้ไปต่อ เขาไม่แม้แต่จะเคาะประตู "บ้านใหม่ที่สร้างด้วยอิฐที่ถูกต้อง" นี้ด้วยซ้ำ โดย "มีลักษณะที่ไม่เอื้ออำนวย เย็นชา และไม่เป็นมิตร" อย่างไม่ราบรื่น เขารู้ทันทีว่าเขาจะไม่พบสิ่งที่เขากำลังมองหาที่นี่ "ร่องรอยของศิลปินไม่มีให้เห็น" ด้วยความผิดหวัง เขาเดินไปรอบ ๆ เมือง เข้าไปในร้านกาแฟที่มีชื่อเก๊กว่า Cafe of Fine Arts ซึ่งสร้างจากอิฐใหม่เช่นกัน "ไม่เป็นมิตร หนาวเหน็บ และตกต่ำ" บนผนังมีจิตรกรรมฝาผนังที่พรรณนาเรื่องราวชีวิตของดอนกิโฆเต้ “การปลอบใจที่ค่อนข้างอ่อนแอ” วินเซนต์บ่น “และภาพเฟรสโกก็ค่อนข้างธรรมดา” ทว่า Vincent ได้ค้นพบหลายสิ่งหลายอย่างใน Courier ในโบสถ์เก่า เขาเห็นสำเนาภาพวาดของทิเชียน และถึงแม้แสงจะไม่ค่อยดี แต่ภาพนั้นก็ดึงดูดเขาด้วย "น้ำเสียงที่ลุ่มลึก" ด้วยความเอาใจใส่และความประหลาดใจเป็นพิเศษ เขาศึกษาธรรมชาติของฝรั่งเศสว่า "ดินโคลน ที่ดินทำกินสีน้ำตาลหรือขยะสีเกือบเท่าสีกาแฟ โดยมีจุดสีขาวที่มาร์ลปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับเรามากหรือน้อยที่เคยชินกับดินสีดำ" โลกที่สว่างไสวนี้ซึ่งอยู่เหนือท้องฟ้า "โปร่งแสงไม่เหมือนกับท้องฟ้าที่มีควันและหมอกของ Borinage" เปล่งประกายราวกับโคมไฟในความมืดสำหรับเขา เขาถึงขีด จำกัด สุดท้ายของความยากจนและความสิ้นหวัง เขาไม่สามารถทำอะไรได้อีก เขายังหยุดวาดภาพ ดังนั้นความสิ้นหวังที่ทำให้เขาต้องหยุดทำงานอย่างเจ็บปวดจึงเริ่มลดน้อยลงก่อนที่แสงนี้ จะนำความดี ความอบอุ่นและความหวังมาให้เขา

วินเซนต์ออกเดินทางกลับ เขาใช้เงินจนหมด มากกว่าหนึ่งครั้งที่เขาแลกภาพวาดเป็นขนมปังชิ้นหนึ่ง ซึ่งเขาเอาไปกับเขา ค้างคืนในทุ่งนา นั่งอยู่ในกองหญ้าหรือกองไม้พุ่ม ฝน ลม หนาวรบกวนเขา เมื่อวินเซนต์พักค้างคืนในรถม้าร้าง "ที่พักพิงที่น่ารังเกียจ" และในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเขาออกจากที่นั่น เขาเห็นว่าเธอ "ขาวโพลนไปหมด"

