สปาตาคัส(lat. Spartacus, Greek Σπάρτακος; เสียชีวิตในเดือนเมษายน 71 ปีก่อนคริสตกาลบนแม่น้ำ Silari, Apulia) - ผู้นำของการจลาจลของทาสและนักสู้ในอิตาลีใน 73-71 ปีก่อนคริสตกาล อี เขาเป็นชาวธราเซียน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ชัดเจน เขากลายเป็นทาส และต่อมาเป็นนักสู้ ใน 73 ปีก่อนคริสตกาล อี ร่วมกับผู้สนับสนุน 70 คน เขาหนีจากโรงเรียนกลาดิเอเตอร์ในคาปัว ลี้ภัยที่วิสุเวียส และเอาชนะกองกำลังที่ส่งมาโจมตีเขา ในอนาคต เขาสามารถสร้างกองทัพทาสที่เข้มแข็งและค่อนข้างมีระเบียบวินัยและชาวอิตาลีที่ยากจน และสร้างความพ่ายแพ้ให้กับชาวโรมันหลายครั้ง ใน 72 ปีก่อนคริสตกาล อี เขาเอาชนะกงสุลทั้งสองกองทัพของเขาเติบโตขึ้นตามแหล่งต่าง ๆ ถึง 70 หรือ 120,000 คน ด้วยการสู้รบ สปาร์ตักไปถึงพรมแดนทางเหนือของอิตาลี เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะข้ามเทือกเขาแอลป์ แต่แล้วก็หันหลังกลับ

วุฒิสภาโรมันแต่งตั้ง Mark Licinius Crassus เป็นผู้บัญชาการในสงคราม ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ของกองทัพรัฐบาลได้ Spartacus ถอยกลับไป Bruttium จากที่ซึ่งเขาวางแผนที่จะข้ามไปยังซิซิลี แต่ไม่สามารถข้ามช่องแคบเมสซีนาได้ Crassus ตัดขาดจากส่วนอื่น ๆ ของอิตาลีด้วยคูน้ำและป้อมปราการ พวกกบฏสามารถทะลุทะลวงและชนะการต่อสู้อีกครั้ง ในที่สุด ในเดือนเมษายน 71 ปีก่อนคริสตกาล e. เมื่อทรัพยากรหมดลง และกองทัพโรมันอีกสองกองทัพก็ปรากฏตัวขึ้นในอิตาลี สปาตาคัสเข้าสู่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายบนแม่น้ำสิลาร์ เขาเสียชีวิตในสนามรบ พวกกบฏถูกฆ่าตาย

บุคลิกของสปาร์ตาคัสได้รับความนิยมอย่างมากตั้งแต่ศตวรรษที่ 19: ผู้นำการจลาจลเป็นตัวเอกของหนังสือที่มีชื่อเสียง ภาพยนตร์สารคดี และผลงานศิลปะอื่นๆ คาร์ล มาร์กซ์ประเมินสปาตาคัสอย่างสูง และต่อมาการประเมินนี้ก็แพร่หลายในประวัติลัทธิมาร์กซ์ สปาตาคัสกลายเป็นสัญลักษณ์ของขบวนการคอมมิวนิสต์ นักวิจัยหลายคนสังเกตเห็นความเชื่อมโยงของการจลาจลกับทั้งการต่อสู้กันเองเพื่อต่อต้านการเป็นทาสและสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในกรุงโรมในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช อี

ก่อนเกิดการจลาจล

ชีวิตของ Spartacus จนถึงช่วงเวลาที่เขาเป็นผู้นำการจลาจลในอิตาลี ข้อมูลที่หายากอย่างยิ่งได้รับการเก็บรักษาไว้ซึ่งน่าจะกลับไปที่ Sallust และ Titus Livius แหล่งข่าวทั้งหมดเรียกสปาตาคัสว่าชาวธราเซียน ชื่อของเขาพูดถึงสิ่งนี้ ( สปาร์ตากอสหรือ สปาตาคัส) หมายถึง "รุ่งโรจน์ด้วยหอกของเขา" และแปลโดยนักวิจัยใน Western Thrace Konrat Ziegler ดึงความสนใจไปที่คำพูดของ Plutarch ที่ Spartak เป็นของชนเผ่า "nomads" ( nomadikon) และแนะนำว่าหนึ่งในกรานในยุคกลางทำผิดพลาด: ในข้อความต้นฉบับควรมี เมดิคอนนั่นคือเรากำลังพูดถึงเผ่าน้ำผึ้งที่อาศัยอยู่ตอนกลางของแม่น้ำ Strymon ความคิดเห็นของ Ziegler เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป

กษัตริย์ธราเซียน Seut III จำลองรูปหล่อสำริดโบราณ

Alexander Mishulin เชื่อมโยงชื่อ สปาตาคัสด้วยชื่อสถานที่ธราเซียน สปาร์โตลและ สปาร์ตากอสเช่นเดียวกับตัวละครในเทพนิยายกรีก Sparti; เหล่านี้เป็นยักษ์ที่งอกออกมาจากฟันของมังกรที่ถูกฆ่าโดย Cadmus และกลายเป็นบรรพบุรุษของชนชั้นสูง Theban Theodor Mommsen พิจารณาถึงความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้กับกษัตริย์แห่ง Bosporus จากราชวงศ์ Spartocid ซึ่งปกครองใน 438-109 ปีก่อนคริสตกาล e. และเห็นในหลักฐานนี้ว่า Spartacus เป็นของตระกูลขุนนาง นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ พบชื่อที่คล้ายคลึงกันในหมู่ตัวแทนของราชวงศ์ Odris ผู้ปกครอง รายงานของแหล่งข่าวว่าเขาอยู่ในอิตาลีแล้ว "ในแง่ของความเฉลียวฉลาดและความสุภาพของตัวละครอยู่เหนือตำแหน่งของเขาและโดยทั่วไปแล้วเป็นเหมือนชาวกรีกมากกว่าที่ใครจะคาดหวังจากชายคนหนึ่ง เผ่าของเขา”

สามารถยืนยันได้อย่างมั่นใจว่า Spartacus เป็นอิสระ แต่ต่อมากลายเป็นทาสก่อนแล้วจึงเป็นนักสู้ ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อใดและอย่างไรในแหล่งที่มา มีสองรุ่นหลัก Appian เขียนว่า Spartacus "ต่อสู้กับชาวโรมัน ถูกจับเข้าคุก และขายให้กับนักสู้"; Lucius Annaeus Florus - ว่าเขากลายเป็น "ทหารจากทุนธราเซียน, ผู้หนีจากทหาร, จากนั้นเป็นโจร, และด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพ, นักสู้" นักวิจัยจำนวนหนึ่งยอมรับเวอร์ชันของ Appian และตั้งสมมติฐานว่า Spartacus ตกเป็นเชลยของโรมันเมื่อใด สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นใน 85 ปีก่อนคริสตกาล e. เมื่อ Lucius Cornelius Sulla ต่อสู้กับน้ำผึ้ง ใน 83 ปีก่อนคริสตกาล e., ในตอนต้นของสงคราม Mithridatic ครั้งที่สอง; ใน 76 ปีก่อนคริสตกาล e. เมื่อผู้ว่าการมาซิโดเนีย Appius Claudius Pulcher เอาชนะธราเซียน มีความเห็นว่าควรจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับยุค 80 มากกว่าเกี่ยวกับยุค 70 เนื่องจากสปาร์ตาคัสควรจะมีเวลามากก่อนการจลาจลเพื่อเป็นทาสและนักสู้ และได้รับตำแหน่งที่โดดเด่นในหมู่ "เพื่อนร่วมงาน" ที่ถูกบังคับของเขา

Theodor Mommsen ติดตามเวอร์ชันของ Flohr เขาเขียนว่าสปาตาคัส "รับใช้ในหน่วยธราเซียนเสริมของกองทัพโรมัน ถูกทิ้งร้าง มีส่วนร่วมในการปล้นบนภูเขา ถูกจับอีกครั้งและควรจะเป็นกลาดิเอเตอร์" Emilio Gabba แนะนำว่าอาจเป็นบริการในกองทัพของ Sulla เมื่อผู้ว่าการคนนี้มาถึงอิตาลีเพื่อเริ่มสงครามกลางเมืองอีกครั้งกับพรรค Marian (83 ปีก่อนคริสตกาล) ในกรณีนี้ Spartacus รับใช้ในหน่วยทหารม้าเสริม: ชาวธราเซียนมีชื่อเสียงว่าเป็นทหารม้าที่ยอดเยี่ยม และเป็นที่ทราบกันดีว่าผู้นำของการจลาจลต่อสู้บนหลังม้าในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเขา บางทีเขาอาจดำรงตำแหน่งบัญชาการบางอย่าง ประสบการณ์ที่ได้รับจากสปาร์ตาคัสในตำแหน่งของกองทัพโรมันในเวลาต่อมาสามารถช่วยให้เขาสร้างกองทัพที่มีระเบียบวินัยได้อย่างรวดเร็วจากกลาดิเอเตอร์และทาส

หากเวอร์ชันของ Florus ถูกต้อง Spartacus ในบางจุดถูกทิ้งร้างจากกองทัพโรมัน - อาจเป็นเพราะทะเลาะกับคำสั่ง การยืนยันนี้ สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นในช่วงสงครามธราเซียนครั้งหนึ่งของกรุงโรม จากนั้น "การโจรกรรม" ของสปาตาคัสควรจะรวมการที่เขาไปที่ด้านข้างของชนเผ่าเพื่อนของเขาและการกระทำต่อชาวโรมันต่อไป ถ้า Gabba พูดถูกและ Spartacus ละทิ้งกองทัพของ Sulla ในอิตาลี เขาควรจะไปที่ด้านข้างของ Marians และสามารถนำกองทหารม้าที่ก่อ "สงครามเล็กๆ" กับ Sullans ได้ ถึงจุดนี้ในชีวิตของเขาแล้วที่เขาสามารถศึกษาโรงละครแห่งการดำเนินงานของอิตาลีได้ดี ไม่ว่าในกรณีใด ชาวธราเซียนถูกจับ ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุ เขาไม่ได้ถูกตรึงกางเขนหรือมอบให้เพื่อฉีกเป็นชิ้นๆ โดยสัตว์ในเวทีละครสัตว์ (ผู้แปรพักตร์และโจรมักทำอย่างนั้น) แต่กลับตกเป็นทาส

Spartacus ขายได้อย่างน้อยสามครั้ง และเป็นที่ทราบกันดีว่าการขายครั้งแรกเกิดขึ้นที่กรุงโรม Diodorus Siculus กล่าวถึง "บุคคล" ซึ่ง Spartacus ได้รับ "ความดี"; อาจเป็นนายคนแรกของเขาที่ทำหน้าที่บางอย่างแก่เขา ตัวอย่างเช่น ปล่อยให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่มีเอกสิทธิ์ ต่อมา ธราเซียนถูกซื้อโดยชายคนหนึ่งที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างโหดร้าย โดยขายเขาให้เป็นกลาดิเอเตอร์ มิชูลินแนะนำว่าการขายครั้งล่าสุดเกิดจากการที่สปาร์ตักพยายามหลบหนีหลายครั้งไม่สำเร็จ Vladimir Nikishin ไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้ดึงความสนใจไปที่คำพูดของ Plutarch ที่ความอยุติธรรมเกิดขึ้นกับ Spartacus และข้อความของ Mark Terentius Varro เกี่ยวกับการขายให้กับนักสู้ "โดยปราศจากความผิด" ในเวลาเดียวกัน Maria Sergeenko ตั้งข้อสังเกตว่านายมีสิทธิ์ทุกอย่างที่จะส่งทาสของเขาไปยังนักสู้โดยไม่มีเหตุผล ตามที่ Flohr กล่าวว่า Spartacus ถูกบังคับให้แสดงในเวทีเนื่องจากความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขา

Vladimir Goroncharovsky แนะนำว่า Spartak กลายเป็นนักสู้เมื่ออายุประมาณสามสิบปีนั่นคือค่อนข้างช้า อย่างไรก็ตาม เจ้าของสถิติสำหรับตัวบ่งชี้นี้ต่อสู้ในเวทีจนถึงอายุสี่สิบห้า ในช่วงเริ่มต้นอาชีพของเขา สปาร์ตาคัสสามารถทำหน้าที่เป็นมิร์มิลลอน - นักรบติดอาวุธด้วยดาบสั้น (กลาดิอุส) ซึ่งได้รับการปกป้องด้วยโล่สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ (เสกตัม) เกราะข้อมือที่ปลายแขนขวา (มานิกา) และหมวกโบโอเชียน เมอร์มิลลอนส์ต่อสู้จนตัวเปลือยถึงเอว เมื่อเวลาผ่านไป Spartacus ที่มีทั้งความแข็งแกร่งและ "ความกล้าหาญที่โดดเด่น" ได้กลายเป็นหนึ่งในนักสู้กลาดิเอเตอร์ที่ดีที่สุดในโรงเรียนของ Gnaeus Cornelius Lentulus Batiatus ในเมือง Capua หลักฐานที่แสดงว่าเขาอยู่ในตำแหน่งที่มีสิทธิพิเศษถือได้ว่าเป็นความจริงที่ว่าเขามีภรรยาซึ่งหมายความว่าเขาได้รับห้องหรือห้องแยกต่างหาก ภรรยาตามพลูทาร์ค ได้ริเริ่มเข้าสู่ความลึกลับของไดโอนิซุสและมีของประทานแห่งการพยากรณ์ เมื่อเห็นงูตัวหนึ่งพันรอบใบหน้าของคู่สมรสที่กำลังหลับใหล เธอ “ประกาศว่านี่เป็นสัญญาณของพลังอันยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามที่เตรียมไว้สำหรับเขา ซึ่งจะทำให้เขาไปสู่จุดจบที่โชคร้าย” บางทีเหตุการณ์ดังกล่าวหรือเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นจริง ๆ และมีบทบาทในการเสริมสร้างอำนาจของสปาตาคัสในสายตาของสหายของเขา

แหล่งข่าวไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับว่าสปาร์ตักกลายเป็นรูเดียเรียมหรือไม่นั่นคือเขาได้รับดาบไม้เป็นสัญลักษณ์ของการลาออกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม แม้ในกรณีนี้ เขาก็ยังเป็นทาสอยู่ จริงอยู่ Sergei Utchenko เขียนว่า Spartak "สำหรับความกล้าหาญของเขา ... ได้รับอิสรภาพ" แต่ตาม Nikishin ที่นี่นักวิจัยโซเวียตรู้สึกประทับใจกับนวนิยายของ Raffaello Giovagnoli

นอกจากนี้ยังมีสมมติฐานทางเลือกเกี่ยวกับที่มาของ Spartacus รวมถึงสมมติฐานที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ทางประวัติศาสตร์ ดังนั้น Colin McCullough นักเขียนชาวออสเตรเลีย ผู้เขียนนวนิยายเกี่ยวกับกรุงโรมโบราณ ได้บรรยายภาพว่า Spartacus เป็นชาวอิตาลีในหนังสือเรื่อง "Favorites of Fortune" ของเธอ พ่อของเขาซึ่งเป็นชาวกัมปาเนียผู้มั่งคั่ง ได้รับสัญชาติโรมันใน 90 หรือ 89 ปีก่อนคริสตกาล จ. และลูกชายเริ่มอาชีพทหารจากตำแหน่งผู้บังคับบัญชาที่ต่ำกว่า แต่ถูกกล่าวหาว่ากบฏและชอบยานนักสู้เพื่อเนรเทศ เขาใช้ชื่อสมมติ สปาตาคัสและต่อสู้ในอารีน่าในรูปแบบธราเซียน ดังนั้นผู้ชมจึงถือว่าเขาเป็นชาวธราเซียน ตามที่นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวยูเครนและผู้สมัครของวิทยาศาสตร์ประวัติศาสตร์ Andrey Valentinov สปาร์ตักอาจเป็นชาวโรมันซึ่งอดีตเจ้าหน้าที่ Marian รวมตัวกันซึ่งทำให้เป้าหมายของพวกเขาที่จะล้มล้างระบอบการปกครองของซัลแลน

สงครามสปาตาคัส

ปัญหาลำดับเหตุการณ์

วันที่เริ่มต้นการลุกฮือของ Spartacus ถูกเรียกโดยผู้เขียนโบราณสองคนเท่านั้น - Flavius ​​​​Eutropius ใน "Breviary of Roman History" และ Paul Orosius ใน "History Against the Pagans" เหล่านี้เป็นเวลา 678 และ 679 ปีนับตั้งแต่การก่อตั้งกรุงโรมตามลำดับ นั่นคือ ตามลำดับเวลาคลาสสิก 76 และ 75 ปีก่อนคริสตกาล อี แต่ Orosius เรียกชื่อกงสุล - "Lukullus and Cassius" (Mark Terentius Varro Lucullus และ Gaius Cassius Longinus) และ Eutropius รายงานว่าในปีนั้น "Mark Licinius Lucullus ได้รับการควบคุมจังหวัด Macedonian" จากสิ่งนี้ นักวิจัยระบุถึงความสับสนตามลำดับเหตุการณ์ของผู้เขียนทั้งสอง และเชื่ออย่างเป็นเอกฉันท์มาเป็นเวลานานว่าการลุกฮือของสปาตาคัสเริ่มขึ้นใน 73 ปีก่อนคริสตกาล อี ในปี 1872 นักวิชาการชาวเยอรมัน Otfried Schambach สรุปว่าจริงๆแล้วมันคือ 74 ปีก่อนคริสตกาล e.: ในความเห็นของเขา Eutropius สับสน Varro Lucullus กับ Lucius Licinius Lucullus ซึ่งเป็นกงสุลเมื่อปีก่อนและ Orosius ละเลยปีแรกของการจลาจล ต่อมา อเล็กซานเดอร์ มิชูลิน นักโบราณวัตถุของสหภาพโซเวียตยังได้ตั้งชื่อให้ปี 74 โดยอ้างอิงจากข้อเท็จจริงที่ว่าตาม Eutropius การจลาจลถูกระงับในปี 681 จากการก่อตั้งกรุงโรม "เมื่อสิ้นปีที่สาม" และในปีที่สาม ตาม Appian Mark Licinius Crassus ได้รับคำสั่งต่อสู้ประมาณห้าเดือน

A. Motus คู่ต่อสู้ของ Mishulin ในปี 1957 ได้ตีพิมพ์บทความที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้โดยสิ้นเชิง วิทยานิพนธ์ของเธอมีดังนี้: Mishulin แปล Eutropius อย่างไม่ถูกต้องซึ่งไม่ได้เขียนว่า "ตอนสิ้นปีที่สาม" แต่ "ในปีที่สาม"; Orosius ไม่สามารถละเลยปีแรกของการจลาจล เนื่องจากกองทัพของ Spartacus เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในบทสรุปของประวัติศาสตร์โรมันมี "การแบ่งปี" ดังนั้นปี 678 ของ Eutropius และปีที่ 679 ของ Orosius เป็นปีเดียวกัน พูดถึงการแต่งตั้ง Crassus นั้น Appian คำนึงถึงช่วงเวลาประจำปีระหว่างการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในฤดูร้อน และการจลาจลเริ่มขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ ในที่สุด ลิวี่ผู้เป็นตัวอย่างที่ดีได้กล่าวถึงในปีแรกของการจลาจลของผู้ว่าการ Licinius Lucullus ทั้งหมดนี้ ตาม Motus ควรชี้ไปที่ 73 ปีก่อนคริสตกาล อี

ในการทำงานในภายหลัง สงครามสปาตาคัสลงวันที่ 73 ปีก่อนคริสตกาล อี มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปลายฤดูหนาวฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อน

จุดเริ่มต้นของการจลาจล

แหล่งข่าวกล่าวว่านักสู้ของโรงเรียน Lentulus Batiatus (สันนิษฐานใน 73 ปีก่อนคริสตกาล) วางแผนที่จะหลบหนี แรงผลักดันสำหรับสิ่งนี้คือข่าวของเกมปกติที่กำลังจะมาถึง ซึ่งตามที่ Synesius of Cyrene ได้กล่าวไว้ นักสู้จะต้องกลายเป็น "เครื่องสังเวยทำความสะอาดสำหรับชาวโรมัน" โดยรวมแล้วมีคนประมาณสองร้อยคนเข้าร่วมสมรู้ร่วมคิด เจ้าของทราบเกี่ยวกับแผนของพวกเขาและดำเนินการทันเวลา แต่นักสู้บางคนสามารถติดอาวุธและมีดในครัว สังหารเจ้าหน้าที่และหลบหนีจาก Capua ไปสู่อิสรภาพ ตามแหล่งข้อมูลต่างๆ มีผู้ก่อกบฏสามสิบ หกสิบสี่ "ประมาณเจ็ดสิบ" กบฏเจ็ดสิบสี่หรือเจ็ดสิบแปดคน ในหมู่พวกเขาคือสปาตาคัส

