การดำรงอยู่ของชีวิตหลังความตายได้รับการพิสูจน์โดยนักวิทยาศาสตร์ ชีวิตหลังความตาย

นับตั้งแต่รุ่งอรุณของมนุษยชาติ ผู้คนต่างพยายามตอบคำถามเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของชีวิตหลังความตาย คำอธิบายข้อเท็จจริงที่ว่าชีวิตหลังความตายมีอยู่จริงไม่เฉพาะในศาสนาต่างๆ เท่านั้น แต่ยังพบในบันทึกของผู้เห็นเหตุการณ์ด้วย

ชีวิตหลังความตายเป็นที่ถกเถียงกันมานานโดยผู้คนหรือไม่ ผู้คลางแคลงฉาวโฉ่แน่ใจว่าวิญญาณไม่มีอยู่จริงและหลังจากความตายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

มอริตซ์ รอว์ลิงส์

อย่างไรก็ตาม ผู้เชื่อส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่าชีวิตหลังความตายยังคงมีอยู่ Moritz Rawlings แพทย์โรคหัวใจและศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงแห่งมหาวิทยาลัยเทนเนสซี พยายามรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลายๆ คนคงรู้จักเขาจากหนังสือ Beyond the Threshold of Death มีข้อเท็จจริงมากมายที่อธิบายชีวิตของผู้ป่วยที่เสียชีวิตทางคลินิก

เรื่องราวหนึ่งในหนังสือเล่มนี้เล่าถึงเหตุการณ์แปลก ๆ ระหว่างการช่วยชีวิตบุคคลที่อยู่ในภาวะเสียชีวิตทางคลินิก ในระหว่างการนวดซึ่งควรจะทำให้หัวใจทำงาน ผู้ป่วยฟื้นคืนสติชั่วครู่และเริ่มขอร้องให้หมอไม่หยุด

ชายผู้หวาดกลัวกล่าวว่าเขาอยู่ในนรก และทันทีที่เขาหยุดนวด เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่เลวร้ายนี้อีกครั้ง Rawlings เขียนว่าเมื่อผู้ป่วยฟื้นคืนสติได้ในที่สุด เขาเล่าถึงความเจ็บปวดอันน่าเหลือเชื่อที่เขาประสบ ผู้ป่วยแสดงความเต็มใจที่จะอดทนต่อสิ่งใดๆ ในชีวิตนี้ เพียงไม่กลับไปที่นั่น

จากเหตุการณ์นี้ Rawlings ได้เริ่มบันทึกเรื่องราวที่คนไข้เล่าให้เขาฟัง ตามรายงานของ Rawlings ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้รอดชีวิตที่ใกล้ตายรายงานว่าอยู่ในสถานที่ที่มีเสน่ห์ที่พวกเขาไม่ต้องการจากไป ดังนั้นพวกเขาจึงกลับมายังโลกของเราอย่างไม่เต็มใจนัก

อย่างไรก็ตาม อีกครึ่งหนึ่งยืนยันว่าโลกที่ถูกไตร่ตรองให้ลืมเลือนนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดและการทรมาน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปรารถนาที่จะกลับไปที่นั่น

แต่สำหรับผู้คลางแคลงใจที่แท้จริง เรื่องราวดังกล่าวไม่ใช่คำตอบสำหรับคำถาม - มีชีวิตหลังความตายหรือไม่ ส่วนใหญ่เชื่อว่าแต่ละคนสร้างวิสัยทัศน์เกี่ยวกับชีวิตหลังความตายโดยจิตใต้สำนึก และในระหว่างที่เสียชีวิตทางคลินิก สมองจะให้ภาพสิ่งที่เตรียมไว้สำหรับ

ชีวิตหลังความตายเป็นไปได้ไหม - เรื่องเล่าจากสื่อรัสเซีย

ในสื่อรัสเซีย คุณสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่เสียชีวิตทางคลินิก เรื่องราวของ Galina Lagoda มักถูกกล่าวถึงในหนังสือพิมพ์ ผู้หญิงคนนั้นประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์สาหัส เมื่อเธอถูกนำตัวไปที่คลินิก เธอมีอาการทางสมอง ไตแตก ปอด กระดูกหักหลายจุด หัวใจของเธอหยุดเต้น และความดันโลหิตของเธออยู่ที่ศูนย์

ผู้ป่วยอ้างว่าในตอนแรกเธอเห็นเพียงความมืดและอวกาศ หลังจากนั้นฉันก็ลงเอยที่ไซต์ซึ่งเต็มไปด้วยแสงอันน่าทึ่ง ข้างหน้าเธอมีชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีขาวเป็นประกาย อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนั้นไม่สามารถแยกแยะใบหน้าของเขาได้

ผู้ชายถามว่าทำไมผู้หญิงถึงมาที่นี่ ซึ่งเขาตอบว่าเธอเหนื่อยมาก แต่เธอไม่ได้ถูกทิ้งไว้ในโลกนี้และถูกส่งกลับโดยอธิบายว่าเธอยังมีงานอีกมากที่ยังไม่เสร็จ

น่าแปลกที่เมื่อ Galina ตื่นขึ้น เธอรีบถามแพทย์ที่ดูแลเธอทันทีเกี่ยวกับอาการปวดท้องที่รบกวนจิตใจเขาเป็นเวลานาน เมื่อตระหนักว่าเมื่อเธอกลับมาที่ "โลกของเรา" เธอได้กลายเป็นเจ้าของของขวัญอันน่าทึ่ง กาลิน่าจึงตัดสินใจช่วยเหลือผู้คน (เธอสามารถ "รักษาความเจ็บป่วยของมนุษย์และรักษาโรคได้")

ภรรยาของ Yuri Burkov เล่าเรื่องที่น่าอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่ง เธอบอกว่าหลังจากเกิดอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง สามีของเธอได้รับบาดเจ็บที่หลังและได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง หลังจากที่หัวใจของยูริหยุดเต้น เขาอยู่ในอาการโคม่าเป็นเวลานาน

ขณะที่สามีอยู่ในคลินิก ผู้หญิงคนนั้นทำกุญแจหาย เมื่อสามีตื่นขึ้น อันดับแรกเขาถามว่าเธอพบพวกเขาหรือไม่ ภรรยารู้สึกทึ่งมาก แต่ไม่รอคำตอบ ยูริบอกว่าจำเป็นต้องมองหาความสูญเสียใต้บันได

ไม่กี่ปีต่อมา ยูริยอมรับว่าในขณะที่เขาหมดสติ เขาอยู่ใกล้เธอ เขาเห็นทุกย่างก้าวและได้ยินทุกคำพูด ชายคนนั้นยังได้เยี่ยมชมสถานที่ซึ่งเขาได้พบกับญาติและเพื่อนที่เสียชีวิตของเขา

ชีวิตหลังความตายคืออะไร - สวรรค์

ชารอน สโตน นักแสดงสาวชื่อดังพูดถึงการดำรงอยู่จริงของชีวิตหลังความตาย เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 ในรายการ The Oprah Winfrey Show ผู้หญิงคนหนึ่งเล่าเรื่องราวของเธอ สโตนอ้างว่าหลังจากที่เธอทำ MRI แล้ว เธอหมดสติไประยะหนึ่งและเห็นห้องหนึ่งที่มีแสงสีขาวท่วมท้น

ชารอน สโตน, โอปราห์ วินฟรีย์

นักแสดงหญิงอ้างว่าอาการของเธอเหมือนเป็นลม ความรู้สึกนี้แตกต่างแค่ตรงที่มันสัมผัสได้ยากมาก ในขณะนั้นเธอเห็นญาติและเพื่อนที่เสียชีวิตทั้งหมด

บางทีนี่อาจเป็นการยืนยันความจริงที่ว่าวิญญาณพบกันหลังความตายกับคนที่พวกเขารู้จักในช่วงชีวิต นักแสดงมั่นใจว่าที่นั่นเธอได้รับพระคุณ ความรู้สึกปีติ ความรักและความสุข - มันคือสวรรค์อย่างแน่นอน

ในแหล่งต่างๆ (นิตยสาร บทสัมภาษณ์ หนังสือที่เขียนโดยผู้เห็นเหตุการณ์) เราพบเรื่องราวที่น่าสนใจที่ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก ตัว​อย่าง​เช่น อุทยาน​นั้น​มี​อยู่​จริง เบตตี มอลซ์​รับรอง.

ผู้หญิงคนนั้นพูดถึงบริเวณที่น่าตื่นตาตื่นใจ เนินเขาสีเขียวที่สวยงามมาก ต้นไม้และพุ่มไม้พุ่มสีชมพู แม้ว่าดวงอาทิตย์จะมองไม่เห็นบนท้องฟ้า แต่ทุกสิ่งรอบตัวก็เต็มไปด้วยแสงสว่างจ้า

ตามผู้หญิงคนนั้นคือนางฟ้าซึ่งอยู่ในร่างของชายหนุ่มร่างสูงในชุดคลุมยาวสีขาว ได้ยินเสียงดนตรีไพเราะจากทุกทิศทุกทาง และเบื้องหน้าพวกเขาคือวังเงิน ด้านนอกประตูพระราชวังมองเห็นถนนสีทอง

ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกว่าพระเยซูเองก็กำลังยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อเชิญเธอให้เข้าไป อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเบ็ตตี้จะรู้สึกถึงคำอธิษฐานของพ่อและกลับสู่ร่างของเธอ

การเดินทางสู่นรก - ข้อเท็จจริง เรื่องราว คดีจริง

ไม่ใช่ทุกบัญชีของผู้เห็นเหตุการณ์ที่บรรยายชีวิตหลังความตายมีความสุข ตัวอย่างเช่น เจนนิเฟอร์ เปเรซ วัย 15 ปีอ้างว่าได้เห็นนรก

สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาของหญิงสาวคือกำแพงสีขาวราวหิมะที่ยาวและสูง มีประตูอยู่ตรงกลาง แต่มันถูกล็อค ใกล้ๆ กันมีประตูสีดำอีกบานที่แง้มไว้