แต่ทว่าการได้มองเห็นท้องฟ้าอันสดใสของฝรั่งเศสกลับฟื้นคืนความหวังในหัวใจของผู้พเนจรผู้น่าสงสารด้วยขาที่บาดเจ็บ เดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง พลังงานกลับมาหาเขา เมื่อพิจารณาถึงชีวิตของเขา เหตุการณ์ของมัน และความสัมพันธ์ของพวกเขา ที่รัก เขาพูดกับตัวเองว่า: "ฉันจะยังคงลุกขึ้น" นักเทศน์ในตัวเขาตายไปตลอดกาล ชีวิตเดิมของเขาตายไปหมดแล้ว เขาฝันถึงความสุขที่ไร้ศิลปะกับแม่มดเออร์ซูล่า แต่เสียงหัวเราะของเธอทำลายความฝันนี้ หลังจากสูญเสียความสุขที่หลายคนได้รับประสบการณ์ อย่างน้อยเขาต้องการอยู่ร่วมกับพวกเขา อบอวลไปด้วยความอบอุ่นของมนุษย์ และเขาถูกปฏิเสธอีกครั้ง จากนี้ไปเขาอยู่ในทางตัน เขาไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วนอกจากชีวิตของเขาเอง หลายครั้งที่ธีโอแนะนำให้เขาวาดภาพ เขาตอบเสมอว่า: "ไม่" บางทีก็กลัวความเข้มแข็งที่ไร้มนุษยธรรมที่เขารู้สึกในตัวเองมาตลอดและหลบหนีไปอย่างอิสระระหว่างปฏิบัติภารกิจในโบรินาจ การเป็นศิลปินหมายถึงการเข้าสู่ข้อพิพาทเพียงอย่างเดียวซึ่งไม่มีที่ไหนเลยที่จะรอความช่วยเหลือด้วยกองกำลังจักรวาลมหึมาที่จะกลายเป็นทาสของความลับอันน่าสยดสยองตลอดกาลเพื่อปฏิเสธทุกสิ่งที่คนระมัดระวังใช้เพื่อปกป้องตัวเอง จากปัญหา เมื่อตระหนักว่าเหลือทางเดียวเท่านั้นสำหรับเขา วินเซนต์จึงประกาศในทันที: "ฉันจะหยิบดินสอที่ฉันโยนทิ้งไปอีกครั้งในวันที่สิ้นหวังอย่างหนัก และจะเริ่มวาดใหม่อีกครั้ง" เขาตัดสินใจที่จะตกลงกับชะตากรรมของเขา แน่นอน เขายอมรับเธอด้วยความปิติยินดี สหายปกติของความสำเร็จที่ล่าช้า แต่ด้วยความเข้าใจบางอย่างด้วยความวิตกกังวลที่คลุมเครือ ใช่ ไม่ต้องสงสัยเลย Vincent กลัว มักจะกลัวความคลั่งไคล้ที่ฝังอยู่ในมือของเขา ทันทีที่เธอหยิบดินสอขึ้นมา แม้ว่าเขาจะแทบไม่รู้เรื่องเทคนิคการใช้ภาษาพลาสติกเลย แต่ Vincent ก็ทำได้เช่นเดียวกับช่างฝีมือคนอื่นๆ ที่มาจากศิลปะ อวดตัวเองด้วยความหวังและการกล่าวอ้างที่กว้างขวาง เขาสามารถฝันถึงผลงานชิ้นเอกในอนาคตของเขาได้ พูดจาโผงผางเกี่ยวกับแรงบันดาลใจและพรสวรรค์ แต่เขาปฏิเสธมันทั้งหมดหันหลังให้จากความเร่งรีบและคึกคัก

สิ้นสุดตัวอย่างข้อมูลการทดลองใช้ฟรี

ชีวิตของแวนโก๊ะ Henri Perrusho

(ยังไม่มีการให้คะแนน)

ชื่อเรื่อง : ชีวิตของแวนโก๊ะ

เกี่ยวกับหนังสือ "ชีวิตของแวนโก๊ะ" โดย Henri Perrushot

หนังสือ "The Life of Van Gogh" เป็นคำอธิบายที่น่าสนใจเกี่ยวกับชีวิตและผลงานของ Vincent Van Gogh ศิลปินโพสต์อิมเพรสชันนิสม์ที่โดดเด่น ซึ่งงานของเขามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางของการวาดภาพในศตวรรษที่ 20

ผู้เขียนงานนี้คือ Henri Perrushot นักเขียนชาวฝรั่งเศสซึ่งมีปากกาหลายเล่มออกมาซึ่งรวมข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้จากชีวิตของจิตรกรชื่อดังเข้ากับความมีชีวิตชีวาของการเล่าเรื่อง

ผลงาน "The Life of Van Gogh" นำเสนอข้อเท็จจริงเฉพาะมากมายจากชีวิตของศิลปิน: เหตุการณ์ในวัยเด็กของเขา ยุคก่อนประวัติศาสตร์การเกิดตลอดจนอิทธิพลของเหตุการณ์ในชีวิตต่างๆ ที่มีต่อแรงบันดาลใจและมุมมองที่สร้างสรรค์ของเขา

