ซาตานคือใคร? ประวัติศาสตร์ข้อเท็จจริงและภาพลักษณ์ที่น่าสนใจ ต้นกำเนิดของซาตาน

(และศาสนาคริสต์เช่นกัน) ศัตรูหลักของกองกำลังสวรรค์โดยทั่วไปและโดยเฉพาะพระเจ้า จากภาษาอราเมอิกและภาษาฮีบรูโบราณคำนี้แปลว่า "ศัตรู" หรือ "ผู้ใส่ร้าย" คำพ้องความหมายที่พบบ่อยและเป็นที่รู้จักสำหรับซาตานคือ Devil, Lucifer และ Beelzebub อย่างไรก็ตามทั้งในพระคัมภีร์และในชีวิตมักจะพบชื่ออื่น ๆ ของเขา - บิดาแห่งการโกหกตัวร้ายงูโบราณ

ซาตานคืออะไร? เขาเป็นตัวตนที่สมบูรณ์ที่สุดของความชั่วร้ายจงใจและจงใจผลักคนไปสู่เส้นทางแห่งความตายทางวิญญาณ เป็นที่น่าสงสัยว่าในต้นฉบับที่เก่าแก่ที่สุดของพันธสัญญาเดิมคำนี้เขียนด้วยตัวอักษรขนาดเล็กและเป็นคำนามทั่วไป - เป็นคำคุณศัพท์ และจากหนังสือเศคาริยาห์เท่านั้นที่เรากำลังพูดถึงหน่วยงานเฉพาะที่มีชื่อนี้

เขาปรากฏตัวอย่างไร

ซาตานปรากฏตัวอย่างไร? หากเราพิจารณาที่มาของเอนทิตีนี้การใช้ชื่ออื่นของเขาจะเป็นธรรมที่สุดนั่นคือลูซิเฟอร์ Lightbringer หากคุณสนใจในการแปล (หรือ Light Bearer) และใช่ - เดิมเป็นนางฟ้า เราจะไม่เล่าเรื่องนี้กับอดัมและอีฟอีกต่อไปเราควรอยู่กับผลที่ตามมาดีกว่า ดังนั้นคนสองสามคนแรกจึงถูกขับออกจากสวรรค์สู่ดินและลูซิเฟอร์ - ไปยังนรก ผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจประเด็นนี้โดยละเอียดจะต้องประหลาดใจเมื่อได้รู้ว่าเขาไม่ได้ติดตามไปที่นั่นเพียงลำพัง - ประมาณหนึ่งในสามของบุคลากรของทูตสวรรค์ติดตามผู้นำ ผู้ร่วงหล่นตามที่เรียกกันในภายหลังได้รับแก่นแท้ของปีศาจปีศาจและปีศาจ - ตามสภาพแวดล้อมของพวกมัน ในคัมภีร์ใบลานของพระคัมภีร์มีการอ้างถึงความจริงที่ว่าทูตสวรรค์อีกในสามเหล่านั้นมีความเป็นกลางและไม่ยอมรับฝ่ายใด ๆ ของความขัดแย้ง พวกเขาก็ถูกขับไล่เช่นกัน - แต่ต้องมาจากสวรรค์และก่อนการพิพากษาครั้งสุดท้ายเท่านั้น

ประวัติเล็กน้อย

ซาตานซาตานคืออะไร? ลักษณะบางอย่างของลัทธิซาตานปรากฏขึ้นแทบจะในทันทีหลังจากการก่อตัวของศาสนาทั่วโลกที่แพร่หลายมากที่สุด นี่เป็นหลักฐานจากข้อมูลของ Blue Book ซึ่งค้นพบในอิรักโบราณ ด้วยการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ไปทั่วยุโรปจำนวนนิกายที่เกี่ยวข้องเริ่มเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่นจักรพรรดิเยอรมัน Gerich IV ไม่เพียง แต่มีส่วนร่วมในฝูงดำโบราณเท่านั้น แต่ยังพยายามให้ภรรยาของเขามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย จากนั้นการสอบสวนก็ปรากฏขึ้นและสำหรับซาตานตัวจริงทั้งหมดท้องฟ้าก็ดูเหมือนหนังแกะ คนธรรมดาและขุนนางถูกลากไปที่สเตคเพื่อการบอกเลิกแบบธรรมดาและไม่ได้รับการยืนยัน - เราสามารถพูดอะไรเกี่ยวกับลัทธิที่แท้จริงได้แม้ว่าจะกระจัดกระจายไปก็ตาม ด้วยยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาสิ่งต่าง ๆ เริ่มง่ายขึ้นและผู้ที่มีอำนาจถูกดึงดูดไปสู่สิ่งต้องห้าม ตัวอย่างเช่นภายใต้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีลอดจ์ของซาตานอยู่จริงอย่างเปิดเผย อย่างไรก็ตามเชื่อกันว่าในเวลานี้มีการเสียสละของมนุษย์จำนวนมากขึ้นโดยรัฐมนตรีของลัทธินี้

และคราวลีย์ก็มา

เมื่อเวลาผ่านไปความคิดใหม่ ๆ ก็เข้าครอบครองจิตใจของมนุษย์แนวคิดทางปรัชญาใหม่ ๆ ก็ได้รับการพัฒนาขึ้น สิ่งที่น่าสนใจที่สุดบางส่วนในกรอบของเนื้อหานี้ถือได้ว่าเป็นผลงานของ Aleister Crowley (ผู้สร้างซีรีส์ทางทีวีเรื่อง "Supernatural" ก็อ่านได้เช่นกัน โดยพื้นฐานแล้วบุคคลหนึ่งมีส่วนร่วมในลัทธิไสยเวทในความหมายที่ค่อนข้างกว้างของคำ ในผลงานของเขาไม่มีคำว่า "ลัทธิซาตาน" ฉายแวว - แม้ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 19 ก็อาจมีปัญหามากมายสำหรับเรื่องนี้ แต่แนวคิดและปรัชญาทั่วไปในผลงานของเขากลายเป็นรากฐานที่สำคัญซึ่งต่อมาบุคคลที่กล้าได้กล้าเสียอีกคนหนึ่งจะหาเงินได้มาก

LaVey เป็นผู้ก่อตั้งลัทธิซาตานสมัยใหม่

ในโลกสมัยใหม่เราสามารถพูดได้ว่าซาตานคือ Anton Sandor LaVey เขาเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิซาตานสมัยใหม่และคริสตจักรของซาตานผู้เขียนพระคัมภีร์ซาตานและโดยทั่วไปแล้วเป็นบุคคลที่มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างยิ่ง ในการบรรยายของเขาในอเมริกาเขารวบรวมสนามกีฬาปรึกษาหารือ (ในความหมายที่กว้างที่สุด) มาริลีนมอนโรและตามข่าวลือตัวแทนคนอื่น ๆ ของชนชั้นสูงหลังสงครามชาวอเมริกัน และถ้าครอลีย์สามารถเรียกได้ว่าเป็นนักปรัชญาลาวีย์ก็เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ใช่เขาจัดระบบงานของ Aleister และวัสดุอื่น ๆ โดยให้ทิศทางและสาระสำคัญในผลงานของเขา ใช่เขาก่อตั้งคริสตจักรของซาตานใน Walpurgis Night 1966 แต่ในโลกทุนนิยมอันโหดร้ายอุดมการณ์เพียงอย่างเดียวไม่ได้ไปไกล เป็นเรื่องน่าเสียใจที่จะพูดอย่างนี้ แต่คริสตจักรใด ๆ ก็ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพของตนเองเป็นหลักไม่ใช่เกี่ยวกับจิตวิญญาณของนักบวช และคริสตจักรของซาตานในแง่นี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น - องค์กร La Vey ไม่เพียงนำเงินที่ดี แต่เป็นเงินที่ดีมาก อย่างไรก็ตามมันนำมาสู่ตอนนี้ แต่เพิ่มเติมเกี่ยวกับด้านล่าง น้องสาวของนอร์นมีเรื่องตลกที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก - เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 1997 LaVey เสียชีวิตในโรงพยาบาลเซนต์แมรี่ ผู้ติดตามพยายามเปลี่ยนวันตายเพื่อให้ตรงกับวันฮาโลวีน แต่ก็ไม่ได้ผล - การสิ้นสุดชีวิตของผู้ก่อตั้งไม่สามารถให้ร่มเงาลึกลับได้

คริสตจักรของซาตาน

ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นองค์กรที่สร้างโดย La Vey กำลังทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนถึงทุกวันนี้ นี่คือศาสนจักรของซาตาน กลุ่มนักบวชจำนวนมากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะสิ่งที่สำคัญที่สุดสามารถเรียกได้ว่าเป็นการติดตั้งรูปปั้นของ Baphomet สูงประมาณสามเมตรในใจกลางเมืองดีทรอยต์ บทปัจจุบันคือปีเตอร์กิลมอร์ผู้เล่นไม่ดีในวงดนตรีเด ธ เมทัล Acheron ในช่วงพัก (เดาธีมของเพลงสามครั้ง) วันหยุดหลักสามวัน: สองวันที่พบบ่อยสำหรับทุกคน - Walpurgis Night และ Halloween ซึ่งเป็นวันที่เป็นส่วนตัวสำหรับสามเณรแต่ละคน - วันแห่งการเริ่มต้นสู่ความลึกลับของลัทธิ ม้านั่งที่มีไม้กางเขนกลับหัวและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องบริการปกติที่มีการบิดเบือนสำเนาของคาทอลิกเป็นชุดมาตรฐานของคริสตจักรใด ๆ ที่ต้องการดึงเงินจากนักบวชมากขึ้น

เครื่องหมาย Lucifer

สัญลักษณ์ของซาตานเป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ นี่คือรูปดาวห้าแฉก "นักสู้กับความชั่วร้าย" หลายคนมองว่ามันเป็นรูปดาวห้าแฉกแบบวิกตอเรียที่มีรังสีอยู่ด้านบน ในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพียงแค่รูปดาวห้าแฉกของซาตานที่ถูกต้องมีสองรังสีที่ส่วนบนและอีกอันอยู่ในส่วนล่างของมัน ภาพศีรษะของบาโฟเมตซึ่งเป็นหนึ่งในร่างวัตถุของซาตานในโลกของเราเข้ากับมันได้อย่างง่ายดาย รังสีบนสองอันคือเขาส่วนล่างคือเคราและด้านข้างคือหู และไม้กางเขนกลับหัวก็ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของซาตาน - เพียงพอที่จะจำได้ว่าอัครสาวกเปโตรถูกตรึงบนโครงสร้างดังกล่าวดังนั้นจึงไม่สามารถเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิซาตานได้

พระคัมภีร์สีดำ

พระคัมภีร์ของซาตานเป็นงานหลักของ La Vey ซึ่งเขาอุทิศทั้งชีวิต แบ่งออกเป็นสี่เล่มหลัก - หนังสือของซาตานลูซิเฟอร์เบเลียลและเลวีอาธานตามลำดับ หนังสือหลักของผู้นิยมลัทธิซาตานสามารถพบได้ง่ายบนเว็บรวมทั้งภาษารัสเซีย งานนี้ปฏิเสธพระบัญญัติหลายประการของคริสเตียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้อภัยศัตรูโดยเน้นที่แรงบันดาลใจที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัวของผู้คน คุณสามารถอ่านหนังสือเล่มนี้และรู้สึกประหลาดใจที่ได้รู้ว่านิสัยหลายอย่างของคนธรรมดาส่วนใหญ่สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่าลัทธิซาตาน ไม่ใช่สำหรับจิตใจที่อ่อนแอและไม่มั่นคงสมมติว่าทันทีจะดีกว่าที่จะไม่อ่านวรรณกรรมดังกล่าวกับผู้ที่มีความอ่อนไหวต่อคำแนะนำ สำหรับส่วนที่เหลือขอแนะนำค่อนข้างมาก - ซ้ำ ๆ เพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูล สำหรับนักสังคมวิทยาโดยทั่วไปหนังสืออ้างอิง

อธิษฐานถึงซาตาน

ตัวอย่างคลาสสิกจากภาพยนตร์ฮอลลีวูดคือ Our Father ในภาษาละตินอ่านย้อนหลัง เนื้อหาที่มีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนี้สามารถพบได้ในงานเขียนของ La Vey แต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าลัทธิซาตานสมัยใหม่มีอยู่ไม่ถึงศตวรรษดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบอกว่าคำอธิษฐานถึงซาตานเป็นเรื่องที่เหมาะสำหรับทุกคน บางทีในชั้นใต้ดินของวาติกันอาจมีแหล่งที่เก่าแก่กว่านี้ แต่สำหรับทางเข้าของมนุษย์เท่านั้นที่ถูกปิด

เจ้าสาวของซาตาน

อีกขั้นตอนหนึ่งที่แฟน ๆ ทุกคนรู้จักในหัวข้อนี้ไม่น้อยคือการเสียสละของหญิงพรหมจารี เธอคือเจ้าสาวซึ่งเป็นภรรยาในอนาคตของซาตาน เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความกตัญญูคุณสามารถรับพลังอำนาจและสิ่งที่น่าพอใจอื่น ๆ เป็นการตอบแทน ไม่มีเอกสารยืนยันขั้นตอนนี้ที่เชื่อถือได้รวมทั้งการยืนยันว่ามีภรรยาของซาตาน ดังนั้นขอให้พิจารณาข้อเท็จจริงนี้ให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้เขียนบทและผู้เขียนบทภาพยนตร์สยองขวัญ

ซาตานในร่างมนุษย์

และเนื่องจากเรากำลังพูดถึงภาพยนตร์ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อชุดภาพวาด "The Omen" ได้ มารมาสู่โลกของเรามนุษย์ซาตานกำลังดิ้นรนเพื่ออำนาจเพื่อทำลายล้างมนุษยชาติทั้งหมดในไฟสงครามนิวเคลียร์ แนวคิดดั้งเดิม แต่ขัดแย้ง - ไม่พบการครอบงำจิตใจของซาตานในแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือในช่วงเวลาที่ จำกัด ใด ๆ ปีศาจที่มีความแข็งแกร่งแตกต่างกัน - เท่าที่จำเป็น แต่ลูซิเฟอร์เอง - ไม่ สำหรับขั้นตอนการเรียกซาตานเข้ามาในโลกของเราหรือในเปลือกของมนุษย์คุณสามารถค้นหาข้อมูลที่ "มีประโยชน์และเชื่อถือได้" มากมายในหัวข้อนี้บนเว็บ แน่นอนลัทธิซาตานและปีศาจวิทยามีจุดตัดค่อนข้างใหญ่ แต่อธิบายว่าทำไมถึงเรียกสิ่งที่สำคัญที่สุด? ในการซื้อสินค้าในร้านค้าการสื่อสารกับผู้ขายก็เพียงพอแล้วและในกรณีที่มีการถกเถียงกันมากที่สุดเท่านั้นที่ผู้กำกับเข้ามาเล่น - เราหวังว่าตัวอย่างจะชัดเจน?

ลัทธิซาตานในรัสเซีย

ซาตานคือใคร? ทราบข้อเท็จจริงของการนมัสการพระองค์ในรัสเซียหรือไม่? หัวข้อนี้น่าสนใจและค่อนข้างกว้างขวาง เริ่มจากสิ่งที่สำคัญที่สุด - การเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของคริสตจักรแห่งซาตานในดินแดนของประเทศของเราและประเทศในอดีตสหภาพโซเวียตไม่ได้ลงทะเบียน แต่ธรรมชาติกลับทำลายสุญญากาศ - ตัวอย่างเช่นบนพื้นที่เปิดโล่งของอินเทอร์เน็ตรัสเซียมีพอร์ทัลขององค์กรที่ใหญ่ที่สุดในประเภทเดียวกัน จดทะเบียนอย่างเป็นทางการด้วยผลิตภัณฑ์สิ่งพิมพ์และนิตยสารรายงวด - สำหรับเงินที่มั่นคงมากโดยวิธีการ พวกเขากำลังเก็บเงินเพื่อสร้างอาคารของตัวเอง แต่มีบางอย่างบอกพวกเขาว่ามันจะไม่ได้ผล เราไม่ใช่ดีทรอยต์ดังนั้นโซ่ไฟที่ "บังเอิญ" สามารถหลอกหลอนการก่อสร้างได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เริ่มต้นขึ้น และนักเคลื่อนไหวนิกายออร์โธด็อกซ์สามารถทำให้นักบวชไม่คุ้นเคยจากการไปที่ "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้" ได้อย่างรวดเร็วโดยทั่วไปกิจกรรมของทั้งองค์กรนี้และองค์กรที่คล้ายคลึงกันไม่น่าจะไปไกลกว่าไซต์นี้

ซาตานคือใครและเยาวชนในปัจจุบันรับรู้ได้อย่างไร? สำหรับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นลัทธิซาตานในวัยรุ่นในปัจจุบันเป็นลัทธิอันธพาลบริสุทธิ์ - มีโทษทางปกครองหรือทางอาญา การเสียสละสัตว์เลี้ยงการทำลายอนุสาวรีย์และคริสตจักร - ทั้งหมดนี้สามารถอธิบายได้อย่างปลอดภัยด้วยคำพูดเดียว - "คนหัวไม่ดีไม่ยอมหยุดมือ" ใช่แล้วสาว ๆ "มุมมองทางศีลธรรมแบบเบา ๆ " "จิก" ด้วย "เครื่องแต่งกาย" สีดำและรูปดาวห้าแฉกในสถานที่ที่ไม่คาดคิดที่สุดการสังสรรค์กับแอลกอฮอล์และยาเสพติดดึงดูดคนจำนวนมาก แต่สิ่งที่ขัดขวางไม่ให้คุณทำสิ่งเดียวกัน แต่ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงน้อยกว่านั้นไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์

วิธีการรู้จักซาตาน

ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าซาตานคือใคร แต่เกิดคำถามว่าจะรู้จักซาตานได้อย่างไร? ไม่ใช่ถ้าเขาเองไม่ต้องการบอกคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีการกล่าวไว้ข้างต้นว่ามีเด็กวัยรุ่นเข้าไปในสุสาน แต่สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิซาตานที่แท้จริง และเป็นที่เข้าใจได้ว่าบุคคลที่มีอุดมการณ์เช่นนี้จะไม่มีวันยอมเสียสละของมนุษย์ ลัทธิซาตานเป็นปรัชญาไม่ใช่วิถีชีวิต เธอสอนวิธีตั้งเป้าหมายและบรรลุเป้าหมายในชีวิตความสัมพันธ์กับมิตรสหายและศัตรูวิธีเอาชนะปัญหาในชีวิต และเกี่ยวกับการสูญเสียอวัยวะของแมวและการเสียสละของหญิงพรหมจารี - ในอีกส่วนหนึ่ง หลายคนเมื่อได้อ่านคัมภีร์ไบเบิลของซาตานโดยบังเอิญอาจแปลกใจที่พบว่าพวกเขาดำเนินชีวิตตามบัญญัติของคัมภีร์ไบเบิล คนอื่น ๆ ไปที่สิ่งนี้อย่างมีสติและเลือกปรัชญานี้เนื่องจากหลักการ "ตีที่แก้มข้างหนึ่ง - หันอีกข้าง" ไม่ตรงไปตรงมาสำหรับพวกเขา แต่พวกซาตานไม่ทำและไม่เคยมีเครื่องหมายพิเศษรอยสักสิ่งของเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับที่ต้องสวมใส่

ใครคือปีศาจ?

ใครคือปีศาจ และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าวิญญาณเช่นนี้มีอยู่จริง? ซาตานพญามารปรากฏตัวอย่างไรและซาตานพญามารมีอิทธิพลมากเพียงใดในโลกสมัยใหม่?

ซาตานปีศาจ

คำจำกัดความ. สัตว์วิญญาณซึ่งเป็นศัตรูตัวสำคัญของพระยะโฮวาพระเจ้าและทุกคนที่นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ สิ่งมีชีวิตนี้ถูกตั้งชื่อว่า
ซาตานเพราะกลายเป็นศัตรูกับพระยะโฮวาพระเจ้า ซาตานเป็นที่รู้จักกันในชื่อซาตานเพราะมันเป็นผู้ใส่ร้ายและหมิ่นประมาทพระเจ้า

ซาตานถูกอธิบายว่าเป็นงูโบราณเพราะเห็นได้ชัดว่าในเอเดนเขาใช้งูเพื่อหลอกลวงอีฟ และตั้งแต่นั้นมาก็ใช้คำว่า "พญานาค"คำอธิบายของคนร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ ในหนังสือวิวรณ์ซาตานยังแสดงสัญลักษณ์ในรูปแบบของมังกรที่ไม่รู้จักพอ

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าวิญญาณเช่นนี้มีอยู่จริง?

การดำรงอยู่ของมันถูกพูดถึงในพระคัมภีร์ ที่นั่นคน ๆ นี้ถูกเรียกชื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า (ซาตาน 52 ครั้งและซาตาน 33 ครั้ง)

คัมภีร์ไบเบิลยังมีเรื่องราวของพยานที่ยืนยันว่าซาตานมีอยู่จริง พยานคนนี้เป็นใคร? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงมาก่อน
เขาอาศัยอยู่ในสวรรค์บนแผ่นดินโลก เมื่อเขาอยู่บนโลกเขาพูดถึงคนชั่วร้ายคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเรียกเธอด้วยชื่อ (ลูกา 22:31; 10:18; ม ธ . 25:41)

สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเกี่ยวกับซาตานพญามารมีความหมาย ความชั่วร้ายที่มนุษยชาติเผชิญเป็นล้นพ้นยิ่งกว่าความโกรธแค้นที่เกิดขึ้น
คนมีความสามารถ

คัมภีร์ไบเบิลอธิบายว่าซาตานมาจากไหนและทำงานอย่างไร

คำอธิบายนี้ช่วยให้เข้าใจว่าเหตุใดแม้ความปรารถนาของคนส่วนใหญ่ที่จะอยู่อย่างสันติ แต่มนุษยชาติก็ถูกฉีกออกจากกันด้วยความเกลียดชังความโหดร้ายและสงครามมานับพันปีและเหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงถึงสัดส่วนที่คุกคามทำลายมนุษยชาติอยู่แล้ว

ถ้าซาตานไม่มีอยู่จริงผู้คนก็ไม่จำเป็นต้องฟังสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเกี่ยวกับเขาเพราะมันจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมแก่พวกเขา อย่างไรก็ตามมีประโยชน์ดังกล่าว

หลายคนที่เคยหมกมุ่นอยู่กับเรื่องลึกลับหรือเป็นสมาชิกของกลุ่มนักจิตวิญญาณกล่าวว่าในเวลานั้นพวกเขาได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมากเพราะพวกเขาได้ยิน "เสียง" ที่เล็ดลอดออกมาจากแหล่งที่มองไม่เห็นถูก "ครอบครอง" โดยสิ่งมีชีวิตเหนือมนุษย์และสิ่งที่คล้ายกัน

เมื่อพวกเขาเรียนรู้ว่าคัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับซาตานและปีศาจของมันใช้คำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลที่จะเลิกปฏิบัติตามลัทธิผีปิศาจและอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาพระเจ้าพวกเขารู้สึกโล่งใจอย่างแท้จริง

การเชื่อในการดำรงอยู่ของซาตานไม่ได้หมายถึงการจินตนาการว่าเขาเป็นสัตว์ที่มีเขาหางและโกยที่ย่างผู้คนในนรกที่ร้อนแรง

ไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับซาตานในพระคัมภีร์ นี่คือวิธีที่ซาตานแสดงโดยศิลปินในยุคกลางที่ได้รับอิทธิพลจากคำอธิบายของเทพเจ้ากรีกในตำนาน Pan และส่วนแรกของ "Divine Comedy" โดยกวีชาวอิตาลี Dante Alighieri ชื่อ "Hell"

ไม่มีคำสอนเกี่ยวกับไฟนรกในพระคัมภีร์ ชัดเจนว่า“ คนตายไม่รู้อะไรเลย” (ปฐก. 9: 5)

บางทีซาตานก็ชั่วร้ายในตัวคน?

โยบ 1: 6-12 และ 2: 1-7 บันทึกว่าพระยะโฮวาพระเจ้าตรัสกับซาตาน ถ้าซาตานชั่วร้ายในตัวใครบางคนความชั่วนั้นก็จะอยู่ในพระยะโฮวา แต่สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับพระคัมภีร์ซึ่งกล่าวถึงพระยะโฮวาในฐานะผู้ที่“ ไม่มีความอธรรม” - สดุดี 92:15; วว. 4: 8

ที่น่าสนใจคือใน Book of Job ข้อความภาษาฮีบรูใช้สำนวนว่ามีซาตาน (คำว่าซาตานมีบทความแน่นอน)

นี่แสดงให้เห็นว่าเรากำลังพูดถึงใครคือศัตรูคนสำคัญของพระเจ้า

ลูกา 4: 1-13 กล่าวว่าพญามารพยายามให้พระเยซูเสนอราคา

เรื่องนี้มีคำพูดของซาตานและคำตอบของพระเยซู พระเยซูถูกล่อลวงโดยความชั่วร้ายในตัวเองหรือไม่?

