นักออกแบบท่าเต้นยอดเยี่ยม: Maurice Béjart Maurice Béjart ชีวประวัติ Maurice Béjart ชีวประวัติชีวิตส่วนตัว
ในบรรดาผู้ที่พลิกความคิดดั้งเดิมของบัลเล่ต์กลับหัวกลับหางในหลาย ๆ ด้านคือ ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่บัลเล่ต์ Maurice Bejart ความสำเร็จของเขาในฐานะผู้กำกับเวทีและครูส่วนใหญ่มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเริ่มเป็นนักเต้นและเดินไปตามเส้นทางด้วยตัวเอง ซึ่งเขาได้กำกับนักเรียนของเขา
ความสำเร็จของ Béjart ก็คือความจริงที่ว่า ในการแสวงหาการใช้ความเป็นไปได้ของพลาสติกในร่างกายของนักเต้นในรูปแบบต่างๆ เขาไม่เพียงแต่แสดงส่วนเดี่ยวเท่านั้น แต่ยังแนะนำคณะบัลเลต์เฉพาะสำหรับการแสดงบางรายการอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงพัฒนาแนวคิดของการเต้นรำชายสากลอย่างต่อเนื่องโดยยึดตามประเพณีของแว่นตาโบราณและการแสดงจำนวนมากของชนชาติต่างๆ
นักออกแบบท่าเต้นในอนาคตเป็นลูกชายของชาวเคอร์ดิสถานชาวตุรกีและหญิงชาวคาตาลัน เมื่อนักออกแบบท่าเต้นยอมรับในภายหลัง การรวมกันของรากเหง้าชาตินี้ทิ้งรอยประทับบนงานทั้งหมดของเขา เบจาร์ตเริ่มศึกษาการออกแบบท่าเต้นในปี 1941 และในปี 1944 เขาได้เดบิวต์ในคณะบัลเล่ต์ของ Marseille Opera อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างลักษณะความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคล เขาจึงตัดสินใจศึกษาต่อ ดังนั้นตั้งแต่ปีพ. ศ. 2488 Bejart จึงได้รับการปรับปรุงด้วย L. Stats, L.N. Egorova, Madame Ruzan ในปารีสและ V. Volkova ในลอนดอน เป็นผลให้เขาเชี่ยวชาญโรงเรียนออกแบบท่าเต้นที่แตกต่างกันมากมาย
ในช่วงเริ่มต้นอาชีพของเขา Bejart ไม่ได้ผูกมัดตัวเองด้วยสัญญาที่เข้มงวดโดยแสดงในคณะต่างๆ เขาทำงานร่วมกับ R. Petit และ J. Sharr ในปี 1948 แสดงที่ Inglesby International Ball ในลอนดอนในปี 1949 และกับ Royal Swedish Ballet ระหว่างปี 1950-1952
ทั้งหมดนี้ทิ้งรอยประทับในกิจกรรมในอนาคตของเขาในฐานะนักออกแบบท่าเต้นตั้งแต่ คุณสมบัติที่โดดเด่นท่าทางโวหารของเขาค่อยๆ ผสมผสานกัน เป็นการสังเคราะห์เทคนิคที่นำมาจากระบบการออกแบบท่าเต้นที่แตกต่างกัน
ในสวีเดน เบจาร์ตเปิดตัวในฐานะนักออกแบบท่าเต้น โดยจัดแสดงชิ้นส่วนบัลเล่ต์ "The Firebird" โดย I. Stravinsky สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ เพื่อตระหนักถึงความคิดสร้างสรรค์ของเขา ในปี 1953 ร่วมกับ J. Laurent, Bejart ได้ก่อตั้งคณะ "Ballet de l'Etoile" ในปารีส ซึ่งกินเวลาจนถึงปี 1957
ในเวลานั้น Bejart ได้แสดงบัลเล่ต์และในขณะเดียวกันก็แสดงในบทบาทนำ ละครถูกสร้างขึ้นจากการผสมผสานระหว่างคลาสสิกและ นักเขียนร่วมสมัย. ดังนั้นในปี 1953 คณะ Bejart จึงได้จัดฉาก "A Midsummer Night's Dream" ให้กับเพลงของ F. Chopin ในปีต่อมาบัลเล่ต์ "The Taming of the Shrew" ได้รับการปล่อยตัวให้เป็นเพลงของ D. Scarlatti และในปี 1955 บัลเลต์สามบัลเล่ต์ ถูกจัดแสดงพร้อมกัน - "ความงามในงูเหลือม" กับเพลงของดี. รอสซินี "การเดินทางสู่หัวใจของเด็ก" และ "ศีลระลึก" โดยอองรี Bejart พัฒนาหลักการนี้ของเขาในอนาคต ในปี 1956 เขาได้กำกับ Tanit หรือ Twilight of the Gods และในปี 1963 Ovan's Prometheus
ในปี 1959 การออกแบบท่าเต้นของบัลเล่ต์ The Rite of Spring ซึ่งแสดงให้กับ Royal Ballet of Belgium บนเวทีของโรงละคร Moner ในกรุงบรัสเซลส์ ซึ่งจัดทำโดย Béjart ได้รับการตอบรับอย่างกระตือรือร้นจนในที่สุด Béjart ก็ตัดสินใจที่จะก่อตั้งคณะของเขาเอง The Ballet แห่งศตวรรษที่ 20 ซึ่งพระองค์ทรงนำในปี พ.ศ. 2512 . แกนกลางเป็นส่วนหนึ่งของคณะบรัสเซลส์ ในตอนแรก Bejart ยังคงทำงานในกรุงบรัสเซลส์ แต่ไม่กี่ปีต่อมาเขาย้ายไปโลซานกับคณะ ที่นั่นพวกเขาแสดงภายใต้ชื่อ "Béjart Ballet"
ร่วมกับคณะนี้ Bejart ได้ทำการทดลองที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างการแสดงสังเคราะห์ที่การเต้นรำ โขน การร้องเพลง (หรือคำพูด) ครอบครองที่เท่าเทียมกัน ในเวลาเดียวกัน Bejart ได้แสดงบทบาทใหม่ในฐานะผู้ออกแบบงานสร้าง การทดลองนี้นำไปสู่ความจริงที่ว่าจำเป็นต้องขยายขนาดของขั้นตอน
Bejart เสนอวิธีแก้ปัญหาใหม่ขั้นพื้นฐานสำหรับการออกแบบการแสดงเป็นจังหวะและเชิงพื้นที่ การนำองค์ประกอบของเกมดราม่ามาใส่ในท่าเต้นเป็นตัวกำหนดไดนามิกที่สดใสของโรงละครสังเคราะห์ของเขา เบจาร์ตเป็นนักออกแบบท่าเต้นคนแรกที่ใช้สนามกีฬาที่กว้างขวางสำหรับการผลิตท่าเต้น ระหว่างการแสดง วงออเคสตราและคณะนักร้องประสานเสียงถูกวางไว้บนแท่นขนาดใหญ่ การดำเนินการสามารถพัฒนาได้ทุกที่ในเวที และบางครั้งแม้แต่ในหลายๆ ที่ในเวลาเดียวกัน
เทคนิคนี้ทำให้ผู้เข้าร่วมแสดงในการแสดงของผู้ชมทุกคนได้ ภาพถูกเสริมด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ซึ่งมีภาพของนักเต้นแต่ละคนปรากฏขึ้น เทคนิคทั้งหมดเหล่านี้ไม่เพียงแต่มุ่งเป้าไปที่การดึงดูดสาธารณชนเท่านั้น แต่ยังมุ่งเป้าไปที่การสร้างความตื่นตระหนกดั้งเดิมด้วย การแสดงหนึ่งที่มีพื้นฐานมาจากการสังเคราะห์คือ The Torment of Saint Sebastian ซึ่งแสดงในปี 1988 โดยมีส่วนร่วมของวงออเคสตรา คณะนักร้องประสานเสียง นักร้องเดี่ยว และการเต้นรำที่แสดงโดยนักเต้นบัลเลต์
Bejart ได้รวมกันก่อนหน้านี้ ประเภทต่างๆศิลปะในการแสดงเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสไตล์นี้ เขาได้แสดงบัลเลต์กาล่าในปี 1961 กับดนตรีของสการ์ลัตติ ซึ่งจัดแสดงที่โรงละครเวนิส ในปีเดียวกันนั้น ในกรุงบรัสเซลส์ เมืองเบจาร์ต ร่วมกับอี. โคลสสัน และเจ. ชาร์รา ได้จัดละครสังเคราะห์เรื่อง "The Four Sons of Eymon" ให้กับดนตรีของนักประพันธ์เพลงแห่งศตวรรษที่ 15-16
การค้นหาอย่างสร้างสรรค์ของ Bejart กระตุ้นความสนใจของผู้ชมและผู้เชี่ยวชาญ ในปี 2503 และ 2505 เขาได้รับรางวัล Prize of the Theatre of Nations และในปี 2508 เขาได้รับรางวัลเทศกาลเต้นรำในปารีส
Bejart ต้องการคนที่มีความคิดเหมือนกันเพื่อพัฒนาความคิดของเขา และในปี 1970 เขาได้ก่อตั้งโรงเรียนสอนพิเศษในบรัสเซลส์ ความอุกอาจที่สดใสและลักษณะการแสดงของศตวรรษที่ 20 สะท้อนให้เห็นในชื่อของสตูดิโอ - "Mudra" ซึ่งเป็นตัวย่อที่ Bejart ประดิษฐ์ขึ้นซึ่งสะท้อนถึงความสนใจของเขาในการเต้นรำคลาสสิกของตะวันออก
Bejart เป็นหนึ่งในบุคคลที่ซับซ้อนและเป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดในยุคปัจจุบัน ศิลปะการออกแบบท่าเต้น. ในแถลงการณ์เชิงทฤษฎี เขายืนกรานที่จะคืนการร่ายรำให้เป็นลักษณะและความหมายในพิธีกรรมดั้งเดิม เขาเชื่อว่าด้วยความช่วยเหลือของการทดลองทางศิลปะและสุนทรียศาสตร์ซึ่งเขาดำเนินการ มันเป็นไปได้ที่จะเปิดเผยสิ่งสำคัญในการเต้นรำ - หลักการพื้นฐานสากลที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งพบได้ทั่วไปในศิลปะการเต้นของทุกเชื้อชาติและทุกชนชาติ ดังนั้นความสนใจอย่างต่อเนื่องของ Bejart ในวัฒนธรรมการเต้นของตะวันออกและแอฟริกาจึงเกิดขึ้น อาจารย์สนใจศิลปะของญี่ปุ่นเป็นพิเศษ บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมนักเต้นหลายคนที่ทำงานให้เขาเป็นคนญี่ปุ่น
วันนี้ Bejart ได้รับเชิญเป็นพิเศษในโรงละครต่างๆ เพื่อจัดการแสดงเป็นรายบุคคล แต่เขายังมีสิ่งที่แนบส่วนตัวบางอย่าง ดังนั้นความร่วมมือหลายปีจึงเชื่อมโยงเขากับ M. Plisetskaya เขาแสดงบัลเล่ต์ "Isadora" สำหรับเธอรวมถึงโซโลหลายตัว หมายเลขคอนเสิร์ตสำหรับเธอ สุนทรพจน์ล่าสุด. ที่มีชื่อเสียงที่สุดในหมู่พวกเขาคือมินิบัลเล่ต์ "Vision of the Rose" เป็นเวลาหลายปีที่ Bejart ทำงานร่วมกับ V. Vasiliev Vasilyev แสดงบัลเลต์ "Petrushka" ของ I. Stravinsky เป็นครั้งแรกซึ่งแสดงโดย Bejart และร่วมกับ E. Maximova เขาแสดงบทบาทนำในบัลเล่ต์ "Romeo and Juliet" ของ S. Prokofiev
เว็บไซต์เกี่ยวกับเบจาร์ท
โชคชะตาตอบแทนชายผู้นี้ด้วยพรสวรรค์มากมาย เขาตระหนักว่าตัวเองเป็นนักออกแบบท่าเต้น ผู้กำกับละครและภาพยนตร์ นักเขียนบทละคร นักเขียนและนักปรัชญา ในปี 1994 Maurice Bejart กลายเป็นนักออกแบบท่าเต้นเพียงคนเดียวในโลกที่ได้รับรางวัลตำแหน่งนักวิชาการกิตติมศักดิ์ของ French Academy ศิลปกรรม.
