ภาพถ่ายของทีม BONY M Mizi Williams:

ภาพทีม BONY M มาร์เซีย บาร์เร็ตต์ (มาร์เซีย บาร์เร็ตต์):

Boney M - เชิญกลุ่มต่างประเทศ Boney M หรือสั่งงานฉลองรวมถึงการจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวของกลุ่ม Boney M

กลุ่ม BONY M - หน้าส่วนตัวบนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของตัวแทนในรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS จัดคอนเสิร์ตและการแสดง (จองอย่างเป็นทางการ)

ประวัติความเป็นมาของกลุ่ม Boney M (ความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับการสร้างกลุ่ม!) >>>>>

โบนีย์ เอ็ม. (โบนีย์ เอ็ม) เป็นกลุ่มดิสโก้สัญชาติเยอรมัน ก่อตั้งในปี 1975 โดยแฟรงก์ ฟาเรียน โปรดิวเซอร์เพลง

Boney M (Boney Em) - เราทุกคนมีแนวโน้มที่จะฝันถึงอนาคตและวิเคราะห์อดีตดูแลความก้าวหน้าและตกอยู่ในอารมณ์หวนคิดถึงนึกถึงช่วงเวลาดีๆในวัยเยาว์ของเรา (สิ่งที่เราสวม สิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เราฟัง และทำไมต้องเต้น) แค่จำชื่อแฟรงค์ฟาเรียนโปรดิวเซอร์ชาวเยอรมันผู้โด่งดังซึ่งในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาได้จัดหาฉากเต้นรำยุโรปให้กับกลุ่มและนักแสดงยอดนิยมอย่างต่อเนื่องซึ่งในชื่อที่ทุกคนคุ้นเคยไม่จางหายไป - โบนี่ เอ็ม
ผู้ฟังชาวยุโรปในช่วงครึ่งหลังของยุค 70 และต้นยุค 80 ได้รับความสนใจจากพวกเขาในกลุ่ม Boney M. องค์ประกอบของกลุ่มเปลี่ยนไป แต่ถึงอย่างไรก็ตามเรื่องนี้มียอดขายประมาณ 40 ล้านแผ่นและมากกว่า 65 ล้านซิงเกิ้ล
BONY M ประสบความสำเร็จอย่างเป็นปรากฎการณ์ในยุโรปตะวันออกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหภาพโซเวียต ซึ่งพวกเขาเป็นหนึ่งในศิลปินตะวันตกกลุ่มแรก กลุ่มนี้แสดงที่จัตุรัสแดงและถ่ายทำวิดีโอที่นั่นด้วย Boney M เป็นตำนานและผู้บุกเบิก Eurodisco ในช่วงอาชีพอันยาวนานของเขา
แปดครั้งขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงเดียวของหลายประเทศในยุโรป สามครั้งตั้งอัลบั้มของพวกเขาให้อยู่ในระดับสูงสุดของความนิยม และในทศวรรษที่ผ่านมาพวกเขาหลั่งไหลท่วมท้นอย่างแท้จริงด้วยคอลเล็กชั่นสิ่งที่ดีที่สุดของพวกเขา อัลบั้มคริสต์มาส รีมิกซ์และเมกะมิกซ์
BONEY M ยังคงมีชีวิตอยู่กับผู้เล่นตัวจริงสี่คนในปัจจุบัน - แม้ว่าจะมีเพียงคนเดียวที่นำโดย Liz Mitchell ที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ - ในการทัวร์คอนเสิร์ตและปรากฏตัวทางโทรทัศน์
เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าความคิดที่จะรวมทีมดังกล่าวเกิดขึ้นในหัวของฟาเรียนเมื่อราวๆ หนึ่งศตวรรษก่อน ลูกชายของคนงานฟอกหนังที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่สองและนักร้องประสานเสียงของโบสถ์ Franz Reuter ซึ่งต่อมาใช้นามแฝง Frank Farian เกิดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 1942 และเติบโตในเมืองซาร์บรึคเค่นของเยอรมันตะวันตกซึ่งมีพรมแดนติดกับฝรั่งเศส ถัดจากฐานทัพทหารอเมริกันหลายสิบแห่ง
Farian เปลี่ยนไปใช้หน้าการผลิตในยุค 70 เพลงบัลลาดโปรอเมริกันซึ่งเขาได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในฉลาก Hansa-Ariola ที่มีชื่อเสียงในที่สุดก็เริ่มมีผลและเพลงสองเพลงของเขา "Dana My Love" (1972) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "Rocky" (1976) ซึ่ง ติดอันดับชาร์ตแห่งชาติของเยอรมนีตะวันตก เข้าสู่กองทุนทองคำของเพลงป๊อปภาษาเยอรมันในภาษาอังกฤษ
จากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วสู่ดิสโก้ที่ทันสมัยกว่า และมันเป็นจุดเปลี่ยนของโครงการที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งโครงการแรกเรียกว่า BONEY M.
ในตอนแรก Farian ไม่มีแผนขนาดใหญ่ เขาได้รับแรงผลักดันจากการคำนวณตามปกติของโปรดิวเซอร์รุ่นเยาว์ที่เพิ่งเขียนเพลงน่ารักๆ ("Baby Do Ya Wanna Bump?") ออกซิงเกิลนี้พร้อมกับเสียงร้องของเขาเอง และเขาต้องการที่จะรวมความสำเร็จของเขาในทัวร์และโทรทัศน์ . แฟรงก์คัดเลือกกลุ่มนักดนตรีที่มีเซสชั่นผิวเข้ม ซึ่งอพยพมาจากทะเลแคริบเบียน ซึ่งส่วนใหญ่ร้องเพลงได้ดีมาก และในเวลาเพียงห้าปี เขาก็สร้างผลงานการเต้นที่ไม่มีใครเทียบได้ 100% ด้วยเนื้อเพลงภาษาอังกฤษที่ง่ายที่สุดและจังหวะดิสโก้ที่ติดหู

รายชื่อศิลปินชุดแรกของ BONEY M ได้แก่ Maizie Williams ซึ่งครอบครัวเคยอพยพมาจากเกาะมอนต์เซอร์รัตในแคริบเบียนบ้านเกิดของพวกเขา มาที่ลอนดอนก่อน (ซึ่ง Maizie กลายเป็นนางแบบและได้รับรางวัล "Miss Black Beauty") จากนั้นจึงไปเยอรมนี ชีล่า บอนนิค ผู้หญิงชื่อนาตาลีและไมค์แอฟริกัน จากนั้นพวกเขาก็เข้าร่วมโดย Claudja Barry ซึ่งต่อมาถูกแทนที่โดยผู้หญิงจาก Jamaica Liz Mitchell และเพื่อนของ Maisy เสียงที่หนักแน่นของเธอกลายเป็นจุดเด่นของกลุ่ม ลิซใฝ่ฝันที่จะเป็นนักร้องมืออาชีพมาโดยตลอด และความสำเร็จครั้งแรกของเธอเกิดขึ้นหลังจากถ่ายทำละครเพลงเรื่อง "Hair" ของอังกฤษที่มีชื่อเสียง

Farian ได้ชื่อแปลก ๆ สำหรับกลุ่มนี้มาจากไหน - ทุกอย่างง่ายมากผู้ชื่นชอบละครโทรทัศน์เรื่องใหญ่ชอบ "กล่องสบู่" อาชญากรชาวออสเตรเลียเกี่ยวกับตำรวจผู้กล้าหาญที่ชื่อบอนนี่ ตัวอักษร "M" กรอกรูปภาพตามสัทอักษร และชื่อก็พร้อมใช้งานแล้ว

BONY M ประสบความสำเร็จอย่างมหัศจรรย์กับเพลงของ Farian เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2519 รายชื่อกลุ่มที่สองของกลุ่มซึ่งปัจจุบันเรียกว่า "ดั้งเดิม" ได้แก่ Liz Mitchell, Mizi Williams ผู้อพยพจากจาเมกา Marcia Barret และ Bobby Farrell ซึ่งเป็นชาวเกาะ Aruba ในทะเลแคริบเบียน ผู้ซึ่งทำงานเป็นนักเต้นและดีเจในคลับดัตช์แห่งหนึ่งในคลับดัตช์ได้แสดงเพลง "Daddy Cool" เป็นครั้งแรกในรายการทีวี "Musikladen" ที่มีเพลงฮิตมากมาย

ในปีพ.ศ. 2529 กลุ่มได้ยุบวงอย่างเป็นทางการด้วยเหตุผลลึกลับที่คลุมเครือ แต่เกือบทุกปีพวกเขารวมตัวกันเป็นกลุ่มต่างๆ
เว็บไซต์สำหรับจัดคอนเสิร์ตและสั่งการแสดงกลุ่ม Boni m เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ vipartist ซึ่งคุณสามารถทำความคุ้นเคยกับชีวประวัติและตามหมายเลขติดต่อที่ระบุบนเว็บไซต์คุณสามารถเชิญกลุ่ม Boni M ด้วย คอนเสิร์ตสำหรับวันหยุดหรือสั่งให้กลุ่ม Boni M ไปแสดงที่งาน เว็บไซต์ของ Boni M มีข้อมูลรูปภาพและวิดีโอ
หน้าส่วนตัวของกลุ่ม Boney M บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของตัวแทนในรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS จัดคอนเสิร์ตและการแสดง (จองอย่างเป็นทางการ Boney M)

กลุ่มนี้ก่อตั้งขึ้นโดยนักร้องและโปรดิวเซอร์เพลง Franz Reuter ซึ่งต่อมาใช้นามแฝง Frank Farian

ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 นักร้องหนุ่มรวบรวมกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบดนตรีผิวดำรอบตัวเขา การทดลองกับสไตล์ดิสโก้ที่ทันสมัยในช่วงปลายปี 1974 Farian บันทึก Baby Do You Wanna Bumb โดยใช้นามแฝง Zambie Farian บันทึกเสียงเพลงด้วยตัวเองโดยใช้เสียงของตัวเองและเสียงของทีมงานนักร้องของ Europa Sound Studios ใน Offenbach ในปี 1975 บริษัท Hansa Record Company ได้ออกซิงเกิลชื่อ Boney M.

Baby Do You Wanna Bumb กำลังกลายเป็นเพลงฮิตที่โด่งดังในเยอรมนี เช่นเดียวกับในฮอลแลนด์และเบลเยี่ยม ซิงเกิ้ลนี้ขายได้ 500 ชุดต่อสัปดาห์ ในไม่ช้า แอปพลิเคชั่นสำหรับการแสดงทางโทรทัศน์และคอนเสิร์ตก็เริ่มมาถึง แต่เนื่องจากฟาเรียนเองก็ไม่ได้ไปบนเวที เขาจึงก่อตั้งกลุ่ม Boney M. ด้วยความช่วยเหลือจากหน่วยงานด้านศิลปะ

แนวคิดในการตั้งชื่อวง Farianu เกิดขึ้นหลังจากที่เขาดูซีรีส์ที่ได้รับความนิยมในเยอรมนีช่วงต้นทศวรรษ 1970 ละครตลกทางโทรทัศน์ของออสเตรเลียซึ่งพระเอกชื่อ Boney

สมาชิกกลุ่มแรกของ Boney M ได้แก่ Maizie Williams ซึ่งครอบครัวเคยอพยพจากเกาะ Montserrat ในทะเลแคริบเบียนมาที่ลอนดอนเป็นครั้งแรก (ที่ Maizie กลายเป็นนางแบบและได้รับรางวัล "Miss Black Beauty") จากนั้นนักร้อง Sheila Bonnik ( Sheila Bonnick) และ Claudja Barry นักเต้นไมค์ คนเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นกลุ่มเต้นรำเป็นหลักและร้องเพลงร่วมกับฟาเรียนในเบื้องหลัง ในไม่ช้า Claudia Barry ก็ถูกแทนที่โดย Liz Mitchell แฟนสาวของ Mizi ซึ่งเสียงที่หนักแน่นกลายเป็นจุดเด่นของกลุ่ม

ไลน์อัพชุดสุดท้ายก่อตั้งในปี 1976 ซึ่งรวมถึงนักร้อง Liz Mitchell และ Marcia Barrett นักเต้น Maisie Williams และนักเต้น Bobby Farrell

Boney M ประสบความสำเร็จอย่างมหัศจรรย์กับเพลงของ Farian ในปีพ. ศ. 2519 กลุ่มได้แสดงเพลง "Daddy Cool" เป็นครั้งแรกในรายการทีวี "Musikladen" หลังจากนั้นไม่นานยอดขายซิงเกิ้ล "Daddy Cool" ก็สูงถึง 100,000 ชุดต่อสัปดาห์ หนึ่งเดือนต่อมาก็ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเยอรมันสิบ) .

"Daddy Cool" ได้รับการรับรองทองคำในเก้าประเทศในยุโรป และอัลบั้มแรกของ Boney M. "Take The Heat Off Me" ได้ขึ้นชาร์ตบนชาร์ตทั่วยุโรป เพลง "Sunny" รีเมคของ Bobby Hebb คว้าอันดับหนึ่งในเยอรมนีและสหราชอาณาจักร

ในปี 1977 ซิงเกิล "Ma Baker" ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน ตามด้วยซิงเกิ้ล "Rivers Of Babylon / Brown Girl In The Ring", "Rasputin", "Belfast", "Mary" s Boy Child "," Painter Man "," Hooray! ไชโย! มันคือ "A Holi-Holiday" พร้อมกับอัลบั้มของพวกเขาไม่ได้ออกจากสิบอันดับแรกของประเทศในยุโรปส่วนใหญ่มาเป็นเวลานาน

ในปี 1978 Boney M กลายเป็นวงดนตรีตะวันตกวงแรกที่แสดงในสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2521 กลุ่มมาถึงมอสโกซึ่งพวกเขาได้แสดงคอนเสิร์ตที่ขายหมดแล้ว 10 ครั้ง คลิปวิดีโอถูกถ่ายเกี่ยวกับกลุ่มที่จัตุรัสแดง

ในปี 1982 Bobby Farrell ถูกแทนที่โดย Reggie Tsiboe จากกานา ซึ่งพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นโปรดิวเซอร์และผู้แต่งเพลงที่มีพรสวรรค์และได้รับความนิยมอย่างมาก ในปี 1985 ฟาร์เรลล์กลับมาที่กลุ่ม

ในช่วงต้นปี 1986 Farian ประกาศการจากไปของ Boney M. เมื่อวันที่ 16 มกราคม วงดนตรีได้ทำการแสดงอำลา ZDF ในรูปแบบ "คลาสสิก" อย่างไรก็ตาม จนถึงปี 1989 กลุ่มได้รวมตัวกันเป็นระยะในการแต่งเพลงที่แตกต่างกันในคอนเสิร์ตและบันทึกการรีมิกซ์เพลงคลาสสิกของพวกเขา ซิงเกิล "Everybody Wants To Dance Like Josephine Baker / Custer Jammin" (พฤศจิกายน 1989) เป็นการทำงานร่วมกันครั้งสุดท้ายของสมาชิกวงดั้งเดิม

ตั้งแต่ปี 1992 Frank Farian ได้ปล่อยเพลงรีมิกซ์ของ Boney M ซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศแถบยุโรป

ตั้งแต่ปี 1997 มีไลน์อัพสามรายการภายใต้ชื่อ Boney M: Liz Mitchell ซึ่งได้รับอนุญาตจาก Frank Farian ให้ใช้ชื่อ Boney M และวง Bobby Pharrell และ Maisie Williams Marcia Barrett ทำหน้าที่เป็นศิลปินเดี่ยว

ทีมเข้าสู่ Guinness Book of Records ว่ามีซิงเกิ้ลมากที่สุด จากการประมาณการบางอย่าง การหมุนเวียนตามกฎหมายของอัลบั้มและซิงเกิ้ลของ Boney M นั้นเกิน 200 ล้านชุด ในขณะที่จำนวนสำเนาที่ผิดกฎหมายที่เผยแพร่ทั่วโลกนั้นอยู่ที่ประมาณอย่างน้อยอีก 300 ล้านชุด

วัสดุถูกจัดทำขึ้นบนพื้นฐานของข้อมูลจากโอเพ่นซอร์ส

เที่ยวบินกลางคืนสู่ดาวศุกร์

เริ่ม

ประวัติของกลุ่ม Boney M. เริ่มต้นขึ้นในปี 1974 เมื่อนักดนตรีชาวเยอรมันอายุน้อยและกล้าได้กล้าเสียอย่าง Frank Farian ตัดสินใจที่จะลองตัวเองในรูปแบบที่ใหม่สำหรับยุโรป - ในเวลานั้นได้รับความนิยมอย่างมากในสโมสรอเมริกัน เขาบันทึกซิงเกิ้ลทดสอบ: "Baby Do You Wanna Bump" ซึ่งเขาทำด้วยตัวเองด้วยน้ำเสียงที่ต่ำและหยาบคายซึ่งต่อมาได้กลายเป็น "บัตรโทรศัพท์" ของกลุ่ม ...

