ภาพมรณกรรม ภาพถ่ายมรณกรรม: ปรากฏการณ์เลวร้ายในศตวรรษที่ 19 หรือศิลปะ

ด้วยการประดิษฐ์ Daguerreotype (บรรพบุรุษของกล้องถ่ายรูป) ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ภาพถ่ายมรณกรรมของผู้เสียชีวิตได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ญาติและเพื่อนของผู้เสียชีวิตได้ว่าจ้างช่างภาพเพื่อจับภาพผู้ตายไว้เป็นที่ระลึกและฝากภาพไว้เป็นที่ระลึก มันคืออะไร: ความตั้งใจที่ไม่ดีหรือลางร้าย?

รูปถ่ายมรณกรรมและวัตถุประสงค์

เรื่องราว

ในสมัยนั้นการเสียชีวิตของทารกเป็นปัญหาใหญ่คุณจึงมักจะเห็นเด็กในภาพถ่ายมรณกรรมที่ยังมีชีวิตอยู่ ตามกฎแล้วผู้คนไม่ได้ตายในโรงพยาบาล แต่อยู่ที่บ้าน โดยปกติการเตรียมการฝังศพจะดำเนินการโดยครอบครัวของผู้เสียชีวิตไม่ใช่โดยองค์กรพิธีกรรม ในวันอำลาดังกล่าวมีการจ้างช่างภาพ

ในยุควิกตอเรียมีทัศนคติต่อความตายที่แตกต่างกัน ผู้คนในเวลานั้นประสบกับความพลัดพรากและการสูญเสียอย่างรุนแรง แต่ร่างของผู้เสียชีวิตไม่ได้ทำให้เกิดความกลัวและสยองขวัญ ความตายเป็นเรื่องธรรมดาแม้กระทั่งในหมู่เด็ก ๆ โดยปกติเด็กทารกและเด็กเล็กไม่มีเวลาถ่ายภาพในช่วงชีวิตของพวกเขา ไข้อีดำอีแดงหรือไข้หวัดใหญ่ที่แพร่กระจายส่งเด็กจำนวนมากไปยังโลกหน้า ดังนั้นการถ่ายภาพมรณกรรมจึงเป็นวิธีที่เพียงพออย่างสมบูรณ์ในการรักษาความทรงจำของบุคคล

การจ้างช่างภาพที่มี daguerreotype ใช้เงินจำนวนมาก โดยปกติแล้วบริการนี้ได้รับคำสั่งจากครอบครัวที่ร่ำรวย Daguerreotype ที่ไม่สมบูรณ์ต้องใช้ความอดทนและความไม่สามารถเคลื่อนที่ได้นานของตัวแบบ แต่ในกรณีของร่างกายที่ไม่มีการเคลื่อนไหวและไม่มีชีวิตกระบวนการนี้ก็ง่ายขึ้นอย่างมากและให้ผลกำไรที่มั่นคงแก่ช่างภาพ หากญาติที่ยังมีชีวิตแสดงความประสงค์ที่จะถ่ายภาพร่วมกับผู้เสียชีวิตพวกเขาจะปรากฏว่ามีรอยเปื้อนในภาพ แต่ศพกลับดูชัดเจนอย่างสมบูรณ์

คุณสมบัติ:

พวกเขาชอบให้ผู้ตายมีท่าทางที่ผ่อนคลายราวกับว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่พักผ่อนหรือนอนหลับ ดังนั้นเด็ก ๆ จึงไม่เพียง แต่ถูกวางไว้ในโลงศพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโซฟาในรถเข็นเด็กบนเก้าอี้ด้วย เด็กถูกแต่งตัวทำให้เขามีทรงผมที่สวยงามล้อมรอบด้วยของเล่นที่เขาชื่นชอบหรือแม้แต่สัตว์เลี้ยง เพื่อให้ร่างกายอยู่ในตำแหน่งสามารถวางไว้บนตักของผู้ปกครองได้

พัฒนาการของการถ่ายภาพมรณกรรมทำให้เกิดงานศิลปะชนิดหนึ่ง ขาตั้งกล้องพิเศษได้รับการพัฒนาเพื่อยึดร่างกายให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ ยิ่งฝีมือของช่างภาพสูงเท่าไหร่ผู้เสียชีวิตก็ยิ่งมองภาพได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ช่างภาพใช้กลเม็ดอื่น ๆ เช่นแต่งตาบนเปลือกตาที่ปิดสีแก้มที่มีสีแดงและรูปถ่ายที่มีกรอบของคนนอนตัวตรงเลียนแบบท่ายืน

มีประเด็นหรือไม่?