มุมมองนี้ไม่สอดคล้องกับคำอธิบายของพระคัมภีร์เกี่ยวกับพระเยซูในฐานะมนุษย์ที่ไม่มีบาป (ฮีบรู 7:26; 1 ปต. 2:22)

แม้ว่ายอห์น 6:70 จะใช้คำภาษากรีกdiábolosเพื่ออธิบายคุณภาพที่ไม่ดีที่พัฒนาโดยยูดาสอิสคาริโอตลูกา 4: 3 ใช้สำนวนว่าโฮดิอาโบลอส (คำว่า "ปีศาจ" พร้อมกับบทความที่ชัดเจน) เพื่ออ้างถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

โทษปีศาจสำหรับปัญหาทั้งหมดไม่ใช่แค่ผู้คนที่พยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนหรือไม่?

บางคนเปลี่ยนความผิดจากการกระทำของตนไปที่ซาตาน อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าบ่อยครั้งที่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะตำหนิถึงความชั่วร้ายที่คนอื่นทำกับพวกเขาหรือพฤติกรรมของพวกเขานำมาซึ่งพวกเขา (ปฐก. 8: 9; กท. 6: 7)

และถึงกระนั้นพระคัมภีร์ก็ไม่ได้ทำให้เราตกอยู่ในความมืดเกี่ยวกับการดำรงอยู่และกลอุบายของศัตรูที่เหนือมนุษย์ซึ่งสร้างความเศร้าโศกให้กับผู้คนมากมาย

พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าเราจะปลดปล่อยตัวเองจากอิทธิพลของเขาได้อย่างไร

ซาตานปรากฏตัวอย่างไร?

งานทุกอย่างของพระยะโฮวาพระเจ้าสมบูรณ์แบบ ความอธรรมไม่ได้มาจากเขา พระองค์ไม่ได้ทำให้ผู้ใดชั่วร้าย (บัญ. 32: 4; สด. 5: 4)

แต่เดิมผู้ที่กลายเป็นซาตานเป็นบุตรวิญญาณที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า โดยกล่าวว่าพญามาร“ ไม่ได้ยืนอยู่ในความจริง” พระเยซูแสดงให้เห็นว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็น
“ ในความจริง” (ยอห์น 8:44)

เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดของพระเจ้าบุตรวิญญาณคนนี้มีเจตจำนงเสรี แต่เขาใช้เสรีภาพในการเลือกในทางที่ผิดโดยปล่อยให้ความคิดฝังลึกในใจของเขาพัฒนาขึ้นและโหยหาสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ - ที่จะได้รับการเคารพบูชา เขาผลักดันให้อาดัมและเอวาเชื่อฟังเขาไม่ใช่พระเจ้า ดังนั้นเขาจึงทำให้ตัวเองเป็นซาตานซึ่งแปลว่า "ปฏิปักษ์"

ทำไมพระเจ้าไม่ทำลายซาตานทันทีหลังการกบฏ?

ซาตานได้ตั้งคำถามสำคัญ

1) คำถามเกี่ยวกับความยุติธรรมและความชอบธรรมของอำนาจอธิปไตยของพระยะโฮวาพระเจ้า

พระยะโฮวาพระเจ้าทรงริดรอนเสรีภาพเพื่อทำให้พวกเขามีความสุขไหม?
ความสามารถของผู้คนในการจัดการกิจการและชีวิตในอนาคตของพวกเขาได้สำเร็จขึ้นอยู่กับการเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่?

พระยะโฮวาหลอกลวงผู้คนเมื่อพระองค์ประทานธรรมบัญญัติแก่พวกเขาและบอกพวกเขาว่าการไม่เชื่อฟังจะนำพวกเขาไปสู่ความตายไหม? (ปฐมกาล 2:16, 17; 3: 3-5)

พระยะโฮวาพระเจ้ามีสิทธิ์ในการปกครองที่ดีจริง ๆ ไหม?

2) คำถามเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดต่อหน้าพระยะโฮวา

การกบฏของอาดามและเอวาทำให้เกิดคำถาม: ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาพระเจ้าเชื่อฟังพระองค์ด้วยความรักจริง ๆ หรือพวกเขาทั้งหมดจะหันเหจากพระเจ้าและติดตามซาตาน?

ปัญหานี้ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมในสมัยของโยบ (ปฐก 3: 6; โยบ 1: 8-11; 2: 3-5; ดูลูกา 22:31 ด้วย)

การประหารชีวิตกลุ่มกบฏจะไม่ตอบคำถามเหล่านี้

พระเจ้าไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรกับตัวเอง แต่เพื่อให้แน่ใจว่าคำถามเหล่านี้จะไม่คุกคามสันติภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในจักรวาลอีกต่อไปพระยะโฮวาพระเจ้าทรงจัดเตรียมคำตอบที่ครอบคลุมให้กับพวกเขาอย่างเพียงพอ

กาลเวลาแสดงให้เห็นว่าการไม่เชื่อฟังของอาดัมและเอวาทำให้พวกเขาตาย (ปฐก. 5: 5)

แต่ประเด็นอื่น ๆ ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาเช่นกัน ดังนั้นพระเจ้าจึงยอมให้ซาตานและมนุษย์ทดลองการปกครองทุกรูปแบบที่พวกเขาสามารถสร้างได้ อย่างไรก็ตามไม่
หนึ่งในนั้นไม่ได้ทำให้พวกเขามีความสุขที่ยั่งยืน พระเจ้าอนุญาตให้ผู้คนผลักดันตัวเองไปสู่ขีด จำกัด ในการแสวงหาชีวิตโดยไม่คิดถึงมาตรฐานอันชอบธรรมของพระองค์

ผลที่ตามมาพูดเพื่อตัวเอง คัมภีร์ไบเบิลบันทึกไว้อย่างถูกต้อง:“ ผู้ที่เดินไม่สามารถชี้นำก้าวของตนได้” (เย. 10:23)

ในเวลาเดียวกันพระเจ้าให้โอกาสผู้รับใช้ของพระองค์พิสูจน์ความภักดีต่อพระองค์โดยการเชื่อฟังพระองค์ด้วยความรักแม้จะถูกล่อลวงและการข่มเหงจากซาตานก็ตาม

พระยะโฮวาพระเจ้าเรียกผู้รับใช้ของพระองค์ว่า“ จงฉลาดเถิดลูกของฉันและหัวใจของฉันก็เปรมปรีดิ์เพื่อที่ฉันจะได้ตอบคนที่ตำหนิฉัน” - สภษ. 27:11

คนเหล่านั้นที่ยังคงซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาพระเจ้ากำลังได้รับพรมากมายมหาศาลในตอนนี้และชีวิตนิรันดร์ในความสมบูรณ์กำลังรอพวกเขาอยู่ในอนาคต

พวกเขาจะมีชีวิตอยู่เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระยะโฮวาพระเจ้า - ผู้ที่มีคุณลักษณะและวิถีทางที่พวกเขารักอย่างแท้จริง

ซาตานมีอิทธิพลมากแค่ไหนในโลกทุกวันนี้?

โลก - มนุษยชาติโดยรวม - เชื่อฟังซาตานยอมจำนนต่ออิทธิพลของมันและไม่สนใจข้อกำหนดของพระเจ้า

ดังนั้นพระเยซูคริสต์จึงเรียกซาตานว่า "ผู้ปกครองโลกนี้" (ยอห์น 14:30; อฟ. 2: 2)

ในพระคัมภีร์ยังเรียกซาตานว่า“ เทพเจ้าของระบบนี้” และผู้คนที่อยู่ในระบบนี้ก็นมัสการพระองค์ด้วยการปฏิบัติทางศาสนา (2 คร. 4: 4; 1 คร. 10:20)

ปีศาจที่ล่อลวงพระเยซูคริสต์ "ยกเขาขึ้นสู่ที่สูงและแสดงให้เขาเห็นอาณาจักรทั้งหมดของโลกที่อาศัยอยู่ในทันใดนั้น"

หลังจากนั้นปีศาจก็พูดกับเขาว่า:“ เราจะให้คุณมีอำนาจเหนือพวกเขาและรัศมีภาพของพวกเขาเพราะพลังนี้ได้มอบให้ฉันแล้วและฉันจะมอบมันให้กับใครก็ตามที่ฉันต้องการ
ดังนั้นถ้าคุณนมัสการเราทุกอย่างก็จะเป็นของคุณ” (ลูกา 4: 5-7)

วิวรณ์ 13: 1, 2 แสดงให้เห็นว่าซาตานให้“ อำนาจบัลลังก์และสิทธิอำนาจที่ยิ่งใหญ่” แก่ระบบการเมืองทั่วโลก

ดาเนียล 10:13, 20 เผยให้เห็นว่าซาตานได้แต่งตั้งเจ้าชายปีศาจขึ้นเหนืออาณาจักรหลักของโลก

ในเอเฟซัส 6:12 เจ้าชายเหล่านี้ถูกเรียกว่ารัฐบาลผู้มีอำนาจผู้ปกครองโลกเป็นผู้บังคับบัญชาความมืดนี้กองกำลังฝ่ายวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ในขอบเขตสวรรค์

ไม่น่าแปลกใจ 1 ยอห์น 5:19 กล่าวว่า "โลกทั้งโลกอยู่ในการปกครองของคนชั่วร้าย"

อย่างไรก็ตามซาตานจะปกครองในช่วงเวลา จำกัด เท่านั้นตราบเท่าที่พระยะโฮวาพระเจ้าผู้สูงสุดทรงอนุญาต

ซาตานจะปล่อยให้คนหลงทางได้นานแค่ไหน?

การช่วยให้รอดจากอิทธิพลชั่วร้ายของซาตานมีการอธิบายเชิงสัญลักษณ์ดังนี้:“ ฉันเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์พร้อมกุญแจสู่อเวจีและมีโซ่เส้นใหญ่อยู่ในมือ เขาจับมังกรงูโบราณที่เป็นซาตานและซาตานและมัดเขาไว้เป็นเวลาพันปี เขาโยนเขาลงไปในเหวปิดมันและปิดผนึกไว้เหนือเขาเพื่อที่เขาจะได้ไม่ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดอีกต่อไปจนกว่าจะครบพันปี หลังจากนั้นเขาจะต้องได้รับการปล่อยตัวในช่วงสั้น ๆ ” (วิ. 20: 1-3)

แล้วไงต่อ? “ ปีศาจที่ทำให้พวกเขาหลงผิดถูกโยนลงไปในบึงไฟและกำมะถัน” (วิ. 20:10)

หมายความว่ายังไง? พบคำตอบในวิวรณ์ 21: 8: "นี่หมายถึงความตายครั้งที่สอง" มันจะหายไปตลอดกาล!

การจองจำของซาตานในนรกหมายความว่าเขาจะถูกวางไว้บนโลกที่รกร้างเป็นเวลา 1,000 ปีโดยที่มันจะไม่มีใครล่อลวง?

เพื่อเป็นการยืนยันมุมมองนี้บางคนอ้างถึง (วิวรณ์ 20: 3 เขาโยนเขาลงไปในเหวปิดมันและปิดผนึกไว้เหนือเขาเพื่อเขาจะไม่หลอกลวงประชาชาติอีกต่อไปจนกว่าจะครบพันปีหลังจากนั้นเขาจะต้องเป็น ปล่อยออกมาเป็นเวลาสั้น ๆ )

พวกเขากล่าวว่า "เหว" หมายถึงดินแดนที่สูญเปล่า แต่มันคืออะไร?

วิวรณ์ 12: 7-9, 12 แสดงให้เห็นว่าบางครั้งก่อนที่ซาตานจะถูกจองจำในนรกเขาถูกโยนจากสวรรค์มายังโลกซึ่งมันทำให้ผู้คนเศร้าโศกมากมาย

ดังนั้นเมื่อวิวรณ์ 20: 3 กล่าวว่าซาตานถูกโยนลงไปในนรกนั่นไม่ได้หมายความว่ามันถูกทิ้งไว้ในที่ที่เคยอยู่ - ในทรงกลมที่มองไม่เห็นซึ่ง จำกัด อยู่โดยบริเวณใกล้เคียงของโลก เขาถูกย้ายออกจากที่นั่นเพื่อที่เขาจะ“ ไม่ทำให้ประชาชาติเข้าใจผิดอีกต่อไปจนกว่าจะครบหนึ่งพันคน
ปี".

ขอให้สังเกตวิวรณ์ 20: 3 กล่าวว่าหลังจากหนึ่งพันปีซาตานจะถูกปล่อยออกจากนรกไม่ใช่ประชาชาติ ในช่วงเวลาของการปลดปล่อยซาตานผู้คนที่ชาติเหล่านี้เคยเป็นจะยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกต่อไป

บางครั้งมีการอ้างถึงอิสยาห์ 24: 1-6 และเยเรมีย์ 4: 23-29 เพื่อสนับสนุนทัศนะนี้

ข้อความกล่าวว่า: "พระยะโฮวาพระเจ้ากำลังทิ้งแผ่นดินโลกและทำลายมัน ... [... ] โลกจะรกร้างและถูกปล้นสะดมเพราะพระยะโฮวาพระเจ้าตรัสคำนี้"

“ ฉันมองดูโลกและดูเถิดมันถูกทอดทิ้งและรกร้าง ... [... ] ฉันมองดูและดูเถิดไม่มีใครสักคนอยู่รอบ ๆ ... [... ] เพราะพระยะโฮวาพระเจ้าตรัสว่า: ' โลกทั้งใบจะว่างเปล่า […] เมืองทั้งหมดถูกทิ้งร้างและไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ในนั้น ""

คำพยากรณ์เหล่านี้หมายถึงอะไร? ครั้งแรกที่พวกเขาสำเร็จคือในเยรูซาเล็มและในดินแดนยูดาห์ พระยะโฮวาพระเจ้าทำตามคำตัดสินของพระองค์และยอมให้ชาวบาบิโลนเข้ายึดครองดินแดนนี้ เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ตกอยู่ในความรกร้าง (ดูเยเรมีย์ 36:29)

แต่แล้วพระเจ้าไม่ได้ทำลายประชากรทั้งหมดของโลก เขาจะไม่ทำเช่นนี้แม้แต่ตอนนี้

อย่างไรก็ตามมันจะทำลายล้างทั้งอะนาล็อกสมัยใหม่ของเยรูซาเล็มที่ไม่ซื่อสัตย์ - คริสต์ศาสนจักรซึ่งพฤติกรรมที่ไม่สะอาดทำให้เสียชื่อเสียงของพระเจ้าและส่วนอื่น ๆ ทั้งหมดขององค์กรของซาตาน

แผ่นดินจะไม่ยับเยิน ในช่วงรัชสมัยพันปีของพระคริสต์เมื่อซาตานอยู่ในนรกมันจะกลายเป็นสวรรค์บนโลกที่เฟื่องฟู

ชีวิตคือของขวัญที่วิเศษที่สุด

มาร(จาก Church Slavonic เดยาโวล, กรีกโบราณδιάβολος -“ ผู้ใส่ร้าย ") -ทูตสวรรค์องค์หนึ่งที่หลุดจากพระเจ้าก่อนที่พระเจ้าจะสร้างโลกที่มองเห็นได้ ต่อจากนั้น - หนึ่งในชื่อของหัวหน้ากองกำลังมืด

ปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าสร้างให้มีความดีมีเมตตาและส่องสว่าง (คำในภาษากรีก "Eosphoros" และ "Lucifer" ในภาษาละตินหมายถึง "ผู้ถือแสง") อันเป็นผลมาจากการต่อต้านพระเจ้าพระประสงค์ของพระเจ้าและความรอบคอบของพระเจ้าผู้ถือความสว่างจึงถอยห่างจากพระเจ้า นับตั้งแต่ผู้ถือแสงและทูตสวรรค์บางส่วนจากพระเจ้าล่มสลายความชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นในโลก พระเจ้าไม่ได้ถูกสร้างขึ้น แต่ถูกนำเข้ามาโดยเจตจำนงเสรีของปีศาจและปีศาจ

ในตอนเช้าของการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นก่อนการสร้างโลกที่มองเห็นได้โดยพระเจ้าอย่างไรก็ตามหลังจากการสร้างของทูตสวรรค์ในโลกฝ่ายวิญญาณความหายนะครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นซึ่งเรารู้ได้จากผลของมันเท่านั้น ทูตสวรรค์บางส่วนที่ต่อต้านพระเจ้าล้มเลิกไปจากพระองค์และกลายเป็นศัตรูกับทุกสิ่งที่ดีและบริสุทธิ์ ที่ส่วนหัวของกองทัพที่ล่มสลายนี้คือ Eosphorus หรือ Lucifer ซึ่งมีชื่อมาก (lit. "luminiferous") แสดงให้เห็นว่าเดิมทีเขาเป็นคนดี แต่จากนั้นด้วยความตั้งใจของเขาเอง "และด้วยเจตจำนงเผด็จการเขาเปลี่ยนจากธรรมชาติเป็นผิดธรรมชาติ จงหยิ่งผยองต่อผู้ที่สร้างเขาขึ้นมาพระเจ้าต้องการต่อต้านพระองค์และคนแรกหลงจากความดีพบว่าตัวเองอยู่ในความชั่วร้าย "(จอห์นดามัสกัส) ลูซิเฟอร์ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าปีศาจและซาตานเป็นหนึ่งในลำดับชั้นสูงสุดของเทวทูต ทูตสวรรค์องค์อื่น ๆ ก็ร่วงหล่นไปพร้อมกับเขาซึ่งมีการบรรยายเชิงเปรียบเทียบในคติ: "... และดาวดวงใหญ่ตกลงมาจากสวรรค์เผาไหม้เหมือนตะเกียง ... และถูกกระแทก ... หนึ่งในสามของดวงดาวดังนั้น หนึ่งในสามถูกบดบัง "(อโปก 8:10, 12)

ปีศาจและปีศาจพบว่าตัวเองอยู่ในความมืดของเจตจำนงเสรีของตัวเอง สิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นทูตสวรรค์หรือมนุษย์ล้วนได้รับเจตจำนงเสรีจากพระเจ้านั่นคือสิทธิในการเลือกระหว่างความดีและความชั่ว เจตจำนงเสรีมอบให้กับสิ่งมีชีวิตดังนั้นในขณะที่ออกกำลังกายด้วยความดีก็สามารถเข้าร่วมกับความดีนี้ได้ในทางศีลธรรมนั่นคือเพื่อให้ความดีไม่ได้คงอยู่เพียงสิ่งที่ได้รับจากภายนอก แต่กลายเป็นสมบัติของตัวเอง หากพระเจ้ากำหนดความดีให้เป็นความจำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้สิ่งมีชีวิตใดก็ไม่สามารถกลายเป็นบุคคลที่มีอิสระเต็มเปี่ยม “ ไม่เคยมีใครใจดีด้วยการบังคับ” พระบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ตรัส ด้วยการเติบโตในความดีงามอย่างไม่หยุดยั้งเหล่าทูตสวรรค์จึงต้องขึ้นสู่ความสมบูรณ์บริบูรณ์จนถึงจุดที่เปรียบได้กับพระเจ้าผู้ประเสริฐสุด อย่างไรก็ตามพวกเขาบางคนเลือกที่จะไม่เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าดังนั้นการกำหนดชะตากรรมของตนเองและชะตากรรมของจักรวาลไว้ล่วงหน้าซึ่งจากช่วงเวลานั้นได้กลายเป็นเวทีแห่งการเผชิญหน้าระหว่างหลักการสองขั้ว (แม้ว่าจะไม่เท่ากัน) หลักการ: ดี, ศักดิ์สิทธิ์ และความชั่วร้ายปีศาจ ...

ปีศาจไม่ทราบความคิดของบุคคล แต่แน่นอนพวกเขารู้ว่าความคิดเหล่านั้นเป็นแรงบันดาลใจให้บุคคลนี้ อีกครั้งพวกเขาไม่สามารถรู้ได้ว่าเรายอมรับความคิดเหล่านี้หรือไม่ แต่พวกเขาเดาได้จากการกระทำของเรา สำหรับความคิดจากพระเจ้าหรือธรรมชาติบางอย่างพวกเขาสามารถเดาได้จากพฤติกรรมของเรา แต่พวกเขาไม่สามารถรู้ได้อย่างแน่ชัด

ปีศาจ (หรือปีศาจ) ไม่สามารถเข้าสู่จิตวิญญาณของมนุษย์ได้มีเพียงลอร์ดเท่านั้นที่สามารถเจาะเข้าไปที่นั่นได้ด้วยการกระทำของพระเจ้าที่เหนือธรรมชาติ ปีศาจสามารถอาศัยอยู่ได้เฉพาะในร่างกายของบุคคลโดยเชี่ยวชาญในระดับหนึ่งหรืออีกระดับหนึ่งของอาการทางจิตหรือทางร่างกายของเขาเช่น ทั้งผู้ที่ถูกครอบครองบางครั้งอาจเกิดอาการชักหรือสูญเสียการควบคุมตัวเองโดยสิ้นเชิง

ปีศาจสามารถเข้าสู่ร่างกายของบุคคลได้ภายใต้อิทธิพลของคาถา - เว้นแต่แน่นอนว่าบุคคลนั้นจะยอมให้ความช่วยเหลือจากพระเจ้าสารภาพรับการมีส่วนร่วมหรือสวดอ้อนวอน และอาจจะได้รับอนุญาตจากพระเจ้าเพื่อตักเตือน

สิ่งเดียวที่ปีศาจสามารถทำได้คือการโยนความคิดที่ผิดบาปไปยังบุคคลตัวอย่างเช่นความคิดที่จะฆ่าตัวตาย และเขาทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะโลกภายในของบุคคลหัวใจของเขาเปิดให้เขา แต่มุ่งเน้นไปที่สัญญาณภายนอกเท่านั้น เมื่อปลูกฝังความคิดบางอย่างให้กับคน ๆ หนึ่งปีศาจไม่สามารถควบคุมสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาต่อไปได้ และถ้าบุคคลรู้วิธีแยกแยะความคิดที่มาจากพระเจ้าซึ่งมาจากธรรมชาติของมนุษย์ของเขาเองและจากมารและปฏิเสธความคิดที่ผิดบาปเมื่อพวกเขาปรากฏตัวมารจะไม่สามารถทำอะไรได้ ปีศาจเติบโตแข็งแกร่งขึ้นเมื่อความคิดที่ผิดบาปหรือความหลงใหลแทรกซึมเข้าไปในจิตใจของมนุษย์

การเปิดเผยของนักบุญยอห์นนักศาสนศาสตร์กล่าวว่าชัยชนะครั้งสุดท้ายของพระคริสต์เหนือผู้ต่อต้านพระเจ้าดีเหนือความชั่วร้ายพระเจ้าเหนือมารจะได้รับชัยชนะ ในพิธีสวดของ Basil the Great เราได้ยินว่าพระคริสต์เสด็จลงสู่นรกด้วยไม้กางเขนเพื่อทำลายอาณาจักรของปีศาจและนำทุกคนมาหาพระเจ้านั่นคือโดยการประทับของพระองค์และขอบคุณการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขนพระองค์ หมกมุ่นอยู่กับตัวเองทุกสิ่งที่เรามองว่าเป็นอาณาจักรของปีศาจ และใน stichera ที่อุทิศให้ไม้กางเขนของพระคริสต์เราได้ยิน: "พระเจ้าอาวุธที่ต่อสู้กับปีศาจที่กางเขนของพระองค์ประทานให้เรา"; นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่าไม้กางเขนเป็น "รัศมีของทูตสวรรค์และภัยพิบัติของปีศาจ" มันเป็นอาวุธที่ปีศาจสั่นสะท้านปีศาจ "ตัวสั่นและตัวสั่น"