กลุ่มเล็ก ๆ นี้ไปที่วิสุเวียสและระหว่างทางพวกเขาจับเกวียนหลายคันด้วยอาวุธนักรบซึ่งถูกนำไปใช้ในทันที จากนั้นพวกกบฏก็ขับไล่การโจมตีของกองทหารที่ส่งมาจาก Capua และเข้าครอบครองอุปกรณ์ทางทหารในปริมาณที่เพียงพอ พวกเขาตั้งรกรากอยู่ในปล่องภูเขาไฟวิสุเวียส (ในเวลานั้นสูญพันธุ์ไปนานแล้ว) เริ่มโจมตีบ้านพักในบริเวณใกล้เคียงจากที่นั่นและยึดอาหาร เป็นที่ทราบกันว่าในขั้นตอนนี้ กลุ่มกบฏมีผู้นำสามคน ได้แก่ สปาตาคัสและกอลสองคน เอโนไมและคริกซัส ในเวลาเดียวกัน Appian รายงานว่า Spartacus ได้แบ่งโจรที่ถูกจับได้เท่า ๆ กันและนี่แสดงถึงการมีอยู่ของคำสั่งคนเดียวและวินัยที่เข้มงวด จากข้อมูลของ Sallust สปาร์ตาคัสเป็น "ผู้นำของเหล่ากลาดิเอเตอร์" ตั้งแต่ต้น และนักวิชาการบางคนแนะนำว่าคริกซัสและเอโนไมได้รับเลือกให้เป็น "ผู้ช่วย" ของเขา Mishulin ยังแนะนำว่าแนวคิดในการหลบหนีจากโรงเรียนของ Batiatus นั้นมาจาก Spartak

กลุ่มกบฏถูกเติมเต็มอย่างรวดเร็วด้วยทาสและคนงานในฟาร์มที่หนีจากที่ดินใกล้เคียง เจ้าหน้าที่ของ Capua ตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นหันไปขอความช่วยเหลือจากกรุงโรมเพื่อที่เขาต้องส่งกองทหารสามพันคนนำโดยผู้เฝ้าประตูซึ่งมีชื่อแหล่งที่มาให้ในรูปแบบต่างๆ: โคลดิอุส, คลอดิอุส, คลอดิอุส พูลเชอร์, Claudius Glaber, Variny Glabr. ความสามารถในการต่อสู้ของกองกำลังนี้ต่ำ มันเป็นทหารอาสาสมัครมากกว่ากองทัพปกติ อย่างไรก็ตาม praetor สามารถขับไล่พวกกบฏไปยัง Vesuvius และปิดกั้นพวกเขาที่นั่น แผนการของเขาคือการบังคับให้ผู้ลี้ภัยยอมจำนนภายใต้การคุกคามของความตายจากความหิวโหยและความกระหาย แต่พวกกบฏเดินขึ้นบันไดจากเถาองุ่นป่าตามที่พวกเขาลงมาจากหน้าผาสูงชันในตอนกลางคืนซึ่งพวกเขาไม่คาดคิด (อ้างอิงจากฟลอร์การสืบเชื้อสายเกิดขึ้น "ผ่านปากภูเขากลวง") จากนั้นพวกเขาก็โจมตีชาวโรมันและเอาชนะพวกเขาอย่างเต็มที่เนื่องจากผลของความประหลาดใจ เซกซ์ตุส จูเลียส ฟรอนตินัสเขียนว่า "หลายกลุ่มคนพ่ายแพ้โดยกลาดิเอเตอร์ 74 คน" แต่เขาระบุจำนวนผู้ชนะอย่างชัดเจน

การต่อสู้ที่วิสุเวียสเป็นจุดเปลี่ยนเมื่อการต่อสู้ตามปกติของหน่วยทหารโรมันกับแก๊งนักสู้และทาสที่หลบหนีกลายเป็นความขัดแย้งเต็มรูปแบบ - สงครามสปาตาคัส. เมื่อเอาชนะ praetor พวกกบฏก็ตั้งรกรากในค่ายของเขาซึ่งทาสที่หลบหนีคนงานรายวันคนเลี้ยงแกะเริ่มรวมตัวกันเป็นฝูง - ตาม Plutarch "ผู้คนทั้งหมดแข็งแกร่งและว่องไว" นักวิจัยแนะนำว่า Italics จำนวนมากเข้าร่วม Spartacus ในช่วง 80 ปีก่อนคริสตกาล อี ต่อสู้กับกรุงโรม ในช่วงสงครามฝ่ายสัมพันธมิตร คัมปาเนีย ซัมเนียม และลูคาเนียได้รับความทุกข์ทรมานจากอาวุธของโรมันมากที่สุด เวลาผ่านไปเพียงเก้าปีนับตั้งแต่ Lucius Cornelius Sulla ปราบปรามชาว Samnites อย่างไร้ความปราณี ดังนั้นในดินแดนที่อยู่ติดกับ Vesuvius จะต้องมีผู้คนจำนวนมากที่เกลียดชังกรุงโรม เป็นผลให้สปาร์ตาคัสได้จัดตั้งกองทัพทั้งหมดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเขาพยายามสร้างกองกำลังทหารที่มีระเบียบ สันนิษฐานว่าเขาแบ่งทหารของเขาตามแบบโรมันออกเป็นกองทหารประมาณห้าพันนายแต่ละกองแบ่งออกเป็นกลุ่ม การแบ่งแยกเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ตามแนวชาติพันธุ์ พวกกบฏก็มีทหารม้าซึ่งคนเลี้ยงแกะไปกับม้าที่ขโมยมาจากเจ้าของ ทหารเกณฑ์ได้รับการฝึกอบรม - น่าจะเป็นไปตามระบบโรมันซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ Spartacus และผู้ร่วมงานหลายคน

ในตอนแรก พวกกบฏขาดแคลนอาวุธอย่างมาก สันนิษฐานได้ว่าข้อความของ Sallust (“... หอกถูกไฟไหม้ซึ่งนอกเหนือจากลักษณะที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามแล้วยังสามารถทำร้ายศัตรูได้ไม่เลวร้ายไปกว่าเหล็ก”) และ Frontin (“ Spartacus และ กองทหารของเขามีเกราะกำบังจากกิ่งไม้ที่ปกคลุมไปด้วยเปลือกไม้") กลุ่มกบฏปิดเกราะชั่วคราวด้วยหนังวัวที่เพิ่งฆ่า ปลอมโซ่ทาสที่หนีจากเออร์กัสตูลา และเหล็กทั้งหมดที่พบในค่ายใกล้วิสุเวียสและในบริเวณโดยรอบ กลายเป็นอาวุธ

ต่อต้าน Varinius

ตอนนี้วุฒิสภาโรมันได้เข้าร่วมกิจกรรมในกัมปาเนียด้วยความสนใจอย่างมาก และส่งกองทหารสองกองไปต่อสู้กับสปาตาคัส อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพการต่อสู้ของกองทัพนี้ยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมาก: จากนั้นกรุงโรมได้ทำสงครามที่ยากลำบากสองครั้งกับ Marian Quintus Sertorius ในสเปนและกษัตริย์แห่ง Pontus Mithridates VI ในเอเชียไมเนอร์ และกองกำลังที่ดีที่สุดและแม่ทัพที่ดีที่สุดก็เข้าร่วมด้วย ความขัดแย้งเหล่านี้ เพื่อปลอบประโลมพวกทาสไปตาม Appian "คนสุ่มทุกประเภทคัดเลือกอย่างเร่งรีบและผ่านไป" พวกเขานำโดย Praetor Publius Varinius ซึ่งท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่าไม่ใช่ผู้บัญชาการที่เก่งกาจนัก

เป็นที่ทราบกันว่า Varinius มีความรอบคอบในการแบ่งกองกำลังของเขา และ Spartacus ก็เริ่มทุบพวกมันเป็นชิ้นๆ ประการแรก เขาเอาชนะกองทหารที่ 3 ในพันของ Furius ผู้รับมรดก จากนั้นเขาก็โจมตีกองทหารของ Cossinius ที่ได้รับมรดกและการโจมตีก็กะทันหันจนผู้บัญชาการของศัตรูเกือบถูกจับขณะว่ายน้ำ ต่อมาพวกกบฏบุกโจมตีค่าย Cossinia และผู้รับมรดกเองก็เสียชีวิต ส่งผลให้ Varinius เหลือทหารเพียงสี่พันนาย ซึ่งยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความทุกข์ทรมานจากการเริ่มต้นของฤดูหนาวและพร้อมที่จะออกจากทะเลทราย แหล่งรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ตามมานั้นหายากเป็นพิเศษและไม่อนุญาตให้เรากู้คืนภาพรวม: บางที Varinius อาจได้รับกำลังเสริมและด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถล้อมค่ายของ Spartacus ได้ พวกกบฏเริ่มประสบปัญหาเนื่องจากขาดอาหาร แต่สปาตาคัสสามารถแอบถอนกองทัพออกจากค่ายในเวลากลางคืน ทิ้งไฟและซากศพที่ไหม้เกรียมไว้แทนทหารยาม สันนิษฐานว่าหลังจากนั้น Varinius ถอนกองทัพของเขาไปที่ Kumy เพื่อจัดระเบียบใหม่และต่อมาโจมตีค่ายกบฏอีกครั้ง Sallust เขียนเกี่ยวกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้: "Crixus และเพื่อนร่วมเผ่าของเขา - กอลและชาวเยอรมัน - รีบไปข้างหน้าเพื่อเริ่มการต่อสู้ด้วยตนเองและสปาร์ตาคัสห้ามไม่ให้โจมตี" ไม่ว่าในกรณีใด การต่อสู้เกิดขึ้น และฝ่ายกบฏชนะ วาริเนียสเองเสียม้าและเกือบถูกจับเข้าคุก หลังจากการสู้รบ พวกกบฏได้มอบใบหน้าที่ถูกจับให้ผู้นำของพวกเขา และตามคำกล่าวของ Florus "เขาไม่ได้ปฏิเสธพวกเขา"

หลังจากชัยชนะนี้ สปาร์ตาคัสได้ย้ายไปที่ลูคาเนียเพื่อเสริมกำลังกองทัพของเขาด้วยค่าใช้จ่ายของคนเลี้ยงแกะจำนวนมากในภูมิภาคนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าต้องขอบคุณมัคคุเทศก์ที่ดีทำให้พวกกบฏสามารถไปที่เมือง Lukan Nars และ Forum Anniya และยึดครองได้ ระหว่างทางพวกเขาปล้นและเผาทุกอย่าง ข่มขืนผู้หญิง ฆ่าเจ้าของทาส “ความโกรธเคืองและไร้เหตุผลของพวกป่าเถื่อนนั้นไม่รู้เรื่องศักดิ์สิทธิ์และต้องห้าม” สปาตาคัสเข้าใจดีว่าพฤติกรรมเช่นนี้ของทหารของเขาอาจเป็นอันตรายต่อการจลาจล ทำให้อิตาลีทั้งหมดต่อต้านเขา และพยายามต่อสู้กับมัน Orosius รายงานว่าผู้นำของกลุ่มกบฏได้รับคำสั่งให้ฝังศพสตรีผู้สูงศักดิ์ที่ฆ่าตัวตายหลังจากถูกข่มขืนอย่างมีเกียรติและการต่อสู้ของนักสู้ถูกจัดขึ้นเหนือหลุมศพของเธอโดยมีส่วนร่วมของนักโทษสี่ร้อยคน

ในขั้นตอนของการจลาจลนี้ กองทหารโรมันอีกกลุ่มหนึ่งภายใต้คำสั่งของไกอัส ธอราเนียส เควเอสเทอร์ วาริเนียส พ่ายแพ้ ไม่มีใครพยายามต่อต้านสปาตาคัสทางตอนใต้ของอิตาลี ฝ่ายกบฏได้เข้ายึดครองนูเซเรียและโนลาในกัมปาเนีย ทูรี คอนเซนเทีย และเมตาปอนต์ในลูคาเนีย สันนิษฐานว่าถึงแม้พวกเขาจะมีอุปกรณ์ปิดล้อมแม้ว่าแหล่งข่าวจะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้โดยตรงก็ตาม จำนวนกบฏในเวลานั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก Orosius อ้างว่ามีทหาร 10,000 นายภายใต้คำสั่งของ Crixus และมากกว่าสามเท่าภายใต้คำสั่งของ Spartacus; ในทางกลับกัน Appian พูดถึง 70,000 คน แต่ผู้เขียนคนนี้มักจะหลวมกับตัวเลขมาก พวกกบฏหยุดในฤดูหนาวบนที่ราบกว้างใหญ่ - อาจอยู่ใกล้ Metapont พวกเขาเก็บอาหารและอาวุธปลอมไว้ที่นั่นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบต่อไป

ต่อต้านกงสุล

ภายในต้น 72 ปีก่อนคริสตกาล อี กองทัพของสปาตาคัสกลายเป็น "กำลังที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม" ดังนั้นวุฒิสภาจึงต้องส่งกงสุลทั้งสองมาสู้กับเขา - Gnaeus Cornelius Lentulus Clodian และ Lucius Gellius Publicola แต่ละคนมีพยุหเสนาสองกอง และโดยรวมแล้ว กองทัพโรมันควรมีทหารอย่างน้อย 30,000 นายเมื่อพิจารณาถึงกองหนุน เป็นที่ทราบกันว่าในหมู่พวกเขาคือ Mark Porcius Cato ผู้สูงศักดิ์วัยหนุ่มผู้ซึ่งเริ่มถูกเรียกที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในภายหลัง ยูทิก.

ชาวโรมันไม่มีคำสั่งรวมเป็นหนึ่ง นักประวัติศาสตร์แนะนำว่ากงสุลแสดงพร้อมกันและต้องการโจมตีสปาตาคัสจากทั้งสองฝ่ายในภูมิภาคของคาบสมุทรการ์แกน ด้วยเหตุนี้ Publicola จึงเดินทางผ่าน Campania และ Apulia และ Lentulus Clodian - ผ่าน Apennines ไปตามถนน Tiburtine โดยตรง เพื่อไม่ให้อยู่ระหว่างไฟสองครั้ง สปาตาคัสจึงนำกองทัพไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ในระหว่างการหาเสียงนี้ Crixus แยกจากเขาภายใต้คำสั่งของ Livy มีคน 20,000 คนและตาม Appian - 30,000 คน แหล่งข่าวไม่ได้พูดถึงแรงจูงใจของคริกซัส มีสองมุมมองในประวัติศาสตร์: พวกกบฏอาจแตกแยกเนื่องจากความคิดที่แตกต่างกันเกี่ยวกับเป้าหมายของสงครามหรือ Crixus ซึ่งได้รับตำแหน่งที่แข็งแกร่งบนเนินเขาของ Mount Gargan น่าจะสร้างภัยคุกคามต่อปีกและด้านหลัง ของลูเซียส เกลเลียส

Spartacus เคลื่อนตัวไปทาง Lentulus Clodian และโจมตีกองทัพของเขาขณะข้าม Apennines เห็นได้ชัดว่าการโจมตีครั้งนี้ไม่คาดฝันสำหรับศัตรูและพวกกบฏสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชาวโรมัน แต่พวกเขาไม่สามารถชนะชัยชนะได้อย่างสมบูรณ์: Lentulus รับการป้องกันบนเนินเขาแห่งหนึ่ง Spartacus ย้ายไป Mount Gargan แต่ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวที่นั่น Lucius Gellius ก็สามารถเอาชนะ Crixus ได้ ฝ่ายหลังเสียชีวิตพร้อมกับทหารสองในสามของเขา นี่เป็นระเบิดร้ายแรงต่อพวกกบฏ อย่างไรก็ตาม ในการต่อสู้ครั้งใหม่ Spartacus เอาชนะ Publicola เชลยชาวโรมันสามร้อยคนเขาถูกบังคับให้ต่อสู้ที่กองเพลิงศพของคริกซัส

จากนั้นสปาร์ตักก็เคลื่อนตัวไปตามชายฝั่งทะเลเอเดรียติกไปทางเหนือ จากอาริมิน เขาเดินตามทางเอมิเลียนไปยังมูตินา ซึ่งเป็นป้อมปราการสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่ขวางทางไปยังหุบเขาของแม่น้ำแพด ที่นี่เขาได้พบกับกองทัพที่สิบพันของผู้ตรวจการของ Cisalpine Gaul, Gaius Cassius Longinus; ในการสู้รบ ฝ่ายหลัง "พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง สูญเสียผู้คนจำนวนมากและแทบไม่รอดชีวิต" สันนิษฐานว่าหลังจากชัยชนะนี้ สปาตาคัสได้ข้ามแพดและเอาชนะผู้เฒ่า Gnaeus Manlius ดังนั้นจึงสร้างการควบคุมทั่วทั้งจังหวัด ข้างหน้าคือเทือกเขาแอลป์ ฝ่ายกบฏสามารถเลือกเส้นทางใดทางหนึ่งจากสองเส้นทาง - ไม่ว่าจะผ่านทางผ่านภูเขา ซึ่งฮันนิบาลได้ผ่านไปหนึ่งศตวรรษครึ่งก่อนหน้านี้ หรือไปตามถนนออเรลิอุส ซึ่งเชื่อมลิกูเรียกับนาร์บอนน์ กอล เส้นทางที่สองนั้นง่ายกว่ามาก แต่ศัตรูสามารถบล็อกมันได้แม้จะแยกออกเล็กน้อย

ในที่สุดสปาตาคัสก็หันทัพกลับไปอิตาลีอีกครั้ง ไม่มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในประวัติศาสตร์ว่าเหตุใดพวกกบฏจึงละทิ้งเส้นทางสู่อิสรภาพ มีข้อสันนิษฐานว่าพวกเขากลัวเส้นทางที่ยากลำบากผ่านเทือกเขาแอลป์ ว่าพวกเขาเชื่อมั่นในความอ่อนแอของกรุงโรมและตอนนี้ต้องการทำลายให้หมดสิ้น ว่าพวกเขาไม่ต้องการออกจากอิตาลีเนื่องจากส่วนสำคัญของพวกเขาไม่ใช่ทาสและนักสู้ แต่เป็นชาวพื้นเมืองที่เกิดอิสระ มีคนแนะนำว่าสปาตาคัสกำลังมุ่งหน้าไปทางเหนือเพื่อเข้าร่วมกองกำลังกับเซอร์โทเรียส แต่หลังจากยุทธการมูตินา เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการตายของพันธมิตรสมมุติของเขา

ในช่วงเวลาของการปรากฏตัวในหุบเขา Pada ภายใต้คำสั่งของ Spartacus มีผู้คนไม่เกิน 25,000 คน: กองทัพของเขาต้องพ่ายแพ้อย่างมากในการต่อสู้กับกงสุล ใน Cisalpine Gaul จำนวนกบฏเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอีกครั้งรวมถึงเนื่องจากผู้อยู่อาศัยอิสระของ Transpadania ซึ่งยังไม่ได้รับสัญชาติโรมัน ตาม Appian ในเวลานั้นมีคน 120,000 คนภายใต้คำสั่งของ Spartacus และตาม Eutropius - 60,000 กองกำลังทั้งหมดเหล่านี้ล่าช้าในหุบเขา Pada เป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งทหารเกณฑ์ได้รับการฝึกอบรมที่จำเป็น ในฤดูใบไม้ร่วง 72 ปีก่อนคริสตกาล อี สปาตาคัสเคลื่อนตัวไปทางใต้อีกครั้ง

เมื่อทราบเรื่องนี้ ชาวโรมันตาม Orosius "ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อยเมื่อตัวสั่นและตะโกนว่าฮันนิบาลอยู่ที่ประตู" อย่างไรก็ตาม สปาร์ตักไม่ได้ไปโรม เขาชอบที่จะย้ายไปทางตะวันออกเฉียงใต้ตามเส้นทางที่คุ้นเคยตามแนวชายฝั่งเอเดรียติก เพื่อที่จะไปให้เร็วที่สุด เขาสั่งให้ฆ่านักโทษทั้งหมด ตัดฝูงวัว เผาเกวียนเพิ่มเติม และไม่รับผู้แปรพักตร์ กงสุลยังคงขัดขวางเส้นทางของเขาใน Picene แต่ฝ่ายกบฏได้รับชัยชนะอีกครั้ง

ต่อต้าน Crassus

เมื่อเห็นความล้มเหลวทางการทหารของกงสุลทั้งสอง วุฒิสภาโรมันจึงถอดพวกเขาออกจากการบังคับบัญชาและมอบอาณาจักร proconsular ที่ไม่ธรรมดาให้กับ Marcus Licinius Crassus ขุนนางผู้มีอิทธิพลและร่ำรวยมาก ไม่มีวันที่แน่นอน แต่การนัดหมายควรจะเกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน 72 ปีก่อนคริสตกาล อี Crassus รวมตัวกันภายใต้การบังคับบัญชาของทหารมากถึง 60,000 นาย และมีความเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็น "ทรัพยากรสุดท้ายของสาธารณรัฐ" เพื่อปรับปรุงวินัยเขาใช้มาตรการฉุกเฉิน - เขาเริ่มใช้การสังหารนั่นคือเขาดำเนินการทุก ๆ ในสิบของผู้ที่หนีออกจากสนามรบ

เหตุการณ์ในต้น 71 ปีก่อนคริสตกาล อี กองกำลังของสปาตาคัส Legions of Crassus

กองทัพโรมันชุดใหม่ขวางทางสปาตาคัสที่ชายแดนทางใต้ของปิซีนุม หนึ่งในกองกำลังกบฏพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งแรก โดยสูญเสียผู้คนไปหกพันคนและอีกเก้าร้อยคนถูกจับ แต่ในไม่ช้าสองพยุหเสนาจากกองทัพของ Crassus ซึ่งได้รับคำสั่งจาก Mark Mummius ผู้รับมรดก ละเมิดคำสั่ง โจมตีพวกกบฏและถูกโจมตีจากกองกำลังหลักของพวกเขา เป็นผลให้สปาร์ตาคัสได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย หลังจากนั้นผู้บังคับบัญชาของโรมันก็เข้ารับการฝึกทหารใหม่โดยปล่อยให้สปาตาคัสอยู่กับตัวเองชั่วขณะหนึ่ง เขาใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เพื่อไปทางใต้ของอิตาลีและตั้งหลักที่ชายแดนของ Lucania และ Bruttia ในเขตเมือง Thurii.

ภายหลังการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น Crassus จัดการเพื่อสร้างความสูญเสียอย่างร้ายแรงให้กับฝ่ายกบฏและหลังจากนั้น Spartacus ก็ย้ายไปทางใต้สุดของอิตาลีไปยังช่องแคบ Messana เขาวางแผนที่จะข้ามไปยังซิซิลีและทำให้มันเป็นฐานใหม่ของการจลาจล: มีทาสจำนวนมากบนเกาะซึ่งเคยกบฏต่อโรมสองครั้งก่อนหน้านี้ (ใน 135-132 และ 104-101 ปีก่อนคริสตกาล) ตามคำกล่าวของพลูทาร์ค "ประกายไฟก็เพียงพอแล้วที่การลุกฮือจะลุกเป็นไฟขึ้นอีกครั้ง" ฝ่ายกบฏต้องเผชิญกับความยากลำบากที่ผ่านไม่ได้เนื่องจากพวกเขาไม่มีกองทัพเรือ สปาร์ตาคัสทำข้อตกลงเกี่ยวกับการข้ามกับโจรสลัดซิลิเซีย แต่พวกเขาก็หายตัวไปเมื่อได้รับเงิน ไม่ทราบสาเหตุ นักวิจัยเชื่อว่าสภาพอากาศเลวร้ายอาจถูกตำหนิสำหรับทุกสิ่ง หรือพันธมิตรของโจรสลัด มิธริเดตส์ แห่งปอนตุส ไม่ต้องการให้กลุ่มกบฏออกจากอิตาลี

ที่จุดที่แคบที่สุด ช่องแคบเมสซานากว้าง 3.1 กิโลเมตร นักรบแห่งสปาตาคัสพยายามล่องแก่งไปยังฝั่งตรงข้าม แต่ล้มเหลว Mark Tullius Cicero หนึ่งในสุนทรพจน์ของเขากล่าวว่า "ความกล้าหาญและสติปัญญาของชายผู้กล้าหาญ Mark Crassus เท่านั้นที่ไม่อนุญาตให้ทาสที่หลบหนีข้ามช่องแคบ"; ดังนั้นนักประวัติศาสตร์จึงสรุปว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถจัดกองกำลังทางเรือบางประเภทได้ นอกจากนี้ มันเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว และลักษณะของพายุในครั้งนี้ก็ควรจะป้องกันพวกกบฏได้เช่นกัน ด้วยความมั่นใจในความเป็นไปไม่ได้ที่จะข้ามไป Spartacus จึงตัดสินใจลึกเข้าไปในอิตาลี แต่เมื่อถึงเวลานั้น Crassus ก็ปิดกั้นเส้นทางของเขาด้วยคูน้ำ 30 กิโลเมตรข้ามคาบสมุทร Regian จากทะเล Tyrrhenian ไปจนถึง Ionian คูน้ำลึกสี่เมตรครึ่ง มีเชิงเทินดินเผาและกำแพงสูงเหนือคูน้ำ

พวกกบฏติดอยู่ในพื้นที่เล็กๆ และในไม่ช้าก็เริ่มขาดแคลนอาหาร พวกเขาพยายามที่จะทำลายระบบป้อมปราการของโรมัน แต่ถูกผลักไส Appian กล่าวว่าพวกเขาสูญเสียทหารหกพันคนที่ถูกสังหารในการโจมตีตอนเช้าและอีกหลายคนในตอนเย็น ในขณะที่ชาวโรมันมีผู้เสียชีวิตสามคนและบาดเจ็บเจ็ดคน นักประวัติศาสตร์ถือว่านี่เป็นการพูดเกินจริงอย่างชัดเจน หลังจากความล้มเหลว ฝ่ายกบฏได้เปลี่ยนยุทธวิธี ย้ายไปยังการโจมตีเล็กๆ อย่างต่อเนื่องในพื้นที่ต่างๆ สปาร์ตาคัสพยายามยั่วยุศัตรูให้เข้าสู่การต่อสู้ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเคยสั่งให้นักโทษคนหนึ่งถูกประหารชีวิตอย่างน่าละอายด้วยการตรึงบนไม้กางเขนในดินแดนที่ไม่มีผู้ใด ตามแหล่งข่าวบางแหล่งเขาพยายามเริ่มการเจรจากับ Crassus (ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขอะไรบ้าง) แต่เขาไม่ได้ดำเนินการต่อไป

เมื่อสิ้นสุดฤดูหนาว 72-71 ปีก่อนคริสตกาล อี พวกกบฏทำการพัฒนา หลังจากรอพายุหิมะที่แรงเป็นพิเศษ พวกเขาปกคลุมส่วนหนึ่งของคูเมืองด้วยกิ่งก้านและซากศพในตอนกลางคืน และเอาชนะป้อมปราการของโรมัน หนึ่งในสามของกองทัพทั้งหมดแห่งสปาตาคัส (เห็นได้ชัดว่านี่เป็นหน่วยชั้นยอด) บุกเข้าไปในพื้นที่ยุทธศาสตร์ ดังนั้นครัสซัสจึงต้องออกจากตำแหน่งและเคลื่อนตาม พวกกบฏไปที่บรุนดิเซียม: สันนิษฐานว่าพวกเขาต้องการยึดเมืองนี้พร้อมกับเรือที่จอดอยู่ในท่าเรือแล้วข้ามไปยังคาบสมุทรบอลข่าน จากนั้นพวกเขาสามารถไปทางเหนือ ไปยังดินแดนที่โรมควบคุมไม่ได้ หรือไปทางตะวันออกเพื่อติดต่อกับมิทริดาส แต่การโจมตี Brundisium ไม่ได้เกิดขึ้น Appian เขียนว่าเหตุผลนี้เป็นข่าวของการลงจอดในเมือง Lucullus นี้ นักวิจัยมีความเห็นว่า Brundisium ได้รับการเสริมกำลังที่ดีเกินไป และ Spartacus ตระหนักถึงสิ่งนี้ล่วงหน้าด้วยข้อมูลข่าวกรอง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เป้าหมายหลักของพวกกบฏก็คือความพ่ายแพ้ของครัสซัส

แหล่งที่มาระบุว่าผู้ว่าการฯ ปรารถนาที่จะยุติการจลาจลโดยเร็วที่สุดเนื่องจากการกลับมาของ Gnaeus Pompey the Great ที่ใกล้เข้ามาในอิตาลีซึ่งอาจได้รับรางวัลเกียรติยศของผู้ชนะในสงคราม แหล่งข่าวบางแหล่งระบุว่า วุฒิสภาได้แต่งตั้งปอมปีย์เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนที่สองด้วยความคิดริเริ่มของตนเอง ตามที่คนอื่น ๆ Crassus หันไปหาวุฒิสภาโดยขอให้เรียก Pompey จากสเปนและ Mark Terentius Varro Lucullus จาก Thrace เพื่อช่วยเขา (เวลาที่เขียนจดหมายฉบับนี้เป็นเรื่องของการอภิปรายทางวิทยาศาสตร์) ตอนนี้ตามพลูตาร์ค Crassus เชื่อมั่นในความอ่อนแอของพวกกบฏ "เสียใจกับขั้นตอนของเขาและรีบยุติสงครามก่อนการมาถึงของนายพลเหล่านี้ในขณะที่เขาเล็งเห็นว่าความสำเร็จทั้งหมดไม่ได้มาจากเขา Crassus แต่เพื่อ หนึ่งในนั้นที่จะมาช่วยเขา”

ความไม่ลงรอยกันเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางผู้นำของกลุ่มกบฏ เป็นผลให้ส่วนหนึ่งของกองทัพนำโดย Gaius Cannicius และ Caste (ตาม Livy คนเหล่านี้เป็นชาวกอลและชาวเยอรมัน 35,000 คน) แยกออกจาก Spartacus และตั้งรกรากในค่ายที่มีป้อมปราการใกล้ทะเลสาบ Lucan ในไม่ช้า Crassus ก็โจมตีกองกำลังนี้และปล่อยมันออกไป แต่ในช่วงเวลาชี้ขาด กองทัพของ Spartacus ก็ปรากฏตัวขึ้นในสนามรบ ซึ่งบังคับให้ชาวโรมันต้องล่าถอย จากนั้น Crassus ใช้กลอุบาย: ส่วนหนึ่งของกองกำลังของเขาหันเหกองกำลังหลักของกลุ่มกบฏในขณะที่ส่วนที่เหลือล่อให้ Cannitius และ Caste ออกจากการซุ่มโจมตีและทำลายมัน พลูตาร์คเรียกการต่อสู้ครั้งนี้ว่า "การนองเลือดที่สุดในสงคราม"

หลังจากความพ่ายแพ้นี้ สปาร์ตักก็เริ่มถอยกลับไปทางตะวันออกเฉียงใต้สู่เทือกเขา Peteliysky การไล่ล่านำโดย Quintus Arrius ผู้รับมรดกและ Gnaeus Tremellius Scrofa ผู้คุมกฎ ผู้ซึ่งถูกพาตัวไปมากเกินไปและมีส่วนร่วมในการต่อสู้ครั้งใหญ่ พวกกบฏได้รับชัยชนะ น่าจะเป็นตอนนั้นเองที่พวกเขาจับนักโทษได้สามพันคน ภายหลัง Crassus ปล่อยตัวออกมา ความสำเร็จนี้กลายเป็นผลเสียต่อการจลาจล เพราะมันทำให้ทหารของ Spartacus เชื่อในการอยู่ยงคงกระพันของพวกเขา "ตอนนี้พวกเขาไม่ต้องการได้ยินเกี่ยวกับการล่าถอย และไม่เพียงแต่ปฏิเสธที่จะเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาของพวกเขาเท่านั้น แต่การห้อมล้อมพวกเขาระหว่างทางด้วยอาวุธในมือของพวกเขาได้บังคับให้พวกเขานำกองทัพกลับผ่านลูคาเนียไปยังชาวโรมัน" สปาตาคัสตั้งค่ายที่แหล่งกำเนิดของแม่น้ำสิลาร์ ที่ชายแดนคัมปาเนียและลูคาเนีย นี่คือที่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเขาเกิดขึ้น

ความพ่ายแพ้และความตาย

ก่อนการต่อสู้ครั้งสุดท้าย สปาร์ตาคัสยึดตำแหน่งที่แข็งแกร่งบนเนินเขา ทิ้งภูเขาไว้ด้านหลัง ตามข้อมูลของ Gaius Velleius Paterculus มีทหาร 49,000 นายอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขา แต่ตัวเลขเหล่านี้อาจสูงเกินจริง Crassus ผู้มาถึงแหล่งที่มาของ Silar หลังจากเดินทัพมาหนึ่งวัน ไม่กล้าโจมตีในทันทีและเริ่มสร้างป้อมปราการภาคสนาม พวกกบฏเริ่มโจมตีชาวโรมันในพื้นที่ที่แยกจากกัน ในที่สุด สปาตาคัสก็ย้ายกองทัพของเขาไปที่ที่ราบและเข้าแถวเพื่อทำศึกชี้ขาด (น่าจะเป็นช่วงครึ่งหลังของวันแล้ว)

ความตายของสปาตาคัส แกะสลักโดย Hermann Vogel

พลูตาร์คกล่าวว่าก่อนการสู้รบ สปาร์ตาคัส "ถูกนำตัวม้า แต่เขาชักดาบและฆ่าเขาโดยบอกว่าในกรณีของชัยชนะเขาจะได้รับม้าที่ดีมากมายจากศัตรูและในกรณีที่พ่ายแพ้เขาก็ไม่ต้องการม้าของตัวเอง " เนื่องจากเป็นที่รู้จักจากแหล่งอื่น ๆ ว่าผู้นำของกลุ่มกบฏต่อสู้บนหลังม้า นักวิจัยแนะนำว่าที่นี่เรากำลังพูดถึงการเสียสละตามประเพณีในช่วงก่อนการสู้รบ ความหมายที่นักเขียนชาวกรีกเข้าใจผิด สันนิษฐานว่าสปาร์ตักนำกองทหารม้าที่ได้รับการคัดเลือกซึ่งตั้งอยู่บนปีกข้างหนึ่งของแนวหน้า

ในการสู้รบบนที่ราบ เห็นได้ชัดว่าทหารราบกบฏไม่สามารถต้านทานการโจมตีของชาวโรมันและเริ่มล่าถอย จากนั้น Spartacus ก็นำกองทหารม้าโจมตีหลังแนวข้าศึกเพื่อสังหาร Crassus และทำให้กระแสการต่อสู้พลิกผัน (V. Goroncharovsky คล้ายคลึงกับพฤติกรรมของ Gnaeus Pompey ในการต่อสู้ครั้งหนึ่งเมื่อ 83 ปีก่อนคริสตกาล) "ทั้งอาวุธและบาดแผลของศัตรูไม่สามารถหยุดเขาได้ แต่เขาไม่ได้บุกเข้าไปใน Crassus และสังหารนายร้อยเพียงสองคนที่พบกับเขา" บางทีผู้บัญชาการของโรมันอาจทิ้งกองทหารของเขาบางส่วนไว้ในการซุ่มโจมตี ซึ่งในช่วงเวลาชี้ขาดก็โจมตีกองทหารของสปาร์ตาคัสและตัดขาดจากกองกำลังหลักของกลุ่มกบฏ ในการสู้รบ หัวหน้ากบฏเสียชีวิต รายละเอียดเป็นที่รู้จักขอบคุณ Appian ที่เขียนว่า: "Spartacus ได้รับบาดเจ็บที่ต้นขาด้วยลูกดอก: คุกเข่าลงและวางโล่ไปข้างหน้าเขาต่อสู้กับผู้โจมตีจนล้มลงพร้อมกับผู้คนรอบข้างจำนวนมาก" ไม่พบร่างของเขา

สันนิษฐานว่าภาพเฟรสโกซึ่งพบในปอมเปอีในปี 2470 เล่าถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของสปาร์ตาคัส รูปนั้นประดับผนังบ้านของนักบวชอแมนดา สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 70 ปีก่อนคริสตกาล อี ส่วนที่รอดตายของปูนเปียกแสดงให้เห็นสองฉาก อย่างแรกคือการต่อสู้ระหว่างนักบิดสองคน คนหนึ่งไล่ตามอีกคนแล้วพุ่งหอกไปที่ต้นขาของเขา เหนือผู้ไล่ตามนั้นมีจารึกซึ่งคาดว่าน่าจะถอดรหัสเป็น "เฟลิกซ์แห่งปอมเปอี" เหนือผู้ขี่ที่บาดเจ็บมีคำจารึกว่า "Spartax" ส่วนที่สองของภาพเฟรสโกแสดงให้เห็นทหารราบสองคน ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจได้รับบาดเจ็บที่ขาเมื่อพิจารณาจากท่าทางที่ผิดธรรมชาติของเขา

โดยรวมแล้วตามคำบอกเล่าของ Livy มีผู้ก่อกบฏ 60,000 คนเสียชีวิตในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ในเชิงประวัติศาสตร์จำนวนนี้ถือว่าสูงเกินไป ชาวโรมันสูญเสียผู้คนนับพันที่ถูกสังหาร

ผลลัพธ์และผลที่ตามมาของการจลาจล

พวกกบฏที่รอดชีวิตจากการสู้รบที่สิลาร์ได้ถอยกลับเข้าไปในภูเขา ในไม่ช้าพวกเขาก็ถูก Crassus ไล่ตามและถูกสังหาร ชาวโรมันตรึงเชลยหกพันคนตามทางอัปเปียน กองทหารขนาดใหญ่อีกห้าพันนายถูกทำลายโดย Gnaeus Pompey ใน Etruria ในเรื่องนี้ ปอมเปย์ระบุในจดหมายถึงวุฒิสภาว่าเป็นผู้ที่มีบุญหลัก: "ในการต่อสู้ที่เปิดกว้างของทาสที่หลบหนี Crassus พ่ายแพ้ แต่ฉันทำลายรากเหง้าของสงคราม" การประเมินดังกล่าวอาจแพร่หลายในสังคมโรมัน และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างนายพลทั้งสองมีความซับซ้อนอย่างมาก อย่างไรก็ตาม คุณธรรมของ Crassus ได้รับการยกย่องด้วยการปรบมือ แหล่งข่าวรายงานว่า Crassus พยายามอย่างจริงจังที่จะได้รับอนุญาตให้สวมพวงหรีดลอเรลกิตติมศักดิ์แทนพวงหรีดไมร์เทิลในระหว่างการปรบมือและบรรลุเป้าหมายของเขา

ทางตอนใต้ของอิตาลี กองกำลังกบฏกลุ่มเล็กๆ ได้ซ่อนตัวอยู่เป็นเวลานาน เกี่ยวกับการระบาดครั้งใหม่ของสงครามในบรูตเทียใน 70 ปีก่อนคริสตกาล อี รายงานในสุนทรพจน์ของเขาซิเซโร; ในปี 62 พวกกบฏสามารถยึดครองเมืองทูรีได้ แต่ไม่นานก็ถูกไกอุส ออคตาวิอุส บิดาของออคตาเวียน ออกุสตุสฆ่าตาย

สงครามสปาตาคัสส่งผลกระทบด้านลบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจของอิตาลี: พื้นที่ส่วนสำคัญของประเทศถูกทำลายโดยกองทัพกบฏ หลายเมืองถูกปล้น มีความเห็นว่าเหตุการณ์เหล่านี้กลายเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของวิกฤตการณ์การเกษตรซึ่งกรุงโรมไม่สามารถจัดการได้จนกว่าจะล่มสลายของสาธารณรัฐ ภายใต้อิทธิพลของการจลาจล สถานะของเศรษฐกิจที่เป็นเจ้าของทาสอ่อนแอลง: คนร่ำรวยในขณะนี้ต้องการใช้บริการของทาสที่ไม่ได้ซื้อ แต่คนที่เกิดที่บ้าน ปล่อยทาสให้เป็นอิสระบ่อยขึ้นและจัดหาที่ดินให้เช่า การกำกับดูแลทาสต่อจากนี้ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาของรัฐด้วย ดังนั้นทาสจึงเริ่มเปลี่ยนจากทรัพย์สินส่วนตัวไปเป็นทรัพย์สินของรัฐบางส่วน

ใน 70 ปีก่อนคริสตกาล e. หนึ่งปีหลังจากการพ่ายแพ้ของ Spartacus การเซ็นเซอร์รวมอยู่ในรายชื่อชาวโรมันชาวอิตาลีทั้งหมดที่ได้รับสิทธิ์ทางทฤษฎีต่อสถานะนี้ในช่วงหลายปีของสงครามฝ่ายสัมพันธมิตร น่าจะเป็นผลที่ตามมาของการจลาจล: ชาวโรมันพยายามปรับปรุงสถานการณ์ของตัวเอียงเพื่อป้องกันไม่ให้มีการแสดงใหม่