ทันใดนั้น นางฟ้าก็ปรากฏตัวขึ้นใกล้ๆ จูงมือหญิงสาวไปที่ประตู 2 บานซึ่งน่ากลัวมาก เจนนิเฟอร์บอกว่าเธอพยายามวิ่งหนี ขัดขืน แต่ก็ไม่ได้ผล เมื่ออยู่อีกด้านหนึ่งของกำแพง เธอเห็นความมืด และทันใดนั้นหญิงสาวก็เริ่มล้มลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อเธอลงจอด เธอรู้สึกถึงความร้อนที่ห่อหุ้มเธอจากทุกทิศทุกทาง รอบๆ เป็นวิญญาณของผู้คนที่ถูกทรมานโดยปีศาจ เมื่อเห็นความโชคร้ายเหล่านี้ในความทุกข์ทรมาน เจนนิเฟอร์ยื่นมือของเธอออกไปยังนางฟ้าซึ่งกลายเป็นกาเบรียลและสวดอ้อนวอนขอน้ำขณะที่เธอกำลังจะตายจากความกระหาย หลังจากนั้นกาเบรียลบอกว่าเธอได้รับโอกาสอีกครั้งและหญิงสาวก็ตื่นขึ้นมาในร่างกายของเธอ

รายละเอียดของนรกมีอยู่ในเรื่องราวของ Bill Wyss ชายคนนั้นยังพูดถึงความร้อนที่ห่อหุ้มอยู่ที่นี่ นอกจากนี้บุคคลเริ่มประสบกับความอ่อนแอและความอ่อนแอที่น่ากลัว บิล ตอนแรกไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่แล้วเขาก็เห็นปีศาจสี่ตัวอยู่ใกล้ ๆ

กลิ่นของกำมะถันและเนื้อไหม้ลอยอยู่ในอากาศ สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่เข้ามาใกล้ชายคนนั้นและเริ่มฉีกร่างของเขา ในขณะเดียวกันก็ไม่มีเลือด แต่ทุกครั้งที่สัมผัสเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก บิลรู้สึกว่าพวกปิศาจเกลียดพระเจ้าและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของเขา

ชายคนนั้นบอกว่าเขากระหายน้ำมาก แต่ไม่มีวิญญาณอยู่รอบ ๆ ไม่มีใครสามารถแม้แต่ให้น้ำแก่เขาได้ โชคดีที่ฝันร้ายนี้จบลงในไม่ช้า และชายผู้นั้นก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เขาจะไม่มีวันลืมการเดินทางที่ชั่วร้ายนี้

ชีวิตหลังความตายเป็นไปได้หรือทุกอย่างที่ผู้เห็นเหตุการณ์บอกเป็นเพียงจินตนาการของพวกเขา? น่าเสียดายที่ในขณะนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้คำตอบที่แน่นอนสำหรับคำถามนี้ ดังนั้นเฉพาะช่วงบั้นปลายชีวิตแต่ละคนจะตรวจสอบว่ามีชีวิตหลังความตายหรือไม่

นี่คือบทสัมภาษณ์กับผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในด้านการวิจัยชีวิตหลังความตายและจิตวิญญาณเชิงปฏิบัติ พวกเขาให้หลักฐานชีวิตหลังความตาย

พวกเขาร่วมกันตอบคำถามที่สำคัญและกระตุ้นความคิด:

• ฉันเป็นใคร?
• ทำไมฉันถึงอยู่ที่นี่?
• พระเจ้ามีอยู่จริงหรือ?
• สวรรค์และนรกเป็นอย่างไร?

พวกเขาจะร่วมกันตอบคำถามที่สำคัญและกระตุ้นความคิด และคำถามที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลา "ที่นี่และเดี๋ยวนี้": "ถ้าเราเป็นวิญญาณอมตะจริงๆ แล้วสิ่งนี้จะส่งผลต่อชีวิตและความสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่นอย่างไร"

โบนัสสำหรับผู้อ่านใหม่:

Bernie Siegel แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยา เรื่องราวที่ทำให้เขาเชื่อมั่นถึงการมีอยู่ของโลกวิญญาณและชีวิตหลังความตาย

ตอนฉันอายุสี่ขวบ ฉันเกือบสำลักของเล่นชิ้นหนึ่ง ฉันพยายามเลียนแบบสิ่งที่ช่างไม้ชายที่ฉันสังเกตเห็นกำลังทำอยู่

ฉันเอาของเล่นเข้าปาก หายใจเข้า และ… ออกจากร่างกาย

ขณะนั้นเมื่อข้าพเจ้าออกจากร่างแล้วเห็นว่าข้าพเจ้าหายใจไม่ออกและอยู่ในสภาวะใกล้ตาย ข้าพเจ้าก็คิดว่า “ช่างดีเสียนี่กระไร!”

สำหรับเด็กอายุ 4 ขวบ การได้ออกจากร่างกายนั้นน่าสนใจกว่าการอยู่ในร่างกายมาก

แน่นอน ฉันไม่เสียใจที่ฉันต้องตาย ฉันรู้สึกเสียใจเช่นเดียวกับเด็กหลายคนที่ต้องผ่านประสบการณ์นี้ ที่พ่อแม่ของฉันจะพบว่าฉันตายไปแล้ว

ฉันคิด: " โอเค! ยอมตายดีกว่าอยู่ในร่างนั้น».

อย่างที่คุณพูด บางครั้งเราพบเด็กที่เกิดมาตาบอด เมื่อพวกเขาผ่านประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันและออกจากร่างกาย พวกเขาจะเริ่ม "มองเห็น" ทุกสิ่ง

ในช่วงเวลาดังกล่าว คุณมักจะหยุดและถามตัวเองว่า “ ชีวิตคืออะไร? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?».

เด็กเหล่านี้มักไม่มีความสุขที่ต้องกลับเข้าไปในร่างกายและตาบอดอีกครั้ง

บางครั้งฉันสื่อสารกับพ่อแม่ที่ลูกเสียชีวิต พวกเขาบอกฉัน

เคยมีกรณีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังขับรถของเธอบนทางหลวง ทันใดนั้นลูกชายของเธอก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอและพูดว่า: แม่ช้าลง!».

เธอเชื่อฟังเขา อย่างไรก็ตาม ลูกชายของเธอเสียชีวิตไปห้าปีแล้ว เธอขับรถไปทางเลี้ยวและเห็นรถที่เสียหลักสิบคัน เกิดอุบัติเหตุใหญ่ เนื่องจากลูกชายของเธอเตือนเธอทันเวลา เธอจึงไม่มีอุบัติเหตุ

เคนริง. คนตาบอดและความสามารถในการ "มองเห็น" ของพวกเขาในระหว่างประสบการณ์ใกล้ตายหรือออกจากร่างกาย

เราสัมภาษณ์คนตาบอดประมาณสามสิบคน ซึ่งหลายคนตาบอดแต่กำเนิด เราถามว่าพวกเขามีประสบการณ์ใกล้ตายหรือไม่และยังสามารถ "มองเห็น" ระหว่างประสบการณ์เหล่านั้นได้หรือไม่

เราได้เรียนรู้ว่าคนตาบอดที่เราสัมภาษณ์มีประสบการณ์ใกล้ตายแบบคลาสสิกของคนทั่วไป

ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของคนตาบอดที่ฉันคุยด้วยมีภาพที่เห็นต่างกันระหว่างประสบการณ์ใกล้ตายหรือ .

ในหลายกรณี เราสามารถได้รับการยืนยันโดยอิสระว่าพวกเขา "เห็น" ในสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถรู้ได้และสิ่งที่มีอยู่จริงในสภาพแวดล้อมทางกายภาพของพวกเขา

มันคงเป็นการขาดออกซิเจนในสมองของพวกเขาใช่ไหม? ฮ่าๆๆ

ใช่ มันง่ายมาก! ฉันคิดว่าเป็นเรื่องยากสำหรับนักวิทยาศาสตร์ ในแง่ของประสาทวิทยาศาสตร์ทั่วไป ที่จะอธิบายว่าคนตาบอดซึ่งตามคำจำกัดความมองไม่เห็น ได้รับภาพเหล่านี้และรายงานด้วยความน่าเชื่อถือที่เพียงพอ

บ่อยครั้งคนตาบอดกล่าวว่าเมื่อรู้ครั้งแรกว่า สามารถ "มองเห็น" โลกทางกายภาพรอบตัวได้พวกเขาตกใจ ตกใจ และตกใจกับทุกสิ่งที่พวกเขาเห็น

แต่เมื่อพวกเขาเริ่มมีประสบการณ์เหนือธรรมชาติซึ่งพวกเขาไปสู่โลกแห่งความสว่างและเห็นญาติของพวกเขาหรือสิ่งอื่นที่คล้ายคลึงกันซึ่งเป็นลักษณะของประสบการณ์ดังกล่าว "การเห็น" นี้ดูค่อนข้างเป็นธรรมชาติสำหรับพวกเขา

« มันเป็นวิธีที่ควรจะเป็น", พวกเขาพูดว่า.

ไบรอัน ไวส์. กรณีปฏิบัติที่พิสูจน์ว่าเราเคยอยู่มาก่อนและจะมีชีวิตอีก

แท้จริง น่าเชื่อในเชิงลึกของประวัติศาสตร์ ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นในความหมายทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่า ชีวิตเป็นมากกว่าที่เห็นในแวบแรก

กรณีที่น่าสนใจที่สุดในการปฏิบัติของฉัน ...

ผู้หญิงคนนี้เป็นศัลยแพทย์สมัยใหม่และทำงานร่วมกับ "ท็อป" ของรัฐบาลจีน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอไปอเมริกา เธอไม่รู้จักภาษาอังกฤษแม้แต่คำเดียว

เธอมากับล่ามของเธอในไมอามี่ ซึ่งตอนนั้นฉันทำงานอยู่ ฉันย้อนเธอไปสู่ชาติที่แล้ว

เธอลงเอยที่แคลิฟอร์เนียตอนเหนือ มันเป็นความทรงจำที่สดใสมากที่เกิดขึ้นเมื่อ 120 ปีที่แล้ว

ลูกค้าของฉันกลายเป็นผู้หญิงที่ตำหนิสามีของเธอ จู่ๆเธอก็เริ่มพูดภาษาอังกฤษได้คล่องซึ่งเต็มไปด้วยคำคุณศัพท์และคำคุณศัพท์ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะเธอกำลังโต้เถียงกับสามีของเธอ ...

