สิ่งที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับ Michelangelo Buonarroti ชีวประวัติของ Michelangelo ปีแห่งชีวิตของ Michelangelo

จิตรกรและประติมากรชาวอิตาลีมีเกลันเจโล ดิ โลโดวิโก บูโอนาร์โรตี ซิโมนี เป็นหนึ่งในศิลปินที่มีอิทธิพลมากที่สุดในศิลปะตะวันตก ยังคงเป็นหนึ่งในศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก แม้กระทั่งกว่า 450 ปีหลังจากที่เขาเสียชีวิต ฉันขอเชิญคุณทำความคุ้นเคยกับผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Michelangelo ตั้งแต่โบสถ์น้อยซิสทีนไปจนถึงรูปปั้นเดวิดของเขา

เพดานโบสถ์น้อยซิสทีน

เมื่อกล่าวถึงมีเกลันเจโล ภาพเฟรสโกที่สวยงามของศิลปินบนเพดานโบสถ์น้อยซิสทีนในวาติกันก็ผุดขึ้นมาในทันที มีเกลันเจโลได้รับการว่าจ้างจากสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 และทำงานเกี่ยวกับปูนเปียกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1508 ถึง ค.ศ. 1512 งานบนเพดานของโบสถ์น้อยซิสทีนแสดงให้เห็นเรื่องราวเก้าเรื่องจากปฐมกาล และถือเป็นหนึ่งในผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการสูง ไมเคิลแองเจโลเองปฏิเสธที่จะรับโครงการนี้ตั้งแต่แรก เพราะเขาคิดว่าตัวเองเป็นประติมากรมากกว่าจิตรกร อย่างไรก็ตาม งานนี้ยังคงสร้างความประทับใจให้ผู้เยี่ยมชมโบสถ์น้อยซิสทีนประมาณห้าล้านคนทุกปี

รูปปั้นเดวิด หอศิลป์อัคคาเดเมียในฟลอเรนซ์

รูปปั้นเดวิดเป็นประติมากรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก David ของ Michelangelo แกะสลักมาเป็นเวลาสามปี และอาจารย์รับเลี้ยงเธอเมื่ออายุ 26 ปี มิเกลันเจโลต่างจากภาพวีรบุรุษในพระคัมภีร์ก่อนหน้านี้ ซึ่งแสดงให้เห็นชัยชนะของดาวิดหลังจากการต่อสู้กับโกลิอัท ไมเคิลแองเจโลเป็นศิลปินคนแรกที่พรรณนาถึงเขาด้วยความสงสัยก่อนการเผชิญหน้าในตำนาน เดิมทีตั้งอยู่ใน Piazza della Signoria ในเมืองฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ. 1504 ประติมากรรมขนาด 4 เมตรถูกย้ายไปยัง Accademia Gallery ในปีพ.ศ. 2416 ซึ่งยังคงหลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้ คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Accademia Gallery ในการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวในฟลอเรนซ์บน LifeGlobe ของเรา

ประติมากรรมของแบคคัสที่พิพิธภัณฑ์บาร์เกลโล

ประติมากรรมขนาดใหญ่ชิ้นแรกของ Michelangelo คือ Bacchus ที่ทำจากหินอ่อน ร่วมกับ Pieta เป็นหนึ่งในสองประติมากรรมที่ยังหลงเหลือจากยุคโรมันโดย Michelangelo นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในผลงานหลายชิ้นของศิลปินที่เน้นที่เรื่องนอกรีตมากกว่าธีมของคริสเตียน รูปปั้นแสดงให้เห็นเทพเจ้าแห่งไวน์ของโรมันในตำแหน่งที่ผ่อนคลาย เดิมงานนี้ได้รับมอบหมายจากพระคาร์ดินัลราฟฟาเอเล ริอาริโอ ซึ่งในที่สุดก็ปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 แบคคัสได้พบบ้านในสวนของพระราชวังโรมันของนายจาโคโป กัลลี นายธนาคาร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2414 แบคคัสได้จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบาร์เจลโลในฟลอเรนซ์ พร้อมกับผลงานอื่นๆ ของไมเคิลแองเจโล รวมถึงรูปปั้นครึ่งตัวของบรูตัสและรูปปั้นที่ยังไม่เสร็จของเดวิด-อพอลโล

มาดอนน่าแห่งบรูจส์ โบสถ์พระแม่แห่งบรูจส์

มาดอนน่าแห่งบรูจส์เป็นรูปปั้นเพียงชิ้นเดียวของไมเคิลแองเจโลที่ออกจากอิตาลีในช่วงชีวิตของศิลปิน มันถูกบริจาคให้กับโบสถ์ของพระแม่มารีในปี ค.ศ. 1514 หลังจากที่ครอบครัวของพ่อค้าผ้า Mouscron ซื้อไป รูปปั้นออกจากโบสถ์หลายครั้ง ครั้งแรกในช่วงสงครามปฏิวัติฝรั่งเศส หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2358 ได้นำรูปปั้นกลับมาถูกทหารนาซีขโมยอีกครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนี้แสดงให้เห็นอย่างมากในภาพยนตร์ปี 2014 นักล่าสมบัติ ที่นำแสดงโดยจอร์จ คลูนีย์

การทรมานของนักบุญแอนโธนี

คุณสมบัติหลักของพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Kimbell ในเท็กซัสคือภาพวาด "The Torment of St. Anthony" ซึ่งเป็นภาพเขียนที่มีชื่อเสียงเรื่องแรกของ Michelangelo เป็นที่เชื่อกันว่าศิลปินวาดภาพไว้ระหว่างอายุ 12 ถึง 13 ปี โดยอิงจากการแกะสลักโดย Martin Schongauer จิตรกรชาวเยอรมันในศตวรรษที่ 15 ภาพวาดถูกสร้างขึ้นภายใต้การดูแลของ Francesco Granacci เพื่อนคนโตของเขา The Torment of St. Anthony ได้รับการยกย่องจากจิตรกรและนักเขียนแห่งศตวรรษที่ 16 Giorgio Vasari และ Ascanio Condivi ซึ่งเป็นนักเขียนชีวประวัติคนแรกๆ ของ Michelangelo ว่าเป็นงานที่อยากรู้อยากเห็นเป็นพิเศษด้วยแนวทางที่สร้างสรรค์ในการแกะสลักต้นฉบับของ Schongauer ภาพวาดได้รับเสียงไชโยโห่ร้องจากคนรอบข้าง

มาดอนน่า โดนี่

Madonna Doni (Holy Family) เป็นงานขาตั้งเพียงชิ้นเดียวที่หลงเหลืออยู่ของ Michelangelo งานนี้สร้างขึ้นสำหรับ Agnolo Doni นายธนาคารผู้มั่งคั่งชาวฟลอเรนซ์เพื่อเป็นเกียรติแก่งานแต่งงานของเขากับ Maddalena ลูกสาวของตระกูล Strozzi ผู้สูงศักดิ์ชาวทัสคานี ภาพวาดยังคงอยู่ในกรอบเดิม ซึ่งสร้างจากไม้โดยไมเคิลแองเจโลเอง Madonna Doni อยู่ใน Uffizzi Gallery มาตั้งแต่ปี 1635 และเป็นภาพวาดเพียงชิ้นเดียวของปรมาจารย์ในฟลอเรนซ์ ด้วยการนำเสนอวัตถุที่ไม่ธรรมดา ไมเคิลแองเจโลได้วางรากฐานสำหรับทิศทางศิลปะแนวปฏิบัตินิยมในภายหลัง

Pieta at St. Peter's Basilica, วาติกัน

รูปปั้นของ Pieta จากปลายศตวรรษที่ 15 ร่วมกับ David ถือเป็นหนึ่งในผลงานที่โดดเด่นและโด่งดังที่สุดของ Michelangelo สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเป็นหลุมศพของพระคาร์ดินัลฌ็อง เดอ บิลลิเยร์ของฝรั่งเศส รูปปั้นนี้แสดงภาพพระแม่มารีที่ถือพระกายของพระคริสต์หลังจากการตรึงกางเขน นี่เป็นหัวข้อทั่วไปสำหรับอนุสาวรีย์งานศพในยุคเรอเนซองส์ของอิตาลี Pieta ย้ายมาอยู่ที่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในศตวรรษที่ 18 เป็นงานศิลปะชิ้นเดียวที่ลงนามโดย Michelangelo รูปปั้นได้รับความเสียหายอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักธรณีวิทยาชาวออสเตรเลียชื่อ Laszlo Toth ทุบด้วยค้อนในปี 1972

โมเสสมีเกลันเจโลในกรุงโรม

"โมเสส" ตั้งอยู่ในบาซิลิกาโรมันอันสวยงามของซานปิเอโตรในวินโคลี ได้รับหน้าที่ในปี ค.ศ. 1505 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอนุสาวรีย์งานศพของพระองค์ Michelangelo ไม่สามารถสร้างอนุสาวรีย์ให้เสร็จได้จนกว่า Julius II จะเสียชีวิต ประติมากรรมที่แกะสลักจากหินอ่อนมีชื่อเสียงจากเขาคู่ที่ผิดปกติบนหัวของโมเสส ซึ่งเป็นผลมาจากการตีความตามตัวอักษรของการแปลภาษาละตินของพระคัมภีร์วัลเกต มีการเสนอให้รวมรูปปั้นกับงานอื่น ๆ รวมถึง Dying Slave ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ใน Paris Louvre

การพิพากษาครั้งสุดท้ายในโบสถ์น้อยซิสทีน

ผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นของมีเกลันเจโลตั้งอยู่ในโบสถ์น้อยซิสทีน - การพิพากษาครั้งสุดท้ายอยู่บนผนังแท่นบูชาของโบสถ์ เสร็จสมบูรณ์ 25 ปีหลังจากที่ศิลปินวาดภาพปูนเปียกที่น่ากลัวบนเพดานโบสถ์ The Last Judgment มักถูกอ้างถึงว่าเป็นงานที่ซับซ้อนที่สุดของ Michelangelo งานศิลปะอันงดงามนี้แสดงถึงการพิพากษาของพระเจ้าที่มีต่อมนุษยชาติ ซึ่งเดิมถูกประณามเนื่องจากภาพเปลือย สภาเมืองเทรนต์ประณามภาพเฟรสโกในปี ค.ศ. 1564 และจ้างดานิเอเล ดา โวลแตร์ราเพื่อปกปิดส่วนที่ลามกอนาจาร

การตรึงกางเขนของนักบุญเปโตร วาติกัน

การตรึงกางเขนของนักบุญเปโตรเป็นภาพเฟรสโกสุดท้ายของไมเคิลแองเจโลในโบสถ์น้อยเปาโลวาติกัน งานนี้สร้างขึ้นตามคำสั่งของสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 3 ในปี ค.ศ. 1541 งานของมีเกลันเจโลไม่เหมือนกับภาพวาดปีเตอร์ในยุคเรอเนสซองส์อื่นๆ โครงการบูรณะ 5 ปีมูลค่า 3.2 ล้านยูโรเริ่มต้นขึ้นในปี 2547 และเผยให้เห็นแง่มุมที่น่าสนใจมากของจิตรกรรมฝาผนัง: นักวิจัยเชื่อว่าร่างผ้าโพกหัวสีน้ำเงินที่มุมซ้ายบนนั้นเป็นตัวศิลปินเอง ดังนั้น - การตรึงกางเขนของนักบุญเปโตรในวาติกันจึงเป็นภาพเหมือนตนเองเพียงภาพเดียวของไมเคิลแองเจโลและเป็นอัญมณีแท้

ไมเคิลแองเจโลคือใคร ทุกคนรู้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โบสถ์น้อยซิสทีน, เดวิด, ปิเอต้า - นี่คือสิ่งที่อัจฉริยะแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยามีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกัน ให้ขุดลึกลงไปอีกเล็กน้อย และส่วนใหญ่ไม่น่าจะสามารถตอบได้ชัดเจนว่าชาวอิตาลีที่เอาแต่ใจยังจำอะไรทั้งโลกได้ การขยายขอบเขตของความรู้

มีเกลันเจโลทำเงินด้วยของปลอม

เป็นที่ทราบกันดีว่า Michelangelo เริ่มต้นด้วยการปลอมแปลงประติมากรรมซึ่งทำให้เขาได้รับเงินเป็นจำนวนมาก ศิลปินซื้อหินอ่อนในปริมาณมาก แต่ไม่มีใครเห็นผลงานของเขา (มีเหตุผลที่ต้องซ่อนผลงาน) การปลอมแปลงที่ดังที่สุดของเขาอาจเป็นงานประติมากรรม "Laocoon and His Sons" ซึ่งปัจจุบันมีสาเหตุมาจากประติมากรชาวโรเดียนสามคน ข้อเสนอแนะว่างานนี้อาจเป็นของปลอมของมีเกลันเจโลแสดงในปี 2548 โดยนักวิจัยลินน์ คัตเตอร์สัน ผู้ซึ่งกล่าวถึงข้อเท็จจริงที่ว่าไมเคิลแองเจโลเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกๆ ที่อยู่ในสถานที่ค้นพบและเป็นหนึ่งในผู้ระบุรูปปั้นดังกล่าว