ประวัติศาสตร์

สมัยโบราณและยุคกลาง

ชื่อของสปาตาคัสไม่นานหลังจากที่เขาเสียชีวิตเริ่มถูกนำมาใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง ดังนั้น Mark Tullius Cicero จึงเปรียบเทียบอย่างชัดเจนกับ Spartacus เมื่อเขาเรียก Lucius Sergius Catiline ว่า "นักสู้คนนี้" (63 ปีก่อนคริสตกาล) ในสุนทรพจน์กล่าวหาของเขา ชัยชนะตามสมมุติฐานของผู้สมรู้ร่วมคิดที่นำโดย Catiline ถูกวาดโดยซิเซโรว่าเป็นชัยชนะของพวกทาส: “หากพวกเขากลายเป็นกงสุล เผด็จการ กษัตริย์ พวกเขาจะต้องยอมจำนนต่อทาสหรือนักสู้ที่หลบหนีไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” ใน 44 ปีก่อนคริสตกาล อี Mark Antony เปรียบ Spartacus กับ Gaius Octavius ​​​​รุ่นเยาว์ (อนาคต Augustus ผู้คัดเลือกกองทัพโดยพลการจากผู้สนับสนุนของเขา) และ Cicero เปรียบ Mark Antony ตัวเอง เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 คริสตศักราช อี สปาตาคัสมีชื่อในหมู่ศัตรูหลักของโรมพร้อมกับฮันนิบาล ชัยชนะอันน่าทึ่งของเขาเหนือกองทัพกงสุลเป็นที่จดจำโดยกวีที่อยู่ห่างไกลเช่น Claudius Claudian และ Sidonius Apollinaris (ศตวรรษที่ 5):

...สปาร์ตักต่ำ ในภาษาอิตาลี
ทั่วแคว้นก็โหมกระหน่ำด้วยไฟและเหล็ก
กับกงสุลกล้าเพียงล่วงละเมิดอย่างเปิดเผย
สุภาพบุรุษเฉื่อยสะบัดออกจากค่ายทหารด้วยความอับอาย
การทำลายของนกอินทรีขี้อายที่เขาร่อนด้วยอาวุธของทาส

คลาวเดียส คลาวเดียน. สงคราม Pollentian หรือ Gothic ค.ศ. 155-159

ในบทกวีอื่นของเขา Claudius Claudian กล่าวถึง Spartacus ในความหมายเดียวกันกับผู้ร้ายในตำนาน Sinid, Skiron, Busiris, Diomedes, Acragas Falaris ผู้โหดร้ายที่กระหายเลือดเช่นเดียวกับ Sulla และ Lucius Cornelius Cinna

รายงานไม่กี่ฉบับเกี่ยวกับสปาร์ตาคัสในตำราประวัติศาสตร์โบราณย้อนหลังไปถึงสองแหล่ง - "ประวัติศาสตร์" โดยไกอุส ซัลลุสต์ คริสปัส ซึ่งเขียนขึ้นในยุค 40 ก่อนคริสตกาล e. และ "ประวัติศาสตร์ของกรุงโรมจากการก่อตั้งเมือง" โดย Titus Livius เขียนภายใต้ Augustus จากเล่มแรกเหลือเพียงชุดเศษเล็กเศษน้อยและจากหนังสือที่เกี่ยวข้องของเล่มที่สอง - periohs การเล่าเนื้อหาสั้น ๆ ดังนั้นข้อความรองจึงกลายเป็นแหล่งข้อมูลหลัก: "ประวัติศาสตร์โรมัน" โดย Appian of Alexandria, "บทสรุปของประวัติศาสตร์โรมัน" โดย Lucius Annaeus Florus ชีวประวัติของ Crassus ของ Plutarch และ "History of Rome against the Gentiles" โดย Paul Orosius ในงานทั้งหมดเหล่านี้ การจลาจลของทาสนั้นแสดงให้เห็นในแง่ลบ แต่บุคลิกภาพของ Spartacus ได้รับการประเมินที่ซับซ้อนมากขึ้น ผู้เขียนโบราณสังเกตเห็นความเป็นธรรมของเขาในการแบ่งโจรความสามารถในการขอบคุณความปรารถนาที่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาถูกทำลายอย่างไร้สติความกล้าหาญที่แสดงในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายความสามารถที่โดดเด่นของผู้บัญชาการและผู้จัดงาน

ด้วยความเห็นอกเห็นใจที่เห็นได้ชัด Sallust ปฏิบัติต่อ Spartacus โดยตระหนักถึงคุณสมบัติของมนุษย์และการทหารระดับสูงสำหรับผู้นำการจลาจล พลูตาร์คเน้นย้ำว่าสปาตาคัสเป็นเหมือนเฮลีนมากกว่าชาวธราเซียน ซึ่งในปากของเขาได้รับการยกย่องอย่างไม่มีเงื่อนไข (ในขณะที่ครัสซัสได้รับการประเมินที่ประจบสอพลอน้อยกว่าจากนักเขียนชาวกรีก) ฟลอร์ ซึ่งประณามพวกกบฏอย่างรุนแรง ยอมรับว่าผู้นำของพวกเขาตกต่ำอย่างมีศักดิ์ศรี "เหมือนจักรพรรดิ" ยูโทรเปียส นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันผู้ล่วงลับได้จำกัดตัวเองให้กล่าวว่าสปาตาคัสและพรรคพวกของเขา "เริ่มสงครามไม่ง่ายไปกว่าสงครามที่ฮันนิบาลทำ"

ผู้เขียนโบราณประสบปัญหาบางอย่างเมื่อพวกเขาพยายามระบุว่าการจลาจลของ Spartacus เกิดจากความขัดแย้งทางทหารประเภทใดประเภทหนึ่ง นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าในแหล่งที่มา เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้จัดเป็น "สงครามทาส" ซึ่งแตกต่างจากการลุกฮือของชาวซิซิลีสองครั้ง พลูตาร์คเขียนว่าการจลาจลของกลาดิเอเตอร์ "เป็นที่รู้จักภายใต้ชื่อสงครามสปาร์ตาซิก" ฟลอร์ยอมรับว่า: “ฉันไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อสงครามที่อยู่ภายใต้การนำของสปาตาคัสชื่ออะไร เพราะพวกทาสต่อสู้ไปพร้อมกับพวกเสรี และกลาดิเอเตอร์ก็ปกครอง”; เขาวางส่วนที่เกี่ยวข้องระหว่าง "สงครามทาส" (พูดถึงการลุกฮือในซิซิลี) และ "สงครามกลางเมืองแมรี่" Titus Livy อาจประสบปัญหาดังกล่าว แต่ periochs ให้ข้อมูลน้อยเกินไปเกี่ยวกับปัญหานี้ สันนิษฐานว่า Orosius พูดในสิ่งเดียวกันเมื่อเขาถามคำถามเชิงโวหาร: "... สงครามเหล่านี้ใกล้เคียงกับสงครามภายนอกมากเพียงใดจากพลเรือนตามที่ควรจะเรียกว่าถ้าไม่ใช่พันธมิตรเมื่อชาวโรมันเอง ไม่ได้ตั้งชื่อสงครามกลางเมืองทุกที่ [ สงคราม] Sertorius หรือ Perpenna หรือ Crixus หรือ Spartacus?

นักเขียนยุคกลางไม่ได้กระตุ้นความสนใจใดๆ ในรูปของสปาตาคัส เป็นเวลาประมาณหนึ่งพันปีที่ผู้อ่านมีข้อมูลเกี่ยวกับการลุกฮือของทาสมาจาก Orosius และ Blessed Augustine และคนหลังไม่ได้กล่าวถึง Spartacus เลย ในทำนองเดียวกัน Hieronymus of Stridon ใน "พงศาวดาร" ของเขาพูดถึง "สงครามนักรบในกัมปาเนีย" ( bellum gladiatorum ในกัมปาเนีย) โดยไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้สั่งการ

เวลาใหม่

ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา Spartacus ยังคงเป็นตัวละครที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก - เนื่องจากชีวประวัติของ Crassus ของ Plutarch ไม่ได้รับความนิยมจากผู้อ่านเท่ากับส่วนอื่น ๆ ของชีวิตเปรียบเทียบ อย่างไรก็ตาม ในช่วงศตวรรษที่ 16-17 งานทั้งหมดของ Plutarch ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ของยุโรป และในศตวรรษที่ 18 ระหว่างการตรัสรู้ หัวข้อของการลุกฮือของทาสก็มีความเกี่ยวข้อง นับจากนั้นเป็นต้นมา สปาตาคัสกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับการกดขี่และการเปลี่ยนแปลงของสังคม ชื่อของเขาถูกใช้เพื่อพิสูจน์สิทธิของประชาชนในการต่อต้านการกดขี่อย่างไม่ยุติธรรมด้วยอาวุธ ดังนั้น Denis Diderot ใน "สารานุกรม" แสดงให้เห็นว่า Spartacus เป็นหนึ่งในนักสู้กลุ่มแรกเพื่อสิทธิมนุษยชนตามธรรมชาติ (1755); ในจดหมายฉบับหนึ่งของเขาที่เขียนถึงโซเรน วอลแตร์เรียกการลุกฮือของกลาดิเอเตอร์และทาสว่า "สงครามที่ยุติธรรม แท้จริงแล้วเป็นสงครามที่ยุติธรรมเพียงเรื่องเดียวในประวัติศาสตร์" (ค.ศ. 1769) สปาตาคัสกลายเป็นหัวข้อที่น่าสนใจเป็นพิเศษของนักวิทยาศาสตร์เมื่อปลายศตวรรษที่ 18 ก่อนหน้านั้น เขาถูกกล่าวถึงในผลงานทางประวัติศาสตร์เท่านั้น ตัวอย่างเช่น Bossuet ใน "วาทกรรมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทั่วไป" (1681) เขียนว่า Spartacus ยกการจลาจลขึ้นเพราะเขากระหายอำนาจ ในปี ค.ศ. 1793 มีการตีพิมพ์เอกสารฉบับแรกเกี่ยวกับการจลาจลของ Spartacus เขียนโดย August Gottlieb Meissner ผู้เขียนไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์มืออาชีพ แต่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาในหัวข้อได้อย่างมีวิจารณญาณ ในงานบางชิ้นของเขา นักประวัติศาสตร์ Barthold Niebuhr พูดถึงการลุกฮือของทาส ซึ่งปฏิบัติต่อการต่อสู้เพื่ออิสรภาพด้วยความเห็นอกเห็นใจที่เห็นได้ชัด ในความเห็นของเขา สถาบันความเป็นทาสเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำลายสาธารณรัฐโรมัน

นับตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1840 ได้มีการศึกษาแนวทางที่แตกต่างกันสองวิธีในการศึกษาการลุกฮือของสปาร์ตาคัสโดยเฉพาะและการลุกฮือของทาสโดยทั่วไป: คาร์ล มาร์กซ์และฟรีดริช เองเงิลส์เป็นผู้ให้กำเนิดการลุกฮือขึ้นในยุคแรก โดยวิธีที่สองได้รับการพัฒนาโดยธีโอดอร์ มอมม์เซน แนวความคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ครอบงำจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง Mommsen เชื่อว่าตั้งแต่ยุค Gracchi การปฏิวัติที่ยืดเยื้อเกิดขึ้นในกรุงโรม (ถูกต้องแล้ว "การปฏิวัติ" เขาเรียกส่วนนั้นของ "ประวัติศาสตร์โรมัน" ของเขาซึ่งการกระทำเริ่มต้นขึ้นหลังจากการจับกุมคาร์เธจ) นักวิทยาศาสตร์เชื่อมั่นในความอันตรายของสถาบันความเป็นทาส แต่โดยพื้นฐานแล้วถือว่าเป็นปรากฏการณ์ทางการเมือง ไม่ใช่ชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคม ในทำนองเดียวกัน "การปฏิวัติโรมัน" สำหรับเขาถูกจำกัดอยู่ในขอบเขตทางการเมือง การลุกฮือของทาส รวมถึงสงครามสปาร์ตาเซียน เป็นอาการที่ชัดเจนของวิกฤตการณ์ทั่วไปของ Mommsen แต่ไม่มีนัยสำคัญโดยอิสระ การจลาจลของทาสดูเหมือน "กบฏโจร" สำหรับเขา ความพ่ายแพ้ซึ่งถูกกำหนดโดย "วินัยของเซลโต - เยอรมัน" ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและการขาดเป้าหมายที่ชัดเจน ในเวลาเดียวกัน Mommsen ยอมรับว่าสปาร์ตักเป็น "บุคคลที่ยอดเยี่ยม" ที่แสดงความสามารถของผู้นำทหารและผู้จัดงาน และ "อยู่เหนือพรรคของเขา" ในท้ายที่สุด พวกกบฏ "ได้บังคับผู้นำของพวกเขา ซึ่งต้องการเป็นผู้บัญชาการ ให้ยังคงเป็นหัวหน้าโจรและเดินเตร่ไปทั่วอิตาลีอย่างไร้จุดหมายเพื่อปล้นสะดม" สิ่งนี้ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าถึงความพ่ายแพ้และความตายของสปาตาคัส อย่างไรก็ตาม เขาเสียชีวิต "ในฐานะชายอิสระและเป็นทหารที่ซื่อสัตย์"

มาร์กซ์และเองเงิลไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในสมัยโบราณและไม่ค่อยพูดถึงการกบฏของทาส แต่แล้วในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (ค.ศ. 1848) มีการระบุไว้ว่าประวัติศาสตร์ทั้งหมดของมนุษย์คือการต่อสู้ทางชนชั้นที่กำหนดขอบเขตทางการเมือง สังคม-เศรษฐกิจ และจิตวิญญาณ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2404 มาร์กซ์ประทับใจประวัติศาสตร์โรมันของอัปเปียนเขียนถึงเองเกลส์ว่าสปาตาคัสเป็น "ตัวแทนที่แท้จริงของชนชั้นกรรมาชีพในสมัยโบราณ" และเป็น "ชายผู้สง่างามที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคโบราณ" การตอบสนองที่สมบูรณ์ที่สุดของ Marxists ต่อ Mommsen ถูกกำหนดขึ้นในผลงานของ Johann Most ซึ่งอุทิศให้กับการเคลื่อนไหวทางสังคมในสมัยโบราณ ในนั้นผู้เขียนระบุตำแหน่งของเขาด้วยตำแหน่งของกบฏและรู้สึกเสียใจที่เป็นไปไม่ได้สำหรับยุคโบราณของการจลาจลของทาสทั่วไป (ไม่มีอะไรเช่นนี้แม้แต่ในภายหลังในประวัติศาสตร์โซเวียต) อ้างอิงจากส ส่วนใหญ่ ความแตกต่างระดับชาติที่ Mommsen เขียนเกี่ยวกับการสูญเสียความสำคัญในเงื่อนไขของการแบ่งแยกชนชั้นที่เข้มงวดของสังคม และสิ่งนี้ทำให้ "การต่อสู้ของทาสระดับนานาชาติ" เป็นไปได้ นักประวัติศาสตร์แสดงความชื่นชมในความสามารถและความกล้าหาญของสปาตาคัส แต่ในขณะเดียวกันก็ประเมินสภาพแวดล้อมของเขาในระดับต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาถือว่าคริกซัสและเอโนไมเป็น "ตัวแทนของกรุงโรม" เนื่องจากการจากไปของพวกเขาจากสปาตาคัสโดยเป็นส่วนหนึ่งของ "กองทัพปฏิวัติ" ช่วยให้กองทหารของรัฐบาลได้รับชัยชนะ

นักประวัติศาสตร์ลัทธิมาร์กซ์ได้รับการ "แก้ไข" จากมุมมองของสังคมวิทยาโดยแม็กซ์ เวเบอร์ในหนังสือเศรษฐกิจและสังคมของเขา เขาสรุปได้ว่าทาสในสมัยโบราณไม่สามารถเป็น "ชนชั้น" ในความหมายของลัทธิมาร์กซิสต์ได้เนื่องจากความแตกต่างภายในที่รุนแรงเกินไป ด้วยเหตุผลนี้ การลุกฮือของทาสจึงไม่อาจพัฒนาไปสู่การปฏิวัติและจบลงด้วยชัยชนะ และเป้าหมายของกลุ่มกบฏคือเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งเสรีภาพส่วนบุคคล แต่ไม่ทำลายสถาบันของความเป็นทาสเช่นนี้ Robert von Pölman มีความเห็นที่ต่างออกไป โดยบอกว่าเป้าหมายของ Spartacus และ Eunus คือการสร้าง "อาณาจักรแห่งความยุติธรรม"

ภายในงานปาร์ตี้ของผู้ติดตามมาร์กซ์ชาวเยอรมัน SPD ในปี 1914 กลุ่มฝ่ายค้าน Internationale ได้ก่อตั้งขึ้นซึ่งในปี 1916 เริ่มตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ Letters of Spartak; ในปี ค.ศ. 1918 กลุ่มนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "Spartacus League" และในไม่ช้าก็มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเยอรมนี นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชื่อของสปาร์ตักก็มีความเกี่ยวข้องอย่างแน่นแฟ้นกับแนวคิดของ "ลัทธิคอมมิวนิสต์"

XX-XXI ศตวรรษ

ช่วงเวลาใหม่ในการศึกษาปัญหาเริ่มขึ้นหลังปี พ.ศ. 2460-2461 เมื่อคอมมิวนิสต์เข้ามามีอำนาจในรัสเซียและประกาศตัวว่าเป็นคู่แข่งในเยอรมนี แก่นของการจลาจลสปาร์ตาคัสกลายเป็นเรื่องการเมืองอย่างยิ่ง: รัฐบาลโซเวียตเห็นในการเคลื่อนไหวนี้ว่าเป็น "การปฏิวัติระหว่างประเทศของคนทำงาน" ครั้งแรกซึ่งเป็นต้นแบบของการปฏิวัติเดือนตุลาคมที่อยู่ห่างไกล สถานะของกิจการในวิทยาศาสตร์ประวัติศาสตร์ของสหภาพโซเวียตได้รับอิทธิพลอย่างมากจากสุนทรพจน์หนึ่งของโจเซฟ สตาลินในปี 2476 ว่ากันว่าการปฏิวัติของทาส "ทำให้เจ้าของทาสหมดสภาพและยกเลิกรูปแบบการเอารัดเอาเปรียบประชาชนที่ทำงานในรูปแบบทาส " ข้อความที่สอดคล้องกันปรากฏในงานเกี่ยวกับการศึกษาโบราณและเกี่ยวกับการปฏิวัติที่ยืดเยื้อเป็นเวลาห้าศตวรรษและเกี่ยวกับการรวมตัวของทาสกับชาวนาที่ยากจนที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Alexander Mishulin ผู้เขียนหนังสือ Slave Revolutions และการล่มสลายของสาธารณรัฐโรมัน (1936) เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตามที่นักวิจัยรายนี้กล่าวว่า Spartacus ต่อสู้เพื่อเลิกทาสและ "การปฏิวัติ" ของเขาทำให้เกิด "การต่อต้านการปฏิวัติของซีซาร์" นั่นคือการเปลี่ยนจากสาธารณรัฐไปสู่จักรวรรดิ

Sergei Kovalev ใน "History of Rome" (1948) ของเขาได้วางเรื่องราวของสงคราม Spartacus ไว้ในส่วน "The Last ups of the Revolutionary Movement" ในความเห็นของเขา ฝ่ายกบฏยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนจนที่ไม่มีอิสระและต้องถึงวาระด้วยเหตุนี้และเพราะรูปแบบการครอบครองทาสกำลังเฟื่องฟูในขณะนั้น ดังนั้นในศตวรรษที่ II-I ก่อนคริสต์ศักราช e. จากมุมมองของ Kovalev ไม่มีการปฏิวัติ แต่มีเพียงการเคลื่อนไหวปฏิวัติซึ่งจบลงด้วยความพ่ายแพ้ด้วยการตายของ Spartacus การปฏิวัติเริ่มขึ้นในภายหลังและชนะด้วยความร่วมมือของ "ชนชั้นที่ถูกกดขี่" กับพวกอนารยชน นักวิทยาศาสตร์เขียนว่า: "โศกนาฏกรรมของสปาร์ตาคัส เช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ คือการที่เขาอยู่ก่อนเวลาของเขาหลายศตวรรษ"