Henri Perrushot ติดตามในหนังสือของเขา: การเกิด การก่อตัว การพัฒนา และความสำเร็จของจุดสูงสุดของเขาในกิจกรรมสร้างสรรค์ของ Vincent Van Gogh ความน่าเชื่อถือของคำอธิบายได้รับการอำนวยความสะดวกโดยการใช้โดยผู้เขียนเอกสารที่ไม่ซ้ำกันจดหมายของศิลปินตลอดจนบันทึกความทรงจำของโคตรของเขา

โครงงาน "The Life of Van Gogh" อิงจากการเปิดเผยทีละน้อยของทุกแง่มุมที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตของศิลปินที่มีชื่อเสียงเต็มไปด้วยความขัดแย้งความทุกข์ความสงสัยประสบการณ์ตลอดจนการค้นหาที่เสียสละอย่างยากลำบากสำหรับเขา เป้าหมายชีวิตด้วยความช่วยเหลือซึ่งเขาสามารถเป็นประโยชน์ต่อผู้คน

ในตอนต้นของหนังสือ มีการอธิบายครอบครัวของ Vincent Van Gogh: พ่อแม่ พี่น้อง ความรักที่พวกเขามีต่อเขา ตลอดจนความช่วยเหลืออันล้ำค่าของพี่ชายของศิลปินชื่อดัง Theo ที่สนับสนุนเขาตลอดชีวิตของเขา คำอธิบายการเดินทางของแวนโก๊ะผู้เล่าเรื่องเหล่านี้อย่างมีสีสันในจดหมายถึงธีโอน้องชายของเขา

ภาพวาดจำนวนมากของศิลปินที่ชื่นชมจากผู้ที่ชื่นชอบศิลปะหลายคนถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของเขาเกี่ยวกับโลกรอบตัวเขาซึ่งแม้จะมีความยากลำบากความยากจนและสภาพภายในที่ขัดแย้งกัน แต่ก็ยังมีพื้นที่สำหรับความสุขและความสุขมากมายนำเสนอโดย โอกาสในการสร้าง

ในชีวิตของวินเซนต์ แวนโก๊ะ ที่แตกต่างจากชีวิตคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากความหมายของมันคือการสร้างงานศิลปะและช่วยเหลือผู้ประสบภัยและคนขัดสน ยังคงมีช่วงเวลาที่ศิลปินได้มีโอกาสทดสอบ ตัวเองในบทบาทของครูและแม้กระทั่งคนขายหนังสือ แม้จะมีผลงานมากมายของเขาซึ่งโลกยอมรับหลังจากการตายของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้เท่านั้น แต่เขาก็ต้องมีชีวิตที่น่าสงสารมาก มหาบุรุษผู้นี้มีชีวิตที่ค่อนข้างสั้น ซึ่งถูกตัดขาดเมื่ออายุได้สามสิบเจ็ดปี

หนังสือ "ชีวิตของแวนโก๊ะ" สร้างความประทับใจอย่างมากกับละครและกระตุ้นการตอบสนองทางจิตวิญญาณจากผู้อ่าน

Henri Perrushot เกิดในปี 1917 ขอบคุณงานของนักเขียนบนหน้าหนังสือของเขาพร้อมกับวีรบุรุษของเขาทำให้ยุคประวัติศาสตร์ทั้งหมดในวัฒนธรรมของฝรั่งเศสมีชีวิตขึ้นมา หนังสือของผู้แต่งประกอบด้วย: The Life of Cézanne, The Life of Gauguin, The Life of Renoir, The Life of Manet และอื่นๆ