Maurice Jean Berger เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2470 ที่เมืองมาร์เซย์ Gaston Berger พ่อของ Maurice ซึ่งเป็นชาวเซเนกัล มีอิทธิพลอย่างมากต่อการสร้างโลกทัศน์ของ Maurice ตั้งแต่วัยเด็ก มอริซอ่านบทความเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศาสนา ตะวันออก. ดังนั้น "หนังสือแห่งการเปลี่ยนแปลง" ของจีนโบราณจึงกลายเป็นการรวบรวมความจริงในชีวิตสำหรับเขา
เขามักจะมองโลกว่าเป็นสิ่งที่แบ่งแยกไม่ได้และต่อมาก็ใช้องค์ประกอบของทุกศาสนาของโลกอย่างแข็งขันในการแสดงของเขา เป็นที่น่าสังเกตว่า Bejart ตัดสินใจเลือกอาชีพในวัยเด็ก เขาศึกษากับนักเต้นชาวรัสเซียและกล่าวว่ารัสเซียเป็นบ้านเกิดของเขาและในปี 1940 เขาได้ก่อตั้งคณะแรก - Ballet de l'Etoile
ในการออกแบบผลงานชิ้นแรก มอริซได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ในปี 1960 คณะที่มีชื่อเสียงเกิดขึ้น - "บัลเล่ต์แห่งศตวรรษที่ XX" ซึ่ง Maurice Bejart ทำงานโดยใช้ชื่อใหม่ “การเป็นผู้กำกับ” เขาแย้ง “น่าสนใจกว่าการเป็นนักแสดง นักแสดงได้รับบทบาทเดียวเท่านั้นและผู้กำกับปรากฏในเจ็ด
งานของ Bejart ค่อยๆ ซับซ้อนขึ้น: ประเภทต่างๆศิลปะในจินตนาการของเขาถูกถักทอเข้าด้วยกัน มอริซไม่กลัวที่จะหันไปเล่นละครใบ้ การร้องเพลง องค์ประกอบของภาพยนตร์ โทรทัศน์ ละครสัตว์ และแม้แต่กีฬา นอกจากนี้ ผลงานของเขายังมีตอนจบแบบเปิดอีกด้วย เขาอุทิศกิจกรรมเพื่อสร้างภาษาการเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ ธีมของการแสดงนั้นลึกซึ้งและซับซ้อนอยู่เสมอ: การค้นหาความหมายของชีวิต การเผชิญหน้าระหว่างความดีและความชั่ว ความแตกต่างในความสัมพันธ์ระหว่างตะวันตกและตะวันออก
จุดสูงสุดของการยอมรับของ Maurice Béjart เกิดขึ้นในปี 1970 และ 80 ในเวลานี้คณะของเขาได้ไปเที่ยวสหภาพโซเวียต การแสดงเกี่ยวกับรัฐบุรุษชาวฝรั่งเศส André Malraux ได้รับการตอบรับอย่างดีที่สุดจากผู้ชมโซเวียต ที่น่าสนใจคือการกระทำเริ่มต้นจากจุดสิ้นสุด: วันที่เสียชีวิตของ Malraux ได้รับการประกาศในขั้นต้นและในขั้นสุดท้ายก็มีการบอกเล่าเกี่ยวกับวัยเด็กของเขา
ในปี 1989 บัลเล่ต์ Bejart Lausanne มีส่วนร่วมในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "Grand pas in ." คืนสีขาว» ในเลนินกราด ในปี 1998, 2003 และ 2006 คณะ "Rudra" ของ Bejart ได้ออกทัวร์ในมอสโก กับ Maurice Béjart เป็นเวลานานนักบัลเล่ต์ยอดเยี่ยม Maya Plisetskaya ร่วมมือกัน สำหรับเธอเขาได้แสดงคู่ "Swan and Leda", บัลเล่ต์ "Kurazuka", หมายเลขท่าเต้น "Ave, Maya!"
ในปี 1998 Maurice ได้สร้างผลงานการกลายพันธุ์ขึ้นมา ซึ่งมีความโดดเด่นในแง่ของเนื้อหาเชิงความหมาย ระเบิดนิวเคลียร์ทำลายแผ่นดิน ผู้รอดชีวิตหลายคนกำลังจะออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้และออกตามหาอีกดวงหนึ่ง ตัดสินใจที่จะดำเนินการ เต้นรำอำลาที่พวกเขาระลึกถึงวัยเด็กและไร้กังวล ชีวิตมีความสุข. ความหวังและศรัทธาในอนาคตไม่ได้เหลือเพียงคนเดียวที่ปฏิเสธที่จะบินหนีไป และต้องขอบคุณเขาที่ทำให้โลกมีชีวิตขึ้นมา คำเตือนดังกล่าวจาก Bejart ทำให้ผู้ชมตกใจอย่างมาก ผู้แต่งเครื่องแต่งกายสำหรับบัลเล่ต์นี้คือ Gianni Versace ดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลกซึ่งโชคไม่ดีที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับ Maurice Béjart เป็นครั้งสุดท้าย
Maurice Bejart รู้สึกเชิงลบอย่างมากเกี่ยวกับการตีความผลงานของเขาอย่างอิสระและความแตกต่างในการแสดง เฉพาะศิลปินที่โชคดีพอที่จะได้ร่วมงานกับเขาเป็นการส่วนตัวเท่านั้นที่จะทุ่มเทให้กับความแตกต่างของสไตล์การออกแบบท่าเต้นของเขา อย่างไรก็ตาม ดาราบัลเลต์หลายคนได้เรียนรู้การผลิตของเบจาร์ท และการแสดงของพวกเขาก็ยอดเยี่ยมตามปกติ ตัวอย่างสำคัญเป็นผลงานของ Diana Vishneva ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากสาธารณชน แต่ผู้จัดงานต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนมาก มอริซไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้และพูดซ้ำ: “มันไม่เกี่ยวอะไรกับท่าเต้นของฉัน”. ในเวลาเดียวกัน การแสดงของเบจาร์ทก็ได้รับอนุญาตสำหรับนักแสดงหลายคนที่ยึดมั่นในสไตล์ของนักออกแบบท่าเต้นอย่างเต็มที่ ดังนั้นสไตล์ของ Maurice Bejart จึงตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงหรือได้สีใหม่
สำหรับชีวิตที่ยาวนานและมีความสำคัญของเขา Maurice Bejart ได้รับรางวัลมากมาย: รางวัล Erasmus (1974), Imperial Prize (1993), รางวัล "le Prix Allemand de la Danse" (1994) น่าแปลกที่ในปี พ.ศ. 2529 จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นได้ทรงแต่งตั้งให้ทรงแต่งตั้งให้ทรงมีพระราชกุศลแก่ ชีวิตวัฒนธรรมประเทศ. งานศิลปะของเขาทำให้คุณประหลาดใจและทำให้คุณคิดว่าดูทั้งน่าดึงดูดและน่ารังเกียจ ก่อให้เกิดความคิดเห็นจำนวนมากซึ่งมักจะตรงกันข้าม
การทดลองที่หลากหลายของ Bejart ทำให้นักวิจารณ์ต้องทึ่ง ซึ่งถือว่าเขาเป็นคนหลอกลวงและชอบทะเลาะวิวาท อย่างไรก็ตาม มอริซเองก็ชอบที่จะเรียกว่านักเดินทางมากกว่า แท้จริงเขาเร่ร่อนไปพร้อมกับผู้ฟังบน ยุคต่างๆและประเทศต่าง ๆ ทำให้ทุกคนประหลาดใจด้วยความรู้มหาศาลในประวัติศาสตร์จิตรกรรมและวรรณคดี ดนตรีและสถาปัตยกรรม และต้องขอบคุณ จินตนาการของตัวเองจิตใจผ่านกาลเวลาทำให้การสร้างสรรค์ของเขาเป็นอมตะ
Oksana Barinova
เขาเป็นคนมีความสุข ชีวิตของเขาที่เต็มไปด้วยเรื่องราวจริงและสมมติ การประชุม ชัยชนะและความพ่ายแพ้ คงจะเพียงพอสำหรับหลายคนแล้ว เธอถูกแบ่งแยกอย่างเท่าเทียมกันด้วยความรัก ความตาย และความหวัง โดยได้สอนอะไรมากมาย แต่ที่สำคัญที่สุด - ปัญญา เขามักจะมีชีวิตอยู่เพียง "วันนี้" จำ "เมื่อวาน" และมองเข้าไปใน "พรุ่งนี้" เครือจักรภพแห่งความทรงจำ ความรู้สึกของความเป็นจริง และวิสัยทัศน์ แบตเตอรี่ทรงพลังพลังสร้างสรรค์ของเขาเป็นตัวเป็นตนในการแสดงอุปมาอุปมัย
นับเป็นพระพรที่มีบิดาอย่างแกสตัน เบอร์เกอร์นักปราชญ์ชาวตะวันออก เด็กชายชอบบทความเกี่ยวกับศาสนาของประเทศตะวันออกจากห้องสมุดของเขาในวัยเด็กและหลายคน (เช่น "I Ching" ศักดิ์สิทธิ์ของจีนโบราณ - "The Book of Metamorphoses") ได้นำเขามาตลอดชีวิต หลายปีแล้ว วลีของพ่อ "ทุกศาสนาเท่าเทียมกัน คุณต้องยอมรับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง และมันจะกลายเป็นเส้นทางของคุณ โดยที่คุณต้องไม่วางเส้นทางนี้เหนือเส้นทางอื่น" * มีอิทธิพลอย่างเด็ดขาดในการรับเอาอิสลามชีอะต์ของ Bejart ในปี 1973 เขารู้สึกว่าโลกเป็นหนึ่งเดียวเสมอ ดังนั้นการปรากฏตัวในการแสดงองค์ประกอบต่างๆ ของศาสนาพุทธ อิสลาม คริสต์ และยิวจึงเป็นเพียงความหลากหลายของศาสนาเดียว สากล
* ชีวิตใคร? ม., 1998. หน้า164.