เมื่อถึงต้นศตวรรษที่ 20 ความนิยมในการเสียชีวิตของภาพถ่ายเริ่มลดลง

ภาพถ่ายมรณกรรมเป็นเรื่องของการศึกษาและทรัพย์สินของคอลเลกชันทางประวัติศาสตร์เนื่องจากรูปภาพที่มีคุณภาพสูงสุดและแปลกตาต้องเสียเงินมหาศาล

ศิลปะที่ผิดปกติในสมัยนั้นบังคับให้เราต้องทบทวนชีวิตและความตายอีกครั้ง ในบรรดาบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่ถูกถ่ายภาพมรณกรรมคือวิคเตอร์ฮิวโก้และช่างภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดของผู้เสียชีวิตคือนาดาร์ (Gaspar Felix Turnachon)

นอกจากนี้ยังอยากรู้ว่าการถ่ายภาพมรณกรรมก่อให้เกิดรูปแบบทางเลือกเมื่อสิ่งมีชีวิตแสร้งทำเป็นว่าตาย วัฒนธรรมนี้ปรากฏขึ้นเนื่องจากความไม่สมบูรณ์ของ daguerreotype ดังกล่าวข้างต้น ความเป็นไปไม่ได้ของการถ่ายภาพทันทีและความจำเป็นในการโพสท่าที่ยาวนานบังคับให้สร้างภาพของคนตาย

เรื่องนี้ยังไม่มีการแก้ไข การสะกดและเครื่องหมายวรรคตอนได้รับการรักษาไว้ในรูปแบบดั้งเดิม

ภาพถ่ายยุควิคตอเรียน 21 มรณกรรมนี้น่าตกใจ มันเป็นอย่างไร?

ยุควิกตอเรียเป็นยุค "โกธิค" ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ หนึ่งในประเพณีที่รบกวนจิตใจที่สุดในยุคนั้นคือการถ่ายภาพมรณกรรม (นั่นคือการถ่ายภาพคนตาย) นี่คงเป็นเรื่องต้องห้ามตามมาตรฐานของวันนี้ แต่ในเวลานั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ

นี่ไม่ได้หมายความว่าภาพถ่ายเหล่านี้จะดูน่าขนลุกน้อยลงในปัจจุบันในทางกลับกันมันอาจทำให้น่าขนลุกยิ่งขึ้นไปอีก ต่อไปนี้คือ 21 ตัวอย่างที่น่ารำคาญที่สุดของการถ่ายภาพมรณกรรมสมัยวิคตอเรียที่เราพบได้ ความสนใจ. # 13 สามารถทำให้คุณตกใจได้จริงๆ.

1. ) ด้วยความพยายามที่จะสร้างผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับ "ความน่าขนลุก" "ของที่ระลึก" ที่คล้ายกัน (ภาษาอังกฤษ - "ของขวัญที่น่าจดจำ", "ของที่ระลึก") ในทางตรงกันข้ามถูกสร้างขึ้นเพื่อ "ระลึก" ผู้อันเป็นที่รักที่ล่วงลับไปแล้ว

2. ) ด้วยเหตุนี้ช่างภาพจำนวนมากจึงพยายามทำให้ "ลูกค้า" ของตนดูมีชีวิตชีวา

3. ) ช่างภาพใช้กลเม็ดต่างๆเพื่อทำให้ "ลูกค้า" ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

4. ) วิธีหนึ่งที่ใช้กันมากที่สุดคือให้ผู้คนอยู่ติดกับสิ่งของและสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาชื่นชอบ (เช่นคนนี้นั่งบนเก้าอี้กับสุนัขของพวกเขา)

5. ) หรือเด็กผู้หญิงคนนี้อยู่ที่นี่พร้อมกับของเล่นของเธอ

6. ) ในบางกรณีช่างภาพพยายามแสร้งทำเป็นว่าผู้ตายหลับอยู่

8. ) สังเกตว่าช่างภาพใช้มือหนุนศีรษะอย่างไร?

9. ) สังเกตเห็นตำแหน่งแปลก ๆ ของม่านหลังเด็กชายหรือไม่? มีแนวโน้มว่าจะมีใครบางคนที่อยู่ข้างหลังเธอกำลังหนุนศีรษะของเด็กชาย

10. ) เด็กผู้หญิงคนนี้นั่งตะแคงบนเก้าอี้เพื่อซ่อนอุปกรณ์รองรับ

11. ) เธอดูเกือบจะมีชีวิตอยู่ในช็อตนี้

12. ) ไม่เห็นอะไรแปลก ๆ ในพื้นหลัง? เด็กผู้หญิงคนนี้กำลังนั่งอยู่บนตักของใครบางคน ในระหว่างถ่ายภาพมีคนจับเธอเข้าที่