วิธีการทำงานของปีศาจ

ปีศาจชักชวนคน ๆ หนึ่งให้เข้ามาหาตัวเองด้วยการโกหกหลอกลวงบุคคลบรรพบุรุษใช้ความเท็จภายใต้หน้ากากแห่งความจริง “ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาธรรมชาติของเราที่ติดพิษของความชั่วร้ายมีแนวโน้มที่จะทำชั่วโดยสมัครใจและโดยไม่ตั้งใจซึ่งดูเหมือนจะดีและยินดีในเจตจำนงที่บิดเบี้ยวจิตใจที่บิดเบี้ยวหัวใจที่บิดเบี้ยว ตามอำเภอใจ: เพราะเรายังมีอิสระเหลืออยู่ในการเลือกความดีและความชั่ว โดยไม่สมัครใจ: เพราะเสรีภาพที่เหลืออยู่นี้ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเสรีภาพโดยสมบูรณ์ เขากระทำภายใต้อิทธิพลโดยธรรมชาติของการบาดเจ็บที่ผิดบาป เราจะเกิดมาด้วยวิธีนี้ เราไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้ดังนั้นเราทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ อยู่ในสภาพของการหลอกลวงตนเองและความหลงผิดของปีศาจ " การกลับมาหาพระเจ้าเป็นเรื่องยากมากแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในส่วนของกองกำลังของเขาเองเนื่องจากการขัดขวางเส้นทางสู่ความจริงโดย "ภาพหลอกลวงของความจริงที่ยั่วยวนนับไม่ถ้วน" ปีศาจปกปิดความต้องการของความปรารถนาของเราด้วยความน่าเชื่อถือใช้ความโน้มเอียงที่เป็นอันตรายของธรรมชาติที่ตกต่ำของเราเพื่อให้เราอยู่ในบ่วงของเขา หนึ่งในประเภทของการยั่วยวนตามที่เซนต์. อิกมีสิ่งที่เราคิดว่าตัวเองเป็นนิรันดร์บนโลกนี้ ความรู้สึกของความเป็นอมตะถูกใส่เข้าไปในเราจากพระเจ้า แต่เราไม่เห็นว่าเนื่องจากการล่มสลายทั้งจิตวิญญาณและร่างกายที่เป็นอมตะของเราถูกกระแทกด้วยความตายเราจึงลืมชั่วโมงแห่งความตายและการพิพากษาที่กำลังจะมาถึง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่แย่ที่สุดคือเนื่องจากเราตาบอดซึ่งเราเกิดมาเราพอใจกับสภาพของเราเราประมาทเราชื่นชมความตาบอดของเรา “ แม้ฉันจะทำบาปร้ายแรง แต่ฉันแทบไม่เห็นความบาปของตัวเองเลย ทั้งๆที่ในตัวฉันความดีผสมกับความชั่วร้ายและมันก็กลายเป็นความชั่วร้ายเนื่องจากอาหารที่สวยงามที่ผสมยาพิษนั้นถูกสร้างขึ้นจากยาพิษฉันก็ลืมชะตากรรมของความดีที่มอบให้ฉันเมื่อถูกสร้างเสียหายบิดเบี้ยวจากการล่มสลาย . ฉันเริ่มมองเห็นความดีงามของฉันในตัวเองโดยรวมไม่มีที่ติและชื่นชมมันความไร้เดียงสาของฉันนำพาฉันออกไปจากทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์และอ้วนของการกลับใจไปยังดินแดนอันห่างไกล ไปยังประเทศที่เต็มไปด้วยหินและแห้งแล้งไปสู่ประเทศที่เต็มไปด้วยหนามและข้าวละมานสู่ประเทศแห่งการโกหกความหลงตัวเองการทำลายล้าง "
ศีลแห่งบัพติศมาที่เรายอมรับตามที่เซนต์. แน่นอนว่าอิกเนเชียสฟื้นฟูการมีส่วนร่วมของเรากับพระเจ้าคืนอิสรภาพให้ความเข้มแข็งทางวิญญาณอีกครั้งและด้วยเหตุนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงสถิตอยู่กับบุคคลตลอดชีวิตของเขา เราได้รับมากกว่ามนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์ในสภาพที่ไม่บริสุทธิ์: ในบัพติศมาเราใส่ภาพลักษณ์ของพระเจ้า - มนุษย์ แต่พร้อมกับพลังที่ได้รับในการปฏิเสธความหลงใหลเสรีภาพในการยอมจำนนต่อพวกเขาก็ถูกละทิ้งไปเช่นกันเนื่องจาก“ ในสวรรค์แห่งราคะมันถูกทิ้งไว้ให้อยู่ในความเมตตาของมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ไม่ว่าจะเชื่อฟังพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าหรือรับฟังสิ่งนั้น ”. ยิ่งไปกว่านั้นการรับบัพติศมาไม่ได้ทำลายทรัพย์สินของธรรมชาติที่ลดลงเพื่อให้เกิดความชั่วและความดีที่ปะปนมาจากตัวมันเองเพื่อทดสอบและเสริมสร้างเจตจำนงของเราในการเลือกสิ่งที่ดีของพระเจ้า “ ตอนรับบัพติศมา” เซนต์พูด Ignatius - ซาตานอาศัยอยู่ในทุก ๆ คนที่มีลักษณะตกต่ำถูกขับออกจากบุคคล ปล่อยให้เป็นไปตามอำเภอใจของผู้ที่รับบัพติศมาหรืออยู่ในพระวิหารของพระเจ้าและเป็นอิสระจากซาตานหรือกำจัดพระเจ้าออกจากตัวเองและกลายเป็นที่อาศัยของซาตานอีกครั้ง " เซนต์. อิกนาเทียสเปรียบเทียบผลของการรับบัพติศมากับการต่อกิ่งตัวเมียจากต้นแอปเปิ้ลที่สูงศักดิ์เป็นต้นแอปเปิ้ลป่า ไม่ควรปล่อยให้กิ่งก้านเกิดจากลำต้นของต้นแอปเปิ้ลป่าอีกต่อไปพวกมันควรเกิดจากต้นแอปเปิ้ลที่มีตระกูลสูง หมายถึงเซนต์. Isaac the Syrian (Sl. 1, 84), St. เครื่องหมายของนักพรต (คำเกี่ยวกับการรับบัพติศมา), Ksanfopulov (บทที่ 4, 5, 7), St. อิกเนเชียสกล่าวว่าในการรับบัพติศมาพระคริสต์ได้รับการปลูกในหัวใจของเราเช่นเดียวกับเมล็ดพืชในโลกของประทานนี้สมบูรณ์แบบในตัวเอง แต่เราพัฒนาหรือจมน้ำตายด้วยชีวิตของเรา สถานะของการต่ออายุที่ได้รับในบัพติศมา "จำเป็นต้องดำรงอยู่โดยการดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติพระกิตติคุณ" จำเป็นต้องพิสูจน์ความภักดีของคุณต่อพระคริสต์โดยการรักษาและเพิ่มพูนของประทานที่ได้รับจากพระองค์ แต่เซนต์ Ignatius อ้างคำพูดของ St. John Chrysostom ที่เรารักษาความรุ่งเรืองของการล้างบาปไว้เพียงหนึ่งหรือสองวันจากนั้นเราก็ดับมันลงด้วยพายุแห่งความกังวลในชีวิตประจำวัน สมบัติทางจิตวิญญาณไม่ได้ถูกพรากไป แต่อยู่ภายใต้การห่อหุ้มของความแปดเปื้อนของเราและจากนั้นพระคริสต์ก็ทรงสถิตอยู่ในเราโดยการชุบชีวิตชายชราของเราเท่านั้นที่เราได้พรากโอกาสที่จะทำให้ความรอดของเราสมบูรณ์ “ โดยการทำสิ่งชั่วร้ายหลังจากบัพติศมา, การจัดกิจกรรมให้กับธรรมชาติที่เสื่อมถอย, การฟื้นขึ้นมา, บุคคลนั้นสูญเสียอิสรภาพทางวิญญาณมากขึ้นหรือน้อยลง: บาปได้รับอำนาจที่รุนแรงเหนือบุคคลอีกครั้ง; ปีศาจเข้าสิงมนุษย์อีกครั้งกลายเป็นผู้ปกครองและนำทางของเขา " เท่านั้นเซนต์ อิกเนเชียส“ พลังแห่งบาปคืบคลานเข้ามาในตัวเราอย่างไม่อาจสังเกตได้: เราสูญเสียอิสรภาพทางวิญญาณอย่างเห็นได้ชัด” เราไม่เห็นการถูกจองจำเรามองไม่เห็นความไม่ชัดเจนของเราเพราะความไม่ชัดเจน “ สถานะของการเป็นเชลยและการเป็นทาสของเราจะเปิดเผยให้เราเห็นก็ต่อเมื่อเราเริ่มปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระกิตติคุณแล้วจิตใจของเราที่มีความขมขื่นก็ลุกฮือต่อต้านจิตใจของพระคริสต์และใจของเรามองอย่างดุร้ายและเป็นศัตรูกับการบรรลุพระประสงค์ของพระคริสต์ในขณะที่ ถ้าเราตายและถูกฆาตกรรม; แล้วเราจะพบกับการสูญเสียอิสรภาพอย่างน่าเศร้า
แต่สิ่งที่เสียไปจะกลับมาอีกครั้งในศีลแห่งการกลับใจ "ใครเกิดมาแล้วตายก็มีชีวิตขึ้นมาได้ด้วยการกลับใจ" เมื่อเข้าสู่การต่อสู้กับบาปในตัวเราเข้าสู่สงครามที่มองไม่เห็นอันละเอียดอ่อนนี้ซึ่งเต็มไปด้วยการกระทำอันชาญฉลาดได้เริ่มงานแห่งการกลับใจซึ่งเป็น "ผลและการกระทำของพระคุณที่ปลูกฝังโดยบัพติศมา" เราจะบรรลุการฟื้นฟูอีกครั้ง สำหรับเราการค้นพบความลึกลับนี้มอบให้เราในการล้างบาปของขวัญแห่งพระคุณของพระเจ้าซึ่งประกอบด้วย "ในการรวมกันของธรรมชาติของมนุษย์กับธรรมชาติของพระเจ้าและในการรักษาคนแรกจากการสัมผัสสิ่งที่สอง" และ "ถ้ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติได้จิตสำนึกของความเสียหายที่เกิดขึ้นในธรรมชาติโดยบาปดั้งเดิมและคำอธิษฐานที่ถ่อมตัวเพื่อการรักษาและการต่ออายุธรรมชาติโดยผู้สร้างของมันเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพที่สุดในการต่อสู้กับธรรมชาติ " ผู้ที่รู้สึกถึงความยากจนของธรรมชาติที่ตกต่ำโดยชีวิตของเขาได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการมีส่วนสัมพันธ์กับพระคริสต์เขาไม่ได้หวังพึ่งตัวเองอีกต่อไปไม่ใช่เพราะความมืดบอดของตัวเองไม่ใช่เพราะพลังที่ตกต่ำ แต่เพื่อพระคริสต์เท่านั้น เพื่อขอความช่วยเหลือจากเบื้องบนเขาปฏิเสธความประสงค์ของเขาทุกสิ่งที่เขาเสียสละตัวเองต่อพระเจ้าพยายามเพื่อพระองค์ด้วยสุดใจหัวใจด้วยความเป็นอยู่และนี่คือสิ่งที่เติมเต็มความสามารถในการทำอย่างชาญฉลาดอย่างไม่หยุดหย่อน

ปีศาจปีศาจ

ปีศาจ - การแปลคำภาษากรีกปีศาจซึ่งในโฮเมอร์เฮเซียดและอื่น ๆ หมายถึงสิ่งที่อยู่ระหว่างเทพเจ้าและผู้คนและในเพลโตและวิญญาณของคนดีที่เสียชีวิตไปแล้ว ตามความเชื่อของคนสมัยก่อนจิตวิญญาณดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเพื่ออุปถัมภ์อัจฉริยะที่มีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ส่วนบุคคล โสเครตีสมักพูดถึง "ปีศาจ" ของเขา ในยุคเจ็ดสิบคำนี้ใช้ในการสร้างซ้ำคำภาษาฮีบรู "เทพ" (สดด. 94, 3), "ปีศาจ" - เชดิม (Deut. 32, 17), "การติดเชื้อ" (สดด 90, 6 - "ปีศาจ ตอนเที่ยง ", -" การติดเชื้อที่ทำลายล้างตอนเที่ยง ") และอื่น ๆ Josephus ใช้มันเกี่ยวกับวิญญาณชั่วร้ายเสมอ ปีศาจตามคำจำกัดความของเขาคือวิญญาณของคนชั่วร้าย ("Jude. War", VII, 6, 3) ในพันธสัญญาใหม่คำนี้ถูกใช้โดยทั่วไปหลายครั้งในความหมายของเทพเจ้านอกรีตหรือรูปเคารพ (กิจการ 17, 18; 1 คร. 10:20) แต่โดยปกติแล้ว - เกี่ยวกับวิญญาณชั่วร้ายหรือปีศาจซึ่งแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อและ ตัวสั่น (ยากอบ 2, 19) ยอมรับว่าเยซิกาเป็นบุตรของพระเจ้า (ม ธ 8:29) แต่แก่นแท้ของผู้รับใช้ของเจ้าชายของพวกเขา - เบเอลเซบับ - ซาตาน (ม ธ 12, 24) ดูภายใต้ sl. Beelzebub ปีศาจซาตาน

ที่มา: สารานุกรมศาสนศาสตร์ออร์โธดอกซ์

กองกำลังชั่วร้ายในพันธสัญญาเดิม

การปรากฏตัวของสัตว์ปีศาจในโลกมีหลักฐานอยู่แล้วในหนังสือ ปฐมกาลซึ่งอธิบายถึงการล่อลวงของคนกลุ่มแรกโดยงู อย่างไรก็ตามความคิดเกี่ยวกับพลังชั่วร้ายได้ก่อตัวขึ้นเป็นเวลานานรวมถึงองค์ประกอบบางอย่างที่ยืมมาจากความเชื่อที่เป็นที่นิยม เมื่ออธิบายถึงการกระทำของกองกำลังมืด“ ยังใช้คติชนซึ่งอาศัยอยู่ในซากปรักหักพังและพื้นที่ทะเลทรายที่มีการปรากฏตัวที่คลุมเครือสลับกับสัตว์ป่าเหล่านี้คือเทพารักษ์ที่มีขนดก (Is.13.21; 34.13 LXX) ลิลิ ธ ตัวเมีย ปีศาจแห่งรัตติกาล (34.14) ... พวกมันถูกกำหนดสถานที่ที่ถูกสาปแช่งเช่นบาบิโลน (13) หรือดินแดนแห่งเอโดม (34) พิธีชำระล้างกำหนดให้ทรยศต่อปีศาจ Azazel แพะซึ่งบาปของอิสราเอลได้รับมอบหมาย (เลฟ 16. 10) "(Brunon J.-B. , Grelot P. Demons // Leon-Dufour. Dictionary of the พระคัมภีร์เทพส. 45). เห็นได้ชัดว่าพัฒนาการของปิศาจในพันธสัญญาเดิมระบุได้จากความคลาดเคลื่อนใน 1 พงศาวดาร 21. 1:“ และซาตานลุกขึ้นต่อสู้อิสราเอลและปลุกปั่นดาวิดเพื่อนับจำนวนชาวอิสราเอล” ซึ่งผู้เขียนหนังสือกล่าวถึงซาตานว่ามีอะไรอยู่ใน ข้อความของ 2 ซามูเอล 24. 1:“ พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้จุดไฟต่อชาวอิสราเอลอีกครั้งและพระองค์ทรงปลุกปั่นดาวิดในพวกเขาให้กล่าวว่าจงไปจำนวนอิสราเอลและยูดาห์” - ขึ้นอยู่กับพระพิโรธของพระเจ้า การเปรียบเทียบข้อความนี้แสดงให้เห็นว่าแนวความคิดทางเทววิทยาในพันธสัญญาเดิมกำลังพัฒนาไปในทิศทางใดในการทำความเข้าใจการกระทำของกองกำลังที่มุ่งร้าย ในขั้นต้นความคิดนี้พยายามหลีกเลี่ยงการต่อต้านอย่างเปิดเผยของโลกแห่งความดี (พระเจ้า) และโลกแห่งความชั่วร้าย (ซาตาน) เพื่อไม่ให้เกิดความเป็นคู่ซึ่งคนอิสราเอลถูกผลักดันโดยสภาพแวดล้อมนอกศาสนา ดังนั้นในบางกรณีซาตานจึงปรากฏตัวต่อหน้าพระเจ้าพร้อมกับทูตสวรรค์อื่น ๆ เรียกในหนังสืองานว่า "บุตรของพระเจ้า" (งาน 1. 6); ในคนอื่น ๆ การตกครั้งแรกของเขาและการสูญเสียตัวเองถูกอธิบายโดยใช้ภาพของกษัตริย์แห่งไทระ:“ บุตรแห่งมนุษย์! จงร้องไห้เพื่อราชาแห่งเมืองไทระและบอกเขาว่า: องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่าคุณคือตราประทับแห่งความสมบูรณ์ความสมบูรณ์ของสติปัญญาและมงกุฎแห่งความงาม คุณอยู่ในสวนอีเดนในสวนของพระเจ้า ... คุณเป็นเครูบที่ได้รับการเจิม ... คุณสมบูรณ์แบบในแบบของคุณตั้งแต่วันที่คุณถูกสร้างขึ้นจนกระทั่งพบความชั่วช้าในตัวคุณ ... คุณทำบาปและฉันก็โยนคุณ ในฐานะคนที่ไม่สะอาดจากภูเขาของพระเจ้าขับไล่คุณออกไป ... จิตใจของคุณผยองขึ้นเพราะความงามของคุณเจ้าทำลายสติปัญญาของเจ้าเพราะความไร้สาระของเจ้า เพราะเราจะเหวี่ยงคุณลงไปที่พื้นก่อนที่กษัตริย์จะทำให้เจ้าต้องอับอาย” (Eze 28. 12-17) นอกจากนี้ยังพบการกล่าวถึงกองกำลังชั่วร้ายซ้ำ ๆ ในตำราพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับการล่อลวงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเพื่อเอาใจปีศาจด้วยความช่วยเหลือของพิธีกรรมและเวทมนตร์ที่มีมนต์ขลัง ในเวลาเดียวกันกองกำลังชั่วร้ายกลายเป็นเทพเจ้าจริง ๆ เนื่องจากพวกเขาถูกบูชาและมีการเสียสละ สำหรับชาวอิสราเอลสิ่งเหล่านี้เป็นพระเจ้า "ใหม่" "ซึ่งพวกเขาไม่รู้จัก" และ "ที่มาจากเพื่อนบ้าน" (เช่นคนต่างศาสนา); พระคัมภีร์เรียกปีศาจเหล่านี้โดยตรงว่าเทพ (Deut 32.17) บางครั้งพระเจ้าก็ปล่อยให้การล่อลวงนี้สำหรับชาวอิสราเอลเพื่อทดสอบความรักและความภักดีที่มีต่อพระองค์ (Deut 13.3) อย่างไรก็ตามอิสราเอลมักจะโกงพระเจ้าโดยการถวาย "เครื่องบูชาแด่ปีศาจ" (Deut 32.17) ในขณะเดียวกันการทรยศหักหลังบางครั้งกลายเป็นอาชญากรรมมหึมาสำหรับชาวอิสราเอล“ เสียสละลูกชายและลูกสาวของตนเป็นเครื่องบูชาแก่ปีศาจ” (สดุดี 105: 37-38) พวกเขายังใช้ความช่วยเหลือจากกองกำลังมืดในกรณีเหล่านั้นเมื่อทำตามตัวอย่างของคนต่างศาสนาพวกเขามีส่วนร่วมในการทำนายแผนการสมคบคิดและเวทมนตร์ ใน 1 ซามูเอล 28. 3-25 มีรายละเอียดเกี่ยวกับคดีของพ่อมดเอนโดเรียนที่เรียกวิญญาณของผู้เผยพระวจนะตามคำร้องขอของซาอูล ซามูเอล. ราชินีเยเซเบลผู้ชั่วร้ายก็มีส่วนร่วมในเวทมนตร์ด้วย (2 พงศ์กษัตริย์ 9:22) กษัตริย์มนัสเสห์ "และเสกและเสกและนำผู้อัญเชิญคนตายและพ่อมด" (2 พงศ์กษัตริย์ 21. 6) อาหัสยาห์“ ส่งทูตไปถามเบเอลเซบับเทพแห่งอัคคารอน” (2 พงศ์กษัตริย์ 1.2, 3, 16) สิ่งเหล่านี้คือ“ สิ่งที่น่ารังเกียจ” (Deut 18:12) ซึ่งพระเจ้าทรงเตือนประชาชนของพระองค์ว่า“ คุณไม่ควรมีผู้ปลอบประโลมผู้โชคดีหมอผีหมอผีผู้มีเสน่ห์เรียกวิญญาณหมอผีและขอให้คนตาย” (Deut 18. 10-11). ผู้รับใช้ทั้งหมดของกองกำลังปีศาจเหล่านี้สร้างภาพลวงตาของพลังของตนเท่านั้น พวกเขาเอาชนะอำนาจของพระเจ้าได้เสมอ โจเซฟขอบคุณพระวิญญาณของพระเจ้าที่อาศัยอยู่ในเขามีชัยเหนือผู้ปลอบประโลมของฟาโรห์ (ปฐก. 41); โมเสสแข็งแกร่งกว่าอียิปต์ หมอผี (อพย. 7-9); ดาเนียลทำให้ชาวเคลเดียต้องอับอาย "ผู้วิเศษและนักทำนาย" (แดน 2; 4; 5; 14) ดังนั้นกองทัพปีศาจจึงไม่พ่ายแพ้ด้วยคาถาวิเศษซึ่งศาสนาบาบิโลนใช้ แต่โดยการสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าผู้ที่สามารถห้ามซาตานกระทำการที่มุ่งร้าย (Zech 3.2) และเข้าโค้ง ไมเคิลซึ่งร่วมกับกองทัพของเขากำลังต่อสู้กับพยุหะปีศาจอยู่ตลอดเวลา (แดน 10.13; Tov 8.3)

ใน OT ไม่ได้มีเพียงแค่การยอมจำนนและให้บริการแก่กองกำลังปีศาจเท่านั้น พวกหลังสามารถทำร้ายคน ๆ หนึ่งและแม้แต่เข้าครอบครองเขาได้ดังที่เห็นได้จากอิทธิพลของวิญญาณชั่วร้ายที่มีต่อกษัตริย์ซาอูลซึ่ง“ พระวิญญาณของพระเจ้าจากไป” (1 ซามูเอล 16:14; 18:10) หนังสือ Tobit (6.8) กล่าวถึงผู้คนที่ทนทุกข์ทรมานจากกองกำลังชั่วร้ายเรียกปีศาจตนหนึ่งว่าเปอร์เซีย ชื่อ Asmodeus (3.8)

Demonology ในพันธสัญญาใหม่

เปิดเผยผ่านปริซึมแห่งการต่อสู้และชัยชนะของพระเยซูคริสต์และจากนั้นของคริสเตียนเหนือมาร พระบุตรของพระเจ้าได้มาจุติเพื่อจุดประสงค์นี้“ เพื่อทำลายการกระทำของปีศาจ” (1 ยอห์น 3. 8) และ“ เพื่อที่ว่าโดยความตายพระองค์อาจกีดกันเขาจากอำนาจของผู้ที่มีอำนาจแห่งความตายนั้น คือปีศาจ” (ฮีบรู 2:14) การต่อสู้ของพระคริสต์กับเจ้าชายแห่งความมืดเริ่มต้นด้วยการล่อลวงในถิ่นทุรกันดารแม้ว่าจะคล้ายกับการล่อลวงของคนกลุ่มแรก แต่แข็งแกร่งกว่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