ความสุขยังเป็นการแสดงที่บ้านของเด็ก ๆ ในการผลิตและการออกแบบซึ่งเขาได้รับความช่วยเหลือจาก Joel Roustan และ Roger Bernard ซึ่งกลายเป็นเพื่อนร่วมงานมาหลายปี ("Bacchanal" - 1961, "The Wedding" - 2505, "IX Symphony" - 2507 , "มวลในเวลาของเรา "- 1967, "Baudelaire" - 1968, "Firebird" - 1970, "Nijinsky, ตัวตลกของพระเจ้า" - 1971, "Golestan หรือสวนกุหลาบ" - 1973, "Petrushka" - 1977 " ฮัมบูร์กทันควัน" - 1988 ... ). เพื่อให้บรรลุความฝันในวัยเด็กในการเป็นผู้กำกับ Bejart ใช้เวลานานและยาก หลังจากได้รับการศึกษาด้านการออกแบบท่าเต้นจากครูผู้อพยพชาวรัสเซียและทำงานเป็นเวลาหลายปีในคณะของ Roland Petit, Mona Inglesby และ Birgit Kuhlberg เขาร่วมมือกับ Jean Laurent ได้สร้างคณะแรกของเขา "Ballet Romantique" (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น "Ballet de l'Etoile") ในปี 1955 - "La Fontaine de Quatre Saison" คณะเหล่านี้กลายเป็นโหมโรงในการปรากฏตัวในปี 1960 ของที่มีชื่อเสียงที่สุด - "บัลเล่ต์แห่งศตวรรษที่ 20" ซึ่ง Jean-Maurice Berger กลายเป็น Maurice Bejart
โชคชะตาตอบแทนเขาด้วยความสุข ทางยาวในงานศิลปะซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2489 * ด้วยการผลิต The Little Page ให้กับเพลงของ S. Rachmaninoff และ F. Chopin ในเมือง Rouen กว่าครึ่งศตวรรษ กิจกรรมสร้างสรรค์เขาตระหนักว่าตัวเองไม่เพียง แต่เป็นนักออกแบบท่าเต้นเท่านั้น (เขามีการแสดงบัลเล่ต์มากกว่า 230 รายการภายใต้เข็มขัดของเขา) เขายังเป็นผู้กำกับละครและภาพยนตร์ (ผู้กำกับโอเปร่า, โอเปร่า, การแสดงละคร,ภาพยนตร์โทรทัศน์) นักเขียนบทละครและนักเรียงความยอดเยี่ยม ปริญญาตรีสาขาปรัชญาซึ่งประสบความสำเร็จในการปกป้องในปี 1946 ที่มหาวิทยาลัย Aix-en-Provence กลายเป็นขั้นบันไดแรกที่นำไปสู่การเป็นที่ยอมรับในระดับโลกและด้วยเหตุนี้จึงได้รับตำแหน่งนักวิชาการกิตติมศักดิ์ของ French Academy of Fine Arts (1994) - หนึ่งเดียวในโลกในหมู่นักออกแบบท่าเต้น
* ในคู่มือทัวร์ของ Bejart Ballet Lausanne วันที่ผลิตครั้งแรกของ M. Bejart ระบุอย่างผิดพลาดเป็นปี 1954 นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสของนักออกแบบท่าเต้น M.-F. Christa และ A. Livio ถูกอ้างถึงในงานเขียนของพวกเขาในปี 1946 - "The Little Page"
งานศิลปะของ Bejart ตกตะลึงและประหลาดใจ ดึงดูดใจและรังเกียจ ทำให้เกิดความขัดแย้งมากมาย แต่เขาทดลองมากขึ้นเรื่อยๆ โดยการลองผิดลองถูก
"บ้านของนักบวช". ฉากจากละคร.
รูปภาพจากที่เก็บถาวรของผู้เขียน
เจ. โรมัน. "บ้านของนักบวช".
รูปภาพจากที่เก็บถาวรของผู้เขียน
นักวิจารณ์มีฉายาเช่น "คนหลอกลวง", "คนอื้อฉาว", "ผู้ขัดแย้ง" สำหรับเขา เขาเลือกโลกทัศน์ทัศนคติโลกทัศน์ - "นักเดินทาง" ที่ใกล้เคียงที่สุด เขาเดินทางไปกับผู้ชมผ่านยุคสมัย ประเทศ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ทำให้ทุกคนประทับใจด้วยความรู้อันยิ่งใหญ่ของเขาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จิตรกรรมและวรรณกรรม ดนตรีและสถาปัตยกรรม มีจินตนาการที่ไร้ขีดจำกัดและความสามารถในการผ่านพ้นความหนาของเวลาทางจิตใจ Bejart ทำให้บัลเล่ต์เป็นสมบัติของมวลชนจำนวนมากในขณะที่ยังคงรักษาความเป็นเลิศไว้
กว่าครึ่งศตวรรษของการแสดงละครและกิจกรรมการสอน* ได้พัฒนาวิธีการซ้อม คุณสมบัติสไตล์การออกแบบท่าเต้น การสร้างโครงสร้างของการแสดง
* โรงเรียนแห่งแรกของ Bejart "Mudra" (บรัสเซลส์) และโรงเรียนที่สอง - "Rudra" (โลซานน์) ฝึกฝนบุคลากรสำหรับเร่ร่อนของเขา คณะนักเรียนทดลอง "Jantra" ("Yantra", Bejart มอบความเป็นผู้นำให้กับ H. Donn ในปี 1976) และ "Rudra Bejart Lausanne" มีส่วนร่วมในการแสดงผลงานบางเรื่อง
เขาไม่ได้มาถึงลักษณะโพลีโฟนิกในทันทีทันใดในศิลปะของเขา ในช่วงแรกของการทำงาน (1940-50s) บัลเล่ต์ "บริสุทธิ์" ในรูปแบบของ pas de deux หรือ pas de trois ("Skaters", "Red Shoes", "Sonata for Three", Arkan ฯลฯ ) ต่อมาการแสดง 2 และ 3 องก์เริ่มปรากฏขึ้นซึ่งมีการแนะนำคณะบัลเล่ต์ด้วย - ทีมที่สร้างทางเรขาคณิตอย่างชัดเจนจัดระเบียบอย่างเข้มงวดและมีการประสานงานกันอย่างดีของผู้ที่มีความรู้สึกอ่อนไหวและอ่อนไหวซึ่งเป็นศิลปินเดี่ยวที่เท่าเทียมกันพร้อมกับนักแสดงหลัก ชิ้นส่วน
หลายปีที่ผ่านมา งานของ Bejart มีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งในด้านเนื้อหา ท่าเต้น และองค์ประกอบ การแสดงบัลเล่ต์ค่อยๆ พัฒนาเป็นแบบสังเคราะห์ ซึ่งศิลปะทุกประเภทรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เบจาร์ทใช้การบรรยาย ร้องเพลง ความบันเทิงในโรงภาพยนตร์ โทรทัศน์ กีฬา ละครสัตว์ ด้วยการตัดต่อภาพยนตร์ เขาเร่งการเปลี่ยนแปลงของการกระทำและเวลาที่มีสมาธิ ไม่กลัว "กาว" และ "ตะเข็บ" เขาเลือกภาพตัดปะเป็นเทคนิคหลัก คอลลาจดนตรี วรรณกรรม และภาพจำลองของเขาช่างกล้าหาญ ซับซ้อน และเชื่อมโยงกัน (P. Tchaikovsky - P. Henri, W.-A. Mozart - แทงโก้อาร์เจนตินา; ข้อความโดย F. Nietzsche - บทกวีการนับของเด็กและ "เพลงของเพลง" จากพระคัมภีร์ ). ในการแสดง ระบบการละครต่างๆ ได้มีส่วนร่วมในบทสนทนา: ยุคกลางของยุโรปและคาบูกิ โรงละครแห่งศตวรรษที่ 20 และ No, Comedia dell'arte และโรงละคร "salon" ทุกอย่างมีอยู่ในรูปของชั้น อาคารหลายชั้นของการแสดงของ Bejart สร้างขึ้นจากแสง ทิวทัศน์ เครื่องแต่งกาย การแต่งหน้า และการออกแบบท่าเต้นที่ตัดกัน ทุกวิถีทางทำงานเพื่อเข้าใจสิ่งที่ซ่อนเร้น ความรู้สึกทางปรัชญาการจากไปมักจะจบลงแบบเปิด Bejart อุทิศงานของเขาเพื่อสร้างภาษาการเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง โดยเชื่อว่า “ความคลาสสิกเป็นพื้นฐานของการค้นหาใดๆ ก็ตาม ความทันสมัยเป็นหลักประกันถึงความมีชีวิตชีวาของอนาคต การเต้นรำแบบดั้งเดิมของชนชาติต่างๆ เป็นส่วนสำคัญของการวิจัยการออกแบบท่าเต้นในแต่ละวัน”* ดังนั้นภาษาของเขาจึงเป็นการผสมผสานคำศัพท์อย่างเป็นธรรมชาติ การเต้นรำคลาสสิก, การเต้นรำ "สมัยใหม่" และประเพณีของพลาสติกตะวันออก เขาเชื่อมั่นว่าการฟ้อนรำเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติทางศาสนา มันคือลัทธิทางศาสนา การเต้นรำ-พิธีกรรม การเต้น-เสียสละ
* ช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของคนอื่น ม., 1989. ค.1.