หลังจากการเริ่ม "ละลาย" มุมมองของนักวิทยาศาสตร์โซเวียตก็เปลี่ยนไป Sergei Utchenko กล่าวในปี 2508 ว่านักวิชาการโบราณ "อยู่ภายใต้การสะกดจิต" ของสูตรสตาลินมานานแล้วและด้วยเหตุนี้ บทบาทของทาสในประวัติศาสตร์โรมันจึงเกินจริงโดยไม่สนใจข้อเท็จจริงง่ายๆ เขาละทิ้งวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับ "การปฏิวัติของทาส" อย่างเด็ดขาดและเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างการจลาจลและการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบราชาธิปไตย ในเวลาเดียวกัน สำหรับ Utchenko Spartakov สงครามยังคงเป็นการปฏิวัติ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ "การรวมตัวของชนชั้นปกครอง"

ตำแหน่งของนักวิทยาศาสตร์จากประเทศอื่น ๆ และขบวนการทางปัญญาอื่น ๆ ของศตวรรษที่ 20 ในบางกรณีก็ถูกตีความโดยนักวิจัยในภายหลังว่ามีความทันสมัยอย่างไม่ยุติธรรมและได้รับอิทธิพลจากอุดมการณ์ต่างๆ นักทรอตสกีชาวอังกฤษ ฟรานซิส ริดลีย์เรียกการลุกฮือของสปาตาคัสว่า "หนึ่งในการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์" และผู้นำของกลุ่มทรอตสกี้คือ "ทรอตสกี้แห่งทาส" หรือ "เลนินแห่งขบวนการทางสังคมยุคก่อนทุนนิยม" ตามคำกล่าวของริดลีย์ในสมัยโบราณ ทาสต่อต้านคนที่เป็นอิสระทั้งหมด เป้าหมายของการจลาจลคือการทำลายความเป็นทาส และผลลัพธ์ของความพ่ายแพ้คือชัยชนะของ "ลัทธิฟาสซิสต์" นั่นคือการสถาปนาอำนาจส่วนตัวของซีซาร์ ชาวเยอรมัน Ulrich Karstedt ผู้โต้เถียงกับพวกมาร์กซิสต์และเห็นอกเห็นใจลัทธินาซี ระบุการลุกฮือของทาสด้วยขบวนการบอลเชวิค และเห็นในสงครามสปาตาคัสเป็นส่วนหนึ่งของ "การโจมตีกรุงโรมจากตะวันออก"

อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการที่ทำการวิจัยเชิงวิชาการในแง่มุมต่างๆ ของการลุกฮือของทาสอยู่เสมอ และไม่ได้ใช้การเปรียบเทียบในวงกว้าง โดยทั่วไป ระดับของอุดมคติหลังสงครามโลกครั้งที่สองค่อยๆ ลดลง และส่วนแบ่งของงานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสปาร์ตาคัสในกระแสทั่วไปของวรรณกรรมโบราณก็เพิ่มขึ้น แนวคิดดั้งเดิมถูกสร้างขึ้นในเอกสาร "Spartacus" โดย Antonio Guarino (1979) ชาวอิตาลีซึ่งแนะนำว่าไม่มี "สงครามทาส": เนื่องจาก Spartacus เข้าร่วมนอกเหนือไปจากทาสและนักสู้รวมถึงคนเลี้ยงแกะและชาวนา ค่อนข้างเป็นการจลาจลในชนบทของอิตาลีต่อเมือง อิตาลีที่ยากจนกับคนรวย ความคิดเห็นที่คล้ายคลึงกันนี้ได้รับการแบ่งปันโดย Yuri Zaborovsky ซึ่งเชื่อว่าพวกกบฏจะไม่สามารถอยู่ในอิตาลีได้นานขนาดนั้น รับอาหารและดำเนินการลาดตระเวนที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากประชากรในท้องถิ่น ตามคำบอกเล่าของนักโบราณวัตถุชาวรัสเซีย A. Egorov สมมติฐานของ "สองอิตาลี" ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุดในนิยาย - โดย Giovagnoli และ Howard Fast

จากมุมมองของนักวิชาการบางคน การมีส่วนร่วมในการจลาจลของชนเผ่า Italic จำนวนหนึ่งที่ไม่ได้รับสัญชาติโรมันในช่วงทศวรรษ 70 ทำให้เหตุการณ์เหล่านี้เป็น "รุ่นที่สอง" ของสงครามฝ่ายสัมพันธมิตร นอกจากนี้ยังมีสมมติฐานเกี่ยวกับความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดของการจลาจลกับสงครามกลางเมืองของโรมัน: ตัวอย่างเช่น V. Nikishin เชื่อว่าการย้ายไปยังเทือกเขาแอลป์ใน 72 ปีก่อนคริสตกาล e., Spartacus ไปติดต่อกับ Quintus Sertorius ซึ่งทำงานอยู่ในสเปน และแม้กระทั่งรับข้อเสนอแนะของ A. Valentinov ที่ว่าแรงผลักดันหลักที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้คือตัวแทนของ "พรรค" ของ Marian

ในวัฒนธรรม

XVIII-XIX ศตวรรษ

Spartacus ปรากฏตัวในศิลปะยุโรปตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ดังนั้นในปี ค.ศ. 1726 การแสดงรอบปฐมทัศน์ของโอเปร่า Spartacus โดย Giuseppe Porsile นักแต่งเพลงชาวอิตาลีจึงเกิดขึ้นในกรุงเวียนนาซึ่งมีการบรรยายตัวละครในโทนสีเชิงลบและชัยชนะของชาวโรมันก็ได้รับเกียรติ ในปี ค.ศ. 1760 นักเขียนบทละครชาวฝรั่งเศส เบอร์นาร์ด โจเซฟ โซเรน ได้เขียนโศกนาฏกรรมชื่อเดียวกัน สปาตาคัสเป็นตัวละครที่เป็นบวกในนั้น ละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากกับผู้ชมชาวฝรั่งเศสจนถึงต้นศตวรรษที่ 19 ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ XVIII ชื่อของ Spartacus เริ่มดังขึ้นในแวดวงปัญญาชนของเยอรมนี Gotthold Ephraim Lessing ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากบทละครของ Soren วางแผนที่จะเขียนโศกนาฏกรรมภายใต้ชื่อเดียวกันและมีการปฐมนิเทศต่อต้านการกดขี่ข่มเหง อย่างไรก็ตาม มีเพียงส่วนเดียวเท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้น (1770) ศาสตราจารย์อดัม ไวชอปต์ ซึ่งก่อตั้งในปี ค.ศ. 1776 ในอินกอลสตาดท์ในสังคมของบาวาเรีย อิลลูมินาติ ซึ่งสมาชิกทั้งหมดควรจะมีชื่อโบราณ ตั้งชื่อให้ตัวเอง สปาตาคัส. Franz Grillparzer ในปี ค.ศ. 1811 เขียนบทละครภายใต้ชื่อนี้ ในยุคของสงครามนโปเลียน สปาร์ตาคัสกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่ออิสรภาพกับฝรั่งเศส

หากภายในกรอบของวัฒนธรรมฝรั่งเศส Spartacus ถูกรับรู้ในบริบทของการต่อสู้ระหว่างชนชั้นทางสังคมเป็นหลัก นักเขียนชาวเยอรมันมักใช้ภาพนี้ในพื้นที่ประเภทของ "โศกนาฏกรรมของฟิลิปปินส์" เพื่อให้แนวความรักมาถึงข้างหน้า บทละครเกี่ยวกับการลุกฮือของทาส (เช่น รักตัวละครหลักที่มีต่อลูกสาวของครัสซัส) กฎนี้เป็นลักษณะของละครที่เรียกว่า "Spartacus" ซึ่งเขียนโดย T. de Sechel (นี่คือนามแฝง) และ Ernst von Wildenbusch ในปี 1861 และ 1869 ตามลำดับ; สำหรับ "The Patrician" โดย Richard Vos (1881) และ "Prusia" โดย Ernst Eckstein (1883) โดยทั่วไป หัวข้อของการจลาจลได้รับการพัฒนาโดยนักเขียนชาวเยอรมันอย่างระมัดระวัง ความเข้าใจในโครงเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากปีพ. ศ. 2451 เมื่อข้อความที่เขียนด้วยจิตวิญญาณของนักแสดงออกโดย Georg Himes ได้รับการตีพิมพ์

สำหรับชาวฝรั่งเศส ชื่อของสปาตาคัสยังคงเชื่อมโยงกับแนวความคิดปฏิวัติตลอดศตวรรษที่ 19 ในอาณานิคมของฝรั่งเศสแห่งหนึ่ง ในเฮติ มีการจลาจลของทาส ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จบลงด้วยชัยชนะ ผู้นำของกลุ่มกบฏ Francois Dominique Toussaint-Louverture ถูกเรียกว่า "black Spartacus" โดยหนึ่งในโคตรของเขา ประติมากร Denis Foitier การปฏิวัติเดือนกรกฎาคมปี 1830 เป็นแรงบันดาลใจให้สร้างรูปปั้นของ Spartacus ซึ่งติดตั้งอยู่ถัดจากพระราชวังตุยเลอรี อีกรูปประติมากรรมของผู้นำการจลาจลกลาดิเอเตอร์ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2390 โดยพรรครีพับลิกัน Vincenzo Vela (ชาวสวิสโดยกำเนิด) ซึ่งใช้โครงเรื่องนี้เพื่อส่งเสริมความคิดเห็นของเขา

ในประเทศเพื่อนบ้านของอิตาลี ซึ่งในศตวรรษที่ 19 กำลังประสบกับช่วงเวลาแห่งการเพิ่มขึ้นของระดับชาติและการต่อสู้เพื่อการรวมประเทศ ผู้เข้าร่วมที่โดดเด่นในการต่อสู้นี้เริ่มเปรียบได้กับสปาร์ตาคัส ดังนั้น Raffaello Giovagnoli ในนวนิยายเรื่อง "Spartacus" (1874) ซึ่งแสดงภาพตัวละครในชื่อเรื่อง ส่วนหนึ่งมีอยู่ในใจ Giuseppe Garibaldi หลังเขียนถึง Giovagnoli: "คุณ ... ภาพของ Spartacus - พระคริสต์ผู้ไถ่ทาส - ถูกแกะสลักด้วยสิ่วโดย Michelangelo ... " ฮีโร่ของนวนิยายเรื่องนี้รวบรวม "อิตาลีผู้น่าสงสาร" ทั้งหมดในการต่อสู้กับผู้กดขี่ ล้อมรอบด้วยรัศมีที่โรแมนติก เขากำลังเจรจาการเป็นพันธมิตรกับ Gaius Julius Caesar และ Lucius Sergius Catilina และ Valeria ภรรยาคนสุดท้ายของ Lucius Cornelius Sulla ผู้เป็นที่รักของ Spartacus นวนิยายของ Giovagnoli ประสบความสำเร็จอย่างมากในหลายประเทศ และผู้อ่านคนแรกของเขามองว่า Spartacus เป็นนักปฏิวัติ ในแง่นี้ มันเป็นลักษณะเฉพาะที่นักประชานิยมและผู้สนับสนุน "โฆษณาชวนเชื่อด้วยการกระทำ" Sergei Stepnyak-Kravchinsky แปลหนังสือเล่มนี้เป็นภาษารัสเซีย

ในสหรัฐอเมริกา ชื่อ Spartacus ได้รับชื่อเสียงจากการผลิตภาพยนตร์ของ Robert Montgomery Bird ในปี 1831 เรื่อง The Gladiator ในขั้นต้น การจลาจลของทาสถูกมองว่าเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกันของสงครามเพื่ออิสรภาพ ในเวลาเดียวกัน สปาร์ตาคัสได้กลายเป็นบุคคลสำคัญสำหรับกลุ่มผู้นิยมลัทธิการล้มเลิกการที่เริ่มการต่อสู้กับการเป็นทาสในรัฐทางใต้ จอห์น บราวน์ถูกนำไปเปรียบเทียบกับเขา ซึ่งในปี พ.ศ. 2402 ได้พยายามปลุกระดมให้เกิดการเลิกทาส แต่พ่ายแพ้และถูกประหารชีวิต

ศตวรรษที่ XX และ XXI

ผู้นำของการจลาจลของทาสได้รับความนิยมเป็นพิเศษในโซเวียตรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1918 ตามแผนของเลนินสำหรับการโฆษณาชวนเชื่อครั้งใหญ่ มีการวางแผนที่จะสร้างอนุสาวรีย์ให้กับสปาตาคัส เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีการพิจารณารายชื่อบุคคลที่ควรจะสร้างอนุสาวรีย์ในมอสโกและเมืองอื่น ๆ ของรัสเซียซึ่งรวบรวมภายใต้การนำของ A.V. Lunacharsky ทางสังคม เฟด นกฮูก สาธารณรัฐ". เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม รายชื่อสุดท้ายที่ลงนามโดย V. I. Lenin ได้รับการตีพิมพ์ใน Izvestia ของคณะกรรมการบริหารกลาง All-Russian รายชื่อแบ่งออกเป็น 6 ส่วนและมี 66 ชื่อ ในส่วนแรก "นักปฏิวัติและบุคคลสาธารณะ" Spartacus อยู่ในอันดับหนึ่ง (นอกเหนือจากเขาแล้ว Tiberius Gracchus และ Brutus ยังรวมอยู่ในรายชื่อจากตัวแทนของประวัติศาสตร์โบราณ)

ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 1920 ภาพลักษณ์ในตำนานของนักสู้เพื่อความยุติธรรมทางสังคมได้รับการแนะนำอย่างแข็งขันในจิตสำนึกของมวลชนจากเบื้องบน อันเป็นผลมาจากถนนและสี่เหลี่ยม สปาตาคัสหรือ สปาร์ตักยังคงมีอยู่ในเมืองรัสเซียหลายแห่ง ชื่อ สปาตาคัสค่อนข้างเป็นที่นิยมในบางครั้ง (ผู้ให้บริการที่รู้จักกันดีคือนักแสดง Spartak Mishulin) และยังคงใช้ในรัสเซียและยูเครน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2464 ในสหภาพโซเวียตรัสเซียได้มีการจัดการแข่งขันกีฬา - การแข่งขันกีฬาที่เดิมควรจะแทนที่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและในปี พ.ศ. 2478 สมาคมกีฬาสปาร์ตักได้ก่อตั้งขึ้นซึ่งก่อให้เกิดสโมสรและทีมที่มีชื่อเดียวกันหลายแห่ง กีฬาต่าง ๆ จากเมืองต่าง ๆ ของสหภาพโซเวียต ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือมอสโก "สปาร์ตัก" สองแห่ง - ฟุตบอลและฮ็อกกี้ ในบรรดาแฟน ๆ ของมอสโก "สปาร์ตัก" มีกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "นักสู้" และใช้หมวกแกลดิเอเตอร์เป็นสัญลักษณ์ ตามรูปแบบของสหภาพโซเวียต ทีมที่มีชื่อว่า "สปาร์ตัก" ได้ปรากฏตัวขึ้นในประเทศแถบยุโรปตะวันออกในเวลาต่อมา ซึ่งบางทีมยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ (ในบัลแกเรีย ฮังการี สโลวาเกีย)

ในโอกาสครบรอบ 2000 ปีของการจลาจล Vasily Yan นักเขียนชาวโซเวียตได้สร้างเรื่อง "Spartacus" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการโต้เถียงกับ Giovagnoli (1932) เขาพูดต่อต้านความโรแมนติกของภาพเขียนในบทความหนึ่งในนวนิยายอิตาลี

สปาตาคัสไม่ได้ถูกดึงออกมาโดยธราเซียนที่เข้มงวดและทรงพลัง ... ในขณะที่เขาเป็นไปตามคำอธิบายของ Appian, Plutarch, Florus และนักประวัติศาสตร์ชาวโรมันคนอื่น ๆ แต่โดย "พระคริสต์ของผู้รับใช้" ผู้ซึ่งเป็นเหมือนอัศวินที่โรแมนติกหน้าแดง และกลายเป็นสีซีดและร้องไห้และพร้อมกันกับงานอันยิ่งใหญ่ในการปลดปล่อยทาสเขาถูกครอบงำด้วยความรู้สึกรักสำหรับวาเลเรีย - "ความงามอันศักดิ์สิทธิ์" ขุนนางขุนนางผู้ร่ำรวยและมีเกียรติภรรยาของเผด็จการซัลลา (! ) เพื่อประโยชน์ในการที่เขาออกจากค่าย (!!) และรีบไปเดทกับเธอ (! !!)... นิยายเรื่องนี้เต็มไปด้วยความไม่ถูกต้องทางประวัติศาสตร์ การประดิษฐ์ และการพูดเกินจริงอื่นๆ

วาซิลี่ ยัน. เดินทางสู่อดีต.

เรื่องราวของแจน ซึ่ง Spartacus ถูกพรรณนาว่าเป็นคนที่มีความคิดที่ยอดเยี่ยม "ความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ" ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก "ความหลงใหลในการปลดปล่อยทาสและความเกลียดชังต่อเผด็จการ" กลับกลายเป็นว่าไม่ประสบความสำเร็จจากมุมมองทางศิลปะ งานวรรณกรรมในหัวข้อนี้เขียนเป็นภาษารัสเซียรวมถึงนวนิยายของ Valentin Leskov (1987, ซีรีส์ "The Life of Remarkable People") บทกวีของ Mikhail Kazovsky "The Legend of Perperikon" (2008) เรื่องราวของเด็กโดย Nadezhda Bromley และ Natalia Ostromentskaya "การผจญภัยของเด็กชายกับสุนัข" (1959) ในประเทศอื่น ๆ ของค่ายสังคมนิยม นวนิยายของโปแลนด์ Galina Rudnitskaya "Children of Spartacus" และ Todor Harmandzhiev ของบัลแกเรีย "Spartacus - Thracian จากเผ่า honeys" ได้รับการตีพิมพ์

ในประเทศตะวันตก ความสนใจในร่างของสปาตาคัสเพิ่มมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1930 ต้องขอบคุณนวนิยายของชาวอังกฤษ Lewis Crassic Gibbon (1933) ในปี 1939 อาเธอร์ โคเอสเลอร์ อดีตคอมมิวนิสต์คอมมิวนิสต์ได้ตีพิมพ์นวนิยายเรื่องกลาดิเอเตอร์ ซึ่งเขาพยายามพรรณนาถึงความหวาดกลัวที่ยิ่งใหญ่ของสหภาพโซเวียตในรูปแบบปิดบัง ศัตรูที่แปลกประหลาดของเขาคือ Howard Fast นักเขียนคอมมิวนิสต์ชาวอเมริกัน ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง "Spartacus" ในคุก ซึ่งเขาลงเอยด้วยความผิดทางการเมือง (1951) นวนิยายเรื่องนี้กลายเป็นหนังสือขายดีและได้รับการแปลเป็นหลายภาษา และในปี 1954 ได้รับรางวัล Stalin Peace Prize มันถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ขนาดใหญ่ในฮอลลีวูดในปี 1960; กำกับการแสดงโดยสแตนลีย์ คูบริก และนำแสดงโดยเคิร์ก ดักลาส ทั้งในหนังสือและในภาพยนตร์ สปาร์ตาคัสไม่ตายในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย แต่เป็นหนึ่งในกลุ่มกบฏ 6,000 คนที่ถูกตรึงบนเส้นทางอัปเปียน

ภาพยนตร์ของ Kubrick เป็นเพียงหนึ่งในหลายผลงานภาพยนตร์เกี่ยวกับ Spartacus ภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้เริ่มถ่ายทำไม่เกินปี 2456 นวนิยายของ Giovagnoli ดัดแปลงอย่างน้อยสามเรื่อง ได้แก่ ภาษาอิตาลี 1913 (กำกับโดย Giovanni Enrico Vidali), โซเวียต 1926 (กำกับโดย Muhsin-Bey Ertugrul, Nikolai Deinar เป็น Spartak), อิตาลี 1953 (กำกับโดย Riccardo Freda เป็น Spartak - Massimo Girotti ). ภาพยนตร์เรื่อง "Spartacus and the Ten Gladiators" ก็ออกฉายเช่นกัน - (อิตาลี - สเปน - ฝรั่งเศส, 1964, ผู้กำกับ Nick Nostro, นำแสดงโดย Alfredo Varelli), "Spartacus" (GDR, 1976, ผู้กำกับ Werner Peter, ในบทบาทของ Spartacus - Goiko Mitic), มินิซีรีส์เรื่อง "Spartacus" (USA, 2004, ผู้กำกับ Robert Dornhelm, นำแสดงโดย Goran Visnjic) ในเวลาเดียวกัน ภาพยนตร์ของ Kubrick ก็ประสบความสำเร็จมากที่สุด และบนพื้นฐานของภาพลักษณ์ที่เป็นที่ยอมรับของ Spartacus ได้ถูกสร้างขึ้นสำหรับวัฒนธรรมตะวันตก