การทดลองของพระคริสต์ในถิ่นทุรกันดาร

พญานาคโบราณเดินตามเส้นทางแห่งการหลอกลวงอีกครั้งซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังตำราศักดิ์สิทธิ์ พระคัมภีร์ที่เขาใช้เป็นข้อโต้แย้งสำหรับคำโกหกของเขา (มัทธิว 4.1-11; ลูกา 4.1-13) เพราะพระเยซูคริสต์อับอายเขาทิ้งพระองค์ "ชั่วครั้งชั่วคราว" (ลูกา 4:13) อย่างไรก็ตามการต่อสู้ของพระผู้ช่วยให้รอดกับซาตานและอาณาจักรแห่งความมืดของเขาไม่ได้หยุดลงตลอดการปฏิบัติศาสนกิจสาธารณะของพระองค์ ปรากฏการณ์ที่พระคริสต์ต้องพบบ่อยครั้งคือการครอบครองผู้คนโดยปีศาจ การแพร่ระบาดของโรคนี้ในวงกว้างในช่วงเปลี่ยน OT และ NT ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่จิตวิญญาณของผู้คนอ่อนแอลงอย่างมากและความเข้มแข็งทางศีลธรรมของโรคก็หายไปอย่างมาก ตามที่พระคริสต์กล่าวว่า“ วิญญาณที่ไม่สะอาด” จะเข้ามาในตัวบุคคลก็ต่อเมื่อพบว่าที่อยู่อาศัยของวิญญาณของเขา“ ไม่ว่างถูกกวาดและทำความสะอาด” แน่นอนไม่ใช่เพื่อพบกับพระเจ้า แต่เป็นการปลูกฝังพลังมืดในตัวเขา “ จากนั้น (วิญญาณที่ไม่สะอาด - MI) ก็ไปรับวิญญาณอีกเจ็ดดวงที่ชั่วร้ายกว่าตัวเขาเองและเมื่อเข้าไปแล้วพวกเขาก็อาศัยอยู่ที่นั่น” (มัทธิว 12. 43-45) การปรากฏตัวโดยตรงของกองกำลังที่มุ่งร้ายในตัวบุคคลทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก (ลูกา 8. 27-29) แต่อิทธิพลของปีศาจในกรณีเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน ภายใต้สถานการณ์ทั้งหมดพระเจ้า“ สั่งวิญญาณที่ไม่สะอาดด้วยสิทธิอำนาจและพวกเขาเชื่อฟังพระองค์” (มาระโก 1:27) อำนาจในการขับไล่ปีศาจไม่เพียง แต่เป็นของพระคริสต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสานุศิษย์ของพระองค์ด้วย (มก 16. 17; Lk 9. 1; 10. 17) ในขณะเดียวกันการครอบครองพลังดังกล่าวไม่ได้เป็นของประทาน แต่เพียงผู้เดียว:“ …อย่าชื่นชมยินดีในสิ่งนี้ที่วิญญาณเชื่อฟังคุณ แต่จงชื่นชมยินดีที่ชื่อของคุณเขียนขึ้นในสวรรค์” (ลูกา 10:20) ในคำอุปมาของพระวรสารพระคริสต์อธิบายนอกเหนือจากเนื้อหาเกี่ยวกับปีศาจวิธีอื่น ๆ ของอิทธิพลของกองกำลังปีศาจที่มีต่อบุคคล อุปมาเรื่องผู้หว่านและเมล็ดพันธุ์กล่าวว่าเมล็ดพันธุ์แห่งการสั่งสอนพระกิตติคุณไม่พบพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ในใจผู้คนเสมอไป บางครั้งสิ่งนี้ถูกขัดขวางโดยปีศาจที่“ พรากพระวจนะ (ของพระเจ้า - MI) ไปจากใจของพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะไม่เชื่อและได้รับความรอด” (Lk 8. 12) ในอุปมาเรื่องข้าวสาลีและข้าวละมานมีการวาดภาพโลกซึ่ง "อยู่ในความชั่วร้าย" (1 ยอห์น 5:19) ที่ซึ่งความดีซึ่งเป็นแหล่งที่มาของพระเจ้าอาศัยอยู่ในละแวกของความชั่วร้ายซึ่งปีศาจ "แม่สุกร" (ม ธ 13.24-30, 37-39) ความไม่ซื่อสัตย์ไม่เพียงเป็นผลมาจากชีวิตที่ผิดศีลธรรมของบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีการเลี้ยงดูเขาด้วย อ. เปาโลมอบการร่วมประเวณีระหว่างพี่น้องชาวโครินธ์ให้กับ "ซาตานเพื่อทำลายเนื้อหนังเพื่อวิญญาณจะได้รับความรอด" (1 คร. 5. 1-5) การล่อลวงของมารใด ๆ สามารถศึกษาได้ตามธรรมชาติหากมีการรับรู้และอดทนอย่างเหมาะสม อ. เปาโลเขียนเกี่ยวกับตัวเองว่า“ …เกรงว่าฉันจะได้รับการยกย่องจากการเปิดเผยที่ไม่ธรรมดาฉันได้รับหนามในเนื้อซึ่งเป็นทูตสวรรค์ของซาตานเพื่อกดดันฉันเพื่อที่ฉันจะไม่ถูกยกย่อง สามครั้งที่ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าให้ลบเขาออกไปจากฉัน แต่พระเจ้าตรัสกับฉันว่า: "พระคุณของฉันเพียงพอแล้วสำหรับคุณเพราะกำลังของฉันสมบูรณ์ในความอ่อนแอ" "(2 คร. 12. 7-9) การกระทำของกองกำลังมืดตามกฎมาพร้อมกับเล่ห์เหลี่ยมและการหลอกลวงเพราะมาร“ ไม่ยืนหยัดในความจริงเพราะไม่มีความจริงในตัวเขา เมื่อเขาพูดความเท็จเขาก็พูดเรื่องของเขาเองเพราะเขาเป็นคนโกหกและเป็นบิดาของการโกหก "(ยอห์น 8:44) ซาตานยังสามารถถือว่าเป็น "รูปแบบของทูตสวรรค์แห่งแสงสว่าง" (2 คร. 11.14) และการมาของมาร "โดยการกระทำของซาตาน" จะมาพร้อมกับ "อำนาจและสัญญาณและการมหัศจรรย์ที่ผิดพลาดทั้งหมด" และ "สิ่งที่ไม่ชอบธรรมทั้งหมด การหลอกลวง” (2 เทส 2. 9-10). “ ความคิดที่จะโกหกพระวิญญาณบริสุทธิ์” (กิจการ 5. 1-3) ยังปลูกฝังในอานาเนียโดย“ บิดาแห่งการโกหก” และการทรยศของยูดาสเกิดขึ้นหลังจาก“ ปีศาจ ... ทำให้ความอาฆาตพยาบาทนี้อยู่ในใจเขา ” (ยอห์น 13.2) ความยินยอมของยูดาสในการทรยศต่อพระคริสต์กลายเป็นบาปของซาตานอย่างแท้จริงหลังจากนั้นซาตานก็เข้าสู่หัวใจของผู้ทรยศอย่างอิสระ (ลูกา 22.3) พระเยซูคริสต์เรียกยูดาสโดยตรงว่า“ ปีศาจ”:“ …ฉันไม่ได้เลือกคุณสิบสองคนหรือ? แต่พวกคุณคนหนึ่งเป็นปีศาจ” (ยอห์น 6.70) ในการเผชิญหน้า คำตักเตือนเปโตร: "ไปให้พ้นซาตาน" (ม ธ 16. 23) - พระคริสต์ตามที่ล่ามบางคนเรียกซาตานว่าไม่ใช่อัครสาวก แต่เป็นมารที่ยังคงล่อลวงพระองค์ต่อไปและผู้ที่พระคริสต์ได้ตรัสถึงเช่นเดียวกัน คำพูด (ม ธ 4:10) "เขา (พระเยซูคริสต์ - มิย) มองผ่านเปโตรไปครู่หนึ่งและเห็นเบื้องหลังอดีตศัตรูของเขา ... " (Lopukhin. Explanatory Bible. T. 8. S. 281) ตาบอดด้วยความอาฆาตพยาบาทชาวยิวจึงอ้างสิทธิ์ในการครอบครองของปีศาจแก่ยอห์นผู้ให้บัพติศมา (มัทธิว 11:18 ลูกา 7:33) และแม้แต่กับพระคริสต์เอง (ยอห์น 8:52; 10:20) อย่างไรก็ตามปีศาจไม่สามารถรักษาคนป่วยได้ (ยอห์น 10:21) หรือขับผีออก (มัทธิว 12.24-29; Lk 11. 14-15) “ ถ้าซาตานขับไล่ซาตานออกไปมันก็จะแตกแยกกันเองแล้วอาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร?” (ม ธ 12.26; เปรียบเทียบ: มก 3.23-27) พระเยซูคริสต์ไม่ได้เอาชนะมาร "โดยอำนาจของ Beelzebub เจ้าชายแห่งปีศาจ" (ม ธ 12:24) แต่โดย "พระวิญญาณของพระเจ้า" (ม ธ 12:28) - นี่หมายความว่า "ผู้แข็งแกร่ง" นั่นคือ มาร "ถูกมัด" แล้ว (ม ธ 12.29) "ถูกประณาม" (ยน 16.11) และ "จะถูกขับไล่" (ยน 12.31) อย่างไรก็ตามเขาไม่หยุดการต่อสู้ที่ขมขื่นทั้งกับพระคริสต์ (ยอห์น 14.30 น.) และกับผู้ติดตามของพระองค์ เขาขอให้อัครสาวกหว่าน "เหมือนข้าวสาลี" (ลูกา 22:31) “ เหมือนสิงโตคำราม” ปีศาจ“ เดิน ... มองหาคนที่จะเขมือบ” (1 เปโตร 5. 8); เขามี "พลังแห่งความตาย" (ฮีบรู 2:14); คริสเตียนเขาจะ "จับ ... เข้าคุก" (วิ. 2:10) สำหรับอัครสาวกที่ปฏิบัติงานพระกิตติคุณซาตานวางอุปสรรคทุกรูปแบบ (1 เธส 2. สิบแปด) ดังนั้นอธิบาย ap. เปาโล“ การต่อสู้ของเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่เป็นการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิต, ต่อต้านอำนาจ, ต่อต้านผู้ปกครองแห่งความมืดในยุคนี้, ต่อวิญญาณแห่งความชั่วร้ายในสวรรค์” (อฟ 6:12) อย่างไรก็ตาม“ ลูกศรเพลิงของคนชั่วร้าย” (อฟ 6:16) ไม่ควรทำให้คริสเตียนเกิดความกลัว วิญญาณมืด "สั่น" ต่อหน้าพระเจ้า (ยากอบ 2:19); ความรุนแรงซึ่งเป็นการตัดขาดที่พวกเขาต่อต้านอำนาจของพระเจ้านั้นไร้อำนาจอย่างแท้จริง ถ้าคน ๆ หนึ่งแสดงให้เห็นถึงการเชื่อฟังพระเจ้าและต่อต้านปีศาจเขาจะ“ หนี” ไปจากเขาทันที (ยากอบ 4: 7)

ในฐานะวิญญาณพลังแห่งความมืดไม่ได้ถูก จำกัด ด้วยพื้นที่ แต่พวกเขาชอบที่จะอยู่ในสถานที่โปรดของพวกเขา หากตำราในพันธสัญญาเดิมเรียกสถานที่ดังกล่าวว่าวัดนอกศาสนาเป็นหลัก NT กล่าวซ้ำ ๆ ถึงการแพร่ระบาดของปีศาจในผู้คน ในขณะเดียวกันบางครั้งวิญญาณแห่งความมืดของปีศาจที่สิงอยู่ในตัวเองก็ถูกบังคับให้ไปยังสถานที่ที่ไร้ชีวิตและมืดมนไปสู่ทะเลทรายและสุสาน (ลูกา 8.29 ม ธ 8.28) คำขอให้ส่งพวกเขาไปยังฝูงหมูโดยที่พวกเขาหันไปหาพระเยซูคริสต์ (ม ธ 8. 31; ลูกา 8. 32) อธิบายได้ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าหมูตามกฎหมายในพันธสัญญาเดิมเป็นสัตว์ที่ไม่สะอาด . ในหนังสือวิวรณ์ของยอห์นนักศาสนศาสตร์มีรายงานว่าบาบิโลนสำหรับการหลอกลวงของเธอ "กลายเป็นที่อยู่อาศัยของปีศาจและเป็นที่หลบภัยของวิญญาณที่ไม่สะอาดทุกอย่าง" (18.2) และเมืองเปอร์กามัมซึ่งลัทธินอกศาสนาเฟื่องฟูและมีการต่อสู้อย่างดุเดือดกับศาสนาคริสต์ กลายเป็นเมือง "ที่ซาตานอาศัยอยู่" ใครจัด "บัลลังก์" ของมันไว้ในนั้น (2. 13)

กิจกรรมที่ซาตานกระทำในช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับขอบเขตที่พระเจ้าอนุญาตให้เขาแสดงเจตจำนงชั่วร้ายของเขา หลังจากได้รับชัยชนะเหนืออาดัมและเอวาในช่วงเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ (ปฐก. 3 1-7) ศัตรูของเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายเป็น "เจ้าชาย" ตามความประสงค์ของใคร (อฟ 2. 2) พหูพจน์ ผู้คนอาศัยอยู่ตลอดช่วงพันธสัญญาเดิม (ฮีบรู 2:15) พวกเขาเดิน "ในความมืด" และอาศัยอยู่ "ในดินแดนแห่งเงาแห่งความตาย" (อสย 9. 2) ในฐานะทาสของปีศาจพวกเขากลายเป็น“ คนตาย” เพราะบาปและอาชญากรรมของตัวเอง (อฟ. 2 1-2) และด้วยการจุติเท่านั้นที่มีความหวังว่า "เจ้าชายของโลกจะถูกขับออกไป" (ยอห์น 12:31)
ด้วยความทุกข์ทรมานความตายและการฟื้นคืนพระชนม์พระเยซูคริสต์ทรงเอาชนะมารอย่างแท้จริงและได้รับอำนาจเต็มที่“ ในสวรรค์และบนโลก” (มัทธิว 28:18) และด้วยชัยชนะครั้งนี้“ เจ้าชายของโลกนี้ถูกประณาม” (ยอห์น 16: 11) และผูกพันในการกระทำของเขา (Rev 20 1-3) ช่วงพันปีที่ "งูโบราณ" ถูก "ผูกมัด" (วว. 20 2) ล่ามให้คำจำกัดความว่าเป็นช่วงเวลาตั้งแต่การจุติถึงการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ (ส. ค. เดอ civ. xx 8) เมื่อ ปีศาจไม่สามารถออกกำลังกายได้เต็มที่อีกต่อไป หลังจากช่วงเวลานี้เขาจะได้รับการปล่อยตัว "ชั่วครั้งชั่วคราว" (ข้อ 20 3) และจะทำหน้าที่ไม่เพียง แต่เป็นผู้ล่อลวงบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ล่อลวงคนทั้งโลกด้วย จากนั้นเขาจะปรากฏตัวในฐานะ "ทูตสวรรค์แห่งนรก" (Rev 9.11) ในฐานะ "สัตว์ร้ายที่ออกมาจากนรก" (Rev 11.7) และในบุคคลของมารซึ่งเขาจะอาศัยอยู่เขาจะแสดงให้เห็น พลังงานทำลายล้างในระดับสูงสุด อย่างไรก็ตามเขาจะไม่ได้รับชัยชนะเป็นเวลานาน เขาจะถูกโยน“ ลงในบึงไฟ” ร่วมกับผู้ต่อต้านพระคริสต์ (วิ. 19:20) การต่อสู้กับพระเจ้าของเขาจะชัดเจนมากจนไม่รวมความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องอยู่ในการพิพากษาครั้งสุดท้ายเพื่อกำหนดชะตากรรมในอนาคตของเขา มารและทูตสวรรค์ล่อลวงเขาปฏิเสธพระเจ้าจึงปฏิเสธชีวิตนิรันดร์แทนที่ด้วยการดำรงอยู่ในความตายซึ่งไม่มีอะไรนอกจากความทรมานชั่วนิรันดร์ (ดูบทความเรื่องนรกอโพคาทาสตาซิส)

ลักษณะและลำดับชั้นของปีศาจ

บาปของลูซิเฟอร์ทำให้ธรรมชาติของเขาเสียหายเท่านั้น ผลที่ตามมามันไม่เหมือนกับบาปดั้งเดิมที่อาดามและเอวากระทำและทิ้งรอยประทับไว้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ทูตสวรรค์ที่เหลือที่ทำบาปหลังจากที่ลูซิเฟอร์ล้มลง "ผ่านตัวอย่างจากอิทธิพลที่บุคคลหนึ่งสามารถกระทำต่อบุคคลอื่นได้ ... ลูซิเฟอร์พาทูตสวรรค์องค์อื่น ๆ ไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ล้มลงทั้งหมด ... " (Ibid. P. 252) ธรรมชาติของทูตสวรรค์ที่ต่อต้านความดีไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เนื่องจากการล่มสลายของกองกำลังปีศาจ

มีลักษณะทางจิตวิญญาณพลังแห่งความมืดเช่นเดียวกับทูตสวรรค์ที่ยังคงซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าดูเหมือนจะมีตัวตนบางอย่าง (ดู Art. Angelology) แต่ไม่อยู่ภายใต้กฎของสรีรวิทยา ความคิดที่ว่าทูตสวรรค์สามารถมีเพศสัมพันธ์กับผู้คนได้โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการตีความข้อความในปฐมกาล 6 ที่ผิดพลาด 1-4 ไม่ได้รับการยอมรับจากศาสนจักร ในความโปรดปรานของพวกเขา Tov 6. 15 ยังบอกว่าไม่มีอะไรที่ปีศาจดูเหมือนจะรักเจ้าสาวโทเบียสเพราะความรักปีศาจมักจะปรากฏขึ้น "พร้อมเครื่องหมายลบ" เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจ้าสาวโทเบียสพบคำอธิบายในพระคริสต์ วรรณกรรมของนักพรตซึ่งอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการทำสงครามทางกามารมณ์ของนักพรตกับปีศาจแห่งการผิดประเวณี

กองกำลังแห่งความมืดเป็นตัวแทนของอาณาจักรแห่งความชั่วร้ายซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของปีศาจเอง (เปรียบเทียบ Lk 11:18) ซึ่งพาเขาไปในยามที่เขาล่มสลายตามคำกล่าวของ St. ยอห์นแห่งดามัสกัส "ทูตสวรรค์จำนวนไม่สิ้นสุดที่อยู่ภายใต้อำนาจของเขา" (Ioan. Damasc. de fide orth. II 4) ล่ามบางคนเมื่อพิจารณาถึงวิวรณ์ 12. 3-4, 7-9 ที่ว่ากันว่า "มังกรแดงผู้ยิ่งใหญ่" "มังกรผู้ยิ่งใหญ่ ... เรียกปีศาจและซาตานว่า" แผ่นดิน "เชื่อกันว่าดวงดาว ในที่นี้เป็นสัญลักษณ์แทนทูตสวรรค์ที่หลุดจากพระเจ้าร่วมกับปีศาจ (Lopukhin. Explanatory Bible. T. 8. S. 562-564) แม้ว่าความจริงที่ว่าการล่มสลายของทูตสวรรค์จะนำความไม่ลงรอยกันและความไม่เป็นระเบียบมาสู่โลกที่สร้างขึ้น แต่อาณาจักรแห่งความชั่วร้ายเองก็เป็นโครงสร้างบางอย่างตามหลักการลำดับชั้น นี่เป็นหลักฐานโดย Ap. เปาโลผู้เรียกลำดับชั้นของปีศาจว่า“ อาณาเขต”“ ผู้มีอำนาจ”“ ผู้ปกครองแห่งความมืดของโลกนี้” (อฟ 6:12; คส. 2:15) เนื่องจากอัครสาวกใช้ชื่อเหล่านี้บางชื่อและเกี่ยวข้องกับทูตสวรรค์ที่ดี (อฟ 1:21; คส 1:16) จึงไม่ชัดเจนว่าลำดับชั้นของโลกเทวทูตที่ล่มสลายมีโครงสร้างอย่างไร มีสมมติฐาน 2 ข้อตามที่ทูตสวรรค์ที่เข้ามานั้นยังคงอยู่ในอันดับเดียวกันกับที่พวกเขาอยู่ก่อนการล่มสลายหรืออันดับของพวกเขาถูกกำหนดโดยความรุนแรงของการสังหารโหด (Ioan. Cassian. Collat. VIII 8)

ที่มา: สารานุกรมออร์โธดอกซ์

มารและต้นกำเนิดของบาป

ในฐานะสัตว์ร้ายที่พยายามทำร้ายบุคคลและนำเขาไปสู่บาปซาตานปรากฏอย่างชัดเจนในหนังสือปฐมกาลซึ่งบอกว่าเขาเข้าไปในงูล่อลวงพ่อแม่คู่แรกของเราได้อย่างไรและท้ายที่สุดก็ชักชวนพวกเขาให้ฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระเจ้า - ถึง กินผลของต้นไม้ต้องห้าม (ปฐมกาล 3); ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์ร้ายตัวเดียวกันคือปีศาจในหนังสือของโยบ (โยบ 1: 6-12, 2: 1-7) ในหนังสือพงศาวดารกล่าวว่า“ ซาตานก่อกบฏต่ออิสราเอลและกระตุ้นดาวิดให้นับจำนวนชาวอิสราเอล” (1 พงศาวดาร 21: 1) ที่นี่ดูเหมือนว่าซาตานจะปลุกดาวิดให้คิดบัญชีของชาวอิสราเอลและด้วยเหตุนี้เขาจึงเกี่ยวข้องกับบาปที่ดาวิดสารภาพต่อหน้าพระเจ้า (1 พงศาวดาร 21: 8) และพระเจ้าทรงลงโทษคนอิสราเอลด้วยโรคระบาด (1 พงศาวดาร 21 : 14).

ในทำนองเดียวกันมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนในพันธสัญญาใหม่ว่ามารชักนำคนให้เข้าสู่บาป ประการแรกชื่อของเขาคือ "ผู้ล่อลวง" (มัทธิว 4: 3; 1 เธสะโลนิกา 3: 5) นั่นคือการล่อลวงบุคคลให้ทำบาป ซาตานเป็นผู้ล่อลวงแม้ในความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ (มัทธิว 4: 1-11; มาระโก 1: 12-13; ลูกา 4: 1-13) ในถิ่นทุรกันดารที่ซึ่งพระเยซูคริสต์ทรงเกษียณหลังจากรับบัพติศมาซาตานปรากฏตัวต่อพระองค์และเริ่มล่อลวงพระองค์ด้วยวิธีการล่อลวงทั้งหมดเช่น“ ตัณหาของเนื้อหนังตัณหาของดวงตาและความหยิ่งผยองของชีวิต” (1 ยอห์น 2 : 16). แต่พระเยซูคริสต์ทรงต่อต้านการล่อลวงทั้งหมดของซาตานอย่างเด็ดเดี่ยวจนคนหลังต้องถอนตัวจากพระองค์และตระหนักถึงความไร้อำนาจของตนที่จะนำพระบุตรของพระเจ้าไปสู่บาป
อิทธิพลของมารที่มีต่อต้นกำเนิดของบาปในเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นเป็นที่ยอมรับอย่างชัดเจนโดยพระผู้ช่วยให้รอดในอุปมาเรื่องเมล็ดพืชและข้าวละมานของพระองค์ (มัทธิว 13: 24-30, 36-43) “ อาณาจักรแห่งสวรรค์” เขากล่าว“ ก็เหมือนกับคนที่หว่านเมล็ดพันธุ์ที่ดีในนาของตน ในขณะที่ผู้คนหลับใหลศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานท่ามกลางข้าวสาลีและจากไป” (มัทธิว 13: 24-25) “ ทุ่งนา” ตามคำอธิบายของพระผู้ช่วยให้รอด“ คือโลกเมล็ดพืชที่ดีคือบุตรของราชอาณาจักรและข้าวละมานเป็นบุตรของคนชั่ว ศัตรูที่หว่านมันคือมาร” (มัทธิว 13: 38-39) ดังนั้นความชั่วร้ายในโลกจึงปรากฏขึ้นตามพระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอดที่จะหว่านหรือกำเนิดมาจากปีศาจ ตามคำพยานของพระกิตติคุณซาตานดลใจให้ยูดาสทรยศต่อพระเยซูต่อหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์ (ลูกา 22: 3; ยอห์น 13: 2, 27) อัครสาวกยอห์นยังรับรู้อย่างชัดเจนว่ามารเป็นผู้กระทำความผิดที่มาของบาปเมื่อเขากล่าวว่า:“ ใครทำบาปก็มาจากมารเพราะมารทำบาปก่อน ด้วยเหตุนี้พระบุตรของพระเจ้าจึงดูเหมือนจะทำลายการกระทำของมาร” (1 ยอห์น 3: 8) ที่นี่การกระทำที่ผิดบาปของบุคคลเรียกโดยตรงว่าผลงานของปีศาจ ดังนั้นปีศาจจึงมีอิทธิพลต่อต้นกำเนิดของพวกมัน ดังนั้นจึงเรียกว่าผลงานของเขา ในคำพูดของอัครสาวกเปโตรซึ่งเขาเตือนคริสเตียนให้ต่อต้านอบายมุขของมารเรายังพบข้อบ่งชี้ของการมีส่วนร่วมของมารในต้นกำเนิดของบาป “ จงมีสติคอยดู” อัครสาวกกล่าว“ เพราะปีศาจที่เป็นปฏิปักษ์ของคุณเดินเหมือนสิงโตคำรามหาคนมาเขมือบ” (1 ปต. 5: 8) ที่นี่ปีศาจถูกนำเสนอในฐานะศัตรูของมนุษย์พยายามที่จะทำลายเขา และเขาทำลายคน ๆ หนึ่งเมื่อเขานำเขาไปสู่บาป
จากข้อความที่นำเสนอของพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่จะเห็นได้ชัดเจนว่ามารมีอิทธิพลต่อต้นกำเนิดของบาปในมนุษย์

ทัศนคติของคริสเตียนที่มีต่อมารควรเป็นอย่างไร?

วันนี้เรากำลังเห็นสองขั้ว ในแง่หนึ่งมีคริสเตียนจำนวนมากในปัจจุบันที่ไม่เชื่อในความเป็นจริงของมารเลยไม่เชื่อในความสามารถของเขาที่จะมีอิทธิพลต่อชีวิตของพวกเขา บางคนคิดว่าปีศาจเป็นสัตว์ในตำนานที่ความชั่วร้ายของโลกเป็นตัวเป็นตน ในทางกลับกันมีคนจำนวนมากที่ให้ความสำคัญเกินจริงกับปีศาจซึ่งเชื่อว่าปีศาจมีอิทธิพลต่อทุกแง่มุมในชีวิตของคนเราและเห็นการปรากฏตัวของมันได้ทุกที่ ผู้เชื่อเช่นนี้กลัวอยู่ตลอดเวลาว่าพลังของปีศาจจะส่งผลกระทบต่อพวกเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

บนพื้นฐานนี้มีความเชื่อโชคลางมากมายซึ่งผู้คนในคริสตจักรไม่ได้เป็นอิสระ มีการคิดค้น "วิธีการรักษาพื้นบ้าน" หลายอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้ซาตานเจาะเข้าไปในตัวบุคคล ตัวอย่างเช่นบางคนหาวบัพติศมาปากของพวกเขาเพื่อไม่ให้ปีศาจเข้าทางมัน คนอื่น ๆ จัดการประกบปากของพวกเขาสามครั้งในการหาวครั้งเดียว ฉันเคยได้ยินบทสนทนาที่ทูตสวรรค์นั่งบนไหล่ขวาของเราและปีศาจทางซ้ายของเรา: ทำสัญลักษณ์ของไม้กางเขนเราข้ามตัวเองจากขวาไปซ้ายโยนทูตสวรรค์จากไหล่ขวาไปซ้ายเพื่อให้เขาเข้าสู่ ต่อสู้กับปีศาจและเอาชนะเขา (ดังนั้นชาวคาทอลิกที่ข้ามจากซ้ายไปขวาจะโยนปีศาจใส่ทูตสวรรค์) เรื่องนี้อาจดูไร้สาระและไร้สาระสำหรับบางคน แต่ก็มีคนที่เชื่อในเรื่องนี้ และน่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย แต่เป็นบทสนทนาจริงที่สามารถได้ยินได้ในอารามเซมินารีศาสนศาสตร์และตำบลบางแห่ง คนที่คิดแบบนี้อาศัยความเชื่อมั่นว่าชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขาจมอยู่กับการปรากฏตัวของปีศาจ ฉันเคยได้ยินว่าอักษรอียิปต์โบราณผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทววิทยาสอนผู้ศรัทธาอย่างไร: เมื่อคุณตื่นนอนในตอนเช้าจากนั้นข้ามรองเท้าแตะของคุณก่อนที่จะใส่เท้าของคุณลงในรองเท้าแตะเพราะปีศาจนั่งอยู่ในพวกเขาแต่ละคน ด้วยทัศนคติเช่นนี้ชีวิตทั้งชีวิตจะกลายเป็นการทรมานเพราะทุกอย่างจมอยู่กับความกลัวความกลัวอย่างต่อเนื่องว่าคน ๆ หนึ่งจะถูก "เสีย" ถูกทำให้ชั่วร้ายวิญญาณชั่วร้ายจะถูกนำมาหาเขา ฯลฯ ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรที่จะ ทำกับทัศนคติของคริสเตียนที่มีต่อปีศาจ ...