ในช่วงต้นยุค 70 Farian มีอัลบั้มเดี่ยวสองอัลบั้มในบัญชีของเขาแล้ว (และอาจเป็นความทะเยอทะยานของนักร้องและนักดนตรี) และเพลง "ทดลอง" ดังกล่าวอาจเสี่ยงต่ออาชีพเดี่ยวของเขา ในบรรดาเวทีเยอรมันในสมัยนั้น ซึ่งยังคงครองความเป็นป๊อปร็อคอยู่ การแต่งเพลงมีความโดดเด่นอย่างมากด้วยจังหวะและการร้องที่ไม่ธรรมดา ไม่มีใครรู้ (และไม่รู้มาก่อน) ว่าผู้ชมจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อเพลงที่มีวลีเดิมซ้ำเกือบเจ็ดนาที! และฟาเรียนไม่กล้าที่จะปล่อยมันภายใต้ชื่อของตัวเองโดยใช้ชื่อเล่นตลกว่า "แซมบี้" ดังนั้นชื่อเสียงของเขาในฐานะโปรดิวเซอร์จึงยังไม่ตกอยู่ในอันตราย ในขณะที่ความสำเร็จของซิงเกิ้ลสามารถทำกำไรได้ดี!

เพลงนี้บันทึกที่ Europa Sound Studios ใน Offenbach แผ่นดิสก์เปิดตัวในปี 1975 ภายใต้ชื่อกลุ่มที่ไม่มีอยู่จริง Boney M. ธงชาติอเมริกาโบกบนหน้าปกของแผ่นดิสก์เป็นเครื่องหมายคุณภาพ!

Boney M. คือใคร?

ผู้อ่านที่ใส่ใจจะถามว่าทำไม Boney M.? ฟาเรียนคิดอะไรอยู่เมื่อเขาเลือกชื่อนี้ นักข่าวไม่เบื่อที่จะถามคำถามนี้กับแฟรงค์เป็นเวลาสี่ทศวรรษแล้ว

คำตอบนั้นง่ายแต่ไม่ชัดเจน ในขณะนั้น ซีรีส์โทรทัศน์จอฟ้าของเยอรมัน Boney ซึ่งตัวละครหลักคือผู้ตรวจการนอกเครื่องแบบ (aka "Bony") ฟาเรียนเองก็กำหนดตัวอักษร M. ถึง Boni - Bonaparte - เห็นได้ชัดว่า "เพื่อความสมดุล" ชื่อนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากและมีอายุยืนยาวกว่าที่มาของชื่อ! สี่สิบปีต่อมาภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกลืมไปนานแล้วและกลุ่ม Boney M. เข้าสู่คลังเพลงป๊อประดับโลก!

ตั้งแต่เริ่มแรก Boney M. ถูกมองว่าเป็นวงดนตรีสีดำ (เหมาะกับวงดนตรีดิสโก้ที่ดี!) โดยไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป แฟรงค์จึงหันไปหาตัวแทนการคัดเลือกนักแสดง Katya Wolf (ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหานักร้องผิวดำในเยอรมนีในยุค 70!) ซึ่งช่วยในการเลือกรายชื่อศิลปินกลุ่มแรก

การสร้างทีม

รายชื่อผู้เล่นตัวจริงชุดแรก ได้แก่ ไมซี่ วิลเลียมส์ กับเพื่อนของเธอ ชีล่า บอนนิก นาตาลี และไมค์ อย่างไรก็ตามในรูปแบบนี้กลุ่มได้ไม่นาน - นาตาลีถูกแทนที่โดยนักร้องมืออาชีพ

คลอเดีย แบร์รี่

Claudja Barry เกิดที่จาเมกาในปี 1952 นักร้องและนักแสดงผู้เข้าร่วมละครเพลงเรื่อง "Hair" และ "Catch My Soul" เวอร์ชันยุโรป

เมื่อเธออายุเพียงหกขวบ ครอบครัวของเธออพยพไปแคนาดา โดยตั้งรกรากอยู่ในเมืองสการ์โบโรห์ หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลาย คลอเดียย้ายไปนิวยอร์ก ซึ่งเธอได้รับบทบาทในละครเพลงเรื่องแฮร์ ละครเรื่องนี้เที่ยวยุโรปมาเป็นเวลานานและในฤดูใบไม้ผลิปี 2518 คลอเดียก็จบลงที่เยอรมนีตะวันตกซึ่งเธอได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Hot Foot เพื่อบันทึกซิงเกิ้ล เร็กเก้ชน". ในเวลาเดียวกัน คลอเดียได้พบกับแฟรงค์ ฟาเรียน ผู้เชิญเธอเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ Boney M.

อย่างไรก็ตาม การทำงานในกลุ่มที่เธอต้องการเพียงแค่อ้าปากให้ทันเพลงประกอบ ไม่นานเธอก็เบื่อเธอ และในปี 1976 คลอเดียออกจากกลุ่มไปตลอดกาล หลังอำลา Boney M. Claudia ต่ออาชีพเดี่ยวและประสบความสำเร็จอย่างมาก! เพลงของเธอ " Dancin "ไข้"ขึ้นอันดับ 72 บน Billboard และ" Boogie Woogie Dancin "รองเท้า"ในปี 1979 ได้อันดับที่ 37 ใน American R&B hit Parade และอันดับ 56 ในชาร์ตเพลงป๊อป ซึ่งคุณเห็นว่าดีมาก แม้กระทั่งตามมาตรฐานในปัจจุบัน!

ในปี 1985 คลอเดียเปิดตัวในฐานะนักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง "Rappin" ของ Mario Van Peibbles ” วันนี้ Claudia Barry มีอัลบั้มเดี่ยว 9 อัลบั้ม นักร้องยังคงเป็นหนึ่งในดาราที่รู้จักในดิสโก้คลาสสิกอเมริกันในยุค 70

สำหรับผู้ที่คิดว่าการจากไปของ Boney M. Claudia เป็น "ความผิดพลาดที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ" เรารีบเตือนคุณว่าทั้ง Liz Mitchell หรือ Marcia Barrett หรือ Bobby Farrell (ไม่ต้องพูดถึง Maisie Williams) จะมีการแสดงเดี่ยวที่เต็มเปี่ยม อาชีพไม่ได้ผลในขณะที่ Claudia Barry ค่อนข้าง "สว่าง" ใน ครั้งที่ 70 , 80thและ 90thคืออะไร ตัวอย่างมากมาย !

แต่เมื่อสามวันก่อนการแสดงที่รับผิดชอบ Claudia ก็จากไปและ Sheila Bonnik ก็เดินตามเธอไปโดยประกาศว่าเธอสมควรได้รับมากกว่านี้ (ซึ่งไม่ได้ป้องกันไม่ให้เธอประกาศตัวเองว่าเป็นอดีตผู้เข้าร่วมในอีกหลายปีต่อมา) เร็วมาก มีเพียงไมซี่ วิลเลียมส์ เท่านั้นที่ยังคงอยู่จากรายชื่อผู้เล่นตัวจริงชุดแรก

อย่างไรก็ตาม คนโสดยังคงแยกจากกัน และแฟรงค์ก็ตัดสินใจจ้างคนพิเศษคนใหม่ สถานที่ของ Claudia ถูกผู้เข้าร่วมการแสดงดนตรี "Hair" ของฮัมบูร์ก Liz Mitchell แฟรงค์ชอบการแสดงของเธอมากจนเชิญเธอไปที่สตูดิโอหรรษาซึ่งเซ็นสัญญาหนึ่งปี ทำไมน้อยจัง - ผู้อ่านที่เอาใจใส่จะถาม เพราะไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่าอนาคตที่ยิ่งใหญ่กำลังรอกลุ่มนี้อยู่! เป็นโปรเจ็กต์เพลง "Baby Do You Wanna Bump" หนึ่งเพลงซึ่งน่าจะหมดเกลี้ยงในหนึ่งปี

เพิ่มเติมเกี่ยวกับ "Baby Do You Wanna Bump"

• "ชน" - เป็นที่นิยม เต้นรำยุคดิสโก้ ซึ่งพบมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่ แสดงครั้งแรกโดยนักดนตรี Joni Spruce ในระหว่างการเต้นรำ ควรจะสร้างจังหวะของสะโพกสำหรับทุกจังหวะของดนตรี ในการเต้นของคู่รัก ท่าเต้นนี้จะสนิทสนมกันมากขึ้นเมื่อทั้งคู่ตีกันเบา ๆ (หรือหนักกว่า) ด้วยสะโพกของพวกเขา การประพันธ์ที่มีชื่อเสียงที่สุด: " Give Up the Funk (ฉีกหลังคาออกจากเครื่องดูด)"รัฐสภา Funkadelic (สหรัฐอเมริกา) และ" เมือง Nutbush»Ike & Tina Turner (บริเตนใหญ่).
• เพลง "Baby Do You Wanna Bump" เป็นเพลงคัฟเวอร์เพลงจาเมกา " อัลคาโปน“เจ้าชายบัสเตอร์ ในต้นฉบับ คุณสามารถจับธีมหลักของเมโลดี้ได้ แต่แฟรงค์ได้ปรับปรุงและเปลี่ยนข้อความเป็นส่วนใหญ่
• เมื่ออัดเพลง แฟรงค์ร้องเพลงไม่เพียงแต่เสียงต่ำ ส่อเสียด แต่ยังร้องในเสียงต่ำด้วย เวอร์ชันสำหรับอัลบั้ม "Take The Heat Off Me" นำเสนอ Liz Mitchell และ Marcia Barrett ให้พากย์เสียง
• ทุกส่วนของเพศหญิงใน "Baby Do You Wanna Bump" นำเสนอเสียงของชีล่า บอนนิก;
• เพลงนี้ไม่รวมอยู่ในอัลบั้ม "Take The Heat Off Me" ในเวอร์ชันอเมริกา อังกฤษ บราซิล และญี่ปุ่น ไม่ใช่เพราะว่าเสียงล้าสมัย (ตามที่ผู้เขียนบางคนเขียน) แต่เนื่องจากสิทธิ์ในการเปิดตัวในสหราชอาณาจักรเป็นของ Creole Records ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลแรกที่ได้รับการปล่อยตัว ในปีพ.ศ. 2521 สตูดิโอได้ออกซิงเกิลนี้อีกครั้ง โดยเพิ่มเวลาในการเล่นเป็น 12 นาที

ในปีพ.ศ. 2519 ได้มีการจัดตั้งไลน์อัพถาวรขึ้น มันรวม:

Elizabeth Rebecca Mitchell เกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 ในเมือง Clarendon ประเทศจาเมกา ในปีพ.ศ. 2506 เธอย้ายไปลอนดอนกับครอบครัว ในช่วงปลายยุค 60 เธอย้ายไปเบอร์ลินแทน Donna Summer ในละครเพลง สมาชิกของกลุ่มเยอรมัน " นักร้อง Les Humphriesซึ่งเธอเริ่มมีชู้กับมัลคอล์ม มาการอน ออกจากกลุ่มกันก็ก่อตั้ง” มัลคอล์มล็อคส์"และแม้กระทั่งออกอัลบั้ม" Caribbean Rocks "ซึ่งอย่างไรก็ตามไม่ประสบความสำเร็จ

หลังจากกลับมาอังกฤษได้ไม่นาน ลิซก็ได้รับคำเชิญให้ทำงานในกลุ่ม Boney M. มาริเซีย บาร์เร็ตต์แนะนำให้นักร้องกับฟาเรียน ซึ่งลิซพบกันเมื่อสองสามเดือนก่อนที่เธอตัดสินใจกลับบ้าน ในช่วงเวลานี้ มาร์เซียเข้าสู่กลุ่ม Boney M และคลอเดียจากเธอไป และตอนนี้จำเป็นต้องมีคนแทนโดยด่วน

ในขั้นต้น ลิซต้องเข้ากลุ่มเพียงสามวันเพื่อไม่ให้การแสดงหยุดชะงัก ใครจะรู้ว่าอีกไม่นานเธอจะกลายเป็นศิลปินเดี่ยวหลักและแม้แต่หนึ่งในผู้เข้าร่วมที่ถาวรที่สุด?

เกิดที่เซนต์แคทเธอรีนเคาน์ตี้ ประเทศจาเมกาเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2491 ก่อนที่จะร่วมวง โบนี่ย์ เอ็ม. มีประสบการณ์ในไนท์คลับ และเคยทำงานในโครงการสตูดิโอของหรรษาหลายโครงการในฐานะนักเต้นและแม้แต่ซิงเกิ้ลเดี่ยว "Could Be Love" ( พ.ศ. 2514) แม้ว่า Liz Mitchell จะเล่นเป็นตัวละครหลักระหว่างทำงานในกลุ่ม แต่ Marcia ก็เติมเต็มเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งทำให้เสียงของ Boney M. กลมกลืนกันมากขึ้น

เมซี่ เออร์ซูล่า วิลเลียมส์

Maisie Ursula Williams เกิดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2494 บนเกาะมอนต์เซอร์รัตในเวสต์อินดีสนักเต้นและนางแบบในปี 2514 เธอได้รับรางวัล "Miss British Commonwealth" ก่อนเข้าร่วมกลุ่ม เธอได้แสดงในร้านอาหารและคลับต่างๆ กับชีลา บอนนิก เพื่อนของเธอ เธอเป็นสมาชิกที่ "ไร้คำพูด" ไม่เหมือนกับสาวๆ คนอื่นๆ แม้ว่าเธอจะร้องเพลงร่วมกับพวกเธอในระหว่างการแสดงสดก็ตาม

เมซี่ได้รับเชิญให้ทำงานในกลุ่มที่ร้านอาหาร ซึ่งเธอได้แสดงร่วมกับชีล่า บอนนิก นี่คือวิธีที่เธอจำตอน:

“ทุกอย่างเกิดขึ้นเหมือนในหนัง! ฉันกับเพื่อนกำลังนั่งทานอาหารอยู่ในร้านอาหาร ทันใดนั้นผู้หญิงคนนี้จาก Hansa Records ก็เดินมาหาเรา เธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่มีล่ามอยู่กับเธอ ซึ่งอธิบายว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังสรรหากลุ่มให้แฟรงก์ ฟาเรียน ซึ่งเคยบันทึกเสียงไว้ ... และแฟรงค์คนนี้กำลังมองหานักเต้นกลุ่มนักเต้นที่จะเต้นไป เพลงนี้. ฉันมองดูคู่รักและคิดว่า: “เอาละ เติมเข้าไปเถอะ ฉันไม่กัดของพวกนี้หรอก!”