มีเกลันเจโลศึกษาคนตาย

มีเกลันเจโลเป็นที่รู้จักในฐานะประติมากรที่ยอดเยี่ยม ซึ่งสามารถสร้างร่างกายมนุษย์ขึ้นมาใหม่ด้วยหินอ่อนในรายละเอียดที่เล็กที่สุด การทำงานที่อุตสาหะดังกล่าวต้องใช้ความรู้ที่ไร้ที่ติเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์ ขณะที่ในช่วงเริ่มต้นอาชีพการงาน ไมเคิลแองเจโลไม่รู้ว่าร่างกายมนุษย์เป็นอย่างไร เพื่อเติมเต็มความรู้ที่ขาดหายไป ไมเคิลแองเจโลใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องเก็บศพของอาราม ซึ่งเขาตรวจสอบคนตาย พยายามทำความเข้าใจรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมดของร่างกายมนุษย์

ไมเคิลแองเจโลเกลียดการวาดภาพ

พวกเขาบอกว่ามีเกลันเจโลไม่ชอบภาพวาดอย่างจริงใจซึ่งในความเห็นของเขานั้นด้อยกว่างานประติมากรรมอย่างมาก เขาเรียกว่าภาพวาดทิวทัศน์และสิ่งมีชีวิตยังคงเสียเวลาโดยพิจารณาว่าเป็น "ภาพที่ไร้ประโยชน์สำหรับผู้หญิง"

ครูของมีเกลันเจโลทำจมูกด้วยความอิจฉา

ในช่วงวัยรุ่น Michelangelo ถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนของประติมากร Bertoldo di Giovanni ซึ่งอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของ Lorenzo de Medici พรสวรรค์รุ่นเยาว์แสดงความกระตือรือร้นและความขยันหมั่นเพียรในการศึกษาของเขาและประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วไม่เพียง แต่ประสบความสำเร็จในสาขาโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังได้รับการอุปถัมภ์จากเมดิชิด้วย ความสำเร็จอันน่าทึ่ง ความสนใจจากผู้มีอิทธิพล และเห็นได้ชัดว่าการใช้ลิ้นที่เฉียบแหลมทำให้มีเกลันเจโลสร้างศัตรูมากมายที่โรงเรียน รวมทั้งในหมู่ครูด้วย ดังนั้น ตามผลงานของจอร์โจ วาซารี ประติมากรชาวอิตาลีและครูคนหนึ่งของไมเคิลแองเจโล ปิเอโตร ตอร์ริเกียโน จมูกหักเพราะความอิจฉาในความสามารถของนักเรียน

ไมเคิลแองเจโลป่วยหนัก

ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาในชีวิตของเขา Michelangelo ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคข้อเข่าเสื่อม ซึ่งเป็นโรคที่นำไปสู่ความผิดปกติร่วมกันและความเจ็บปวดในแขนขา งานของเขาช่วยให้เขาไม่สูญเสียความสามารถในการทำงานไปโดยสิ้นเชิง เป็นที่เชื่อกันว่าอาการแรกปรากฏขึ้นในระหว่างการทำงานกับ Florentine Pieta

นอกจากนี้ นักวิจัยหลายคนเกี่ยวกับงานและชีวิตของประติมากรผู้ยิ่งใหญ่ให้เหตุผลว่าไมเคิลแองเจโลได้รับความทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้าและอาการวิงเวียนศีรษะ ซึ่งอาจเกิดจากการทำงานกับสีย้อมและตัวทำละลาย ซึ่งทำให้เกิดพิษต่อร่างกายและอาการอื่นๆ ที่ตามมาทั้งหมด

ความลับของภาพเหมือนตนเองของ Michelangelo

มีเกลันเจโลแทบไม่ได้เซ็นผลงานของเขาและไม่เคยทิ้งภาพเหมือนตนเองที่เป็นทางการไว้เบื้องหลัง อย่างไรก็ตาม เขายังคงสามารถจับภาพใบหน้าของเขาในรูปภาพและประติมากรรมบางรูปได้ ภาพเหมือนตนเองที่เป็นความลับที่มีชื่อเสียงที่สุดเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของภาพเฟรสโก Last Judgement ซึ่งคุณสามารถพบได้ในโบสถ์น้อยซิสทีน ภาพนี้แสดงให้เห็นนักบุญบาร์โธโลมิวกำลังถือชิ้นส่วนผิวหนังที่ฉีกขาดซึ่งแสดงถึงใบหน้าของใครอื่นนอกจากมีเกลันเจโล

มีเกลันเจโลเป็นกวี

เรารู้จักไมเคิลแองเจโลในฐานะประติมากรและศิลปิน และเขาก็เป็นกวีที่มีประสบการณ์ด้วย ในแฟ้มผลงานของเขา คุณจะพบเพลงมาดริกาลและโคลงหลายร้อยเรื่องที่ไม่ได้เผยแพร่ในช่วงชีวิตของเขา อย่างไรก็ตามแม้ว่าผู้ร่วมสมัยจะไม่สามารถชื่นชมพรสวรรค์ด้านกวีของ Michelangelo ได้ แต่หลายปีต่อมางานของเขาก็พบผู้ฟังดังนั้นในกรุงโรมในศตวรรษที่ 16 กวีนิพนธ์ของประติมากรจึงเป็นที่นิยมอย่างมากโดยเฉพาะในหมู่นักร้องที่เปลี่ยนบทกวีเกี่ยวกับบาดแผลทางจิตใจ และความพิการทางร่างกายในการฟังเพลง

ผลงานสำคัญของมีเกลันเจโล

มีงานศิลปะไม่กี่ชิ้นในโลกที่สามารถสร้างความชื่นชมได้มากพอๆ กับผลงานของปรมาจารย์ชาวอิตาลีผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ เราขอเสนอให้คุณดูผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของมีเกลันเจโลและสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของผลงานเหล่านั้น

ยุคเรอเนซองส์ทำให้โลกมีศิลปินและประติมากรที่มีพรสวรรค์มากมาย แต่ในหมู่พวกเขามีไททันของวิญญาณที่มีความสูงเป็นประวัติการณ์ในด้านกิจกรรมต่างๆ Michelangelo Buonarroti เป็นอัจฉริยะ ไม่ว่าเขาทำอะไร ทั้งประติมากรรม ภาพวาด สถาปัตยกรรม หรือกวีนิพนธ์ ในทุก ๆ อย่างที่เขาแสดงตนว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างยิ่ง ผลงานของไมเคิลแองเจโลมีความโดดเด่นในความสมบูรณ์แบบ เขาติดตามมนุษยนิยมของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาซึ่งทำให้ผู้คนมีคุณสมบัติอันศักดิ์สิทธิ์

วัยเด็กและเยาวชน

อัจฉริยะในอนาคตของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 1475 ในเมือง Caprese เขต Casentino เขาเป็นลูกชายคนที่สองของ podesta Lodovico Buonarroti Simoni และ Francesca di Neri พ่อมอบลูกให้กับพยาบาลเปียก - ภรรยาของช่างก่ออิฐจาก Settignano โดยรวมแล้วมีลูกชาย 5 คนเกิดในตระกูล Buonarroti น่าเศร้าที่ Francesca เสียชีวิตเมื่อ Michelangelo อายุ 6 ขวบ หลังจาก 4 ปี Lodovico แต่งงานกับ Lucrezia Ubaldini อีกครั้ง รายได้อันน้อยนิดของเขาแทบจะไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวใหญ่ได้

เมื่ออายุได้ 10 ขวบ Michelangelo ถูกส่งตัวไปเรียนที่โรงเรียน Francesco da Urbino ในเมืองฟลอเรนซ์ พ่อต้องการให้ลูกชายของเขาเป็นทนายความ อย่างไรก็ตาม Buonarroti อายุน้อยแทนที่จะเรียนหนังสือ วิ่งไปในโบสถ์เพื่อลอกงานของปรมาจารย์เก่า Lodovico มักจะเอาชนะเด็กที่ประมาท - ในสมัยนั้นการวาดภาพถือเป็นอาชีพที่ไม่คู่ควรสำหรับขุนนางซึ่ง Buonarroti จัดอันดับตัวเอง

Michelangelo กลายเป็นเพื่อนกับ Francesco Granacci ซึ่งศึกษาในสตูดิโอของจิตรกรชื่อดัง Domenico Ghirlandaio Granacci แอบสวมภาพวาดของครู และ Michelangelo สามารถฝึกวาดภาพได้

ในท้ายที่สุด Lodovico Buonarroti ลาออกจากอาชีพของลูกชาย และเมื่ออายุ 14 ปีก็ส่งเขาไปเรียนที่โรงงานของ Ghirlandaio ภายใต้สัญญา เด็กชายควรจะเรียนเป็นเวลา 3 ปี แต่หลังจากนั้นหนึ่งปี เขาก็ลาออกจากครู

Lorenzo Medici ผู้ปกครองเมืองฟลอเรนซ์ ตัดสินใจก่อตั้งโรงเรียนสอนศิลปะที่ศาลของเขา และขอให้ Ghirlandaio ส่งนักเรียนที่มีพรสวรรค์มาให้เขา ในหมู่พวกเขาคือมีเกลันเจโล

ที่ศาลของลอเรนโซผู้ยิ่งใหญ่

Lorenzo Medici เป็นนักเลงผู้ยิ่งใหญ่และผู้ชื่นชอบงานศิลปะ เขาอุปถัมภ์จิตรกรและประติมากรหลายคนและสามารถรวบรวมผลงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาได้ ลอเรนโซเป็นนักมนุษยนิยม ปราชญ์ กวี Botticelli และ Leonardo da Vinci ทำงานที่ศาลของเขา

ที่ปรึกษารุ่นเยาว์ของ Michelangelo คือประติมากร Bertoldo di Giovanni นักเรียนของ Donatello มีเกลันเจโลเริ่มศึกษาประติมากรรมด้วยความกระตือรือร้นและพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นนักเรียนที่มีความสามารถ พ่อของชายหนุ่มต่อต้านกิจกรรมดังกล่าว: เขาคิดว่าเป็นคนตัดหินที่ไม่คู่ควรกับลูกชายของเขา มีเพียงลอเรนโซผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่สามารถโน้มน้าวชายชราได้ด้วยการพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวและสัญญาว่าจะมีตำแหน่งทางการเงิน

ที่ศาลเมดิชิ มิเคลันเจโลไม่เพียงศึกษาประติมากรรมเท่านั้น เขาสามารถสื่อสารกับนักคิดที่โดดเด่นในยุคของเขา: Marcelio Ficino, Poliziano, Pico della Mirandola โลกทัศน์อย่างสงบที่ปกครองในราชสำนักและมนุษยนิยมจะมีอิทธิพลอย่างมากต่องานของไททันในอนาคตของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

งานเช้า

มีเกลันเจโลศึกษาประติมากรรมจากตัวอย่างโบราณ และภาพวาด - คัดลอกภาพเฟรสโกโดยปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงในโบสถ์ของฟลอเรนซ์ พรสวรรค์ของชายหนุ่มปรากฏชัดในผลงานยุคแรกๆ ของเขาแล้ว ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือภาพนูนต่ำนูนสูงของ Battle of the Centaurs และ Madonna at the Stairs

การต่อสู้ของพวกเซ็นทอร์นั้นโดดเด่นในด้านพลวัตและพลังของการต่อสู้ เป็นการรวมตัวกันของร่างกายที่เปลือยเปล่าซึ่งร้อนอบอ้าวจากการสู้รบและการใกล้ตาย ในงานนี้ ไมเคิลแองเจโลใช้รูปปั้นนูนต่ำแบบโบราณเป็นแบบจำลอง แต่เซนทอร์ของเขาเป็นอะไรที่มากกว่านั้น มันคือความโกรธ ความเจ็บปวด และความปรารถนาอันแรงกล้าเพื่อชัยชนะ

มาดอนน่าที่บันไดมีความแตกต่างในด้านการปฏิบัติและอารมณ์ มันคล้ายกับภาพวาดในหิน เส้นเรียบ รอยพับมากมาย และการจ้องมองของพระมารดาของพระเจ้า มุ่งไปไกลและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เธอกอดทารกที่กำลังหลับอยู่กับเธอและคิดถึงสิ่งที่รอเขาอยู่ในอนาคต