สำหรับ J. Balanchine "บัลเล่ต์เป็นผู้หญิง" สำหรับ Bejart "บัลเล่ต์เป็นผู้ชาย" เขาฝึกฝนการเต้นเดี่ยวและการเต้นของมวลชน บางครั้งถึงกับถ่ายทอดส่วนนำหญิงไปยังนักเต้น (The Firebird, Salome) และได้รับการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของความแข็งแกร่งและพลังของท่าทางของผู้ชายที่มีความเป็นผู้หญิง ความเปราะบาง อารมณ์ที่เพิ่มขึ้น โพสท่าเต็มไปด้วยความเร้าอารมณ์ราคะซึ่งส่งผลต่อเครื่องแต่งกายด้วยเช่นกัน - ลำตัวของนักเต้นถูกเปิดเผย สิ่งสำคัญสำหรับการเต้นของ Bejart คือความเข้มข้นของพลังงานเพื่อให้เกิดความปีติยินดี สถานะของความหลงใหลไม่เพียงในหมู่นักเต้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในหมู่สาธารณชนด้วย
สำหรับ Béjart "ร่างกายมนุษย์ ... เครื่องมือทำงาน" * เขากังวลเกี่ยวกับการเล่นของกล้ามเนื้อ "ความลื่นไหล" ของเส้นหรือการหยุดพัก ในแง่นี้ เขาเป็น Rodin แห่งการออกแบบท่าเต้น ซึ่ง "ประติมากรรม" อยู่ภายใต้หัวข้อที่หลากหลาย
* ชีวิตใคร? หน้า143
หัวข้อต่างๆ ที่เบจาร์ตเลือกสำหรับการแสดงของเขานั้นกว้างกว่าปกติ: การไตร่ตรองความหมายของชีวิตและการแก้แค้นสำหรับสิ่งที่ทำไปแล้ว การค้นหาพระเจ้าในโลกและในตัวเอง พลังอำนาจสูงสุดแห่งความรักและความเหงา การเผชิญหน้าระหว่าง ความดีและความชั่ว ปัญหาความสัมพันธ์และสายสัมพันธ์ระหว่างตะวันตกกับตะวันออก และอื่นๆ อีกมากมาย . แต่ที่ใหญ่โตที่สุดอาจเป็นสองอย่าง: ธีมของโชคชะตา บุคลิกที่สร้างสรรค์(“Baudelaire”, “Nijinsky, ตัวตลกของพระเจ้า”, “Isadora”, “Piaf”, “Mr. Ch.”, “M. / Mishima /” ฯลฯ ) และธีม “ชีวิต - ความตาย” Béjart สำรวจความเป็นปรปักษ์ของ Eros และ Thanatos ทั้งในวัฒนธรรมของมนุษย์และในจิตใจของแต่ละบุคคลซึ่งแทรกซึมการแสดงเกือบทั้งหมดของเขา ความตายพรากคนใกล้ชิดจาก ปีแรกชีวิต: ตอนอายุเจ็ดขวบเขาสูญเสียแม่อันเป็นที่รักของเขาพ่อและศิลปินเดี่ยวของคณะแพทริคเบลดาและเบอร์ทรานด์ปิเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์หุ้นส่วนของเบจาร์ตในยุค 50 มาเรียฟรีฆ่าตัวตายเมื่อไม่กี่ปีก่อนอแลงและน้องชายของเขา ฟิลิปป์จากโลกนี้ไป ลูกพี่ลูกน้องโจเอล; มีคนไม่มากนักที่มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ของเขา - Nino Rota และ Manos Hadjidakis, Eugene Ionesco และ Federico Fellini, Barbara และ Gianni Versace, Paolo Bortoluzzi และ Jorge Donna ... Bejart อุทิศการแสดงมากมายให้กับความทรงจำของพวกเขา ... The เส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตายที่เขาดำเนินผ่านการเต้นรำ เนื่องจากปราชญ์เชื่อว่าความตายเป็นแรงจูงใจให้ต่อสู้เพื่อชีวิตเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหา ภาพความตายของ Bezharov สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับความหลากหลายและความหลากหลาย
การเป็นผู้กำกับของ Bejart นั้น “น่าตื่นเต้นกว่าการเป็นนักแสดงเสียอีก นักแสดงมีบทบาทเพียงบทบาทเดียวในตัวเอง และผู้กำกับก็กลายเป็นทุกคนและในขณะเดียวกันก็ไม่มีใคร นี่คือที่มาของการแสดงของเขา กระจก หน้ากาก คู่ และเงามากมาย
* ช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของคนอื่น ค.12.
บรรทัดฐานของกระจกเป็นหลักสำหรับโลกทัศน์ของ Bejart แนวคิดของความคิดสร้างสรรค์: ชีวิตบนเวทีสำหรับศิลปินคือแก่นแท้ สะท้อนกระจกของเขา โลกภายในพิภพเล็ก ๆ ของเขา กระจกสำหรับ Bejart ไม่ใช่วัตถุที่สร้างภาพลวงตาของอวกาศและขยายมันออกไปมากนัก แต่เป็นสิ่งมีชีวิต "ตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับจิตวิทยาและเวทมนตร์ หรือจิตวิทยาเวทมนตร์"* ซึ่งมีคุณสมบัติลึกลับ สามารถเปลี่ยนแปลงและ ทำลายไปพร้อม ๆ กัน สำหรับ Béjart เอง เป็นเวลาเกือบสามทศวรรษแล้วที่อัตตาของเขาบนเวทีคือ Jorge Donn ผู้แปลความคิดของเขาด้วยการเต้นรำ “เขาเสียชีวิตในวันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2535 ที่คลินิกแห่งหนึ่งในเมืองโลซานน์… ดึกดื่น ควานหาเทปวิดีโอกองหนึ่งพร้อมกับบันทึกบัลเลต์เก่าๆ ของฉันที่ถูกทิ้งไว้หลังทีวี ฉันดูดอนน์เต้นรำ ฉันเห็นว่าเขาเต้นอย่างไรนั่นคือเขามีชีวิตอยู่ และอีกครั้งที่เขาเปลี่ยนบัลเล่ต์ของฉันเป็นเนื้อของเขาเอง เนื้อเต้นเป็นจังหวะ เคลื่อนไหว ของเหลว ทุกคืนใหม่และสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ไม่รู้จบ ... ส่วนหนึ่งของตัวเองหลอกฉันตายไปพร้อมกับดอนน์ บัลเล่ต์ส่วนใหญ่ของฉัน ... หายไปกับเขา” ** (ยกเว้น "Adagietto" กับเพลงของ H. Mahler ซึ่ง Donne ได้แนะนำ Gilles Roman)
* ชีวิตใคร? หน้า157.
** อ้างแล้ว หน้า 147
Bejart ต้องการ "สองเท่า" เพื่อแสดงความคิด ความรู้สึก อารมณ์ของตัวละคร อย่างที่เคยเป็น Bejart "สลาย" แก่นแท้ของตัวละคร (ในขณะที่ทิ้งความสมบูรณ์ไว้) เป็นส่วนประกอบ แจกจ่ายให้กับนักแสดงหลายคนและด้วยเหตุนี้จึงขยายลักษณะตัวละครแต่ละตัวให้มีขนาดของบุคคล ใน "Baudelaire" เขามีฮีโร่ในหกหน้ากากใน "Nijinsky ... " - ในสิบใน "Malraux ... " - ในห้าใน "ความตายของนักดนตรี" - ในสาม ...
หน้ากากเป็นคุณลักษณะที่ทรงพลังอีกอย่างหนึ่งของโรงละครเบจาร์ต เธอเป็นพิธีกรรมเดียวกันกับเขา แม้แต่เทคนิคการแต่งหน้าก็ถูกนำมาขึ้นบนเวทีไม่ใช่เพื่อ "เคล็ดลับ" แต่เพื่อประโยชน์ของกระบวนการ ("Malraux ... ", "Kurozuka", "1789 ... และ WE" ). การใช้ในการแสดงมีหลากหลาย: มาส์กสำหรับแต่งหน้า, มาส์กดังกล่าว และมาส์กหน้า ด้านหนึ่งหน้ากากแต่งหน้าใช้ในบัลเล่ต์ที่มีธีมแบบตะวันออกซึ่งระบุว่า บางประเภทโรงละครในทางกลับกันเพื่อขยายคุณสมบัติของภาพ หน้ากากดังกล่าวทำหน้าที่เปลี่ยนตัวละครหรือการเปลี่ยนแปลงลึกลับ หน้ากากมีภาระทางจิตใจอย่างมาก (Jorge Donn เป็นชาติในอุดมคติ)
พลังเคลื่อนที่ถาวรของ Béjart ดึงดูดใจและดึงดูดกองกำลังที่ดีที่สุดเสมอ: นักแต่งเพลง Pierre Boulez และ Pierre Henri, Karlheinz Stockhausen และ Pierre Schaeffer, Nino Rota และ Tashiro Mayuzumi, Manos Hadjidakis และ Hugues le Bar ทำงานร่วมกับเขา ... Alvin สร้าง ทิวทัศน์และเครื่องแต่งกายสำหรับการแสดงของเขา Nicolas and Germinal Casado (ศิลปินเดี่ยวของบัลเล่ต์แห่งศตวรรษที่ 20), Salvador Dali และ Thierry Bosquet, Joel Roustan และ Roger Bernard, Gianni Versace และ Anna de Giorgi… Jean Marais, Ekaterina Maksimova และ Vladimir Vasiliev, Maya Plisetskaya และ Rudolf Nureyev, Sylvie Guillaume และ Mikhail Baryshnikov… Bejart ไม่ได้กดขี่อัจฉริยะของเขาด้วยกำลังและขนาด — เขาช่วยนักออกแบบท่าเต้นรุ่นเยาว์ให้ลองใช้มือโดยไม่ล้มเหลว
ความเจริญรุ่งเรืองของความคิดสร้างสรรค์ของ Bejart เกิดขึ้นในปี 1970 และ 80 ซึ่งแสดงให้เห็นโดยการทัวร์คณะของเขาในสหภาพโซเวียตในปี 2521 และ 2530 งานสำคัญของป้ายโฆษณาทัวร์ในปี 1987 คือการแสดงเกี่ยวกับนักเขียนชาวฝรั่งเศส สมาชิกกลุ่มต่อต้าน เพื่อนร่วมงานของ Charles de Gaulle รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมฝรั่งเศส - Andre Malraux การแสดงเริ่มต้น "จากจุดสิ้นสุด" - ตั้งแต่การประกาศวันที่นักเขียนเสียชีวิตจนถึงวัยเด็ก มีการใช้เทคนิคที่คล้ายกันในบัลเล่ต์ The Priest's House ไม่ได้สูญเสียเสน่ห์และสวนก็ไม่สูญเสียความหรูหรา (1997) รอบปฐมทัศน์ครั้งสุดท้ายของเขาและ Bejart เรื่อง "Mutations" (1998) ได้รับการชมจากผู้ชมในมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในระหว่างการทัวร์คณะหนุ่มของนักออกแบบท่าเต้น "Bejart Ballet Lausanne" ในเดือนเมษายน 2541*
* ในปี 1987 หลังจากการทัวร์ของสหภาพโซเวียตคณะบัลเล่ต์แห่งศตวรรษที่ 20 ร่วมกับ M. Bejart ย้ายไปที่โลซานซึ่งในปี 1992 Bejart Ballet Lausanne ถูกยุบและสร้างขึ้นซึ่งมีองค์ประกอบที่เล็กกว่า (ตอนนี้มี นักเต้นประมาณ 30 คน) และโรงเรียน Rudra แห่งที่สอง
"บ้านของนักบวช ... " (อุทิศให้กับ Freddie Mercury และ Jorge Donn) - บัลเล่ต์เกี่ยวกับศิลปินเส้นทางของเขาไม่สร้างสรรค์เท่าชีวิต (ในปี 2511 ในทำนองเดียวกันโบเดอแลร์ถูกจัดฉาก) ตัวละคร- ความตาย (ทั้งๆ ที่เบจาร์ทพูดไว้ว่า: “ฉันจินตนาการถึงการแสดงที่สนุกสนาน ไม่มืดมน และไม่แพ้ใครเลย ถ้าฉันไม่บอกว่าฉันแสดงบัลเลต์เรื่องความตาย คนดูจะไม่เดา” *, คุณยังสามารถเดาได้ด้วยผ้าปูที่นอนสีขาว ผ้าห่อศพ ผ้าคลุมเตียง อาการชักจากความตาย ขบวนแห่ศพ ...) และความบันเทิง (ส่วนสำคัญของชีวิตบนเวทีของเฟรดดี้)
*ชีวิตใคร? หน้า 226
“Freddie Mercury และ Donn เสียชีวิตในวัยเดียวกัน พวกเขามีบุคลิกที่แตกต่างกันมาก แต่พวกเขาก็รวมกันด้วยความกระหายอย่างแรงกล้าที่จะมีชีวิตและจำเป็นต้องแสดงตัวต่อผู้อื่น สำหรับฉันดูเหมือนว่าระหว่าง Donn และ Freddie Mercury มีการติดต่อกัน * (ในความหมายของคำว่า Baudelaire: "ชีวิตมีเสน่ห์เฉพาะด้วยเสน่ห์ของเกม" **)" Béjart เขียน นั่นเป็นเหตุผลที่เขากล้าที่จะรวมสิ่งนั้นเข้าด้วยกัน ศิลปินต่างๆ: ชีวิตของเฟรดดี้ฉายแววต่อหน้าต่อตาเขา เพียงชั่วครู่เพื่อแยกส่วนวิดีโอของบทละคร "Nijinsky, God's Clown" ในรอบสุดท้ายกับ Jorge Donn ในบทบาทที่ดีที่สุดและชื่นชอบของเขา - บทบาทของ Nijinsky Priest's House... คือความฝันของ Freddie ที่เป็นจริง: น่าทึ่ง การแสดงละครด้วยเอฟเฟกต์พิเศษที่ยิ่งใหญ่ ดอกไม้ไฟของแสง เสียง ที่น่าตกใจ บางครั้งก็น่าขยะแขยง เครื่องแต่งกาย (ซึ่งเฟรดดี้นักออกแบบมืออาชีพพัฒนาตัวเอง) ด้วยท่วงทำนองที่น่าทึ่งและจังหวะดนตรีที่ไพเราะ และตรงข้ามกับเบื้องหลังทั้งหมดนี้ - พลาสติกที่มีรูปร่างเหมือนเสือดำของเฟรดดี้ การแสดงของ Bejart เป็นรูปแบบที่แปลกประหลาดของแสงอิเล็กทรอนิกส์ (Clement Cayroll) เครื่องแต่งกายของ Freddie "อ้าง" โดย Gianni Versace (วิกผมยาว, กางเกงรัดรูป, ชุดเอี๊ยมที่มีบาดแผลลึก, แจ็คเก็ตหนังบนร่างเปลือยเปล่า), ปั้นเก๋ไก๋ของนักร้อง, การบันทึกคอนเสิร์ตของกลุ่มราชินี ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์รัสเซล มัลคาฮีกล่าวถึงเพลงของควีนว่า "เพลงของพวกเขาทรงพลังพอๆ กับเพลงสรรเสริญ"*** และสองคน ("มันเป็นวันที่สวยงาม" - เพลงสรรเสริญเกิดและ "The แสดงต้องดำเนินต่อไป" - เพลงสวดเพื่อความต่อเนื่องของชีวิต) สร้างโครงร่างของการแสดงและข้อความที่ตัดตอนมาสี่ตอนจากผลงานของ V.-A. ผู้ยิ่งใหญ่ โมสาร์ทนำบันทึกโศกนาฏกรรมมาสู่สิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น