อองรี เพอร์รูชอต

ชีวิตของแวนโกก

ส่วนที่หนึ่ง. ถังฟลูอิดไร้ผล

I. วัยเด็กที่เงียบงัน

เนเธอร์แลนด์ไม่ได้เป็นเพียงทุ่งดอกทิวลิปที่กว้างใหญ่เท่านั้น ดอกไม้ ความสุขของชีวิตที่รวมไว้ในดอกไม้ ความสนุกสนานที่สงบและมีสีสัน เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกโดยประเพณีในใจของเราด้วยทิวทัศน์ของกังหันลมและลำคลอง ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะเฉพาะของพื้นที่ชายฝั่งทะเล บางส่วนถูกยึดคืนจากทะเลและเนื่องมาจากความเจริญรุ่งเรืองของท่าเรือขนาดใหญ่ . พื้นที่เหล่านี้ - ทางเหนือและใต้ - แท้จริงแล้วคือฮอลแลนด์ นอกจากนี้ เนเธอร์แลนด์ยังมีอีก 9 จังหวัด ซึ่งทั้งหมดมีเสน่ห์ในตัวเอง แต่เสน่ห์นี้แตกต่างออกไป - บางครั้งก็รุนแรงกว่า: ด้านหลังทุ่งดอกทิวลิปมีดินแดนที่น่าสงสารและที่เยือกเย็น

ในบรรดาพื้นที่เหล่านี้ บางทีผู้ด้อยโอกาสที่สุดน่าจะเป็นที่ที่เรียกว่า Brabant เหนือ ซึ่งเกิดจากทุ่งหญ้าและป่าไม้ รกไปด้วยทุ่งหญ้าและที่รกร้างว่างเปล่าทราย พื้นที่พรุและหนองบึง ทอดยาวไปตามชายแดนเบลเยี่ยม - จังหวัดที่แยกจากเยอรมนีเพียง แถบลิมบูร์กที่แคบและไม่สม่ำเสมอ ตามแม่น้ำมิวส์ไหล เมืองหลักของมันคือ 's-Hertogenbosch บ้านเกิดของ Hieronymus Bosch จิตรกรสมัยศตวรรษที่ 15 ที่รู้จักกันในจินตนาการอันแปลกประหลาดของเขา ดินในจังหวัดนี้หายากและมีที่ดินรกร้างมากมาย ที่นี่ฝนตกบ่อย หมอกแขวนต่ำ ความชื้นแทรกซึมทุกสิ่งและทุกคน ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวนาหรือช่างทอผ้า ทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยความชื้นช่วยให้พวกมันพัฒนาพันธุ์โคได้อย่างกว้างขวาง ในดินแดนที่ราบเรียบที่มีสันเขาที่กระจัดกระจาย วัวขาวดำในทุ่งหญ้าและหนองบึงที่รกทึบ คุณสามารถเห็นเกวียนลากเลื่อนสุนัขบนถนน ซึ่งถูกนำไปที่เมืองเบอร์เกน-ออป-ซูม เมืองเบรดา เซเวนเบอร์เกน; Eindhoven - กระป๋องนมทองแดง

