โบสถ์ซานลอเรนโซในฟลอเรนซ์ คำอธิบายของประติมากรรมโดย Michelangelo "Tomb of Lorenzo Medici

มีการเขียนมากมายเกี่ยวกับ New Sacristy โดยทั้งนักวิจารณ์ศิลปะมืออาชีพและนักเดินทางทั่วไป LJ ยังมีสิ่งพิมพ์มากมายในหัวข้อนี้ ตามกฎแล้ว ภายหลังไม่มีการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับผลงานชิ้นเอกของมีเกลันเจโลชิ้นนี้ ฉันรู้สึกเศร้าใจกับคำอธิบายที่ค่อนข้างผิวเผิน: ฉันไปเยี่ยมชม มีผู้ชายจำนวนมากอยู่ในประติมากรรมตอนเช้าและกลางคืน และ ... เท่านั้น หลายคนอธิบายอย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับความงามของโบสถ์น้อยแห่งเจ้าชาย โดยเลือกและวางไว้ก่อน สำหรับฉัน การเยี่ยมชม Academy ศิลปกรรมและโอกาสที่จะได้เห็นต้นฉบับของ Michelangelo - SLAVES ของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อทัศนคติของฉันที่มีต่องานของเขา ()
ฉันมักจะลังเลที่จะอธิบาย ผลงานที่ยอดเยี่ยมประติมากรรม ภาพวาด และดนตรี เพราะฉันไม่มีคำพูดที่ซาบซึ้ง นั่นคือเหตุผลที่ฉันหันไปหาความประทับใจของคนดังที่มีคำพูดของพวกเขาในงานศิลปะ

ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 Pavel Muratov นักประวัติศาสตร์ศิลป์ชาวรัสเซียผู้มีชื่อเสียง นักปราชญ์แห่ง Florentine Renaissance Pavel Muratov เขียนไว้อย่างน่าทึ่งเกี่ยวกับ Capella:

“ใน New Sacristy of San Lorenzo หน้าหลุมฝังศพของ Michelangelo เราสามารถสัมผัสกับศิลปะที่บริสุทธิ์และร้อนแรงที่สุดที่บุคคลสามารถสัมผัสได้ พลังทั้งหมดที่ศิลปะส่งผลต่อจิตวิญญาณมนุษย์ได้รวมกันอยู่ที่นี่ - ความสำคัญและความลึกของแผน, อัจฉริยะแห่งจินตนาการ, ความยิ่งใหญ่ของภาพ, ความสมบูรณ์แบบของการดำเนินการ ก่อนการสร้างมีเกลันเจโลนี้ มีคนคิดว่าความหมายที่อยู่ในนั้นควรเป็นความหมายที่แท้จริงของศิลปะโดยทั่วไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ความจริงจังและความเงียบคือความประทับใจแรกพบ และถึงแม้จะไม่มี quatrain อันโด่งดังของ Michelangelo ก็แทบจะไม่มีใครกล้าพูดเสียงดังที่นี่ มีบางอย่างในอุโมงค์ฝังศพเหล่านี้ที่สั่งการอย่างมั่นคงให้นิ่งเงียบ และเช่นเดียวกับที่หมกมุ่นอยู่กับการทำสมาธิ และเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของความรู้สึก เช่น "เพนซิเอโรโซ" ที่ตัวเองอยู่บนหลุมศพของลอเรนโซ การไตร่ตรองอย่างบริสุทธิ์ถูกกำหนดไว้โดยฝีมืออันชาญฉลาด แต่บรรยากาศรอบ ๆ หลุมฝังศพของไมเคิลแองเจโลนั้นไม่โปร่งใสอย่างสมบูรณ์ แต่ถูกทาสีด้วยสีเข้มของความโศกเศร้า นอกจากนี้ ไม่ควรมีที่ว่างสำหรับการไตร่ตรองอย่างเป็นนามธรรมและไม่แยแส ไม่มีใครสามารถใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในความศักดิ์สิทธิ์ของ San Lorenzo ได้หากปราศจากความวิตกกังวลทางอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ความโศกเศร้าหลั่งไหลเข้ามาที่นี่ในทุกสิ่งและเป็นเกลียวคลื่นจากผนังหนึ่งไปอีกผนังหนึ่ง อะไรจะสำคัญไปกว่าประสบการณ์ในโลกนี้ที่สร้างสรรค์โดยศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุด? ด้วยการเปิดเผยของศิลปะนี้ต่อหน้าต่อตาเรา จะมีข้อสงสัยใด ๆ ไหมว่าความโศกเศร้าอยู่ที่พื้นฐานของทุกสิ่ง ที่พื้นฐานของทุกโชคชะตา ที่พื้นฐานของชีวิต? ความเศร้าโศกของ Michelangelo คือความเศร้าของการตื่นขึ้น ตัวเลขเชิงเปรียบเทียบของเขาแต่ละคนพูดกับผู้ชมด้วยการถอนหายใจ: ไม่ใช่ mi destar[อย่าปลุกฉัน]. ประเพณีตั้งชื่อหนึ่งในนั้นว่า "เช้า" อีก "เย็น" ที่สามและสี่ "กลางวัน" และ "กลางคืน" แต่ "เช้า" ยังคงเป็นชื่อที่ดีที่สุดของพวกเขา ดีที่สุดคือการแสดงออก แนวคิดหลักไมเคิลแองเจโล ควรจะเรียกว่า "รุ่งอรุณ" โดยจำไว้เสมอว่าในยามเช้าของทุกวันจะมีนาทีที่เจ็บปวด โหยหา และให้กำเนิดเสียงร้องไห้เงียบๆ ในใจ ความมืดในยามค่ำคืนละลายไปในแสงสีซีดของรุ่งอรุณ ผ้าปูที่นอนสีเทาจะบางลงและบางลง และค่อยๆ ร่อนลงมาทีละชิ้นด้วยความลึกลับอันเจ็บปวด จนกระทั่งรุ่งสางในท้ายที่สุดคือรุ่งเช้า "Morning" ของ Michelangelo ซึ่งยังคงไม่ชัดเจนในรูปแบบที่ยังไม่เสร็จยังคงปกคลุมไปด้วยผ้าห่อศพสีเทาเหล่านี้ การตื่นขึ้นสำหรับ Michelangelo หนึ่งในปรากฏการณ์แห่งชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้น และการเกิดของชีวิตในความเห็นของ Pater คือเนื้อหาของงานทั้งหมดของเขา ศิลปินไม่เคยเบื่อกับการชมปาฏิหาริย์ในโลกนี้ การมีอยู่ของวิญญาณและสสารกลายเป็น ธีมนิรันดร์ศิลปะของเขาและการสร้างรูปแบบจิตวิญญาณ - นิรันดร์ของเขา ความท้าทายทางศิลปะ... มนุษย์กลายเป็นหัวข้อของภาพทั้งหมดของเขา เพราะการผสมผสานที่ลงตัวที่สุดของจิตวิญญาณและวัตถุนั้นรับรู้ได้ในรูปมนุษย์ แต่คงเป็นความผิดพลาดที่จะคิดว่ามีเกลันเจโลเห็นความสามัคคีในการรวมกันนี้! ผลงานของเขามีพื้นฐานมาจากการปะทะกันอย่างน่าทึ่ง ซึ่งวิญญาณและสสารเข้ามาในทุกการเกิดของชีวิตและในทุกวิถีทาง เพื่อยอมรับความยิ่งใหญ่ของละครเรื่องนี้ เราต้องได้ยินอย่างละเอียดอ่อนถึงจิตวิญญาณของสิ่งต่าง ๆ และในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความหมายทางวัตถุอย่างลึกซึ้ง อย่างที่มอบให้กับมีเกลันเจโลเท่านั้น ... เขามองดูงานของประติมากรเพียงผู้เดียวเท่านั้น ปลดปล่อยรูปแบบเหล่านั้นที่ซ่อนอยู่ในหินอ่อนและสิ่งที่ได้รับเพื่อค้นพบอัจฉริยะของเขา ดังนั้นเขาจึงเห็นชีวิตภายในของทุกสิ่ง วิญญาณที่อาศัยอยู่ในความตายที่ดูเหมือนก้อนหิน การปลดปล่อยจิตวิญญาณซึ่งเป็นรูปแบบจากสารเฉื่อยและไม่มีรูปแบบเป็นงานหลักของประติมากรรมมาโดยตลอด ศิลปะเด่น โลกโบราณประติมากรรมถูกสร้างขึ้นเพราะโลกโบราณมีพื้นฐานมาจากการรับรู้ถึงจิตวิญญาณของทุกสิ่ง ความรู้สึกนี้ฟื้นคืนชีพพร้อมกับยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา - ครั้งแรกในยุคของฝรั่งเศสกอธิคและการเทศนาของฟรานซิสแห่งอัสซีซีเพียงความรู้สึกของกลิ่นหอมอ่อน ๆ หายใจสะดวกผ่านทุกสิ่งที่สร้างขึ้นในโลกและต่อมาได้เปิดเผยต่อศิลปิน quattrocentoความร่ำรวยที่ไม่สิ้นสุดของโลกและประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งทั้งหมดที่ได้รับ แต่บ้านของจิตวิญญาณเหมือนเช่นที่เคยเป็นของประติมากรชาวกรีกหรือยุคใหม่ ประเทศที่ยอดเยี่ยมเขาเหมือนเขาสำหรับจิตรกร ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาต้นโลกหยุดเพื่อมีเกลันเจโล ในโคลงของเขา เขาพูดเกี่ยวกับรูปแบบอมตะที่ต้องถูกจองจำในเรือนจำทางโลก สิ่วของเขาทำให้วิญญาณเป็นอิสระไม่ใช่เพื่อความปรองดองกัน และในสมัยโบราณ เป็นการคืนดีกับสสาร แต่สำหรับการแยกออกจากมัน มีเกลันเจโลไม่พบศรัทธาในการปลดปล่อยวิญญาณตลอดชีวิตอันยาวนานของเขา เรากลับไปที่ความศักดิ์สิทธิ์ของ San Lorenzo อีกครั้งเพื่อรวบรวมผลสุดท้ายของภูมิปัญญาและประสบการณ์ของเขา "