นักแปลมืออาชีพของเธอหันมาหาฉันและเริ่มแปลคำของเธอเป็นภาษาจีน - เขายังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันบอกเขา: " ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจภาษาอังกฤษ».

เขาตกตะลึง - ปากของเขาเปิดด้วยความประหลาดใจ เขาเพิ่งรู้ว่าเธอพูดภาษาอังกฤษ แม้ว่าก่อนหน้านั้นเธอจะไม่รู้จักคำว่า "สวัสดี" ด้วยซ้ำ นี่คือตัวอย่าง

Xenoglossia- นี่เป็นโอกาสที่จะพูดหรือเข้าใจภาษาต่างประเทศที่คุณไม่คุ้นเคยและไม่เคยเรียนมาก่อน

นี่เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าสนใจที่สุดในชีวิตที่ผ่านมาเมื่อเราได้ยินลูกค้าพูดภาษาโบราณหรือภาษาที่พวกเขาไม่คุ้นเคย

ไม่มีวิธีอื่นใดที่จะอธิบายได้...

ใช่ และฉันมีเรื่องราวดังกล่าวมากมาย มีกรณีหนึ่งในนิวยอร์ก: เด็กชายฝาแฝดอายุ 3 ขวบสองคนสื่อสารกันด้วยภาษาที่แตกต่างจากภาษาที่เด็กประดิษฐ์ขึ้นอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเขาคิดคำสำหรับโทรศัพท์หรือโทรทัศน์

พ่อของพวกเขาซึ่งเป็นหมอ ตัดสินใจพาพวกเขาไปพบนักภาษาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์ก ปรากฏว่าทั้งสองคุยกันเป็นภาษาอราเมอิกโบราณ

เรื่องนี้ได้รับการบันทึกโดยผู้เชี่ยวชาญ เราต้องเข้าใจว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ฉันคิดว่ามัน เราจะอธิบายความรู้เกี่ยวกับภาษาอราเมอิกโดยเด็กอายุสามขวบได้อย่างไร?

ท้ายที่สุด พ่อแม่ของพวกเขาไม่รู้ภาษานี้ และเด็กๆ ไม่ได้ยินภาษาอราเมอิกตอนดึกทางโทรทัศน์หรือจากเพื่อนบ้าน นี่เป็นเพียงไม่กี่กรณีที่น่าเชื่อถือจากการปฏิบัติของฉัน ซึ่งพิสูจน์ว่าเราเคยอยู่มาก่อนและจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

เวย์น ไดเออร์. เหตุใดชีวิตจึง "ไม่มีอุบัติเหตุ" และเหตุใดทุกสิ่งที่เราพบเจอในชีวิตจึงเป็นไปตามแผนของพระเจ้า

แล้วแนวคิดที่ว่า “ไม่มีอุบัติเหตุ” ในชีวิตล่ะ? ในหนังสือและสุนทรพจน์ของคุณ คุณบอกว่าชีวิตไม่มีอุบัติเหตุ และมีแผนจากสวรรค์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกสิ่ง

โดยทั่วไปฉันสามารถเชื่อได้ แต่ในกรณีที่เกิดโศกนาฏกรรมกับเด็กหรือเมื่อเครื่องบินโดยสารตก ... จะเชื่อได้อย่างไรว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ?

“มันดูเหมือนโศกนาฏกรรมถ้าคุณเชื่อว่าความตายเป็นโศกนาฏกรรม คุณต้องเข้าใจว่าทุกคนเข้ามาในโลกนี้เมื่อจำเป็น และจากไปเมื่อหมดเวลา

อย่างไรก็ตาม มีการยืนยันในเรื่องนี้ ไม่มีอะไรที่เราไม่ได้เลือกไว้ล่วงหน้า รวมทั้งช่วงเวลาที่เราปรากฏตัวในโลกนี้และช่วงเวลาที่จากโลกนี้ไป

อัตตาส่วนตัวของเรา เช่นเดียวกับอุดมการณ์ของเรา กำหนดเราว่าเด็ก ๆ ไม่ควรตาย และทุกคนควรมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ 106 ปี และตายอย่างหวานชื่นขณะหลับใหล จักรวาลทำงานในลักษณะที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เราใช้เวลาที่นี่มากเท่าที่วางแผนไว้

... อันดับแรก เราต้องมองทุกอย่างจากด้านนี้ ประการที่สอง เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ชาญฉลาด ลองนึกภาพอะไรบางอย่างสักครู่...

ลองนึกภาพกองขยะขนาดใหญ่ และในกองขยะนี้มีสิ่งที่แตกต่างกันสิบล้าน: ฝาชักโครก, แก้ว, สายไฟ, ท่อต่างๆ, สกรู, สลักเกลียว, ถั่ว - โดยทั่วไปแล้วหลายสิบล้านชิ้นส่วน

และลมก็ปรากฏขึ้น - พายุไซโคลนกำลังแรงที่กวาดทุกสิ่งให้เป็นกองเดียว จากนั้นคุณมองไปที่สถานที่ที่ถังขยะเพิ่งยืนอยู่ และมีโบอิ้ง 747 ใหม่พร้อมที่จะบินจากสหรัฐอเมริกาไปยังลอนดอน โอกาสที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นคืออะไร?

ไม่มีนัยสำคัญ

แค่นั้นแหละ! จิตสำนึกที่ไม่มีนัยสำคัญคือไม่มีความเข้าใจว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ชาญฉลาดนี้

มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ยิ่งใหญ่ เราไม่ได้พูดถึงชิ้นส่วนสิบล้านชิ้น เช่นเดียวกับในโบอิ้ง 747 แต่เกี่ยวกับชิ้นส่วนที่เชื่อมต่อถึงกันหลายล้านส่วน ทั้งบนโลกใบนี้และในกาแลคซีอื่นๆ อีกนับพันล้านแห่ง

สมมุติว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญและไม่มีแรงผลักดันอยู่เบื้องหลัง สิ่งเหล่านี้จะโง่เขลาและจองหองพอๆ กับเชื่อว่าลมสามารถสร้างเครื่องบินโบอิ้ง 747 จากชิ้นส่วนหลายสิบล้านชิ้นได้

เบื้องหลังทุกเหตุการณ์ในชีวิตคือภูมิปัญญาทางจิตวิญญาณสูงสุด ดังนั้นจึงไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้

ไมเคิล นิวตัน ผู้เขียน Journey of the Soul คำปลอบโยนสำหรับพ่อแม่ที่สูญเสียลูก

คุณมีคำปลอบโยนและความมั่นใจอะไรสำหรับพวกเขา ที่สูญเสียคนที่รักโดยเฉพาะเด็กเล็ก?

“ฉันสามารถจินตนาการถึงความเจ็บปวดของผู้ที่สูญเสียลูกไป ฉันมีลูกและฉันโชคดีที่พวกเขาแข็งแรง

คนเหล่านี้รู้สึกเศร้าโศกจนแทบไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาได้สูญเสียคนที่รักไป และจะไม่เข้าใจว่าพระเจ้าจะปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

บางทีมันอาจจะเป็นพื้นฐานมากกว่า...

นีล ดักลาส-โคลทซ์ ความหมายที่แท้จริงของคำว่า "สวรรค์" และ "นรก" รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราและที่ที่เราไปหลังจากความตาย

"พาราไดซ์" ไม่ใช่สถานที่จริงในความหมายของคำแบบอราเมอิก-ยิว

"สวรรค์" คือการรับรู้ของชีวิต เมื่อพระเยซูหรือผู้เผยพระวจนะชาวยิวคนใดใช้คำว่า "สวรรค์" พวกเขาหมายถึง "ความเป็นจริงแบบสั่นสะเทือน" ในความเข้าใจของเรา ราก "ชิม" - ในคำว่า การสั่นสะเทือน [การสั่นสะเทือน] หมายถึง "เสียง", "การสั่นสะเทือน" หรือ "ชื่อ"

Shimaya [shimaya] หรือ Shemaiah [shemai] ในภาษาฮีบรูแปลว่า

ดังนั้น เมื่อพระคัมภีร์เก่าปฐมกาลกล่าวว่าพระเจ้าสร้างความเป็นจริงของเรา หมายความว่าพระองค์ทรงสร้างมันขึ้นมาในสองวิธี: พระองค์ (เธอ/มัน) ทรงสร้างความเป็นจริงที่สั่นสะเทือนซึ่งเราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวและความเป็นจริงของปัจเจก (เป็นชิ้นเป็นอัน) ซึ่ง มีชื่อ ใบหน้า และการนัดหมาย

นี่ไม่ได้หมายความว่า "สวรรค์" อยู่ที่อื่นหรือ "สวรรค์" คือสิ่งที่จะได้รับ "พาราไดซ์" กับ "เอิร์ธ" อยู่ร่วมกันได้ในเวลาเดียวกัน เมื่อมองจากมุมนี้

แนวความคิดของ "สวรรค์" เป็น "รางวัล" หรือบางสิ่งที่อยู่เหนือเราหรือที่ที่เราไปหลังจากความตายนั้นไม่คุ้นเคยกับพระเยซูหรือสาวกของพระองค์

คุณจะไม่พบสิ่งนี้ในศาสนายิว แนวคิดเหล่านี้ปรากฏในการตีความศาสนาคริสต์ของชาวยุโรปในเวลาต่อมา

มีแนวคิดทางอภิปรัชญาที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันว่า "สวรรค์" และ "นรก" เป็นสภาวะของจิตสำนึกของมนุษย์ ระดับของการตระหนักรู้ในตนเองในความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหรือระยะห่างจากพระเจ้า และความเข้าใจในธรรมชาติที่แท้จริงของจิตวิญญาณและความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล มันเป็นความจริงหรือไม่?