เพื่อให้เข้าใจว่าทัศนคติของคริสเตียนที่แท้จริงต่อมารควรเป็นอย่างไรอันดับแรกเราต้องหันกลับมาที่การนมัสการของเราต่อศีลศักดิ์สิทธิ์และประการที่สองคือคำสอนของพระบิดาผู้บริสุทธิ์ พิธีบัพติศมาเริ่มต้นด้วยคาถาที่มุ่งตรงไปยังปีศาจ: ความหมายของคาถาเหล่านี้คือการขับไล่ปีศาจที่แฝงตัวอยู่ในหัวใจของมนุษย์ จากนั้นผู้รับบัพติศมาใหม่พร้อมกับปุโรหิตและผู้รับจะหันไปทางทิศตะวันตก ปุโรหิตถามว่า: "คุณละทิ้งซาตานและการกระทำทั้งหมดของมันและกองทัพทั้งหมดของเขาและความภาคภูมิใจทั้งหมดของเขาหรือไม่" เขาตอบสามครั้ง: "ฉันละทิ้ง" ปุโรหิตพูดว่า: "ระเบิดและถ่มน้ำลายใส่เขา" นี่เป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายลึกซึ้งมาก "เป่าและถ่มน้ำลายใส่เขา" หมายถึง "ปฏิบัติต่อปีศาจด้วยการดูถูกอย่าไปสนใจเขาเขาไม่สมควรได้รับอะไรมากไปกว่านี้"

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์วรรณกรรมทัศนคติที่มีต่อปีศาจและปีศาจนั้นมีลักษณะที่ไม่เกรงกลัวอย่างสงบ - \u200b\u200bบางครั้งก็มีอารมณ์ขัน คุณสามารถจำเรื่องราวของนักบุญจอห์นแห่งนอฟโกรอดผู้ซึ่งแบกปีศาจและบังคับให้พาเขาไปที่เยรูซาเล็ม ฉันยังจำเรื่องราวจากชีวิตของแอนโธนีมหาราช มีนักเดินทางมาหาเขาซึ่งเดินผ่านทะเลทรายมานานและระหว่างทางมีลาตัวหนึ่งเสียชีวิตด้วยความกระหาย พวกเขามาหาแอนโธนี่และเขาพูดกับพวกเขาว่า: "ทำไมคุณไม่ช่วยลา" พวกเขาถามด้วยความประหลาดใจ: "Abba คุณรู้ได้อย่างไร" ซึ่งเขาตอบกลับอย่างใจเย็น: "พวกปีศาจบอกฉัน" เรื่องราวทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติของคริสเตียนที่มีต่อปีศาจอย่างแท้จริงในแง่หนึ่งเรายอมรับว่าปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่จริงเป็นผู้แบกรับความชั่วร้าย แต่ในทางกลับกันเราเข้าใจว่ามารกระทำภายใต้กรอบที่กำหนดโดย พระเจ้าและจะไม่สามารถก้าวข้ามกรอบนี้ได้ ยิ่งกว่านั้นบุคคลสามารถควบคุมและควบคุมปีศาจได้

ในคำอธิษฐานของคริสตจักรในตำราพิธีกรรมและในงานของพระบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์เน้นย้ำว่าอำนาจของปีศาจเป็นเรื่องลวงตา แน่นอนว่าในคลังแสงของปีศาจนั้นมีวิธีการและวิธีการต่าง ๆ ที่เขาสามารถมีอิทธิพลต่อบุคคลได้เขามีประสบการณ์มากมายในการกระทำทุกประเภทที่มุ่งทำร้ายบุคคล แต่เขาสามารถใช้ได้ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นอนุญาต เขาจะทำเช่นนั้น ... สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าปีศาจไม่สามารถทำอะไรเราได้ถ้าเราเองไม่เปิดทางเข้าให้เขา - ประตูหน้าต่างหรืออย่างน้อยก็มีรอยแตกที่เขาจะเจาะเข้าไป

ปีศาจตระหนักดีถึงความอ่อนแอและความอ่อนแอของตัวเอง เขาเข้าใจดีว่าเขาไม่มีอำนาจที่แท้จริงที่จะมีอิทธิพลต่อผู้คน นั่นคือเหตุผลที่เขาพยายามชักชวนให้ร่วมมือช่วยเหลือ เมื่อพบจุดอ่อนในตัวบุคคลเขาจึงพยายามชักจูงเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งและบ่อยครั้งที่เขาประสบความสำเร็จ ก่อนอื่นปีศาจต้องการให้เรากลัวเขาคิดว่าเขามีอำนาจจริง และถ้าคนตกหลุมพรางเหยื่อนี้เขาจะอ่อนแอและมีแนวโน้มที่จะ "ยิงปีศาจ" นั่นคือลูกศรเหล่านั้นที่ปีศาจและปีศาจยิงเข้าไปในจิตวิญญาณของคน

วิธีจัดการกับปีศาจ

พระบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์สอนเกี่ยวกับการแทรกซึมของความคิดที่ผิดบาปเข้าสู่จิตวิญญาณของมนุษย์อย่างค่อยเป็นค่อยไปและทีละน้อย คุณสามารถทำความคุ้นเคยกับคำสอนนี้ได้โดยอ่าน "ปรัชญา" หรือ "บันได" ของเซนต์จอห์นแห่งไซนาย สาระสำคัญของคำสอนนี้คือในตอนแรกความคิดที่ผิดบาปหรือความหลงใหลจะปรากฏขึ้นเพียงที่ใดที่หนึ่งบนขอบฟ้าของจิตใจมนุษย์ และถ้าคน ๆ หนึ่งตามที่พระบิดาของศาสนจักรกล่าวว่า“ ยืนระวังจิตใจของเขา” เขาสามารถปฏิเสธความคิดนี้“ เป่าและพ่น” กับมันและเขาก็จะหายไป หากคน ๆ หนึ่งสนใจในความคิดเริ่มที่จะพิจารณาพูดคุยกับมันเขาจะพิชิตดินแดนในจิตใจของคน ๆ หนึ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ - จนกว่าเขาจะยอมรับธรรมชาติทั้งหมดของเขา - จิตวิญญาณ, หัวใจ, ร่างกาย - และไม่กระตุ้นให้เขากระทำ บาป ...

ไสยศาสตร์นานาชนิดเปิดทางให้ปีศาจและปีศาจเข้าสู่จิตวิญญาณและหัวใจของมนุษย์ ฉันอยากจะเน้นย้ำ: ความเชื่อเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อโชคลาง ศาสนจักรต่อสู้กับความเชื่อโชคลางมาโดยตลอดเนื่องจากความเชื่อโชคลางเป็นตัวแทนแทนศรัทธาที่แท้จริง คนที่เชื่ออย่างแท้จริงตระหนักว่ามีพระเจ้า แต่ก็มีพลังมืดเช่นกัน เขาสร้างชีวิตของเขาอย่างมีเหตุผลและมีสติไม่กลัวสิ่งใดวางความหวังทั้งหมดไว้ที่พระเจ้า คนที่เชื่อโชคลาง - จากความอ่อนแอหรือโง่เขลาหรืออยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้คนหรือสถานการณ์ใด ๆ - แทนที่ศรัทธาด้วยชุดของความเชื่อยอมรับความกลัวซึ่งประกอบขึ้นเป็นกระเบื้องโมเสคบางชนิดซึ่งเขายึดมั่นในศรัทธาทางศาสนา เราคริสเตียนควรรังเกียจไสยศาสตร์ในทุกวิถีทาง มีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติต่อความเชื่อทางไสยศาสตร์ด้วยการดูถูกเหยียดหยามที่เราปฏิบัติต่อปีศาจ: "ดูนี่และถ่มน้ำลายใส่เขา"

ทางเข้าของปีศาจเข้าสู่จิตวิญญาณของมนุษย์ก็เปิดผ่านบาปเช่นกัน แน่นอนเราทุกคนทำบาป แต่ความบาปนั้นแตกต่างกัน มีจุดอ่อนของมนุษย์ที่เราต่อสู้ - สิ่งที่เราเรียกว่าบาปเล็ก ๆ น้อย ๆ และพยายามเอาชนะ แต่มีบาปที่แม้จะกระทำเพียงครั้งเดียวก็เปิดประตูให้มารเข้าสู่จิตใจของคนได้ การละเมิดบรรทัดฐานทางศีลธรรมของศาสนาคริสต์โดยเจตนาสามารถนำไปสู่สิ่งนี้ได้ หากบุคคลละเมิดบรรทัดฐานของชีวิตแต่งงานอย่างเป็นระบบเขาจะสูญเสียความระมัดระวังทางวิญญาณสูญเสียความสุขุมความบริสุทธิ์ทางเพศนั่นคือภูมิปัญญาสำคัญที่ปกป้องเขาจากการโจมตีของมาร

ยิ่งไปกว่านั้นความเป็นคู่ใด ๆ ก็เป็นอันตราย เมื่อบุคคลเช่นยูดาสเริ่มยึดติดกับคุณค่าอื่น ๆ นอกเหนือจากคุณค่าพื้นฐานที่ประกอบเป็นแกนกลางทางศาสนาและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีความคิดและหัวใจของเขาจะแยกออกจากกันบุคคลจะมีความเสี่ยงอย่างมากต่อการกระทำของปีศาจ

ฉันได้กล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่า "การบรรยาย" ไปแล้ว ฉันอยากจะดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ซึ่งมีรากฐานทางประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้ง ในคริสตจักรโบราณอย่างที่คุณทราบมีนักขับไล่ - คนที่คริสตจักรมอบหมายให้ขับไล่ปีศาจออกจากสิ่งที่สิงอยู่ คริสตจักรไม่เคยมองว่าการครอบครองของปีศาจเป็นความเจ็บป่วยทางจิต เรารู้จากพระวรสารหลายกรณีเมื่อปีศาจปีศาจหลายตัวหรือแม้แต่กองทัพทั้งหมดเข้ามาตั้งรกรากในตัวบุคคลและพระเจ้าทรงขับไล่พวกเขาด้วยอำนาจของพระองค์ จากนั้นงานขับไล่ปีศาจก็ดำเนินต่อไปโดยอัครสาวกและต่อมา - โดยนักขับไล่ผู้ซึ่งศาสนจักรมอบหมายภารกิจนี้ ในหลายศตวรรษต่อมาการปฏิบัติศาสนกิจของนักขับไล่ในฐานะพันธกิจพิเศษภายในศาสนจักรได้หายไปในทางปฏิบัติ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคน (และยังคงเป็น) คนที่มีส่วนร่วมในการขับไล่ปีศาจออกจากผู้ที่ถูกครอบงำไม่ว่าจะในนามของศาสนจักรหรือด้วยความคิดริเริ่มของพวกเขาเอง .

คุณต้องรู้ว่าในแง่หนึ่งปีศาจเป็นความจริงที่ศาสนจักรเผชิญในชีวิตประจำวัน แท้จริงแล้วมีผู้คนที่ปีศาจอาศัยอยู่ซึ่งแทรกซึมเข้าไปในพวกเขาตามกฎโดยความผิดของพวกเขา - เพราะไม่ทางใดก็ทางหนึ่งพวกเขาเปิดการเข้าถึงเขาภายในตัวเอง และมีคนที่สวดมนต์และคาถาพิเศษคล้ายกับที่ปุโรหิตอ่านก่อนทำพิธีศีลจุ่มขับไล่ปีศาจออกไป แต่มีการละเมิดมากมายบนพื้นฐานของ "การตำหนิ" ตัวอย่างเช่นฉันเห็นอักษรอียิปต์โบราณสองตัวที่มีส่วนร่วมในการขับไล่ปีศาจออกจากสิ่งที่ถูกครอบงำด้วยความคิดริเริ่มของตนเอง บางครั้งพวกเขาให้บริการนี้แก่กันและกัน - คนหนึ่งลงโทษอีกคนเป็นเวลาสองชั่วโมง ไม่มีประโยชน์ที่ชัดเจนจากสิ่งนี้

มีหลายกรณีที่นักบวชจงใจสวมบทบาทเป็นนักขับไล่เริ่มดึงดูดปีศาจและสร้างชุมชนรอบ ๆ ตัวพวกเขา ฉันไม่สงสัยเลยว่ามีนักบวชที่มีพลังในการรักษาจากสวรรค์และสามารถขับไล่ปีศาจออกจากผู้คนได้อย่างแท้จริง แต่นักบวชดังกล่าวต้องได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากศาสนจักรสำหรับเรื่องนี้ หากบุคคลรับภารกิจดังกล่าวด้วยความคิดริเริ่มของตนเองก็จะเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย
ครั้งหนึ่งในการสนทนาส่วนตัวหมอผีที่รู้จักกันดีนักบวชออร์โธดอกซ์ซึ่งมีผู้คนมารวมตัวกันจำนวนมากสารภาพว่า: "ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร" เขากล่าวกับผู้เยี่ยมชมคนหนึ่งว่า: "ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าคุณถูกสิงจริงๆก็ไม่ควรมาที่นั่นไม่เช่นนั้นปีศาจจะออกจากคนอื่นและเข้ามาหาคุณได้" อย่างที่คุณเห็นแม้แต่นักขับไล่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพนับถือคนนี้ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของกระบวนการที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานของการ "ตำหนิ" อย่างเต็มที่และไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึง "กลไก" ของการขับปีศาจออกจากคน ๆ เดียวและการเข้าสู่ อื่น.

บ่อยครั้งคนที่มีปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางจิตใจหรือชีวิตเพียงแค่มาหาปุโรหิตและถามว่าพวกเขาสามารถไปหาผู้อาวุโสคนนั้นและผู้อาวุโสคนนั้นเพื่อรายงานได้หรือไม่ ผู้หญิงคนหนึ่งเคยหันมาหาฉัน: "ลูกชายอายุสิบห้าปีของฉันไม่ฟังฉันฉันต้องการพาเขาไปบรรยาย" การที่ลูกชายของคุณไม่เชื่อฟังฉันตอบว่าไม่ได้หมายความว่าเขามีปีศาจอยู่ในตัวเขา การไม่เชื่อฟังเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับวัยรุ่นด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเติบโตขึ้นและยืนยันตัวเอง รายงานไม่ใช่ยาครอบจักรวาลสำหรับความยากลำบากในชีวิต

นอกจากนี้ยังเกิดขึ้นที่บุคคลมีอาการป่วยทางจิตและญาติ ๆ มองว่านี่เป็นอิทธิพลของปีศาจ แน่นอนว่าคนป่วยทางจิตมีความเสี่ยงต่อการกระทำของปีศาจมากกว่าคนที่มีสุขภาพจิตวิญญาณและจิตใจดี แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการบัญชี จำเป็นต้องมีจิตแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยทางจิตไม่ใช่นักบวช แต่มันสำคัญมากที่นักบวชจะต้องรู้วิธีแยกแยะระหว่างปรากฏการณ์ของจิตวิญญาณและจิตวิญญาณเพื่อที่เขาจะได้ไม่เข้าใจผิดว่าป่วยทางจิตเพราะถูกปีศาจเข้าครอบครอง หากเขาพยายามรักษาความบกพร่องทางจิตใจด้วยการดุด่าผลที่ได้อาจตรงกันข้ามตรงกันข้ามกับที่คาดไว้ บุคคลที่มีจิตใจไม่สมดุลการเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้คนกรีดร้องส่งเสียงแหลม ฯลฯ อาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพจิตวิญญาณและจิตใจที่ไม่อาจแก้ไขได้

โดยสรุปแล้วผมอยากจะบอกว่าการกระทำของปีศาจอำนาจและอำนาจเป็นเพียงชั่วคราว ชั่วขณะหนึ่งปีศาจได้ยึดครองดินแดนแห่งจิตวิญญาณเพื่อตัวเองจากพระเจ้าซึ่งเป็นพื้นที่ที่เขาทำราวกับว่าเขาเป็นเจ้านายที่นั่น อย่างน้อยที่สุดเขาพยายามสร้างภาพลวงตาว่ามีพื้นที่ในโลกวิญญาณที่เขาครอบงำอยู่ ผู้เชื่อถือว่านรกเป็นสถานที่เช่นนี้ซึ่งผู้คนพบว่าตัวเองติดอยู่ในบาปที่ไม่ได้นำการกลับใจมาซึ่งไม่ได้ใช้เส้นทางแห่งความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณที่ไม่ได้พบพระเจ้า ในวันเสาร์ที่ยิ่งใหญ่เราจะได้ยินคำพูดที่ยอดเยี่ยมและลึกซึ้งมากที่ว่า "นรกปกครอง แต่ไม่ได้อยู่ตลอดไปเหนือเผ่าพันธุ์มนุษย์" และพระคริสต์โดยการไถ่บาปของพระองค์การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและการลงสู่นรกได้รับชัยชนะแล้ว ชัยชนะเหนือปีศาจ - ชัยชนะที่จะกลายเป็นที่สิ้นสุดหลังจากการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ และนรกความตายและความชั่วร้ายยังคงมีอยู่เช่นเดียวกับที่พวกเขามีอยู่ก่อนคริสตกาล แต่พวกเขาได้ลงนามในหมายจับแล้วปีศาจรู้ว่าวันเวลาของเขาถูกนับ (ฉันไม่ได้พูดถึงวันเวลาของเขาในฐานะสิ่งมีชีวิต แต่เกี่ยวกับ พลังที่เขาทิ้งชั่วคราว)

"นรกครอบครอง แต่ไม่ได้อยู่เหนือเผ่าพันธุ์มนุษย์ตลอดไป" นั่นหมายความว่ามนุษยชาติจะไม่อยู่ในสถานะที่เป็นอยู่ในขณะนี้เสมอไป และแม้แต่ผู้ที่พบว่าตัวเองอยู่ในอาณาจักรของปีศาจในนรกก็ไม่ได้รับความรักจากพระเจ้าเพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในนรกเช่นกัน พระไอแซคชาวซีเรียเรียกความคิดเห็นที่ว่าคนบาปในนรกถูกพรากจากความรักของพระเจ้าที่ดูหมิ่นศาสนา ความรักของพระเจ้ามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ทำหน้าที่ได้สองวิธี: สำหรับผู้ที่อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ความรักนั้นเป็นแหล่งที่มาของความสุขความสุขแรงบันดาลใจสำหรับผู้ที่อยู่ในอาณาจักรของซาตานมันเป็น ระบาดแหล่งแห่งความทรมาน

เราต้องจำสิ่งที่วิวรณ์ของนักบุญยอห์นนักศาสนศาสตร์กล่าวว่า: ชัยชนะครั้งสุดท้ายของพระคริสต์เหนือผู้ต่อต้านพระเจ้าดีเหนือความชั่วร้ายพระเจ้าเหนือมารจะได้รับชัยชนะ ในพิธีสวดของ Basil the Great เราได้ยินว่าพระคริสต์เสด็จลงสู่นรกด้วยไม้กางเขนเพื่อทำลายอาณาจักรของปีศาจและนำทุกคนมาหาพระเจ้านั่นคือโดยการประทับของพระองค์และขอบคุณการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขนพระองค์ หมกมุ่นอยู่กับตัวเองทุกสิ่งที่เรามองว่าเป็นอาณาจักรของปีศาจ และใน stichera ที่อุทิศให้ไม้กางเขนของพระคริสต์เราได้ยิน: "พระเจ้าอาวุธที่ต่อสู้กับปีศาจที่กางเขนของพระองค์ประทานให้เรา"; นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่าไม้กางเขนเป็น "รัศมีของทูตสวรรค์และภัยพิบัติของปีศาจ" มันเป็นอาวุธที่ปีศาจสั่นสะท้านปีศาจ "ตัวสั่นและตัวสั่น"

ภาพยนตร์เกี่ยวกับปีศาจและปีศาจ:

นางฟ้าและปีศาจ กฎหมายของพระเจ้ากับอัครสังฆราช Andrei Tkachev

หนังสือเรื่อง“ Angels and Demons. ความลับของโลกแห่งจิตวิญญาณ "

บาปใดที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด?

เมื่อใดก็ตามที่กล่าวถึงคำว่า "ปีศาจ" คนส่วนใหญ่มักจะจินตนาการถึงสัตว์ประหลาดขนสีดำที่มีเขากีบและหางถือตรีศูลไว้ในมือ เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงและทรงพระชนม์ซึ่งสถิตอยู่ในสวรรค์ในฐานะพระเจ้าแห่งความรักและความดีในขณะเดียวกันพวกเขาก็คิดว่ามารเป็นเทพเจ้าแห่งความชั่วร้ายทูตสวรรค์ที่ตกสู่บาปที่มีอำนาจไม่น้อยไปกว่าพระเจ้าที่พยายามจะเอาชีวิตผู้คน อยู่ห่างจากพระเจ้าและล่อลวงพวกเขาให้ทำชั่วเพื่อที่พวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์ในนรกที่ร้อนแรงซึ่งปีศาจมีอำนาจสูงสุดและผู้คนไปที่ใดหลังจากความตายของพวกเขา

ครั้งหนึ่งความคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากคริสเตียนส่วนใหญ่และเป็นคำสอนอย่างเป็นทางการของคริสตจักรคริสเตียนหลายแห่ง แต่หลังจากนั้นหลายปีคนส่วนใหญ่ก็ถูกปฏิเสธ มีไม่มากนักแม้กระทั่งจากคณะสงฆ์ก็เปิดสอนเรื่องนี้อย่างเปิดเผยในทุกวันนี้ มันดูค่อนข้างไร้สาระและได้รับการสนับสนุนจากคนสมัยเก่าและไร้การศึกษาที่ขาดความคิดเชิงตรรกะเช่นเดียวกับผู้คนในหลายศตวรรษที่ผ่านมาและไม่สามารถใช้กับเวลาปัจจุบันได้อย่างแน่นอนนั่นคือเวลาของการเพิ่มการศึกษาและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
"พี่น้องในพระคริสต์" (กรีก - "Christadelphians") ไม่เคยเชื่อในมารในฐานะบุคคลและยืนยันมาตลอดว่าไม่มีตัวตนในรูปแบบที่อธิบายไว้ข้างต้นดังนั้นเราจึงไม่เสียใจที่ทฤษฎีนี้ถูกปฏิเสธอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตามสิ่งนี้มักเกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่ผิดพลาดหลายประการหรือถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงโดยไม่มีเหตุผลว่าเป็นสิ่งที่ไร้สาระและดั้งเดิมขึ้นอยู่กับความรู้สึกของตัวเองมากกว่าข้อสรุปในพระคัมภีร์ที่ถูกต้องและมีเหตุผล เราต้องระวังว่าความเชื่อของเราตั้งอยู่บนพื้นฐานของพระคัมภีร์ไม่ใช่จากความรู้สึกและความรู้สึกของเรา คริสทาเดลเฟียนปฏิเสธความคิดของปีศาจในฐานะบุคคลเพราะไม่ได้รับการสนับสนุนจากพระคัมภีร์

บางทีนี่อาจเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงสำหรับบางคนเนื่องจากคำว่า "ปีศาจ" และคำว่า "ซาตาน" (ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับคำว่า "ปีศาจ") มักใช้บ่อยในพระคัมภีร์ ในความเป็นจริงพระคัมภีร์กล่าวอย่างชัดเจนว่างานของพระเจ้าพระเยซูคริสต์คือการทำลายการทำงานของมารดังที่เห็นในข้อต่อไปนี้ซึ่งนำมาจากพันธสัญญาใหม่:
“ ผู้ใดทำบาปก็มาจากมารเพราะมารทำบาปก่อนด้วยเหตุนี้พระบุตรของพระเจ้าจึงปรากฏตัวเพื่อทำลายงานของมาร” (1 ยอห์น 3: 8)
"และในขณะที่เด็ก ๆ มีส่วนแบ่งในเนื้อหนังและเลือดจากนั้นพระองค์ก็ทรงจับพวกเขาไปด้วยเพื่อที่จะกีดกันโดยอำนาจของผู้ที่มีอำนาจแห่งความตายนั่นคือปีศาจ" (ฮีบรู 2:14)
การดำรงอยู่ของปีศาจนั้นเห็นได้ชัดจากข้อเหล่านี้อย่างไรก็ตามจุดประสงค์ของจุลสารนี้คือการแสดงให้เห็นว่าปีศาจไม่ใช่สัตว์ประหลาดชั่วร้ายที่เป็นอมตะ