โบสถ์สร้างด้วยหินน้ำหนักเบาที่ปูด้วยปูนปลาสเตอร์สีขาว แต่มีการตกแต่งทางสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น (ช่องหน้าต่าง ซุ้มประตู ฯลฯ)

เออร์วิง สโตน นักเขียนชาวอเมริกันในนวนิยายเรื่อง Agony and Ecstasy (ตีพิมพ์ในรัสเซียในปี 1985 โดยสำนักพิมพ์ นิยาย"สิทธิ์" Torment and Joy "ในการแปลของ N. Bannikov) เขียนว่า:

“ ความรักและความเศร้าโศกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในหัวใจของ Michelangelo ผลักดันให้เขาอยู่สิ่งหนึ่ง: พูดคำพูดของเขาเกี่ยวกับ Lorenzo เพื่อเปิดเผยแก่นแท้ทั้งหมดของพรสวรรค์และความกล้าหาญของมนุษย์ในงานนี้ ความปรารถนาอย่างกระตือรือร้นในการเรียนรู้ ร่างร่างของสามีที่กล้าเรียกโลกให้ปฏิวัติทางจิตวิญญาณและศิลปะ คำตอบก็ค่อยๆ เติบโตเต็มที่เช่นเคย มีเพียงความคิดที่แน่วแน่และต่อเนื่องเกี่ยวกับลอเรนโซเท่านั้นที่นำไมเคิลแองเจโลมาสู่แผนที่เปิดช่องทางสำหรับพลังสร้างสรรค์ของเขา เขาจำการสนทนากับลอเรนโซเกี่ยวกับเฮอร์คิวลีสได้มากกว่าหนึ่งครั้ง งดงามเชื่อว่าตำนานกรีกไม่ได้ให้สิทธิ์ที่จะเข้าใจการหาประโยชน์ของเฮอร์คิวลีสอย่างแท้จริง การจับกุมหมูป่า Erymanthian, ชัยชนะเหนือสิงโต Nemean, การทำความสะอาดคอกม้า Augean ด้วยน้ำในแม่น้ำ - การกระทำทั้งหมดเหล่านี้อาจเป็นเพียงสัญลักษณ์ของงานยากต่างๆและคิดไม่ถึงที่แต่ละคน คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญ ลอเรนโซเองก็เป็นศูนย์รวมของเฮอร์คิวลีสไม่ใช่หรือ”

ลอเรนโซมีภาพในสภาวะการทำสมาธิอันสูงส่ง (เรียกว่า "นักคิด") สวมหมวกอันทรงพลังบนศีรษะของเขา

อาจารย์วาดภาพ Giuliano ด้วยศีรษะที่ไม่เปิดเผย กล้าหาญ มีพลัง แต่ไม่แยแส - เป็นตัวตนของหลักการที่มีประสิทธิภาพ ด้วยท่าทางที่สง่างามผ่อนคลาย เขาพิงไม้เท้าของผู้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพที่ได้รับจากสงคราม Giuliano แข็งตัวในท่าที่สวยงามและเศร้าเล็กน้อยเขามีโปรไฟล์ผู้ชายมือจำลองอย่างน่าทึ่งลำตัวกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แบบปกคลุมด้วยเปลือกบางพร้อมเครื่องประดับตกแต่ง:

ในนวนิยายของเออร์วิง สโตนเกี่ยวกับไมเคิลแองเจโล มีเนื้อหาเกี่ยวกับคาเปลลาหลายหน้า สโตนเชื่อว่าในภาพของ "ตอนเย็น" มีเกลันเจโลแสดงภาพตัวเองในอุดมคติ - ด้วยจมูกที่เกือบจะตรง ให้เรานึกถึงบรรทัดจากนวนิยาย: "ไม่มีใครหันกลับมาหาฉัน ใบหน้าของฉันแตกเป็นเสี่ยงภายใต้หมัดของนักสู้ Torrigiano เหมือนกระจก มีเศษเหลืออยู่: มันอยู่ในรอยแผลเป็นของฉัน ใบหน้าของฉัน ถูกกดลงใต้ข้อต่อของเขาราวกับว่าทำจากแป้งและแข็งมากฉันจะไปตลอดชีวิตและบนใบหน้าของฉันเหมือนหลุมถูกไฟไหม้และทำนายโดยโรคเรื้อนฉันล้มลงตายมีเลือดออกเมื่อ พวกเขาตกหลุมรักตลอดกาลตั้งแต่แรกเห็นที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้น เย็นเดือนเมษายนเมื่อพระศาสดามาพบเบียทริซบนสะพานด้วยอาภรณ์อันอ่อนโยนที่สุด สีชมพู, ในบรรดาผู้หญิงสองคน ในเวลาที่ผู้หญิงมองหารอยยิ้มของเราด้วยรอยยิ้ม ในเวลาที่คนอ่านแต่หน้าไม่สามารถเจาะเข้าไปได้ ความลับดำมืดหัวใจ ณ เวลานั้น ข้าพเจ้าจะเดินต่อไปจนตาย แสงสีขาวสัตว์ประหลาดไร้จมูกที่มีใบหน้าบิดเบี้ยว ถ้าฉันยิ้ม ช่องที่ถูกแทะยิ่งน่าขยะแขยงจะยืดออก - ในความคิดของฉัน มันจะไม่มีวันหาย "

ความคล้ายคลึงกันของภาพ "เช้า" และ "กลางคืน" ถูกเติมเต็มด้วยความคล้ายคลึงกันของทั้งสองภาพ โดยเฉพาะ "เช้า" กับภาพมาดอนน่า แนวคิดแรกที่เกี่ยวข้องกับความคล้ายคลึงกันของภาพผู้หญิงอาจเป็นความคิดที่กล้าหาญอย่างยิ่งที่ Michelangelo อยู่ในรูปปั้น "Morning" ซึ่งเส้นตรงตกตอนพระอาทิตย์ขึ้น แสงแดดพรรณนาถึงพระปฏิสนธินิรมล ท้ายที่สุดบนใบหน้าของ "เช้า" ไม่จำเป็นต้องอ่านเลยตามที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่าการตื่นขึ้นอย่างหนัก (เช่นที่เกิดหรือออกมาจากการนอนหลับตอนกลางคืน) มันแสดงถึงความอ่อนล้าทางกามารมณ์ สมปรารถนาซึ่งมิอาจปรองดองกับสิ่งใดได้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประติมากรรมนี้มีพื้นฐานบางประการ ในใหม่ล่าสุด เรียนภาษาอังกฤษ James Hall กล่าวถึงรูปปั้น Morning ว่า “Morning เสนอตัวเองเป็นครั้งแรก เธอตื่นขึ้นมาหรืออยู่ในภาวะมึนเมาทางอารมณ์ " แอนโธนี่ ฮิวจ์ส นักเขียนชาวอังกฤษอีกคนเขียนว่า มอร์นิ่ง กลายเป็นอุดมคติทางกามสำหรับประติมากรและจิตรกรชาวอิตาลีรุ่นต่อๆ มา การตีความที่ไม่คาดคิดใช่ไหม

เข็มขัดรัดเอว "เช้า" ใต้หน้าอกเป็นสัญญาณบ่งบอกโดยตรงของดาวศุกร์ และแน่นอนว่าไม่ได้ทำหน้าที่ตามที่ I. Stone เขียน เพียงเพื่อเน้นย้ำถึงความน่าดึงดูดใจของเต้านมตอนเช้า ยิ่งกว่านั้นแทบไม่มีที่ไหนเลยในภาพวาดโลกที่มีชื่อเสียงของศตวรรษที่ 15-16 ยกเว้นในรูปของ Venuses บางตัวเราไม่พบเข็มขัดดังกล่าวใต้หน้าอกบนร่างกายที่เปลือยเปล่าใต้ชุดเดรส