13. ) ในรูปนี้หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางคือผู้เสียชีวิต ช่างภาพพยายามทำให้เธอมีชีวิตมากขึ้นโดยพึ่งพาครูของเขา

14. ) ในกรณีอื่น ๆ ไม่สามารถทำให้ "ลูกค้า" ดูเหมือนคนมีชีวิตได้

15. ) เป็นเรื่องปกติที่สมาชิกในครอบครัวจะถ่ายรูปกับคนที่คุณรักที่ล่วงลับไปแล้วเพื่อถ่ายรูปเหล่านี้

16. ) คุณต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับการใช้ชีวิตของสมาชิกในครอบครัว การแสดงออกถึงความปวดร้าวอย่างรุนแรงบนใบหน้าของพ่อแม่นั้นชัดเจน

17. ) เราสามารถจินตนาการได้ว่าการโพสท่าข้างๆญาติสนิทที่เสียชีวิตจะเป็นอย่างไร ในขณะนั้นการถ่ายภาพช้าและคุณไม่สามารถเคลื่อนไหวได้จนกว่าภาพจะพร้อม

18. ) ในภาพนี้คุณจะเห็นว่าหญิงสาวที่ตายแล้วมีสมาธิดีกว่าพ่อแม่ของเธอเนื่องจากพวกเขาเคลื่อนไหวระหว่างการถ่ายภาพ

19. ) มีบางอย่างในดวงตาของเธอในภาพนี้

20. ) มันค่อนข้างชัดเจน [ อะไร? ไม่ค่อยชัดเจน - ผู้แปล].

21. ) ฉันไม่แน่ใจว่าคนไหนเป็นผู้เสียชีวิต

ฉันแทบพูดไม่ออก ความประทับใจแรกของภาพถ่ายนั้นน่าขนลุกอย่างไม่น่าสงสัย แต่โดยทั่วไปแล้วผลกระทบนั้นแข็งแกร่งมาก คุณอาจคิดว่าเป็นเรื่องแปลกที่พ่อแม่จะถ่ายรูปคู่กับลูกที่ตายไปแล้ว แต่ในเวลานั้นการแสดงความเศร้าอย่างเปิดเผยก็ถือเป็นการแสดงความกล้าหาญทางวิญญาณเช่นกัน

พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมงานศพโลกมีนิทรรศการที่ไม่ธรรมดา: ภาพถ่ายหลังมรณะหรือภาพมรณกรรม

การถ่ายภาพมรณกรรม (การถ่ายภาพหลังมรณกรรม) - ประเพณีการถ่ายภาพผู้เสียชีวิตเมื่อไม่นานมานี้ซึ่งปรากฏในศตวรรษที่ 19 พร้อมกับการประดิษฐ์ตัวอักษร Daguerreotype ภาพดังกล่าวเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อปลายศตวรรษก่อนที่ผ่านมาและตอนนี้พวกเขาเป็นเป้าหมายของการศึกษาและรวบรวม

ภาพหลังการชันสูตร ใช้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความตายไม่ได้มากนัก แต่เป็นของที่ระลึกที่ซาบซึ้งในความทรงจำของผู้เสียชีวิต การถ่ายภาพเด็กและทารกแรกเกิดที่เสียชีวิตกลายเป็นที่นิยมโดยเฉพาะเนื่องจากอัตราการเสียชีวิตของทารกในยุควิกตอเรียนั้นสูงมากและบางครั้งภาพถ่ายดังกล่าวก็เป็นเพียงภาพเด็กเพียงคนเดียวที่เหลือให้ครอบครัวเป็นของที่ระลึก

จุดสูงสุดของความนิยม มรณกรรม ลดลงในตอนท้ายของศตวรรษที่ 19 อย่างไรก็ตามต่อมาได้ลดลงและในไม่ช้าก็ถูกแทนที่อย่างสมบูรณ์ด้วยการประดิษฐ์ภาพถ่ายทันทีซึ่งแพร่หลายและเป็นที่นิยมมากขึ้นแม้ว่าจะมีการสืบต่อประเพณีบางอย่างในศตวรรษที่ 20 ก็ตาม

ในช่วงต้น ภาพถ่ายมรณกรรม เป็นภาพใบหน้าของผู้เสียชีวิตในระยะใกล้หรือทั้งตัวซึ่งมักจะอยู่ในโลงศพน้อยกว่า ผู้เสียชีวิตถูกถ่ายภาพในลักษณะที่สร้างภาพลวงตาของการนอนหลับสนิทและบางครั้งเขาก็ได้รับการโพสท่าผ่อนคลายที่เลียนแบบคนที่มีชีวิต