* ชีวิตใคร? หน้า 226
** อ้างแล้ว หน้า129.
*** ยกมา. โดย: "Queen": มืออาชีพ / ไอดอลของเพลงป๊อปและร็อคตะวันตก ม., 1994. หน้า 109
ชื่อบัลเล่ต์“ The Priest's House…” มีรหัสผ่านของ Roulettebille จากนวนิยายของ Gaston Leroux“ The Mystery of the Yellow Room” ซึ่งในแวบแรกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของการแสดง (“ คำเหล่านี้ไม่ถือ ความหมายใด ๆ พวกเขามีสิ่งที่น่าสนใจและเป็นบทกวี" *) อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงเห็นความหมายที่ซ่อนอยู่ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานของ Freddie, Donn และ Bejart เอง
* ชีวิตใคร? หน้า 226
การแสดงเริ่มต้นด้วยการเคลื่อนไหวแบบสองความหมาย (“ตั้งแต่แรกเกิดถึงตาย” หรือ “ตั้งแต่ตายจนเกิด”) ... ลำแสงของสปอตไลท์รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างในห้องโถงและไม่พบมันค่อยๆเคลื่อนขึ้นไปบนเวทีซึ่ง พวกเขาสะดุดแม้แต่แถว ร่างกายมนุษย์ในรูปของไม้กางเขนใต้แผ่นสีขาว พวกเขาตายแล้วเหรอ? หรือยังไม่เกิด?.. Bejart มักใช้การตรึงกางเขนในการแสดงเกี่ยวกับศิลปินที่เสียสละเพื่อ Art ในทางกลับกันการตรึงกางเขนหมายถึงการเกิดใหม่ในรูปแบบใหม่ สำหรับ Bejart สัญลักษณ์หลักของศาสนาคริสต์ทั้งสองด้านมีความสำคัญเท่าเทียมกัน เงาไม้กางเขนมนุษย์ขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนม่านซุปเปอร์ม่านในตอนจบ ก่อนที่วิดีโอคลิปกับ Jorge Donn... ร่างกายจะค่อยๆ มีชีวิต เริ่มเคลื่อนไหวมากขึ้นเรื่อย ๆ (ซึ่งเหมือนกับการเกิดของ คล้ายกับว่าชีวิตทั้งชีวิตของเขาจะค่อยๆ ถูกบันทึกลงในกระดาษเปล่า) ชายหนุ่มโดดเด่นจากมวลมนุษย์ เริ่มต้นเส้นทางที่เป็นอิสระ แตกต่างจากคนอื่นๆ ทุกย่างก้าวของเขาคิดมาจากเบื้องบน และจะไม่มีสถานการณ์ใดเกิดขึ้นได้หากปราศจากความช่วยเหลือจากตัวละครแปลก ๆ ที่รวมเอาหลักการที่ตรงกันข้ามสองประการเข้าด้วยกัน: ขาวดำ บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตา? .. เฟรดดี้ถูกทรมานด้วยการขว้างเจ้าสาวหุ่นเชิดอย่างต่อเนื่องซึ่งความตายเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาถึงหญิงสาวในฝันซึ่งผ้าคลุมหน้าดูเหมือนจะไว้ทุกข์ เขาเร่งรีบในบริษัทของคนหนุ่มสาวที่ผสมผสานไลฟ์สไตล์ธุรกิจกับกีฬา - กระฉับกระเฉง แข็งแกร่ง และมีจุดมุ่งหมาย เบื้องหลังประสิทธิภาพ พวกเขาไม่สังเกตเห็น "ชนชั้นขุนนางที่อ่อนแอ" ซึ่งชอบ "ชั่วนิรันดร์" ของโมสาร์ท ดนตรีร่วมสมัยและต่อสู้ด้วยสุดกำลังของเธอ ปกป้องสถานที่ของเธอภายใต้ดวงอาทิตย์ แต่ที่ใหม่พร้อมสำหรับเธอแล้ว - บนเกอร์นีย์ในห้องเก็บศพ คู่หูของ "ขุนนาง" นั้นช่างน่าสมเพช ความรักเป็นที่คุ้นเคยสำหรับพวกเขาในสมัยชายหนุ่มและหญิงสาว ซึ่งเรื่องราวการร้องคู่เกี่ยวกับความรู้สึกที่บริสุทธิ์และสั่นเทานั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวังอันน่าสลดใจ คนหนึ่งไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากอีกฝ่าย และทั้งคู่ก็พบกับความตายใน การจากลาและการจับมือกันชั่วนิรันดร์ ... สัมผัสสัญญาณแรกของการเจ็บป่วย เฟรดดี้ยึดติดกับชีวิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ดื้อรั้นมากขึ้น เขาจะดื่มทุกอย่างที่เป็นของเขาจนหมดและ "ตัวละครแปลก ๆ" ตัวเดียวกันจะช่วยเขา เขาเป็นผู้เล่น เขาเป็นศิลปิน การแสดงเดี่ยวของเขาคือการแสดงภายในการแสดง เขาเล่นฉากต่อฉาก: ตอนนี้วิ่งจากความสิ้นหวัง - ตอนนี้เขาแสร้งทำเป็นอย่างช่ำชอง พิชิตด้วยอำนาจ - และถอยกลับด้วยความไม่แน่ใจ ความตลกขบขันและใจดีกลายเป็นตัวแทนของ "พลังสีดำ" ด้วยรูปลักษณ์ที่เหี่ยวแห้งนกและ สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ และมนุษย์ ... ปรากฏบนเวทีเป็นรั้วสามกำแพงสีขาว และค่อย ๆ เต็มไปด้วยชายหนุ่ม ดิ้น และ "ข้าม" กัน; พวกมันรวมกันเป็นหนึ่งเดียว สร้างรูปลักษณ์ของสวนขวดที่ใกล้ชิด ข้างหน้าพวกเขาคือเฟรดดี้ มองดูชายหนุ่มคนหนึ่งที่เบือนหน้าหนีจากฝูงงูทั้งหมดนี้ ... ค่อยๆ เส้นทางของนักร้องถูกปกคลุมไปด้วยภูเขาดอกไม้ สีทอง ความหรูหรา ท่ามกลางฉากหลังของรายการที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของ ตาย: "Jean, Paolo, Ricardo ... " ซึ่งเป็นที่สงวนไว้สำหรับเขา แต่เขาเสียชีวิตเร็วกว่าพวกเขามาก เมื่อได้รับทุกอย่างจากชีวิต เขาหมดความสนใจในสิ่งนั้นและไม่แยแส และตอนนี้ชีวิตของเขามีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น - ในไมโครโฟนที่นำไปสู่ความปีติยินดี แต่ไม่ได้บันทึกจากจุดสิ้นสุด และลางสังหรณ์ของสิ่งนี้คือเงาไม้กางเขนขนาดใหญ่หลังจากนั้นไม่กี่นาทีฉากจะเต็มไปด้วยวิดีโอคลิปที่มี Jorge Donn ผู้ยิ่งใหญ่ดวงตาสีเทาไร้ก้นม็อบผมข้าวสาลีและชุดตัวตลกที่ชื่นชอบซึ่งจะ ไม่ช้าก็ทิ้งความทรงจำของใครหลายคนที่เห็นเขาในงานเต้นรำ...
ในความตาย ทุกคนเท่าเทียมกัน และตอนนี้เฟรดดี้ก็อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่จากไป เวทีเต็มไปด้วย "ไม้กางเขน" ของมนุษย์อีกครั้งภายใต้แผ่นสีขาว ความตายคือความรอด ความตายคือชีวิต!