ในปี 2010-2013 ละครโทรทัศน์เรื่อง Spartacus ของอเมริกาออกฉายทางโทรทัศน์ (กำกับโดย Michael Hirst, Rick Jacobson, Jesse Warne นำแสดงโดย Andy Whitfield และต่อมาคือ Liam McIntyre) โครงเรื่องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อมูลของแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ แต่ฉากแอ็คชั่นเต็มไปด้วยฉากที่โหดร้าย ผู้เชี่ยวชาญมองว่านี่เป็นการแสดงให้เห็นแนวโน้มทั่วไปในภาพยนตร์เกี่ยวกับสมัยโบราณ ซึ่งได้แสดงออกมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากต้นแบบทางประวัติศาสตร์ไปสู่เนื้อหาที่ไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่มีความคมชัด หัวข้อของการจลาจลของทาสและกลาดิเอเตอร์มีแนวโน้มโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแนวโน้มนี้เนื่องจากช่วยให้ความโหดร้ายของตัวละครได้รับการพิสูจน์ด้วยความปรารถนาที่จะแก้แค้น

Spartacus ก็กลายเป็นฮีโร่ของผลงานดนตรีหลายชิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่คือบัลเล่ต์สำหรับดนตรีของ Aram Khachaturian (1956), ละครเพลงโดย Jeff Wayne (1992) และ Eli Shuraki (2004)

“ฉันสปาตาคัส!” ส่วนสำคัญของสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์คือชาวโรมันโบราณซึ่งท่วมช่องโทรทัศน์ทั้งหมดและภาพยนตร์เกี่ยวกับหัวข้อในพระคัมภีร์โดยเฉพาะ Spartacus (1960) ซึ่งทะเลาะกับสแตนลีย์คูบริกและเคิร์กดักลาสไม่โดดเด่นด้วยความน่าเชื่อถือของเหตุการณ์และไม่ได้ ตอบคำถามว่าเขาเป็นใคร คือ สปาตาคัส

นอกจากสิ่งที่เล่าในตำนานแล้ว เรารู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับสปาตาคัส หนังสือของนักเขียนโบราณกล่าวว่า Spartacus เป็นทหาร ชาว Thrace (บัลแกเรียสมัยใหม่) ซึ่งประจำการในหน่วยเสริมของกองทัพโรมัน ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับยุทธวิธีทางทหารของจักรวรรดิโรมันเป็นอย่างดี ตามตำนานเล่าว่า Spartacus ถูกทิ้งร้าง ถูกจับ ถูกบังคับให้ทำงานในเหมืองหินชอล์ค และด้วยความรู้เกี่ยวกับกิจการทหาร โรงเรียนนักสู้ใน Capua ซึ่งเป็นของ Lentulus Batiatus ก็ซื้อกิจการออกไป

กบฏทาสที่มีชื่อเสียงที่สุด

แม้ว่าคนอิสระหลายคนใฝ่ฝันที่จะลองเสี่ยงโชค แต่โรงเรียนกลาดิเอเตอร์ส่วนใหญ่คัดเลือกเชลยศึกประณามโฆษณากลาเดียม ("ดาบ") และการบังคับใช้แรงงานและทาสที่อาจารย์ส่งไปโรงเรียนเหล่านี้เพื่อฝึกอบรมโดยมีจุดประสงค์เพื่อรับใช้เพิ่มเติมในฐานะผู้คุ้มกัน การฝึกนั้นยากที่สุด สำหรับการต่อสู้อย่างต่อเนื่องในสนามประลอง ต้องใช้ความอดทนอย่างแน่วแน่ ในเวลาเดียวกัน เหล่ากลาดิเอเตอร์ที่ต้องดูแลสุขภาพของพวกเขา ใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ และหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็สามารถซื้ออิสรภาพได้

ในบรรดาทาสซึ่งมีประชากรมากกว่า 20% ของจักรวรรดิโรมันทั้งหมดและถูกดูหมิ่นและการล่วงละเมิดจากเจ้านายทุกประเภท กลาดิเอเตอร์เป็นชนชั้นที่มีสิทธิพิเศษ โดยหลักแล้วเพราะพวกเขาเข้าถึงอาวุธได้อย่างต่อเนื่อง ในฤดูร้อน 73 ปีก่อนคริสตกาล นักสู้ 80 คน นำโดยสปาตาคัส หนีออกจากโรงเรียนในคาปัวและไปซ่อนที่เชิงวิสุเวียส จากที่นั่นเกิดการจลาจลที่มีชื่อเสียงของทาสหลายพันคน
ในบรรดากลาดิเอเตอร์ที่นำโดยสปาตาคัสและเซลติกส์อีกสองคน - คริกซัสและเอโนไม ล้วนเป็นผู้คนจากทั่วจักรวรรดิโรมัน - ธราเซียน เซลติกส์ เยอรมัน และสลาฟ พวกเขาแทบไม่มีอาวุธเลย และพวกเขาพึ่งพากำลังของตัวเองเท่านั้น ในไม่ช้า Spartacus ผู้นำทางทหารที่มีทักษะ ก็สามารถจัดการฝูงชนชายและหญิงที่กระจัดกระจายจากชนเผ่าต่างๆ เข้าสู่กองทัพที่สามารถเอาชนะกองทัพกงสุลสองแห่งได้ และในไม่ช้าก็เตรียมทหารเกณฑ์สำหรับตำแหน่งของพวกเขา

ในเวลานั้น กองทหารโรมันที่ดีที่สุดอยู่นอกคาบสมุทร Apennine Praetors Gaius Glaber และ Varinius ถูกจับด้วยความประหลาดใจบนเนินเขาของ Vesuvius โดยกองทัพทหารเกณฑ์ซึ่งไม่ใช่ทาสจากเมืองใหญ่ที่แห่กันไป แต่เป็นชาวนาที่หลบหนีชาวทะเลทรายและชาวบ้านอื่น ๆ

เมื่อพิจารณาจากแรงโน้มถ่วงของสถานการณ์แล้ว กงสุล Lucius Gellius และ Gnaeus Lentulus ในขณะนั้นจึงเข้ารับหน้าที่ดูแลปฏิบัติการดังกล่าวเป็นการส่วนตัว Lucius Gellius ไปทางใต้และเอาชนะกองทัพที่ 2 หมื่นแห่ง Crixus บนเนินเขา Mount Gargan ใน Apulia ในเวลานี้ Gnaeus Lentulus ได้ต่อสู้กับกองทัพของ Spartacus ทางตอนเหนือ และ Gellius ตัดสินใจเข้าร่วมกับเขาเพื่อทำให้การจลาจลสงบลงในที่สุด อย่างไรก็ตาม Gnaeus Lentulus ก็พ่ายแพ้ สปาตาคัสโจมตีเกลลิอุส และแม้แต่กองทัพกงสุลสหพันธ์ก็ไม่สามารถต้านทานธราเซียนได้

มาตรการรุนแรง

ด้วยความกังวลเกี่ยวกับขนาดของการจลาจล วุฒิสภาจึงส่ง Marcus Licinius Crassus บุรุษผู้มั่งคั่งและทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในกรุงโรมไปต่อสู้กับ Spartacus Crassus ซึ่งได้รับตำแหน่ง praetor ซึ่งประสงค์จะฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยในกองทหารโรมัน กลับคืนสู่ประเพณีการทำลายล้างของชาวโรมันโบราณ ทหารแต่ละสิบคนจับฉลาก และคนที่เขาล้มลง อีกเก้านายที่เหลือถูกขว้างด้วยก้อนหินหรือทุบตีด้วยไม้กระบอง นอกจากนี้ สำหรับ 90% ของนักรบที่เหลือ ปันส่วนข้าวสาลีถูกเปลี่ยนเป็นข้าวบาร์เลย์ และพวกเขาต้องตั้งเต็นท์นอกค่ายทหาร มาตรการที่รัดกุมเช่นนี้ค่อนข้างเป็นอันตรายต่อขวัญกำลังใจ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เมื่อกลุ่มทาสสามารถปลุกการจลาจลในใจกลางคาบสมุทร Apennine ได้

บริบท

พบซากโรงเรียนกลาดิเอเตอร์ในออสเตรีย

ดังที่นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ เอเดรียน โกลด์สเวิร์ธี เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อ In the Name of Rome: The Men Who Made an Empire, Spartacus และกองทัพของเขา เมื่อเห็นว่าพวกเขาถูกคุมขัง จึงจัดกลุ่มโจรสลัดซิลิเซียที่สัญญาว่าจะขนส่งพวกกบฏไปยังซิซิลี ซึ่งทำได้ กลายเป็นฐานที่มั่นที่แข็งแกร่งของพวกกบฏ อย่างไรก็ตาม ชาวโรมันคาดการณ์ถึงเจตนาของสปาตาคัส ติดสินบนโจรสลัดเพื่อทรยศทาสธราเซียน

ผู้นำกบฏพยายามใช้อุบายของฮันนิบาลด้วยความสิ้นหวัง ในคืนที่มีพายุ เขารวบรวมโคและโคให้ได้มากที่สุด ติดคบไฟที่เขาของมัน และปล่อยพวกมันเข้าไปในเขตที่เปิดเผยที่สุดของศัตรู กองกำลังโรมันตั้งสมาธิตรงจุดไฟที่กำลังมุ่งหน้าไป แต่ไม่นานก็พบว่าไม่ใช่ผู้คน แต่เป็นวัวกระทิง พวกกบฏฉวยโอกาสจากความสับสนและข้ามผ่านโดยไม่มีใครสังเกตเห็น

การลงโทษที่โหดร้าย

แม้จะมีกลอุบายที่ฉลาดแกมโกง Spartacus ถูกบังคับให้พบกับพยุหเสนาแห่ง Crassus ใน 71 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนเริ่มปฏิบัติการ อดีตกลาดิเอเตอร์ตัดคอม้าเพื่อแสดงว่าเขาพร้อมที่จะต่อสู้จนถึงที่สุด และมันก็เกิดขึ้น พลูทาร์คเขียนว่านักรบธราเซียนรีบไปที่ครัสซัส สังหารนายร้อยสองคนของเขา และล้มลงท่ามกลางศัตรู กลุ่มกบฏส่วนใหญ่เสียชีวิตในสนามรบ ทหาร 6,000 นายยอมจำนนและถูกตรึงกางเขนตามทางอัปเปียนจากคาปัวไปยังกรุงโรมเพื่อยับยั้งทาสที่เหลือ ไม่เคยพบศพของสปาตาคัสเลยแม้แต่น้อยในหมู่ผู้ถูกตรึงกางเขนหรือในหมู่ผู้ที่ถูกสังหารในสนามรบ

หลังจากชัยชนะของ Crassus ผู้ฝันถึงชัยชนะ วุฒิสภาได้แต่งตั้งชัยชนะเพียงเล็กน้อยด้วยการปรบมือเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องพลีชีพด้วยภาพลักษณ์ของสปาร์ตาคัส ในขณะเดียวกัน Gnaeus Pompey ซึ่งเข้าร่วมในส่วนสุดท้ายของการรณรงค์ก็เริ่มแสวงหาสถานกงสุลและชัยชนะในสเปนซึ่งมอบให้กับเขา ดังนั้นปอมปีย์ซึ่งเอาชนะทาสเพียงไม่กี่พันคนจึงเข้ายึดครองรัศมีส่วนใหญ่ของ Crassus อย่างไม่สมควร “ครัสซัสเอาชนะพวกทาสที่หนีไปเท่านั้น และปอมปีย์ก็ถอนรากถอนโคนของกบฏ” เพชฌฆาตคนโปรดของเผด็จการซัลลายืนกราน ความขัดแย้งระหว่าง Crassus และ Pompey ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองใหม่ในปีต่อ ๆ ไป

เอกสารของ InoSMI มีเพียงการประเมินสื่อต่างประเทศและไม่สะท้อนตำแหน่งของบรรณาธิการของ InoSMI

Spartacus (lat. Spartacus; ปีเกิดไม่ทราบแน่ชัด (ประมาณ 110 ปีก่อนคริสตกาล), Thrace - 71 BC ใกล้แม่น้ำ Silari, Apulia) - นักสู้ชาวโรมันนำการจลาจลในดินแดนของอิตาลีสมัยใหม่ในช่วง 74 BC อี - 71 ปีก่อนคริสตกาล e .. กองทัพของเขาซึ่งประกอบด้วยนักสู้และทาสที่หลบหนีได้เอาชนะกองทัพโรมันหลายคนในการต่อสู้หลายครั้ง เหตุการณ์เหล่านี้ลงไปในประวัติศาสตร์ในฐานะกบฏสปาตาคัส การจลาจลของทาสที่ใหญ่เป็นอันดับสามในกรุงโรม

ไม่ค่อยมีใครรู้จักสปาตาคัส ไม่มีใครรู้ว่าเขาเกิดที่ไหน พ่อแม่ของเขาเป็นใคร เขาอายุเท่าไหร่ตอนที่เขาตาย เขาเสียชีวิตอย่างไรไม่เป็นที่รู้จัก มีการสันนิษฐานว่าเขาถูกประหารชีวิต หรือบางทีเขาอาจเสียชีวิตในสนามรบ แต่ถ้าไม่มีใครรู้เกี่ยวกับตัวเขา เหตุใดบุคลิกของเขาจึงเป็นที่สนใจเช่นนี้มาเป็นเวลานาน? เหตุใดเขาจึงเริ่มกบฏได้และอย่างไร เราจำเป็นต้องคิดออกทุกอย่าง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเขามาจากสกุล Spartokids แม้ว่าจะมีความคิดเห็นดังกล่าว แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อเพราะไม่มีหลักฐาน นักประวัติศาสตร์โบราณเขียนว่าเขาเกิดที่เมืองเทรซ เขากลายเป็นหนึ่งในผู้นำของเผ่าธราเซียน เขาเป็นนักรบที่มีฝีมือและมีฝีมือ มีความเป็นไปได้ที่เขารับใช้ในกองทัพโรมัน แต่จากนั้นก็หนีไปและเป็นผู้นำการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยของชาวธราเซียนเพื่อต่อต้านชาวโรมัน Spartacus ถูกจับและทำเป็นกลาดิเอเตอร์

ชีวิตของกลาดิเอเตอร์นั้นยากกว่าชีวิตของทาส โรงเรียนพิเศษถูกสร้างขึ้นสำหรับพวกเขาซึ่งพวกเขาได้รับการสอนให้จัดการอาวุธ สปาร์ตักเข้าโรงเรียนดังกล่าว ถ้าในระหว่างการต่อสู้กลาดิเอเตอร์ชนะ เขาจะได้รับอิสรภาพ อย่างไรก็ตาม ฉันต้องต่อสู้กับคนกลุ่มเดิมที่กระหายอิสรภาพ และบางครั้งฉันต้องต่อสู้กับสัตว์ป่า สปาตาคัสชนะการต่อสู้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาพอใจ เขาไม่เพียงแต่แข็งแกร่งกว่านักรบคนอื่นๆ เท่านั้น แต่เขายังฉลาดอีกด้วย ความสามารถของเขาเป็นที่สังเกต และเขาก็กลายเป็นครูสอนฟันดาบที่โรงเรียนกลาดิเอเตอร์ในคาปัว สปาร์ตักยังคงไม่สามารถตกลงกับตำแหน่งของเขาได้ เขาวางแผนสมรู้ร่วมคิดเกี่ยวกับ 200 ทาสนักสู้ โครงเรื่องถูกเปิดเผย แต่สปาร์ตักและคนอื่น ๆ อีกหลายคนสามารถหลบหนีได้ พวกเขาไปลี้ภัยที่ภูเขาวิสุเวียส มีไม่กี่คน - 70 คน อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าพวกเขาก็เข้าร่วมกับทาสจากละแวกใกล้เคียงและไกลโพ้น

เพื่อบดขยี้การจลาจล ชาวโรมันจึงส่งกองทหารและตัดสินใจขับไล่พวกกบฏออกไป อย่างไรก็ตาม สปาตาคัสก็สามารถเอาชนะพวกเขาได้ กองทหารของเขาลงมาจากภูเขาและโจมตีกองทหารโรมันที่ด้านหลัง พวกกลาดิเอเตอร์เอาชนะกองทัพโรมัน ยึดอาวุธและไปที่เทือกเขาแอลป์ ชื่อเสียงของสปาตาคัสแพร่กระจายไปทั่วอิตาลี นักรบผู้ดื้อรั้นมีอาวุธที่ไม่ค่อยดี พวกเขาก็มีมีดและเดิมพันจากอาวุธด้วย อย่างไรก็ตาม Spartacus ฝึกฝนพวกเขาและในไม่ช้าพวกเขาก็สามารถต่อสู้กับกองทัพโรมันได้อย่างเท่าเทียมกัน จำนวนทหารเพิ่มขึ้น หลังจากการต่อสู้ที่ประสบความสำเร็จ จำนวนของพวกเขาถึง 60,000 คน แต่ความขัดแย้งเริ่มขึ้นในกลุ่มกบฏ กองทหาร 10,000 คนภายใต้การนำของ Crixus แยกออกจากกันและพ่ายแพ้โดยชาวโรมัน สปาตาคัสนำกองทหารที่เหลือไปทางเหนือ เขาต้องการช่วยทหารออกจากอิตาลีและกลับบ้านเกิด แต่พวกเขาปฏิเสธ สปาร์ตักต้องกลับไป เขาต้องการช่วยกองทัพและตกลงกับพวกโจรสลัดเพื่อส่งพวกเขาไปที่ซิซิลี อนิจจาโจรสลัดหลอกพวกเขา

กองกำลังที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีออกมาต่อสู้กับสปาตาคัส กองทัพมากมายเข้าร่วมกับเขา กบฏนำทัพไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของอิตาลี ที่นั่นกองทหารของ Crassus กำลังรอเขาอยู่ซึ่งครอบครองคอคอดแคบ ๆ ซึ่งเส้นทางเข้าไปในแผ่นดิน ชาวโรมันขุดคูน้ำและสร้างเชิงเทิน พวกเขามั่นใจว่าสปาร์ตักอยู่ในมือแล้ว อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความมืดมิดในยามค่ำคืน สปาร์ตักได้บุกโจมตีป้อมปราการและถอนกำลังออกไป กองทหารของปอมเปย์มาถึงอิตาลีในเวลาเดียวกัน เพื่อไม่ให้เขารวมตัวกับ Crassus สปาตาคัสต้องย้ายกองกำลังทั้งหมดของเขาไปสู้เขา ใน 71 ปีก่อนคริสตกาล การต่อสู้ของแม่น้ำ Silarius เกิดขึ้น กองกำลังของ Spartacus พ่ายแพ้และตัวเขาเองเสียชีวิตในสนามรบตามเวอร์ชั่นเดียว ชาวโรมันปฏิบัติต่อพวกกบฏอย่างโหดเหี้ยม ทหาร 6,000 นาย อดีตทาสและกลาดิเอเตอร์ ถูกตรึงบนไม้กางเขนตามทางอัปเปียน และการจลาจลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ก็จบลงภายใต้การนำของสปาตาคัส ผู้ก่อกบฏเป็นและยังคงเป็นหนึ่งในวีรบุรุษที่มีชื่อเสียงและเป็นตำนานที่สุดในสมัยโบราณ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Spartacus (lat. Spartacus; ปีเกิดไม่ทราบแน่ชัด (ประมาณ 120 ปีก่อนคริสตกาล), Thrace - 71 BC ใกล้แม่น้ำ Silari, Apulia) - นักสู้ชาวโรมันนำการจลาจลในดินแดนของอิตาลีสมัยใหม่ในช่วง 74 BC อี - 71 ปีก่อนคริสตกาล e .. กองทัพของเขาซึ่งประกอบด้วยกลาดิเอเตอร์และทาสที่หลบหนี เอาชนะกองทัพโรมันหลายกองในการรบหลายครั้ง รวมทั้งกองทัพกงสุลสองแห่ง

เหตุการณ์เหล่านี้ลงไปในประวัติศาสตร์ในฐานะกบฏสปาตาคัส การจลาจลของทาสที่ใหญ่เป็นอันดับสามในกรุงโรมในเวลาหลังจากการจลาจลในซิซิลีครั้งแรกและครั้งที่สอง