นี่ใกล้เคียงกับความจริง สิ่งที่ตรงกันข้ามกับ "สวรรค์" ไม่ใช่ แต่ "โลก" ดังนั้น "สวรรค์" และ "โลก" จึงเป็นตรงข้ามกับความเป็นจริง

ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "นรก" ในความหมายของคำนี้ ไม่มีแนวคิดดังกล่าวในภาษาอราเมอิกหรือฮีบรู

หลักฐานของชีวิตหลังความตายช่วยละลายน้ำแข็งแห่งความไม่ไว้วางใจหรือไม่?

เราหวังว่าตอนนี้คุณมีข้อมูลเพิ่มเติมมากมายที่จะช่วยให้คุณมองใหม่เกี่ยวกับแนวคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิด และอาจถึงขั้นช่วยคุณให้พ้นจากความกลัวที่ทรงพลังที่สุด - ความกลัวความตาย

แปลโดย Svetlana Durandina,

ป.ล. บทความนี้มีประโยชน์กับคุณหรือไม่? เขียนในความคิดเห็น

คุณต้องการที่จะเรียนรู้วิธีการจดจำชีวิตที่ผ่านมาด้วยตัวคุณเอง?

ด้วยความก้าวหน้าของการแพทย์ การฟื้นคืนชีพของคนตายจึงกลายเป็นขั้นตอนมาตรฐานในโรงพยาบาลสมัยใหม่หลายแห่ง ก่อนหน้านี้แทบไม่เคยใช้เลย

ในบทความนี้ เราจะไม่อ้างอิงกรณีจริงจากการฝึกช่วยชีวิตและเรื่องราวของผู้ที่เสียชีวิตด้วยทางคลินิก เนื่องจากมีคำอธิบายดังกล่าวมากมายในหนังสือเช่น:

• "ใกล้แสง"
• ชีวิตหลังความตาย
• "ความทรงจำแห่งความตาย"
• "ชีวิตเมื่อตาย" (
• "เหนือธรณีประตูแห่งความตาย" (

จุดประสงค์ของเนื้อหานี้คือเพื่อจำแนกสิ่งที่ผู้คนเห็นในชีวิตหลังความตายและนำเสนอสิ่งที่พวกเขาบอกในรูปแบบที่เข้าใจได้เพื่อเป็นหลักฐานของการดำรงอยู่ของชีวิตหลังความตาย

จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากคนตาย

“เขากำลังจะตาย” มักจะเป็นสิ่งแรกที่คนได้ยินในขณะที่เสียชีวิตทางคลินิก จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากการตายของบุคคล? ในตอนแรกผู้ป่วยรู้สึกว่าเขากำลังจะออกจากร่างกายและวินาทีต่อมาเขาก็มองตัวเองโฉบอยู่ใต้เพดาน

ในขณะนี้ เป็นครั้งแรกที่บุคคลเห็นตัวเองจากภายนอกและพบกับความตกใจครั้งใหญ่ ในความตื่นตระหนกเขาพยายามดึงดูดความสนใจให้ตัวเองกรีดร้องสัมผัสหมอเคลื่อนย้ายสิ่งของ แต่ตามกฎแล้วความพยายามทั้งหมดของเขานั้นไร้ประโยชน์ ไม่มีใครเห็นหรือได้ยินเขา

หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง บุคคลนั้นตระหนักว่าประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขายังคงทำงาน แม้ว่าร่างกายของเขาจะตายไปแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังสัมผัสได้ถึงความเบาสบายที่อธิบายไม่ได้อย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ความรู้สึกนี้ช่างวิเศษเหลือเกินที่คนใกล้ตายไม่ต้องการกลับคืนสู่ร่างอีกต่อไป

บางส่วนหลังจากข้างต้นกลับไปที่ร่างกายและนี่คือจุดที่การเดินทางไปสู่ชีวิตหลังความตายมีบางคนในทางตรงกันข้ามจัดการเข้าไปในอุโมงค์ที่ปลายแสงที่มองเห็นได้ หลังจากผ่านประตูประเภทหนึ่งไป พวกเขาก็เห็นโลกแห่งความงามอันยิ่งใหญ่

บางคนได้พบกับญาติและเพื่อนฝูงบางคนพบกับสิ่งมีชีวิตที่สดใสซึ่งความรักและความเข้าใจอันยิ่งใหญ่เล็ดลอดออกมา มีคนมั่นใจว่านี่คือพระเยซูคริสต์ มีคนอ้างว่านี่คือเทวดาผู้พิทักษ์ แต่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเขาเต็มไปด้วยความดีและความเห็นอกเห็นใจ

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ชื่นชมความงามและเพลิดเพลินไปกับความสุข ชีวิตหลังความตาย. บางคนบอกว่าพวกเขาตกลงไปในที่มืดมนและเมื่อกลับมาก็เล่าถึงสิ่งมีชีวิตที่น่าขยะแขยงและโหดร้ายที่พวกเขาเห็น

ความเจ็บปวด

ผู้ที่กลับมาจาก "โลกอื่น" มักจะพูดว่าในบางจุดพวกเขาเห็นทั้งชีวิตในมุมมองที่สมบูรณ์ การกระทำแต่ละอย่างของพวกเขาดูเหมือนจะเป็นวลีที่สุ่มออกมาและแม้แต่ความคิดก็แวบเข้ามาต่อหน้าพวกเขาราวกับว่าในความเป็นจริง ในขณะนี้ บุคคลหนึ่งกำลังพิจารณาใหม่ทั้งชีวิตของเขา

ในขณะนั้นไม่มีแนวคิดเช่นสถานะทางสังคมความหน้าซื่อใจคดความภาคภูมิใจ หน้ากากแห่งโลกมนุษย์ทั้งหมดถูกโยนทิ้งและชายผู้นั้นก็ปรากฏตัวต่อหน้าศาลราวกับเปลือยเปล่า เขาไม่สามารถปิดบังอะไรได้เลย กรรมชั่วแต่ละอย่างของเขาได้แสดงไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน และแสดงให้เห็นว่าเขากระทบกระเทือนคนรอบข้างอย่างไร และผู้ที่ถูกทำร้ายและทุกข์ทรมานจากพฤติกรรมดังกล่าว

ในเวลานี้ข้อดีทั้งหมดที่ได้รับในชีวิต - สถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ ประกาศนียบัตร ตำแหน่ง ฯลฯ - สูญเสียความหมายของพวกเขา สิ่งเดียวที่ต้องประเมินคือด้านศีลธรรมของการกระทำ ในขณะนี้บุคคลตระหนักว่าไม่มีอะไรถูกลบและไม่ผ่านไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ทุกสิ่ง แม้กระทั่งทุกความคิด มีผลที่ตามมา

สำหรับคนชั่วและโหดร้าย นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการทรมานภายในที่ยากจะทนได้อย่างแท้จริง ซึ่งสิ่งที่เรียกว่าซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนี จิตสำนึกของความชั่วที่ทำขึ้น จิตวิญญาณที่พิการของตนเองและของผู้อื่น กลายเป็นเหมือน "ไฟที่ไม่รู้จักดับ" สำหรับคนเช่นนั้นซึ่งไม่มีทางรอด เป็นการพิพากษาประเภทนี้เกี่ยวกับการกระทำที่ศาสนาคริสต์เรียกว่าการทดสอบ

อาฟเตอร์เวิลด์

เมื่อข้ามเส้นไปแล้วคน ๆ หนึ่งแม้ว่าความรู้สึกทั้งหมดจะยังคงเหมือนเดิม แต่ก็เริ่มรู้สึกถึงทุกสิ่งรอบตัวเขาในรูปแบบใหม่อย่างสมบูรณ์ ความรู้สึกของเขาดูเหมือนจะเริ่มทำงานร้อยเปอร์เซ็นต์ ขอบเขตของความรู้สึกและประสบการณ์นั้นยอดเยี่ยมมากจนผู้กลับมาไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดทั้งหมดที่พวกเขามีโอกาสรู้สึกได้

ในแง่ของการรับรู้ทางโลกและคุ้นเคยกับเรามากขึ้นนี่คือเวลาและระยะทางซึ่งตามผู้ที่เคยไปในชีวิตหลังความตายที่นั่นในวิธีที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ผู้ที่เคยประสบกับความตายทางคลินิกมักจะพบว่าเป็นการยากที่จะตอบว่าสถานะการชันสูตรพลิกศพของพวกเขาจะอยู่ได้นานแค่ไหน ไม่กี่นาทีหรือหลายพันปีก็ไม่มีผลอะไรกับพวกเขา

สำหรับระยะทางนั้นไม่มีอยู่เลย บุคคลสามารถเคลื่อนย้ายไปยังจุดใดก็ได้ ไกลแค่ไหนก็ได้ เพียงแค่คิดถึงมัน นั่นคือด้วยพลังแห่งความคิด!