Robert Alfonso Farrell เกิดที่เกาะ Aruba เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 1949 อดีตกะลาสี, นักเต้น, ดีเจ, นักแสดงที่ไม่รู้จักเหนื่อย, ผู้ซึ่งรู้วิธีการแสดงที่ยอดเยี่ยมเสมอ! ในช่วงเวลาต่างๆ เขาได้สนับสนุนการแสดงของกลุ่มฟาเรียนต่างๆ

Bobby เข้าร่วมกลุ่ม Boney M. ด้วยมืออันบางเบาของ Maisie Williams ผู้ซึ่งเล่าให้ Farian ฟังเกี่ยวกับตัวเขา เมื่อไปฮันโนเวอร์พร้อมกับตัวแทนคัดเลือกนักแสดง คัทย่า วูล์ฟ แฟรงค์เห็นโดยตรงว่าบ๊อบบี้กำลังทำอะไรอยู่บนเวที และรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง! ตั้งแต่นั้นมา Bobby ก็กลายเป็นส่วนสำคัญของ Boney M. Show!

“เขาเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย มีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยพลังที่รู้วิธีสร้างสถานการณ์ตลกๆ ... ฉันยังจำการปรากฏตัวครั้งแรกของเราที่ MusikLaden ได้ บ๊อบบี้กลัวการขึ้นเวทีอย่างมาก แต่โชคชะตายิ้มให้เราและเขาก็ทำให้ผู้ชมหลงใหลอย่างแท้จริง!”

(แฟรงค์ ฟาเรียน)

พ่อคูล

แทร็กถัดไปก็ถูกปล่อยออกมาโดยไม่มีการเรียกร้องความสำเร็จมากนัก เป้าหมายของเธอคือการยืดอายุของโครงการ ถูกเรียกว่า ... "พ่อคูล"! ไม่จำเป็นต้องพูดว่าความคาดหวังของแฟรงค์ในแง่ร้ายนั้นเป็นอย่างไร!

มีนวัตกรรมมากมายในนั้น: การแนะนำของกลองเพียงอย่างเดียวพร้อมกับเสียงติ๊กวลีซ้ำซากจำเจ แต่ที่สำคัญที่สุดคำพูดของเพลงเป็นเหมือนเพลงกล่อมเด็กไร้ความหมายใด ๆ เลย!

"Daddy Cool" กลายเป็นเพลงฮิตที่บ้านในทันทีและพุ่งขึ้นสู่อันดับที่ 6 ในชาร์ตสหราชอาณาจักร แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด! หลังจากบินข้ามมหาสมุทร "Daddy" ได้อันดับที่ 65 ของ American Billboard Hot 100 และอันดับที่ 20 ของชาร์ตแคนาดา! การเริ่มต้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นอย่างอื่นนอกจาก "ความก้าวหน้า"!

“โดยพื้นฐานแล้ว ฉันมองเห็นถึงความสำเร็จของ Daddy แต่ทุกสิ่งที่ตามมาทำให้ฉันประหลาดใจอย่างไม่คาดคิด” แฟรงค์กล่าวในการให้สัมภาษณ์ ด้วยซิงเกิ้ลนี้เองที่จุดเริ่มต้นของ Boney M อย่างแท้จริง!

แดดจัด

เพลงที่ 3 เป็นเพลงคัฟเวอร์เพลงของ Bobby Hubb “ แดดจัด"(" The Sun ") แสดงโดย Boney M. เกิดใหม่เปลี่ยนเสียง bardic เป็นจังหวะการเต้นดิสโก้

เพลงนี้เกี่ยวกับอะไร? ตามที่บ็อบบี้ ฮับบ์ กล่าวไว้ ในขณะที่เขาเขียนมัน ทั้งหมดที่เขาต้องการคือ "เพียงเพื่อรอเวลาที่มีความสุขมากขึ้นหรืออย่างน้อยก็ในวันที่มีแดดจ้า เพราะเวลานั้นไม่ได้ดีที่สุด" ในเดือนพฤศจิกายนปี 1963 ฮับบ์ตกใจกับเหตุการณ์สองเหตุการณ์ในคราวเดียว: การเสียชีวิตของจอห์น เอฟ. เคนเนดีและการฆาตกรรมน้องชายของเขาเอง ซึ่งถูกแทงจนตายใกล้ไนท์คลับ

เพลงนี้เขียนตรงกันข้ามกับเพลงของ Joni Bragg " Just Walkin "ในสายฝน". การเปิดตัวครั้งนี้ทำให้ Hubb ประสบความสำเร็จอย่างมากจนในปี 1966 เขาได้เข้าร่วมทัวร์ร่วมกับ The Beatles ด้วยตัวเอง!

ตามที่ Broadcast Music, Inc. (BMI) เพลงอันดับที่ 25 ใน 100 เพลงยอดนิยมแห่งศตวรรษ

ไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่ร้องไห้

เบื้องหลังซิงเกิ้ล "Daddy Cool" นำเสนอเพลงคัฟเวอร์เพลงของ Bob Marley " ไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่ร้องไห้". ผู้เขียนบทความและนักวิจารณ์ดนตรีชื่นชอบการแปลชื่ออย่างแท้จริง: "ไม่มีผู้หญิง - ไม่ร้องไห้" ส่วนหนึ่งเป็นความผิดของวงเองที่ใส่ชื่อเพลงเป็นเพลง No Wom อี n No Cry ” บนปกอัลบั้ม!

บางทีพวกเขาอาจอยู่ที่ไหนสักแห่งและถูกต้อง แต่ความหมายที่แท้จริงของเพลงแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง: ฮีโร่ของเพลงคือนักร้องที่พเนจรซึ่งรับรองกับผู้หญิงที่ร้องไห้ของเขาว่าเขาจะกลับมาอย่างแน่นอน: "ไม่ใช่ผู้หญิงอย่าร้องไห้! "

และฟาเรียนก็ร้องเพลงนอกจออีกครั้ง ไม่ ตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะแย่งชิงตำแหน่งศิลปินเดี่ยว และเขาจ้าง Bobby Farrell เป็นนักดนตรีร้องเพลง (และไม่ใช่แค่นักเต้น) และนี่คือเพลงที่บ๊อบบี้ควรจะร้อง อย่างไรก็ตาม ไม่มีการทดลองใดๆ ของแฟรงค์กับเสียงของฟาร์เรลล์ที่นำไปสู่สิ่งที่ดี เขาไม่เข้ากับเสียงของ Boney M. เลย และในที่สุด แฟรงค์ก็ตัดสินใจว่ามีเพียงเขา ลิซ และมาร์เซียเท่านั้นที่จะร้องเพลง และบ็อบบี้กับเมซี่ก็จะอ้าปากเท่านั้น

ดังนั้นกลุ่ม Boney M. จึงกลายเป็นหนึ่งในโครงการสตูดิโอแห่งแรกในยุโรป!

หายร้อนสักที

ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2519 อัลบั้มแรกของวง Take The Heat Off Me ได้รับการปล่อยตัว ผู้ชมทักทายเขาค่อนข้างสงวน แต่เมื่อกันยายน ทางวงก็ได้แสดงเพลงในรายการโทรทัศน์ เพลงลาเดนเป็นครั้งแรกที่แฟรงค์สามารถชื่นชมพลังวิเศษของโทรทัศน์ได้! ความต้องการเกินความคาดหมายทั้งหมด - ขายได้มากกว่า 100,000 รายการในหนึ่งสัปดาห์!

ความสำเร็จเติบโตเหมือนก้อนหิมะ! บริษัท เพลงที่ใหญ่ที่สุดได้รับใบอนุญาตในการเผยแพร่ Boney M. การจำหน่ายแผ่นดิสก์และเทปคาสเซ็ทมีอยู่แล้วในล้าน!

ในอังกฤษ อัลบั้มแรกออกโดยค่ายเพลงชื่อดัง Atlantic Records แทนที่เพลง "Baby Do You Wanna Bump" ด้วย 6 นาที " ช่วย! ช่วย!"ซึ่งก่อนหน้านี้ดำเนินการโดย กิลล่า.

เห็นได้ชัดว่าในตอนแรกแฟรงค์กำลังพยายามปรับดิสโก้อเมริกันและมีเพลงในอัลบั้มแรก: “ หายร้อนสักที », « รัก 'หรือ ออกจาก' », « ไข้ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับผลงานของดาราดิสโก้จากต่างแดนในยุคนั้นอย่างกลอเรีย เกย์เนอร์ แต่มีเพลงอื่นๆ อยู่ในนั้น ด้วยเสียงแรกของพวกเขา คุณจะจำเสียงที่ "อบอุ่น" ของ Boney M. ได้อย่างแน่นอน!

« มีผู้ชายอยู่ในใจ », « แดดจัด », « ไม่มีผู้หญิง ไม่ร้องไห้”มีการผสมผสานระหว่างเบสกับเครื่องสายที่ขี้เล่นยิ่งขึ้น และให้เสียงที่อบอุ่นมาก ราวกับว่าไม่ใช่ดิสโก้เลย แต่เป็นเพลงจากจาไมก้าหรือหมู่เกาะเคย์แมน!

การทดลองอย่างต่อเนื่องกับเครื่องดนตรีและความหลงใหลในท่วงทำนองที่แปลกใหม่ค่อยๆ นำแฟรงก์ออกจากดิสโก้แบบอเมริกันที่เป็นที่ยอมรับ ดนตรีของเขามีเสน่ห์พิเศษบางอย่างซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นสไตล์องค์กรของ Boney M.

การแปล www.site

เที่ยวบินกลางคืนสู่ดาวศุกร์

ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ยินดีต้อนรับขึ้นยานอวกาศ Boney M. นี่เป็นเที่ยวบินโดยสารเที่ยวบินแรกสู่ดาวศุกร์

นับถอยหลัง : 10,9,8,7,6,5,4,3,2,1 - สตาร์ท - สตาร์ท !!!
เที่ยวบินกลางคืนสู่ดาวศุกร์ เส้นทางในพื้นที่ที่ไม่รู้จัก เที่ยวบินกลางคืนสู่ดาวศุกร์คือเป้าหมายใหม่ของเรา

ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ การเปิดตัวประสบความสำเร็จในเที่ยวบินแรกไปยังดาวศุกร์ ใช้เวลาเดินทาง 8 ชม. เราจะบินด้วยความเร็ว 2,183 ไมล์ต่อวินาที นั่นคือเจ็ดและครึ่งล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทางจากโลกถึงดาวศุกร์คือหกสิบล้านไมล์

ด้านซ้ายมือจะมองเห็นภูเขาพระจันทร์ และตรงกลางโดมพลาสติกขนาดใหญ่ - Luna City มีแหล่งแร่ทองคำและเพชรจำนวนมาก เมืองกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว
สำหรับดาวศุกร์นั้น ต้องใช้เวลาเกือบเก้าสิบปีในการทำให้โลกเย็นลงจาก 500 องศาเป็น Faringate 75 องศาที่สบาย และเปลี่ยนบรรยากาศให้กลายเป็นมนุษย์ดินที่อาศัยอยู่ได้

เที่ยวบินกลางคืนสู่ดาวศุกร์ เส้นทางในพื้นที่ที่ไม่จดที่แผนที่ เที่ยวบินกลางคืนสู่ดาวศุกร์คือเป้าหมายใหม่ของเรา
เที่ยวบินกลางคืนไปยังดาวศุกร์ ระบบทั้งหมดเป็นปกติ เที่ยวบินกลางคืนไปยังดาวศุกร์ ท้องฟ้าก็ส่องแสง

"กัปตัน - วัตถุไม่ปรากฏชื่อที่บิน 8 นาฬิกา - 2 ล้านกม." เตรียมพร้อมสำหรับการซ้อมรบที่อันตราย "วัตถุเริ่มเข้าใกล้ด้วยความเร็วแสง - เรายังมีเวลาแปดวินาที"

"วัตถุอยู่ใกล้กว่า - เรามีเวลาอีกห้าวินาที" “เปลี่ยนหลักสูตรไปสี่และหกในสิบของดีกรี กัปตัน คำสั่งดำเนินการแล้ว”

(มันคือ Meteor สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี มันแซงเราไปแล้ว เห็นไหม แม้แต่ในอวกาศ การจราจรก็ยังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ)
ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ในอีกไม่กี่นาทีเราจะลงจอดบนดาวศุกร์ กดปุ่มทางด้านซ้าย กลไกความปลอดภัยจะจัดการที่เหลือเอง เราหวังว่าคุณจะสนุกกับการบินครั้งแรกของโลกไปยังดาวศุกร์ และขอให้มีช่วงเวลาที่ดี

อาชีพของ Boney M เป็นเหมือนดาวหาง: กลุ่มที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ กลายเป็นหัวข้อของความรักสากลอย่างรวดเร็ว ไม่มีดิสโก้เดียวในโลกที่ไม่ได้เล่น Boney M รายการทีวีทุกรายการเพียงแค่ใฝ่ฝันที่จะเชิญสี่คนดังจากหมู่เกาะแคริบเบียนและการแต่งเพลงของพวกเขา - ส่วนผสมของเร้กเก้, ดิสโก้, ฟังค์, พระกิตติคุณ, วิญญาณและร็อค - เหมือนระเบิดระเบิดชาร์ตเพลงของทุกประเทศทั่วโลก ชื่อของกลุ่มติดอยู่ในปากของทุกคนมานานกว่าสิบปีในอาชีพการงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเขา แต่ถึงแม้จะประสบความสำเร็จอย่างมาก สมาชิกของ Boney M เองก็ยังเป็นคนค่อนข้างเจียมเนื้อเจียมตัวและเรียบง่าย วันนี้เพลงของพวกเขากลายเป็นเพลงคลาสสิกและความทรงจำของพวกเขาอาจจะไม่หายไป ... แต่ Boney M คือใคร?
เรื่องราวของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นในช่วงคริสต์มาสปี 1974/75 เมื่อแฟรงค์ ฟาเรียน โปรดิวเซอร์และนักร้องฮิตชาวเยอรมันที่ไม่โด่งดังและไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้นามแฝง "แซมบิ" ตัดสินใจกลับไปสู่ ​​"รากเหง้าของเขา" - ดนตรีสีดำ - อันเป็นผลมาจาก ซึ่งแต่งและบันทึกเสียงเพลง "Baby do you wanna bump" ที่ Europa Sound Studios ในเมือง Offenbach ของเยอรมนี ในเวลาเดียวกัน ด้วยวิธีการทางเทคนิค เขาบิดเบือนเสียงของเขาอย่างมาก และวางคณะนักร้องประสานเสียงหญิงที่มีสไตล์ไว้บนนั้น ในปี 1975 บริษัทแผ่นเสียง Hansa ได้ออกซิงเกิล "Baby do you wanna bump" ภายใต้ชื่อ Boney M; ฟาเรียนพบชื่อนี้ในเครดิตของซีรีส์ทางโทรทัศน์ของออสเตรเลียที่กลายเป็นเพลงฮิตในเยอรมนีในช่วงต้นทศวรรษ 70 ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นแนวตลกและชื่อ Boney ถูกยกขึ้นโดยฮีโร่นักสืบผิวดำ Bobby Farrell สมาชิก Boney M หัวเราะ: "รายการนี้เป็นนักแสดงชาวอังกฤษผิวขาวและใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเครื่องสำอางสีดำจนคนในเยอรมนีหัวเราะเยาะ"
ตอนนั้นไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น: "Baby do you wanna bump" มีการขายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีในจำนวนประมาณ 500 ชิ้นต่อสัปดาห์ แต่นั่นคือทั้งหมด และในตอนท้ายของปี 1975 Farian ได้รับข้อความที่น่าพึงพอใจอย่างไม่คาดคิด: เพลงของเขากลายเป็นเพลงฮิตเล็กน้อยในฮอลแลนด์และเบลเยี่ยมและสถานีโทรทัศน์ก็เริ่มแสดงความสงสัย Boney M คนนี้คือใคร มีการเชิญไปแสดง อย่างไรก็ตาม ฟาเรียนมีความรอบคอบที่จะไม่ปรากฏตัวบนเวทีด้วยตัวเขาเอง แท้จริงแล้ว เขาคงจะดูค่อนข้างไร้สาระเมื่ออยู่บนเวที และพูดประโยคเดิมซ้ำๆ ว่า "ฮะ-ฮะ!" ด้วยเสียงผู้หญิงสูง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องจัดตั้งกลุ่มสมมติขึ้นเพื่อแสดงทางโทรทัศน์และต่อหน้าสื่อมวลชน เขาได้รับความช่วยเหลือจากตัวแทนคัดเลือกของศิลปิน Katya Wolf ซึ่งพบผู้หญิงสามคนและผู้ชายหนึ่งคน นางแบบและนักเต้น Maisie Williams เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มแรกในกลุ่ม Boney M ตามด้วย Sheila Bonnick, Claudia Barry และ African Mike พวกเขามีบทบาทสำคัญในการดึงดูดความสนใจของสาธารณชนต่อกลุ่ม Boney M ในขณะที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เพียงโพสท่าถ่ายรูปเท่านั้น