เด็กมักถูกวางไว้ในรถเข็นเด็กบนเก้าอี้สูงหรือโซฟาล้อมรอบด้วยของเล่นและตุ๊กตาที่พวกเขาชื่นชอบ นอกจากนี้ยังเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในการถ่ายภาพทั้งครอบครัวหรือญาติสนิทซึ่งมักจะเป็นแม่พี่น้องหรือน้องสาวร่วมกับผู้เสียชีวิต ภาพที่จัดฉากดังกล่าวถ่ายทั้งในบ้านของผู้ตายและในสตูดิโอของช่างภาพ

ภาพถ่ายเด็กที่เสียชีวิต มีค่าอย่างยิ่งสำหรับพ่อแม่ของพวกเขาเพราะในช่วงชีวิตของพวกเขาพวกเขาแทบจะไม่ถูกถอดหรือถอดเลย อย่างน้อยพ่อแม่ก็มีบางอย่างเหลืออยู่

จากนั้นไม่มีใครกลัวภาพถ่ายเช่นนี้พวกเขาไม่ได้ขับไล่ใครแม้แต่เด็กเล็ก ๆ ก็ไม่กลัวไม่เพียง แต่รูปถ่ายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงญาติผู้เสียชีวิตด้วย ...

เป็นเรื่องปกติที่จะต้องถ่ายภาพหญิงสาวที่เสียชีวิตและตัดผมของเธอ รูปภาพนี้พร้อมกับขดถูกวางไว้ในล็อกเก็ตและสวมไว้ที่หน้าอก ภาพดังกล่าวถ่ายในบ้านที่ผู้ตายนอนอยู่ในบ้านงานศพและในสุสาน ...

ผู้ใหญ่ในรูปมรณะมักจะได้รับตำแหน่งนั่ง บ่อยครั้งที่พื้นที่โดยรอบได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยดอกไม้ เพื่อเพิ่มความมีชีวิตชีวาช่างภาพวาดภาพดวงตาที่เปิดอยู่เหนือดวงตาที่ปิดสนิทในภาพและในภาพก่อนหน้านี้มีการทาสีชมพูเล็กน้อยที่บริเวณแก้ม

ในรูปถ่ายมรณกรรมในเวลาต่อมาผู้เสียชีวิตมักปรากฏในโลงศพมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่รูปถ่ายนั้นรวบรวมญาติเพื่อนและคนรู้จักที่มาร่วมงานศพ

ประเพณีการถ่ายและเก็บภาพดังกล่าวยังคงรักษาไว้ในบางประเทศของยุโรปตะวันออก

เกือบทุกครอบครัวในรัสเซียมีภาพเช่นนี้ แต่แล้วพวกเขาก็เริ่มทำลายพวกเขาตอนนี้คุณแทบหาไม่เจอ พวกเขาฉีกและโยนภาพคนตายทิ้งเพราะจำคนเหล่านี้ไม่ได้อีกต่อไปและค่านิยมของครอบครัวเช่นความทรงจำของครอบครัวก็เป็นเรื่องในอดีต

ทั้งสามคนตายที่นี่ แต่ดูมีชีวิต ด้วยเหตุนี้กระดาษที่ม้วนแล้วจึงติดอยู่ในมือของชายคนนั้น สิ่งนี้ทำให้ "มีชีวิตชีวามากขึ้น"

และที่นี่ก็ตายทั้งครอบครัว บางครั้งผู้หญิงที่ตายแล้วก็คลายผมออกเพื่อไม่ให้มองเห็นขาตั้งกล้องที่ศพอยู่ในท่ายืน

ขาตั้งกล้องสำหรับภาพมรณกรรม

ภาพถ่ายของพ่อแม่ที่ตายกับลูกที่ตายแล้ว

ภาพนี้มีการโต้เถียง มีข้อมูลว่ามีเพียงผู้หญิงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ที่นี่ แต่นี่เป็นข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยัน

เด็กหญิงคนนี้ถูกรถไฟวิ่งทับ ดังนั้นเธอจึงถูกถ่ายภาพราวกับว่าเธอกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะสูง ในความเป็นจริงศพไม่มีครึ่งล่าง

ในภาพผู้ตายยืนอยู่ทางขวามือ

ปัจจุบันมีคอลเลกชันภาพถ่ายมรณกรรมของยุควิกตอเรียจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง Thomas Harris นักสะสมชาวนิวยอร์กอธิบายถึงความหลงใหลของเขาด้วยวิธีนี้ "พวกเขา (รูปถ่าย) ปลอบประโลมและทำให้คุณคิดถึงของขวัญล้ำค่าแห่งชีวิต" ...

ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่ง คอลเลกชันการถ่ายภาพมรณกรรม คือไฟล์เก็บถาวร Burns โดยรวมแล้วมีภาพถ่ายมากกว่าสี่พันภาพ รูปภาพจากที่เก็บถาวรนี้ถูกใช้ในภาพยนตร์เรื่อง "อื่น ๆ "

อีกวิธีหนึ่งในการทำให้ความทรงจำของผู้เสียชีวิตเป็นไปอย่างยาวนานซึ่งใช้ในอดีตจนถึงทุกวันนี้ก็คือ หน้ากากมรณะ หรือ หล่อหน้าตาย หรือมือของผู้ตาย คุณสามารถอ่านบนเว็บไซต์ของเราและค้นหาได้ที่พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมงานศพโลก

อินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยข่าวปลอมและภาพถ่ายปลอมนั่นคือวิถีของโลกเครือข่าย พวกเขาชอบถ่ายภาพนอกบริบทและเขียนเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับพวกเขา สิ่งนี้เห็นได้ชัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของภาพถ่ายการชันสูตรพลิกศพเก่าซึ่งเป็นประเพณีทั่วไปในสมัยวิกตอเรียในการถ่ายภาพคนตายที่น่าจดจำโดยเฉพาะเด็ก ๆ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่ารูปถ่ายเก่า ๆ ทั้งหมดที่มีคนดูแปลก ๆ และไม่มีการเคลื่อนไหวจะเสียชีวิตจริงๆ

บ่อยครั้งที่รูปถ่ายของฝาแฝดที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีเหล่านี้ปรากฏขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างของการเสียชีวิตเนื่องจากเด็กทารกนั่งนิ่งอยู่หน้าสิ่งที่คลุมด้วยผ้าที่ค่อนข้างแปลกและน่ากลัว สิ่งนี้คือแม่ของพวกเขา ในเวลานั้นในการถ่ายภาพเด็กที่กระสับกระส่ายพวกเขาใช้เทคนิคเช่น "แม่ล่องหน" เพื่อให้เด็กอยู่หน้ากล้องเป็นเวลานานแม่จะนั่งอยู่ข้างหลังเขาโดยคลุมด้วยผ้าห่ม

สรุป: มีเด็กอยู่ในรูปนี้

ในภาพเราเห็นฝาแฝดสองคนที่แต่งตัวเหมือนกันคนหนึ่งดูเหมือนจะหลับและอีกคนกอดเขา เป็นที่ชัดเจนว่าผู้ชายในวัยนี้ไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพขณะหลับและอยู่ในท่าทางที่น่าอึดอัด - เฉพาะในกรณีที่เขายังไม่ตายจริงๆ

มันดูไม่เหมือนการเสียชีวิตและนี่คือเหตุผล ประการแรกเสื้อผ้าของพ่อของเด็กไม่ตรงกับงานศพ ประการที่สองมีแก้วพร้อมช้อนเด็กอยู่บนโต๊ะด้านหลังและผ้ากันเปื้อนสำหรับทารก - ไม่น่าเป็นไปได้ที่ทารกที่ตายแล้วจะต้องการมัน และประการที่สามปากกาของเด็กจับผ้าของเสื้อผ้า และสำหรับความจริงที่ว่าพ่อแม่ในภาพนี้ดูไม่ร่าเริงดังนั้นผู้คนในภาพในเวลานั้นโดยทั่วไปจึงยิ้มน้อยครั้งมากจึงไม่ได้รับการยอมรับ

สรุป: เด็กเพิ่งกินและหลับไป

ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้ศีรษะของเขาเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งเล็กน้อยและดูเหมือนว่าจะผูกผ้าพันคอเป็นพิเศษเพื่อให้มันอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ ดวงตาดูว่างเปล่าและไร้ชีวิต แต่แฟลชอาจทำให้เกิดผลเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามตำแหน่งศีรษะและท่าทางทั่วไปบอกว่านี่เป็นภาพรวมของผู้เสียชีวิต

สรุป: รูปถ่ายมรณกรรมจริง

เด็กชายในภาพนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่สัตว์เลี้ยงของเขาไม่น่าจะเป็นไปได้ ในช่วงยุควิกตอเรียสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในครอบครัว และเมื่อสุนัขตายเจ้าของบางคนก็นำภาพมรณกรรมของเธอไปเป็นของที่ระลึก แล้วทำไมสัตว์ถึงแย่กว่าผู้ชาย?