ประเด็นที่น่าประหลาดใจก็คือ ไม่ใช่ทุกสถานที่ที่ฟื้นคืนชีพอธิบายสถานที่ที่คล้ายกับสวรรค์และนรก คำอธิบายของสถานที่ของแต่ละบุคคลทำให้จินตนาการเสียไป พวกเขาแน่ใจว่าพวกเขาอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่นหรือในมิติอื่น และดูเหมือนว่ามันจะเป็นจริง

ตัดสินตัวเองด้วยรูปแบบคำเช่นทุ่งหญ้าที่เป็นเนินเขา สีเขียวสดใสของสีที่ไม่มีอยู่บนโลก ทุ่งที่อาบแสงสีทองสวยงาม; เมืองที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ สัตว์ที่คุณไม่สามารถหาได้จากที่อื่น - ทั้งหมดนี้ใช้ไม่ได้กับคำอธิบายของนรกและสวรรค์ ผู้ที่ไปที่นั่นไม่พบคำพูดที่เหมาะสมในการถ่ายทอดความประทับใจอย่างชาญฉลาด

วิญญาณมีลักษณะอย่างไร

คนตายปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่นในรูปแบบใด และพวกเขามองในตาตนเองอย่างไร? คำถามนี้เป็นที่สนใจของหลาย ๆ คน และโชคดีที่คนที่เคยไปต่างประเทศได้ให้คำตอบกับเรา

บรรดาผู้ที่ทราบถึงประสบการณ์นอกร่างกายรายงานว่าเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะจดจำตัวเองในตอนแรก ประการแรก รอยประทับแห่งวัยจะหายไป เด็ก ๆ มองว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่ และคนชราจะมองตนเองว่ายังเด็ก

ร่างกายยังเปลี่ยนแปลง หากบุคคลใดได้รับบาดเจ็บหรือได้รับบาดเจ็บในช่วงชีวิตของเขา บุคคลนั้นจะหายไปหลังจากความตาย แขนขาที่ถูกตัดออกจะปรากฏขึ้น การได้ยินและการมองเห็นกลับคืนมา หากก่อนหน้านี้ไม่อยู่ในร่างกาย

การประชุมหลังความตาย

ผู้ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของ "ม่าน" มักบอกว่าพวกเขาได้พบกับญาติ เพื่อน และคนรู้จักที่เสียชีวิตที่นั่น คนส่วนใหญ่มักเห็นคนใกล้ชิดหรือมีความเกี่ยวข้องกันในช่วงชีวิต

นิมิตดังกล่าวไม่ถือเป็นกฎ แต่เป็นข้อยกเว้น ซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก โดยปกติการประชุมดังกล่าวทำหน้าที่เป็นการสั่งสอนสำหรับผู้ที่ยังเร็วเกินไปที่จะตาย และผู้ที่ต้องกลับมายังโลกและเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา

บางครั้งผู้คนเห็นสิ่งที่พวกเขาคาดหวังที่จะเห็น คริสเตียนเห็นเทวดา พระแม่มารี พระเยซูคริสต์ นักบุญ คนที่ไม่ใช่ศาสนาเห็นวัดบางประเภท ร่างของคนผิวขาวหรือชายหนุ่ม และบางครั้งพวกเขาไม่เห็นอะไรเลย แต่รู้สึกว่า "มีอยู่"

ศีลมหาสนิท

ผู้ที่ได้รับการช่วยชีวิตหลายคนอ้างว่ามีบางสิ่งหรือบางคนสื่อสารกับพวกเขาที่นั่น เมื่อถูกขอให้บอกว่าการสนทนาเกี่ยวกับอะไร พวกเขาพบว่าเป็นการยากที่จะตอบ สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากภาษาที่พวกเขาไม่รู้หรือพูดไม่ชัด

เป็นเวลานานที่แพทย์ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมผู้คนถึงจำหรือไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่ได้ยินและคิดว่ามันเป็นเพียงภาพหลอน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้กลับมาบางคนยังคงสามารถอธิบายกลไกของการสื่อสารได้

ปรากฎว่ามีคนสื่อสารทางใจ! ดังนั้นหากในโลกนั้น "ได้ยิน" ความคิดทั้งหมด เราต้องเรียนรู้ที่นี่เพื่อควบคุมความคิดของเรา เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องละอายกับสิ่งที่เราคิดโดยไม่สมัครใจ

ข้ามเส้น

แทบทุกคนที่มีประสบการณ์ ชีวิตหลังความตายและจำเธอได้ พูดถึงบาเรียที่แยกโลกของคนเป็นและคนตาย เมื่อข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งแล้ว บุคคลจะไม่สามารถฟื้นคืนชีวิตได้อีก และทุกดวงวิญญาณก็รู้เรื่องนี้ แม้ว่าจะไม่มีใครบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ตาม

ขีดจำกัดนี้จะแตกต่างกันไปสำหรับทุกคน บางคนเห็นรั้วหรือรั้วที่ริมทุ่ง บางคนเห็นทะเลสาบหรือชายฝั่งทะเล และบางคนเห็นเป็นประตู ลำธาร หรือก้อนเมฆ ความแตกต่างในคำอธิบายดังต่อไปนี้ อีกครั้ง จากการรับรู้ส่วนตัวของแต่ละคน

หลังจากอ่านทั้งหมดข้างต้นแล้ว มีเพียงคนขี้ระแวงและนักวัตถุนิยมเท่านั้นที่สามารถพูดได้ว่า ชีวิตหลังความตายนี่คือนิยาย แพทย์และนักวิทยาศาสตร์หลายคนปฏิเสธเป็นเวลานานไม่เพียง แต่การมีอยู่ของนรกและสวรรค์เท่านั้น แต่ยังปฏิเสธความเป็นไปได้ของการมีชีวิตหลังความตายโดยสิ้นเชิง

คำให้การของพยานผู้เห็นเหตุการณ์ที่ประสบภาวะนี้ด้วยตัวเขาเองได้นำไปสู่จุดจบของทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่ปฏิเสธชีวิตหลังความตาย แน่นอนว่าวันนี้มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งที่ยังคงถือว่าคำให้การทั้งหมดของการฟื้นคืนชีพเป็นภาพหลอน แต่ไม่มีหลักฐานใดที่จะช่วยเหลือบุคคลดังกล่าวได้จนกว่าตัวเขาเองจะเริ่มต้นการเดินทางสู่นิรันดร

อีกโลกหนึ่งเป็นหัวข้อที่น่าสนใจมากที่ทุกคนคิดอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต จะเกิดอะไรขึ้นกับบุคคลและจิตวิญญาณของเขาหลังความตาย? เขาสามารถสังเกตผู้คนที่มีชีวิตได้หรือไม่? คำถามเหล่านี้และคำถามมากมายไม่สามารถกระตุ้นได้ สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือมีหลายทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนหลังความตาย มาลองทำความเข้าใจและตอบคำถามที่หลายคนกังวลกัน

"ร่างกายของคุณจะตาย แต่จิตวิญญาณของคุณจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป"

อธิการธีโอพรรณผู้สันโดษกล่าวคำเหล่านี้ในจดหมายถึงน้องสาวที่กำลังจะตาย เขาเช่นเดียวกับนักบวชออร์โธดอกซ์คนอื่น ๆ เชื่อว่ามีเพียงร่างกายเท่านั้นที่ตาย แต่วิญญาณจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป อะไรคือสาเหตุของสิ่งนี้และศาสนาอธิบายได้อย่างไร?

ออร์โธดอกซ์ที่สอนเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายนั้นใหญ่และกว้างใหญ่เกินไป ดังนั้นเราจะพิจารณาเพียงบางแง่มุมเท่านั้น ประการแรก เพื่อที่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนและจิตวิญญาณของเขาหลังความตาย จำเป็นต้องค้นหาว่าจุดประสงค์ของทุกชีวิตบนโลกนี้คืออะไร ในจดหมายถึงชาวฮีบรูของอัครสาวกศักดิ์สิทธิ์เปาโล มีการกล่าวไว้ว่าทุกคนต้องตายในบางครั้ง และหลังจากนั้นจะมีการพิพากษา นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำเมื่อเขายอมจำนนต่อศัตรูด้วยความสมัครใจ ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงล้างบาปของคนบาปจำนวนมากและแสดงให้เห็นว่าสักวันหนึ่งคนชอบธรรมจะฟื้นคืนชีวิตเช่นเดียวกับพระองค์ ออร์โธดอกซ์เชื่อว่าถ้าชีวิตไม่นิรันดร์ มันก็ไม่มีความหมาย แล้วคนจะมีชีวิตอยู่จริง ๆ โดยไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาจะตายไม่ช้าก็เร็วไม่มีประโยชน์ที่จะทำความดี นั่นคือเหตุผลที่วิญญาณของมนุษย์เป็นอมตะ พระเยซูคริสต์ทรงเปิดประตูแห่งอาณาจักรสวรรค์สำหรับชาวออร์โธดอกซ์และผู้เชื่อ และการสิ้นพระชนม์เป็นเพียงความสมบูรณ์ของการเตรียมตัวสำหรับชีวิตใหม่

วิญญาณคืออะไร

วิญญาณของมนุษย์ยังคงมีชีวิตอยู่หลังความตาย เป็นจุดเริ่มต้นฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ การกล่าวถึงสิ่งนี้สามารถพบได้ในปฐมกาล (บทที่ 2) และดูเหมือนว่า: “พระเจ้าสร้างมนุษย์จากผงคลีดินและพัดลมแห่งชีวิตเข้าสู่ใบหน้าของเขา ตอนนี้มนุษย์ได้กลายเป็นวิญญาณที่มีชีวิต” พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ "บอกเรา" ว่ามนุษย์เป็นสองส่วน หากร่างกายสามารถตายได้ จิตวิญญาณก็จะคงอยู่ตลอดไป เธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถในการคิด จดจำ รู้สึก กล่าวอีกนัยหนึ่ง วิญญาณมนุษย์ยังคงมีชีวิตอยู่หลังความตาย เธอเข้าใจ รู้สึก และที่สำคัญที่สุดคือจำทุกอย่างได้

วิสัยทัศน์ทางจิตวิญญาณ

เพื่อให้แน่ใจว่าวิญญาณสามารถรู้สึกและเข้าใจได้จริงๆ จำเป็นต้องระลึกถึงกรณีที่ร่างกายมนุษย์เสียชีวิตไปชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น แต่วิญญาณเห็นและเข้าใจทุกอย่าง เรื่องราวที่คล้ายกันนี้สามารถอ่านได้จากแหล่งต่างๆ เช่น K. Ikskul ในหนังสือของเขา "Incredible for many but a true events" อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังความตายกับคนและจิตวิญญาณของเขา ทุกสิ่งที่เขียนในหนังสือเล่มนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนที่ล้มป่วยด้วยอาการป่วยหนักและมีประสบการณ์การตายทางคลินิก เกือบทุกอย่างที่สามารถอ่านได้ในหัวข้อนี้ในแหล่งต่าง ๆ มีความคล้ายคลึงกันมาก

ผู้ที่เคยประสบกับความตายทางคลินิกมีลักษณะเป็นหมอกสีขาวปกคลุม ด้านล่างคุณจะเห็นร่างของชายคนนั้นเอง ข้างๆ เขาคือญาติและแพทย์ของเขา ที่น่าสนใจคือวิญญาณที่แยกออกจากร่างกายสามารถเคลื่อนที่ในอวกาศและเข้าใจทุกอย่างได้ บางคนโต้แย้งว่าหลังจากที่ร่างกายหยุดแสดงสัญญาณแห่งชีวิต วิญญาณจะผ่านอุโมงค์ยาวๆ ที่จุดสิ้นสุดของแสงสีขาวสว่างจ้า ตามกฎแล้วบางครั้งวิญญาณจะกลับสู่ร่างกายอีกครั้งและหัวใจก็เริ่มเต้น เกิดอะไรขึ้นถ้าคนตาย? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา? วิญญาณมนุษย์ทำอะไรหลังจากความตาย?