เมื่อความสำเร็จของ "Baby do you wanna bump" เริ่มจางหายไป Farian ตัดสินใจจัดตั้งกลุ่มถาวรมากขึ้นและลงนามในสัญญาถาวรกับ Maisie Williams, Marcia Barrett, Claudia Barry และ Bobby Farrell จริงอยู่ในไม่ช้า Claudia Barry ซึ่งไม่เชื่อในโครงการนี้ออกจากกลุ่มและเริ่มต้นอาชีพเดี่ยวซึ่งทำให้เธอประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงปลายยุค 70 Marcia Barrett ซึ่งโดยทั่วไปแล้วยังไม่สนับสนุนโครงการอย่างเต็มที่ทันใดนั้นก็จำเพื่อนของเธอซึ่งเธอพบเมื่อสองเดือนก่อนเข้าสู่ Boney M - Liz Mitchell ด้วยประสบการณ์บนเวทีเดียวกับเธอและแนะนำเธอแทนศิลปินเดี่ยวที่จากไป . ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2518 ฟาเรียนเริ่มบันทึกอัลบั้มเต็มกับสมาชิกใหม่ในทีม และในปี พ.ศ. 2519 ซิงเกิล "Daddy cool" ก็ออกวางจำหน่าย ตามด้วยอัลบั้ม "Take the heat off me" ควรสังเกตว่าก่อนที่จะกลายเป็นเพลงฮิตที่โด่งดังไปทั่วโลกทั้งซิงเกิ้ลและอัลบั้มวางน้ำหนักบนชั้นวางของร้านมาเป็นเวลานาน มีดิสโก้และคลับที่แกะกล่องเพียงไม่กี่แห่งที่ได้รับเชิญให้แสดงสด และหลังจากการปรากฎตัวของ Boney M ในรายการทีวีชื่อดังของเยอรมัน "Musikladen" ยอดขายเพิ่มขึ้นและถึง 100,000 เล่มต่อสัปดาห์ ในไม่ช้าซิงเกิลก็ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตซิงเกิลของเยอรมัน เช่นเดียวกับ "Take the heat off me" ในชาร์ตอัลบั้ม ในประเทศต่างๆ ในยุโรป ซิงเกิล "Daddy cool" ขึ้นอันดับทอง 9 สมัย และในปลายปีนี้ ซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จอย่างเดียวกันจากอัลบั้ม "Sunny" ก็ออกวางจำหน่าย แทร็กในอัลบั้มส่วนใหญ่มีเสียงที่ไพเราะของ Liz Mitchell ในขณะที่เสียงร้องที่ไพเราะและนุ่มนวลของ Marcia Barrett จะปรากฏเฉพาะในเพลงไตเติ้ลและในเพลง "Loving orหมู่"
ในฤดูร้อนปี 1977 ก่อนการเปิดตัวอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 ของวง ซิงเกิล "Ma Baker" ก็ได้ออกวางจำหน่าย โดยอิงจากละครอาชญากรรมที่อ่านโดย Hans-Joerg Mayer (Reyam) นักแต่งเพลงของ Boney M ที่ได้รับการว่าจ้างของ Farian ในหนังสือ เกี่ยวกับประวัติอาชญากรรมในสหรัฐอเมริกา มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเดิมที Farian วางแผนที่จะสร้างเพลงเกี่ยวกับ John Dillinger และ Mayer พยายามอย่างเปล่าประโยชน์ที่จะโน้มน้าวเขาว่าวลี "John Dillinger" จะไม่เข้ากับจังหวะได้ดี ยังคงสงสัยอยู่ว่า จู่ๆ ฟาเรียนก็ได้ยินเสียงเพลงของตูนิเซีย "ซิดี มานซุน" และในที่สุดก็ตกลงกับเมเยอร์ เพลงนี้มีชื่อว่า "หม่า เบเกอร์" ตั้งแต่นั้นมา มียอดขายซิงเกิ้ล 8 ล้านชุด ทำให้เป็นเพลงดิสโก้ขายดีตลอดกาล LP "Love for sale" ซึ่งเปิดตัวในเวลาต่อมาก็ติดชาร์ตทันที แต่เนื่องจากภาพที่เร้าอารมณ์บนหน้าปกไม่ถึงตำแหน่งสูงที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น ในสหราชอาณาจักร สหราชอาณาจักรขึ้นอันดับที่ 60 ที่น่าอับอายเท่านั้น แนวคิดของการออกแบบอัลบั้มดังกล่าวถูกนำมาใช้สำหรับปกของ LP "Take the heat off me" เมื่อ Farian บอกเป็นนัยกับช่างภาพ Didi Zill ว่า "พวกเขาต้องทำบางอย่างที่น่าทึ่ง - สามสาวและหนึ่งผู้ชาย ... สำหรับ ตัวอย่างเช่น สาวๆ สามารถให้กันและกันในขณะที่ Bobby มองดูพวกเขาอยู่ " ฉันต้องบอกว่าความคิดนั้นไม่ได้แย่ ตรงกันข้ามกับการสะท้อนที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม "Love for Sale" กลายเป็นหนึ่งในซีดี Boney M ที่โด่งดังที่สุด; นอกจากเพลงฮิต "Ma Baker" ที่กล่าวถึงแล้ว ยังรวมเพลงดังอย่าง Plantation Boy, พระกิตติคุณเก่าของ Motherless Child ที่ร้องนำโดย Liz Mitchell เพลงคัฟเวอร์เพลง Creedence "คุณเคยเห็นฝนไหม" และเพลงที่ไพเราะที่สุดที่เคยบันทึกโดย Boney M เพลง Yardbirds "Still I" เศร้า ขับขานโดย Liz Mitchell สุดสวย
ด้วยการเปิดตัวซิงเกิ้ลถัดไป "Belfast" ซึ่งนำเสียงอันทรงพลังของ Marcia Barrett ทำให้ Boney Ms ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น ในสหราชอาณาจักรติดสิบอันดับแรก แต่ในไอร์แลนด์เหนือ ห้ามเลื่อนรายการวิทยุ เพื่อต่อต้านข่าวลือที่ว่าวงนี้ถูกปลอมแปลงและไม่สามารถร้องเพลงได้จริงๆ Boney M จะแสดงเพลงฮิต "Belfast" ในรายการทีวี "Musikladen" ไม่ใช่ความลับสำหรับทุกคนที่มีเพียงสองคนในกลุ่มที่ร้องเพลงในบันทึก และเสียงอื่น ๆ ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นโดย Farian ฟาเรียนเองก็ไม่ได้ปิดบังความจริงที่ว่าเขา "ยืม" เสียงของเขาในบันทึกของบ็อบบี้และไมซี่ ส่วนเสียงร้องที่เหลือก็ขับร้องโดยมาร์เซียและลิซ "เสียงของฉันเหมาะกับเสียง Boney M มากกว่า Boby และ Maisie" แม้ว่า Bobby และ Maisie จะร้องเพลงเช่น "Ma Baker", "Rasputin" และ "Belfast" ที่ต้องการเสียงร้อง บนเวที สมาชิกในวงทุกคนร้องเพลงสด - ไม่มีการบันทึกหรือทริค! เพื่อพิสูจน์สิ่งนี้และช่วยโปรโมตอัลบั้มใหม่ Boney M กำลังทำการแสดงสดหลายรายการพร้อมร้องสนับสนุนจาก Black Beautiful Circus ครั้งหนึ่ง ทัวร์ครั้งแรกของ Boney M (พร้อมการแสดงเพลงภายใต้ "ไม้อัด") ล้มเหลวอย่างน่าสังเวช “ไม่มีใครเชื่อในเรา” ลิซกล่าว และนักวิจารณ์ชาวเยอรมันก็จัดการกับกลุ่มที่ทำลายล้างยิ่งกว่าเดิม อย่างไรก็ตามทัวร์ครั้งที่สอง - เพื่อสนับสนุนอัลบั้ม "Love for sale" - ประสบความสำเร็จอย่างมากแม้ว่านักวิจารณ์ดนตรีชาวเยอรมันจะไม่ชอบ Boney M. Farian เป็นพิเศษในครั้งนี้: "ถ้าฉันจัด Boney M ในสหราชอาณาจักรไม่ ใครจะดูถูกเราในแบบที่พวกเขาเป็น สิ่งเดียวที่ Boney M ต้องการคือการให้ความบันเทิงกับผู้คน " และมีเพียงแฟน ๆ ของกลุ่มเท่านั้นที่ไม่สนใจสิ่งที่นักวิจารณ์เขียน พวกเขารับรู้ถึงการแสดงดนตรีที่แปลกใหม่อย่างกระตือรือร้น อิ่มตัวด้วยความรักและการปลดปล่อย ขอบคุณดาราดังอย่าง Boney M., Donna Summer, ABBA, Bee Gees และคนอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน ชาวยุโรปหัวโบราณซึ่งไม่ค่อยแสดงอารมณ์ในการเต้น จู่ๆ ก็ท่วมท้นไปที่ฟลอร์เต้นรำและดิสโก้ แฟนคลับคนหนึ่งของวงได้บรรยายถึงวัตถุแห่งความรักของเขาว่า "โบนี่ เอ็ม เป็นพลังธรรมชาติ มันหยุดไม่ได้!" อันที่จริง มีเพียงพลังธรรมชาติอื่นเท่านั้นที่สามารถหยุด Boney M. ดังนั้น ในช่วงฤดูหนาวปี 1978 กลุ่มจึงถูกบังคับให้ยกเลิกรายการโทรทัศน์ทั้งหมด รวมถึงพิธีมอบรางวัล BBC ซึ่งควรจะได้รับรางวัล Carl Allen Prize สำหรับกลุ่มป๊อปต่างประเทศที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหราชอาณาจักร และประเด็นก็คือ เยอรมนีในเวลานั้นถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาทึบ และชีวิตปกติในนั้นก็แทบจะหยุดลง แต่อย่างไรก็ตามฝนแห่งรางวัลซึ่งเริ่มต้นด้วยซิงเกิ้ล "Daddy cool" ยังคงเทลงบน Boney M. นี่คือ "Golden Otto" จากนิตยสารเยาวชนเยอรมัน "Bravo" และ "Golden Europe" ในปี 1977 และ "เสาอากาศทองคำ" และ "สิงโตทองคำ" รวมถึงแผ่นทองคำขาวทองคำและเงินจาก บริษัท ดนตรี ...