สรุป: นี่คือภาพถ่ายมรณะของสุนัขที่รัก

ผู้หญิงคนนี้ตายหรือยัง? ไม่มีอะไรแบบนี้ ในภาพคือ Alexandra Kitchin (Axie) ซึ่งมักถ่ายโดยคนอื่นนอกจาก Lewis Carroll ผู้เขียน Alice in Wonderland Lewis Carroll (ชื่อจริง - Charles Dodgson) มีเพื่อนผู้หญิงหลายคนซึ่งเขาถ่ายภาพในหลาย ๆ ท่าและแม้กระทั่งเปลือยกาย ฟังดูน่ากลัวสำหรับเรา แต่สำหรับผู้คนในยุควิกตอเรียมันไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวและถูกมองว่าเป็นศิลปะและไม่ใช่การสำส่อนทางเพศ Little Axie เติบโตขึ้นแต่งงานและมีลูกหกคน

สรุป: ไม่มีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งได้รับอันตรายจากภาพนี้

ใครจะเชื่อว่าชาววิกตอเรียหนาวจัดพอที่จะแต่งศพที่เน่าเปื่อยแล้วถ่ายรูปข้างๆ และที่สำคัญที่สุดแม้ว่าจะเป็นภาพถ่ายจริงใครต้องการเป็นของที่ระลึก แน่นอนว่าสิ่งนี้เป็น "ของปลอมที่บ้าคลั่ง"

สรุป: นี่ไม่ใช่ภาพถ่ายมรณกรรม แต่เป็นเรื่องตลกที่โหดร้ายของใครบางคน

ดวงตาที่จมลงใบหน้าซีดเซียวความงามที่สงบและเยือกเย็นดอกลิลลี่สีขาวข้างลำตัวผ้าแพรแข็งและไหล่ประดับด้วยขนเทียม ... หยุดเถอะ ชาววิกตอเรียไม่มีขนเทียม นี่คือผลงานภาพถ่ายสมัยใหม่ชื่อ Bridgette จากเว็บไซต์ Deviant Art และดูน่าสนใจและมืดมน

สรุป: การแสดงความเคารพสมัยใหม่ต่อศิลปะการถ่ายภาพหลังความตาย

เราเห็นสาวสวยสองคน คนหนึ่งจ้องมองเข้าไปในเลนส์และอีกคนกำลังนอนหลับอย่างสงบ เธอตายไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด นี่เป็นหลักฐานจากหนังสือที่วางไว้ใต้หลังของเธอเพื่อให้หญิงสาวอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและแขนของเธอพับไว้ที่หน้าอกของเธออย่างเรียบร้อย และส่วนใหญ่ความเศร้าในสายตาของพี่สาวที่ยังมีชีวิตอยู่ของเธอพูดถึงเรื่องนี้

สรุป: นี่คือภาพถ่ายมรณกรรมจริง

นี่คือภาพถ่ายน่ารักพล็อตที่ชัดเจนโดยไม่มีคำบรรยาย ชาววิกตอเรียชื่นชอบสไตล์โกธิคและเหนือธรรมชาติและพวกเขาก็ชอบเล่นด้วยเช่นกันรวมถึงรูปถ่ายด้วย สิ่งที่เราเห็นนี้เป็นของปลอม แต่เป็นของปลอมในเวลานั้น ทุกอย่างเป็นของจริงที่นี่ยกเว้นศีรษะที่ "ถูกตัดขาด" ของคนอื่น

สรุป: สำหรับชาววิกตอเรียความตายก็เป็นสาเหตุของเรื่องตลกเช่นกัน

พวกเขาพูดเกี่ยวกับภาพนี้ว่าแม่เสียชีวิตแล้ว (ไม่ใช่อย่างนั้นแม่อุ้มลูกเพื่อให้เขานั่งนิ่ง ๆ ) หรือเด็กผู้หญิงในชุดลายสก็อตเพราะตาของเธอดูแปลก ๆ ความแปลกประหลาดสามารถอธิบายได้อย่างง่ายดายจากผลกระทบของแฟลชที่สว่าง - ในสมัยนั้นมันสว่างกว่าวันนี้มากและตาบอดอย่างแท้จริง และสีฟ้าอ่อนเช่นดวงตาในภาพออกมาได้ไม่ดีนัก นอกจากนี้รีทัชมักจะแก้ไขข้อบกพร่องโดยปิดตาหรือปิดแฟลชด้วยเหตุนี้ภาพจึงอาจดูไม่เป็นธรรมชาติ ทำไมหน้าแม่ถึงทาสีทับ? บางทีอาจมีคนไม่ชอบเธอและไม่อยากเห็นเธอในรูปถ่าย ... แต่แน่นอนว่าเป็นการคาดเดา