ความคิดผิด ๆ นี้เกิดขึ้นเนื่องจากผู้คนให้ความหมายผิดกับคำว่า "ปีศาจ" และ "ซาตาน" คำว่า "ปีศาจ" ปรากฏในพระคัมภีร์ไม่น้อยกว่า 117 ครั้งคำว่า "ซาตาน" เราสามารถพบกันได้ 51 ครั้ง อย่างไรก็ตามเรามาดูความหมายของคำเหล่านี้กันดีกว่า
คุณไม่จำเป็นต้องปรึกษาพจนานุกรมอธิบายเพื่อค้นหาความหมายเพราะเราจะพบคำอธิบายของคำเหล่านี้จากมุมมองของคริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซียซึ่งคล้ายกับที่เราอธิบายไว้ในตอนต้น ความหมายของคำเหล่านี้ไม่เป็นที่ยอมรับเนื่องจากเดิมทีพระคัมภีร์ไม่ได้เขียนเป็นภาษารัสเซีย พันธสัญญาเดิมเขียนเป็นภาษาฮีบรูและพันธสัญญาใหม่เป็นภาษากรีก ดังนั้นเราต้องดูต้นฉบับของคำเหล่านี้ในภาษาเหล่านี้เพื่อดูความหมายที่แท้จริง

ปีศาจ
ก่อนอื่นพิจารณาคำว่า "ปีศาจ" คุณจะไม่พบคำนี้ในพันธสัญญาเดิม (ยกเว้นเพียงไม่กี่คำที่เข้าใจยากในตอนแรกซึ่งจะกล่าวถึงในรายละเอียดด้านล่าง) คำส่วนใหญ่พบในพันธสัญญาใหม่เนื่องจากเป็นภาษากรีกไม่ใช่คำภาษาฮีบรู ความสับสนเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าคำนั้นถูกถ่ายโอนจากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่งและไม่ได้รับการแปล ในความเป็นจริงมีสองคำในภาษากรีก ได้แก่ "DIABOLOS" และ "DIMON" สำหรับปีศาจซึ่งเราจะพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติม

DIABOLOS
คำว่า "DIABOLOS" มาจากคำกริยา "DIABALLO" และหมายถึงการส่งผ่านหรือเจาะ ("DIA" หมายถึง - ผ่านและ "BALLO" - เพื่อโยนโยน) และแปลว่า "ผู้กล่าวหาเท็จ", "ผู้ใส่ร้าย" , "ผู้หลอกลวง" หรือ "ผู้แอบอ้าง" ดังนั้นหากผู้แปลพระคัมภีร์แปลคำนี้จริงๆและไม่ใช่แค่แปลโดยใช้คำว่า "ปีศาจ" พวกเขาจะใช้สำนวนเหล่านี้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคำว่า "ปีศาจ" เป็นเพียงคำศัพท์ไม่ใช่ชื่อที่ถูกต้อง

ตัวอย่างเช่นพระเยซูเคยตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า“ เราไม่ได้เลือกพวกเจ้าสิบสองคนหรือ? ที่นี่เห็นได้ชัดว่าพระเยซูหมายถึงยูดาสอิสคาริโอทผู้ทรยศต่อพระองค์
ยูดาสอิสคาริโอทแสดงตัวว่าเป็นคนชั่วร้ายมากและแสดงตัวว่าเป็นคนใส่ร้ายผู้กล่าวหาเท็จและคนทรยศ สิ่งเหล่านี้แสดงด้วยคำว่า "DIABOLOS" และแน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดที่บ่งชี้ว่าพระเยซูกำลังหมายถึงสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวแห่งความชั่วร้าย

ในวิวรณ์ 2:10 พระเยซูตรัสเกี่ยวกับคริสตจักรในเมืองสเมียร์นาว่า "ปีศาจจะจับพวกคุณบางคนเข้าคุก" เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นโดยใคร? ไม่ใช่ทูตสวรรค์ที่ตกสู่บาป แต่รัฐบาลโรมันซึ่งปกครองโลกในเวลานั้นทำเช่นนี้ ชาวโรมันเป็นกลุ่มชนที่กล่าวหาศาสนาคริสต์อย่างผิด ๆ และจำคุกผู้ติดตามของตน นี่คือสิ่งที่พระเยซูหมายถึง
เราสามารถอ่านได้ในพระวรสารที่พระเยซูตรัสกับพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีซึ่งเป็นตัวแทนของศาสนาทางการในเวลานั้นว่าพวกเขามีปีศาจเป็นพ่อของพวกเขา (ยอห์น 8:44) คนเหล่านี้ไม่ใช่ลูกหลานของสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว ที่จริงพวกเขาเป็นลูกหลานของอับราฮัม พระเยซูคริสต์เพียงต้องการบอกว่าพวกเขาถูกใส่ร้ายผู้หลอกลวงและผู้แอบอ้างซึ่งจริงๆแล้วพวกเขาเป็นเช่นนั้น

ดังนั้นเมื่อเราอ่านเกี่ยวกับปีศาจในพระคัมภีร์เราก็ต้องคิดและเป็นตัวแทนของคนชั่ว นี่คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า "DIABOLOS"
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าแม้ว่านักแปลจะใช้คำว่า "DIABOLOS" เป็น "ปีศาจ" แต่ก็มีบางกรณีที่พวกเขาแปลอย่างละเอียดโดยใช้คำว่า "ใส่ร้าย" ในกรณีนี้ น่าเสียดายที่พวกเขาไม่คงที่เสมอไป ตัวอย่างเช่น 1 ทิโมธี 3:11 กล่าวว่าเปาโลต่อหน้าบาทหลวงและมัคนายกกล่าวว่า:

"เท่าเทียมกันภรรยาของพวกเขาต้องซื่อสัตย์ไม่ใส่ร้ายเงียบขรึมซื่อสัตย์ในทุกสิ่ง"
ในที่นี้คำว่า "ผู้ใส่ร้าย" ในต้นฉบับคือคำภาษากรีก "DIABOLOS" (พหูพจน์) และหากผู้แปลมีค่าคงที่พวกเขาจะต้องแปลข้อนี้ดังนี้:

"เท่าเทียมกันภรรยาของพวกเขาต้องซื่อสัตย์ไม่ใช่ปีศาจเงียบขรึม ... "
อย่างไรก็ตามมีเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ทำ มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ที่จะเรียกภรรยาของมัคนายกว่า "ปีศาจ" ดังนั้นพวกเขาจึงแปลคำนี้อย่างถูกต้อง - "คนใส่ร้าย"

เรามีอีกตัวอย่างหนึ่งใน 2 ทิโมธี 3: 2-3:
"สำหรับผู้คนจะทะนงตัวละโมบทะนงตัว ... คนพูดใส่ร้ายไม่หยุดหย่อน ... "

คำว่า "ใส่ร้าย" ในต้นฉบับ "DIABOLOS" (พหูพจน์) อย่างไรก็ตามหากผู้แปลมีการถ่ายทอดอยู่ตลอดเวลาพวกเขาต้องใช้คำว่า "ปีศาจ" แต่พวกเขาต้องการแปลจากภาษากรีกโดยใช้คำว่า "slanderers"
ตัวอย่างต่อไปพบในทิตัส 2: 3 ที่เปาโลเขียนว่า:
“ เพื่อให้พวกผู้ใหญ่แต่งกายให้กับวิสุทธิชนอย่างเหมาะสมจะไม่มีคนใส่ร้ายพวกเขาจะไม่ตกเป็นทาสของความเมามายพวกเขาจะสอนความดี”
นิพจน์ "ไม่ใช่คนใส่ร้าย" เป็นการแปลคำเดียวกัน "DIABOLOS" แม้ว่าผู้แปลจะต้องแปลสำนวนนี้ว่า "ไม่ใช่ปีศาจ" อย่างไรก็ตามพวกเขาตัดสินใจที่จะใช้คำว่า "ใส่ร้าย" ที่ใช้ได้มากกว่าในกรณีนี้ การทำเช่นเดียวกันในกรณีอื่น ๆ (น่าเสียดายที่ทำไม่ได้) สามารถขจัดความสับสนและความเข้าใจผิดในเรื่องนี้ได้

Dimon
คำภาษากรีกอีกคำหนึ่งที่แปลว่า "ปีศาจ" คือ "DIMON" อีกครั้งหากใครดูข้อความที่มีการกล่าวถึงคำนี้เขามักจะพบว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปีศาจในฐานะบุคคลในแง่ที่บางคนเข้าใจ ส่วนใหญ่มักใช้ในกรณีของการบูชาเทพเจ้าและรูปเคารพของลัทธินอกศาสนาโบราณซึ่งมีอยู่ในช่วงเวลาของการเขียนพระคัมภีร์ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือข้อความบางส่วนจากพันธสัญญาเดิมที่ใช้คำว่า "รูปเคารพ" ข้อความสองตอน (เลวีนิติ 17: 7, 2 พงศาวดาร 11:15) ใช้คำภาษาฮีบรู "SAIR" ซึ่งแปลว่า "ขนดก" หรือ "เด็ก" (แพะ) ในขณะที่อีกสองกรณี (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:17 และสดุดี 105 : 37) ใช้คำว่า "SHED" ซึ่งหมายถึง "ผู้ทำลาย" หรือ "ผู้ทำลาย" ในแต่ละกรณีทั้งสี่นี้มีการอ้างอิงถึงการนมัสการรูปเคารพของคนต่างชาติในช่วงเวลาที่อิสราเอลประชาชนของพระเจ้าได้รับคำสั่งอย่างรุนแรงให้หลีกเลี่ยง

เรามีอุทาหรณ์ที่ดีในพันธสัญญาใหม่ เปาโลเขียนถึงชาวโครินธ์:
"ที่คนต่างศาสนาเมื่อถวายเครื่องบูชาจะนำไปให้ปีศาจไม่ใช่เพื่อพระเจ้า แต่ฉันไม่ต้องการให้คุณอยู่ร่วมกับปีศาจคุณไม่สามารถดื่มถ้วยของพระเจ้าและถ้วยปีศาจคุณไม่สามารถมีส่วนร่วมในอาหารของพระเจ้าและ ในอาหารปีศาจ” (1 โครินธ์ 10: 20-21)
ในบทนี้เปาโลกล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในเมืองโครินธ์ในยุคแรก ๆ นั่นคืออนุญาตให้คริสเตียนกินเนื้อสัตว์ที่เป็นเครื่องบูชาแก่รูปเคารพนอกรีตได้หรือไม่ เห็นได้ชัดว่าในข้อนี้เปาโลกล่าวถึงประเด็นการนมัสการรูปเคารพในลัทธินอกศาสนา นี่เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่คำว่า "ปีศาจ" ใช้ในพระคัมภีร์ คำนี้ยังใช้ในข้อคล้ายกันใน 1 ทิโมธี 4: 1

หากไม่ได้ใช้คำภาษากรีกดั้งเดิม "DIMON" ในข้อความที่อ้างถึงการบูชารูปเคารพก็แสดงถึงความเจ็บป่วยที่พบบ่อยโดยปกติจะเป็นความผิดปกติทางจิต เมื่อเราพบกันในพระวรสารกรณีพระเยซูทรงรักษาโรคพระคัมภีร์ใหม่ระบุว่า "พระองค์ขับผีออก" แต่จากบริบทจะเห็นได้ชัดว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทำไม่มีอะไรมากไปกว่าการรักษาโรคทางจิตหรือประสาทธรรมดารวมถึงสิ่งที่ เราเรียกวันนี้ว่าโรคลมบ้าหมู ... ไม่มีกรณีใด ๆ ที่กล่าวถึงในพันธสัญญาใหม่ที่เราไม่สามารถอธิบายได้จากประสบการณ์ในปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับโรคชนิดนี้ อาการคล้ายกันทุกประการ: อาเจียนโฟมที่ปากสะอื้นแรงเป็นพิเศษ ฯลฯ กำจัดความคิดของปีศาจในฐานะบุคคลและคุณจะไม่มีปัญหาในการทำความเข้าใจกับสำนวน "ขับไล่ปีศาจ" หมายถึงการรักษาโรคทางจิตหรือประสาท

เหตุผลที่ใช้สำนวน "ขับผีออก" ในพระคัมภีร์ก็คือมีความเชื่อในสมัยนั้นที่อธิบายถึงความเจ็บป่วยอันเป็นผลมาจากการแทรกซึมของวิญญาณชั่วร้ายเข้าสู่คนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อทางไสยศาสตร์และเทพนิยายกรีก ดังนั้นการแสดงออกจึงส่งผ่านไปยังภาษาพระคัมภีร์และกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับเรา ทุกคนใช้มันในการพูดไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในเทพนิยายกรีกหรือไม่ก็ตาม
ตอนนี้เรามีตัวอย่างที่คล้ายกันในภาษารัสเซีย เราเรียกคนบ้าทางจิตใจว่าคนบ้าซึ่งเป็นคำที่ปรากฏขึ้นจากความเชื่อที่ว่าความบ้าคลั่งเกิดจากอิทธิพลของดวงจันทร์ที่มีต่อบุคคล ความคิดนี้แพร่หลายในสมัยโบราณ บางคนเชื่อในวันนี้ แต่เราทุกคนยังคงใช้คำนี้ต่อไป ในทำนองเดียวกันสำนวนที่คล้ายกันในสมัยนั้นถูกใช้ในคัมภีร์ไบเบิลแม้ว่าจะไม่ได้หมายถึงการสนับสนุนสำหรับการแสดงออกนอกศาสนาดั้งเดิมก็ตาม

นี่คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า "DIMON" ในกรณีเหล่านั้นเมื่อแปลว่า "ปีศาจ" และ "ปีศาจ" - และไม่มีอะไรเพิ่มเติม

ซาตาน
สถานการณ์คล้าย ๆ กันเกิดขึ้นกับคำว่า "ซาตาน" คำนี้มักพบในพันธสัญญาเดิมเพราะจริงๆแล้วเป็นภาษาฮีบรู คำนี้มาจากคำภาษาฮีบรู "SATAN" หรือ "SATANAS" และหมายถึง "ศัตรู" หรือ "ศัตรู" อีกครั้งคำนี้ถูกถ่ายโอนและไม่ได้แปลและปรากฏในรูปแบบนี้ในพันธสัญญาใหม่ อย่างไรก็ตามเมื่อใดก็ตามที่คำนี้ปรากฏเราต้องไม่ลืมว่าคำนี้ยืมมาจากภาษาฮีบรูและไม่ได้แปล แต่ยังคงหมายถึงศัตรูหรือศัตรูและไม่ได้แสดงออกถึงความคิดที่คริสตจักรหยิบยกมาในภายหลัง

ไม่น่าแปลกใจที่ซาตานอาจเป็นคนเลวหรือแม้แต่คนดี ตัวอย่างเช่นในกรณีของบาลาอัมที่บันทึกไว้ในกันดารวิถี 22 เรามีตอนที่ทูตสวรรค์เป็นซาตาน เมื่อพระเจ้าส่งทูตสวรรค์มาเพื่อป้องกันไม่ให้บาลาอัมทำงานที่ชั่วร้ายของเขาเราอ่านว่าพระพิโรธของพระเจ้าเกิดขึ้นเพราะขัดกับคำสั่งของพระเจ้าที่บาลาอัมไปเราอ่านในข้อ 22:
“ ... ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ายืนขวางทางอยู่บนถนน”

คำว่า "ขัดขวาง" ในภาษาฮีบรูดั้งเดิมฟังดูเหมือน "SATANAS" และหากผู้แปลมีความคงที่ในการกระทำของพวกเขาพวกเขาก็ควรจะโอนคำเหมือนที่เคยทำมาก่อนในที่อื่น ๆ แทนที่จะแปลตามนี้ กรณี. จากนั้นข้อจะมีลักษณะดังนี้: "... และทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็กลายเป็นเหมือนซาตานที่ต่อต้านเขา" แต่เช่นเดียวกับภรรยาของมัคนายกมันไม่สามารถใช้ได้กับการทำเช่นนั้น
มีข้อความอื่น ๆ อีกมากมายในพระคัมภีร์ที่หากผู้แปลสอดคล้องกันจะต้องใช้คำว่า "ซาตาน" แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็แปลได้อย่างถูกต้องโดยใช้คำว่า "ปฏิปักษ์" แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะมันใช้ได้มากกว่า นี่คือตัวอย่างบางส่วน:
“ ... ปล่อยชายคนนี้ไป ... เพื่อเขาจะได้ไม่ทำสงครามกับเราและไม่กลายเป็นศัตรู (ซาตาน) ของเราในสงคราม” (1 ซามูเอล 29: 4)
"และดาวิดกล่าวว่า: สำหรับฉันและคุณบุตรชายของเศรุยาห์คืออะไรที่ตอนนี้คุณกลายเป็นผู้เกลียดชัง (ซาตาน) สำหรับฉัน" (2 พกษ 19:22)
"บัดนี้พระยาห์เวห์พระเจ้าของฉันได้ประทานสันติสุขแก่ฉันจากทุกหนทุกแห่งไม่มีศัตรู (ซาตาน) และไม่มีการหยุดพักอีกต่อไป" (1 พกษ 5: 4)
“ และพระเจ้าทรงปลุกปรปักษ์ (ซาตาน) ขึ้นต่อสู้กับโซโลมอนเอเดอร์ชาวเอโดมจากราชวงศ์เอโดม” (1 พงศ์กษัตริย์ 11:14)
"และพระเจ้าได้ยกขึ้นต่อสู้กับซาโลมอนยังคงเป็นศัตรู (ซาตาน) ราซอนบุตรชายของเอลีอาดผู้ซึ่งหลบหนีจากอาดราซาร์กษัตริย์แห่ง Suv" (1 พงศ์กษัตริย์ 11:23)
“ และเขาเป็นศัตรู (ซาตาน) ของอิสราเอลตลอดสมัยของโซโลมอน” (1 พงศ์กษัตริย์ 11:25)
จากข้อเหล่านี้เราไม่สามารถสรุปอะไรได้นอกจากการที่คนชั่วปรากฏตัวและกลายเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายตรงข้ามของดาวิดและโซโลมอนเพียงเพราะผู้แปลแปลคำในต้นฉบับอย่างถูกต้องแทนที่จะถ่ายทอดออกมา ในสถานที่เดียวกับที่พวกเขาถ่ายทอดคำพูดผู้คนมีความคิดที่ผิดเกี่ยวกับความคิดของซาตาน

ตอนนี้ให้ฉันยกตัวอย่างว่าพวกเขาทำที่ไหน แต่มันจะดีกว่านี้มากถ้าคำนั้นยังคงแปลอยู่ ข้อความดังกล่าวตอนหนึ่งคือตอนที่พระเยซูเรียกปีเตอร์ซาตานแม้ว่าทุกคนจะเห็นพ้องต้องกันว่าเปโตรเป็นคนดี อย่างไรก็ตามในกรณีนี้บันทึกไว้ในมัทธิว 16 เปโตรทำให้อาจารย์ของเขาหงุดหงิด พระเยซูทรงบอกสาวกของพระองค์เกี่ยวกับการตรึงกางเขนในอนาคตของพระองค์ซึ่งเป็นคำถามที่พวกเขายังเข้าใจไม่ดีในเวลานั้นและเปโตรก็ตกใจเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ความหวาดกลัวเกิดขึ้นเพราะความรักที่เขามีต่อพระเยซูและเขาก็อุทานว่า:
"จงเมตตาตัวเองเถิดพระเจ้าขอให้สิ่งนี้ไม่อยู่กับคุณ!" (มัทธิว 16:22)
อย่างไรก็ตามพระเยซูทรงหันไปหาเปโตรและตรัสว่า:
"ไปให้พ้นซาตาน! คุณเป็นสิ่งล่อใจฉันเพราะคุณไม่ได้คิดเกี่ยวกับสิ่งที่มาจากพระเจ้า แต่เป็นมนุษย์" (ข้อ 23)
ตำแหน่งคือเปโตรในความไม่รู้ของเขาพยายามต่อต้านความคิดของพระคริสต์ที่ว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์ ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นด้วยกับความตั้งใจของพระเจ้าดังนั้นพระคริสต์จึงเรียกเขาว่าซาตานอย่างเหมาะเจาะนั่นคือศัตรู

ในหนังสือของโยบเรายังพบการใช้คำว่า "ซาตาน" อีกด้วย โยบเป็นคนชอบธรรมและเจริญรุ่งเรือง แต่ภัยพิบัติทุกชนิดเกิดขึ้นกับเขาเพราะการยุยงของคนที่เรียกว่า "ซาตาน" ที่มาพร้อมกับบุตรของพระเจ้าเพื่อมาปรากฏตัวต่อพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าตรัสถามซาตานว่า "คุณมาจากไหน" และซาตานตอบว่า "ฉันเดินบนโลกและไปรอบ ๆ มัน" (โยบ 1: 6-7) นั่นคือทั้งหมดที่พูดเกี่ยวกับเขา ไม่ได้บอกว่าเขาหลับใหลมาจากสวรรค์หรือขึ้นมาจากขุมนรกที่ร้อนแรงหรือเขาแตกต่างจากคนอื่น ๆ
ในพระธรรมตอนนี้คำว่า "ซาตาน" ต้องแปลได้อย่างถูกต้องและมีเหตุผลว่า "ปฏิปักษ์" ซึ่งก็คือชายคนนี้ที่ทำตัวเป็นศัตรูหรือศัตรูของโยบ ไม่มีสิ่งใดที่บ่งชี้ว่าซาตานตนนี้เป็นทูตสวรรค์ที่ตกลงมาเพราะมันเดินบนโลกและไปรอบ ๆ มัน

เช่นเดียวกับในข้ออื่น ๆ ที่ใช้คำว่า "ซาตาน" หากเราเพียงแค่อ่าน "ปฏิปักษ์" เราจะพบว่าข้อความนั้นหากนำมาใช้ในบริบทหรือในแง่ของภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ที่เหมาะสมจะนำไปสู่คำอธิบายตามปกติซึ่งสอดคล้องกับคำสอนของพระคัมภีร์และประสบการณ์ของเราเองไม่ใช่บางเรื่องที่น่าอัศจรรย์ การเป็นตัวแทนของทูตสวรรค์ที่ตกสู่บาปเดินทางไปทั่วโลกพยายามหลอกลวงผู้คนและนำพวกเขาออกไปจากพระเจ้า

ปีศาจในพระคัมภีร์
เมื่อค้นพบว่าคำว่า "ปีศาจ" และ "ซาตาน" หมายถึงอะไรเราจึงอยู่ในฐานะที่จะพิจารณาสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวเกี่ยวกับปีศาจ ไม่มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์ว่าปีศาจเป็นสัตว์ประหลาดน่าเกลียดที่หลายคนจินตนาการถึง มักใช้คำนี้ดังนั้นพระคัมภีร์จึงควรบอกเราบางอย่างเกี่ยวกับคำนี้ อันที่จริงเราได้เห็นแล้วว่าสองข้อแรกที่ยกมาจากพระคัมภีร์ในจุลสารนี้ (1 ยอห์น 3: 8 และฮีบรู 2:14) บอกเราอย่างชัดเจนว่างานของพระเยซูคริสต์คือการทำลายปีศาจ