อย่างไรก็ตาม ความธรรมดาของบาทหลวงธีโอดอร์ ฟาน โก๊ะ การดำรงอยู่เจียมเนื้อเจียมตัวที่กลายมาเป็นส่วนรวมของเขา พืชพรรณที่เขาถึงวาระโดยสามัญสำนึกของเขาเอง อาจทำให้เกิดความประหลาดใจได้ - ท้ายที่สุดศิษยาภิบาลของ Zundert ก็เป็นของ ถ้าไม่ใช่ มีชื่อเสียงไม่ว่าในกรณีใดกับครอบครัวชาวดัตช์ที่มีชื่อเสียง เขาภูมิใจในต้นกำเนิดอันสูงส่งของเขา ตราประจำตระกูลของเขา - กิ่งก้านที่มีดอกกุหลาบสามดอก ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ตัวแทนของตระกูลแวนโก๊ะได้รับตำแหน่งที่โดดเด่น ในศตวรรษที่ 17 หนึ่งในแวนโก๊ะเป็นหัวหน้าเหรัญญิกของสหภาพเนเธอร์แลนด์ ฟานก็อกฮ์อีกคนหนึ่งซึ่งดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่ในบราซิลเป็นครั้งแรกและต่อมาเป็นเหรัญญิกในนิวซีแลนด์ เดินทางไปอังกฤษในปี 1660 โดยเป็นส่วนหนึ่งของสถานทูตเนเธอร์แลนด์เพื่อต้อนรับพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เกี่ยวกับพิธีราชาภิเษกของพระองค์ ต่อมา Van Goghs บางคนกลายเป็นคริสตจักร บางคนสนใจงานหัตถกรรมหรือแลกเปลี่ยนผลงานศิลปะ และยังมีคนอื่น ๆ - การรับราชการทหาร ตามกฎแล้วพวกเขาเก่งในด้านที่เลือก พ่อของธีโอดอร์ แวนโก๊ะเป็นผู้มีอิทธิพล เป็นศิษยาภิบาลของเมืองใหญ่แห่งเบรดา และก่อนหน้านั้น ไม่ว่าเขาจะดูแลตำบลใด เขาได้รับการยกย่องทุกที่สำหรับ "การรับใช้ที่เป็นแบบอย่าง" ของเขา เขาเป็นลูกหลานของนักปั่นทองคำสามชั่วอายุคน พ่อของเขาซึ่งเป็นปู่ของธีโอดอร์ ซึ่งในตอนแรกเลือกงานฝีมือของเครื่องปั่นด้าย ต่อมากลายเป็นผู้อ่าน และต่อมาเป็นบาทหลวงที่โบสถ์อารามในกรุงเฮก เขาเป็นทายาทของเขาโดยลุงทวดของเขา ซึ่งในวัยหนุ่มของเขา - เขาเสียชีวิตเมื่อต้นศตวรรษ - รับใช้ใน Royal Swiss Guard ในปารีสและชื่นชอบงานประติมากรรม สำหรับ Van Goghs รุ่นสุดท้าย - และนักบวชที่หลงผิดมีลูกสิบเอ็ดคนแม้ว่าเด็กคนหนึ่งเสียชีวิตในวัยเด็ก - บางทีชะตากรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้มากที่สุดก็ตกอยู่กับ "ศิษยาภิบาลผู้รุ่งโรจน์" นอกเหนือจากพี่สาวสามคนที่เหลืออยู่ใน หญิงชรา พี่สาวอีกสองคนแต่งงานกับนายพล โยฮันเนส พี่ชายของเขากำลังประสบความสำเร็จในอาชีพการงานในกรมทหารเรือ - เรือบรรทุกของรองผู้บัญชาการอยู่ไม่ไกล พี่น้องอีกสามคนของเขา - Hendrik, Cornelius Marinus และ Vincent - มีส่วนร่วมในการค้างานศิลปะขนาดใหญ่ Cornelius Marinus ตั้งรกรากอยู่ในอัมสเตอร์ดัม Vincent มีหอศิลป์ในกรุงเฮก ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดในเมืองและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบริษัท Parisian "Goupil" ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและมีสาขาอยู่ทุกหนทุกแห่ง

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1851 สองปีหลังจากที่เขามาถึง Groot-Zündert ธีโอดอร์ แวนโก๊ะ ตัดสินใจแต่งงานเมื่ออายุครบ 30 ปี แต่เขาไม่เห็นความจำเป็นในการหาภรรยานอกประเทศ เขาแต่งงานกับหญิงชาวดัตช์ที่เกิดในกรุงเฮก - Anna Cornelia Carbentus ลูกสาวของผู้เย็บเล่มหนังสือในราชสำนัก เธอยังมาจากครอบครัวที่น่านับถือ แม้แต่อธิการแห่งอูเทรคต์ก็อยู่ในรายชื่อบรรพบุรุษของเธอด้วย พี่สาวคนหนึ่งของเธอแต่งงานกับวินเซนต์ น้องชายของบาทหลวงธีโอดอร์ ซึ่งขายภาพเขียนในกรุงเฮก

* * *

ส่วนที่หนึ่ง. ต้นมะเดื่อหมัน (1853-1880)

I. วัยเด็กที่เงียบงัน

* * *

* * *

* * *

ส่งงานที่ดีของคุณในฐานความรู้เป็นเรื่องง่าย ใช้แบบฟอร์มด้านล่าง

ต้นฉบับ: Henri Perruchot, “La Vie de Van Gog”

คำอธิบายประกอบ

ส่วนที่หนึ่ง. ถังฟลูอิดไร้ผล

1. วัยเด็กเงียบ

2. แสงแห่งรุ่งอรุณ

3. การขับไล่

เอกสารที่คล้ายกัน

เกี่ยวกับหนังสือ "ชีวิตของแวนโก๊ะ" โดย Henri Perrushot

ทางเลือกของบรรณาธิการ