ภายในกรอบแนวคิดนี้ รูปปั้น "กลางคืน" เป็นภาพของพระแม่มารี ซึ่งถูกทรมานด้วยความทุกข์ทรมานจากการถูกตรึงบนไม้กางเขนและผล็อยหลับไปหลังจากการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระคริสต์ในสภาพที่หนักหน่วง แต่หลับสนิทแล้ว จากนั้นความสามัคคีของรูปปั้นทั้งสามนี้แสดงเป็นครั้งแรก (และครั้งสุดท้ายสำหรับปัจจุบัน) ความคิดอันบริสุทธิ์ที่แสดงในงานศิลปะการเลี้ยงดูแบบดั้งเดิมของพระเยซูที่ประสูติอันเป็นผลมาจากการปฏิสนธิและการลืมเลือนนี้หลังจากสามวันของการไว้ทุกข์นอนไม่หลับและรับ ข่าวการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระองค์ อย่างไรก็ตาม แนวความคิดในการวาดภาพพระแม่มารีที่เปลือยเปล่าและฉากนั้น ความคิดที่ไร้ที่ติดูเหมือนกล้าเกินไป นอกจากนี้ยังไม่มีโดยตรง การยืนยันทางวิทยาศาสตร์ในประวัติศาสตร์ศิลปะที่เรารู้จัก

เมื่อมีการเปิดทางเข้าโบสถ์ กวีได้แต่งกลอนโคลงประมาณหนึ่งร้อยบทที่อุทิศให้กับรูปปั้นทั้งสี่นี้ บรรทัดที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Giovanni Strozzi ที่อุทิศให้กับ "Night":

ค่ำคืนนี้ที่หลับไหลอย่างสงบ
ก่อนที่คุณจะเป็นนางฟ้าแห่งการสร้างสรรค์
เธอทำมาจากหิน แต่เธอยังมีลมหายใจ
แค่ตื่น - เธอจะพูด

Michelangelo ตอบโต้มาดริกาลนี้ด้วย quatrain ที่มีชื่อเสียงไม่น้อยไปกว่ารูปปั้น:

นอนก็สุขใจ สุขใจยิ่งกว่าเป็นก้อนหิน
โอ้ ในยุคนี้ อาชญากรและน่าละอาย
การไม่อยู่ การไม่รู้สึก เป็นสิ่งที่น่าอิจฉามาก
ได้โปรดเงียบอย่ากล้าปลุกฉัน

(แปลโดย F.I. Tyutchev)

นั่นคือเหตุผลที่เราต้องการนำเสนอแนวคิดอื่น ซึ่งปรากฏในภายหลัง แต่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จริงจัง ถึงแม้ว่าจะเป็นทางอ้อมก็ตาม

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1357 เหตุการณ์สำคัญสำหรับยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของฟลอเรนซ์ในอนาคตได้เกิดขึ้น เมื่อสองสามปีก่อน รูปปั้นกรีกเปลือยของวีนัสถูกขุดขึ้นมาจากพื้นดินในเมืองเซียนา ชาวซีนีสผู้น่านับถือไม่สามารถทนต่อการทดสอบความงามของรูปปั้นที่เปลือยเปล่าและในวันนี้ 7 พฤศจิกายนพวกเขาฝังมันอีกครั้งในพื้นดิน แต่อยู่ในดินแดนที่เป็นของสาธารณรัฐฟลอเรนซ์ - พวกเขาเชื่อว่าเทพธิดานอกรีตจะนำ โชคร้ายแก่ศัตรูที่สาบานตน อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างเกิดขึ้นแตกต่างออกไป และความงามแบบโบราณก็นำความโชคดีมาสู่ฟลอเรนซ์ เมืองนี้ในไม่ช้าก็กลายเป็นแหล่งกำเนิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา และผลงานชิ้นเอกที่มีชื่อเสียงที่สุดชิ้นหนึ่งที่เกิดที่นี่คือภาพวาดของบอตติเชลลีเรื่อง "กำเนิดดาวศุกร์"
นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง Raskin ในการบรรยายในปี 1874 ของเขาอธิบายว่าบอตติเชลลีเป็น "นักศาสนศาสตร์ที่เรียนรู้มากที่สุด ศิลปินที่เก่งที่สุด และบุคคลที่น่าพึงพอใจที่สุดในการสื่อสารที่ฟลอเรนซ์เคยสร้างมา"
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จิตรกรรมคริสเตียนที่สร้างภาพมาดอนน่า พระมารดาของพระเจ้า ศิลปินใช้ลักษณะใบหน้าของนางเอกโบราณเปลือย มันเป็นการตัดสินใจทางศิลปะที่กล้าหาญอย่างเหลือเชื่อสำหรับเวลานั้น
ในศตวรรษที่ 15 และต้นศตวรรษที่ 16 รูปปั้นของหญิงสาวเปลือยที่มีใบหน้าของมาดอนน่าไม่สามารถอยู่ในโบสถ์ได้ ตอนนี้ Venus และ Madonna ของ Botticelli แขวนอยู่ในแกลเลอรี Uffizi ข้างๆ กัน และในศตวรรษที่ 15 ศิลปินวาดภาพตามสั่ง และแยกย้ายกันไปตามคอลเลกชันส่วนตัวในบ้านต่างๆ สมัยนั้นไม่มีนิทรรศการ อุโบสถเป็นสถานที่สาธารณะ วัดที่ใครๆ ก็เข้ามาได้