ฮีบรู 2:14 กล่าวว่าพระเยซูเสด็จสู่ความตาย "เพื่อทำลายอำนาจของผู้ที่มีอำนาจแห่งความตายนั่นคือมารโดยความตาย" ปีศาจตามที่พวกเขากล่าวว่ามีพลังแห่งความตาย ข้อนี้ยังบอกเราด้วยว่าพระเยซูทรงทำลายปีศาจโดยการเอาเนื้อและเลือดนั่นคือเขามีร่างกายเหมือนมนุษย์ทุกคนและยิ่งกว่านั้นการทำลายล้างนี้เนื่องมาจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์
ตอนนี้ถ้าเราเชื่อว่าปีศาจที่กล่าวถึงในข้อนี้เป็นทูตสวรรค์ที่ตกลงมาผู้สร้างความชั่วร้ายที่ไร้สาระเราก็ต้องเผชิญกับความขัดแย้งสี่ประการในทันที:
ความจริงที่ชัดเจนของการยอมรับเนื้อหนังและเลือดของพระเยซูเป็นวิธีที่แปลกประหลาดในการต่อต้านและทำลายสัตว์ประหลาดเหนือธรรมชาติซึ่งตามความคิดทั่วไปสามารถมีอำนาจไม่น้อยไปกว่าพระเจ้าเอง หากพระเยซูกำลังจะทำลายปีศาจเช่นนั้นจริงๆพระองค์ก็ต้องการพลังจากสวรรค์ทั้งหมดที่มีอยู่ไม่ใช่ร่างกายมนุษย์ที่มนุษย์ที่เหลือครอบครองอยู่ อย่างไรก็ตามพระเยซูไม่ได้มีลักษณะเหมือนทูตสวรรค์เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ เราอ่านเพิ่มเติมในสาส์น: "... เขาจะไม่รับทูตสวรรค์ แต่พระองค์จะทรงรับเชื้อสายของอับราฮัม"
เป็นเรื่องผิดปกติหรือไม่ที่พระเยซูทรงทำลายปีศาจอมตะโดยยอมให้ตัวเองตาย? ใครบางคนคงคิดว่าการจะทำลายสิ่งมีชีวิตเช่นปีศาจนั้นต้องใช้เวลาทั้งชีวิตด้วยพละกำลังและความมีชีวิตชีวา และทั้งหมดนี้ไม่ต้องสงสัยเลยในกรณีที่สถานการณ์ข้างต้นเป็นจริง
ถ้าพระคริสต์ทำลายปีศาจตอนนี้ปีศาจก็ต้องตายเพราะพระเยซูถูกตรึงเมื่อ 1900 ปีก่อน แต่คนที่สนับสนุนแนวคิดเก่าจะเห็นด้วยกับเราว่าปีศาจยังมีชีวิตอยู่
ในข้อนี้พระคัมภีร์บอกเราว่ามารมีอำนาจแห่งความตาย ถ้าเป็นเช่นนั้นปีศาจจะต้องทำงานและร่วมมือกับพระเจ้า อย่างไรก็ตามคำสอนดั้งเดิมกล่าวว่าพระเจ้าและปีศาจเป็นศัตรูที่สาบานกัน นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดว่าตามพระคัมภีร์พระเจ้าลงโทษผู้ที่กบฏต่อพระองค์และหัวหน้าทูตสวรรค์ที่เป็นศัตรูจะไม่กล้าเป็นศัตรูกับพระองค์ชั่วนิรันดร์
สี่ประเด็นนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหากเรายอมรับคำสอนในพระคัมภีร์เราต้องปฏิเสธความคิดที่ไร้สาระที่ล้าสมัยและไร้สาระที่ว่ามารเป็นบุคคลที่มีความเชื่อโชคลางนอกรีต อย่างไรก็ตามไม่มีจุดหมายที่จะปฏิเสธความคิดใด ๆ โดยไม่แทนที่ด้วยทางเลือกหรือคำสั่งอื่นอย่างที่คนส่วนใหญ่ทำ เราจะพยายามแสดงสิ่งที่พระคัมภีร์ต้องการบอกเราเกี่ยวกับปีศาจและเปิดเผยความหมายของคำนี้ เมื่อเราดูฮีบรู 2:14 อีกครั้งเราจะพบว่ามารมีอำนาจเหนือความตาย คุณถามคำถามอย่างมีเหตุผล: อะไรตามพระคัมภีร์มีอำนาจและอำนาจเหนือความตาย? อัครสาวกเปาโลให้คำตอบแก่เราในจดหมายฉบับแรกถึงชาวโครินธ์ซึ่งเขาเขียนว่า:
"ความตาย! เหล็กไนของคุณอยู่ที่ไหนนรก! ชัยชนะของคุณอยู่ที่ไหนการต่อยแห่งความตายคือบาปและอำนาจของบาปคือกฎ" (1 โครินธ์ 15: 55-56)
คำว่า "อำนาจ" ในข้อนี้เดิมเป็นคำเดียวกับที่ใช้ในฮีบรู 2:14 ดังนั้นเราจึงเห็นจากสิ่งนี้ว่าอำนาจของบาปคือกฎ ความแข็งแกร่งทั้งหมดของสัตว์มีพิษที่เรียกว่าความตายอยู่ที่การต่อยของมันดังนั้นเปาโลจึงใช้คำว่า "ต่อย" เป็นความแข็งแกร่งเทียบเท่า หากกฎหมายถูกทำลายบาปก็เกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงถามว่า: "ความตาย! และในการตอบคำถามนี้ในข้อ 56 กล่าวว่า "อำนาจแห่งความตายคือ - บาป" ดังนั้นตามพระคัมภีร์บาปมีอำนาจแห่งความตาย จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้บอกเรา:
“ เพราะฉะนั้นบาปเข้ามาในโลกโดยที่มนุษย์คนเดียวและความตายเพราะบาปความตายก็ผ่านเข้ามาสู่มนุษย์ทุกคนเพราะในตัวเขาทุกคนทำบาป” (โรม 5:12)
"... ความตายมาถึงมนุษย์ ... " (1 โครินธ์ 15:21)
"เพราะค่าจ้างของความบาปคือความตาย ... " (โรม 6:23)
"... บาปครอบงำถึงความตาย ... " (โรม 5:21)
"... บาปที่ได้กระทำนำมาซึ่งความตาย" (ยากอบ 1:15)
ข้อความเหล่านี้แสดงให้เราเห็นว่าพลังแห่งความตายคือบาปและเราต้องทนทุกข์และตายเพราะบาป (นั่นคือการฝ่าฝืนหรือไม่เชื่อฟังกฎของพระเจ้า) ที่เข้ามาในโลกโดยผ่านคน ๆ เดียว กลับกันเถอะ. เรากล่าวว่าในจดหมายเหตุฉบับแรกของยอห์นมีการกล่าวว่า "ในการเริ่มต้นมารทำบาป" ดังนั้นเราต้องสัมผัสในบทแรก ๆ ของปฐมกาลซึ่งเรามีคำอธิบายว่าบาปเข้ามาในโลกได้อย่างไร

ต้นกำเนิดของบาป
ความบาปปรากฏขึ้นในช่วงเวลาที่อาดัมไม่เชื่อฟังพระเจ้าหลังจากที่พระเจ้าทรงบัญชาไม่ให้เขากินต้นไม้บางชนิด อาดัมฝ่าฝืนคำสั่งนี้เนื่องจากการยุยงของอีฟภรรยาของเขาซึ่งถูกงูล่อลวงตามที่บันทึกไว้ในปฐมกาล 3:
“ งูนั้นมีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าสัตว์ในทุ่งนาซึ่งพระเจ้าได้สร้างขึ้นมาและงูก็พูดกับภรรยาของเขาว่าพระเจ้าตรัสจริง ๆ ว่าอย่ากินต้นไม้ใด ๆ ในสวรรค์” (ปฐมกาล 3: 1)
"และงูก็พูดกับภรรยาของมันว่าไม่คุณจะไม่ตาย แต่พระเจ้าทรงทราบว่าในวันที่คุณได้ลิ้มรสพวกเขาดวงตาของคุณจะถูกเปิดและคุณจะเป็นเหมือนเทพเจ้าที่รู้จักความดีและความชั่ว" (ข้อ 4-5)
หญิงสาวฟังงูกัดผลไม้ต้องห้ามและชักชวนสามีให้ทำเช่นเดียวกัน ผลที่ตามมาคือพวกเขาละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าพวกเขาไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าพวกเขาก้าวข้ามเส้น ดังนั้นพวกเขาจึงทำบาปและบาปก็เป็นอย่างที่เราเห็นเป็นการละเมิดกฎของพระเจ้า ส่วนที่เหลือของบทนี้อธิบายให้เราทราบว่าพวกเขาตกอยู่ภายใต้การประณามและความตายซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ลูกหลานของพวกเขาทุกคนได้รับมรดกนั่นคือเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดดังที่เปาโลแสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนในโรม 5:12 ซึ่งเป็นข้อที่ยกมาก่อน

บางคนที่มีทัศนะว่าซาตานเป็นทูตสวรรค์ที่ตกสู่บาปจะอ้างว่าเขาเป็นปีศาจที่เข้ามาในงูและล่อลวงเอวาด้วยเหตุนี้ อย่างไรก็ตามนี่เป็นการเล่าเรื่องเหนือธรรมชาติที่คุณจะไม่พบในพระคัมภีร์ ไม่มีสิ่งใดในหนังสือศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ที่จะพิสูจน์ความคิดดังกล่าว
ข้อแรกของบทที่สามกล่าวว่างูมีไหวพริบมากกว่าสัตว์อื่น ๆ ที่พระเจ้าสร้างขึ้น เป็นงูเจ้าเล่ห์ที่ปลุกระดมเรื่องเท็จ เขามีศิลปะในการแสดงความคิดพร้อมกับความสามารถในการพูดเช่นเดียวกับ **** บาลาอัม ไม่มีแม้แต่คำใบ้ในบทนี้ว่างูกระทำภายใต้อิทธิพลของทูตสวรรค์ที่ตกลงมา คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้กล่าวถึงแง่มุมที่สำคัญเช่นนี้หรือ? พระเจ้าทรงพิพากษาชายหญิงและงู งูเป็นสัตว์ธรรมดาไม่ใช่ซาตานหรือทูตสวรรค์ที่ตกลงมาซึ่งถูก "สาปต่อหน้าฝูงสัตว์ทั้งหมดและต่อหน้าสัตว์ป่าทั้งหมดในทุ่ง" งูไม่ใช่ซาตานได้รับคำสั่งให้เดินบนครรภ์ของมันและกินฝุ่นตลอดชีวิตของมัน การอ้างว่าทูตสวรรค์ที่ตกลงมาทำงานที่นี่เป็นการบิดเบือนพระคัมภีร์อย่างร้ายแรง

ด้วยเหตุนี้บาปและความตายจึงเข้ามาในโลกเนื่องจากการล่วงละเมิดของอาดัมในช่วงแรกดังนั้นภารกิจการช่วยให้รอดของพระเยซูจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อขจัดปัจจัยทั้งสองนี้ พระองค์สามารถทำเช่นนี้ได้อย่างไร? พระคัมภีร์ต่อไปนี้บอกเรา:
“ มิฉะนั้นพระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายครั้งตั้งแต่เริ่มสร้างโลก แต่ครั้งหนึ่งในช่วงปลายศตวรรษดูเหมือนพระองค์จะทรงกำจัดบาปโดยการเสียสละของพระองค์” (ฮีบรู 19:26)
“ เพราะก่อนอื่นฉันสอนคุณว่าฉันเองก็ยอมรับนั่นคือพระคริสต์สิ้นพระชนม์เพราะบาปของเราตามพระคัมภีร์” (1 โครินธ์ 15: 3)
"แต่พระองค์ได้รับการประกาศเพราะบาปของเราและเราทรมานเพราะความชั่วช้าของเราการลงโทษสันติภาพของเราอยู่ที่พระองค์และเราได้รับการรักษาโดยลายเส้นของพระองค์" (อิสยาห์ 53: 3)
"พระองค์เองทรงแบกบาปของเราไว้ในร่างกายของพระองค์เองบนต้นไม้เพื่อที่เราต้องตายเพื่อทำบาปจะได้มีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม: โดยลายเส้นของพระองค์คุณได้รับการเยียวยา" (1 เปโตร 2:24)
"และคุณรู้ว่าพระองค์ดูเหมือนจะลบล้างบาปของเราและในพระองค์ไม่มีบาป" (1 ยอห์น 3: 5)
แน่นอนข้อความทั้งหมดนี้ชี้ไปที่การตรึงกางเขนของพระเยซูคริสต์และแสดงให้เราเห็นว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยวิธีนี้เพื่อกำจัดบาป มีเพียงไม่กี่คนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนเท่านั้นที่จะปฏิเสธสิ่งนี้ เขาทำได้เพราะเขาเอาชนะบาปในตัวเอง มีเขียนเกี่ยวกับพระองค์:
“ เขาไม่ทำบาปและไม่มีคำเยินยอในปากของเขา” (1 เปโตร 2:22)
พระเยซูคริสต์เป็นเพียงคนเดียวที่ดำเนินชีวิต แต่ไม่เคยทำบาป ต้องขอบคุณพระมารดาของพระองค์พระองค์ทรงได้รับธรรมชาติของมนุษย์เช่นเดียวกับเราทุกคนดังนั้นพระองค์จึงต้องสิ้นพระชนม์ (ดูฮีบรู 2:14 อ้างแล้ว) อย่างไรก็ตามเนื่องจากพระองค์ไม่ได้ทำบาปพระเจ้าจึงทรงให้พระองค์ฟื้นขึ้นจากความตายและจากนั้นจึงทรงสร้างพระองค์ เป็นอมตะเพื่อที่เขาจะไม่ตายอีกต่อไป (ดูกิจการ 2: 23-33) ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ในสวรรค์ดังที่พระองค์เองตรัสไว้พระองค์ทรงขจัดบาปและความตาย

ด้วยการทำเช่นนี้ตลอดความตายพระองค์จึงกลายเป็นเครื่องบูชาที่สมบูรณ์แบบสำหรับการอภัยบาป พระองค์ทรงสร้างเส้นทางสู่ความรอดเพื่อให้มนุษยชาติที่เหลือได้รับการปลดบาปและรับชีวิตนิรันดร์เมื่อพระองค์เสด็จกลับสู่โลก วิธีแห่งความรอดนี้สามารถพบได้หลังจากเข้าใจคำสอนที่แท้จริงในพระคัมภีร์อย่างครบถ้วนแล้วจึงเปิดโอกาสให้เข้าใจและเชื่อในพระกิตติคุณก่อนจากนั้นจึงรับบัพติศมา บุคคลที่ทำเช่นนี้จะใช้เส้นทางแห่งความรอดและหากเขายังคงดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระคริสต์เขาจะสามารถรับของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์ได้ ดังนั้นเมื่อพระคริสต์เสด็จมาและสถาปนาอาณาจักรของพระเจ้าบาปและความตายจะถูกทำลายโดยพระองค์โดยสิ้นเชิง
ทั้งหมดนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าปีศาจคืออะไร ประการแรกสิ่งนี้คือสิ่งที่มีอำนาจแห่งความตายและพระเยซูคริสต์ทรงทำลายในช่วงเวลาที่พระองค์เสด็จมานั่นคือ SIN ดังนั้นอัครสาวกเปาโลจึงเขียนว่า:
“ ในฐานะที่เป็นธรรมบัญญัติซึ่งอ่อนแอลงด้วยเนื้อหนังไม่มีอำนาจแล้วพระเจ้าจึงส่งพระบุตรของพระองค์มาในลักษณะของเนื้อหนังบาปเป็นเครื่องบูชาสำหรับบาปและประณามบาปในเนื้อหนัง” (โรม 8: 3)
เราต้องการเน้นคำสองสามคำสุดท้ายนี้: "บาปที่ถูกประณามในเนื้อหนัง" สำนวนนี้ "บาปในเนื้อหนัง" ให้คำจำกัดความทางจิตวิญญาณของปีศาจได้ดีมาก โดย "บาปในเนื้อหนัง" หมายความว่าลักษณะชั่วร้ายที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดครอบครองนั้นได้รับการสืบทอดผ่านการล่วงละเมิดของอาดัมและนำเราไปสู่การสร้างสิ่งเลวร้ายที่ขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า เรามักจะทำสิ่งที่ขัดกับกฎของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามเราพยายามอย่างมีสติที่จะเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์และทำสิ่งที่ทำให้พระองค์พอพระทัย

บาปในเปลวไฟ
ด้วยเหตุนี้ "บาปในเนื้อหนัง" จึงปรากฏให้เห็นได้หลายวิธีตามที่อธิบายไว้ในพระคัมภีร์ ตัวอย่างเช่นบางคนมีรายชื่อโดยอัครสาวกเปาโลในจดหมายถึงชาวกาลาเทีย:
"การกระทำของเนื้อหนังเป็นที่รู้กันว่าพวกเขาคือ: การล่วงประเวณี, การผิดประเวณี, ความไม่สะอาด, ความลามก, การบูชารูปเคารพ, เวทมนตร์, ความเป็นปฏิปักษ์, การทะเลาะวิวาท, ความอิจฉา, ความโกรธ, การวิวาท, ความขัดแย้ง, (การล่อลวง), การนอกรีต, ความเกลียดชัง, การฆาตกรรม, การเมาสุรา, ความชั่วร้าย, และในทำนองเดียวกันคุณเคยบอกไว้ล่วงหน้าว่าคนที่ทำเช่นนี้จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก "(กาลาเทีย 5: 19-21)
ทุกคนเคยถูกล่อลวงให้ทำสิ่งเหล่านี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม้แต่คนที่เกี่ยวข้องกับการทำความดีมากที่สุดบางครั้งก็ถูกล่อลวงให้ทำสิ่งชั่วร้ายด้วยเนื้อหนังของตน แม้แต่อัครสาวกเปาโลผู้พัฒนาอุปนิสัยของพระเจ้าที่แทบไม่มีใครเทียบได้ก็ยังประกาศว่า:
"เพราะฉันรู้ว่าความดีไม่ได้อยู่ในตัวฉันนั่นคือในเนื้อหนังของฉันเพราะความปรารถนาในความดีอยู่ในตัวฉัน แต่ฉันไม่พบสิ่งที่ต้องการฉันไม่ได้ทำความดีที่ฉันต้องการ แต่ความชั่วร้ายที่ฉันไม่ต้องการถ้าฉันทำในสิ่งที่ฉันไม่ต้องการฉันก็ไม่ใช่คนที่ทำแบบนั้นอีกต่อไป แต่ความบาปอยู่ในตัวฉันดังนั้นฉันจึงพบกฎที่ว่าเมื่อฉันต้องการทำความดีความชั่วก็อยู่กับฉัน . เพราะว่าในมนุษย์ภายในฉันรู้สึกยินดีในกฎของพระเจ้า แต่ในสมาชิกของฉันฉันเห็นกฎอีกข้อหนึ่งซึ่งต่อต้านกฎแห่งความคิดของฉันและทำให้ฉันตกเป็นเชลยของกฎแห่งความบาปที่อยู่ในสมาชิกของฉันฉันเป็นคนน่าสงสาร ใครจะช่วยฉันให้พ้นจากร่างแห่งความตายนี้” (โรม 7: 18-24)
นี่คือผลงานของบาปในเนื้อหนัง - ซึ่งเป็นสิ่งที่มารคือ

อย่างไรก็ตามแม้จะมีหลักฐานนี้บางคนอาจโต้แย้งและพูดว่า "ใช่ แต่ปีศาจที่ชักนำผู้คนด้วยวิธีนี้ไม่ใช่หรือ คำตอบคือใช่ - ไม่ใช่ ปีศาจไม่ใช่บุคคลไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอมตะหรือนางฟ้าที่ตกสู่บาป เจมส์ระบุอย่างชัดเจนในจดหมายของเขาว่าการล่อลวงมาจากภายในทุกคน:
"ในการล่อลวงไม่มีใครพูดว่า:" พระเจ้าทรงล่อลวงฉัน "เพราะพระเจ้าไม่ได้ล่อลวงด้วยความชั่วร้ายและพระองค์ไม่ได้ล่อลวงใคร แต่ทุกคนถูกล่อลวงถูกล่อลวงโดยตัณหาของเขาเองตัณหาตั้งครรภ์และให้กำเนิด ทำบาปและบาปที่ทำจะทำให้เกิดความตาย” (เจคอบ 1: 13-15)
เมื่อบุคคลถูกล่อลวงเขาจะถูกชี้นำโดยความปรารถนาและตัณหาของเขาเองและไม่ถูกล่อลวงโดยพระเจ้าหรือทูตสวรรค์ที่ตกสู่บาป เราต้องเน้นว่าตัณหาของมนุษย์เกิดจากธรรมชาติบาปของเราเอง มันเป็นเพียงการสำแดงภายนอกของบาปในร่างกายมนุษย์ซึ่งอาดัมนำเข้าสู่ผู้คนเมื่อเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้าในช่วงแรก ๆ นี่คือปีศาจ แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนและวันหนึ่งการเข้าใจคำถามนี้อย่างถูกต้องจะช่วยขจัดความคิดที่ว่าปีศาจเป็นคนออกไปจากใจได้

หลักการกำหนดส่วนบุคคล
บางคนอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับคำอธิบายของการแอบอ้างตัวตนของปีศาจเนื่องจากปีศาจมักถูกอ้างถึงในพระคัมภีร์ว่าเขาเป็นคน ๆ หนึ่งและอาจทำให้บางคนสับสน ข้อความดังกล่าวทั้งหมดสามารถอธิบายได้อย่างง่ายดายโดยคำนึงถึงความจริงที่ว่าคุณลักษณะเฉพาะของพระคัมภีร์คือการเป็นตัวเป็นตนของวัตถุที่ไม่มีชีวิตเช่นปัญญาความมั่งคั่งบาปคริสตจักร แต่ในกรณีของปีศาจมีทฤษฎีที่น่าอัศจรรย์บางประการ ประดิษฐ์ขึ้นรอบตัวเขา ข้อต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งนี้:

ตัวตนของปัญญา: "ความสุขคือคนที่ได้รับสติปัญญาและคนที่ได้รับความฉลาด! เพราะการได้มานั้นดีกว่าการได้มาจากเงินและผลกำไรที่ได้จากมันนั้นมากกว่าทองคำมันมีราคาแพงกว่า อัญมณีล้ำค่าและไม่มีสิ่งใดที่คุณปรารถนาจะเทียบได้” (สุภาษิต 3: 13-15) “ ปัญญาสร้างบ้านเองตัดเสาเจ็ดต้น” (สุภาษิต 9: 1)
ข้อเหล่านี้และบทที่เหลือที่กล่าวถึงภูมิปัญญาแสดงให้เห็นว่าเธอถูกอธิบายว่าเป็นผู้หญิงอย่างไรก็ตามไม่มีใครโต้แย้งว่าปัญญาเป็นผู้หญิงที่สวยงามที่เดินไปมาบนโลกอย่างแท้จริง ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่านี่เป็นลักษณะสำคัญอย่างยิ่งที่ทุกคนพยายามที่จะได้มา

ตัวตนของความมั่งคั่ง: "ไม่มีใครสามารถรับใช้เจ้านายสองคนได้: เพราะเขาจะเกลียดคนหนึ่งและรักอีกคนหนึ่งหรือเขาจะกระตือรือร้นเพื่อคนหนึ่งและละเลยอีกคนหนึ่งคุณไม่สามารถรับใช้พระเจ้าและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้" (มัทธิว 6:24)
ที่นี่ความมั่งคั่งสมกับเจ้านาย หลายคนใช้เวลาและพลังงานสะสมความมั่งคั่งและกลายเป็นเจ้านายของพวกเขา พระเยซูมาที่นี่เพื่อบอกเราว่าเราไม่สามารถทำสิ่งนี้และรับใช้พระเจ้าอย่างเป็นที่ยอมรับได้ในเวลาเดียวกัน คำสอนนี้ง่ายและได้ผล แต่ไม่มีใครสรุปได้ว่าความมั่งคั่งคือคนที่เรียกว่าแม่

เป็นตัวเป็นตน: "... ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป" (ยอห์น 8:34) "บาปครอบงำจนตาย" (โรม 5:21) "คุณไม่รู้หรือว่าใครที่คุณยอมสละตัวเองให้เป็นทาสเพราะเชื่อฟังนั่นคือคุณเป็นทาสที่คุณเชื่อฟังหรือเป็นทาสของบาปไปสู่ความตายหรือเชื่อฟังในความชอบธรรม" (โรม 6:16)
เช่นเดียวกับในกรณีของความมั่งคั่งความบาปในที่นี้ก็เท่ากับนายและคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของเขา ไม่มีเหตุผลใดที่เราอ่านข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เพื่ออ้างเหตุผลว่าเปาโลตระหนักถึงบาปในฐานะบุคคล

การจุติของพระวิญญาณ: "เมื่อพระองค์ซึ่งเป็นพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาพระองค์จะทรงนำคุณเข้าสู่ความจริงทั้งหมดเพราะพระองค์จะไม่ตรัสถึงพระองค์เอง ... " (ยอห์น 16:13)
พระเยซูบอกสาวกของพระองค์ว่าในไม่ช้าพวกเขาก็ได้รับฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือกิจการ 2: 3-4 มีระบุไว้ที่นี่: "และลิ้นของไฟปรากฏแก่พวกเขาเหมือนเดิมและหยุดพักหนึ่งบนแต่ละคนและพวกเขาทั้งหมดเต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ... " ผู้ทรงประทานพลังอันยอดเยี่ยมแก่พวกเขาในการทำความดีแก่พวกเขา พิสูจน์ว่าพลังของพวกเขาได้รับจากพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่บุคคล แต่เป็นฤทธิ์อำนาจ แต่เมื่อพระเยซูตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้พระองค์ทรงใช้สรรพนามส่วนตัวว่า "เขา"

ตัวตนของคนอิสราเอล: "เราจะสร้างคุณขึ้นมาใหม่และคุณจะถูกสร้างขึ้นใหม่คุณจะได้รับการสร้างใหม่คุณจะได้รับการประดับประดาด้วยผ้าคาดศีรษะของคุณ ... " (เยเรมีย์ 31: 4) "ฉันได้ยินเอฟราอิมร้องไห้:" คุณลงโทษฉัน - และฉันถูกลงโทษเหมือนลูกวัวที่ไม่ย่อท้อ; เปิดฉันแล้วฉันจะกลับมาเพราะคุณคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของฉัน "(เยเรมีย์ 31:18)
บริบทของข้อความเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าศาสดาพยากรณ์ไม่ได้หมายถึงหญิงพรหมจารีตามตัวอักษรหรือเอฟราอิมในฐานะบุคคล แต่หมายถึงคนอิสราเอลซึ่งในตัวอย่างนี้ถือเป็นตัวเป็นตน