"House of the Priest..." - การแสดงเกี่ยวกับความรักและความตาย การเผชิญหน้าของพวกเขา; เกี่ยวกับเยาวชนและความหวัง การแสดงเป็นภาพร่างชีวิตของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี แต่ (เช่นเดียวกับใน Malraux) ไม่มีข้อเท็จจริง วันที่ สถานการณ์ในนั้น - มีเพียงรัศมีของพวกเขาเท่านั้น การแสดงมีความหลากหลายมากกว่าการแสดงอื่น ๆ ไม่มีการผสมผสานของศิลปะแบบเดิม ๆ ภาพตัดปะทางดนตรีนั้นเรียบง่ายที่สุดแทบจะไม่มีทิวทัศน์เลย ไม่มีหน้ากาก, กระจก, คู่, การแยกส่วนของตัวละคร, ไม่พบว่าในตอนแรกเกินเกิน ... ความอยากในความบริบูรณ์ทางปัญญาถูกแทนที่ด้วยความเรียบง่ายของเนื้อหาและการออกแบบ
“บ้านของนักบวช…” เป็นการอ้างถึงตัวเองครั้งใหญ่: การออกแบบท่าเต้น ฉาก รถเข็นคนพิการคือ "Mephisto-Waltz" คู่รักของชายหนุ่มและหญิงสาวดูเหมือนจะออกมาจาก "Romeo and Juliet" การเคลื่อนไหว "จากความตายสู่การเกิด" (และในทางกลับกัน) ถูกนำมาใช้ครั้งแรกโดย Bejart ในโรงภาพยนตร์ (ภาพยนตร์เรื่อง "ฉันเกิดในเวนิส" - 1977 ) และต่อมา - ในการแสดงของ "Malraux", "Death in Vienna - V.-A. Mozart" และอื่น ๆ โซโลของ "ตัวละครแปลก ๆ " คือการรวบรวมชิ้นส่วนของ Jorge Donna ขบวนแห่ศพเป็นเสียงสะท้อนของ "Malraux" การตรึงกางเขนเป็นคุณลักษณะหลักของละคร "Nijinsky, God's Clown" และอื่น ๆ ... คำพูดของ Bejart ไม่ได้มาจากจินตนาการที่อ่อนล้าและไม่มีเวลาและไม่เหนื่อยแม้แต่น้อย เขาไม่ได้เหนื่อยจากปีที่ผ่านมา แต่จากความซับซ้อนของการแสดงของเขา และใบเสนอราคาเป็นโอกาสเดียวและความปรารถนาที่จะยืดอายุการสร้างสรรค์ของเขาที่ไม่ทำงานอีกต่อไป
ดูเหมือนว่าเขาจะกลับไปหาเขา ช่วงต้นความคิดสร้างสรรค์ - ตอนนี้จ้องมองไปที่การเต้นรำเท่านั้นซึ่งยังคงคุณภาพงานประติมากรรมไว้และไม่สูญเสียเสน่ห์และความน่าดึงดูดใจ การเต้นของ Bejart ยังคงดึงดูดใจด้วยความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของท่าทาง การเคลื่อนไหว การยกตัวขึ้นสูง ขั้นบันไดที่ซับซ้อนทางเทคนิค กระทบกับความกลมกลืนและความเร้าอารมณ์ แต่ความเร้าอารมณ์ได้บังเกิดเฉดสีที่ต่างออกไปเล็กน้อยในตัวเขา - มันคมชัดขึ้น แห้งแล้ง รุนแรง และตรงไปตรงมา มีจังหวะสมัยใหม่มากมายในการเต้นรำนี้ องค์ประกอบที่ใกล้ชิดกับรุ่นน้องซึ่งไม่เคยเห็นบทประพันธ์ในยุคแรก ๆ ของอาจารย์ ในผลงานล่าสุดของ Bejart มีเพียงการเต้นรำและแสงเท่านั้น นั่นคือบัลเล่ต์ชุดสุดท้ายของเขากับเครื่องแต่งกายโดย G. Versace - "Mutations" (1998)
… ดาวเคราะห์เสียชีวิตในหายนะนิวเคลียร์ กลุ่มคนที่รอดตายอย่างปาฏิหาริย์กำลังจะจากเธอไปและออกตามหาคนอื่น ทุกคนตัดสินใจร่ายรำอำลาเป็นครั้งสุดท้าย โดยที่พวกเขาจำ รัก เล่นเกมในวัยเด็ก แต่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวังและไม่เชื่อ ศรัทธาและความหวังไม่เหลือเพียงคนเดียวเขาปฏิเสธที่จะบินกับทุกคน: "ฉันอยู่ ... ฉันจะรอ ... " และเขาก็ได้รับรางวัล - โลกกลับมามีชีวิต เขาสูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้ด้วยความปิติยินดีชื่นชมสีสันของพวกเขากลิ้งไปบนพื้นหญ้าอย่างบ้าคลั่งแล้วกดไปที่หน้าอกของเขา ...
“การกลายพันธุ์” เป็นการทำนายของบัลเล่ต์ เป็นการเตือนบัลเล่ต์… เสียงบลูส์แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของผู้ชม และราวกับกลัวที่จะรบกวนความสบายภายใน ม่านค่อยๆ คืบคลานขึ้นเผยให้เห็นรูปหลายเหลี่ยมของเวที เต็มไปด้วยร่างที่หมอบอยู่บนฉากหลังของสไลด์ที่มี "เห็ด" ที่เป็นลางร้าย " ฉากหลังของการแสดงละครซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการแสดง ได้กลายเป็นฉากแสดงภาพนิ่งของภัยธรรมชาติและหายนะของโลก (เรืออับปาง เมืองที่ตายแล้ว, ป่าไม้ไหม้เกรียมด้วยฝนกัมมันตภาพรังสี, เป็ดแช่แข็งในแอ่งน้ำมัน ...) ร่างกายที่หมอบอยู่คล้ายกับตุ๊กตาหุ่นเชิดค่อยๆ "ฟื้นคืนชีพ" อุ่นเครื่องปัดฝุ่นกัมมันตภาพรังสีถอดหน้ากากป้องกันแก๊สพิษ การเต้นรำของพวกเขาไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว ในสภาวะของความหลงใหล พวกเขายอมจำนนต่อจังหวะเพลงวอลทซ์ที่พวกเขาชื่นชอบ ชาร์ลสตัน เบรกแตก การเต้นรำแบบคลาสสิก
การแสดงเดี่ยวครั้งก่อนเปิดทางให้กับอีกคนหนึ่ง ทั้งสามคนกลายเป็นห้าคน... ท่ามกลางภูมิหลังของพวกเขา ผู้คนจากรุ่นต่างๆ ปรากฏขึ้นจากถังขยะ - "ติดเชื้อ" "ป่วย" ด้วยแขนและขาเป็นหุ่นเชิด ล้มลงครึ่งหนึ่ง- ศพ. คู่รักหลายคู่ไม่มีความหลงใหลในความรัก - ร่างกายหนึ่งพยายามติดต่อกับอีกคนหนึ่งไม่สำเร็จราคะ แรงกระตุ้นชายถูกปฏิเสธโดยความเย็นชาของผู้หญิง ฮีโร่หนุ่มถือไข่ที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติราวกับแอบซ่อนจากพวกเขา ปกป้องมันจากการถูกโจมตีเพียงเล็กน้อย ส่วนที่เหลือสนุกไปกับทุกการเคลื่อนไหวในรูปแบบของ "ดิสโก้" และตั้งตารอที่จะบินไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่นอย่างรวดเร็ว - มันอยู่บนสไลด์ด้านหลัง ทุกสายตาจับจ้องมาที่เธอ ความงามอันศักดิ์สิทธิ์และสามัคคีกันแต่ความทรงจำก็ไม่ทำให้คนหนุ่มสาว "อยู่บ้าน" แต่มันไม่มีอีกแล้ว ไม่มีความรัก ไม่มีท้องฟ้า ไม่มีดิน ไม่มีน้ำ หงส์ที่รอดตายได้สูญเสียขนนกที่สวยงามไปแล้ว ไม่สามารถยกปีกขึ้นจากน้ำหนักที่ห้อยอยู่ของกระป๋องที่ "ยึดครอง" อ่างเก็บน้ำได้ โลกนี้เป็นที่ทิ้งขยะขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ผู้คนถูกส่งไปในกระป๋อง มีเพียงความตายในห้องน้ำสุดเก๋เท่านั้นที่ควบคุมการแสดง
ตาม "คำขอ" ของเธอฮีโร่จำชีวิตของเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก: ความสุขแบบเด็ก ๆ ครั้งแรกเมื่อเห็นผลไม้ที่ไม่รู้จักมาจนบัดนี้และ "การทดสอบ" ที่ต้องการ (ใกล้แค่ไหน ประวัติศาสตร์พระคัมภีร์เกี่ยวกับการกินผลไม้ต้องห้ามของอดัมและอีฟ) ความรู้สึกโรแมนติกครั้งแรก - จิตวิญญาณ อ่อนโยน สั่นไหวและสวยงามในความสามัคคี - และเล่นกับตุ๊กตาซึ่งจบลงอย่างกะทันหันด้วยช่วงเวลาที่เติบโตขึ้น เลดี้เดธไม่ยอมให้จำอดีตได้จนจบ เธอหยาบคายและไร้มารยาท ... และตอนนี้ตุ๊กตากำลังบินเข้าไปในถัง เสียงคำรามอันน่าสยดสยองของเครื่องยนต์จรวดก็กลบทิ้งและตัดสิ่งที่เกิดขึ้นกับใครบางคนไปครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มรู้จักตนเองว่าพ่ายแพ้ต่อความปรารถนาความตายของมนุษย์ชั่วนิรันดร์ และจูบมือเธออย่างเชื่อฟัง ล้มลงคุกเข่าอย่างไร้สมรรถภาพ แต่ความหวังยังคงริบหรี่ในจิตวิญญาณเขายังคงอยู่และรอ ...