1978 เป็นปีแห่ง Boney M! สถานะซุปเปอร์สตาร์ของวงทำให้อัลบั้มที่สามและขายดีที่สุดของพวกเขาคือ "Nightflight to Venus" ซึ่งทำให้อัลบั้ม "Rivers of Babylon" ได้รับความนิยมอย่างมาก - ขึ้นถึงอันดับ 1 ทั่วโลก คาดว่าทุกๆ สี่วินาที หนึ่งซิงเกิ้ลที่มีเพลงฮิตนี้จะถูกขายไปทั่วโลก! ในเยอรมนี ขึ้นสูงสุดอันดับหนึ่งในชาร์ตซิงเกิลเป็นเวลา 16 สัปดาห์ติดต่อกัน! ในสหราชอาณาจักร "Babylon" ขึ้นอันดับ 1 เป็นเวลาสี่สัปดาห์เต็ม และในออสเตรเลีย ซึ่ง ABBA วงป๊อปสวีเดน ABBA เพิ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก เพลงฮิต Boney M สองเพลงมีอันดับสูงสุด: "Rivers of Babylon" (สี่สัปดาห์ใน 10 อันดับแรก) และ "รัสปูติน" อันที่จริงในปี 1978 Boney M บีบ ABBA ออกจาก Top 25 ในชาร์ต "End of the Year" (อันดับ 3 ถึง Babylon และอันดับ 25 ถึง Rasputin ในสหรัฐอเมริกา ซิงเกิลถึง Top-30 แต่ใน ประเทศนี้การมีส่วนร่วมของกลุ่มในชาร์ตนั้นค่อนข้างน้อย - ลองนึกดูว่าจะเป็นอย่างไรถ้า Boney M ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับในประเทศอื่น ๆ !
เมื่อดีเจวิทยุของอังกฤษเบื่อที่จะเล่นเพลงเดียวกันก็พลิกซิงเกิ้ลและเล่น "Brown girl in the ring" หลังจากนั้นซิงเกิ้ลก็พุ่งขึ้นสู่อันดับ 2 อีกครั้งซึ่งอยู่ได้เกือบ 40 สัปดาห์! สนับสนุนโดยกลุ่มนักร้องสนับสนุน 15 ชิ้น Boney M แสดงสดในรายการทีวีของอังกฤษ "Top of the pops" และหลังจากคอนเสิร์ตใน Royal Variety Hall พบกับ Queen Elizabeth
ซิงเกิลที่ขายดีที่สุดอันดับที่ 5 ของสหราชอาณาจักร รองจาก "Rivers of Babylon" คือเพลงฮิตคริสต์มาส "Mary" 's boy child (โอ้ พระเจ้า) " มียอดขาย 175,000 แผ่นต่อวัน และขายได้ประมาณ 2.2 ล้านเล่มในสี่สัปดาห์หลังจากประสบความสำเร็จในการจัดลำดับ ของบาบิโลนพร้อมเนื้อเพลงที่นำมาจากพระคัมภีร์โดยตรง แฟรงค์ ฟาเรียนตัดสินใจบันทึกเพลงทางศาสนาอีกเพลงหนึ่งชื่อ "ลูกผู้ชาย" ของแมรี่ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในบริเตนใหญ่ด้วยการแสดงโดยปรมาจารย์คาลิปโซ่ แฮร์รี่ เบลาฟอนเต้ เมื่อยี่สิบปีก่อนดนตรีของ Boney M . LP "Nightflight to Venus" ที่มีหน้าปก "space" และเพลงไตเติ้ลที่สอดคล้องกันก็กลายเป็นเพลงขายดีตลอดกาลในยุโรป ในสหราชอาณาจักร แผ่นดิสก์นี้ติดอันดับชาร์ตเป็นระยะเวลายาวนานเป็นพิเศษถึง 65 สัปดาห์! ต่อจากเมกะซิงเกิลดังกล่าวด้วยเรตติ้งความนิยม ได้แก่ เพลงโคฟเวอร์เพลง "Heart of gold" ของ Neil Young ที่เรียบเรียงเป็นเสียงร้องไพเราะได้ไพเราะ "Never change a lover in the night" ซึ่งร้องใน เสียงสั่นของ Marcia Barrett และ "เขาเป็น steppenwolf" เป็นการทบทวนเพลง Temptation ที่มีชื่อเสียง "Papa was a rolling stone" ความสำเร็จของอัลบั้มนี้ทำให้ Boney M เป็นกลุ่มป๊อปที่ไม่ใช่ชาวอังกฤษที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหราชอาณาจักร ซึ่งพวกเขาได้รับรางวัล Carl Allen Prize
ไม่น่าแปลกใจที่ความนิยมดังกล่าว กลุ่มนี้เริ่มแสดงความสนใจจากอีกด้านหนึ่งของม่านเหล็ก ดังนั้นในสหภาพโซเวียต แผ่นดิสก์คอลเลกชัน Boney M รุ่นพิเศษจึงได้รับการเผยแพร่โดยมียอดจำหน่าย 100,000 เล่ม ซึ่งกลับกลายเป็นว่าดูถูกเล็กน้อยสำหรับประชากร 240 ล้านคน! ผู้ชมต้องการมากกว่านี้ - เพื่อดู Boney M สด! ในเวลาเดียวกันเพลง "รัสปูติน - คนรักของราชินีรัสเซีย" ถูกแบนในสหภาพโซเวียต และในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2521 กลุ่มได้เดินทางมาถึงมอสโกซึ่งพวกเขาได้แสดงคอนเสิร์ตที่ขายหมดแล้ว 10 ครั้ง ประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นไม่เพียงแต่เป็นกลุ่มตะวันตกกลุ่มแรกที่แสดงในสาธารณรัฐโซเวียตเท่านั้น แต่ยังถ่ายทำวิดีโอคลิปเกี่ยวกับกลุ่มนี้ที่จัตุรัสแดงในมอสโกด้วย ประชาชนชาวโซเวียตและรัฐบาลชอบ Boney M มากจนพวกเขาได้รับเงินสำหรับคอนเสิร์ตในสกุลเงินอเมริกันที่แข็งในขณะที่ ABBA กลุ่มป๊อปชาวสวีเดนซึ่งมีบันทึกขายในสหภาพโซเวียตก็ได้รับมันฝรั่งและน้ำมัน! อย่างไรก็ตาม เพลง "รัสปูติน" "ด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์" ไม่เคยได้รับอนุญาตให้แสดง มาร์เซียต้องตอบแฟน ๆ ว่า: "เราไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงงานนี้" และผู้แปลก็แปลดังนี้: "เรามีเพลงที่ทุกคนชอบ Boney M จะทำเพลงให้คุณ" และไม่เคยเป็น "รัสปูติน - เครื่องจักรแห่งความรักของรัสเซีย" ... เพื่อความเป็นธรรม ควรสังเกตว่าหลังจากที่ Boney M ไปเยือนรัสเซีย เพลงนี้ก็ยังถูกปล่อยออกมา และกลายเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ชาวรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามที่ Bobby Farrell กล่าวไว้ พวกเขาชอบตอนจบ "โอ้ รัสเซียเหล่านั้น!" ("โอ้รัสเซียเหล่านี้!")
โดยปกติแล้วการทัวร์ของ Boney M จะใช้เวลาหนึ่งปี การแยกสมาชิกในวงออกจากครอบครัวและคนที่รัก และนี่เป็นช่วงเวลาที่น่าผิดหวังที่สุดในงานของพวกเขา ขณะให้สัมภาษณ์ เมซี่ วิลเลียมส์เคยตั้งข้อสังเกตว่า "เราและครอบครัวพยายามจะทนกับเรื่องนี้ ญาติของเราเข้าใจว่าไม่มีทางอื่น ..." ใครก็ตามที่เคยมีส่วนร่วมในธุรกิจการแสดงรู้ดีว่าการท่องเที่ยวเป็นส่วนที่ยากที่สุดและเหนื่อยที่สุดในการแสดงบนเวที แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสพิเศษที่จะได้ไปเยือนประเทศอื่นๆ และทำความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมต่างประเทศ จริงไม่ใช่ทุกอย่างจะราบรื่นเสมอไป ... ในปี 1978 Boney M. ไปตะวันออกกลาง ย้อนกลับไปในตอนนั้น พวกเขาอาจเป็นวงดนตรีป๊อปนานาชาติกลุ่มแรกที่ไปเยือนประเทศต่างๆ เช่น อิสราเอล ซีเรีย และจอร์แดน ในอัมมาน เมืองหลวงของจอร์แดน ทั้งกลุ่มในวันก่อนคอนเสิร์ตถูกวางยาพิษด้วยปลา ซึ่งพวกเขารับประทานอาหารเย็นด้วย ถึงเวลาแล้วที่จะยกเลิกการแสดง แต่กษัตริย์ฮุสเซนที่ 2 แห่งจอร์แดนส่งแพทย์ไปหาพวกเขาเป็นการส่วนตัวเพื่อให้กลุ่มกลับมายืนได้ สิ่งที่คล้ายกันเกิดขึ้นระหว่างทัวร์เอเชียที่ประสบความสำเร็จในปี 2522: ในกรุงเทพฯ - อาหารเป็นพิษอีกครั้งในสิงคโปร์คอนเสิร์ตล่าช้าไป 10 นาทีเนื่องจากไม่ได้ประทับตราที่จำเป็นกับเอกสารของสมาชิกวง ฯลฯ แต่ทั้งๆ ที่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ Boney M ก็ตระหนักว่าคุณไม่สามารถหารายได้มากจากการขายแผ่นเสียงเพียงอย่างเดียว การแสดงบนเวทีเป็นปัจจัยสำคัญในการทำกิจกรรมและรับประกันความสำเร็จถาวรไม่มากก็น้อย ดังนั้นเริ่มต้นด้วยทัวร์ "ขายรัก" พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์บนเวทีและทิศทางของคอนเสิร์ตมากขึ้นเรื่อยๆ เครื่องแต่งกาย ฉาก แสง และอุปกรณ์ดนตรีของพวกเขามีความซับซ้อนและประณีตมากขึ้นจากอัลบั้มหนึ่งไปอีกอัลบั้มและจากทัวร์สู่ทัวร์

สาเหตุหนึ่งที่ Boney M ไม่เคยประสบความสำเร็จมากนักในอเมริกาก็คือความจริงที่ว่าชาวอเมริกันถอนตัวออกจากวงการเพลงป๊อปของพวกเขาอย่างมาก และเป็นเรื่องยากมากสำหรับศิลปินต่างชาติที่จะบุกเข้าสู่ตลาดอเมริกา ในขณะนั้นยังไม่มี MTV และเพลงที่แสดงโดยกลุ่มไม่เหมาะกับรสนิยมของคนอเมริกัน นอกจากนี้ยังได้รับการยืนยันจากการมีส่วนร่วมของ Boney M ในรายการเพลง "Soultrain" ยอดนิยม (และสำคัญมากสำหรับเพลงสีดำ) ในปี 1979: ผู้ชมไม่ต้องการ "Rasputin" หรือ "Holiday" แต่องค์ประกอบ R & B เช่น "Dancing in" ท้องถนน" เป็นต้น .น.ส. นอกจากนี้ฟาเรียนเองก็ไม่ได้พยายามพิชิตอเมริกามากนัก เขาค่อนข้างพอใจกับความสำเร็จที่กลุ่มในยุโรป แอฟริกาและเอเชียได้รับ บริษัทแผ่นเสียงของอเมริกาไม่ได้ใช้เวลามากในการทำการตลาดกับ Boney M ในประเทศบ้านเกิดของพวกเขา อย่างไรก็ตาม หาก Boney M ได้รับการยอมรับในอเมริกา (เช่นเดียวกับในแคนาดาซึ่งเน้นไปที่ยุโรปมากกว่า) พวกเขาก็สามารถเพิ่มยอดขายซีดีเป็นสองเท่าได้อย่างง่ายดาย! ณ วันที่ปัจจุบัน (2000) มียอดขายประมาณ 150 ล้านรายการของกลุ่มทั่วโลก ...
เพื่อลดเวลาในการรอสตูดิโออัลบั้มใหม่ Farian ตัดสินใจในปี 1979 เพื่อบันทึกเพลงยอดนิยมเวอร์ชันใหม่ "Polly Wolly Doodle" กับ Boney M ซึ่งครั้งหนึ่งเคยแสดงโดย Shirley Temple นักแสดงภาพยนตร์ชื่อดัง ในการจัดเรียงใหม่ เพลงนี้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "Hooray! Hooray! It" ในวันหยุด "และก็กลายเป็นเพลงฮิตระดับสากลด้วย ในขณะนั้น แฟชั่นสำหรับดิสโก้มาถึงจุดไคลแม็กซ์ และเพลงฮิตของฤดูกาลก็เป็นเพลงประกอบของ ภาพยนตร์อเมริกัน " Saturday night Fever " (แสดงโดยวง Bee Gees) นำแสดงโดย John Travolta ผู้ผลิตภาพยนตร์ชาวเยอรมัน Hans Janisch ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากโฆษณาคอนเสิร์ต Boney M ตัดสินใจสร้างสิ่งที่คล้ายกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้มีชื่อว่า "Disco Fieber" (ดิสโก้) Fever) และ Boney M ร่วมกับวงร็อคอื่นๆ - "The Teens", "Eruption" และ "La Bionda" - เล่น เต้น และร้องเพลงฮิตของพวกเขา "Holiday" และ "Ribbons of blue" บทนี้ค่อนข้างไร้สาระ: ผู้หญิงรักผู้ชาย ผู้ชายรักคนอื่น ฯลฯ . แต่จุดสุดยอดมาถึงเมื่อฮีโร่ทั้งหมดมาพบกันในเมืองที่ดาราดังอย่าง Eruption และ Boney M. กำลังแสดง หลังจากการประกาศว่าภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย Boney M มันคือ ซื้อโดยประมาณ 80 ประเทศ ...
ในปีเดียวกันนั้นก็มีเวิร์ลทัวร์ตามมาซึ่งเป็นผลมาจากการที่อเมริกาใต้ถูกพิชิตด้วยเสียงของ Boney M. เมื่อกลับมาที่เยอรมนี ทางกลุ่มได้เสร็จสิ้นการทำงานในอัลบั้มใหม่ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า Boney M ไม่หยุดนิ่งและยังสามารถสร้างความประหลาดใจให้กับโลกด้วยท่วงทำนองที่แปลกใหม่และแปลกใหม่
ด้วยการเปิดตัวซิงเกิ้ล "El Lute / Gotta go home" แฟน ๆ ได้รับโอกาสให้รู้สึกล่วงหน้าถึงสิ่งที่คาดหวังจากอัลบั้ม "Oceans of Fantasy" ที่จะมาถึง เพลง "El Lute" เป็นเรื่องจริงของหนุ่มชาวสเปนที่ถูกตัดสินว่ากระทำผิดอย่างไม่ยุติธรรมระหว่างระบอบการปกครองของฝรั่งเศส และในบางประเทศพวกเขาพยายามที่จะห้ามเพลงนั้น สะกดจิตอย่างเหลือเชื่อด้วยธีมจากโลกใต้น้ำ "มหาสมุทรแห่งจินตนาการ" กลับมาครองตำแหน่งสูงสุดในชาร์ตเพลงทั่วโลกอีกครั้ง เพลงใหม่แสดงด้วยเสียง Boney M ทั่วไป แต่ยังรวมถึงองค์ประกอบบางอย่างของวิญญาณ ฟังก์ และร็อค ซึ่งไม่มีอยู่ในงานก่อนหน้านี้ เพื่อโปรโมตอัลบั้ม มีการผลิตและเผยแพร่รายการโทรทัศน์ชื่อ "Fantastic Boney M" เพลงฮิตคือ "ฉัน" เกิดใหม่อีกครั้ง "," Bahama mama "และ" เพลงปฏิทิน " ; เธอร้องเพลง "Let it all be music" และ "Hold on i" กำลังมา Marcia Barrett ร้องเพลง "No time to lose" และกับ Liz Mitchell - "Ribbons of blue", "Two of us" และ "No more chain gang ” มีการประกาศในภายหลังว่า Frank Farian ได้เสนอให้ Preshis Wilson เข้ามาแทนที่ Maisie Williams ในกลุ่ม แต่เธอปฏิเสธเนื่องจากเธอต้องการเริ่มต้นอาชีพเดี่ยวของเธอเอง
แน่นอนว่าการอยู่ร่วมกันอย่างต่อเนื่องของสมาชิกในกลุ่มทิ้งรอยประทับไว้และต้องการการเสียสละบางอย่างจากพวกเขา "วันนี้เราเข้ากันได้อย่างยอดเยี่ยม" Marcia Barrett กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Daily Mirror ในปี 1978 "แต่มีบางครั้งที่เราไม่สามารถยืนหยัดในกันและกันได้ และมีเพียงการยอมรับในระดับสากลเท่านั้นที่ทำให้เราควบคุมตนเองได้" เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับโปรดิวเซอร์ ผู้ให้คำปรึกษา และเพื่อนของเธอ เธอกล่าวว่า: “ฉันคิดว่าเหรียญทั้งสองด้านนั้นเท่ากัน เพราะหากไม่มีเหรียญใดเลย เหรียญนั้นก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ แน่นอน แฟรงค์เป็นโปรดิวเซอร์ที่ยอดเยี่ยม แต่เขาจะหมายถึงอะไร ไม่มีนักร้องสี่คนที่สามารถรวบรวมความตั้งใจของเขาได้ ในทางกลับกัน Boney M หมายถึงอะไรหากไม่มีเนื้อหาของเขา ดังนั้น เราเป็นเหมือนค่าเฉลี่ยสีทองและเป็นการดีที่จะตระหนักว่าเราไม่มีที่ไหนเลยที่ไม่มีกันและกัน " จากสิ่งนี้ วันนี้จึงดูแปลกที่แม้จะประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามของอัลบั้มใหม่ "Oceans of Fantasy" ก็มีข่าวลือแพร่สะพัดว่ามีการวางแผนการแยกวงภายในวง และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะเกิดขึ้นแล้ว ที่สมาชิกของกลุ่มรู้สึกเหมือนหุ่นเชิดในมือของฟาเรียนผู้ไม่ชื่นชมความสามารถทางศิลปะของพวกเขา พวกเขาต้องการมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างสรรค์อย่างเต็มที่มากขึ้น ... สิ่งหลังเป็นปัญหาสำหรับกลุ่ม: Frank Farian ไม่เพียง แต่เป็นผู้ก่อตั้งเท่านั้น แต่ยังเป็นนักแต่งเพลง ผู้จัดการ โปรดิวเซอร์และนักแสดงที่รวมเป็นหนึ่งเดียวและ การตัดสินใจครั้งสุดท้ายอยู่กับเขาเสมอ อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน เมื่อมองตามความจริง ควรจะยอมรับว่าสมาชิกอีกสี่คนแทบจะไม่มีเวลาเขียนเพลงเลย ตารางงานของพวกเขาแน่นมาก เพราะสถานะของกลุ่มที่มีชื่อเสียงระดับโลกต้องการให้พวกเขาเข้าร่วมรายการโทรทัศน์เกือบ 50 รายการในแต่ละปี นอกเหนือจากคอนเสิร์ตปกติ ตัวอย่างเช่น กลุ่มได้รับวันหยุดพักผ่อนครั้งแรกเพียง 18 เดือนหลังจากเริ่มในปี 2519!
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงที่วงดนตรีตึงเครียดมาก มีงานในสตูดิโอหยุดชะงักหลายครั้ง และแฟรงก์ ฟาเรียนตัดสินใจให้เวลาเธอพักบ้าง เพื่อเติมเต็มช่องว่างในการเปิดตัวแผ่นดิสก์ใหม่ ในฤดูใบไม้ผลิปี 1980 วงได้ตีพิมพ์อัลบั้มรวมชุดแรกของพวกเขา "The magic of Boney M" ซึ่งกลายเป็นหนังสือขายดีในทันที อัลบั้มนี้ประกอบไปด้วยเพลงแดนซ์ฮิตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในครึ่งแรกของอาชีพ: "Daddy cool", "Rivers of Babylon", "Rasputin" รวมไปถึงการแต่งเพลงที่ไพเราะเช่น "No women no cry" และ "Still I" m sad ". , คอลเลกชันนี้รวมสองเพลงจากซิงเกิ้ลใหม่ "ฉันเห็นเรือในแม่น้ำ / แจ็คเพื่อนของฉัน" ซึ่งได้ฟังทางวิทยุแล้วและเข้าสู่ชาร์ต 10 อันดับแรกในเยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ อยู่ใน สิบอันดับแรกในปี 2519, 2520, 2521 และ 2522 และ "Rivers of Babylon" ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นเพลงที่ดีที่สุดแห่งปี นอกจากนี้ เพลงฮิต "Rivers of Babylon", "Ma Baker" และ "El Lute" ยังแซงหน้าที่นั่นอีกด้วย ในการจัดอันดับความนิยมของเพื่อนและคู่แข่งหลักของ Boney M วงป๊อป ABBA
แต่ขอกลับไป ในปี 1981 มีการออกซิงเกิ้ลสองซิงเกิ้ล: หนึ่งเพลง "Children of Paradise" ที่ฝั่ง A และเวอร์ชันปกที่ยอดเยี่ยมของเพลง "Gadda-da-vida" ของ Iron Butterfly ที่ฝั่ง B อีกเพลงหนึ่งคือเพลง "Felicidad Margherita" และ "แปลก" ... ที่น่าสนใจคือ "Felicidad" Farian จัดเรียงเป็นส่วนผสมของบริเวณขอบรกและดิสโก้ แต่ถึงแม้ความนิยมของดิสโก้จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เพลงก็ยังได้รับความนิยมและติดชาร์ต ในช่วงเวลานี้ นอกเหนือจากการเปิดตัวซิงเกิล กิจกรรมของกลุ่มลดลง: ลิซอุทิศเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น และบ็อบบี้และมาร์เซียกำลังทำงานเดี่ยวในโครงการเดี่ยว อย่างไรก็ตาม ทั้งสี่คนอ้างว่ายังคงอยู่กับกลุ่ม
ในที่สุด ในฤดูร้อนปี 1981 Boney M กลับมาทำกิจกรรมอย่างแข็งขันด้วยการเปิดตัวเพลงลูกทุ่งภาษาสวาฮิลี "Malaika" ซึ่งจะเป็นการนำหน้าอัลบั้มใหม่ที่มีชื่อว่า "Boonoonoonoos" (ความขี้เล่น) อย่างลึกลับ ช่างภาพ Didi Zill ใช้เวลาห้าวันกับกลุ่มนี้ทั่วจาไมก้าเพื่อถ่ายรูปหน้าปก สไตล์ของวงดนตรีในอัลบั้มเปลี่ยนไปอย่างมาก: เร้กเก้เริ่มปรากฏอย่างชัดเจนในส่วนจังหวะและพื้นฐานไพเราะ มีการบันทึกเสียงในประเทศต่างๆ รวมทั้งทางตอนใต้ของฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา (ลอสแองเจลิส) อังกฤษ (ลอนดอน) และจาเมกา (สตูดิโอ Bob Marley ในคิงส์ตัน) นักดนตรีที่มีชื่อเสียงหลายคนมีส่วนร่วมในการบันทึกอัลบั้ม ซึ่งไม่มีใครพลาดที่จะพูดถึงนักแซ็กโซโฟนแจ๊ส ทอม สก็อตต์ (เพลงไตเติ้ลและเพลง "Breakaway") และวง London Philharmonic Orchestra (ในเพลง "Ride to Agadir" ของ Mike Butt) เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ "เบลฟัสต์" ที่นำแสดงโดย มาร์เซีย บาร์เร็ตต์ ในซิงเกิลฮิต "We kill the world (don" t kill the world) "อีกครั้งในเอ็มทีวี ส่วนที่สองขององค์ประกอบ "อย่าฆ่าโลก" มีคณะนักร้องประสานเสียงเด็กเข้าร่วมซึ่งสัมผัสหัวใจของผู้ชมอย่างไม่ต้องสงสัย ในหลายประเทศ เพลงนี้มีเพลงฮิตติด 10 อันดับแรกในทันที และในแอฟริกาใต้ เพลงนี้รั้งอันดับ 1 มาหลายสัปดาห์ อัลบั้มนี้มีแทร็กที่น่าทึ่งเช่น "African moon" (ร่วมเขียนบทกับ Liz Mitchell), "Consuela biaz" และหนึ่งในเพลงที่ดีที่สุดของ Boney M - "ลาก่อนเพื่อนของฉัน" เศร้าโศกและขมขื่น "บุญนูนูณู" ยังโดดเด่นด้วยความจริงที่ว่ากลุ่มนี้นอกจากจะกลับไปสู่รากเหง้าทางประวัติศาสตร์แล้วยังพยายามที่จะสัมผัสกับปัญหาที่รุนแรงที่สุดของสังคมสมัยใหม่อีกด้วย อาจดูตลก แต่นักวิจารณ์คนเดียวกับที่ดุ Boney M ในเรื่องไม่สำคัญของหัวข้อเริ่มวิพากษ์วิจารณ์พวกเขาเกี่ยวกับการวางแนวทางสังคมที่มากเกินไปของเพลง ("Kill the world")
บุญนูนูณอสไม่ประสบความสำเร็จในบริเตนใหญ่เหมือนในทวีปยุโรป บางทีนี่อาจเกี่ยวข้องกับความจริงที่ว่าชาวอังกฤษไม่ทราบสถานะที่แท้จริงของการบันทึกเสียงของสมาชิกในกลุ่ม หนังสือพิมพ์ส่งเสียงดังไปทั่ว แม้ว่าฟาเรี่ยนจะอธิบายอย่างน่าเชื่อถือว่าการให้บ็อบบี้ ฟาร์เรลร้องเพลงในลักษณะที่เสียงของเขาสอดคล้องกับเสียงที่เป็นลักษณะเฉพาะของโบนี่ เอ็มเป็นเรื่องยากมาก อย่างไรก็ตาม เสียงของบ๊อบบี้สามารถได้ยินในภาษาแร็ปเปอร์ของเพลง "Rain to skaville" ในขณะที่ Farian ขับร้องส่วนที่เหลือเช่นเคย แม้ว่าแผ่นดิสก์จะขึ้นสู่ Top-5 ในยุโรป แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเหนือกว่ารุ่นก่อน - "Oceans of Fantasy" นี่เป็นเพราะความจริงที่ว่าบริษัทแผ่นเสียงซึ่งคาดว่าจะมีการล่มสลายของกลุ่มนั้นถือว่าการลงทุนเงินจำนวนมากในการโปรโมตอัลบั้มนั้นเสี่ยงเกินไป
ก่อนการออกอัลบั้ม วงดนตรีจะเริ่มทัวร์จาไมก้า ที่พวกเขาจัดคอนเสิร์ตการกุศลสองครั้งเพื่อประโยชน์ของเด็กกำพร้า ผลของการกระทำนี้คือข้อเสนอของภรรยาม่ายของ Bob Marley, Rita ซึ่งอาศัยอยู่ในจาเมกา เพื่อใช้สตูดิโอบันทึกเสียงของนักร้องที่อยู่ที่นั่น ซึ่งส่งต่อให้เธอโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย Boney M ได้รับสถานะซุปเปอร์สตาร์ในแคริบเบียนโดย "Babylon" ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงเป็นเวลาหกสัปดาห์ สิ่งนี้ได้รับการยืนยันจากแผนกต้อนรับว่าประชากรของเมืองชายฝั่งทะเลเล็ก ๆ ของ Ocho Rios มอบให้พวกเขาในระหว่างการทัวร์ภาพถ่าย: ในตอนเย็นงานรื่นเริงทั้งหมดถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่กลุ่มซึ่งกลุ่มแบนจิสต์แสดง "แม่น้ำแห่งบาบิโลน ". นอกจากนี้ ภาพยนตร์เกี่ยวกับวงดนตรีความยาว 45 นาทียังถ่ายทำในจาไมก้าและออกอากาศทางโทรทัศน์ท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนอัลบั้มใหม่ หลังจากที่ Boonoonoonoos ออกวางจำหน่ายแล้ว Boney M จะออกอัลบั้มคริสต์มาสของพวกเขาด้วย นำเสนอเพลงฮิตยอดนิยมอย่าง "Mary" และเพลงฮิตที่โด่งดังเช่น "Silent night", "Petit Papa Noel" และเพลงฮิตของ Bing "White Christmas" Crosby นำเสนอคณะนักร้องประสานเสียงกิตติคุณ "The Jackson Singers"