“และสิ่งที่บอตติเชลลีเสียใจทำให้เขาไม่สามารถควบคุมได้ และถ้านิ้วของซานโดรสั่นด้วยความเศร้าโศก หมัดของมีเกลันเจโลก็ตัดภาพความโกรธของเขาลงในหินที่สั่นเทา” ริลเกเขียน

มีเกลันเจโลอดไม่ได้ที่จะรู้และเห็นกลุ่มสามคนของบอตติเชลลี ความจริงที่ว่าบอตติเชลลีได้รับแรงบันดาลใจจากบอตติเชลลีในรูปของรูปปั้นผู้หญิงของโบสถ์ Medici นั้นสามารถเห็นได้ในภาพวาดของเขาเกี่ยวกับธรรมชาติของผู้หญิง ซึ่งอยู่ใน Casa Buanarotti พิพิธภัณฑ์บ้านของประติมากรในฟลอเรนซ์ ในภาพวาดเหล่านี้ตามที่นักประวัติศาสตร์ศิลป์มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับภาพเหมือนของ Simonetta Vespucci ซึ่งตามความเห็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็น "แบบจำลอง" ของบอตติเชลลี
สามารถมองเห็นภาพผู้หญิงสามภาพของ Capella ได้ในคราวเดียวจากที่เดียว หากคุณยืนหันหน้าเข้าหาพระแม่มารี ทางด้านขวาจะมีรูปปั้น "เช้า" ทางด้านซ้าย - "กลางคืน" เป็นการยากที่จะบอกว่าเหตุใดจึงจัดเรียงตามลำดับดังกล่าว แต่ก็ปลอดภัยที่จะบอกว่ามีเกลันเจโลพยายามแก้ไขเพื่อต่ออายุและฟื้นฟูสัญลักษณ์คริสเตียนดั้งเดิมเพิ่มความสวยงามให้กับพวกเขาที่ชาวฟลอเรนซ์เทวรูปใน มรดกโบราณ

ในนวนิยายของเออร์วิง สโตนเกี่ยวกับ Michelangelo มีหลายหน้าที่อุทิศให้กับ Capella ... รูปปั้นของ The Day นั้นไม่สมบูรณ์ และภาพที่คล้ายกับต้นฉบับนั้นสร้างได้ยาก เธอเป็นตัวแทนของชายร่างใหญ่ กล้ามจมูกหัก ประติมากรจงใจละใบหน้าของเขาไว้โดยที่ยังไม่เสร็จ - เขาทำให้ชัดเจนว่านี่คือภาพของเขา - พลังมหาศาลที่เหลือเชื่อซึ่งเขาน่าจะรู้ตัวเองมากที่สุด "วัน" - ผู้ชายที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่างกายของเขามีกล้ามเนื้อและแข็งแรง เขานอนหงายกับผู้ชมอย่างกระสับกระส่ายและยากที่จะเข้าใจว่าเขาจะพลิกอีกข้างหรือยืนขึ้นหรือนอนลงดีกว่า ขาขวาของเขาวางอยู่บนบางสิ่งบางอย่างยกซ้ายขึ้นและโยนไปทางขวา มือซ้ายด้านหลัง; ทั้งหมดเข้าด้วยกัน - ลมหมุนของเสาที่สร้างตำแหน่งโปรดของ Michelangelo: ร่างในขณะที่เตรียมการเคลื่อนไหวที่เฉียบแหลมและเด็ดขาด