พบปะเพื่อนฝูง

หลังจากที่วิญญาณแยกจากร่างแล้ว ก็มองเห็นวิญญาณได้ ทั้งดีและชั่ว เป็นที่น่าสนใจว่าตามกฎแล้วเธอดึงดูดใจในแบบของเธอและหากในช่วงชีวิตของเธอกองกำลังใดมีอิทธิพลต่อเธอหลังจากความตายเธอจะถูกยึดติดกับเธอ ช่วงเวลาที่วิญญาณเลือก "บริษัท" นี้เรียกว่าไพรเวทคอร์ท เมื่อถึงเวลานั้นก็ชัดเจนว่าชีวิตของคนนี้ไร้ประโยชน์หรือไม่ หากเขาปฏิบัติตามพระบัญญัติทั้งหมด ใจดีและใจกว้าง วิญญาณคนเดียวกันก็จะอยู่ข้างๆ เขาอย่างแน่นอน - ใจดีและบริสุทธิ์ สถานการณ์ที่ตรงกันข้ามนั้นมีลักษณะเฉพาะโดยสังคมแห่งวิญญาณที่ตกสู่บาป พวกเขากำลังรอคอยการทรมานและความทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์ในนรก

สองสามวันแรก

เป็นที่น่าสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นหลังความตายกับจิตวิญญาณของบุคคลในสองสามวันแรก เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งอิสรภาพและความเพลิดเพลินสำหรับเธอ ในช่วงสามวันแรกที่วิญญาณสามารถเคลื่อนที่ไปทั่วโลกได้อย่างอิสระ ตามกฎแล้วตอนนี้เธออยู่ใกล้คนพื้นเมืองของเธอ เธอยังพยายามคุยกับพวกเขา แต่กลับกลายเป็นว่ายากเพราะคนไม่สามารถมองเห็นและได้ยินวิญญาณ ในบางกรณีที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับคนตายแข็งแกร่งมาก พวกเขารู้สึกว่ามีเนื้อคู่อยู่ใกล้ ๆ แต่ไม่สามารถอธิบายได้ ด้วยเหตุนี้ การฝังศพของคริสเตียนจึงเกิดขึ้น 3 วันหลังความตาย นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลานี้ที่วิญญาณต้องการเพื่อให้รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอ เธออาจไม่มีเวลาบอกลาใครหรือพูดอะไรกับใครเลย บ่อยครั้งที่บุคคลไม่พร้อมสำหรับความตายและเขาต้องการสามวันนี้เพื่อทำความเข้าใจสาระสำคัญของสิ่งที่เกิดขึ้นและกล่าวคำอำลา

อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นสำหรับทุกกฎ ตัวอย่างเช่น คุณอิกสกุลเริ่มเดินทางไปต่างโลกในวันแรก เพราะพระเจ้าบอกเขาอย่างนั้น นักบุญและมรณสักขีส่วนใหญ่พร้อมที่จะตาย และเพื่อที่จะไปยังอีกโลกหนึ่ง พวกเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เพราะนี่คือเป้าหมายหลักของพวกเขา แต่ละกรณีมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และข้อมูลมาจากผู้ที่มีประสบการณ์ "การชันสูตรพลิกศพ" ด้วยตนเองเท่านั้น หากเราไม่ได้พูดถึงความตายทางคลินิกแล้วทุกอย่างก็อาจแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง การพิสูจน์ว่าในสามวันแรกวิญญาณของบุคคลนั้นอยู่บนโลกก็เป็นความจริงที่ว่าในช่วงเวลานี้ญาติและเพื่อนของผู้ตายรู้สึกว่าพวกเขาอยู่ใกล้ ๆ

ขั้นตอนต่อไป

ขั้นตอนต่อไปของการเปลี่ยนผ่านสู่ชีวิตหลังความตายนั้นยากและอันตรายมาก ในวันที่สามหรือสี่ การทดสอบรอวิญญาณ - การทดสอบ มีประมาณยี่สิบตัว และทั้งหมดต้องเอาชนะเพื่อให้วิญญาณสามารถเดินทางต่อไปได้ การทดสอบเป็นกลุ่มวิญญาณชั่วร้ายทั้งหมด พวกเขาขวางทางและกล่าวหาว่าเธอทำบาป พระคัมภีร์ยังพูดถึงการทดลองเหล่านี้ด้วย มารดาของพระเยซู ผู้บริสุทธิ์ที่สุดและสาธุคุณมารีย์ เมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ที่ใกล้จะมาถึงจากหัวหน้าทูตสวรรค์กาเบรียล ขอให้ลูกชายของเธอช่วยเธอจากปีศาจและการทดสอบ เพื่อตอบสนองต่อคำขอของเธอ พระเยซูตรัสว่าหลังจากสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์จะทรงจูงมือเธอขึ้นสวรรค์ และมันก็เกิดขึ้น การกระทำนี้สามารถเห็นได้ที่ไอคอน "อัสสัมชัญของพระแม่มารี" ในวันที่สาม เป็นธรรมเนียมที่จะต้องสวดอ้อนวอนอย่างแรงกล้าเพื่อวิญญาณของผู้ตาย เพื่อที่คุณจะได้ช่วยให้เธอผ่านการทดสอบทั้งหมดได้

จะเกิดอะไรขึ้นหลังความตายหนึ่งเดือน

หลังจากที่ดวงวิญญาณได้ผ่านการทดสอบ วิญญาณก็นมัสการพระเจ้าและออกเดินทางอีกครั้ง คราวนี้ ขุมนรกและสรวงสวรรค์รอเธออยู่ เธอเฝ้าดูว่าคนบาปทนทุกข์อย่างไรและคนชอบธรรมชื่นชมยินดีอย่างไร แต่เธอยังไม่มีที่ของตัวเอง ในวันที่สี่สิบดวงวิญญาณได้รับมอบหมายให้เป็นสถานที่รอศาลฎีกาเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่าจนถึงวันที่เก้าเท่านั้นที่ดวงวิญญาณเห็นสรวงสวรรค์และสังเกตวิญญาณที่ชอบธรรมซึ่งมีชีวิตอยู่ในความสุขและความปิติยินดี เวลาที่เหลือ (ประมาณหนึ่งเดือน) เธอต้องดูความทุกข์ทรมานของคนบาปในนรก ในเวลานี้วิญญาณร้องไห้คร่ำครวญและรอคอยชะตากรรมของมันอย่างอ่อนโยน ในวันที่สี่สิบ วิญญาณได้รับมอบหมายให้เป็นสถานที่รอการฟื้นคืนชีพของคนตายทั้งหมด

ใครไปที่ไหน ที่ไหน

แน่นอนว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่อยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งและรู้ว่าวิญญาณจะไปที่ไหนหลังจากการตายของบุคคล คนบาปไปลงนรกและใช้เวลาที่นั่นเพื่อรอการทรมานที่ใหญ่หลวงยิ่งกว่าที่จะเกิดขึ้นหลังจากศาลฎีกา บางครั้งวิญญาณดังกล่าวสามารถมาหาเพื่อนและญาติในความฝันเพื่อขอความช่วยเหลือ คุณสามารถช่วยในสถานการณ์เช่นนี้ได้โดยการสวดอ้อนวอนให้คนบาปและทูลขอให้องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อภัยบาปของเธอ มีหลายกรณีที่การอธิษฐานอย่างจริงใจต่อผู้เสียชีวิตช่วยให้เขาก้าวไปสู่โลกที่ดีขึ้นจริงๆ ตัวอย่างเช่นในศตวรรษที่ 3 ผู้พลีชีพ Perpetua เห็นว่าชะตากรรมของพี่ชายของเธอเป็นเหมือนอ่างเก็บน้ำที่เต็มไปซึ่งสูงเกินไปสำหรับเขาที่จะไปถึง เธอสวดอ้อนวอนเพื่อจิตวิญญาณของเขาทั้งกลางวันและกลางคืน และในเวลาที่เธอเห็นวิธีที่เขาแตะสระน้ำและถูกส่งไปยังที่สว่างและสะอาด จากที่กล่าวข้างต้นเป็นที่ชัดเจนว่าน้องชายได้รับการอภัยโทษและส่งมาจากนรกสู่สวรรค์ บรรดาผู้ชอบธรรม เนื่องด้วยความจริงที่ว่าพวกเขาดำเนินชีวิตอย่างไม่เปล่าประโยชน์ ไปสวรรค์และตั้งตารอวันแห่งการพิพากษา

คำสอนของพีทาโกรัส

ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ มีทฤษฎีและตำนานมากมายเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย เป็นเวลาหลายศตวรรษ ที่นักวิทยาศาสตร์และคณะสงฆ์ได้ศึกษาคำถามนี้: จะค้นหาได้อย่างไรว่าบุคคลนั้นตายไปแล้วที่ไหน หาคำตอบ โต้เถียง ค้นหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน หนึ่งในทฤษฎีเหล่านี้คือคำสอนของพีทาโกรัสเกี่ยวกับการอพยพของวิญญาณที่เรียกว่าการกลับชาติมาเกิด นักวิชาการเช่นเพลโตและโสกราตีสมีความคิดเห็นแบบเดียวกัน ข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดสามารถพบได้ในกระแสลึกลับเช่นคับบาลาห์ แก่นแท้ของมันอยู่ที่ความจริงที่ว่าจิตวิญญาณมีเป้าหมายบางอย่าง หรือบทเรียนที่ต้องผ่านพ้นและเรียนรู้ หากในชีวิตบุคคลที่วิญญาณนี้อาศัยอยู่ไม่สามารถรับมือกับงานนี้ได้ก็จะเกิดใหม่

เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายหลังความตาย? มันตายและเป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นคืนชีพ แต่วิญญาณกำลังมองหาชีวิตใหม่ ในทฤษฎีนี้ เป็นที่น่าสนใจเช่นกันที่ตามกฎแล้วทุกคนที่อยู่ในความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ได้เชื่อมโยงกันโดยบังเอิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิญญาณคนเดียวกันกำลังมองหากันและกันและค้นหากันอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น ในชีวิตที่ผ่านมา แม่ของคุณอาจเป็นลูกสาวหรือแม้แต่คู่สมรสของคุณ เนื่องจากวิญญาณไม่มีเพศ อาจเป็นเพศหญิงหรือชายก็ได้ ขึ้นอยู่กับร่างกายที่เข้าสู่ร่างกาย

มีความเห็นว่าเพื่อนและเนื้อคู่ของเราเป็นวิญญาณเครือญาติที่เชื่อมโยงกับเราในทางกรรม มีอีกหนึ่งความแตกต่างกันนิดหน่อย: ตัวอย่างเช่น ลูกชายและพ่อทะเลาะกันตลอดเวลา ไม่มีใครยอมจำนน จนกระทั่งวันสุดท้ายที่ญาติสองคนทะเลาะกันอย่างแท้จริง เป็นไปได้มากว่าในชีวิตหน้าชะตากรรมจะนำวิญญาณเหล่านี้มารวมกันอีกครั้งในฐานะพี่ชายและน้องสาวหรือเป็นสามีและภรรยา สิ่งนี้จะดำเนินต่อไปจนกว่าทั้งคู่จะพบการประนีประนอม

จตุรัสพีทาโกรัส

ผู้สนับสนุนทฤษฎีพีทาโกรัสมักไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายหลังความตาย แต่ในชาติที่จิตวิญญาณของพวกเขามีชีวิตอยู่และพวกเขาเป็นใครในชีวิตที่ผ่านมา เพื่อหาข้อเท็จจริงเหล่านี้ จตุรัสพีทาโกรัสจึงถูกวาดขึ้น ลองทำความเข้าใจกับตัวอย่าง สมมุติว่าคุณเกิดวันที่ 03 ธันวาคม 1991 จำเป็นต้องจดตัวเลขที่ได้รับในบรรทัดและดำเนินการกับพวกเขา

1. จำเป็นต้องเพิ่มตัวเลขทั้งหมดและรับตัวเลขหลัก: 3 + 1 + 2 + 1 + 9 + 9 + 1 = 26 - นี่จะเป็นตัวเลขแรก
2. ถัดไป คุณต้องเพิ่มผลลัพธ์ก่อนหน้า: 2 + 6 = 8 นี่จะเป็นตัวเลขที่สอง
3. เพื่อให้ได้ตัวเลขที่สามจำเป็นต้องลบตัวเลขหลักแรกของวันเกิดเป็นสองเท่าจากตัวแรก (ในกรณีของเรา 03 เราไม่เอาศูนย์เราลบสามคูณด้วย 2): 26 - 3 x 2 \u003d 20.
4. ได้หมายเลขสุดท้ายโดยการเพิ่มหลักของตัวเลขการทำงานที่สาม: 2 + 0 = 2

ตอนนี้เขียนวันเดือนปีเกิดและผลลัพธ์ที่ได้รับ:

เพื่อค้นหาว่าวิญญาณอาศัยอยู่ในชาติใด จำเป็นต้องนับตัวเลขทั้งหมดยกเว้นศูนย์ ในกรณีของเรา วิญญาณมนุษย์ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2534 มีชีวิตอยู่ในชาติที่ 12 การเขียนจตุรัสพีทาโกรัสจากตัวเลขเหล่านี้จะทำให้คุณรู้ว่ามันมีลักษณะอย่างไร

ข้อเท็จจริงบางอย่าง

หลายคนมีความสนใจในคำถามนี้: มีชีวิตหลังความตายหรือไม่? ทุกศาสนาในโลกพยายามที่จะให้คำตอบ แต่ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน คุณสามารถหาข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับหัวข้อนี้ได้ในบางแหล่ง แน่นอน ไม่อาจกล่าวได้ว่าข้อความที่จะให้ด้านล่างนี้เป็นความเชื่อ นี่เป็นเพียงแนวคิดที่น่าสนใจบางส่วนในหัวข้อนี้

ความตายคืออะไร

เป็นการยากที่จะตอบคำถามว่ามีชีวิตหลังความตายโดยไม่ได้ค้นหาสัญญาณหลักของกระบวนการนี้หรือไม่ ในทางการแพทย์ แนวคิดนี้เข้าใจว่าเป็นการหยุดหายใจและการเต้นของหัวใจ แต่เราไม่ควรลืมว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณของการตายของร่างกายมนุษย์ ในทางกลับกัน มีหลักฐานว่าร่างมัมมี่ของพระภิกษุสงฆ์ยังคงแสดงสัญญาณแห่งชีวิตทั้งหมด: เนื้อเยื่ออ่อนถูกกดทับ ข้อต่องอ และกลิ่นหอมมาจากร่างกาย ในร่างกายที่เป็นมัมมี่บางตัว เล็บและผมยาวขึ้นด้วยซ้ำ ซึ่งอาจยืนยันได้ว่ากระบวนการทางชีววิทยาบางอย่างเกิดขึ้นในร่างกายของผู้ตาย

และจะเกิดอะไรขึ้นหนึ่งปีหลังจากการตายของบุคคลธรรมดา? แน่นอน ร่างกายสลายตัว

ในที่สุด

จากทั้งหมดที่กล่าวมา เราสามารถพูดได้ว่าร่างกายเป็นเพียงเปลือกนอกของบุคคล นอกจากนั้น ยังมีวิญญาณ - สสารนิรันดร์ เกือบทุกศาสนาในโลกเห็นพ้องกันว่าหลังจากร่างกายตายไปแล้ววิญญาณของบุคคลยังมีชีวิตอยู่มีคนเชื่อว่าเกิดใหม่ในบุคคลอื่นและคนที่อยู่ในสวรรค์ แต่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งยังคงมีอยู่ . ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ทั้งหมดเป็นทรงกลมทางวิญญาณของบุคคลที่มีชีวิตอยู่ แม้จะเสียชีวิตทางร่างกายก็ตาม ดังนั้นจึงถือได้ว่าชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง แต่ไม่เกี่ยวโยงกับร่างกายอีกต่อไป

จำได้ไหมว่าในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ผู้คนสงสัยว่ามีชีวิตบนดาวอังคารหรือไม่? หลายคนอยากจะเชื่อว่าดาวอังคารอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์สีแดง สิ่งนี้ได้รับการยืนยันทางอ้อมจากภาพถ่ายดาวเทียมซึ่งมีเส้นคู่ขนานอย่างชัดเจน หัวร้อนที่สุดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นระบบชลประทาน แต่แล้วปรากฎว่าดาวเคราะห์ดวงที่ 4 ของระบบสุริยะนั้นไม่มีชีวิต ไม่มีใครอาศัยอยู่กับมันและยิ่งกว่านั้นก็ไม่มีความคิด และเส้นก็กลายเป็นเพียงภาพลวงตา

เมื่อเราตระหนักถึงความลวงและธรรมชาติที่ไม่น่าเชื่อถือของความปรารถนาของเราแล้ว ให้เราถามตัวเองว่า: มีชีวิตหลังความตายหรือไม่? หัวข้อนี้สร้างปัญหาให้กับมนุษยชาติมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว แม่นยำยิ่งขึ้น ทันทีที่ผู้คนได้รับสติปัญญา พวกเขาก็เริ่มคิดถึงสิ่งที่รอพวกเขาอยู่หลังจากความตายทางร่างกายตามธรรมชาติในทันที อย่าแตกแยก ทุกคนต่างหวังในสิ่งที่ดีที่สุดและต้องการดำเนินชีวิตต่อไปหลังจากที่เปลือกกายของพวกเขากลายเป็นขี้เถ้า นี่เป็นความปรารถนาปกติโดยสมบูรณ์ และไม่มีอะไรผิดปกติกับมัน นั่นเป็นเพียงสิ่งที่ปรารถนาไม่ตรงกับความเป็นจริงเสมอไป

แต่อย่ารีบเร่งที่จะสรุปอย่างเด็ดขาด แต่ให้พิจารณาหัวข้อนี้อย่างละเอียดและช้าๆ เริ่มจากวิธีที่ผู้คนจินตนาการถึงชีวิตหลังความตาย:

1. วิญญาณที่เป็นอิสระจากร่างกายอาศัยอยู่ข้างพระเจ้า พระเจ้าเองดูเหมือนจะเป็นความจริงสูงสุด เขาแสดงถึงความเมตตาความสงบสุขนิรันดร์และความเงียบสงบ

2. แนวคิดที่พบบ่อยที่สุดแสดงถึงการมีอยู่ของนรกและสวรรค์ วิญญาณที่บริสุทธิ์และสดใสไปสวรรค์ที่พวกเขาอาศัยอยู่ในความสุขและปีติ แต่คนบาปต้องตกนรกและทนรับการทรมานที่นั่นชั่วนิรันดร์

3. คนตายแล้วเกิดใหม่ในร่างใหม่ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการกลับชาติมาเกิด ในเวลาเดียวกัน ผู้ตายสามารถเกิดใหม่ได้ไม่เพียงแค่เป็นคนเท่านั้น แต่สามารถกลายเป็นนก สัตว์ หรือพืชได้