Marcia Barrett ยังปล่อยซิงเกิ้ลเดี่ยวของเธอ "You / I" m Lonely ในปีนี้และปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ของสหราชอาณาจักรหลายรายการที่โปรโมต
และทันใดนั้นก็มีความรู้สึก: Boney M ใกล้จะพังแล้ว! ฟาเรียนปฏิเสธบ๊อบบี้ ฟาร์เรลล์ โดยอธิบายอย่างนี้: "บ็อบบี้ไม่ได้ปรากฏตัวตามลำพังในการประชุมสำคัญๆ และยิ่งไปกว่านั้น จู่ๆ ก็เรียกร้องเงินจำนวนมหาศาล!" บ็อบบี้บ่นอยู่นานจริงๆ ว่า "ฉันเบื่อที่จะเป็นหมีเต้นตามเพลงของแฟรงค์แล้ว ฉันต้องการพิสูจน์ว่าฉันร้องเพลงได้ด้วย" ซึ่งเขาทำโดยการอัดซิงเกิ้ลเดี่ยว "Polizei / A fool in love" ซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้จัก เมื่อตระหนักว่าหากไม่มีฟาเรียน เขาไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ บ๊อบบี้จึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกลับไปร่วมวง ซึ่งเขาถูกแทนที่ด้วยนักร้องและนักแต่งเพลงที่มีความสามารถ Reggie Tsiboe; เสียงอันน่าทึ่งของเพลงหลังดังขึ้นในซิงเกิ้ล "The carnival is over / Going back west" ซึ่งออกฉายในฤดูร้อนปี 1982 อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของซิงเกิลนี้ในไม่ช้าก็บดบังการวางจำหน่ายอัลบั้มคริสต์มาสทั่วโลก "Christmas with Boney M" ซึ่งกลายเป็นอัลบั้มที่โด่งดังที่สุดในโลกที่เปิดตัวในช่วงวันหยุด ยิ่งกว่านั้นการเลื่อนเพลง "Little มือกลอง" นั้นมาพร้อมกับการแสดงคลิปวิดีโอโดยมีส่วนร่วมของ Bobby Farrell เนื่องจากคลิปนี้ถ่ายทำเมื่อหนึ่งปีก่อน
ในปี 1983 ซิงเกิลยอดเยี่ยมจากกลุ่มชาติพันธุ์ "Jambo - Hakuna Matata (ไม่มีปัญหา) / ดวงจันทร์แอฟริกัน" ได้รับการปล่อยตัวและกลายเป็นที่นิยมในทวีปแอฟริกาในทันที ควรสังเกตว่าในเวลานี้เสียงชาติพันธุ์ที่มีอิทธิพลอย่างมากของจังหวะแอฟริกันเริ่มเข้ามาในแฟชั่น เมซี่ วิลเลียมส์อธิบายสถานการณ์ดังนี้: "เราต้องตามให้ทัน และกับเร็กเก้ แม้ว่าเราจะมีเพลงแอฟริกันมากขึ้นในละครของเรา เราก็ไม่ได้ห่างไกลจากแนวเพลงเก่า" ในวิดีโอที่มาพร้อมกับซิงเกิ้ล Liz Mitchell ตั้งครรภ์กับลูกคนที่สองของเธอและมีการแสดงนักร้องชายใน "Jambo" - ด้วยเหตุผลที่เราไม่รู้จัก - ไม่ใช่เร้กเก้ด้วยเสียงที่ไพเราะ (และรากแอฟริกัน) แต่เช่นเคย ฟาเรี่ยน.
ในปีพ.ศ. 2527 หลังจากห่างหายไปนาน วงก็ได้ออกทัวร์อีกครั้ง โดยเริ่มที่แอฟริกา ดำเนินต่อไปในอินเดีย และสิ้นสุดที่ยุโรป เรจจี้เล่าถึงเขาด้วยความยินดีว่า "ฉันเริ่มเบื่อกับการอัดเสียงและการปรากฏตัวทางโทรทัศน์ไม่รู้จบ ถึงเวลาต้องขึ้นเวทีและวอร์มร่างกายแล้ว" อย่างไรก็ตาม สำหรับการแสดงครั้งหนึ่งในเมืองบ่อผุดสวาน่า ประเทศแอฟริกาใต้ กลุ่มดังกล่าวถูกขึ้นบัญชีดำโดยองค์การสหประชาชาติ ในเวลานี้การแบ่งแยกสีผิวกำลังอาละวาดในแอฟริกาใต้ และ Boney M ตกลงที่จะแสดงที่นั่นหลังจากได้รับการยืนยันจากรัฐบาล Botha ว่าประชากรผิวดำจะสามารถเข้าร่วมคอนเสิร์ตได้ และจะไม่อนุญาตให้มีการแบ่งแยกทางเชื้อชาติระหว่างการแสดง สมาชิกของกลุ่มและวงดนตรีของนักดนตรีทั้ง 15 คนต้องการแสดงในประเทศนี้จริงๆ เพื่อถ่ายทอดข้อความแห่งความรักและความเสมอภาคให้กับประชาชนที่เป็นคนผิวสีและผู้ถูกกดขี่ เพลงอย่าง "เบลฟัสต์" มีขึ้นเพื่อเตือนทุกคนว่าเบลฟาสต์ไม่ได้มีอยู่เฉพาะในไอร์แลนด์เหนือเท่านั้น แต่ทุกที่ที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพลงเช่น "No women no cry" และ "Rivers of Babylon" มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความไว้วางใจ ความอดทน และความเข้าใจระหว่างผู้คนจากเชื้อชาติต่างๆ ดังนั้นในขณะที่ร็อคสตาร์คนอื่นๆ เพียงคว่ำบาตรระบอบการปกครองของแอฟริกาใต้ของโบทา (เช่น บรูซ สปริงสตีน) Boney M ก็โยนเมล็ดพันธุ์แห่งความเท่าเทียมกันโดยตรงภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ร้อนระอุของแอฟริกาใต้
ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ที่อธิบาย อัลบั้มใหม่กึ่งแนวคิด "10" 000 Lightyears "ตกลงบนชั้นวางของร้าน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในสไตล์ดนตรีของวงนั้นชัดเจนมาก เพราะตอนนี้ซินธ์ป็อปอยู่ในแฟชั่นทุกหนทุกแห่ง " Somewhere in the world / Exodus (โนอาห์ "s Ark 2001)" ก็ออกซิงเกิ้ลด้วย ในแนวคิดเชิงปรัชญาของอัลบั้ม - ปัญหาของมนุษยชาติบนโลกของเรา เพื่อส่งเสริมละครของภาพดนตรี Farian ใช้การสนับสนุนของวงออร์เคสตราเครื่องสาย London Philharmonic และ Munich อีกครั้ง อัลบั้มนี้นำเสนอเสียงร้องของ Liz Mitchell มากกว่าปกติ ในขณะที่ Reggie Tsiboe เกือบจะจางหายไปในพื้นหลัง แม้ว่าจะเป็นความจริง เขาแสดงส่วนแรกใน "Barbarella Fortuneteller" แต่ Marcia Barrett อยู่ที่ไหน อัลบั้มนี้ยังรวมถึงการรีเมคของ "จิมมี่" แบบเร่งความเร็ว ซึ่งบันทึกเมื่อต้นปี 2525 และมีไว้สำหรับซิงเกิ้ลที่สามจากอัลบั้ม "บุญนูนูญ" ในเวลาเดียวกัน Frank Farian วางแผนที่จะกลับไปสู่อาชีพเดี่ยวของเขาบันทึกเพลง "Dizzy" สำหรับซิงเกิ้ลเดี่ยวกับ Sandy Davis (โดยที่เธอร่วมเขียนเพลงหลายเพลงจากอัลบั้มใหม่) แต่ซิงเกิ้ลไม่เคย ออกมาดังนั้นเพลงจึงรวมอยู่ในอัลบั้ม "10" 000 Lightyears การเปิดตัวอัลบั้มนี้มาพร้อมกับการเปิดตัววิดีโอเทปของรายการโทรทัศน์ Boney M "Boney M. - Future world" ซึ่งแทร็กส่วนใหญ่ จากอัลบั้มถูกแสดงด้วยวิดีโอคลิป อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่แย่ของแผ่นดิสก์นี้ทำให้ Frank Farian ตัดสินใจบันทึกซิงเกิ้ล "Kalimba de luna" กับนักร้องนำของ Reggie Qiboe (ต่อมากลายเป็นเพลงฮิตในคลับ) และเพื่อ รวมเพลงนี้ไว้ในฉบับที่สองของ "10" 000 Lightyears ซึ่งออกจำหน่ายในปลายปีเดียวกัน ฉันต้องบอกว่า "Kalimba" ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ในขณะนั้น มีเพลงนี้อยู่สามเวอร์ชันที่เผยแพร่สู่ตลาด: ต้นฉบับ - Tony Esposito เวอร์ชันของ Boney M และเวอร์ชันที่สามของคนอื่น และสิ่งที่ "ไม่ไป" และมันก็เป็นเช่นนี้ เมื่อ Tony Esposito เปิดตัว "Kalimba de luna" ดูเหมือนว่ามันจะล้มเหลว Farian ได้ยินและบันทึกอย่างรวดเร็วด้วย Boney M แต่แล้วเวอร์ชันของ Esposito ก็เพิ่มขึ้น ดังนั้น ในบางประเทศ เช่น ในสวิตเซอร์แลนด์ เพลงต้นฉบับจึงติดหนึ่งในสิบเพลงฮิต และเวอร์ชันของ Boney M ก็ขึ้นสู่อันดับต้น ๆ ใน Frinzia ที่อยู่ใกล้เคียง