ในจิตวิญญาณเดียวกันรัฐบริเตนใหญ่บางครั้งเรียกด้วยชื่อผู้หญิงว่า "บริเตน" ในความเป็นจริงไม่มีผู้หญิงคนนี้ แต่เมื่อเธอถูกอ้างถึงในหนังสือหรือวาดภาพทุกคนก็เข้าใจดีว่ามีความหมายอย่างไร
การเป็นตัวเป็นตนของผู้เชื่อในพระคริสต์: "จนกว่าเราทุกคนจะเข้าสู่เอกภาพแห่งศรัทธาและความรู้เกี่ยวกับพระบุตรของพระเจ้าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ตามอายุของพระคริสต์" (เอเฟซัส 4:13) “ ร่างเดียว” (เอเฟซัส 4: 4). “ และคุณเป็นร่างกายของพระคริสต์ แต่คุณเป็นสมาชิกทีละคน” (1 โครินธ์ 12:27) “ ... พระคริสต์ทรงเป็นประมุขของศาสนจักรและพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของร่างกาย” (เอเฟซัส 5:23) “ พระองค์ (พระคริสต์) ทรงเป็นหัวหน้าของร่างกายพระศาสนจักร…บัดนี้ฉันชื่นชมยินดีในความทุกข์ทรมานของฉันเพื่อคุณและชดเชยการขาดเนื้อหนังของฉันในความเศร้าโศกของพระคริสต์เพื่อร่างกายของพระองค์ซึ่งก็คือศาสนจักร” (โคโลสี 1:18 และ 24) “ ฉันหมั้นกับคุณกับสามีคนเดียวเพื่อถวายคุณแด่พระคริสต์ในฐานะหญิงพรหมจารีบริสุทธิ์” (2 โครินธ์ 11: 2) "... การแต่งงานของพระเมษโปดกมาแล้วและพระมเหสีของพระองค์ได้เตรียมตัวให้พร้อม" (วิวรณ์ 19: 7) ข้อพระคัมภีร์ทั้งหมดนี้กล่าวถึงชุมชนของผู้คนที่เป็นผู้เชื่อที่แท้จริงในพระคริสต์อย่างชัดเจนและบางครั้งเรียกว่า "คริสตจักร" แม้ว่าสิ่งนี้ไม่ควรสับสนกับคริสตจักรที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งมีมานานก่อนที่จะเลิกเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง คริสต์. ผู้เชื่อที่แท้จริงคือผู้ที่ยึดมั่นและเชื่อในตำแหน่งที่แท้จริงที่พระคัมภีร์สอน พวกเขาเรียกว่าพรหมจารีบริสุทธิ์ที่แสดงออกถึงความบริสุทธิ์ของชีวิตที่เธอเป็นผู้นำ และร่างกายเป็นสัญลักษณ์ที่เหมาะสมเพราะมีเพียงร่างกายที่แท้จริงเท่านั้นที่มีฟังก์ชั่นมากมาย ดังนั้นคริสตจักรที่แท้จริงจึงมีความรับผิดชอบอย่างมากและมีหน้าที่มากมาย เมื่อคริสตจักรถูกเรียกว่าร่างกายไม่มีใครคิดว่ามันเป็นบุคคลและพวกเขาจะไม่เข้าใจผิดในการจินตนาการถึงปีศาจหรือซาตานว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดหรือทูตสวรรค์ที่ตกสู่บาปหากคำเหล่านี้ได้รับการแปลอย่างถูกต้องหรือคน จะไม่ได้รับความคิดที่ผิดที่ได้มาจากคริสตจักรเท็จในอดีต

การบิดเบือนพระคัมภีร์
จากหลักฐานข้างต้นคำสอนที่แท้จริงในพระคัมภีร์ได้รับการเปิดเผย แต่มีหลายคนที่จะอ้างและอธิบายข้อพระคัมภีร์บางตอนตามทัศนะส่วนตัวของพวกเขาและความคิดเห็นส่วนตัวของพวกเขาอาจปรากฏที่นี่ ในความเป็นจริงเนื่องจากพระคัมภีร์ไม่ได้ขัดแย้งในตัวเองข้อความเหล่านี้จึงไม่เป็นความจริงดังนั้นเราจึงต้องพิจารณาข้อความดังกล่าวอย่างรอบคอบเพื่อดูว่าสิ่งที่พวกเขาบอกจริงๆ

เทวดาบาป
ข้อความยอดนิยมสองข้อที่บางคนมักอ้างถึงเพื่อสนับสนุนความเชื่อของพวกเขาเกี่ยวกับปีศาจในฐานะบุคคลสามารถพบได้ในจดหมายของปีเตอร์และจูด:
"เพราะว่าถ้าพระเจ้าไม่ได้ไว้ชีวิตทูตสวรรค์ที่ทำบาป แต่ได้ผูกมัดพวกเขาไว้ด้วยพันธนาการแห่งความมืดที่ชั่วร้ายก็ให้พวกเขามารับการพิพากษาลงโทษ ... " (2 เปโตร 2: 4)
"และเหล่าทูตสวรรค์ที่ไม่รักษาศักดิ์ศรีของพวกเขา แต่ออกจากที่อยู่อาศัยของพวกเขาเขายังคงอยู่ในพันธนาการนิรันดร์ภายใต้ความมืดเพื่อการพิพากษาในวันสำคัญ" (จูดข้อ 6)
เป็นที่ชัดเจนอย่างยิ่งที่นี่ว่าพระเจ้าไม่ได้ไว้ชีวิตทูตสวรรค์ที่ทำบาปและโยนพวกเขาลงนรกซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดดั้งเดิมอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามมันหมายถึงสิ่งที่คริสตจักรกำลังใช้และหลายคนกำลังสอนอะไรอยู่? ลองมาดูข้อต่างๆกันดีกว่า

เหล่าทูตสวรรค์ถูก "พันธนาการด้วยพันธนาการแห่งความมืดอันชั่วร้าย" แต่ไม่ได้บอกว่าพวกเขาอยู่ในสวรรค์ในช่วงแรก พูดง่ายๆก็คือพวกเขาอยู่บนโลกก่อนที่จะถูกโยนลงนรก ยิ่งไปกว่านั้นเปโตรยังกล่าวอีกว่า: "การผูกมัดเขาไว้ด้วยพันธนาการแห่งความมืดอันชั่วร้าย" และยูดาสเน้นย้ำว่า: "เขายึดมั่นในพันธะนิรันดร์ ดังนั้นเราจึงถามว่าถ้าปีศาจอยู่ในพันธนาการเขาจะครอบครองพลังแห่งความชั่วร้ายทั้งหมดที่ส่งผ่านมาถึงเขาหลังจากนั้นได้อย่างไร? เรายังเห็นว่าทูตสวรรค์เหล่านี้ถูกสังเกต "สำหรับการพิพากษาในวันสำคัญ" สิ่งนี้จะเข้ากับแนวคิดดั้งเดิมได้อย่างไร?
คำถามเหล่านี้แสดงให้เราเห็นว่าเป็นเท็จที่จะสรุปว่าข้อเหล่านี้สนับสนุนทฤษฎีนี้ การปรากฏตัวของมันเป็นผลมาจากการอ่านโดยไม่ตั้งใจอย่างไรก็ตามเมื่อตระหนักว่าพระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับทูตสวรรค์บาปนรก (หลุมศพ) และการพิพากษาจริงๆเราก็รู้ทันทีว่าข้อเหล่านี้อ้างถึงอะไรและคุณจะพบว่านี่เป็นเรื่องไกลตัว จากตำนานเก่าแก่

คำว่า "ทูตสวรรค์" หมายถึง "ผู้ส่งสาร" เท่านั้นและในพระคัมภีร์คำนี้ไม่ได้หมายถึงสิ่งมีชีวิตอมตะที่อาศัยอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเสมอไป ข้อเหล่านี้กล่าวถึงการกบฏต่อพระเจ้าที่เกิดขึ้นในพันธสัญญาเดิมและที่คุ้นเคยกันดีกว่าคือการกบฏของโคราห์ดาธานและอาบีรอนต่ออำนาจที่ได้รับการสถาปนาจากพระเจ้าของโมเสสตามที่บันทึกไว้ในกันดารวิถีบทที่ 16 พวกเขาไม่สามารถอ้างถึงสิ่งใดได้เลย - ไม่ว่าจะเป็นอีกทฤษฎีหนึ่งหรือทฤษฎีที่ไม่สอดคล้องกับคำสอนของพระคัมภีร์ทั้งหมด

สงครามบนท้องฟ้า
บางครั้งมีการอ้างข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งเพื่อสนับสนุนความคิดเก่าของปีศาจในฐานะทูตสวรรค์ที่ตกสู่บาปสามารถพบได้ในวิวรณ์ 12:
"และเกิดสงครามขึ้นในสวรรค์: ไมเคิลและทูตสวรรค์ของเขาต่อสู้กับมังกรมังกรและทูตสวรรค์ของเขาต่อสู้กับพวกเขา แต่พวกเขาไม่สามารถต้านทานได้และไม่พบสถานที่สำหรับพวกเขาในสวรรค์และมังกรที่ยิ่งใหญ่ งูโบราณที่เรียกว่ามารและซาตานผู้หลอกลวงทั้งจักรวาลถูกขับออกมายังโลกและทูตสวรรค์ของมันก็ถูกขับไล่ไปพร้อมกับเขา "(วิวรณ์ 12: 7-9)
ข้อนี้ดูเหมือนในแวบแรกเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีเยี่ยมของความเชื่อเก่า ๆ - สงครามในสวรรค์ไมเคิลต่อสู้กับมังกรและมังกรก็ถูกโค่นล้ม งูตัวเดิมนี้เรียกว่าปีศาจและซาตาน! แต่นี่คือสิ่งที่เกี่ยวกับข้อนี้หรือไม่? การอ้างอิงถึงข้อแรกของหนังสือวิวรณ์เผยให้เราเห็นว่าการอธิบายข้อนี้ด้วยวิธีนี้หมายถึงการถอยห่างจากบริบทของหนังสือทั้งเล่ม:
“ การเปิดเผยของพระเยซูคริสต์ซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ว่าจะต้องเป็นอย่างไรในไม่ช้าและพระองค์ทรงสำแดงโดยส่งผ่านทูตสวรรค์ของพระองค์ไปยังยอห์นผู้รับใช้ของพระองค์” (วิวรณ์ 1: 1)
ขณะนี้เจ้าหน้าที่ที่เชื่อถือได้ทุกคนได้รับการยอมรับแล้วว่าหนังสือวิวรณ์เขียนขึ้นหรือดีกว่า - จอห์นได้รับข่าวสารเมื่อประมาณปีคริสตศักราช 96 และตามที่กล่าวไปแล้วในข้อแรกมีการกล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ว่า "ควรจะเร็ว ๆ นี้ ". ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของสงครามในสวรรค์ระหว่างไมเคิลทูตสวรรค์ของเขาและปีศาจหรือซาตานจึงต้องอ้างถึงบางสิ่งที่เกิดขึ้นหลังปี ส.ศ. 96 อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับแนวคิดเก่า ๆ ผู้สมัครพรรคพวกของแนวคิดทั่วไปเชื่อว่าสงครามในสวรรค์ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของชีวิตมิฉะนั้นใครจะรับผิดชอบต่อความชั่วร้ายทั้งหมดที่มีมานานก่อนวันที่ยอห์นได้รับการเปิดเผย?

คำอธิบายสำหรับคำถามนี้คือหนังสือวิวรณ์เป็นหนังสือแห่งสัญลักษณ์ดังที่แสดงในคำว่า "พระองค์แสดงให้เห็นโดยการส่งไป" วิสัยทัศน์ทั้งหมดที่อธิบายไว้ในหนังสือเป็นสัญลักษณ์ของเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีความสำคัญอย่างยิ่งซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากเวลาที่พวกเขาแสดง ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะใช้ข้อนี้เพื่อโต้แย้งว่าปีศาจเป็นทูตสวรรค์ที่ตกลงมา
ในความเป็นจริงข้อเหล่านี้ชี้ให้เห็นความจริงที่ว่าลัทธินอกศาสนาถูกแทนที่ด้วยศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักของอาณาจักรโรมันในช่วงศตวรรษที่ 4 ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนให้เห็นในสัญลักษณ์ซึ่งสามารถตีความได้อย่างถูกต้องเนื่องจากพระคัมภีร์ประสานเหตุการณ์อย่างชัดเจนโดยใช้สัญลักษณ์

ต้นกำเนิดของสงครามในสวรรค์ไม่ได้หมายถึงสงครามในที่สถิตของพระเจ้าอย่างแน่นอน เป็นเรื่องที่เข้าใจยากว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นที่นั่น เมื่อคำว่า "สวรรค์" เกิดขึ้นในพระคัมภีร์ไม่ใช่การอ้างอิงถึงที่สถิตของพระเจ้าเสมอไป โดยปกติแล้วในกรณีดังกล่าวจะมีการอ้างอิงถึงกองกำลังชั้นนำบนโลก พวกเขาสามารถตั้งชื่อและมักถูกเรียกว่านภาการเมือง นี่คือสิ่งที่วิวรณ์บท 12 กล่าวอย่างแน่นอน สงครามในสวรรค์หมายถึงการต่อสู้ของกองกำลังทางการเมืองซึ่งในเวลานั้นเกิดขึ้นในอาณาจักรโรมัน
มังกรเป็นสัญลักษณ์ของโรมนอกรีต ไมเคิลเป็นตัวแทนของจักรพรรดิคอนสแตนตินเพราะกองกำลังของเขาอ้างว่าต่อสู้ในนามของพระคริสต์ สัญลักษณ์สงครามบนท้องฟ้าแสดงให้เห็นถึงสงครามระหว่างคอนสแตนตินและไลซินุสซึ่งไลซินัสพ่ายแพ้ในปี ส.ศ. 324 ทำให้คอนสแตนตินเป็นผู้ปกครอง แต่เพียงผู้เดียวในจักรวรรดิทั้งหมด คอนสแตนตินเป็นผู้สนับสนุนศาสนาคริสต์ในขณะที่ไลซินัสเป็นผู้สนับสนุนลัทธินอกศาสนาดังนั้นไลซินุสจึงเป็นตัวแทนของมังกร คำพูดในวิวรณ์ 12: 8: "แต่พวกเขาไม่ยืนและไม่มีที่สำหรับพวกเขาในสวรรค์อีกต่อไป" - แสดงว่าเขาถูกครอบงำและสูญเสียความแข็งแกร่งและตำแหน่งในจักรวรรดิซึ่งเกิดขึ้น

ตอนนี้คอนสแตนตินได้รับอำนาจที่สมบูรณ์และเป็นหนึ่งเดียวได้เปลี่ยนศาสนาอย่างเป็นทางการจากศาสนานอกศาสนามาเป็นศาสนาคริสต์ - ศาสนาคริสต์ที่เสื่อมทราม แต่ยังคงนับถือศาสนาคริสต์อยู่บ้างและด้วยเหตุนี้เขาจึงลงไปในประวัติศาสตร์ในฐานะจักรพรรดิคริสเตียนคนแรก นี่คือสิ่งที่เขาน่าทึ่งและคำพูดในข้อ 9 กล่าวถึง: "และมังกรใหญ่ก็ถูกทิ้งลง" เรายังเห็นว่ามังกรตัวนี้ถูกเรียกอีกอย่างว่า "งูโบราณที่เรียกว่าปีศาจและซาตาน" ซึ่งเหมาะสมที่สุดเนื่องจากลัทธินอกศาสนาเป็นศูนย์รวมของพลังแห่งบาปเพราะบาปในเนื้อหนังซึ่งกำหนดโดยมารในพระคัมภีร์มีมาช้านาน เป็นศัตรูกับสาวกของพระเยซูคริสต์
นี่คือสิ่งที่บทนี้ของหนังสือวิวรณ์เป็นเรื่องเกี่ยวกับดังที่เราได้เห็นโดยนำไปใช้ในบริบทของหนังสือทั้งเล่มและใช้การตีความตามพระคัมภีร์อย่างเหมาะสม การแสดงความขัดแย้งระหว่างพระเจ้ากับทูตสวรรค์ที่กบฏในพระธรรมตอนนี้คือการย้ายออกจากบริบทโดยสิ้นเชิงและให้ความหมายที่ตรงกันข้ามกับคำสอนในพระคัมภีร์โดยสิ้นเชิง

“ ใครคือปีศาจ?”, - ทัศนคติต่อปัญหานี้ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตของเรา!

บทนำ

จารึกใต้ชื่อ: “ ตลกสิ้นดี”

ฉันดูวิธีการอยู่ตลอดเวลา โทรทัศน์สมัยใหม่สอนให้เรารู้ว่าปีศาจเป็นตัวละครกึ่งการ์ตูนที่ต้องการครอบครองวิญญาณมนุษย์ แต่คน ๆ หนึ่งมักจะเอาชนะเขาได้มากพอ (เช่นในภาพยนตร์เรื่อง "Constantine" หรือ "Blinded by Desires") หรือปีศาจอย่างนางฟ้าฟันน้ำนมไม่มีอยู่จริง

แต่ ปีศาจมีจริงและเขาไม่ต้องการให้เราจริงจังกับเขาเพื่อต่อต้านกลอุบายของเขาให้น้อยลง

บทคัดย่อ

ปีศาจ (ซาตาน) - ทูตสวรรค์ที่ล้มลงซึ่งพระเจ้าโค่นล้มจากสวรรค์เพราะเขาภูมิใจต้องการเข้ามาแทนที่พระเจ้า

มารไม่เท่ากับพระเจ้าในเรื่องความแข็งแกร่ง... พระเจ้าอนุญาตให้ซาตานอยู่บนโลกจนถึงวันพิพากษาเมื่อเขาจะถูกลงโทษชั่วนิรันดร์กับผู้ที่อยู่เคียงข้างเขา (เหล่านี้คือทูตสวรรค์ที่ตกสู่บาปอื่น ๆ และผู้คนที่ไม่ได้คืนดีกับพระเจ้าในช่วงชีวิตบนโลกของพวกเขา)... ผลลัพธ์ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าโดยคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิล

ในขณะนี้มารพยายามที่จะทำร้ายผู้คนเพื่อที่ว่าพวกเขาจะเป็นศัตรูกับพระเจ้าด้วยเช่นกัน. ปีศาจไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่พระเจ้าอนุญาต.

คำอธิบายโดยละเอียดพร้อมลิงก์ไปยังแหล่งที่มา

1. พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เรียกว่า "ปีศาจ" "ซาตาน" ซึ่งหมายถึง "ศัตรู" (ศัตรูของพระเจ้าและประชากรของพระองค์).

ข้อความในพระคัมภีร์บางส่วนที่สนับสนุนสิ่งนี้:

"และ ซาตานก่อกบฏต่ออิสราเอลและทำให้ดาวิดทำ การคำนวณของชาวอิสราเอล" (พระคัมภีร์ 1 พงศาวดาร 21: 1) / พระเจ้าไม่พอใจที่ดาวิดทำ /.

หนังสือเล่มอื่นในพระคัมภีร์กล่าวว่า: " และเขาแสดงให้ฉันเห็นพระเยซูมหาปุโรหิตยืนต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้าและ ซาตานยืนอยู่ที่มือขวาของเขา เพื่อต่อต้านมัน... และพระเจ้าตรัสกับซาตาน: ขอพระเจ้าทรงห้ามเจ้าซาตานขอพระเจ้าห้ามเจ้าผู้เลือกเยรูซาเล็ม! เขาไม่ใช่แบรนด์ที่ถูกดึงออกมาจากไฟหรือ?" (พระคัมภีร์หนังสือของผู้เผยพระวจนะเศคาริยาห์ 3: 1,2) / เราเห็นว่าพระเจ้าห้ามซาตานได้ /.

ซาตาน (ซาตาน) เป็นทูตสวรรค์ที่ตกสู่บาปซึ่งกลายเป็นความภาคภูมิใจและต้องการเป็นเช่นเดียวกับพระเจ้าซึ่งเขาถูกขับออกจากสวรรค์:

"ความภาคภูมิใจของคุณถูกทิ้งลงไปในนรกด้วยเสียงทั้งหมดของคุณ ภายใต้คุณคือหนอนและเวิร์มเป็นที่กำบังของคุณ คุณตกลงมาจากท้องฟ้าได้อย่างไรวันบุตรแห่งรุ่งอรุณ! ล้มลงกับพื้นเหยียบย่ำประชาชาติ และเขาพูดในใจของเขาว่า: "ฉันจะขึ้นไปบนสวรรค์ฉันจะยกบัลลังก์ของฉันให้อยู่เหนือดวงดาวของพระเจ้าและฉันจะนั่งบนภูเขาในหมู่เทพที่ขอบทางเหนือฉันจะขึ้นไปที่ ความสูงที่มีเมฆมากฉันจะเป็นเหมือนผู้สูงสุด "." (พระคัมภีร์หนังสือของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ 14: 11-14)

พระเยซูในพันธสัญญาใหม่อธิบายว่าที่นี่เกี่ยวกับซาตาน: " เขาพูดกับพวกเขาว่า: ฉันเห็นซาตานตกลงมาจากฟ้าเหมือนฟ้าผ่า " (พระคัมภีร์ลูกา 10:18)

และในวิวรณ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก: "และมังกรใหญ่ก็ถูกขับออกไปคืองูโบราณเรียกว่าปีศาจและซาตานผู้หลอกลวงจักรวาลทั้งหมดถูกขับออกมายังโลกและทูตสวรรค์ของเขาก็ถูกขับไล่ไปพร้อมกับเขา "(พระคัมภีร์ไบเบิลหนังสือวิวรณ์ 12: 9)

นอกจากนี้ปีศาจยังเรียกว่า "Apollyon" ซึ่งแปลว่า "ผู้ทำลาย":
"เธอมีราชาเหนือเธอ นางฟ้าแห่งอเวจี; ชื่อของเขาในภาษาฮีบรูคือ Abaddon และในภาษากรีก Apollyon" (พระคัมภีร์หนังสือวิวรณ์ 9:11)

"บัดนี้เป็นการพิพากษาโลกนี้บัดนี้ เจ้าชายของโลกนี้จะถูกเนรเทศ"(พระคัมภีร์กิตติคุณยอห์น 12:31)"มันเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับฉันที่จะคุยกับคุณเพราะ เจ้าชายของโลกนี้และไม่มีอะไรในตัวฉัน "(พระคัมภีร์กิตติคุณยอห์น 14:30)"เกี่ยวกับคำพิพากษานั้น เจ้าชายของโลกนี้ถูกประณาม" (พระคัมภีร์กิตติคุณยอห์น 16:11)

"สำหรับคนที่ไม่เชื่อใคร เทพเจ้าในยุคนี้ทำให้จิตใจมืดมนเพื่อให้แสงสว่างแห่งพระกิตติคุณแห่งพระสิริของพระคริสต์ซึ่งเป็นพระฉายของพระเจ้าที่มองไม่เห็นไม่ส่องแสงสำหรับพวกเขา "(พระคัมภีร์ 2 โครินธ์ 4: 4)"ซึ่งคุณเคยมีชีวิตอยู่ตามธรรมเนียมของโลกนี้ตามความประสงค์ เจ้าชายแห่งการปกครองในอากาศวิญญาณตอนนี้ทำงานในบุตรแห่งการต่อต้าน" (พระคัมภีร์เอเฟซัส 2: 2)"เรารู้ว่าเรามาจากพระเจ้าและโลกทั้งโลกตกอยู่ในความชั่วร้าย"(พระคัมภีร์ 1 ยอห์น 5:19)

ถ้าคุณเปรียบเทียบกับภาพยนตร์บางเรื่องฉันจะเปรียบเทียบกับเมทริกซ์ ในนั้น Agent Smith จะเป็นเหมือนปีศาจ สมิ ธ พยายามจับตัวทุกคน แต่เขาก็หยุดเหมือนปีศาจจะหยุด

3. เมื่อฉันอ่านในพระคัมภีร์ว่า ปีศาจเป็นบิดาของการโกหกทุกอย่างเข้าที่! เขาต้องการหลอกลวงทุกคนเสมอและการหลอกลวงที่ใหญ่ที่สุดที่เขาส่งเสริมคือ“ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเราจะไม่ให้พระเจ้าเล่าเรื่องชีวิตของเราหลังจากความตายจะมีโอกาสครั้งที่สองผู้ที่อยู่ร่วมกับปีศาจจะ อยู่กับเขาในอาณาจักรของเขา - ในนรกซึ่งมันจะดีกว่าในสวรรค์ปีศาจไม่มีอยู่จริงเหมือนทุกสิ่งที่มีจิตวิญญาณ " แต่นี่เป็นเรื่องโกหก! ในความเป็นจริงทุกคนเมื่อสิ้นชีวิตทางโลกจะถวายเรื่องราวชีวิตของตนแด่พระเจ้าพวกเขาจะได้รับการพิพากษาและจะไม่มีโอกาสครั้งที่สอง! ปีศาจมีจริงและจะถูกลงโทษพร้อมกับลูกน้อง!

พระเยซูตรัสกับคนที่ไม่เชื่อในพระองค์ว่า "พ่อของคุณเป็นปีศาจและคุณต้องการที่จะเติมเต็มความปรารถนาของพ่อของคุณเขาเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มต้นและไม่ได้ยืนหยัดในความจริงเพราะไม่มีความจริงในตัวเขาเมื่อเขาพูดความเท็จเขาก็พูดของเขา เพราะเขาเป็นคนโกหกและเป็นพ่อของการโกหก” (พระคัมภีร์ยอห์น 8:44)

เป็นเรื่องน่าสบายใจสำหรับฉันที่พระคัมภีร์เป็นหนังสือเชิงพยากรณ์และชะตากรรมของปีศาจมีการบอกล่วงหน้าไว้ในนั้น: "ปีศาจที่หลอกลวงพวกเขาถูกทิ้งลงในบึงไฟและกำมะถันที่สัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์เท็จอยู่และพวกเขาจะถูกทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปและตลอดไป" (พระคัมภีร์วิวรณ์ 20:10)

4. รู้ทุกสิ่งที่เขียนฉันไม่มีภาพลวงตาเกี่ยวกับปีศาจ พระคัมภีร์แสดงให้เราเห็นว่าปีศาจเป็นศัตรูที่โหดร้ายและหลอกลวงซึ่งพยายามทำลายความดีทั้งหมดโดยการต่อต้านพระเจ้า แต่คิดว่าเขาเป็นคนโง่และกล้าแสดงออกเหมือนคนป่าเถื่อนความหลงผิดเพราะเหมือนพ่อของคนโกหกและคนขี้ฉ้อ ปีศาจมีความซับซ้อนในศิลปะแห่งการหลอกลวงและสามารถอยู่ในรูปแบบของนางฟ้าแห่งแสงได้โดยส่งผ่านความชั่วร้ายไปสู่ความดี,