อัจฉริยะของ Michelangelo ปรากฏให้เห็นในผลงานยุคแรก ๆ เหล่านี้แล้ว เขาไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้าเลียนแบบเจ้านายเก่า แต่พยายามค้นหาวิธีพิเศษของเขาเอง

ช่วงเวลาที่มีปัญหา

หลังจากการเสียชีวิตของลอเรนโซ เมดิชิในปี ค.ศ. 1492 มีเกลันเจโลก็กลับบ้าน ลูกชายคนโตของลอเรนโซ ปิเอโรได้เป็นผู้ปกครองเมืองฟลอเรนซ์

มีเกลันเจโลเข้าใจว่าเขาต้องการความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับกายวิภาคของร่างกายมนุษย์ สามารถรับได้โดยการเปิดซากเท่านั้น ในขณะนั้นกิจกรรมดังกล่าวเปรียบได้กับคาถาและอาจถูกลงโทษโดยการประหารชีวิต โชคดีที่เจ้าอาวาสวัดซานสปิริโตตกลงที่จะแอบปล่อยให้ศิลปินเข้าสู่ความตาย ด้วยความกตัญญู Michelangelo ได้สร้างรูปปั้นไม้ของพระคริสต์ที่ถูกตรึงกางเขนสำหรับอาราม

Piero Medici เชิญ Michelangelo ขึ้นศาลอีกครั้ง หนึ่งในคำสั่งของผู้ปกครองคนใหม่คือการผลิตยักษ์จากหิมะ สิ่งนี้ทำให้ประติมากรผู้ยิ่งใหญ่ต้องอับอายอย่างไม่ต้องสงสัย

ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ในเมืองก็ร้อนขึ้น พระซาโวนาโรลาซึ่งมาถึงเมืองฟลอเรนซ์ ได้ยกย่องความฟุ่มเฟือย ศิลปะ และชีวิตที่ไร้กังวลของเหล่าขุนนางในฐานะบาปมหันต์ในการเทศนาของเขา เขากลายเป็นผู้ติดตามมากขึ้นเรื่อย ๆ และในไม่ช้าฟลอเรนซ์ที่กลั่นกรองก็กลายเป็นฐานที่มั่นของความคลั่งไคล้กับกองไฟที่ซึ่งสินค้าฟุ่มเฟือยถูกเผา Piero Medici หนีไป Bologna กษัตริย์ฝรั่งเศส Charles VIII กำลังเตรียมที่จะโจมตีเมือง

ในช่วงเวลาที่ปั่นป่วนนี้ ไมเคิลแองเจโลและเพื่อนๆ ออกจากฟลอเรนซ์ เขาไปเวนิสแล้วไปโบโลญญา

ตั้งอยู่ในโบโลญญา

ในเมืองโบโลญญา ไมเคิลแองเจโลมีผู้อุปถัมภ์คนใหม่ที่ชื่นชมความสามารถของเขา มันคือ Gianfrancesco Aldovrandi หนึ่งในผู้ปกครองเมือง

ที่นี่ Michelangelo คุ้นเคยกับผลงานของประติมากรชื่อดัง Jacopo della Quercia เขาใช้เวลามากมายในการอ่าน Dante และ Petrarch

ตามคำแนะนำของ Aldovrandi สภาเทศบาลเมืองได้มอบหมายให้ประติมากรรุ่นเยาว์สามรูปสำหรับหลุมฝังศพของ Saint Domenic: Saint Petronius นางฟ้าคุกเข่าพร้อมเชิงเทียนและ Saint Proclus รูปปั้นนี้เข้ากับองค์ประกอบของหลุมฝังศพได้อย่างลงตัว พวกเขาถูกประหารด้วยทักษะที่ยอดเยี่ยม นางฟ้าที่มีเชิงเทียนมีใบหน้าที่สวยงามราวกับรูปปั้นโบราณ ผมหยิกสั้นเป็นลอนที่ศีรษะ เขามีร่างกายนักรบที่แข็งแกร่งซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าของเขา

Saint Petronius นักบุญอุปถัมภ์ของเมืองถือแบบจำลองอยู่ในมือของเขา เขาสวมเสื้อคลุมของอธิการ Saint Proclus ขมวดคิ้วมองไปข้างหน้าร่างของเขาเต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวและประท้วง เชื่อกันว่านี่เป็นภาพเหมือนตนเองของไมเคิลแองเจโลรุ่นเยาว์

เจ้านายของโบโลญญาหลายคนต้องการคำสั่งนี้ และไม่นานมีเกลันเจโลก็รู้ว่ากำลังเตรียมการจู่โจมเขาอยู่ สิ่งนี้ทำให้เขาต้องออกจากโบโลญญาซึ่งเขาใช้เวลาหนึ่งปี

ฟลอเรนซ์และโรม

เมื่อกลับมาที่ฟลอเรนซ์ ไมเคิลแองเจโลได้รับคำสั่งจากลอเรนโซ ดิ ปิแอร์ฟรานเชสโก เมดิชิ ให้สร้างรูปปั้นยอห์นผู้ให้บัพติศมา ซึ่งต่อมาได้สูญหายไป

นอกจากนี้ Buonarroti ยังแกะสลักร่างของกามเทพหลับใหลในสไตล์โบราณ เมื่ออายุมากขึ้น Mcangelo ได้ส่งรูปปั้นกับคนกลางไปยังกรุงโรม ที่นั่นพระคาร์ดินัลราฟาเอล ริอาริโอได้มาในฐานะประติมากรรมโรมันโบราณ พระคาร์ดินัลคิดว่าตัวเองเป็นนักเลงศิลปะโบราณ ยิ่งเขาโกรธเคืองเมื่อการหลอกลวงถูกเปิดเผย หลังจากรู้ว่าใครเป็นผู้แต่งคิวปิดและชื่นชมความสามารถของเขา พระคาร์ดินัลได้เชิญประติมากรรุ่นเยาว์มายังกรุงโรม ไมเคิลแองเจโลเมื่อไตร่ตรองตกลง Riario ได้เงินคืนที่ใช้ไปกับรูปปั้น แต่พ่อค้าคนกลางเจ้าเล่ห์ปฏิเสธที่จะขายคืนให้ไมเคิลแองเจโล โดยตระหนักว่าเขาสามารถขายได้อีกครั้งในราคาที่สูงกว่า ต่อมาร่องรอยของกามเทพหลับใหลหายไปหลายศตวรรษ

แบคคัส

Riario เชิญ Michelangelo ให้อยู่กับเขาและสัญญาว่าจะจัดหางานให้เขา ในกรุงโรม ไมเคิลแองเจโลศึกษาประติมากรรมและสถาปัตยกรรมโบราณ คำสั่งจริงจังครั้งแรกที่เขาได้รับจากพระคาร์ดินัลในปี 1497 คือรูปปั้นของแบคคัส มีเกลันเจโลสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1499 ภาพลักษณ์ของพระเจ้าโบราณไม่เป็นที่ยอมรับทั้งหมด มีเกลันเจโลพรรณนาภาพแบคคัสที่กำลังมึนเมาตามความเป็นจริง ซึ่งกำลังแกว่งไปมา ยืนถือแก้วไวน์อยู่ในมือ Riario ปฏิเสธรูปปั้นและถูกซื้อโดยนายธนาคารชาวโรมัน Jacopo Gallo ต่อมารูปปั้นนี้ถูกซื้อโดยเมดิชิและนำไปที่ฟลอเรนซ์

Pieta

ภายใต้การอุปถัมภ์ของยาโคโป กัลโล ไมเคิลแองเจโลได้รับคำสั่งจากเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำนครวาติกัน เจ้าอาวาส ฌอง บิแลร์ ชาวฝรั่งเศสได้มอบหมายงานประติมากรรมสำหรับหลุมฝังศพของเขาชื่อ Pieta ซึ่งเป็นภาพพระมารดาของพระเจ้าที่ไว้ทุกข์พระเยซูที่สิ้นพระชนม์ ภายในเวลาสองปี ไมเคิลแองเจโลได้สร้างผลงานชิ้นเอก เขาตั้งตัวเองเป็นงานยากซึ่งเขาทำได้ดีมาก: วางร่างของคนตายไว้บนตักของผู้หญิงที่บอบบาง แมรี่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความรักอันศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเธอนั้นสวยงาม แม้ว่าในขณะที่ลูกชายของเธอเสียชีวิต เธอควรจะอายุประมาณ 50 ปี ศิลปินอธิบายสิ่งนี้โดยความบริสุทธิ์ของมารีย์และสัมผัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวรกายที่เปลือยเปล่าของพระเยซูตรงกันข้ามกับพระมารดาของพระเจ้าในผ้าม่านอันเขียวชอุ่ม ใบหน้าของเขาสงบแม้จะต้องทนทุกข์ทรมาน Pieta เป็นงานเดียวที่ Michelangelo ทิ้งลายเซ็นไว้ เมื่อได้ยินกลุ่มคนโต้เถียงกันเกี่ยวกับการประพันธ์ของรูปปั้น ตอนกลางคืนเขาประทับตราชื่อของเขาบนสลิงของพระแม่มารี ปัจจุบัน Pieta อยู่ในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรม ซึ่งถูกย้ายในศตวรรษที่ 18

เดวิด

หลังจากเป็นประติมากรที่มีชื่อเสียงเมื่ออายุ 26 ปี ไมเคิลแองเจโลก็กลับบ้านเกิด ในเมืองฟลอเรนซ์ หินอ่อนชิ้นหนึ่งรอเขามา 40 ปีแล้ว โดยประติมากร Agostino di Ducci ผู้ซึ่งละทิ้งงานทำ ช่างฝีมือหลายคนต้องการทำงานกับบล็อกนี้ แต่รอยแตกที่เกิดขึ้นในชั้นหินอ่อนทำให้ทุกคนกลัว มีเพียงมีเกลันเจโลเท่านั้นที่กล้ายอมรับการท้าทายนี้ เขาเซ็นสัญญากับรูปปั้นของกษัตริย์เดวิดในพันธสัญญาเดิมในปี 1501 และทำงานกับมันเป็นเวลา 5 ปีหลังรั้วสูงที่ซ่อนทุกสิ่งจากการสอดรู้สอดเห็น เป็นผลให้มีเกลันเจโลสร้างเดวิดให้อยู่ในร่างของเยาวชนที่แข็งแกร่งก่อนการต่อสู้กับยักษ์โกลิอัท ใบหน้าของเขามีความเข้มข้นคิ้วของเขาเป็นนิตติ้ง ร่างกายตึงเครียดกับการต่อสู้ รูปปั้นนี้สร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบจนลูกค้าละทิ้งความตั้งใจเดิมที่จะวางไว้ใกล้กับมหาวิหารซานตามาเรียเดลฟิโอเร เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักในอิสรภาพของฟลอเรนซ์ซึ่งขับไล่กลุ่มเมดิชิและเข้าสู่การต่อสู้กับโรม เป็นผลให้มันถูกวางไว้ที่ผนังของ Palazzo Vecchio ซึ่งตั้งตระหง่านจนถึงศตวรรษที่ 19 ขณะนี้มีสำเนาของ David และต้นฉบับได้ย้ายไปที่ Academy of Fine Arts แล้ว

การเผชิญหน้าระหว่างสองไททัน

เป็นที่ทราบกันดีว่า Michelangelo มีบุคลิกที่ซับซ้อน เขาอาจหยาบคายและอารมณ์ร้อน ไม่ยุติธรรมกับศิลปินคนอื่นๆ การเผชิญหน้าของเขากับ Leonardo da Vinci นั้นโด่งดัง ไมเคิลแองเจโลเข้าใจระดับพรสวรรค์ของเขาเป็นอย่างดีและรู้สึกอิจฉาเขา ลีโอนาร์โดที่สง่างามและซับซ้อนนั้นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง และทำให้ประติมากรที่หยาบคายและไร้ศีลธรรมรำคาญใจอย่างมาก ไมเคิลแองเจโลเองได้ดำเนินชีวิตนักพรตของฤาษี เขาพอใจกับสิ่งเล็กน้อยเสมอ เลโอนาร์โดรายล้อมไปด้วยผู้ชื่นชมและนักเรียนตลอดเวลาและชอบความหรูหรา สิ่งหนึ่งที่รวมศิลปินเข้าด้วยกัน: อัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่และการอุทิศตนเพื่องานศิลปะ