มอริซ เบจาร์ต. ภาพวาดโดย Rezo Gabriadze
ภาพถ่ายจากเอกสารสำคัญของ M. Dmitrevskaya
เช่นเดียวกับใน The House of the Priest... บัลเล่ต์นี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จำได้: จุดเริ่มต้นของการแสดงด้วยหน้ากากป้องกันแก๊สพิษและถังขยะ การออกแบบท่าเต้นและรูปแบบเฉพาะตัวของตัวละครต่างๆ - จาก "1789 ... และ WE", ฉากมวลชน - จาก "The Firebird", ผสม - จาก "The Rite of Spring", ฉากคู่คล้ายกับ "Our Faust" หงส์ที่กำลังจะตายอย่างแท้จริง - ไม่ใช่แค่คำพูด "Swan" ของ Fokine เท่านั้น แต่ยังเป็นรูปลักษณ์ของ Bejart ในอดีตอีกด้วย: 1978, "Leda - Swan", เครื่องแต่งกายโดย Gianni Versace - งานแรกของนักออกแบบท่าเต้นกับนักออกแบบท่าเต้น จากนั้นมีการผลิตร่วมกันอีก 13 รายการ "การกลายพันธุ์" Versace ไม่มีเวลาให้เสร็จ ในการทำงานกับ Bejart เกือบ 20 ปี เขาได้ศึกษาร่างกายของนักเต้น ความหมายของเครื่องแต่งกายสำหรับพวกเขา สำหรับการออกแบบท่าเต้นและสำหรับผู้กำกับ และเครื่องแต่งกายยังคงเป็นหัวข้อของคอลเลกชัน (เช่นใน "Malraux", "The Priest's House ... ") ซึ่งแข่งขันกันอย่างสง่างามในรายละเอียดด้วยแสงในการแสดง ใน "การกลายพันธุ์" เกือบทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขด้วยความช่วยเหลือของแสง - ควัน, โลกที่บิดเบี้ยว, สีฟ้าอันเจิดจ้าของท้องฟ้าจักรวาล, ดวงดาว, ชิ้นส่วนของชีวิตมนุษย์ที่แตกสลาย, ความสุขและความอบอุ่น แสงแดด… สำหรับความตายเท่านั้นที่ไม่มีแสงสว่างที่แน่นอน: ความตายคือชั่วขณะ ขอบเขตของการเปลี่ยนแปลง ช่วงเวลาระหว่างอดีตและอนาคต…
“ การกลายพันธุ์” ยังเป็นการประชดประชันตัวเองของ Bejart เบามีเหตุผลและบางครั้งก็ไร้ความปราณีในการเต้นรำที่เปล่งประกายมีอารมณ์ขันที่แทบจะมองไม่เห็นผสมกับความใจดีและความรักของนักแสดงที่มีต่อ Maitre เขาเป็นที่เข้าใจอย่างสมบูรณ์และแม้ว่าคณะจะได้รับการปรับปรุงเกือบทุกปี ตอนนี้ใน Bejart Ballet Lausanne มีนักเต้นเพียงคนเดียวที่รู้จัก Bejart ตั้งแต่สมัยบัลเล่ต์แห่งศตวรรษที่ 20 - ศิลปินเดี่ยวของคณะ Gilles Roman ("The Priest's House ... " - "ตัวละครแปลก ๆ", "Mutations" - ฮีโร่โคลงสั้น ๆ) ทายาทคนเดียวของคู่กรณีของ Jorge Donna ธรรมชาติของเขาแตกต่างจาก "ตัวตลกของพระเจ้า" - เขามีอารมณ์ระเบิด ศิลปะ เทคนิคที่ดี บทบาทที่หลากหลายขึ้นอยู่กับเขา แต่เส้นทางที่แท้จริงของเขาคือพิลึก
Bejart of 1998 แตกต่างออกไป: ไม่มีบัลเล่ต์แห่งศตวรรษที่ 20 ไม่มี Jorge Donna ไม่มีชีวิตสิบเอ็ดปีที่ผ่านไปตั้งแต่นั้นมา เที่ยวสุดท้าย. และถ้าใครผิดหวังกับการแสดงของเขาในปัจจุบัน ความผิดพลาดของพวกเขาก็คือพวกเขาไม่ต้องรอ Bejart นั้น พวกเขาต้องรอการแสดงในปัจจุบัน ท้ายที่สุดเขาไม่ได้ทรยศตัวเอง - การแสดงและคณะยังคงอยู่ "Bezharovsky"
เขาเปลี่ยนไปตลอดการทำงาน แต่เขาจำอดีตได้เสมอ ผลงานก่อนหน้านี้ไม่ทิ้งความทรงจำ Bejart เป็นความทรงจำในอดีตที่รับรู้ในปัจจุบัน เบจาร์ตเป็นสไตลิสที่เก่งกาจ นักหลอกลวงที่เก่งกาจ เขายังคงตกใจและประหลาดใจเหมือนเดิม นี่คือวิธีการของนักออกแบบท่าเต้นและผู้กำกับ ซึ่งเป็นวิธีการสร้างสรรค์ผลงานของเขา
ไม่มีเวลาที่จะยุติการแสดงหนึ่ง เขามักจะคิดถึงอีกการแสดงหนึ่ง เขามีแผนอีกกี่แผนและอะไร - แม้แต่เขาก็ไม่รู้ และตอนนี้เขากำลังเดินทาง “ฉันจากไปแล้ว ที่ไหน? ถึงคุณอนาคต" *.
* ชีวิตใคร? หน้า 226
Maurice Béjart (fr. Maurice Béjart ชื่อจริง Maurice-Jean Berger (fr. Maurice-Jean Berger) เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1927 ในเมือง Marseille หนึ่งในนักเต้นและนักออกแบบท่าเต้นชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียง ผู้กำกับละครและโอเปร่า เขาเป็นหนึ่งในนักออกแบบท่าเต้นที่ดีที่สุดในศตวรรษที่ XX
Father Maurice Gaston Berger (1896-1960) เป็นปราชญ์ วัฒนธรรม และการศึกษาจากตุรกี Kurdistan แม่ของเขาเป็นชาวคาตาลัน ครอบครัวของ Bejart มาจากเซเนกัล
การผสมผสานของเลือดและความเชื่อมโยงของรากเหง้าของชาติทำให้เกิดความยิ่งใหญ่ ความคิดสร้างสรรค์สู่ศิลปะของศิลปิน ผู้ออกแบบท่าเต้นกล่าวว่าเลือดแอฟริกันได้กลายเป็นพื้นฐานสำหรับความปรารถนาที่จะสร้างการเต้นรำ
นักออกแบบท่าเต้นในอนาคตสูญเสียแม่ไปเมื่ออายุเจ็ดขวบ Maurice ตัวน้อยยังเป็นเด็กป่วย และหมอเชื่อว่ากีฬานั้นดีสำหรับเขา เมื่อถึงเวลานั้น Bejart ได้เห็นการผลิตของ Serge Lifar เธอผลักเขาให้เรียนบัลเล่ต์ ผู้ปกครองบอกเกี่ยวกับความหลงใหลในโรงละครของลูกชายและแพทย์ก็อนุมัติชั้นเรียน ครูคนแรกของเขาคือผู้อพยพ Lyubov Yegorova และ Vera Volkova ในปีพ.ศ. 2484 มอริซเริ่มศึกษาการออกแบบท่าเต้นและในปี พ.ศ. 2487 เขาประสบความสำเร็จในข้อเท็จจริงที่ว่าเขาได้กลายเป็นนักแสดงนำในคณะบัลเล่ต์ของ Marseille Opera ด้วยความสามารถและความปรารถนาที่จะเต้นอย่างเต็มที่ใน บัลเล่ต์คลาสสิกเขาไม่ได้ปักหลัก ในปี 1945 Bejart ย้ายไปปารีส ที่นั่นเขาเรียนเต้นจากนักออกแบบท่าเต้นชื่อดังเป็นเวลาหลายปี ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเชี่ยวชาญทักษะของโรงเรียนออกแบบท่าเต้นต่างๆ มากมาย
ในตอนแรก Bejart ได้ลองตัวเองในกลุ่มออกแบบท่าเต้นมากมาย ในปี 1948 เขาร่วมงานกับ Janine Sharra แสดงที่ Inglesby International Ball ในลอนดอนในปี 1949 และที่ Royal Swedish Ballet ระหว่างปี 1950-1952
Bejart ตอนอายุ 21 ปีทำงานในคณะละครลอนดอนภายใต้การดูแลของ Nikolai Sergeev ในละครคลาสสิก Sergeev คุ้นเคยกับการออกแบบท่าเต้นที่มีชื่อเสียงใน โลกแห่งการเต้นรำเพราะฉันทำงานกับเขามากว่า 20 ปี ด้วยเหตุนี้ Bejart จึงได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับงานของนักออกแบบท่าเต้น
ในสวีเดน Bejart ทำงานร่วมกับคณะ Kulberg-Baletten พวกเขาพบว่าเขารู้จักท่าเต้นและเสนอให้เขาออกแบบท่าเต้นแกรนด์ปาสเดอเดอจาก The Nutcracker สำหรับโรงละครโอเปร่าสตอกโฮล์ม เขาคืนค่าคู่ซึ่งใกล้เคียงกับต้นฉบับ ในปี 1951 ที่สตอกโฮล์มร่วมกับ Birgit Kulberg เขาแสดงบัลเล่ต์ครั้งแรกของเขา ในสถานที่เดียวกัน Bejart ทำหน้าที่เป็นนักออกแบบท่าเต้นและจัดแสดงชิ้นส่วนของบัลเล่ต์ "The Firebird" โดย I. Stravinsky สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้
ในปี 1953 ร่วมกับ J. Laurent, Bejart ได้เปิดคณะ Ballet de l'Etoile ในปารีส ซึ่งแสดงจนถึงปี 1957 ในปี 1957 เขาได้ก่อตั้งคณะ "Ballée Théâtre de Paris" Bejart ผสมผสานการแสดงบัลเลต์และการแสดงในบทบาทนำ
ชัยชนะทั่วโลกรอเขาอยู่ในปี 2502 ในช่วงเวลาที่ทีม Ballet Theatre de Paris ของเขาประสบปัญหาทางการเงิน โดยไม่คาดคิด Bejart ได้รับข้อเสนอจาก Maurice Huisman ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้กำกับคนใหม่ของ Brussels Theatre de la Monnaie ให้จัดเวที The Rite of Spring เป็นเพลงของ I. Stravinsky กลุ่มนักเต้นที่มีความสามารถได้รับเลือกให้สร้างบัลเล่ต์ในเวลาเพียงสามสัปดาห์ Bejart สัมผัสได้ถึงเสียงเพลงของ Stravinsky เมื่อได้ยินและเห็นความละเอียดอ่อนทั้งหมดของการแสดงความรัก ในตอนแรกนี่เป็นแรงกระตุ้นที่ขี้ขลาดและระมัดระวังต่อเป้าหมายแห่งความรัก แล้วมีกิเลสตัณหาที่กลืนกินหมดสิ้น กับทุกเฉดของการแสดงกิเลสตัณหาทางกามารมณ์ การผลิตนี้ไม่เพียงแค่ประหลาดใจกับผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์คลาสสิกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ชมทั่วโลกด้วย
การผลิตที่ประสบความสำเร็จของ The Rite of Spring เป็นแรงผลักดันสำหรับอนาคตของ Bejart ในฐานะนักออกแบบท่าเต้น ปีต่อมา Huisman เชิญBéjart รับสมัคร คณะบัลเล่ต์ในประเทศเบลเยียม ในฝรั่งเศสไม่มีใครเสนอสิ่งนี้ให้เขา แต่เขาใฝ่ฝันที่จะทำงานและสร้างสรรค์ในสภาพเช่นนี้ เบจาร์ตย้ายไปบรัสเซลส์โดยไม่ลังเล และในปี 1960 บัลเล่ต์แห่งศตวรรษที่ 20 ก็ปรากฏตัวขึ้น
ในปี 1970 Bejart ได้เปิดสตูดิโอโรงเรียน "Mudra" ในกรุงบรัสเซลส์ ในปี 1987 Maurice Bejart ได้เดินทางไปมอสโกกับทีมของเขา เพื่อนร่วมชาติของเราชื่นชมงานสร้างสรรค์ของเขาและเขาก็กลายเป็นที่ชื่นชอบของสาธารณชน พวกเขาเริ่มเรียกเขาว่า Ivanovich มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับต่อหน้าเขา