ในบางศาสนา มีรูปแบบอื่นของการดำรงอยู่หลังจากจุดสิ้นสุดทางกายภาพตามธรรมชาติ แต่มาดูกันว่าตัวแทนของศาสนาต่างๆ มองชีวิตหลังความตายอย่างไร นอกจากนี้ยังน่าสนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับทัศนคติต่อความตายในอียิปต์โบราณ

การเป็นตัวแทนของชีวิตหลังความตายในศาสนาต่างๆ

อียิปต์โบราณ

ชาวอียิปต์เชื่อว่าชีวิตหลังความตายในแดนมรณะไม่แตกต่างจากโลกมากนัก ในเวลาเดียวกัน ผู้ตายได้ตกไปสู่อีกโลกหนึ่งแล้ว ก็เป็นเหมือนเขาในช่วงชีวิตของเขา ฟาโรห์ยังคงเป็นฟาโรห์ ปุโรหิต ปุโรหิต นักรบ นักรบ ชาวนา ชาวนา และช่างฝีมือ เป็นช่างฝีมือ ปิรามิดหรูหราถูกสร้างขึ้นสำหรับผู้ปกครองเพื่อให้พวกเขารู้สึกสบายใจในโลกใต้พิภพเช่นเดียวกับในโลกของสิ่งมีชีวิต คนตายถูกฝังไว้ในสุสานและหลุมศพพร้อมกับสิ่งของในครัวเรือนต่าง ๆ เชื่อว่าพวกเขาจะมีประโยชน์ในโลกอื่นอย่างแน่นอน

ศาสนาคริสต์

ตามแนวคิดของคริสตจักรคริสเตียน วิญญาณมนุษย์ที่ออกจากร่างกาย ปรากฏต่อพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของผู้ตาย เขาประเมินการกระทำที่ชอบธรรมและไม่ชอบธรรม จากนั้นจึงตัดสินใจอย่างเป็นกลางและเป็นกลาง คนชอบธรรมไปสวรรค์ คนชั่วลงนรกทันที

อิสลาม

ในศาสนาอิสลาม วิญญาณของผู้ตายก็ตกอยู่กับการพิพากษาของพระเจ้าเช่นกัน แต่เขาไม่ปรากฏต่ออัลลอฮ์ แต่ปรากฏต่อหน้ามลาอิกะฮ์ทั้งสอง ชื่อของพวกเขาคือ Munkar และ Nahir พวกเขาเป็นผู้ตัดสินใจสำหรับผู้ตายแต่ละคน หากบุคคลได้ทำความดีมากมายในชีวิตของเขา วิญญาณของเขาก็จะไปสวรรค์ คนบาปจะถูกลงโทษตามการกระทำที่ไม่ชอบธรรมของพวกเขา ภายหลังการลงโทษแล้ว พวกเขาก็สามารถไปสวรรค์ได้เช่นกัน แต่ชะตากรรมที่เศร้าที่สุดของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้รับการอภัยเพราะไม่เชื่อในอัลลอฮ์ ดังนั้นคนยากจนจึงถูกลงโทษตลอดกาล

ศาสนาฮินดู

ในศาสนาอย่างศาสนาฮินดู ไม่มีพระผู้สร้างองค์ใดทรงสร้างชีวิตบนโลก พระเจ้าถูกแทนที่ด้วยพระคัมภีร์หรือพระเวทซึ่งแสดงถึงความรู้และปัญญา พวกเขาพิสูจน์ว่ามีชีวิตหลังความตาย มันแสดงออกในการกลับชาติมาเกิดนั่นคือวิญญาณได้รับเนื้อใหม่หลังจากการตายของเปลือกทางกายภาพแต่ละครั้ง

พุทธศาสนา

พระพุทธศาสนาแสดงถึงการมีอยู่ของสวรรค์หลายชั้น ในแต่ละระดับ วิญญาณจะได้รับความรู้จำนวนหนึ่งและก้าวต่อไป สำหรับนรก มันคือบ้านชั่วคราวสำหรับจิตวิญญาณ เมื่อเวลาผ่านไป เธอย้ายจากนรกสู่สวรรค์และเริ่มการเดินทางผ่านด่านต่างๆ

การมีอยู่ของวิญญาณ - นิยายหรือความจริง

ทุกศาสนาในโลกในขั้นต้นบ่งบอกถึงการมีอยู่ของจิตวิญญาณมนุษย์ แต่มันเป็นความจริง? มาดูโลกรอบตัวเราบ้าง เราจะเห็นน้ำ ดิน ต้นไม้ ท้องฟ้า ความหลากหลายนี้ประกอบด้วยอะตอมและโมเลกุล แต่ทั้งต้นไม้ ดิน หรือน้ำไม่สามารถคิด ให้เหตุผล และประสบการณ์ได้ มีเพียงสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกเท่านั้นที่สามารถทำได้ แต่อวัยวะที่รับผิดชอบความรู้สึกและความคิดอยู่ที่ไหน?

นี้เป็นความลับกับเจ็ดผนึก ไม่มีใครรู้ว่าความคิด อารมณ์ ความรู้สึก เกิดขึ้นได้อย่างไร ค่อนข้างเป็นไปได้ที่ทั้งหมดนี้เป็นก้อนพลังงานบางอย่างที่เราเรียกว่าวิญญาณ เมื่อร่างกายตาย พลังงานจะถูกปลดปล่อยออกมา แต่จะเกิดอะไรขึ้นกับมันต่อไปและไม่ว่ามันจะเป็นการพิพากษาของพระเจ้าจริง ๆ หรือไม่ - ไม่มีคำตอบที่นี่ ดังนั้นเราจึงปล่อยให้คำถามเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของวิญญาณเปิดกว้าง เนื่องจากเป็นการยากที่จะตอบ

ความตายทางคลินิก

ตอบคำถามว่ามีชีวิตหลังความตายหรือไม่ ไม่มีใครสามารถข้ามแนวคิดเช่นความตายทางคลินิก ด้วยเหตุนี้บุคคลจึงประสบภาวะหัวใจหยุดเต้น แต่สมองยังมีชีวิตอยู่และได้รับออกซิเจน สถานการณ์นี้สามารถอธิบายได้ว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างความเป็นและความตาย ระยะเวลาของการเสียชีวิตทางคลินิกคือ 3-5 นาที

ผู้คนที่รอดชีวิตจากสภาพที่คล้ายกันในเวลาต่อมากล่าวว่าพวกเขานอนหมดสติเห็นอุโมงค์ที่ปลายแสงสีขาวส่องลงมา พวกเขาเดินไปตามอุโมงค์มาหาเขา แต่แล้วการเดินทางก็หยุดลง เมื่อความพยายามของแพทย์คืนผู้ตายสู่โลกใต้แสงจันทร์ นิมิตเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นหลักฐานทางอ้อมของการมีอยู่ของความเป็นจริงอื่นที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของความรู้สึกของเรา

หลักฐานร่วมสมัยของชีวิตหลังความตาย

วิทยาศาสตร์สมัยใหม่อ้างว่าโลกที่เราคุ้นเคยไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น เราทุกคนมองเห็นความเป็นจริงโดยรอบผ่านตัวรับพิเศษในสมอง หากมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยภาพสีจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น น้ำจะกลายเป็นสีแดง ท้องฟ้าจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวสดใส และหญ้าจะกลายเป็นสีม่วง

และโทนสีที่แท้จริงของโลกที่เราอาศัยอยู่คืออะไร? เราไม่รู้ เพราะเราเห็นมันตาม "การตั้งค่า" ของเรื่องสีเทาในหัวของเรา ควรสันนิษฐานด้วยว่าแต่ละคนมีโทนสีของตัวเอง คนหนึ่งเห็นสีเขียวเป็นสีเทา อีกคนเห็นสีขาว ส่วนที่สามเป็นสีชมพู ฯลฯ พวกเขาแค่บอกเด็กว่านี่เป็นสีแดง และตัวหนึ่งมีโทนสีเหลือง และเด็กก็ชินกับการจำแนกประเภทดังกล่าว

นอกจากนี้ ควรสังเกตว่ามีความคิดเห็นที่มั่นคงเกี่ยวกับจักรวาลคู่ขนาน เหตุการณ์ในนั้นมีความคล้ายคลึงกันมาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีช่วงเวลาที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ความแตกต่าง 100 ปี มีคนตายบนโลกแล้วเกิดในความสามารถเดียวกันในอีกจักรวาลหนึ่ง เขาเริ่มใช้ชีวิตแบบเดิมๆ แตกต่างไปจากเดิมเพียงเล็กน้อย พูดง่ายๆ ก็คือ โลกทั้งโลกของเราเป็นปัจเจกบุคคลอย่างเคร่งครัดและเป็นความจริงเชิงสัมพัทธ์

และตอนนี้ ตอบคำถาม มีชีวิตหลังความตาย มาทำความคุ้นเคยกับการทดลองหนึ่งที่ทำโดยผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกัน พวกเขาส่งลำแสงผ่าน 2 รู เมื่อผ่านเข้าไป แสงก็แยกออกเป็น 2 ส่วน และนอกรูก็รวมเข้าด้วยกันและสว่างขึ้น ในหลุมนั้นเอง แสงถูกขัดจังหวะ กลายเป็นทื่อและไม่มีชีวิตชีวา

ผู้เชี่ยวชาญได้เปรียบเทียบระหว่างลำแสงกับชีวิตมนุษย์ เช่นเดียวกับที่แสงสลายและดับลงในหลุม การพักแรมบนแผ่นดินโลกก็เช่นกัน แต่เมื่อผ่านบาเรียแล้ว แสงสว่างและชีวิตก็กลับสว่างไสวและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีก

โดยสรุปแล้ว ควรสังเกตว่าคำถามที่เรากำลังพิจารณาอยู่ไม่ใช่ปริศนาที่แก้ไม่ได้ เราทุกคนจะรู้ว่ามีชีวิตหลังความตายในขณะที่เนื้อหนังของเราหยุดอยู่หรือไม่ ดังนั้นจึงเหลือเพียงอดทนและรอจุดจบตามธรรมชาติ.