ประติมากรรม "วัน" กระตุ้นความสนใจและความคิดในตัวฉัน ฉันไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของฉันอย่างแน่นอน แต่ฉันอยากจะเข้าใจความคิดของ Michelangelo นี้อย่างไร !!! เป็นประติมากรรมชิ้นนี้ที่นักวิจารณ์ศิลปะพูดถึงน้อยที่สุด น่าสนใจมาก ทำไม?
จะจำ Rilke ได้อย่างไรที่นี่: “รู้ว่าอาจารย์สร้างเพื่อตัวเอง - เพื่อตัวเองเท่านั้น สิ่งที่คุณจะหัวเราะหรือร้องไห้ เขาต้องทำให้ดวงวิญญาณตาบอดด้วยมือที่แข็งแรงและนำเขาออกจากตัวเขาเอง ในจิตวิญญาณของเขาไม่มีที่สำหรับอดีตของตัวเอง - ดังนั้นเขาจึงมอบการดำรงอยู่ที่แตกต่างและโดดเด่นในการสร้างสรรค์ของเขา และเพียงเพราะมันไม่มีวัสดุอื่นใดนอกจากโลกนี้ของคุณ มันจึงทำให้ดูเป็นชีวิตประจำวันของคุณ อย่าสัมผัสด้วยมือของคุณ - ไม่เหมาะสำหรับคุณ รู้จักเคารพพวกเขา”

Madonna de Medici วางไว้ตรงกลางกำแพงต่อต้านแท่นบูชาซึ่งเป็นรูปกุญแจของโบสถ์และหนึ่งใน สิ่งมีชีวิตที่สูงขึ้นอัจฉริยะด้านภาพของ Michelangelo ทำหน้าที่เป็นภาพที่สวยงามและเน้นภายในที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้ชมกับโลกแห่งความรู้สึกของเขาความลึกและความซับซ้อนที่ไม่บดบังความเป็นมนุษย์ที่เรียบง่ายของพวกเขา รูปปั้นนี้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1521 เสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1531 เมื่อไมเคิลแองเจโลนำรูปปั้นนี้มาสู่คำจำกัดความที่สมบูรณ์ของกลุ่มซึ่งยังห่างไกลจากการสร้างเสร็จ ในรูปแบบนี้มันยังคงดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ มาดอนน่ามีบทบาทในการจัดองค์ประกอบที่สำคัญมากในโบสถ์ทั้งหมด: รวมรูปปั้นเข้าด้วยกัน ร่างของลอเรนโซและจูเลียโนหันไปหาเธอ

ตามแผนเดิมควรจะตั้งอยู่ในช่องแยกต่างหากตรงข้ามกับแท่นบูชา แต่การเปลี่ยนแปลงที่ตามมาในโครงการทำให้เกิดการจัดเรียงใหม่ของกลุ่มประติมากรรมของโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ Uffizi มีสำเนาโครงการของ Michelangelo ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามาดอนน่าดั้งเดิมตั้งครรภ์หลังจากมาดอนน่าแห่งบรูจส์ในยุคแรก: ทารกยืนอยู่บนพื้นระหว่างเข่าของมาดอนน่า หนังสือในมือของมาดอนน่า
ในกลุ่มประติมากรรมของสุสานเมดิชิ ทารกนั่งบนตักของมารดาในตำแหน่งที่ยากลำบากมาก: ศีรษะของทารกดูดเต้านมหันหลังกลับอย่างรวดเร็วด้วยมือซ้ายที่เขาจับ ไหล่ของมารดา และเอามือขวาวางบนอกของนาง มันคล้ายกับร่างของไมเคิลแองเจโลยุคแรกซึ่งเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง แต่ศีรษะที่โค้งคำนับของมาดอนน่าการจ้องมองที่โศกเศร้าของเธอมุ่งสู่อวกาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเช่นเดียวกับทั้งโบสถ์ ความรู้สึกที่กดขี่ต่อ Michelangelo พบการแสดงออกไม่เพียง แต่ในตัวเลขเชิงเปรียบเทียบ แต่ในทั้งกลุ่มและแม้กระทั่งในรูปปั้นของ Madonna and Child (Madonna de Medici) ซึ่งเน้นส่วนตรงกลางของผนังระหว่างสุสาน สำหรับเธอแล้ว รูปปั้นของ Giuliano และ Lorenzo Medici นั่งอยู่ในช่องแคบของพวกเขา
ภาพลักษณ์ของมาดอนน่าซึ่งเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมแห่งการรับรู้ของโลกนั้นมีความสำคัญ มีสง่าราศีและมีมนุษยธรรม สายตาที่หม่นหมองของมาดอนน่าที่หมกมุ่นอยู่กับเธอ โลกภายใน... ท่าทางตึงเครียดและมีชีวิตชีวาของเธอจังหวะการพับเสื้อผ้า - ทุกอย่างเชื่อมโยงเธอกับภาพอื่น ๆ ของโบสถ์กับสถาปัตยกรรมของตัวเองซึ่งตอนนี้รูปแบบที่เข้มข้นตอนนี้บางลงสร้างความประทับใจของความตึงเครียดของทั้งหมด . มีเพียงทารกที่แข็งแกร่งไม่จริงจังแบบเด็ก ๆ ที่เอื้อมมือไปที่หน้าอกของแม่ ยังคงเป็นแนวภาพที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังภายในที่ศิลปินสร้างไว้ก่อนหน้านี้ แต่อารมณ์ทั่วไปของความเศร้าโศก, การทำสมาธิอย่างลึกซึ้ง, ความขมขื่นของการสูญเสียถูกถ่ายทอดในกลุ่มของโบสถ์ด้วยความสมบูรณ์และความแข็งแกร่งที่น่าทึ่ง