ครั้งหนึ่งชีวิตได้นำไททันสองคนของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยามารวมกันในการเผชิญหน้า Gonfolanier Soderini เชิญ Leonardo da Vinci ให้ทาสีผนังวังใหม่ของ Signoria และต่อมาก็หันไปหามีเกลันเจโลด้วยข้อเสนอเดียวกัน ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่สองคนต้องสร้างผลงานชิ้นเอกที่แท้จริงบนผนังของ Signoria Leonardo เลือก Battle of Anghiari สำหรับโครงเรื่อง ไมเคิลแองเจโลควรจะบรรยายถึงการรบแห่งคาชิน นี่เป็นชัยชนะที่ชาวฟลอเรนซ์ได้รับ ศิลปินทั้งสองสร้างกระดานเตรียมการสำหรับจิตรกรรมฝาผนัง น่าเสียดายที่แผนอันยิ่งใหญ่ของ Soderini ไม่เกิดขึ้นจริง งานทั้งสองไม่เคยถูกสร้างขึ้น กระดาษแข็งของงานถูกวางแสดงต่อสาธารณะและกลายเป็นสถานที่แสวงบุญของศิลปิน ขอบคุณสำเนา ตอนนี้เรารู้แล้วว่าแผนการของ Leonardo da Vinci และ Michelangelo เป็นอย่างไร กระดาษแข็งเองไม่รอด พวกเขาถูกตัดและแยกชิ้นส่วนโดยศิลปินและผู้ชม

หลุมฝังศพของ Julius II

ในระหว่างการทำงานในยุทธการคาสซินา มีเกลันเจโลถูกเรียกตัวไปยังกรุงโรมโดยสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 พ่อมอบหมายให้เขาทำงานบนหลุมฝังศพของเขา เดิมทีมีการวางแผนหลุมฝังศพที่หรูหรา ล้อมรอบด้วยรูปปั้น 40 ตัว ซึ่งไม่เท่ากัน อย่างไรก็ตาม แผนการอันยิ่งใหญ่นี้ไม่เคยถูกกำหนดให้เป็นจริง แม้ว่าศิลปินจะใช้เวลา 40 ปีในชีวิตของเขาบนหลุมฝังศพของสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 หลังจากการตายของสมเด็จพระสันตะปาปา ญาติของเขาทำให้โครงการเดิมง่ายขึ้นอย่างมาก มีเกลันเจโลแกะสลักรูปปั้นของโมเสส ราเชล และลีอาห์สำหรับหลุมฝังศพ เขายังสร้างร่างของทาสด้วย แต่พวกมันไม่รวมอยู่ในโครงการสุดท้ายและได้รับบริจาคจากผู้เขียน Roberto Strozzi สำหรับครึ่งชีวิตของเขา คำสั่งนี้แขวนอยู่ราวกับก้อนหินหนักบนประติมากรในรูปแบบของภาระผูกพันที่ไม่สำเร็จ ส่วนใหญ่เขาไม่พอใจกับการจากไปของโครงการเดิม ซึ่งหมายความว่าความพยายามของศิลปินจำนวนมากสูญเปล่า

โบสถ์น้อยซิสทีน

ในปี ค.ศ. 1508 สมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ทรงมอบหมายให้ไมเคิลแองเจโลทาสีเพดานโบสถ์น้อยซิสทีน Buonarroti รับคำสั่งนี้อย่างไม่เต็มใจ เขาเป็นประติมากรเป็นหลัก เขายังไม่มีโอกาสทาสีปูนเปียก ภาพเขียนฝากระโปรงแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของงานที่ทำมาจนถึงปี ค.ศ. 1512

ไมเคิลแองเจโลต้องสร้างนั่งร้านรูปแบบใหม่เพื่อทำงานใต้เพดานและคิดค้นองค์ประกอบปูนปลาสเตอร์ใหม่ที่ไม่ไวต่อเชื้อรา ศิลปินวาดภาพขณะยืนโดยหันศีรษะไปหลายชั่วโมง สีที่หยดลงบนใบหน้าของเขาทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมและความบกพร่องทางสายตาเนื่องจากเงื่อนไขดังกล่าว ศิลปินวาดภาพใน 9 ภาพจิตรกรรมฝาผนังประวัติศาสตร์ของพันธสัญญาเดิมตั้งแต่การสร้างโลกจนถึงมหาอุทกภัย ที่ผนังด้านข้าง ท่านวาดภาพศาสดาพยากรณ์และบรรพบุรุษของพระเยซูคริสต์ บ่อยครั้งมีเกลันเจโลต้องด้นสด เพราะจูเลียสที่ 2 รีบทำงานให้เสร็จ สมเด็จพระสันตะปาปาพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ แม้ว่าเขาจะเชื่อว่าภาพเฟรสโกไม่หรูหราพอและดูยากจนเนื่องจากมีการปิดทองเพียงเล็กน้อย มีเกลันเจโลคัดค้านเรื่องนี้โดยวาดภาพนักบุญ และพวกเขาไม่ได้ร่ำรวย

คำพิพากษาครั้งสุดท้าย

หลังจาก 25 ปี ไมเคิลแองเจโลกลับมาที่โบสถ์น้อยซิสทีนเพื่อทาสีปูนเปียก Last Judgment บนผนังแท่นบูชา ศิลปินวาดภาพการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์และคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ งานนี้เชื่อกันว่าเป็นจุดสิ้นสุดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

ปูนเปียกสร้างความกระฉับกระเฉงในสังคมโรมัน มีทั้งแฟนเพลงและนักวิจารณ์เกี่ยวกับการสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ร่างกายที่เปลือยเปล่าจำนวนมากในปูนเปียกทำให้เกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรงในช่วงชีวิตของไมเคิลแองเจโล ผู้นำคริสตจักรโกรธเคืองที่ธรรมิกชนถูกแสดงในรูปแบบ "ลามกอนาจาร" ต่อจากนั้น มีการแก้ไขหลายครั้ง: เพิ่มเสื้อผ้าและผ้าลงในร่าง ครอบคลุมสถานที่ใกล้ชิด ทำให้เกิดคำถามมากมายและภาพลักษณ์ของพระคริสต์ ค่อนข้างคล้ายกับอพอลโลนอกรีต นักวิจารณ์บางคนถึงกับแนะนำว่าจิตรกรรมฝาผนังถูกทำลายโดยขัดกับศีลของคริสเตียน ขอบคุณพระเจ้า ที่ไม่ได้เกิดขึ้น และเราสามารถเห็นการสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ของ Michelangelo นี้ แม้ว่าจะอยู่ในรูปแบบที่บิดเบี้ยว

สถาปัตยกรรมและกวีนิพนธ์

ไมเคิลแองเจโลไม่เพียงแต่เป็นประติมากรและจิตรกรที่เก่งกาจเท่านั้น เขายังเป็นกวีและสถาปนิกอีกด้วย โครงการสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ: มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรม, Palazzo Farnese, ด้านหน้าของโบสถ์ Medici Church of San Lorenzo, ห้องสมุด Laurenzin มีอาคารหรือโครงสร้างทั้งหมด 15 แห่งที่ไมเคิลแองเจโลทำงานเป็นสถาปนิก

มีเกลันเจโลเขียนบทกวีมาตลอดชีวิต บทประพันธ์อายุน้อยของเขายังไม่มาถึงเราเพราะผู้เขียนเผาพวกเขาด้วยความโกรธ โคลงและมาดริกาลประมาณ 300 ตัวรอดชีวิตมาได้ พวกเขาถือเป็นตัวอย่างของกวีนิพนธ์ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาแม้ว่าจะแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอุดมคติก็ตาม มีเกลันเจโลยกย่องความสมบูรณ์แบบของมนุษย์ในตัวพวกเขา และคร่ำครวญถึงความเหงาและความผิดหวังของเขาในสังคมสมัยใหม่ บทกวีของเขาได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกหลังจากการเสียชีวิตของผู้แต่งในปี ค.ศ. 1623

ชีวิตส่วนตัว

มีเกลันเจโลอุทิศทั้งชีวิตให้กับงานศิลปะ เขาไม่เคยแต่งงาน เขาไม่มีลูก ทรงดำเนินชีวิตสมณพราหมณ์ ไปทำงานเขากินอะไรไม่ได้นอกจากขนมปังและนอนในเสื้อผ้าเพื่อไม่ให้เสียพลังงานในการเปลี่ยนเสื้อผ้า ศิลปินไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์กับผู้หญิง นักวิจัยบางคนแนะนำว่า Michelangelo มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักเรียนและนางแบบ แต่ไม่มีข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับเรื่องนี้

Tommaso Cavalieri

เป็นที่ทราบกันดีเกี่ยวกับมิตรภาพที่ใกล้ชิดของเขากับ Tommaso Cavalieri ขุนนางชาวโรมัน Tommaso เป็นลูกชายของศิลปินและหล่อมาก มีเกลันเจโลอุทิศบทกวีและจดหมายหลายฉบับถึงเขา โดยพูดถึงความรู้สึกกระตือรือร้นของเขาอย่างเปิดเผยและชื่นชมในศักดิ์ศรีของชายหนุ่ม อย่างไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินศิลปินด้วยมาตรฐานในปัจจุบัน มีเกลันเจโลเป็นผู้ชื่นชอบเพลโตและทฤษฎีความรักของเขา ซึ่งสอนให้มองเห็นความงามไม่มากนักในร่างกายเท่ากับในจิตวิญญาณของบุคคล ระดับสูงสุดของความรักเพลโตได้พิจารณาถึงการไตร่ตรองถึงความงามในทุกสิ่งรอบตัวเขา ความรักต่อจิตวิญญาณอื่นตามเพลโตทำให้คุณใกล้ชิดกับความรักของพระเจ้ามากขึ้น Tommaso Cavalieri รักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับศิลปินจนกระทั่งเขาตายและกลายเป็นผู้บริหารของเขา ตอนอายุ 38 เขาแต่งงานและลูกชายของเขากลายเป็นนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง

วิตตอเรีย โคลอนนา

อีกตัวอย่างหนึ่งของความรักสงบคือความสัมพันธ์ของไมเคิลแองเจโลกับวิตตอเรีย โคลอนนาผู้ดีชาวโรมัน การพบปะกับผู้หญิงที่โดดเด่นคนนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 1536 เธออายุ 47 ปีเขาอายุมากกว่า 60 ปี Vittoria อยู่ในตระกูลขุนนางซึ่งมีตำแหน่งเป็นเจ้าหญิงแห่งเออร์บิโน สามีของเธอคือ Marquis de Pescara ผู้นำทางทหารที่มีชื่อเสียง หลังจากที่เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1525 วิตตอเรีย โคลอนนาไม่พยายามแต่งงานและใช้ชีวิตอย่างสันโดษอีกต่อไป โดยอุทิศตนเพื่อกวีนิพนธ์และศาสนา เธอมีความสัมพันธ์อย่างสงบกับไมเคิลแองเจโล เป็นมิตรภาพที่ดีระหว่างคนสูงอายุสองคนที่เคยพบเจอมามากมายในชีวิต พวกเขาเขียนจดหมายถึงกัน บทกวี ใช้เวลาในการสนทนาที่ยาวนาน การตายของวิตตอเรียในปี ค.ศ. 1547 ทำให้มีเกลันเจโลตกใจอย่างสุดซึ้ง เขาพรวดพราดเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า โรมรังเกียจเขา

จิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์ Paolina

ผลงานชิ้นสุดท้ายของ Michelangelo คือภาพเฟรสโกในโบสถ์ Paolina The Conversion of St. Paul และการตรึงกางเขนของ St. Peter ซึ่งเนื่องจากอายุที่มากขึ้นเขาจึงวาดภาพด้วยความยากลำบาก จิตรกรรมฝาผนังโดดเด่นด้วยพลังทางอารมณ์และองค์ประกอบที่กลมกลืนกัน

ในการพรรณนาถึงอัครสาวก ไมเคิลแองเจโลได้ฝ่าฝืนประเพณีที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป เปโตรแสดงออกถึงการประท้วงและการต่อสู้ของเขา ถูกตรึงที่ไม้กางเขน และมีเกลันเจโลแสดงภาพพอลว่าเป็นชายชรา แม้ว่าการกลับใจใหม่ของอัครสาวกในอนาคตจะเกิดขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นศิลปินจึงเปรียบเทียบเขากับสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 3 ซึ่งเป็นลูกค้าของจิตรกรรมฝาผนัง

ความตายของอัจฉริยะ

ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ไมเคิลแองเจโลได้เผาภาพวาดและบทกวีหลายเล่มของเขา ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 สิริอายุ 88 ปี ด้วยอาการป่วย เมื่อถึงแก่กรรม มีแพทย์ ทนายความ และเพื่อนฝูง รวมทั้งทอมมาโซ คาวาเลียรี Leonardo หลานชายของ Michelangelo กลายเป็นทายาทของทรัพย์สิน ได้แก่ 9,000 ducats ภาพวาดและรูปปั้นที่ยังไม่เสร็จ