สรุป: ทุกคนในช่วงเวลาของภาพมีชีวิตและมีสุขภาพดี

ชาววิกตอเรียใช้ดอกไม้เป็นสัญลักษณ์อย่างกว้างขวางไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามและแน่นอนว่าดอกไม้ที่อยู่ถัดจากผู้เสียชีวิตเป็นสัญลักษณ์ เป็นเรื่องที่ปลอดภัยที่จะบอกว่าหญิงสาวเสียชีวิตแล้วเนื่องจากเธอนอนอยู่บนเตียงโดยสวมเสื้อผ้าอย่างเต็มที่และมือที่เอื้ออาทรของใครบางคนทำให้เธอมีท่าทางเหมือนคนนอนหลับอย่างสงบ นี่คือภาพถ่ายที่ดูเคร่งขรึมและน่าสัมผัสของเด็กอันเป็นที่รักที่จากไปเร็วเกินไป

สรุป: นี่คือภาพถ่ายมรณกรรมจริง

ที่นี่เราเห็นเด็กห้าคนสี่คนมีลักษณะคล้ายกันมากและคนที่ห้าตัวเล็กที่สุดดูตลกมาก อย่างไรก็ตามไม่ใช่ความจริงที่ว่านี่คือเด็กผู้หญิงในสมัยนั้นทั้งเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ และเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ แต่งตัวด้วยชุดเดรสและหยิกสำหรับพวกเขา ทำไมพวกเขายืนตรงและจับมือที่ตะเข็บนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้: ผู้ใหญ่บอกให้พวกเขาทำตัวเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้รูปถ่ายเสียหาย ที่รัก (ที่รัก?) กินเกินไปหน่อย ...

สรุป: รูปถ่ายกลุ่มเด็กซึ่งทุกคนยังมีชีวิตอยู่

ชายหนุ่มในภาพดูนิ่งเฉยและเคร่งขรึมและหลายคนเชื่อว่าผู้ชายบนเก้าอี้เป็นคนตายและเพื่อน ๆ ที่เศร้าหมองของเขายืนอยู่ใกล้ ๆ แต่นี่ไม่ใช่กรณี ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้นิ่งและไม่เป็นธรรมชาติเพราะเขาปฏิบัติตามคำสั่งของช่างภาพอย่างชัดเจนที่จะไม่ขยับและมองไปที่จุดใดจุดหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าตรีเอกานุภาพเบื่อหน่ายกับการวางตัวจึงดูไม่มีความสุขและตึงเครียด ไม่ยอมรับการยิ้มในรูปถ่ายวิคตอเรียดังที่เราได้กล่าวไปแล้วข้างต้น

สรุป: นี่ไม่ใช่ภาพถ่ายมรณกรรม

อีกหนึ่งตัวอย่างของการถ่ายภาพกับ "แม่ที่มองไม่เห็น" ผู้เป็นแม่ห่มผ้าห่มรั้งลูกไว้เพื่อให้ถ่ายภาพได้ เด็กที่ตายแล้วไม่จำเป็นต้องได้รับการควบคุมเขาไม่เคลื่อนไหวอยู่แล้ว และเด็กคนนี้กำลังสูญเสียจากสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนและมองเข้าไปในเลนส์ด้วยความไม่ไว้วางใจ

สรุป: นี่เป็นเด็กที่มีชีวิตและทุกอย่างก็ดีกับเขา และแม่อยู่ข้างๆฉันแม้ว่าเธอจะเอาผ้าห่มคลุมตัวด้วยเหตุผลบางอย่าง

ลองนึกย้อนไปถึงยุควิกตอเรียสิ่งแรกที่นึกถึงคืออะไร? บางทีความรักโรแมนติกของพี่สาว Bronte และคนที่ซาบซึ้งของ Charles Dickens หรืออาจจะรัดตัวของผู้หญิงที่แน่นและแม้แต่เจ้าระเบียบ?

แต่ปรากฎว่ายุคแห่งการครองราชย์ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทำให้เราหลงเหลือมรดกอีกชิ้นหนึ่งนั่นคือแฟชั่นสำหรับภาพถ่ายมรณกรรมของผู้เสียชีวิตเมื่อได้เรียนรู้สิ่งนั้นคุณจะถือว่าช่วงเวลานี้มืดมนที่สุดและเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ!

มีหลายเหตุผลและหลายเวอร์ชันที่ทำให้ประเพณีการถ่ายภาพคนตายเกิดขึ้นและพวกเขาทั้งหมดเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด ...