ในสมัยนั้น หนึ่งในปัญหาหลักสำหรับ Boney M คือความจริงที่ว่าผู้ชมไม่ยอมรับ Reggie Qiboe เป็นฟรอนต์แมนคนใหม่ของกลุ่ม เนื่องจาก Farrell กลายเป็นบุคคลสำคัญในกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในการแสดงมาหลายปีแล้ว และแม้ว่าฟาเรียนเคยกล่าวในการให้สัมภาษณ์ในยุค 70 ว่า “เราไม่มีใครแทนที่ลิซ มิทเชลแล้ว แม้แต่มาร์เซียก็สามารถถอดออกได้อย่างง่ายดายโดยไม่เป็นอันตรายต่อกลุ่ม” เวลาแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจผิดอย่างมาก และในการสัมภาษณ์ในปี 1984 เมื่อถูกถามว่าเขาอธิบายความสำเร็จอันมหัศจรรย์ของ Boney M ได้อย่างไรในอดีตที่ผ่านมา Farian ตอบว่า "ใช้เวลาหลายปีในการพยายามรวบรวมกลุ่มที่ดีเช่นนี้ และองค์ประกอบของมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำซ้ำ"
ในฤดูร้อนปี 1984 Liz Mitchell, Reggie Tsiboe และพี่สาวน้องสาว Amy และ Helen Goff เริ่มบันทึกอัลบั้มคริสต์มาสชุดใหม่ แต่หลังจากบันทึกหกเพลง พวกเขาละทิ้งแนวคิดนี้ ส่งผลให้เพลง "Hark the Herald angels sing", "Oh christmas tree", "Joy to the world", "Auld lang syne", "The first Noel" และ "Oh Come all you trust" Goff) ถูกปล่อยออกมา เฉพาะในแอฟริกาใต้เมื่อปลายปี 1984 ในอัลบั้ม "New Christmas with Boney M" ซึ่งรวมถึงเพลงฮิตคริสต์มาสที่โด่งดังอยู่แล้ว "Little มือกลอง", เด็กชาย "Mary" ", เพลงกึ่งศาสนา" ที่ไหนสักแห่งใน โลก "," ลูกสวรรค์ "," ฉัน "เกิดใหม่อีกครั้ง" และตลก "ไชโย! ไชโย!" และ "ริบบิ้นสีน้ำเงิน" В เป็นที่น่าสนใจว่าอัลบั้มเดียวกันนั้นได้รวมเอาเพลงที่ยังไม่ได้เผยแพร่ก่อนหน้านี้และบันทึกไว้ในแผ่นดิสก์ "10,000 Lightyears" แทร็ก "แม่และลูกรวมตัว" กับส่วนโซโลหลักของ Reggie Tsiboe และเสียงที่สองของกลุ่ม La Mama ซึ่งไม่อยู่ อัลบั้มอื่นๆ ของ Boney M อย่างไรก็ตาม ต่อมา Farian ได้รีมิกซ์แทร็กด้วยการเพิ่มเสียงจาก Liz Mitchell, Amy และ Helen Goff, The School Rebels, Raff และสมาชิกของ Barclay James Harvest และในปี 1985 ได้ปล่อยซิงเกิลนี้เป็นซิงเกิลเพื่อการกุศลภายใต้ Frank Farian Corporation "เพื่อสนับสนุนเอธิโอเปียที่หิวโหย
บ็อบบี้กลับมารวมตัวกับวงดนตรีอีกครั้งเพื่ออัดเพลง "Happy Song" ที่มีบ๊อบบี้ ฟาร์เรลล์ และ The School Rebels ฟีเจอริ่งกับโบนีย์ เอ็ม. เพลงนี้กลายเป็นเพลงฮิตในคลับและเข้าสู่สิบอันดับแรก ต่อมาจึงถูกตีพิมพ์ซ้ำโดย Boney M.
ภายในสิ้นปี การรวบรวม "Kalimba de luna - 16 เพลงแห่งความสุขกับ Boney M" ออกวางจำหน่าย ซึ่งรวมถึงเพลงรีมิกซ์ที่ขยายเวลาของ "เพลงแห่งความสุข" และ "Kalimba de luna"
ในเวลาเดียวกัน Bobby Farrell ได้ปล่อยซิงเกิ้ลเดี่ยวอีกเพลงหนึ่งของเขา "King of dancing / I see you" ซึ่งผลิตโดย Frank Farian โดยเพลงแรกจะเป็นเวอร์ชันปรับปรุงของเพลง "Dancing in the streets" ของ Boney M
ในปีพ.ศ. 2528 บ็อบบี้ ฟาร์เรลล์กลับมาที่วงดนตรีเพื่อบันทึกอัลบั้ม "Eye dance" ที่เรกกี คิโบเล่นร้องนำมากขึ้น ซึ่งรวมถึงแซมบ้า "My cherie amour" เพลง "Young, free and single" ที่มีพลัง และเพลงที่ดีที่สุดในอัลบั้ม - "Dreadlock holiday" - เวอร์ชันคัฟเวอร์ของหนึ่งในเพลงฮิตของวงร็อคชื่อดังยุค 70 10CC Liz Mitchell โชว์ความสามารถในการร้องของเธอใน "Chica da silva" และ "Got cha loco" และ Marcia ไม่ได้แสดงท่อนแรกเลย และเสียงของเธอในรูปแบบของเสียงร้องสำรองแทบจะไม่ได้ยินเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นหลังของสมาชิกคนอื่นๆ และถึงแม้ว่าบ็อบบี้ ฟาร์เรลล์จะเป็นผู้นำในเรื่อง "หนุ่มอิสระและโสด" แต่เสียงของเขาบิดเบี้ยวเกินกว่าจะจดจำโดยผู้ให้เสียง ขณะที่ส่วนที่เหลือของเขาแสดงตามปกติโดยฟาเรียน นักร้องประสานเสียงส่วนใหญ่ร้องโดยพี่สาวของกอฟฟ์ และเป็นที่สงสัยว่าส่วนที่เหลือของนักร้องประสานเสียงนั้นขับร้องโดยอดีตสมาชิก La Mama มาเดลีน เดวิสและแพทริเซีย ช็อคลีย์ รวมถึงรอนดาซึ่งทำงานในสตูดิโอของฟาเรียนในขณะนั้น . อัลบั้มนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักวิจารณ์ แต่ไม่ได้ขายในปริมาณที่วงคาดไว้ บางทีนี่อาจเป็นเพราะว่าตามความเห็นของแฟน ๆ เสียงที่เป็นลักษณะเฉพาะของ Boney M. ในอัลบั้มนี้หายไปอย่างสมบูรณ์ การขาดความคิดเดียวก็ส่งผลกระทบเช่นกัน: ราวกับว่าฟาเรียนไม่แน่ใจว่าจะนำ Boney M ไปในทิศทางใด อัลบั้มนี้ถูกครอบงำโดยซินธิไซเซอร์อย่างชัดเจน และการบันทึกเสียงแบบดิจิทัลไม่ได้ให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบเดียวกับเสียงของ Boney M เหมือนก่อน. ไม่น่าแปลกใจที่ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อสมาชิกในกลุ่มรวมห้าคนแล้ว และอนาคตของ Boney M ไม่แน่นอน ความขัดแย้งก็เริ่มเกิดขึ้นระหว่างสมาชิก วันนี้พวกเขาไม่ค่อยปรากฏตัวทางโทรทัศน์
ดังนั้น 10 ปีหลังจากการก่อตั้ง เมื่อปลายปี 2528 ทางกลุ่มจึงตัดสินใจแยกทางกันในที่สุด ไม่เป็นความลับอีกต่อไปสำหรับใครก็ตามที่สมาชิกของกลุ่มแทบจะไม่พูดคุยกัน บ่นเรื่องสัญญาจ้างน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา และ เพลงฮิตของพวกเขาหยุดอยู่ในอันดับที่สูงในชาร์ตเพลง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเริ่มไม่พอใจกับความจริงที่ว่าพวกเขาทั้งหมดไม่ได้ทำเงินมากเท่ากับแฟรงก์ ฟาเรียนเพียงคนเดียว การยืนยันการลดลงของกลุ่มคือรายการโทรทัศน์ที่สมาชิกดั้งเดิมห้าคน (รวมถึงเร้กเก้) บันทึกสำหรับโทรทัศน์เยอรมันภายใต้แบนเนอร์ "10 ปีของ Boney M": การจัดวางได้แย่มาก มีปัญหาทางเทคนิค ถูกตัดจากหกสิบเป็นสามสิบนาทีโดย ผู้ผลิต Boney M ถูกโห่ร้องโดยแฟน ๆ และตระหนักว่าพวกเขาอยู่ในจุดต่ำสุดของอาชีพการงานที่น่าจับตามอง นอกจากนี้ Farian ยัง "หมดไฟ" โดยโปรดิวซ์ Boney M ซึ่งเขาได้แจ้งให้สมาชิกในทีมทราบถึงความตั้งใจที่จะทำโปรเจ็กต์ที่น่าสนใจกว่านี้ ในความพยายามที่จะแก้ไขสถานการณ์หลังจากการแสดงดังกล่าว Farian และ Boney M ได้ออกอัลบั้มรวมเพลง "The best of 10 years (32 superhits nonstop remixed)" แต่สิ่งนี้ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ที่น่าสนใจแดกดันเกี่ยวกับสิ่งเดียวกันที่เกิดขึ้นในเวลานี้กับคู่แข่งหลักของ Boney M ในด้านดนตรี - ABBA ซูเปอร์กรุ๊ปชาวสวีเดน ใช่ สิบปีของการทำงานร่วมกันและการทัวร์หลายเดือนในที่สุดก็ทำให้ตัวเองรู้สึกว่า ...

จุดเริ่มต้นของปี 1986 มีการเปิดตัวซิงเกิล "Daddy cool" ครบรอบ 9 นาที ซึ่งบันทึกเสียงใหม่โดย Liz Mitchell, Frank Farian และ Reggie Tsiboe เขาสนุกกับความสำเร็จอย่างมากในคลับต่างๆ แต่ไม่ค่อยมีความหวังในเชิงพาณิชย์มากนัก ดังนั้น ผลลัพธ์ของกิจกรรม Boney M สิบปีจึงรวมถึง: อัลบั้มแพลตตินัม 18 อัลบั้มและอัลบั้มทองคำ 15 อัลบั้ม ซิงเกิลทองคำและแพลตตินั่มมากกว่า 200 อัลบั้ม และมียอดขายประมาณ 150 ล้านแผ่นทั่วโลก
ในปีเดียวกันนั้น Boney M ได้เริ่มทัวร์ต่างประเทศครั้งสุดท้าย ลิซ มิทเชลตั้งครรภ์อีกครั้ง ไม่สามารถเดินทางได้ และถูกแมเดลีน เดวิส อดีตสมาชิกลามาม่าเข้ามาแทนที่ จากนั้นซิงเกิ้ล "Bang Bang Lulu" จากอัลบั้ม "Eye dance" ก็ถูกปล่อยออกมา แต่ก็ไม่ได้กระตุ้นความสนใจในที่สาธารณะอีกต่อไป
ในตอนท้ายของปี 1986 แผ่นดิสก์ "20 เพลงคริสต์มาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด" ได้เปิดตัว นี่คือคอลเล็กชันเพลงรีมิกซ์จากอัลบั้มคริสต์มาสปี 1981 ซึ่งเพิ่มเพลงใหม่หลายเพลงที่บันทึกไว้ในปี 1984 ในตอนท้ายของทัวร์ สมาชิกในวงแยกทางกัน และระหว่างปี 1987 สิ่งเดียวที่พวกเขาทำคือปล่อยซิงเกิ้ลเดี่ยวของเขา โดย บ็อบบี้ ฟาร์เรล " ฮ็อปปา ฮ็อปปา "
ในปี 1988 Liz Mitchell ได้ตีพิมพ์อัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของเธอ "No one will force you" ในเบลเยียม จากนั้นในเส้นทางอาชีพของเธอ เธอเชิญ Maisie Williams นักร้อง Selena Duncan และนักเต้น Kurt Di Daren และร่วมทัวร์กับพวกเขาอีกครั้งเช่นเดียวกับการแต่งเพลงใหม่ของ Boney M. อย่างไรก็ตาม Maisie Williams ออกจากการเรียบเรียงนี้ในไม่ช้าและ Liz Mitchell แทนที่เธอด้วย Carol Grey ซึ่งเป็นญาติของเธอซึ่งยังคงอยู่ในทีมของเธอ ในเวลานี้ Liz Mitchell ประสบปัญหาในการเปิดตัวอัลบั้มของเธอในเยอรมนี เนื่องจากหลายบริษัทยังคงพิจารณาว่าเธอผูกพันตามสัญญากับ Frank Farian ในที่สุด ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2531 เธอได้ออกอัลบั้มในสเปน นำหน้าด้วยซิงเกิล "แมนเดลา" ตามมาด้วยซิงเกิลนี้ "Niсos de la playa" ซึ่งออกจำหน่ายในเดนมาร์ก แต่เนื่องจากยอดขายไม่ดี จึงตัดสินใจเลื่อนการออกอัลบั้มที่นั่น
ในเวลาเดียวกัน สำหรับการเปิดตัวของคอลเลกชัน "เพลงฮิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล - Remix 88" บริษัท Stock-Aitken-Waterman ที่มีชื่อเสียงได้เริ่มรีมิกซ์เพลงฮิตดั้งเดิมของ Boney M และยังเชิญ Liz Mitchell ให้รี- บันทึกเสียงร้องสำหรับเพลง "Sunny", "Amy no woman no cry "และ" Brown girl in the ring " ลิซลังเลอยู่เป็นเวลานาน เพราะเหตุนี้จึงจำเป็นต้องเลื่อนงานโปรโมตอัลบั้มเดี่ยวของเธอออกไป แต่ในท้ายที่สุดเธอก็เห็นด้วย อัลบั้มจะวางจำหน่ายในเดือนตุลาคมและมาพร้อมกับซิงเกิลรีมิกซ์แอซิดเฮาส์ "Rivers of Babylon" และ "Megamix" นอกจากนี้ Simon Napier Bell บริษัทในลอนดอนกำลังพยายามรวมตัวสมาชิกดั้งเดิมของ Boney M อีกครั้ง และพวกเขาเริ่มดำเนินการในคลับยุโรปและทัวร์คาบาเร่ต์ร่วมกัน ในฝรั่งเศส อัลบั้มดังกล่าวขึ้นถึงอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงและยังได้รับสถานะแพลตตินัมดิสก์อีกด้วย
ในปี 1989 อัลบั้มรีมิกซ์ชุดที่สอง "The Greatest hits of all times - vol II" ได้รับการปล่อยตัวและ "The summer megamix" กลายเป็นเพลงฮิตครั้งใหญ่ในยุโรป ในขณะเดียวกัน ความตึงเครียดระหว่างสมาชิกทั้งสี่เริ่มก่อตัว ความสัมพันธ์ในการทำงานเริ่มตึงเครียด และฟาเรียนซึ่งประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการ Milli Vanilli ก็ไม่สนใจที่จะร่วมมือกันต่อไป Liz Mitchell ตัดสินใจที่จะ "โจมตีในขณะที่มันร้อน" และปล่อยอัลบั้มของเธอในฮอลแลนด์และฝรั่งเศสซึ่งมาพร้อมกับซิงเกิ้ล "Mandela" และ "Marinero" กลับมาที่ลอนดอน Marcia Barrett, Bobby Farrell, Maisie Williams และบริษัทในเครือ Madeleine Davis (จาก La Mama) ยังคงทำงานเป็น Boney M และบันทึกซิงเกิ้ลที่ยอดเยี่ยมที่สุดแต่ถูกประเมินต่ำเกินไป "ทุกคนอยากเต้นเหมือน Josephine Baker / Custer jamming" ผลิตโดย Barry Blue และ Chris Birket สำหรับ Imperative Records ซิงเกิ้ลเผยให้เห็นศักยภาพของ Marcia Barrett ในฐานะศิลปินเดี่ยวหลัก - เสียงของเธอฟังดูน่าประทับใจจนชัดเจน - ไม่ใช่แค่ Liz Mitchell เท่านั้นที่ทำเสียง Boney M บ็อบบี้ ฟาร์เรลล์ก็มีส่วนร่วมด้วย - ในทั้งสองแทร็กเสียงร้องชายของเขา ที่สำคัญที่สุด ซิงเกิ้ลนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า Barrett, Pharrell และ Williams สามารถทำได้โดยไม่มี Mitchell และ Farian อย่างไรก็ตาม แฟรงก์ ฟาเรียนหยุดกิจกรรมนี้ทันทีที่เขาได้ยินเกี่ยวกับกิจกรรมนี้ เพราะเขาเป็นเจ้าของสิทธิ์ใน Boney M.