Michelangelo Buonarroti ถูกฝังอยู่ที่ไหน

Michelangelo ต้องการถูกฝังในฟลอเรนซ์ แต่ในกรุงโรม ทุกอย่างพร้อมแล้วสำหรับพิธีศพที่หรูหรา Leonardo Buonarroti ต้องขโมยร่างของลุงและแอบเอาไปที่บ้านเกิดของเขา ที่นั่นมีเกลันเจโลถูกฝังอย่างเคร่งขรึมในโบสถ์ซานตาโครเชพร้อมกับเมืองฟลอเรนซ์ที่ยิ่งใหญ่อื่นๆ หลุมฝังศพได้รับการออกแบบโดย Giorgio Vasari

มีเกลันเจโลเป็นวิญญาณที่ดื้อรั้นที่เชิดชูพระเจ้าในมนุษย์ ความสำคัญของมรดกของเขาแทบจะไม่สามารถประเมินค่าสูงไปได้เลย เขาไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลีเท่านั้น แต่เขาได้กลายเป็นส่วนสำคัญของศิลปะโลก ปัจจุบัน Michelangelo Buonarroti ยังคงเป็นหนึ่งในอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป

ชื่อเต็ม มีเกลันเจโล เด ฟรานเชสโก เด เนรี เด มินิอาโต เดล เซรา และโลโดวิโก ดิ ลีโอนาร์โด ดิ บูโอนาร์โรตี ซิโมนี; อิตัล มีเกลันเจโล ดิ โลโดวิโก ดิ ลีโอนาร์โด ดิ บูโอนาร์โรตี ซิโมนี

ประติมากรชาวอิตาลี ศิลปิน สถาปนิก กวี นักคิด; หนึ่งในปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาและยุคบาโรกยุคแรก

ไมเคิลแองเจโล

ชีวประวัติสั้น

ไมเคิลแองเจโล- ประติมากรชาวอิตาลี สถาปนิก ศิลปิน นักคิด กวี หนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ซึ่งผลงานหลากหลายด้านมีอิทธิพลต่อศิลปะไม่เพียงแต่ในยุคประวัติศาสตร์นี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาวัฒนธรรมโลกทั้งโลกด้วย

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 เด็กชายคนหนึ่งเกิดในครอบครัวของสมาชิกสภาเมืองซึ่งเป็นขุนนางชาวฟลอเรนซ์ผู้น่าสงสารซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ของ Caprese (ทัสคานี) ซึ่งการสร้างสรรค์จะยกระดับเป็นผลงานชิ้นเอกซึ่งเป็นความสำเร็จที่ดีที่สุดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ศิลปะตลอดชีวิตของผู้แต่ง Lodovico Buonarroti กล่าวว่าอำนาจที่สูงกว่าเป็นแรงบันดาลใจให้เขาตั้งชื่อลูกชายของเขา Michelangelo แม้จะมีขุนนางซึ่งทำให้มีเหตุผลที่จะอยู่ในหมู่ชนชั้นสูงในเมือง แต่ครอบครัวก็ไม่เจริญรุ่งเรือง ดังนั้นเมื่อแม่เสียชีวิต พ่อของลูกหลายคนจึงต้องให้ Michelangelo วัย 6 ขวบเลี้ยงดูโดยพยาบาลเปียกในหมู่บ้าน เร็วกว่าการรู้หนังสือ เด็กชายเรียนรู้ที่จะทำงานกับดินเหนียวและสิ่ว

เมื่อเห็นความโน้มเอียงที่เด่นชัดของลูกชายของเขา Lodovico ในปี 1488 ก็ส่งเขาไปเรียนกับศิลปิน Domenico Ghirlandaio ซึ่ง Michelangelo ใช้เวลาหนึ่งปีในการประชุมเชิงปฏิบัติการ จากนั้นเขาก็กลายเป็นนักเรียนของประติมากรชื่อดัง Bertoldo di Giovanni ซึ่งโรงเรียนได้รับการอุปถัมภ์โดย Lorenzo de Medici ซึ่งในเวลานั้นเป็นผู้ปกครองโดยพฤตินัยของฟลอเรนซ์ หลังจากนั้นไม่นาน ตัวเขาเองสังเกตเห็นเด็กวัยรุ่นที่มีความสามารถและเชิญเขาไปที่วัง แนะนำเขาให้รู้จักกับคอลเล็กชั่นของวัง ที่ศาลของนักบุญผู้อุปถัมภ์ มีเกลันเจโลมีอายุตั้งแต่ปี 1490 จนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี 1492 หลังจากนั้นเขาจึงกลับบ้าน

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1496 มีเกลันเจโลมาถึงกรุงโรม เมื่อซื้อประติมากรรมที่เขาชอบแล้ว เขาก็ถูกเรียกตัวโดยคาร์ดินัล ราฟาเอล ริอาริโอ ตั้งแต่นั้นมา ชีวประวัติของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวบ่อยครั้งจากฟลอเรนซ์ไปยังโรมและย้อนกลับ การสร้างสรรค์ในช่วงแรกได้เปิดเผยคุณสมบัติที่จะแยกแยะสไตล์การสร้างสรรค์ของ Michelangelo: ความชื่นชมในความงามของร่างกายมนุษย์ พลังพลาสติก ความยิ่งใหญ่ การแสดงภาพศิลปะ

ระหว่างปี ค.ศ. 1501-1504 กลับมาที่ฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ. 1501 เขาได้ทำงานเกี่ยวกับรูปปั้นเดวิดที่มีชื่อเสียง ซึ่งคณะกรรมการที่เคารพนับถือได้ตัดสินใจติดตั้งไว้ที่จัตุรัสหลักของเมือง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1505 มีเกลันเจโลกลับมาที่กรุงโรมซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ทรงเรียกเขาให้ทำงานในโครงการอันยิ่งใหญ่ - การสร้างหลุมฝังศพอันงดงามของเขาซึ่งตามแผนร่วมกันควรมีรูปปั้นมากมาย งานดำเนินการเป็นระยะ ๆ และแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1545 เท่านั้น ในปี ค.ศ. 1508 เขาได้ปฏิบัติตามคำขอของจูเลียสที่ 2 อีกครั้ง - เขาเริ่มวาดภาพหลุมฝังศพด้วยจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์น้อยซิสทีนของวาติกันและเสร็จสิ้นการวาดภาพอันยิ่งใหญ่นี้โดยทำงานเป็นระยะ ๆ ในปี ค.ศ. 1512

ช่วงเวลาตั้งแต่ 1515 ถึง 1520 กลายเป็นหนึ่งในชีวประวัติที่ยากที่สุดในชีวประวัติของ Michelangelo ถูกทำเครื่องหมายโดยการล่มสลายของแผนโดยโยน "ระหว่างไฟสองดวง" - บริการของ Pope Leo X และทายาทของ Julius II ในปี ค.ศ. 1534 เขาย้ายไปโรมครั้งสุดท้าย ตั้งแต่ยุค 20 โลกทัศน์ของศิลปินกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายมากขึ้น ทาสีด้วยโทนสีที่น่าเศร้า อารมณ์แสดงให้เห็นโดยองค์ประกอบขนาดใหญ่ "การพิพากษาครั้งสุดท้าย" - อีกครั้งในโบสถ์น้อยซิสทีนบนผนังแท่นบูชา มีเกลันเจโลสร้างมันขึ้นมาในปี 1536-1541 หลังจากการเสียชีวิตของสถาปนิก อันโตนิโอ ดา ซังกัลโลในปี ค.ศ. 1546 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสถาปนิกของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ปีเตอร์. งานที่ใหญ่ที่สุดของยุคนี้ งานที่กินเวลาตั้งแต่ปลายยุค 40 จนถึงปี 1555 มีกลุ่มประติมากรรม "Pieta" ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาในชีวิตของศิลปิน การเน้นในงานของเขาได้ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นสถาปัตยกรรมและกวีนิพนธ์ ลึกซึ้ง เต็มไปด้วยโศกนาฏกรรม ซึ่งอุทิศให้กับธีมนิรันดร์ของความรัก ความเหงา ความสุข มาดริกาล บทกวีและงานกวีนิพนธ์อื่น ๆ ได้รับการชื่นชมอย่างมากจากผู้ร่วมสมัย การตีพิมพ์ครั้งแรกของกวีนิพนธ์ของไมเคิลแองเจโลคือมรณกรรม (ค.ศ. 1623)

เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 ตัวแทนที่ยิ่งใหญ่ของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเสียชีวิต ร่างของเขาถูกส่งจากโรมไปยังฟลอเรนซ์และถูกฝังในโบสถ์ซานตาโครเชด้วยเกียรติอย่างสูง

ชีวประวัติจาก Wikipedia

Michelangelo Buonarroti, ชื่อเต็ม มีเกลันเจโล ดิ โลโดวิโก ดิ ลีโอนาร์โด ดิ บูโอนาร์โรตี ซิโมนี(อิตาลี. Michelangelo di Lodovico di Leonardo di Buonarroti Simoni; 6 มีนาคม 1475, Caprese - 18 กุมภาพันธ์ 1564, โรม) - ประติมากรชาวอิตาลี, ศิลปิน, สถาปนิก, กวี, นักคิด หนึ่งในปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาและยุคบาโรกตอนต้น ผลงานของเขาถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาแม้ในช่วงชีวิตของอาจารย์เอง มีเกลันเจโลอาศัยอยู่เกือบ 89 ปี ตลอดยุคสมัย ตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาจนถึงจุดกำเนิดของการต่อต้านการปฏิรูป ในช่วงเวลานี้พระสันตะปาปาสิบสามคนถูกแทนที่ - เขาดำเนินการตามคำสั่งสำหรับเก้าคน เอกสารมากมายเกี่ยวกับชีวิตและการทำงานของเขาได้รับการเก็บรักษาไว้ - คำให้การของคนร่วมสมัย จดหมายจากไมเคิลแองเจโล สัญญา บันทึกส่วนตัวและอาชีพของเขา ไมเคิลแองเจโลยังเป็นตัวแทนคนแรกของศิลปะยุโรปตะวันตกซึ่งมีการพิมพ์ชีวประวัติในช่วงชีวิตของเขา

ผลงานประติมากรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา ได้แก่ David, Bacchus, Pieta, รูปปั้นของ Moses, Leah และ Rachel สำหรับหลุมฝังศพของ Pope Julius II จอร์โจ วาซารี ผู้เขียนชีวประวัติอย่างเป็นทางการคนแรกของมีเกลันเจโล เขียนว่า "เดวิด" "กวาดล้างความรุ่งโรจน์ของรูปปั้นทั้งหมด ทั้งแบบสมัยใหม่และแบบโบราณ กรีกและโรมัน" ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่งของศิลปินคือภาพเฟรสโกบนเพดานของโบสถ์น้อยซิสทีน ซึ่งเกอเธ่เขียนไว้ว่า: "หากไม่ได้เห็นโบสถ์น้อยซิสทีน มันยากที่จะจินตนาการถึงสิ่งที่คนๆ หนึ่งสามารถทำได้ " ในบรรดาความสำเร็จทางสถาปัตยกรรมของเขา ได้แก่ โครงการโดมของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ บันไดของห้องสมุดลอเรนเซียน จัตุรัสกัมปิโดลโย และอื่นๆ นักวิจัยเชื่อว่าศิลปะของ Michelangelo เริ่มต้นและจบลงด้วยภาพลักษณ์ของร่างกายมนุษย์

ชีวิตและการสร้าง

วัยเด็ก

Michelangelo เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 ในเมือง Caprese ทางเหนือของ Arezzo แคว้นทัสคานี บุตรชายของขุนนางชาวฟลอเรนซ์ผู้ยากไร้ โลโดวิโก บูโอนาร์โรตี (ชาวอิตาลี โลโดวิโก (ลูโดวิโก) ดิ เลโอนาร์โด บูโอนาร์โรตี ซิโมนี) (ค.ศ. 1444-1534) ซึ่งในขณะนั้นคือ โพเดสต์ที่ 169 ตัวแทนของกลุ่ม Buonarroti-Simoni เป็นนายธนาคารขนาดเล็กในฟลอเรนซ์มาหลายชั่วอายุคน แต่ Lodovico ไม่สามารถรักษาสถานะทางการเงินของธนาคารได้ ดังนั้นเขาจึงดำรงตำแหน่งในรัฐบาลเป็นครั้งคราว เป็นที่ทราบกันว่า Lodovico ภูมิใจในต้นกำเนิดของชนชั้นสูง เนื่องจากกลุ่ม Buonarroti-Simoni อ้างว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับ Margrave Matilda แห่ง Canossa แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานเอกสารเพียงพอที่จะยืนยันเรื่องนี้ Ascanio Condivi อ้างว่ามีเกลันเจโลเองเชื่อสิ่งนี้ โดยนึกถึงต้นกำเนิดของชนชั้นสูงของครอบครัวในจดหมายถึงเลโอนาร์โดหลานชายของเขา วิลเลียม วอลเลซ เขียน:

“ก่อนหน้ามีเกลันเจโล มีศิลปินเพียงไม่กี่คนที่อ้างว่ามีต้นกำเนิดเช่นนี้ ศิลปินไม่ได้มีเพียงเสื้อคลุมแขนเท่านั้น แต่ยังมีนามสกุลจริงอีกด้วย พวกเขาได้รับการตั้งชื่อตามพ่ออาชีพหรือเมืองของพวกเขาและในหมู่พวกเขามีผู้ร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงของ Michelangelo เช่น Leonardo da Vinci และ Giorgione "

Michelangelo เกิด "(...) ในเช้าวันจันทร์ เวลา 4 หรือ 5:00 น. ก่อนรุ่งสาง" ตามรายการของ Lodovico ในพิพิธภัณฑ์ Casa Buonarroti (ฟลอเรนซ์) สำนักทะเบียนนี้ยังระบุด้วยว่าพิธีศีลจุ่มเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่โบสถ์ San Giovanni di Caprese และระบุรายชื่อพ่อแม่อุปถัมภ์:

เกี่ยวกับแม่ของเขา ฟรานเชสกา ดิ เนรี เดล มินิอาโต ดิ เซียนา (อิตาลี: ฟรานเชสกา ดิ เนรี เดล มินิอาโต ดิ เซียนา) มารดาของเขา ซึ่งแต่งงานแต่เนิ่นๆ และเสียชีวิตด้วยอาการอ่อนเพลียจากการตั้งครรภ์บ่อยครั้งในปีที่หกของไมเคิลแองเจโล โดยคนหลังนี้ไม่เคยเอ่ยถึงในจดหมายโต้ตอบอันมากมายกับเขา พ่อกับน้อง ... Lodovico Buonarroti ไม่ใช่คนร่ำรวย และรายได้จากที่ดินเล็กๆ ของเขาในหมู่บ้านนั้นแทบจะไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูเด็กจำนวนมากได้ ในเรื่องนี้เขาถูกบังคับให้มอบ Michelangelo ให้กับพยาบาลซึ่งเป็นภรรยาของ "scarpellino" จากหมู่บ้านเดียวกันที่เรียกว่า Settignano ที่นั่น ซึ่งได้รับการเลี้ยงดูโดยคู่สามีภรรยาโทโปลิโน เด็กชายเรียนรู้ที่จะนวดดินและใช้สิ่วก่อนอ่านและเขียน ไม่ว่าในกรณีใด Michelangelo เองก็พูดกับเพื่อนและผู้เขียนชีวประวัติ Giorgio Vasari:

“ถ้าพรสวรรค์ของฉันมีอะไรดีๆ ล่ะก็ เป็นเพราะว่าฉันเกิดในอากาศบางๆ ของดินแดนอาเรติเนียของคุณ ฟันและค้อนที่ใช้ทำรูปปั้น ฉันก็ดูดนมจากนมของพยาบาล”

"เคานต์แห่งคานอสกี้"
(วาดโดยไมเคิลแองเจโล)

มีเกลันเจโลเป็นลูกชายคนที่สองของโลโดวิโก Fritz Erpeli ให้ปีเกิดของพี่น้อง Lionardo (อิตาลี Lionardo) - 1473, Buonarroto (อิตาลี Buonarroto) - 1477, Giovansimone (อิตาลี Giovansimone) - 1479 และ Gismondo (Italian Gismondo) - 1481 ในปีเดียวกันแม่ของเขาเสียชีวิต และในปี 1485 สี่ปีหลังจากที่เธอเสียชีวิต โลโดวิโกแต่งงานครั้งที่สอง Lucrezia Ubaldini กลายเป็นแม่เลี้ยงของ Michelangelo ไม่นานมีเกลันเจโลถูกส่งไปยังโรงเรียนของ Francesco Galatea da Urbino (อิตาลี: Francesco Galatea da Urbino) ในเมืองฟลอเรนซ์ ที่ซึ่งชายหนุ่มไม่มีความโน้มเอียงเป็นพิเศษที่จะศึกษาและชอบที่จะสื่อสารกับศิลปินและวาดไอคอนของโบสถ์และจิตรกรรมฝาผนังใหม่

ความเยาว์. ผลงานชิ้นแรก

ในปี ค.ศ. 1488 พ่อลาออกจากความโน้มเอียงของลูกชายและวางเขาเป็นเด็กฝึกงานในสตูดิโอของศิลปิน Domenico Ghirlandaio ที่นี่ Michelangelo มีโอกาสทำความคุ้นเคยกับวัสดุและเทคนิคพื้นฐาน สำเนาดินสอของเขาของผลงานของศิลปินชาวฟลอเรนซ์เช่น Giotto และ Masaccio อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันแล้วในสำเนาเหล่านี้วิสัยทัศน์ประติมากรรมของรูปแบบที่มีลักษณะเฉพาะของ Michelangelo ปรากฏขึ้น ภาพวาดของเขา "The Torment of St. Anthony" (สำเนาภาพแกะสลักโดย Martin Schongauer) มีขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน

เขาเรียนที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปี หนึ่งปีต่อมา มีเกลันเจโลย้ายไปเรียนที่โรงเรียนของประติมากร Bertoldo di Giovanni ซึ่งอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของ Lorenzo de Medici เจ้าของที่แท้จริงของฟลอเรนซ์ เมดิชิตระหนักถึงพรสวรรค์ของมีเกลันเจโลและอุปถัมภ์เขา ตั้งแต่ประมาณปี 1490 ถึง 1492 มีเกลันเจโลอยู่ที่ศาลเมดิชิ ที่นี่เขาได้พบกับนักปรัชญาของ Platonic Academy (Marsilio Ficino, Angelo Poliziano, Pico della Mirandola และคนอื่น ๆ ) เขายังเป็นเพื่อนกับ Giovanni (ลูกชายคนที่สองของ Lorenzo, อนาคตของ Pope Leo X) และ Giulio Medici (ลูกนอกกฎหมายของ Giuliano Medici, อนาคตของ Pope Clement VII) บางทีในเวลานี้ถูกสร้างขึ้น " มาดอนน่าที่บันได" และ " การต่อสู้ของเซนทอร์". เป็นที่ทราบกันว่าในเวลานี้ Pietro Torrigiano ซึ่งเป็นนักเรียนของ Bertoldo ซึ่งทะเลาะกับ Michelangelo ด้วยการกระแทกใบหน้าทำให้จมูกของผู้ชายหัก หลังจากการตายของเมดิชิในปี 1492 มีเกลันเจโลกลับบ้าน

ในปี ค.ศ. 1494-1495 มีเกลันเจโลอาศัยอยู่ที่เมืองโบโลญญา สร้างสรรค์งานประติมากรรมสำหรับประตูชัยเซนต์ดอมินิก ในปี ค.ศ. 1495 เขากลับมาที่ฟลอเรนซ์ซึ่งนักเทศน์ชาวโดมินิกัน Girolamo Savonarola ปกครองและสร้างประติมากรรม " เซนต์โยฮันเนส" และ " กามเทพหลับ". ในปี 1496 พระคาร์ดินัลราฟาเอล ริอาริโอ ซื้อคิวปิดหินอ่อนของไมเคิลแองเจโล และเชิญศิลปินมาทำงานในกรุงโรม ซึ่งไมเคิลแองเจโลมาถึงในวันที่ 25 มิถุนายน ในปี ค.ศ. 1496-1501 ทรงสร้าง “ แบคคัส" และ " โรมัน ปิเอตา».

ในปี ค.ศ. 1501 มีเกลันเจโลกลับมายังเมืองฟลอเรนซ์ ทำงานตามคำขอ: ประติมากรรมสำหรับ " แท่นบูชาของ Piccolomini" และ " เดวิด". ในปี ค.ศ. 1503 งานเสร็จสมบูรณ์ตามคำสั่ง: “ อัครสาวกสิบสองคน",จุดเริ่มต้นการทำงานบน" นักบุญแมทธิว“สำหรับมหาวิหารฟลอเรนซ์ ราวปีค.ศ. 1503-1505 การสร้าง " มาดอนน่า โดนี่», « มาดอนน่า ทัดเด้», « มาดอนน่า ปิตตี" และ " บรูจส์ มาดอนน่า". ในปี 1504 ทำงานใน " เดวิด"; ไมเคิลแองเจโลได้รับคำสั่งให้สร้าง “ การต่อสู้ของ Kashin».

ในปี ค.ศ. 1505 ประติมากรถูกเรียกโดยสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ไปยังกรุงโรม เขาสั่งหลุมฝังศพสำหรับเขา การเข้าพักแปดเดือนใน Carrara ตามมาด้วยการเลือกหินอ่อนที่จำเป็นสำหรับการทำงาน ในปี ค.ศ. 1505-1545 งานได้ดำเนินการ (ด้วยการหยุดชะงัก) บนหลุมฝังศพซึ่งมีการสร้างประติมากรรม " โมเสส», « ทาสที่ถูกมัด», « ทาสที่กำลังจะตาย», « ลีอาห์».

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1506 - กลับไปที่ฟลอเรนซ์อีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนตามด้วยการคืนดีกับจูเลียสที่ 2 ในเมืองโบโลญญา Michelangelo ได้รับคำสั่งให้สร้างรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของ Julius II ซึ่งเขาทำงานในปี 1507 (ถูกทำลายในภายหลัง)

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1508 มีเกลันเจโลกลับมายังฟลอเรนซ์อีกครั้ง ในเดือนพฤษภาคม ตามคำร้องขอของ Julius II เขาเดินทางไปยังกรุงโรมเพื่อทาสีจิตรกรรมฝาผนังบนเพดานในโบสถ์น้อยซิสทีน เขาทำงานกับพวกเขาจนถึงตุลาคม 1512

Julius II เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1513 Giovanni Medici กลายเป็น Pope Leo J. Michelangelo เซ็นสัญญาฉบับใหม่เพื่อทำงานในหลุมฝังศพของ Julius II ในปี ค.ศ. 1514 ประติมากรได้รับคำสั่งให้ " พระคริสต์กับไม้กางเขน"และพระอุโบสถของพระสันตปาปาลีโอที่ X ในเอนเกลส์เบิร์ก

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1514 มีเกลันเจโลกลับมายังฟลอเรนซ์อีกครั้ง เขาได้รับคำสั่งให้สร้างส่วนหน้าของโบสถ์เมดิชิแห่งซานลอเรนโซในฟลอเรนซ์ และเขาเซ็นสัญญาฉบับที่สามเพื่อสร้างหลุมฝังศพของจูเลียสที่ 2

ในปี ค.ศ. 1516-1519 มีการเดินทางหลายต่อหลายครั้งเพื่อสร้างหินอ่อนสำหรับด้านหน้าของซานลอเรนโซไปยังคาร์ราราและปิเอตราซานตา

ในปี ค.ศ. 1520-1534 ประติมากรทำงานเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมและประติมากรรมที่ซับซ้อนของโบสถ์ Medici ในเมืองฟลอเรนซ์ ตลอดจนออกแบบและสร้างห้องสมุด Laurencin

ในปี ค.ศ. 1546 คำสั่งทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาได้รับมอบหมายให้เป็นศิลปิน สำหรับสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 3 พระองค์ทรงสร้าง Palazzo Farnese (ชั้นสามของส่วนหน้าลานบ้านและชายคา) และออกแบบการตกแต่งใหม่ของ Capitol ให้กับพระองค์ ซึ่งเป็นรูปแบบวัสดุที่ยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน แต่ไม่ต้องสงสัย คำสั่งที่สำคัญที่สุดที่ขัดขวางไม่ให้เขากลับไปยังเมืองฟลอเรนซ์ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาจนกว่าเขาจะเสียชีวิต เป็นเพราะมีเกลันเจโลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสถาปนิกของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ไมเคิลแองเจโลเชื่อมั่นในความไว้วางใจในตัวเขาและศรัทธาในตัวเขาในส่วนของสมเด็จพระสันตะปาปา เพื่อแสดงเจตจำนงที่ดีของเขา หวังว่าพระราชกฤษฎีกาประกาศว่าเขารับใช้ในการสร้างด้วยความรักต่อพระเจ้าและไม่มีรางวัลใด ๆ

ความตายและการฝังศพ

ไม่กี่วันก่อนการเสียชีวิตของ Michelangelo หลานชายของเขา Leonardo มาถึงกรุงโรมซึ่งเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ตามคำร้องขอของ Michelangelo เขาได้เขียนจดหมายถึง Federico Donati

มีเกลันเจโลถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 ที่กรุงโรม โดยไม่ได้มีชีวิตอยู่เลยสักนิดก่อนวันเกิดปีที่ 89 ของเขา ทอมมาโซ คาวาเลียรี, ดานิเอเล ดา โวลแตร์รา, ดิโอเมเด้ ลีโอเน่, แพทย์เฟเดริโก โดนาติ และเจอราร์โด ฟิเดลิสซิมีเห็นการตายของเขา และคนใช้ อันโตนิโอ ฟรานเซเซ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาได้กำหนดเจตจำนงด้วยการพูดน้อย: "ฉันมอบจิตวิญญาณของฉันให้กับพระเจ้า ร่างกายของฉันเพื่อแผ่นดิน ทรัพย์สินของฉันเพื่อญาติของฉัน"

สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 4 กำลังจะฝังไมเคิลแองเจโลในกรุงโรม โดยสร้างสุสานให้เขาในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 ร่างของมีเกลันเจโลถูกนำไปวางไว้ที่มหาวิหารซานติ อะพอสโทลีชั่วคราว

ในต้นเดือนมีนาคม ร่างของประติมากรถูกลักลอบส่งไปยังเมืองฟลอเรนซ์ และถูกฝังอย่างเคร่งขรึมในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1564 ในโบสถ์ฟรานซิสกันแห่งซานตาโครเช ใกล้หลุมฝังศพของมาเคียเวลลี

งานศิลปะ

อัจฉริยภาพของมีเกลันเจโลได้ทิ้งรอยประทับไว้ไม่เพียงแค่ศิลปะของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัฒนธรรมโลกต่อไปด้วย กิจกรรมส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสองเมืองในอิตาลี - ฟลอเรนซ์และโรม โดยธรรมชาติของความสามารถของเขา เขาเป็นประติมากรเป็นหลัก สิ่งนี้ยังสัมผัสได้ในภาพวาดของปรมาจารย์ ซึ่งเต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดา ท่าทางที่ซับซ้อน การแกะสลักปริมาณที่ชัดเจนและทรงพลัง ในฟลอเรนซ์ Michelangelo ได้สร้างตัวอย่างอมตะของ High Renaissance - รูปปั้น "David" (1501-1504) ซึ่งเป็นเวลาหลายศตวรรษกลายเป็นมาตรฐานสำหรับการวาดภาพร่างกายมนุษย์ในกรุงโรม - องค์ประกอบประติมากรรม "Pietà" (1498-1499) ) หนึ่งในร่างแรกของร่างคนตายในพลาสติก อย่างไรก็ตาม ศิลปินสามารถตระหนักถึงความคิดที่ทะเยอทะยานที่สุดของเขาได้อย่างแม่นยำในการวาดภาพ ซึ่งเขาทำหน้าที่เป็นผู้ริเริ่มด้านสีและรูปแบบอย่างแท้จริง

ตามคำสั่งของสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 พระองค์ทรงทาสีเพดานโบสถ์น้อยซิสทีน (1508-1512) ซึ่งเป็นตัวแทนของเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิลตั้งแต่การสร้างโลกจนถึงอุทกภัยและรวมถึงตัวเลขมากกว่า 300 ตัว ในปี ค.ศ. 1534-1541 ในโบสถ์น้อยซิสทีนเดียวกันสำหรับสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 3 เขาได้แสดงภาพอันโอ่อ่าตระการตา เต็มไปด้วยภาพเฟรสโก "การพิพากษาครั้งสุดท้าย" งานสถาปัตยกรรมของ Michelangelo โดดเด่นด้วยความงามและความยิ่งใหญ่ - ทั้งกลุ่มของ Capitol Square และโดมของมหาวิหารวาติกันในกรุงโรม

ศิลปะได้บรรลุถึงความสมบูรณ์แบบในนั้น ซึ่งไม่สามารถพบได้ในสมัยโบราณหรือในหมู่ผู้คนใหม่ๆ เป็นเวลาหลายปี เขามีจินตนาการที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้และสิ่งที่ดูเหมือนกับเขาในความคิดนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำตามแผนที่ยอดเยี่ยมและน่าทึ่งด้วยมือของเขาและเขามักจะละทิ้งการสร้างสรรค์ของเขา นอกจากนี้ เขายังทำลายหลายอย่าง เป็นที่ทราบกันดีว่าไม่นานก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเขาได้เผาภาพวาด ภาพสเก็ตช์ และกระดาษแข็งจำนวนมากซึ่งสร้างขึ้นด้วยมือของเขาเองเพื่อไม่ให้ใครได้เห็นผลงานที่เขาเอาชนะและวิธีที่เขาทดสอบอัจฉริยะของเขา เพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าสมบูรณ์แบบเท่านั้น

จอร์โจ้ วาซารี. "ชีวประวัติของจิตรกร ประติมากร และสถาปนิกที่มีชื่อเสียงที่สุด" ที.วี.เอ็ม., 1971.

ผลงานเด่น

• มาดอนน่าที่บันไดหินอ่อน. ตกลง. 1491. ฟลอเรนซ์ พิพิธภัณฑ์ Buonarroti
• การต่อสู้ของเซนทอร์หินอ่อน. ตกลง. 1492. ฟลอเรนซ์ พิพิธภัณฑ์ Buonarroti
• เพียต้า.หินอ่อน. 1498-1499. วาติกัน มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์
• มาดอนน่าและลูก.หินอ่อน. ตกลง. 1501. เมืองบรูจส์ โบสถ์นอเทรอดาม
• เดวิด.หินอ่อน. 1501-1504. ฟลอเรนซ์ สถาบันวิจิตรศิลป์
• มาดอนน่า ทัดเดหินอ่อน. ตกลง. 1502-1504. ลอนดอน ราชบัณฑิตยสถานแห่งศิลปะ
• มาดอนน่า โดนี่. 1503-1504. ฟลอเรนซ์, หอศิลป์ Uffizi
• มาดอนน่า ปิตตี.ตกลง. 1504-1505. ฟลอเรนซ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บาร์เกลโล
• อัครสาวกแมทธิว.หินอ่อน. 1506. ฟลอเรนซ์ สถาบันวิจิตรศิลป์.
• ภาพวาดห้องนิรภัยของโบสถ์น้อยซิสทีน 1508-1512. วาติกัน.
  • การสร้างอาดัม
• ทาสที่กำลังจะตายหินอ่อน. ตกลง. 1513. ปารีส, พิพิธภัณฑ์ลูฟร์.
• โมเสส.ตกลง. ค.ศ. 1515 โรม โบสถ์ซานปิเอโตรในวินโคลี
• แอตแลนท์.หินอ่อน. ระหว่างปี ค.ศ. 1519 โดยประมาณ 1530-1534. ฟลอเรนซ์ สถาบันวิจิตรศิลป์
• โบสถ์เมดิชิ 1520-1534.
• มาดอนน่า.ฟลอเรนซ์ โบสถ์เมดิชิ หินอ่อน. 1521-1534.
• ห้องสมุดลอเรนเชียน. 1524-1534, 1549-1559. ฟลอเรนซ์.
• หลุมฝังศพของ Duke Lorenzoโบสถ์เมดิชิ 1524-1531. ฟลอเรนซ์ มหาวิหารซานลอเรนโซ
• หลุมฝังศพของ Duke Giulianoโบสถ์เมดิชิ 1526-1533. ฟลอเรนซ์ มหาวิหารซานลอเรนโซ
• เด็กชายยู่ยี่หินอ่อน. 1530-1534. รัสเซีย, เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, อาศรมแห่งรัฐ
• บรูตัสหินอ่อน. หลังปี ค.ศ. 1539 ฟลอเรนซ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบาร์เกลโล
• คำพิพากษาครั้งสุดท้าย.โบสถ์น้อยซิสทีน 1535-1541. วาติกัน.
• หลุมฝังศพของ Julius II 1542-1545. โรม โบสถ์ซานปิเอโตรในวินโคลี
• Pieta (ฝังศพ) ของวิหาร Santa Maria del Fioreหินอ่อน. ตกลง. 1547-1555. ฟลอเรนซ์ พิพิธภัณฑ์โอเปร่า เดล ดูโอโม

ในปี 2550 ผลงานชิ้นสุดท้ายของมีเกลันเจโลถูกพบในหอจดหมายเหตุของวาติกัน ซึ่งเป็นภาพร่างหนึ่งในรายละเอียดเกี่ยวกับโดมของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ภาพวาดชอล์กสีแดงคือ "รายละเอียดของหนึ่งในคอลัมน์รัศมีที่ประกอบเป็นกลองของโดมของเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรม" เชื่อกันว่านี่เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของศิลปินที่มีชื่อเสียงซึ่งสร้างเสร็จไม่นานก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1564

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการค้นพบผลงานของ Michelangelo ในหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ ดังนั้นในปี 2545 ในห้องเก็บของของพิพิธภัณฑ์การออกแบบแห่งชาติในนิวยอร์กท่ามกลางผลงานของนักเขียนยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่ไม่รู้จักพบภาพวาดอื่น: บนกระดาษขนาด 45 × 25 ซม. ศิลปินวาดภาพเล่ม - เชิงเทียนสำหรับเจ็ดเทียน เมื่อต้นปี 2558 ไมเคิลแองเจโลได้ค้นพบรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ชิ้นแรกและอาจเป็นเพียงชิ้นเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของนักขี่ม้าสองคนบนเสือดำ

ความคิดสร้างสรรค์บทกวี

กวีนิพนธ์ของมีเกลันเจโลถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่เฉียบแหลมที่สุดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา บทกวีประมาณ 300 บทโดย Michelangelo รอดชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ ประเด็นหลักคือการยกย่องมนุษย์ ความขมขื่นของความผิดหวัง และความเหงาของศิลปิน รูปแบบบทกวีที่ชื่นชอบคือมาดริกาลและโคลง ตามคำกล่าวของ R. Rolland ไมเคิลแองเจโลเริ่มเขียนบทกวีตั้งแต่ยังเป็นเด็ก อย่างไรก็ตาม มีไม่มากนักเนื่องจากในปี ค.ศ. 1518 เขาได้เผาบทกวียุคแรก ๆ ส่วนใหญ่ของเขาและทำลายอีกในภายหลังก่อนที่เขาจะเสียชีวิต

บทกวีบางบทของเขาได้รับการตีพิมพ์ในผลงานของ Benedetto Varchi (Italian Benedetto Varchi), Donato Giannotto (Italian Donato Giannotti), Giorgio Vasari และคนอื่นๆ Luigi Ricci และ Giannotto ขอให้เขาเลือกบทกวีที่ดีที่สุดสำหรับการตีพิมพ์ ในปี ค.ศ. 1545 จิอันนอตโตได้จัดเตรียมคอลเล็กชั่นชุดแรกของไมเคิลแองเจโลขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ ก็ไม่ได้ดำเนินต่อไป - ลุยจิเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1546 และวิตตอเรียเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1547 ไมเคิลแองเจโลตัดสินใจละทิ้งแนวคิดนี้โดยพิจารณาว่าไร้สาระ

Vittoria และ Michelangelo ที่ "โมเสส", ภาพวาดของศตวรรษที่ XIX

ดังนั้นในช่วงชีวิตของเขา คอลเล็กชั่นบทกวีของเขาจึงไม่ได้รับการตีพิมพ์ และคอลเล็กชั่นแรกได้รับการตีพิมพ์ในปี 1623 โดยหลานชายของเขา Michelangelo Buonarroti (รุ่นน้อง) ภายใต้ชื่อ "บทกวีของ Michelangelo รวบรวมโดยหลานชายของเขา" ในสำนักพิมพ์ฟลอเรนซ์ “Giuntine” (อิตาลี. Giuntine). ฉบับนี้ไม่ครบถ้วนและมีความไม่ถูกต้องบางประการ ในปี ค.ศ. 1863 Cesare Guasti (อิตาลี: Chesare Guasti ได้ตีพิมพ์บทกวีของศิลปินฉบับที่ถูกต้องเป็นครั้งแรกซึ่งไม่ได้เรียงตามลำดับเวลา ในปี 1897 นักวิจารณ์ศิลปะชาวเยอรมัน Karl Frey) ได้ตีพิมพ์บทกวีของ Michelangelo รวบรวมและแสดงความคิดเห็นโดย Dr. Karl Frey "(เบอร์ลิน) ฉบับของ Enzo Noe Girardi (Bari, 1960) ภาษาอิตาลี Enzo Noe Girardi) ประกอบด้วยสามส่วนและสมบูรณ์แบบกว่ารุ่นของ Frey ในความถูกต้องของการทำสำเนาข้อความและโดดเด่นด้วย ลำดับเหตุการณ์ที่ดีกว่าของการจัดเรียงโองการแม้ว่าจะไม่อาจปฏิเสธได้ทั้งหมด

การศึกษากวีนิพนธ์ของมีเกลันเจโลโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือนักเขียนชาวเยอรมันชื่อวิลเฮล์ม แลง ซึ่งปกป้องวิทยานิพนธ์ของเขาในหัวข้อนี้ ซึ่งตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2404