ที่มาของสปาตาคัส

แหล่งข่าวหลายแห่งเรียกสปาตาคัสว่าชาวธราเซียน ซึ่งถูกจับทั้งในฐานะเชลยศึกในสงครามกับโรม หรือในฐานะกบฏหรือผู้หลบหนีจากกองทหารช่วยโรมันในมาซิโดเนีย ตามเวอร์ชั่นหนึ่ง เขาเป็นตัวแทนของเผ่า (ฮันนี่) กองทัพโรมันกำลังต่อสู้กันในเทรซและมาซิโดเนียในช่วงเวลาที่สปาตาคัสสามารถจับได้ แต่กลาดิเอเตอร์ทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทตามรูปแบบการต่อสู้: กอลและธราเซียน ทาสสามารถเป็นของคนอื่นได้ แต่ต้องได้รับการฝึกฝนในโรงเรียนหนึ่งในสองรูปแบบนี้ พลูตาร์คยังชี้ให้เห็นถึงสิ่งนี้ โดยระบุลักษณะเฉพาะของสปาตาคัส: "เขาเป็นคนที่มีวัฒนธรรมและมีการศึกษา เหมือนชาวกรีกมากกว่าชาวธราเซียน" Appian เขียนว่า: "เขาเคยต่อสู้กับพวกโรมัน ถูกจับเข้าคุก และขายให้กับกลาดิเอเตอร์" ในขณะที่ชีวิตในวัยเด็กของเขายังไม่ชัดเจน เป็นที่แน่ชัดว่าสปาตาคัสได้รับการฝึกฝนที่โรงเรียนกลาดิเอเตอร์บาเทียตัส ซึ่งตั้งชื่อตามเจ้าของของมัน เลนทูลัส บาเทียตัส สปาตาคัสปฏิบัติตามแนวคิดของนักปรัชญา ไกอัส บลอสซิอุสแห่งคาปัว ซึ่งสามารถสรุปได้ในคำพูดต่อไปนี้: "คนสุดท้ายจะเป็นคนแรก (และในทางกลับกัน)"

จุดเริ่มต้นของการจลาจล

ใน 74-73 ปีก่อนคริสตกาล อี สปาร์ตาคัสและผู้ติดตามของเขาประมาณ 70 คนกบฏ ขณะจับมีดในครัวของโรงเรียนกลาดิเอเตอร์และอาวุธในคลังแสง ฝ่ายกบฏได้หลบหนีไปยังแอ่งภูเขาไฟวิสุเวียสใกล้เนเปิลส์ ที่นั่นพวกเขาเข้าร่วมโดยทาสชาวไร่ กลุ่มปล้นและทำลายพื้นที่แม้ว่า Spartacus อาจพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้พวกมันสงบ ผู้ช่วยที่ใกล้ที่สุดของเขาคือกลาดิเอเตอร์จากกอล คริกซัสและเอโนไม เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนกบฏก็ถูกเติมเต็มด้วยทาสหนีใหม่ จนกระทั่งตามคำแถลงบางฉบับ ขนาดของกองทัพถึง 90,000 (ตามการประมาณการอื่น มีเพียง 10,000 เท่านั้น) ตามที่นักเขียนชาวอิตาลี Raffaello Giovagnoli ผู้ซึ่งอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างของกองทัพทาสและชื่อผู้บัญชาการของแต่ละแผนกในช่วงที่มีการลุกฮือครั้งใหญ่ที่สุดกองทัพของ Spartacus ถึง 80,000 หรือ a คนน้อยมาก

ความสำเร็จของการจลาจลสปาตาคัสถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าโดยข้อเท็จจริงที่ว่าโรมในช่วงเวลานี้ทำสงครามที่ยากลำบากสองครั้งที่ปลายอีกด้านของโลก - ในสเปนและเอเชียไมเนอร์

สงครามในสเปนกับ Quintus Sertorius ในการรณรงค์ทางทหารครั้งนี้ Gnaeus Pompey the Great ได้บัญชาการ

สงครามในเอเชียไมเนอร์กับมิทริเดตผู้ปกครองตะวันออก ผู้บัญชาการทหารโรมัน Lucius Licinius Lucullus ประสบความสำเร็จอย่างมากในการรณรงค์ทางทหารนี้ (อ้างอิงจากบทความอื่น ผู้บัญชาการคือน้องชายของ Lucius Licinius - Mark Terentius Varro Lucullus) ในสมัยของเราเป็นที่รู้จักกันดีในงานเลี้ยงของเขา

ในช่วงเริ่มต้นของการจลาจลในกรุงโรม และโดยทั่วไปแล้วในอิตาลีทั้งหมด ไม่มีกองทัพที่พร้อมสู้รบเพียงกองเดียว เพราะสปาร์ตาคัสซึ่งมีกองทัพกลาดิเอเตอร์และทาสที่เพียบพร้อมไปด้วยอาวุธ ได้กลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อกรุงโรมอย่างแท้จริง วุฒิสภาแห่งโรมมีเพียงทหารเกณฑ์ เกณฑ์ทหารอย่างเร่งรีบ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ง่ายดายสำหรับกองทัพกบฏ จำนวนทาสทั้งหมดที่เกินจำนวนพลเมืองอิสระของกรุงโรมที่มีอยู่ในเวลานั้นมีความสำคัญมากจนทำให้การจลาจลของทาสเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสาธารณรัฐ

วุฒิสภาไม่ให้ความสำคัญกับการจลาจลใดๆ เลยส่งผู้ประท้วง Claudius Glaber (ตามชื่อรุ่นอื่นของเขาคือ Clodius ไม่ทราบชื่อก่อนหน้า) โดยมีทหารเกณฑ์ที่ไม่มีประสบการณ์เพียง 3,000 คนที่เพิ่งได้รับคัดเลือกเข้ากองทัพ พวกเขาปิดกั้นเส้นทางที่นำไปสู่วิสุเวียส แต่สปาตาคัสและผู้คนของเขาใช้เชือกจากเถาวัลย์ลงไปตามทางลาดชันอีกแห่งของภูเขาไฟไปที่กองทหารจากด้านหลังและทำให้พวกเขาหนีไป ฟลอร์หยิบยกฉบับที่พวกกบฏบุกเข้าไปในปากของวิสุเวียสและออกไปบนทางลาดผ่านทางผ่าน

เห็นได้ชัดว่าสปาร์ตาคัสต้องการถอนกองทัพของเขาไปที่กอล และอาจเป็นไปได้ที่สเปน เพื่อเชื่อมโยงกับกลุ่มกบฏ Quintus Sertorius อย่างไรก็ตาม เขาเปลี่ยนใจ อาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารเซอร์โทเรียส หรืออยู่ภายใต้แรงกดดันจากเพื่อนร่วมงานที่ต้องการดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับโรม มีความเห็นว่าผู้ติดตามของเขาบางคนที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ (ประมาณ 10,000 คน) ยังคงข้ามเทือกเขาแอลป์และกลับบ้าน

หลังจากพักผ่อน กองทัพกบฏเคลื่อนตัวไปทางใต้ เอาชนะกองทัพอีก 2 กองของ มาร์ก ลิซินิอุส ครัสซัส โรมันที่ร่ำรวยที่สุดในขณะนั้น

เมื่อสิ้นสุด 72 ปีก่อนคริสตกาล อี สปาตาคัสไปถึง Regium (ปัจจุบันคือ Reggio di Calabria) บนช่องแคบเมสซีนา เขาเห็นด้วยกับโจรสลัด Cilician เพื่อส่งเขาพร้อมกับผู้คนไปยังซิซิลี และในเวลานี้ Crassus 8 กองทหารได้ปิดกั้นทางออกจากคาลาเบรีย ขุดคูน้ำและสร้างป้อมปราการจากทะเลสู่ทะเล วุฒิสภาเรียกคืน Gnaeus Pompey จากสเปนไปยังอิตาลีและ Lucius Licinius Lucullus จาก Anatolia ซึ่งเขาทำสงครามที่สำคัญสำหรับกรุงโรมกับ Mithridates VI

โจรสลัดหลอกสปาตาคัส เขาบุกทะลุป้อมปราการของ Crassus และย้ายไปที่ Brundisium (ปัจจุบันคือ Brindisi) แต่ Crassus ทันเขาใกล้ชายแดน Apulia และ Lucania ในการสู้รบ พวกกบฏพ่ายแพ้ และในไม่ช้าสปาตาคัสก็เสียชีวิตใกล้แม่น้ำสิลารี ตามแหล่งวรรณกรรมแห่งหนึ่ง Spartacus ถูกทหารจากปอมเปอีชื่อเฟลิกซ์สังหารซึ่งหลังจากสงครามบนกำแพงบ้านของเขาในปอมเปอีได้วางภาพโมเสคของการต่อสู้กับ Spartacus

หลังจากการสู้รบ ชาวโรมันพบกองทหารที่ถูกจับได้ 3,000 นายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บในค่ายของผู้พ่ายแพ้ อย่างไรก็ตาม ไม่พบศพของสปาตาคัส

ทาสที่ถูกจับได้ประมาณ 6,000 คนถูกตรึงบนไม้กางเขนตามทางอัปเปียนจากคาปัวไปยังกรุงโรม Crassus ไม่เคยออกคำสั่งให้ถอดศพออกจากไม้กางเขน พวกเขาถูกแขวนไว้หลายปีและอาจเป็นหลายสิบปี (Crassus ถูกสังหารโดย Parthians ใกล้ป้อมปราการ Sennaca 18 ปีหลังจากการพ่ายแพ้ของ Spartacus)

ทาสประมาณ 5,000 คนจากกองทัพของสปาร์ตาคัสหนีไปทางเหนือ ต่อมาพวกเขาพ่ายแพ้ Gnaeus Pompey ขอบคุณที่เขาได้รับเกียรติจากผู้บัญชาการที่ยุติสงครามครั้งนี้

ยังไม่ทราบว่าเหตุใดสปาตาคัสจึงหันไปทางใต้เมื่อเขาอยู่ที่ประตูเมืองกอลแล้ว บางทีนี่อาจเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของเขา หรือบางทีชัยชนะมากมายของเขาทำให้เขาเย่อหยิ่งเกินไป หรือเขาหวังว่าจะเริ่มต้นการจลาจลครั้งใหม่ในซิซิลี และรับถ้วยรางวัลมากขึ้นในกระบวนการนี้ หากเราติดตามเวอร์ชั่นเกี่ยวกับความปรารถนาที่จะเชื่อมต่อกับ Quintus Sertorius มีเหตุผลเดียวเท่านั้น: การจลาจลของ Quintus Sertorius ถูกระงับแล้วในเวลานั้น แต่ Spartacus ซึ่งอยู่ในโรงเรียนของนักสู้ก็ไม่สามารถรู้ได้ .

แม้ว่าเขาจะไม่เคยศึกษาศาสตร์แห่งการจัดการกองทัพมาก่อน แต่สปาตาคัสก็ยังคงเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจ ผู้ซึ่งชนะสงครามมาเป็นเวลานาน โดยได้รับการสนับสนุนอย่างดีที่สุดจากศัตรู แม้ผลสุดท้ายของสงครามครั้งนี้ Spartacus ก็กลายเป็นตำนานในช่วงชีวิตของเขา ผู้คนเข้าร่วมกับเขาโดยเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะนำพวกเขาไปสู่อิสรภาพ ตำนานเกี่ยวกับเขายังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้

แหล่งที่มาหลักของการลุกฮือของ Spartacus คือผลงานของนักประวัติศาสตร์ Plutarch, Appian, Lucius Florus, Orosius และ Sallust พวกเขาทั้งหมดเล่าเหตุการณ์จากมุมมองของฝ่ายตรงข้ามของ Spartacus

ความตายของสปาร์ตัก

Spartacus ส่วนใหญ่เป็นบุคคลในตำนาน ชื่อของเขาน่าจะเป็นชื่อเล่นของหนึ่งในทาสนักสู้ที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์มากที่สุดซึ่งมีทักษะทางทหาร ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายในหมู่คนตาย ไม่พบร่างของเขา มีการคาดเดาว่าเขาสามารถหลบหนีได้ เกิดอะไรขึ้นจริงเหรอ?

สปาตาคัสมาจากเทรซ จากดินแดนนั้น ซึ่งปัจจุบันส่วนหนึ่งเป็นของกรีซ และส่วนหนึ่งของบัลแกเรีย นักประวัติศาสตร์โบราณ Florus อ้างว่า Spartacus อยู่ในการรับราชการทหารของโรมัน จากที่ที่เขาหลบหนี ถูกปล้น จนกระทั่งเขาถูกจับและส่งไปยังโรงเรียนนักสู้ใน Capua

ประมาณ 74 ปีก่อนคริสตกาล นักสู้กลาดิเอเตอร์ประมาณสองร้อยคนกำลังเตรียมการหลบหนีจากโรงเรียนกลาดิเอเตอร์ แต่พล็อตของพวกเขาถูกค้นพบ

แต่ผู้คน 70 คนที่สิ้นหวังที่สุดซึ่งติดอาวุธมีดและขวานทำครัวก็หลุดพ้น พวกเขาออกจากคาปัว เส้นทางของพวกเขาวิ่งไปตามถนน Agisheva ไปยังกรุงโรม ในกลุ่มนี้มีสปาร์ตักซึ่งได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ในการไล่ตามกลุ่มกบฏ กองทหารถูกส่งออกไป ก่อตัวขึ้นจากประชากรในท้องที่และกองทหารหลายนาย อดีตทาสเข้าร่วมการต่อสู้

พวกเขาต่อสู้อย่างไม่เห็นแก่ตัวจนส่งกองกำลังหนี พวกเขามีดาบ หอก มีด และเสบียงบางอย่าง และดังที่พลูทาร์คเขียนไว้ พวกเขายินดีเปลี่ยนอาวุธกลาดิเอเตอร์ ที่น่าละอายและป่าเถื่อนด้วยอาวุธต่อสู้แบบใหม่

Praetor Claudius Glabor ย้ายไปปราบปรามพวกกบฏ หน่วยข่าวกรองรายงานว่าพวกโจรซ่อนตัวอยู่ในเดือยหินของภูเขาไฟวิสุเวียส พวกเขาสามารถลงไปทางเดียว Glabor ตัดสินใจที่จะอดอาหารพวกกบฏ แต่กลาดิเอเตอร์ผู้หลบหนีจะไม่ยอมแพ้ พวกเขาตัดเถาวัลย์ทั้งกลางวันและกลางคืนถักเชือกจากพวกเขาซึ่งพวกเขาทำบันได คืนหนึ่งพวกเขาลงไปตามหน้าผาสูงชันและเห็นไฟ ลูกเสือส่งออกรายงานว่าทุกคนนอนหลับ พวกกบฏเอาชนะกองกำลังได้อย่างสมบูรณ์ ยึดรถลากม้าด้วยอาวุธและเสบียง

สปาร์ตาคัสก่อตั้งกองทัพของเขาบนพื้นฐานของหลักการโรมัน - เขาสร้างกองกำลังติดอาวุธเบา ๆ ติดอาวุธหนักและทหารม้า

พวกกบฏทุกหนทุกแห่งนำมาซึ่งการทำลายล้าง ความหายนะ และความตาย การจับกุมเมืองเกิดขึ้นด้วยความช่วยเหลือของทาสในเมืองซึ่งเมื่อได้ยินเกี่ยวกับการเข้าใกล้ของกองทัพสปาร์ตาคัสแล้วจึงสังหารเจ้านายที่เกลียดชัง

แต่ในไม่ช้าความขัดแย้งก็เกิดขึ้นในหมู่กบฏ บางคนเสนอให้ไปกรุงโรม สปาร์ตาคัสต่อต้าน เขาเข้าใจว่าพวกเขาไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ในการต่อสู้เปิด ทาสไม่ใช่นักรบ แต่ข้อโต้แย้งที่สมเหตุสมผลของเขาไม่ได้ผล และสปาตาคัสถูกบังคับให้นำกองทัพไปทางเหนือสู่กรุงโรม

ในกรุงโรม ข่าวลือแพร่สะพัดยิ่งกว่าอีกเรื่องหนึ่ง พวกเขาพูดถึงกองทัพจำนวนนับไม่ถ้วนของสปาร์ตาคัส ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 120,000 คน เกี่ยวกับการทรยศต่อกองทหาร แล้วเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่สุดอย่าง มาร์ค เครส ก็เสนอเงินให้วุฒิสภาเพื่อสร้างกองทัพที่พร้อมรบด้วยวินัยที่เข้มงวด

เมื่อทราบเรื่องนี้แล้ว สปาตาคัสก็ปฏิเสธที่จะเดินทัพไปยังกรุงโรมและไปทะเลโดยหวังว่าจะล่องเรือไปยังซิซิลี เขากำลังรอการมาถึงของเรือโจรสลัดซึ่งสัญญาว่าจะพาเขาไปที่เกาะ แต่พวกโจรสลัดหลอกลวงเขา และเขาต้องย้ายไปที่แคว้นเรเกีย

นี่คือที่หลบภัยสุดท้ายของพวกกบฏ ด้านหน้า - ทะเล ทางซ้ายและขวา - ภูเขา และด้านหลังค่ายคือเครสที่เดินเข้ามา ซึ่งสั่งให้ทหารของเขาขุดคูน้ำลึก สปาตาคัสดูถูกการสร้างคูน้ำ แต่ในไม่ช้าก็เชื่อมั่นในประสิทธิภาพของคูน้ำ เสบียงอาหารของเขากำลังจะหมด ฤดูหนาวกำลังใกล้เข้ามา การบุกโจมตีหมู่บ้านใกล้เคียงทำเพียงเล็กน้อย และเขาตัดสินใจ - เพื่อเติมคูน้ำด้วยไม้พุ่ม ข้ามมันและมีส่วนร่วมในการต่อสู้ แต่ความก้าวหน้าไม่ได้ผลและสปาร์ตักก็กลับไปที่เดิม ต้องทำอะไรสักอย่าง และสปาร์ตักก็เกิดความคิดขึ้น - เขาเริ่มโยนกองไม้พุ่มในที่ต่าง ๆ ของคูเมืองแล้วจุดไฟ ทำให้ชาวโรมันสับสนเขาสามารถหลบหนีได้ แต่ Krase ตามมาหยุดความพยายามทั้งหมดในการโจรกรรม

การรบหลักเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ 71 ปีก่อนคริสตกาล ใกล้เมืองเพสตุม ในวันก่อนสปาร์ตัก ต่อหน้าสหายหลายพันคน เขาฆ่าม้าของเขาโดยกล่าวว่า: "ถ้าเราชนะ ฉันจะมีม้าหลายตัว และถ้าเราตาย แล้วทำไมฉันถึงต้องการม้า" สปาร์ตาคัสต่อสู้จนสุดชีวิตแล้วก็หายตัวไป ... เป็นไปได้ว่าเขาถูกสับเป็นชิ้น ๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะพบเขาท่ามกลางร่างกายที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดหลายหมื่นตัว ความงามที่เมาด้วยชัยชนะเป็นสัญญาณของการข่มขู่สั่งตามทาง Appian Way ที่นำไปสู่กรุงโรมเพื่อตรึงทาส 6,000 คนบนไม้กางเขน 6,000 ตัว

ชาวโรมันกลัวมานานแล้วว่าสปาตาคัสยังมีชีวิตอยู่และสามารถรวบรวมกองทัพได้อีกครั้ง สายลับหลายพันคนพยายามค้นหาที่อยู่ของเขา กองโจรปรากฏขึ้นที่นี่และที่นั่น แต่ไม่มีใครเห็นสปาร์ตักเอง

โลโก้
สปาตาคัส. เรื่องของผู้ชายคนหนึ่ง

สำหรับฉันแล้วดูเหมือนว่าคนที่รู้หนังสือทุกคนที่เรียนที่โรงเรียนจะรู้ว่าสปาร์ตักเป็นใคร ดูเหมือนว่า Roman Spartacus กับ Russian Razin แตกต่างกันอย่างไร? ทั้งคู่เป็นผู้นำการจลาจล ทั้งคู่จบลงด้วยความล้มเหลว แต่ไม่มีความแตกต่าง และไม่ใช่แค่วันเกิดเท่านั้น สปาร์ตาคัสเป็นทาสที่ถูกจับกุมในข้อหาทรยศต่อกรุงโรม แต่ราซินเป็นคอซแซค หัวหน้าเผ่า