และบางทีมันก็คุ้มค่าที่จะเริ่มต้นด้วย "ลัทธิแห่งความตาย" เป็นที่ทราบกันดีว่าตั้งแต่เจ้าชายอัลเบิร์ตสามีของเธอเสียชีวิตในปี 2404 สมเด็จพระราชินีวิกตอเรียไม่เคยทรงถอดพระไว้ทุกข์ ยิ่งไปกว่านั้นแม้กระทั่งข้อกำหนดบังคับยังปรากฏในชีวิตประจำวัน - หลังจากการตายของคนที่คุณรักผู้หญิงสวมเสื้อผ้าสีดำไปอีกสี่ปีและในสี่ปีถัดไปพวกเขาสามารถแต่งกายด้วยสีขาวสีเทาหรือสีม่วงเท่านั้น ผู้ชายต้องสวมผ้าพันแผลสีดำที่แขนเสื้อเป็นเวลาหนึ่งปี

ยุควิกตอเรียเป็นช่วงที่มีการตายของทารกสูงสุดโดยเฉพาะในเด็กแรกเกิดและเด็กประถม!

ภาพถ่ายมรณกรรมของเด็กคือสิ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของพ่อแม่

และการสร้างของที่ระลึกที่ "ซาบซึ้ง" ดังกล่าวกลายเป็นกระบวนการธรรมดาและไร้วิญญาณ - เด็กที่ตายแล้วถูกแต่งกายดวงตาของพวกเขาทาสีและแก้มของพวกเขาแดงพวกเขาวางบนเข่าของสมาชิกทุกคนในครอบครัววางหรือนั่งบนเก้าอี้พร้อมกับ ของเล่นที่พวกเขาชื่นชอบ

ล่าสุดสาว "รถไฟ" ไม่กะพริบตา ...

ไม่สังเกตเหรอว่ามีใครอุ้มเด็กคนนี้ไว้บนตัก?

และน้องสาวคนหนึ่งก็ไม่ได้พักผ่อนเช่นกัน ...

โดยทั่วไปช่างภาพทำทุกอย่างเพื่อให้สมาชิกในครอบครัวที่เสียชีวิตไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตในภาพถ่าย!

สาเหตุที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการถ่ายภาพมรณกรรมที่น่าขนลุกในยุควิกตอเรียคือการเริ่มต้นของศิลปะการถ่ายภาพและการประดิษฐ์ Daguerreotype ซึ่งทำให้ผู้ที่ไม่สามารถวาดภาพบุคคลได้และ .. . โอกาสที่จะเป็นอมตะในความทรงจำของผู้ตาย.

แค่คิดว่าราคาของรูปภาพหนึ่งรูปในช่วงเวลานี้มีราคาประมาณ $ 7 ซึ่งเท่ากับ 200 ดอลลาร์สำหรับเงินในปัจจุบัน และจะมีใครสามารถแยกออกมากสำหรับการถ่ายภาพหนึ่งครั้งในช่วงชีวิตของพวกเขา? แต่การส่วยผู้เสียชีวิตนั้นศักดิ์สิทธิ์!

มันน่ากลัวที่จะพูดถึงเรื่องนี้ แต่ภาพถ่ายมรณกรรมเป็นแฟชั่นและธุรกิจในเวลาเดียวกัน ช่างภาพได้พัฒนาทักษะของตนในทิศทางนี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เชื่อหรือไม่ว่าพวกเขายังประดิษฐ์ขาตั้งกล้องพิเศษเพื่อจับภาพผู้เสียชีวิตยืนหรือนั่งอยู่ในเฟรม!

และบางครั้งก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพบคนตายในภาพถ่ายมรณกรรม - และนี่คือการไม่มี Photoshop โดยสิ้นเชิง ... ภาพดังกล่าวถูกระบุด้วยสัญลักษณ์พิเศษเท่านั้นเช่นเข็มนาฬิกาที่หยุดลง ณ วันที่เสียชีวิต a ก้านดอกหักหรือกุหลาบคว่ำในมือ

นางเอกของภาพนี้ - แอนน์เดวิดสันวัย 18 ปีในเฟรมตายไปแล้ว เธอเป็นที่รู้กันว่าถูกรถไฟชนเหลือเพียงร่างกายท่อนบนที่ไม่ได้รับอันตราย แต่ช่างภาพก็รับมือกับงานนี้ได้อย่างง่ายดาย - ในภาพพิมพ์หญิงสาวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกำลังเรียงกุหลาบขาว ...

ความสยองขวัญเกิดจากความจริงที่ว่าในภาพถ่ายมรณกรรมถัดจากเด็กที่เสียชีวิตหรือแม้กระทั่งสมาชิกในครอบครัวที่มีอายุมากกว่าคนที่มีชีวิตคนอื่น ๆ ทุกคนมักจะยิ้มและดูร่าเริงมาก!

พ่อแม่เหล่านี้ยังไม่รู้ว่าลูกตายหรือยัง!?

มาเริ่มกันใหม่? อะไรคือสิ่งแรกที่คุณนึกถึงเมื่อคุณนึกถึงยุควิกตอเรีย?