ใช้ในเพลง

แม้ในช่วงชีวิตของเขา บทกวีบางบทก็ถูกจัดเป็นเพลง ในบรรดานักประพันธ์เพลงร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Michelangelo ได้แก่ Jacob Arcadelt ("Deh dimm" Amor se l "alma" และ "Io dico che fra voi"), Bartolomeo Tromboncino, Constanta Festa (เพลงมาดริกาลที่หายไปจากบทกวีของ Michelangelo), Jean โดยที่ ข้อเสีย (เช่น - สภา)

นอกจากนี้ผู้แต่งเช่น Richard Strauss (วงจรของห้าเพลง - ครั้งแรกกับคำพูดของ Michelangelo ส่วนที่เหลือ - โดย Adolph von Schack, 1886), Hugo Wolf (วงจรเสียง "เพลงของ Michelangelo" 2440) และ Benjamin Britten (วงจร ของเพลง " Seven Sonnets ของ Michelangelo, 1940)

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 Dmitry Shostakovich ได้เขียนชุดสำหรับเบสและเปียโน (บทประพันธ์ 145) ชุดนี้มีพื้นฐานมาจากบทกวีแปดบทและบทกวีสามบทโดยศิลปิน (แปลโดย Abram Efros)

ในปี พ.ศ. 2549 เซอร์ปีเตอร์ แมกซ์เวลล์ เดวีส์ เสร็จสิ้นงาน Tondo di Michelangelo (สำหรับเสียงบาริโทนและเปียโน) งานนี้รวมถึงบทกวีของ Michelangelo แปดตัว รอบปฐมทัศน์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550

ในปี 2010 นักแต่งเพลงชาวออสเตรีย Matthew Dewey ได้เขียนเพลง Il tempo passa: music to Michelangelo (สำหรับเสียงบาริโทน วิโอลา และเปียโน) ใช้การแปลบทกวีของ Michelangelo เป็นภาษาอังกฤษสมัยใหม่ งานรอบปฐมทัศน์โลกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2011

รูปร่าง

มีภาพเหมือนของไมเคิลแองเจโลหลายรูป ในหมู่พวกเขา - Sebastiano del Piombo (ค.ศ. 1520), Giuliano Bugiardini, Jacopino del Conte (1544-1545, Uffizi Gallery), Marcello Venusti (พิพิธภัณฑ์ใน Capitol), Francisco d "Olanda (1538-1539), Giulio Bonason (1546) ) และอื่น ๆ .. ภาพของเขายังอยู่ในชีวประวัติของ Condiv ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1553 และในปี ค.ศ. 1561 Leone Leoni ได้สร้างเหรียญที่มีภาพลักษณ์ของเขา

Romain Rolland อธิบายถึงลักษณะที่ปรากฏของ Michelangelo ได้เลือกภาพเหมือนของ Conte และ d "Hollande เป็นพื้นฐาน:

หน้าอกของ Michelangelo
(ดานิเอเล ดา โวลแตร์รา, 1564)

“Michelangelo มีความสูงปานกลาง ไหล่กว้างและมีกล้ามเนื้อ (...) หัวของเขากลม หน้าผากของเขาเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีรอยย่น มีส่วนโค้งที่เด่นชัดมาก ผมสีดำค่อนข้างบาง หยักศกเล็กน้อย ตาเล็กสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งเปลี่ยนสีตลอดเวลา มีจุดสีเหลืองและสีน้ำเงิน (...) จมูกกว้างตรงมีโคกเล็กน้อย (...) ริมฝีปากบางเฉียบ ริมฝีปากล่างยื่นออกมาเล็กน้อย จอนผมบางและเคราบาง ๆ ของฟอน (...) ใบหน้าสูงแก้มกับแก้มยุบ "

คุณคงรู้ว่าใครคือ Michelangelo Buonarroti ผลงานของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เราจะบอกคุณเกี่ยวกับสิ่งที่ดีที่สุดที่ Michelangelo สร้างขึ้น ภาพวาดที่มีชื่อจะทำให้คุณประหลาดใจ แต่ประติมากรรมที่ทรงพลังที่สุดของเขาเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การศึกษาผลงานของเขา

จิตรกรรมฝาผนังอีกชิ้นหนึ่งโดย Michelangelo ซึ่งตั้งอยู่ในโบสถ์น้อยซิสทีนในวาติกัน ผ่านไปแล้ว 25 ปีนับตั้งแต่การทาสีเพดานเสร็จสิ้น ไมเคิลแองเจโลกลับมารับงานใหม่

ใน The Last Judgement มีไมเคิลแองเจโลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในขั้นต้น ตัวละครของเขาเปลือยเปล่าและผ่านการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่รู้จบ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมอบภาพเพเกินให้กับศิลปินของสมเด็จพระสันตะปาปาให้แตกแยก พวกเขา "แต่งตัว" ตัวละครและทำสิ่งนี้แม้หลังจากการตายของอัจฉริยะ

รูปปั้นนี้ปรากฏตัวครั้งแรกต่อหน้าสาธารณชนในปี ค.ศ. 1504 ที่ Piazza della Signoria ในเมืองฟลอเรนซ์ ไมเคิลแองเจโลเพิ่งสร้างรูปปั้นหินอ่อนเสร็จ เธอออกมาในระยะ 5 เมตรและยังคงเป็นสัญลักษณ์ของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตลอดไป

เดวิดจะต่อสู้กับโกลิอัท สิ่งนี้ไม่ธรรมดา เพราะก่อนหน้ามีเกลันเจโล ทุกคนวาดภาพเดวิดในช่วงเวลาแห่งชัยชนะหลังจากเอาชนะยักษ์ที่ครอบงำได้ และนี่คือการต่อสู้ที่อยู่ข้างหน้าและยังไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร

The Creation of Adam เป็นภาพเฟรสโกและเป็นองค์ประกอบหลักที่สี่บนเพดานของโบสถ์น้อยซิสทีน มีทั้งหมดเก้าเรื่องและพวกเขาทั้งหมดทุ่มเทให้กับเรื่องในพระคัมภีร์ไบเบิล ปูนเปียกนี้เป็นแบบอย่างของการสร้างมนุษย์โดยพระเจ้าตามพระฉายาและความคล้ายคลึงของเขาเอง

ภาพเฟรสโกน่าทึ่งมากที่การคาดเดาและพยายามพิสูจน์ทฤษฎีนี้หรือทฤษฎีนั้นเพื่อเปิดเผยความหมายของชีวิตยังคงลอยอยู่รอบตัว มีเกลันเจโลแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าเป็นแรงบันดาลใจให้อดัม นั่นคือ หลอมรวมจิตวิญญาณของเขาเข้าไปในตัวเขา ความจริงที่ว่านิ้วของพระเจ้าและอาดัมไม่สามารถสัมผัสกันได้บ่งชี้ถึงความเป็นไปไม่ได้ของวัสดุที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณอย่างสมบูรณ์

Michelangelo Buonarroti ไม่เคยเซ็นชื่อประติมากรรมของเขา แต่เขาเซ็น เชื่อกันว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากผู้ดูสองคนโต้เถียงกันเรื่องผลงาน อาจารย์อายุ 24 ปี

รูปปั้นได้รับความเสียหายในปี 1972 เมื่อถูกโจมตีโดยนักธรณีวิทยา Laszlo Toth ถือค้อนหินตะโกนว่าเขาคือพระคริสต์ หลังจากเหตุการณ์นี้ "ปิเอต้า" ถูกวางไว้หลังกระจกกันกระสุน

รูปปั้นหินอ่อน "โมเสส" สูง 235 ซม. ตั้งอยู่ในมหาวิหารโรมันของหลุมฝังศพของสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 Michelangelo ทำงานกับมันเป็นเวลา 2 ปี ร่างด้านข้าง - ราเชลและลีอาห์ - เป็นผลงานของนักเรียนของไมเคิลแองเจโล

หลายคนมีคำถาม - ทำไมโมเสสถึงมีเขา? นี่เป็นเพราะการตีความพระธรรมอพยพของ Vulgate อย่างผิด ๆ ซึ่งเป็นหนังสือในพระคัมภีร์ไบเบิล คำว่า "เขา" ในการแปลจากภาษาฮีบรูอาจหมายถึง "รังสี" ซึ่งสะท้อนถึงแก่นแท้ของตำนานได้ถูกต้องกว่า - เป็นเรื่องยากสำหรับชาวอิสราเอลที่จะมองเข้าไปในใบหน้าของเขา เพราะมันฉายแสง

การตรึงกางเขนของนักบุญเปโตรเป็นภาพเฟรสโกในโบสถ์เปาลินา (นครวาติกัน) หนึ่งในผลงานชิ้นสุดท้ายของอาจารย์ซึ่งเขาทำเสร็จตามคำสั่งของสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 3 หลังจากงานปูนเปียกเสร็จสิ้น ไมเคิลแองเจโลไม่เคยกลับไปวาดภาพและมุ่งความสนใจไปที่สถาปัตยกรรมอีกเลย

Tondo "Madonna Doni" เป็นขาตั้งสำเร็จรูปเพียงชิ้นเดียวที่รอดชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน

นี่เป็นงานที่ทำก่อนที่อาจารย์จะยกโบสถ์น้อยซิสทีนขึ้น มีเกลันเจโลเชื่อว่าภาพวาดถือได้ว่ามีค่าที่สุดก็ต่อเมื่อมีความคล้ายคลึงในอุดมคติกับงานประติมากรรมเท่านั้น

งานขาตั้งนี้ถือเป็นผลงานของ Michelangelo ตั้งแต่ปี 2008 เท่านั้น ก่อนหน้านั้น เป็นเพียงผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นหนึ่งจากเวิร์กช็อปของโดเมนิโก เกอร์ลันไดโอ มีเกลันเจโลศึกษาในเวิร์กชอปนี้ แต่แทบจะไม่มีใครเชื่อเลยว่านี่เป็นผลงานของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ เพราะตอนนั้นเขาอายุไม่เกิน 13 ปี

หลังจากตรวจสอบหลักฐานอย่างละเอียดถี่ถ้วน ข้อมูลของ Vasari การประเมินลายมือและรูปแบบแล้ว The Torment of St. Anthony ได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานของ Michelangelo ถ้าใช่ ผลงานชิ้นนี้ถือเป็นงานศิลปะที่แพงที่สุดที่เด็กเคยสร้างมา ค่าใช้จ่ายโดยประมาณคือมากกว่า 6 ล้านเหรียญ

ประติมากรรมโดยลอเรนโซ เมดิชิ (1526 - 1534)

รูปปั้นหินอ่อนซึ่งเป็นรูปปั้นของลอเรนโซ เมดิชิ ดยุคแห่งเออร์บิโน ใช้เวลาหลายปีในการสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1526 ถึงปี ค.ศ. 1534 ตั้งอยู่ในโบสถ์ Medici ประดับประดาองค์ประกอบหลุมฝังศพ Medici

ประติมากรรมของ Lorenzo II Medici ไม่ใช่ภาพเหมือนของบุคคลในประวัติศาสตร์ที่แท้จริง มีเกลันเจโลสร้างภาพแห่งความยิ่งใหญ่ในอุดมคติ โดยแสดงภาพลอเรนโซในความคิด

บรูตัส (1537 - 1538)

รูปปั้นครึ่งตัวของบรูตัสเป็นงานที่ยังไม่เสร็จของมิเคลันเจโล ซึ่งได้รับมอบหมายจากโดนาโต เจียนอตติ ซึ่งเป็นพรรครีพับลิกันอย่างแข็งขัน โดยเชื่อว่าบรูตัสเป็นนักสู้ทรราชที่แท้จริง สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับฉากหลังของการฟื้นฟูการปกครองแบบเผด็จการของชาวฟลอเรนซ์ของเมดิชิ

Michelangelo ถูกบังคับให้หยุดทำงานเนื่องจากอารมณ์ใหม่ในสังคม ประติมากรรมยังคงรักษาไว้เพียงเพราะคุณค่าทางศิลปะเท่านั้น

นั่นคือทั้งหมดที่เกี่ยวกับ Michelangelo Buonarroti ผลงานของอาจารย์ไม่ได้แสดงอยู่ที่นี่ทั้งหมด ซึ่งเป็นเพียงโบสถ์น้อยซิสทีน แต่ภาพเขียนที่มีชื่อจะไม่บอกคุณเกี่ยวกับประติมากรผู้ยิ่งใหญ่ในแบบที่รูปปั้นหินอ่อนของเขาทำ อย่างไรก็ตาม งานใดๆ ของ Michelangelo ก็สมควรได้รับความสนใจ แบ่งปันสิ่งที่คุณชอบมากที่สุด