ดาราบัลเล่ต์โซเวียตเริ่มต่อสู้เพื่อออกแบบท่าเต้นของเบจาร์ต เขาทำงานร่วมกับปรมาจารย์ด้านศิลปะบัลเล่ต์เช่นและ เฉิดฉายในบัลเลต์ "อิซาโดระ" ที่สร้างขึ้นเพื่อเธอโดยเฉพาะ เบจาร์ตยังแสดงหมายเลขคอนเสิร์ตเดี่ยวให้เธอด้วย
ในปี 1981 เขาทำงานด้านภาพยนตร์ร่วมกับคลอดด์ ลูลูชในภาพยนตร์เรื่อง One and the Other
หนึ่งใน ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจชีวประวัติของเขาคือการเปลี่ยนจากคาทอลิกเป็นอิสลามในปี 2516 ผู้ให้คำปรึกษาทางจิตวิญญาณของเขา Sufi Ostad Elai มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้
ในระหว่าง ปี Bejart ร่วมงานกับ Bejart ซึ่งเป็นนักแสดงคนแรกในการผลิตการตีความบัลเล่ต์ Petrushka ของ I. Stravinsky กับภรรยาของเขาเขาแสดงบทบาทนำในบัลเล่ต์ Romeo and Juliet ของ S. Prokofiev
ตั้งแต่ปี 1984 เครื่องแต่งกายสำหรับบัลเล่ต์ของ Bejart ได้ถูกสร้างขึ้นโดย Gianni Versace นักออกแบบเสื้อผ้าที่มีชื่อเสียงในโลกแฟชั่น สิบปีหลังจากที่เขาเสียชีวิต เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2550 โรงละครลา สกาลาในมิลานได้เปิดการแสดงบัลเลต์ Thank You, Gianni, With Love มันถูกส่งด้วยความกตัญญูและความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับความรู้สึกเป็นเพื่อนกับเพื่อนที่จากไปก่อน แม้แต่ปัญหาสุขภาพก็ไม่ได้หยุดเบจาร์ท
ในปี 1987 Maurice Béjart ได้นำบัลเล่ต์แห่งศตวรรษที่ 20 ไปยังเมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้เปลี่ยนชื่อของกลุ่มเป็น Béjart Ballet Lausanne
ในปี 1994 Maurice Béjart ได้รับเลือกเป็นสมาชิกของ French Academy of Fine Arts
ในปี 1999 Bejart ได้แสดงการตีความ The Nutcracker ซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ในเดือนตุลาคมที่ Turin เพลงดังของไชคอฟสกีเป็นแรงบันดาลใจให้นักออกแบบท่าเต้นสร้าง งานอัตชีวประวัติ. ตัวละครหลักเขา - เด็กหญิงคลาราถูกแทนที่ด้วยเด็กชาย Bim จากบัลเล่ต์ปี 1978 ของ Bejart เรื่อง "Parisian fun" ธีมของการผลิตคือทัศนคติของ Bejart ต่อวัยเด็กและแม่
Bejart ออกแบบและแสดงบัลเลต์มากกว่าร้อยบท และเขียนหนังสือห้าเล่ม
การยอมรับและรางวัล
1974 - รางวัล Erasmus Prize
พ.ศ. 2529 - เป็นอัศวินโดยจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น
2536 - รางวัลจักรพรรดิ
1994 - รางวัล le Prix Allemand de la Danse
2546 - รางวัล "การเต้นรำเบอนัวต์" ("เพื่อชีวิตในงานศิลปะ")
2006 - เหรียญทองเพื่อบุญในงานศิลปะ, สเปน
สมาชิกของ French Academy of Arts
พลเมืองกิตติมศักดิ์ของโลซาน
การแสดงนักเรียนและชิ้นส่วน ฯลฯ
โปรดักชั่น
2498 - " ซิมโฟนีสำหรับคนเหงา» (Symphonie pour un homme seul), Paris
2499 - "ไฟฟ้าแรงสูง" (ไฟฟ้าแรงสูง)
2500 - "Sonata for three" (Sonate à trois), Essen
2501- "ออร์ฟัส" ("Orphée"), Liege
2502 - The Rite of Spring, La Monnet Theatre, บรัสเซลส์
2503 - "ฟ้าร้องอันแสนหวาน" (ฟ้าร้องอันแสนหวาน)
2542 - "เส้นทางสายไหม" (La Route de la soie), โลซาน
2000 - "ราชาเด็ก" (Enfant-roi), แวร์ซาย
2544 - "แทงโก้" (Tangos (fr.)), เจนัว
2544 - "Manos" (มาโนส (fr.)), โลซาน
2002 - "แม่เทเรซาและลูก ๆ ของโลก" (Mère Teresa et les enfants du monde)
2546 - "Ciao, Federico" (Ciao Federico) เพื่อเป็นเกียรติแก่ Federico Fellini
2548 - "ความรักคือการเต้นรำ" (L'Amour - La Danse)
2549 - "Zarathoustra" (Zarathoustra)
2550 - "รอบโลกใน 80 นาที" (Le Tour du monde en 80 นาที)
2550 - "ขอบคุณ Gianni ด้วยความรัก" (Grazie Gianni con amore) ในความทรงจำของ Gianni Versace
ผลงาน
Maurice Bejart แสดงในภาพยนตร์ในฐานะผู้กำกับ ผู้ออกแบบท่าเต้น และนักแสดง:
2502 - "ซิมโฟนีสำหรับคนเหงา" ออกแบบท่าเต้นและการแสดงโดย Maurice Béjart กำกับโดย Louis Cooney
1975 - "ฉันเกิดที่เวนิส" กำกับการแสดงโดย Maurice Béjart (เนื้อเรื่อง Jorge Donna, Shona Mirk, Philip Lison และนักร้องบาร์บาร่า)
2002 - B comme Béjart, สารคดี
ผู้ติดตาม
Maurice Bejart อนุญาตเฉพาะผู้ที่เขาทำงานเป็นการส่วนตัวเพื่อทำงานของเขา อย่างไรก็ตาม หลายคน นักเต้นชื่อดังและนักเต้นก็แสดงผลงานของเขาโดยคัดลอกมาจากวิดีโอ ระดับสูงอย่างไรก็ตาม การประหารชีวิตของพวกเขาไม่เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของ Bezharovsky และผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามยังคงต้องระวางโทษปรับ
หนึ่งในผู้ติดตามของ Maurice Bejart คือ Misha Van Hoecke ซึ่งทำงานในคณะบัลเล่ต์แห่งศตวรรษที่ XX มาประมาณ 25 ปี
Maurice Bejart - นักออกแบบท่าเต้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเรา เขาถูกเรียกว่า "กวีแห่งการเต้นที่อิสระ แข็งแกร่ง และแข็งแกร่งของผู้ชาย มีวิถีชีวิตแบบคลาสสิก และเป็นกูรูบัลเล่ต์" นักเต้นมืออาชีพพวกเขากล่าวว่า M. Bejart เป็นนักออกแบบท่าเต้นที่โหดร้ายที่สุดของศตวรรษที่ยี่สิบ ความจริงก็คือการเต้นรำที่แสดงโดย M. Bejart นั้นทำได้ยากมากและต้องการผลตอบแทนมหาศาลและค่าใช้จ่ายทางกายภาพจากนักเต้น ผลงานของเขามีความทันสมัย วุ่นวาย มีปรัชญา หลายคนบอกว่า M. Bejart ได้สร้างปรัชญาการเต้นของตัวเอง
นักเต้นมืออาชีพนำผู้คนมาเต้น สวยงาม รักการเคลื่อนไหว มีโอกาสเลียนแบบเขาและเก่งกว่าเขา เพื่อให้ผู้คนพัฒนาและเติบโตทางจิตวิญญาณ
มอริซ เบจาร์ต (fr. Maurice Bejart, ชื่อเล่น- มอริซ-ฌอง แบร์เช fr. Maurice-Jean Berger, 1 มกราคม 2470, Marseille - 22 พฤศจิกายน 2550, โลซาน) - นักเต้นและนักออกแบบท่าเต้นชาวฝรั่งเศสผู้อำนวยการโรงละครและโอเปร่าหนึ่งในนักออกแบบท่าเต้นที่ใหญ่ที่สุดในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ยี่สิบ
บุตรชายของแกสตัน เบอร์เกอร์ (2439-2503) ปราชญ์ ผู้บริหารหลัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (2496-2503) สมาชิกสถาบันคุณธรรมและรัฐศาสตร์ (พ.ศ. 2498) เสียแม่ไปตอนอายุเจ็ดขวบ ได้รับอิทธิพลจากการแสดงที่เขาเห็น Serge Lifar ตัดสินใจอุทิศตนเพื่อบัลเล่ต์ เรียนกับโรแลนด์ เปอตี ในปีพ.ศ. 2494 เขาได้แสดงบัลเลต์ครั้งแรกของเขา (ในสตอกโฮล์ม ร่วมกับ Birgit Kullberg) ในปี พ.ศ. 2497 เขาได้ก่อตั้งบริษัท Ballet de l'Etoile ในปี 1960 - fr. Ballet du XXe Siecle ในกรุงบรัสเซลส์ ในปี 1987 เขาย้ายไปโลซาน ซึ่งเขาก่อตั้งบริษัทขึ้นจาก เบจาร์ บัลเลต์. เขาทำงานในโรงภาพยนตร์ รวมทั้งกับคลอดด์ ลูลูช (One and the other, 1981)
รางวัล Erasmus (1974), Imperial Prize (1993) สมาชิกของ French Academy of Arts ความสำเร็จของ Bejart ในฐานะผู้กำกับการแสดงนั้นส่วนใหญ่มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเปลี่ยนจากนักเต้นมาเป็นปรมาจารย์ด้านบัลเลต์อย่างสมบูรณ์ ในการผลิตของเขา เขาได้ผสมผสานการเต้นรำ ละครใบ้ และการร้องเพลง เบจาร์ตเป็นนักออกแบบท่าเต้นคนแรกที่ใช้พื้นที่กว้างขวางของสนามกีฬาสำหรับการแสดงออกแบบท่าเต้น โดยวางวงออเคสตราและคณะนักร้องประสานเสียงระหว่างการแสดง และการกระทำสามารถพัฒนาได้ทุกที่ในเวที บางครั้งแม้แต่ในหลายๆ ที่พร้อมๆ กัน
คณะ "บัลเลต์แห่งศตวรรษที่ 20" ที่สร้างโดยเบจาร์ตได้เดินทางไปทั่วโลกด้วยความสำเร็จอย่างล้นหลาม นักออกแบบท่าเต้นทำงาน ศิลปินรัสเซียบัลเล่ต์ - Vasiliev, Maximova และแน่นอน Maya Plisetskaya โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเธอ เขาได้แสดงบัลเลต์ "อิซาโดร่า" และการแสดงเดี่ยวหลายเพลง รวมถึง "วิชั่นออฟเดอะโรส" ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
โดยรวมแล้ว Maurice Béjart ได้ออกแบบและแสดงบัลเลต์มากกว่าร้อยบท ผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขา ได้แก่ The Rite of Spring, Petrushka ของ Stravinsky และ Gala กับเพลงของ Scarlatti
Maurice Bejart พูดถึงความสามารถของเขาดังนี้:
“พรสวรรค์คือคำสาป และเป็นเรื่องยากมากที่จะแบกรับมันไว้กับตัว และฉันต้องสร้างสไตล์ของตัวเอง แม่นยำยิ่งขึ้น ร่างกายของฉันมาพร้อมกับสไตล์ของฉันสำหรับฉัน