กลับกรุงโรมกันเถอะ สปาตาคัสถูกตัดสินประหารชีวิตในข้อหาทรยศต่อรัฐที่เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่ ลองหาสาเหตุ เกิดในเมือง Sandanski ใน Thrace (ปัจจุบันคือบัลแกเรีย) Spartacus ไม่มีสัญชาติโรมัน และวิธีเดียวที่จะได้รับสัญชาติคือการเข้าร่วมในสงครามภายใต้ร่มธงของกรุงโรม เป็นที่น่าสังเกตว่าในเวลานั้นจักรวรรดิโรมันกำลังพัวพันในสงครามหลายครั้ง ดังนั้น. สปาร์ตาคัสร่วมกับชาวเทรซคนอื่นๆ มีส่วนร่วมในสงคราม ซึ่งไม่มากนักที่จะกลายเป็นพลเมืองของกรุงโรม แต่เพื่อปกป้องประเทศของพวกเขาจากกองทัพของศัตรูที่กำลังใกล้เข้ามา ผู้บัญชาการทหารโรมันสัญญากับเขาเรื่องนี้ แต่ในที่สุดเขาก็หลอกลวงเขา ทำให้กองทัพหันไปทางอื่นโดยสิ้นเชิง สปาตาคัสและชาวธราเซียนคนอื่นๆ ถูกทิ้งร้าง เขาถูกจับและต้องการที่จะถูกประหารชีวิต

ผู้คนถูกประหารชีวิตในโลกยุคโบราณอย่างไร? อารีน่า! ทุกคนรู้เกี่ยวกับโคลอสเซียม แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เกี่ยวกับสนามกีฬาหรืออัฒจันทร์อื่นๆ รอบกรุงโรม

หลายเมืองมีสนามกีฬาเป็นของตัวเอง มีการตัดสินใจที่จะประหารสปาร์ตาคัสในเมืองคาปัว ทางใต้ของเมืองโรม อัฒจันทร์ใน Capua นั้นชวนให้หลงใหล นี่คือตัวเลขบางส่วน: ยาว 170 ม. กว้าง 140 ม. สูง 46 ม. และ 60,000 (!) ที่นั่งสำหรับผู้ชม คิดเกี่ยวกับตัวเลขเหล่านี้ กลับมาที่เรื่องของเรากัน สปาร์ตักเข้ามาในเวทีช้ากว่านักโทษคนอื่นๆ ไม่มีใครรอดชีวิต และคนตายทั้งหมดต่อสู้กับนักสู้เพียงคนเดียว สปาตาคัสออกไปต่อสู้กับกลาดิเอเตอร์สี่คน เพราะแม่ทัพที่ทรยศพวกธราเซียนต้องการมาก และกลาดิเอเตอร์ทั้งหมดก็พ่ายแพ้ เมื่อเห็นสิ่งนี้ Lentulus Batiatus ก็ซื้อชีวิตของเขาเพื่อให้ Spartacus กลายเป็นนักสู้และเชิดชูโรงเรียนแห่งนักสู้ของ Batiatus

แต่ทุกอย่างก็ผิดพลาดทันที ตามที่ Batiatus ต้องการ สปาร์ตักไม่ยอมเชื่อฟังไม่อยากเป็นทาส เขาต้องถูกบังคับโดยสัญญาว่าจะกลับไปหาภรรยาของเขาซึ่งชาวโรมันขายให้กับพ่อค้าจากซิซิลี สปาตาคัสเชื่อฟัง เขามักจะใกล้ตาย แต่ยังไม่ตาย เขากลายเป็นเครื่องรางของนักสู้กลาดิเอเตอร์คนอื่นๆ วันก่อนการมาของภรรยา เขาวางแผนหลบหนี และคิดทบทวน แผนก็พร้อม แต่บาเทียตัสก็ไม่ใช่ความผิดพลาดเช่นกัน เลนทูลัสจะไม่ละทิ้งนักสู้ที่เก่งที่สุดของคาปัว และอาจรวมถึงกรุงโรมทั้งหมด ก่อนที่ประตูจะเปิด ภรรยาของสปาตาคัสก็ถูกฆ่าตาย กลาดิเอเตอร์ถูกหลอก เขาเชื่อและเริ่มฟันศัตรูในเวทีอย่างโกรธจัด

ในช่วงเวลาที่เป็นทาส Spartacus ไม่เพียงสูญเสียภรรยาของเขาเท่านั้น เขาสูญเสียเพื่อนซี้ของเขาไปเพราะเจตนาของเด็กชายอายุ 15 ปี เขาสูญเสียความภาคภูมิใจในตนเองไปชั่วคราว แต่เขาได้รับความสามารถในการควงอาวุธ เขาไม่เท่าเทียมกันในเรื่องนี้ เขาได้เพื่อนใหม่ที่ช่วยเขาในการจลาจล สปาตาคัสตัดสินใจที่จะก่อกบฏหลังจากที่เขารู้ว่าบาเทียตสั่งให้ภรรยาของเขาถูกสังหาร

พวกกลาดิเอเตอร์โหดเหี้ยม พวกเขาฆ่าทุกคนที่อยู่ในบ้าน และในบ้านนอกจากเจ้าของและผู้พิทักษ์แล้วยังมีแขกผู้มีเกียรติมากมาย

ไม่มีใครรอดชีวิต แม้แต่เด็กอายุ 15 ปีที่สั่งให้สปาตาคัสฆ่าเพื่อนรักของเขา

หลังจากการนองเลือดดังกล่าว กองทหารกลาดิเอเตอร์พร้อมกับทาสคนอื่น ๆ ก็นั่งลงบนยอดวิสุเวียส พวกเขารออยู่ที่ปีกเพื่อปลุกการจลาจลทั่วกรุงโรม และพวกเขารอเขาอยู่เมื่อไกอัส คลาวดิอุส พูลเชอร์เข้าใกล้วิสุเวียสพร้อมกับกองทัพที่ครบสามพัน กลาดิเอเตอร์หลายร้อยคนไม่เหลือใครให้รอด หลังจากชัยชนะนี้ ขนาดของกองทัพสปาตาคัสเริ่มเพิ่มขึ้น เขายังคงอาละวาดต่อไปในอิตาลีตอนใต้ ย้ายไปทางเหนือของประเทศ เขาทุบกองทัพทีละคน แต่สุดท้ายเขาก็ถูก Crassus และ Pompey ยึดทางใต้ ความพยายามที่จะเจรจากับพวกโจรสลัดล้มเหลว และสปาตาคัสตระหนักว่าไม่มีที่อื่นให้หนี เขารวบรวมกองทัพที่เหลืออยู่และพยายามฝ่าฟันข้อสงสัยของครัสซัสและปอมปีย์ สปาร์ตาคัสตายอย่างแม่ทัพที่แท้จริง - อยู่แถวหน้าของกองทัพ การจลาจลสิ้นสุดลง

ที่น่าสนใจคือ ชื่อสปาตาคัสไม่ใช่สปาตาคัส ชาวโรมันตั้งชื่อนี้ให้เขาเมื่อเขาสามารถหลีกเลี่ยงการประหารชีวิตด้วยการฆ่านักสู้สี่คน

ชื่อจริงของ Spartacus สูญหายไปอย่างถาวร มีการสร้างอนุสาวรีย์มากมายให้กับนักสู้ผู้นี้ สโมสรกีฬาหลายแห่งทั่วประเทศตั้งชื่อตามเขา ชื่อของเขาจะคงอยู่ตลอดไป

สปาร์ตาคัสได้รับบาดเจ็บที่ต้นขาด้วยลูกดอก: คุกเข่าลงและผลักโล่ไปข้างหน้าเขาต่อสู้กับผู้โจมตีจนกระทั่งเขาล้มลงพร้อมกับคนรอบข้างจำนวนมาก” (Appian)

นั่นคือจุดจบของสปาร์ตาคัส ชายผู้มีบุคลิกที่ยิ่งใหญ่เทียบได้กับเทพจูเลียส - ไกอัส จูเลียส ซีซาร์ เช่นเดียวกับที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับซีซาร์ อาจพูดเกี่ยวกับสปาร์ตาคัสว่าความยิ่งใหญ่ของเขายิ่งเด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น ความโชคร้ายที่ตกอยู่กับเขาก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น เขามีของหายากที่มีคุณภาพในหมู่ผู้คน - ความสามารถในการต่อสู้จนถึงที่สุด เป็นการยากที่จะต่อสู้กับศัตรู แต่เป็นการยากเป็นทวีคูณที่จะต่อสู้โดยไม่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ความหวังน้อยมาก การเอาชนะความพ่ายแพ้ การวางแผนครั้งแล้วครั้งเล่าที่ชะตากรรมพังทลายด้วยการสัมผัสเพียงครั้งเดียว และทำให้เครียดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อไล่ตามให้มากขึ้น ชัยชนะที่ถอยห่าง

บุคคลมักจะบรรลุสิ่งที่เขาปรารถนาอย่างหลงใหล สปาตาคัสต้องการความเป็นอมตะและได้มันมา นี่คือคุณสมบัติ - ความทะเยอทะยานที่ไร้ขอบเขต, ศรัทธาอันไร้ขอบเขตในชัยชนะ, ที่ทำให้สปาตาคัสคล้ายกับประวัติศาสตร์ของกรุงโรม, ประวัติศาสตร์ของการล่มสลายของสาธารณรัฐ, และในบรรดาวีรบุรุษที่มีชื่อบันทึกไว้บนแผ่นจารึกแห่งประวัติศาสตร์, ผู้นำและ ผู้นำในยุคนั้น: ซีซาร์, ซัลลา, ซิเซโร, กาติลีน, กาโต้, แมรี่, ปอมเปย์, นักสู้ที่เด็ดเดี่ยวและคลั่งไคล้, หมดหวังและอนุรักษ์นิยมไม่น้อย - "นายพลผู้ยิ่งใหญ่แห่งสงครามทาส" เข้ามาแทนที่เขาอย่างถูกต้อง ว่ากันว่าผู้นำที่เลี้ยงทาสให้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพคือผู้พิทักษ์ของผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์และผู้ถูกกดขี่ทุกคน

Velyukhanova E. V.
กำเนิดสปาตาคัส

จุดประสงค์ของบทความนี้ แม้จะมีตำนานและนามแฝงแทนที่จะเป็นชื่อพื้นเมือง ก็คือการพยายามกำหนดว่าความตายของผู้นำของทาสผู้กบฏ SPARTAK นั้นฝังอยู่ในรหัสชื่อเต็มของเขา - PSEUDONIM อย่างไร

ดูล่วงหน้า "ตรรกะ - เกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษย์"

พิจารณาตารางรหัส FULL NAME \หากมีการเปลี่ยนแปลงตัวเลขและตัวอักษรบนหน้าจอของคุณ ให้ปรับขนาดภาพ\

เราใช้รหัสสามของชื่อเต็ม - นามแฝง:

18 34 35 52 71 72 83 101 117 118 135 154 155 166 184 200 201 218 237 238 249
S P A R T A K + S P A R T A K + S P A R T A K
249 231 215 214 197 178 177 166 148 132 131 114 95 94 83 65 49 48 31 12 11

249 \u003d 135-LIFE CUT OFF + 114- ฟาดฟันด้วยดาบ

249 \u003d 65-CUT OFF + 184-LIFE ระเบิดด้วยดาบ

249 = 178-CUT TO LIFE BLOW + 71-SORDER

249 \u003d 83-SPARTACUS, มฤตยู + 166-BATTLED FELL

249 \u003d 200-SPARTACUS ต่อสู้ + 49-FALL

249 \u003d 132-FALL DEAD + 117-BATTLE

249 \u003d 132-SPARTACUS ล้มลง + 117-BATTLE

71 = ดาบ
____________________________________
197 \u003d สปาร์ตาคัสล้ม

พิจารณาการถอดรหัสชื่อ: SPARTAK \u003d 83 \u003d 31-CAT (tastrophe) + 52-Wounded \u003d CAT (tastrophe) + RA (nen) + (p) ANA + C (ความตาย)

ในการถอดรหัสครั้งแรก เราจะเห็น 5 คอลัมน์ที่ตรงกัน ในคอลัมน์ที่สอง - 6

ในการถอดรหัส: 83 = CAT (tastrophe) + RA (nen) + P (al) + C (ความตาย) - 7 คอลัมน์ที่ตรงกัน

18 34 35 52 71 72 83
S P A R T A K
83 65 49 48 31 12 11

11 12 31 48 49 65 83
K A T + R A + P + S
83 72 71 52 35 34 18

เราจะเห็นว่าทั้งเจ็ดคอลัมน์ตรงกัน

แม้จะมีข้อเท็จจริงที่แทบจะไม่มีใครรู้เกี่ยวกับชีวประวัติของเขา แต่บุคลิกภาพของ Spartacus ไม่ได้สูญเสียความนิยมมาเป็นเวลานาน

ลองพิจารณาว่า SPARTAK อายุเท่าไหร่ในขณะที่เขาเสียชีวิต ในการทำเช่นนี้ เราใช้ลำดับเหตุการณ์เป็นพื้นฐาน:

ลำดับเหตุการณ์ชีวิตของสปาร์ตาคัส

ชีวประวัติของ Spartacus ผู้นำการจลาจลของนักสู้และทาสในกรุงโรมโบราณ:

ประมาณ 120 ปีก่อนคริสตกาล - การเกิด
102 ปีก่อนคริสตกาล อี - การรับราชการทหารในมาซิโดเนีย
100 - ถูกทอดทิ้งจากกองทัพ
98 ปี - รับราชการทหารกับ Mithridates
89 ปี - การมีส่วนร่วมในสงคราม Mithridatic การถูกจองจำ
89 - ขายเป็นทาส รับใช้เหมือนคนเลี้ยงแกะ
82-76 ปี - บริการในโรงเรียนกลาดิเอเตอร์ รับอิสระ สอนศิลปะกลาดิเอเตอร์
76 - ก่อการสมรู้ร่วมคิดในหมู่นักสู้เพื่อปลดปล่อยพวกเขาและทาสของพวกเขา
74 - การเปิดเผยแผนการสมรู้ร่วมคิดการหลบหนีของนักสู้ไปยังวิสุเวียส เตรียมทำสงคราม
73 - จุดเริ่มต้นของสงคราม
72 ปี - สงคราม ชัยชนะมากมายของกองทัพสปาตาคัส
71 ปี - ความตายในสนามรบ

120 - 71 = 49 (ปี)

เราใช้เวลา 48 (ปี) และทำตาราง:

18* 33 50 65* 76 79 94*112 118*131*160
สี่สิบแปด
160 142 127 110 95* 84 81 66 48* 42 29

118 \u003d สี่สิบทั้งหมด \ m \ \
__________________________
48 = ...กิน

249 \u003d 118-FORTY EIGHT \ m \ \ + 131-FORTY EIGHT \ b \.

249 = 160-FORTY-EIGHT + 89- ถูกฆ่า

160 - 89 = 71 = ด้วยดาบ

หากรหัสของตัวอักษร "K" ในประโยค (SPARTAK + SPARTAK) เท่ากับ 11 เราจะแยกออกเป็นสององค์ประกอบ:

K \u003d 11 \u003d 5 + 6

จากนั้นเราได้รับ:

155 + 5 = 160 = สี่สิบแปด

83 + 6 = 89 = ฆ่า ตาย

เป็นที่ทราบกันว่าบ้านเกิดของสปาตาคัสคือเทรซ ข้อมูลบางส่วนและที่ขัดแย้งกันได้รับการเก็บรักษาไว้เกี่ยวกับชีวิตของเขาในบ้านเกิดของเขา ตามที่หนึ่งในนั้นเขาเข้าร่วมในสงครามกับกองทัพโรมันซึ่งเขาถูกจับและเป็นทาส

ตามชีวประวัติโดยย่อของนักสู้สปาร์ตาคัสอีกฉบับหนึ่ง เขาเป็นทหารรับจ้างในกองทัพโรมัน แต่ตัดสินใจหนี การไล่ล่าตามทันผู้ลี้ภัยและถูกย้ายไปที่กลาดิเอเตอร์เพื่อเป็นการลงโทษ

พลูทาร์คอ้างว่าธราเซียนผู้โด่งดังมาจากชนเผ่าเร่ร่อน และมีความสัมพันธ์ปานกลางกับเทรซ อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ทางทหารที่ได้รับช่วยเขาในอนาคต

กำเนิดสปาตาคัส

ชีวประวัติของ Spartacus จะไม่ได้รับความนิยมมากนักหากไม่ใช่เพราะการจลาจลของทาสที่เขาจัด มันเริ่มต้นด้วยการหลบหนีใน 74 ปีก่อนคริสตกาล กองทหารหลายสิบคนที่นำโดยสปาร์ตัก พวกเขาตั้งค่ายของพวกเขาบนยอดภูเขาไฟวิสุเวียสที่ซึ่งทาสจากพื้นที่เริ่มวิ่งหนี สปาร์ตาคัสสามารถจัดระเบียบและชุมนุมผู้คนจำนวนมากรอบตัวเขา หลังจากนั้นเขาแสดงความสามารถของผู้บัญชาการและเอาชนะกลุ่มชาวโรมันสองคน

มีการประกาศล่าสัตว์สำหรับสปาตาคัสในกองทัพโรมันทั้งหมด กองทัพของเขาเติบโตขึ้นและมีจำนวนประมาณ 10,000 คน

เขาใฝ่ฝันที่จะเริ่มการจลาจลไม่เพียง แต่ในอิตาลี แต่ยังรวมถึงดินแดนของโรมันทั้งหมด แต่เพื่อนร่วมงานไม่สนับสนุนความคิดของเขาและตัดสินใจยึดกรุงโรม มีการแบ่งแยกในกองทัพทาสและกองทัพส่วนหนึ่งออกจากสปาตาคัสและต่อมาก็พ่ายแพ้

ด้วยความกระหายในการแก้แค้น สปาตาคัสจึงกลับมายังอิตาลีและเอาชนะกองทัพของวุฒิสภา แต่เส้นทางผ่านเทือกเขาแอลป์ได้ปิดลงแล้ว จากนั้นสปาตาคัสจึงตัดสินใจไปทางใต้เพื่อข้ามไปยังซิซิลี แต่สำหรับเขา วุฒิสภาเรียกนายพลที่ดีที่สุดสองคนแห่งยุคนั้นว่า มาร์ค ลิซิเนียส ครัสซัส และปอมปีย์ พวกเขาช่วยกันต้อน Spartacus เข้ามุม ซึ่งเขาได้สู้รบครั้งสุดท้าย ซึ่งเขาได้รับบาดเจ็บที่ต้นขา เขาคุกเข่าต่อสู้ต่อไปจนกระทั่งอาวุธของโรมันฆ่าเขาจนตาย ตามฉบับหนึ่ง ร่างของสปาตาคัสถูกตรึงบนไม้กางเขนพร้อมกับเพื่อนร่วมงานหลายคนระหว่างทางจากโรมเพื่อเตือนทาสคนอื่นๆ

มรดกของ "สงครามทาส"

เรื่องราวของสปาตาคัสพูดถึงความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณมนุษย์ แบบอย่างของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนต่อสู้เพื่ออิสรภาพ ประวัติศาสตร์ของสปาร์ตักได้รับการศึกษาอย่างลึกซึ้งและนำเสนอในปีโซเวียตในฐานะสัญลักษณ์ของการไม่เชื่อฟังและการต่อสู้ของชายอิสระสำหรับชีวิตของเขา ในอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ สปาร์ตักเป็นนักสู้ตัวจริงที่ต่อต้านระบบทาส ซึ่งทำให้ประชาชนต่อต้านเจ้านาย พร้อมที่จะเสียสละชีวิตบนแท่นบูชาแห่งอิสรภาพ

ภาพของสปาตาคัสในงานศิลปะ

เส้นทางชีวิตของสปาตาคัสเป็นแรงบันดาลใจให้ประติมากร กวี นักดนตรีและศิลปินมากมาย ผลงานจำนวนมากของพวกเขาได้รับการอนุรักษ์ไว้ อุทิศให้กับทาสนักสู้ที่ท้าทายทั้งระบบ

ในปี 1874 นักเขียนชาวอิตาลี Raffaello Giovagnoli ได้ตีพิมพ์นวนิยายเรื่อง Spartacus ที่มีรายละเอียดและถูกต้องตามประวัติศาสตร์ โดยบอกเล่าเรื่องราวของเขา

ในปีพ. ศ. 2499 บัลเล่ต์ "Spartacus" เกิดมาพร้อมกับดนตรีของ Aram Khachaturian ซึ่งไม่ได้หยุดแสดงมานานกว่า 50 ปี ละครเพลงสองเรื่องอุทิศให้กับนักสู้ - Jeff Wayne (1992) และ Eli Shuraki (2004)

ด้วยการถือกำเนิดของประเภทเช่นภาพยนตร์ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงสี่เรื่องถูกถ่ายทำเกี่ยวกับทาสที่มีชื่อเสียงในปี 2469 (สหภาพโซเวียต), 2496 (อิตาลี / ฝรั่งเศส), 2503 (สหรัฐอเมริกา) และ 2547 (สหรัฐอเมริกา) และซีรีส์ " สปาตาคัส: เลือดและ ทราย” ซึ่งไม่มีความถูกต้องทางประวัติศาสตร์