ดังนั้นการรีมิกซ์อัลบั้มที่สองโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากทีมที่มีชีวิตชีวาและถูกต้องตามกฎหมายจึงล้มเหลวและ Farian ตัดสินใจที่จะสร้าง Boney M เวอร์ชันใหม่เพื่อแก้แค้นข้อหาเดิมที่ไม่เชื่อฟังและในขณะเดียวกันก็ใช้ประโยชน์จากความสนใจนั้น " โจเซฟิน เบเกอร์" ดึงดูดเขา เพื่อให้บรรลุภารกิจนี้ เขาเชิญ Liz Mitchell, Reggie Tsiboe, Sharon Stevens และ Petty Onivenye และในต้นฤดูใบไม้ผลิปี 1990 วงนี้ในชื่อทางการว่า Boney M. (feat. Liz Mitchell) ได้ออกซิงเกิ้ล "Stories / Rumors" ที่มีท่าเต้นสุดมันส์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Boney M วงดั้งเดิมนั้นอาจจะเป็นอะไรในทศวรรษ 90 . แต่ถึงแม้ว่าซิงเกิ้ลจะขึ้นถึง 30 อันดับแรกในบางประเทศ แต่ก็ยังแสดงให้เห็นว่าประชาชนไม่ได้ให้ความสนใจกับไลน์อัพใหม่มากนัก การปรากฏตัวของ Boney M สองเวอร์ชันและความกดดันจาก Farian ที่มีต่อ Maisie Williams, Marcia Barrett และ Bobby Farrell จะส่งผลให้เกิดคดีฟ้องร้องของ Williams, Barrett และ Farrell v. Farian คำตัดสินของศาลจะค่อนข้างภักดี: อดีตสมาชิกของกลุ่ม Boney M ทั้งสี่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการภายใต้ชื่อ Boney M แต่ผู้เล่นตัวจริงที่มี Liz Mitchell ได้รับตำแหน่ง "เป็นทางการ" Liz Mitchell จะจัดกลุ่มรายชื่อของเธอใหม่อีกครั้ง โดยแนะนำ Carol Grey, Patricia Lorne-Foster และ Kurt Di-Deran ให้เป็นสมาชิกใหม่ แต่ในไม่ช้าเขาก็จะถูกแทนที่โดย Tony Ashcroft และอดีตสมาชิกอีกสามคนรวมถึง Reggae ด้วยเสียงอันทรงพลังของเขา ไม่ได้อยู่ในธุรกิจ หลังจากนั้นในปี 1991 ลิซได้ปล่อยซิงเกิ้ลเดี่ยว "Mocking bird / Tropical Fever" ที่ผลิตโดยฟาเรียน
แต่ที่น่าแปลกก็คือ มันไม่ใช่เวอร์ชั่นใหม่ของ Boney M โดย Liz Mitchell ที่ดึงดูดแฟนๆ ได้มากที่สุด แต่เป็นไลน์อัพดั้งเดิมที่ติดอันดับต้นๆ ของชาร์ตเพลงในฤดูร้อนปี 1992 ด้วยซิงเกิ้ลใหม่ " Megamix" จากการรวบรวม "Gold" ในเวลาเดียวกัน ซิงเกิลจากกลุ่ม Boney M. ที่มี Liz Mitchell "Brown girl in the ring" ออกวางจำหน่าย และตัวผู้เล่นตัวจริงได้เดินทางไปที่สหราชอาณาจักรซึ่งมีการแสดงคอนเสิร์ตถึง 10 ครั้ง
การรวบรวมเพลงใหม่ "More gold" ออกวางจำหน่ายแล้ว ซึ่งรวมถึงเพลงใหม่สี่เพลงที่บันทึกโดย Liz Mitchell และ Frank Farian และเป็นครั้งแรกที่ออกมาเป็นซิงเกิล "Papa Chico" แต่ล้มเหลว แต่ "Ma Baker remix 1993" ก็ขึ้นชาร์ต
ดังนั้นตั้งแต่ปี 1994 มี Boney M สามเวอร์ชัน:
- ค ลิซ มิทเชล (สำนักงานใหญ่ในอังกฤษ) ซึ่งประสบความสำเร็จในการแสดงในคลับต่างๆ และมักจะไปรัสเซีย
- กับ Maisie Williams (Boney M. เนื้อเรื่อง Maizie Williams กับสมาชิกดั้งเดิมของกลุ่ม Sheila Bonnick) เดินทางไปทั่วเอเชียประเทศ CIS และยุโรปตะวันตกรวมถึงเทศกาลในสหราชอาณาจักรและสแกนดิเนเวีย (ควรสังเกตว่า Maisie Williams อยู่เสมอ สมาชิกที่ประเมินค่าต่ำไปจากผู้เล่นตัวจริงของ Boney M - ตอนนี้ประสบความสำเร็จในการร้องเพลงในทีมของเขาและแม้กระทั่งเล่นส่วนเสียงหลักในเพลงฮิตเช่น "Hooray! Hooray! It" sa Holiday ");
- และในที่สุดความขัดแย้ง - ทั้งที่รักและปฏิเสธ - เข้าแถวกับ Bobby Farrell (Boney M เนื้อเรื่อง Bobby Farrell) ซึ่งดำเนินการส่วนใหญ่ในฮอลแลนด์ แต่ไปเยี่ยมสโมสรในสหรัฐอเมริกายุโรปและรัสเซียด้วยความสำเร็จอย่างมาก
ผู้เล่นตัวจริงของ Boney M ทั้งสามมีอาชีพที่ไม่สม่ำเสมอ: มีขึ้นและลง ตัวอย่างเช่น รายชื่อผู้เล่นตัวจริงของ Liz Mitchell ต้องยกเลิกทัวร์คริสต์มาสในแอฟริกาใต้ในเดือนธันวาคม 1993 เนื่องจากยอดขายตั๋วไม่ดี แฟน ๆ ต้องการดูรายชื่อผู้เล่นตัวจริงที่มาถึงพวกเขาในปี 1984
ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ ในต้นฤดูใบไม้ผลิของปี 2542 กิจกรรมของ Boney M เพิ่มขึ้น: การรีมิกซ์ใหม่ของซิงเกิล "Ma Baker" (ด้าน A) ที่ดำเนินการโดยทีมรีมิกซ์ที่ดีที่สุดในเยอรมนี Sash! Side B "Somebody screams (Ma Baker)" เรียบเรียงโดย Horny United (เดิมชื่อ Fatboy Slim) ซิงเกิ้ลเลื่อนจะมาพร้อมกับคลิปวิดีโอที่น่ายินดี Farian เริ่มทำงานในอัลบั้มรีมิกซ์เพลงฮิตที่โด่งดังที่สุดของกลุ่ม Boney M และในต้นฤดูใบไม้ร่วงโฆษณาซิงเกิ้ล "Daddy cool" ออกมาพร้อมกับวิดีโอคลิปที่มีส่วนร่วมของ Moby T.; นอกจากนี้ยังติดอันดับท็อป 50 ข่าวแพร่กระจายเกี่ยวกับการเพิ่มสมาชิกใหม่สี่คนใน Boney M รวมถึงแร็ปเปอร์ Moby T. และชื่อใหม่ของกลุ่ม - Boney M. 2000 อย่างไรก็ตามเนื่องจากการประท้วงของแฟน ๆ และอดีตสมาชิก Boney M Farian ละทิ้งความคิดแม้ว่าสมาชิกใหม่จริงๆ ได้รับการว่าจ้างแล้ว แต่สำหรับการนำเสนอด้วยภาพเท่านั้น - ไม่มีการวางแผนการแสดงสดหรืออัลบั้มด้วยการมีส่วนร่วม อัลบั้มรีมิกซ์จะออกในเดือนตุลาคมภายใต้ชื่อ "20-th Century hits - Boney M. 2000"; ดีเจหลายคนทำงานและ "ลองมองเพลงฮิตเก่าๆ ใหม่" หนึ่งในนั้นคือ O-Tone Farian กล่าวว่า "สิ่งที่ดีในอดีตสมควรจะมีอยู่ในศตวรรษใหม่ แต่ด้วยการรักษาที่ใหม่กว่า" อย่างไรก็ตามในตลาดเยอรมันและในประเทศอื่น ๆ อัลบั้มนี้เข้าร่วมในชาร์ตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น วิดีโอการ์ตูนที่ยอดเยี่ยมสำหรับซิงเกิ้ลใหม่ "Hooray! Hooray! Caribbean nightfever megamix" อาจทำให้ Boney M กลับมาสู่ชาร์ตเพลงได้อีกครั้ง แต่ตัวซิงเกิลเองก็ทำได้แย่มาก อาจเป็นเพราะว่า Boney M ไม่มีอยู่จริงแล้ว และบริษัทแผ่นเสียงไม่ได้ทำการตลาด อีกหนึ่งซิงเกิ้ล "ซันนี่ 2000" ที่มีจังหวะใหม่และประกอบด้วยวิดีโอคลิปคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยที่สุด ก็ไม่สูงเกิน 100 เช่นกัน
ในปี 1999 แฟนๆ ของ Boney M ต่างยินดีกับข่าวดี ทั้ง Liz Mitchell และ Marcia Barrett ได้ออกอัลบั้มเดี่ยวที่รอคอยมานาน "Survival" อัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของ Marcia เริ่มต้นด้วยเพลงที่เต้นตามจังหวะเพลง "Strange ข่าวลือ" เกี่ยวกับข่าวลือที่หมุนเวียนเกี่ยวกับเธอ ในนั้นเธอพูดถึงอดีตของเธออย่างตรงไปตรงมาและตลกขบขันทำให้ผู้ฟังประทับใจด้วยส่วนผสมของบ้าน, ร็อค, เร้กเก้และเพลงบัลลาด
อัลบั้ม "Share the world" ของ Liz Mitchell ถูกจำกัดไว้มากกว่า และประกอบด้วยเพลงบัลลาดที่สวยงามและเพลงเต้นรำหลายเพลง เช่น "Sunshine" ซึ่งจังหวะของยุค 60 ลื่นไหลชวนให้นึกถึง ทั้งสองอัลบั้มเป็นพยานว่าผู้แต่งไม่ได้เป็นเพียงนักแสดงที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นกวีผู้มีความสามารถและโปรดิวเซอร์จากพระเจ้าอีกด้วย ข่าวร้ายก็คือ วงการเพลงในปัจจุบันกำลังมุ่งความสนใจไปที่ศิลปินรุ่นเยาว์มากกว่าที่เคย และง่ายต่อการสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะเวลาอันสั้น อาชีพระยะยาวไม่ใช่กฎอีกต่อไป ดังนั้น Marcia และ Liz ผู้ซึ่งหลงรักดนตรีไพเราะอย่างไม่รู้จบและรู้วิธีสร้างมันขึ้นมา ไม่ต้องการเล่นเกมเหล่านี้อีกต่อไป ตอนนี้ถึงตาพวกเขาแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่หุ่นเชิดที่อยู่ในมือของโปรดิวเซอร์และบริษัทแผ่นเสียง แต่เป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์และรู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร
กว่าสามทศวรรษครึ่งหลังจากการเปิดตัว "Daddy cool" ตำนานของ Boney M ได้ดำรงอยู่ ความนิยมของพวกเขาเป็นสิ่งที่ลืมไม่ลง: คนหนุ่มสาวในปัจจุบันกำลังค้นพบกลุ่มนี้ซึ่งพวกเขาอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับวิทยุหรือจาก พ่อแม่ของพวกเขา และในขณะที่นักวิจารณ์ดนตรีและนักประวัติศาสตร์ยังคงเพิกเฉยต่ออิทธิพลของ Boney M ต่อวงการดนตรี เรามั่นใจว่าหากไม่มีพวกเขา เพลงป๊อบปูล่าจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงในทุกวันนี้ พวกเขาไม่เพียงกำหนดมาตรฐานสำหรับการแสดงดนตรีบนเวทีเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือพวกเขาสร้างการบันทึกเสียงคุณภาพสูงให้เป็นบรรทัดฐาน ตอนนี้สิ่งที่ได้รับการยอมรับสำหรับนักดนตรีที่จริงจังทุกคนในวัยเจ็ดสิบถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรวดเร็ว: เสียงสังเคราะห์และจังหวะที่ชัดเจนเกินไปและความเรียบง่ายของความสามัคคี ... อย่างไรก็ตามผู้ชมของพวกเขารู้แน่นอนว่า Boney M เป็นมากกว่าแถบพลาสติก - พวกเขาเป็นกลุ่มนักแสดงที่ยอดเยี่ยมไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีบุคลิกที่ไม่ธรรมดาที่มีบางสิ่งที่จะพูด สิ่งที่นักวิจารณ์ไม่เคยพูดถึงคือความจริงที่ว่า Boney M ช่วยนำผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติและทุกวัยมารวมตัวกันด้วยเพลงโปรดของพวกเขา มีเหตุผลที่จะถามคำถาม: วงดนตรีป๊อปต้องการอะไรที่สูงขึ้น? และเป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่ไลน์อัพต้นฉบับจะไม่มารวมกันอีกต่อไป แต่ดนตรีและตำนานของ Boney M ของพวกเขาจะคงอยู่ไปอีกนาน ...

รายชื่อจานเสียงกลุ่ม:

2519 - เลิกร้อนกับฉัน
2520 - รักการขาย
2521 - เที่ยวบินกลางคืนสู่ดาวศุกร์
2522 - มหาสมุทรแห่งจินตนาการ
1980 - สำหรับ Dancin "
2524 - บุญนูนูนูศ
2524 - อัลบั้มคริสต์มาส
พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - คาลิมบา เดอ ลูนา
1984 - หมื่นปีแสง
2528 - ตาเต้นรำ