โบสถ์เมดิชิในฟลอเรนซ์ตั้งอยู่บนพื้นที่ของโบสถ์ซานลอเรนโซ และถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สวยงามและน่าเศร้าที่สุดในเมือง ต้องขอบคุณปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ความหรูหราของการดำรงอยู่ทางโลกของเผ่าเมดิชิได้ถูกรวมไว้ในการตกแต่งที่ลี้ภัยสุดท้ายของพวกเขา ห้องใต้ดินและหลุมศพที่สร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่มีชื่อเสียงทำให้นึกถึงความเสื่อมโทรมของการดำรงอยู่ของโลกและความเป็นนิรันดร์ของจักรวาล

โบสถ์ซานลอเรนโซ ก่อตั้งขึ้นในปี 393 โดยนักบุญแอมโบรส สร้างขึ้นใหม่ในศตวรรษที่ 11 หลังจากนั้นจึงได้รูปทรงของมหาวิหารสี่เหลี่ยมที่มีเสาขนาดต่างกันที่ฐาน สถาปนิก Filippo Bruneleschi ซึ่งได้รับมอบหมายจาก Cosimo the Elder Medici ได้เพิ่มโครงสร้างรูปโดมครึ่งวงกลมให้กับโบสถ์ยุคกลางในศตวรรษที่ 15 และปูด้วยกระเบื้องสีแดง

ห้องสี่เหลี่ยมยาว มหาวิหารซานลอเรนโซลงท้ายด้วยแยกสองทาง ด้านซ้ายมี sacristy แบบเก่า (sacristy) และทางผ่านไปยังอาคารห้องสมุด Laurenziano ด้วย ด้านขวาโบสถ์เมดิชิตั้งอยู่ และชาเปลของเจ้าชายเพิ่มขึ้นในตอนท้าย ผิวด้านนอกของโบสถ์ที่หยาบกร้านตัดกับการตกแต่งภายในที่สวยงามตระการตา

การตกแต่งภายใน

โบสถ์ซานลอเรนโซเป็นสุสานของจิตรกร นักประวัติศาสตร์ และนักการเมืองชื่อดังชาวฟลอเรนซ์หลายคน ให้มากที่สุด บุคคลที่มีชื่อเสียงโลงศพถูกติดตั้งบนพื้นหินอ่อนและชั้นบนของกำแพง เสาหลักของมหาวิหารประดับด้วยซุ้มหินสีเทาแบบโกธิก ในช่องแนวตั้งขนาดใหญ่มีภาพเขียนของจิตรกรชาวฟลอเรนซ์ผู้ยิ่งใหญ่ Pietro Marchesini "Saint Matthew" 1723, "Crucifixion on the Cross" 1700 g โดย Francesco Conti, "The Crucifixion and Two Sorrows" โดย Lorenzo Lippi

ส่วนหนึ่งของผนังตกแต่งด้วยภาพปูนเปียกขนาดใหญ่ที่วาดภาพ Great Martyr St. Lawrence โดยศิลปิน Bronzino และติดตั้งบนแท่น ออร์แกนดนตรี... ใต้แท่นบูชาของโบสถ์สามารถเห็นการฝังศพของ Cosimo the Elder Medici ซึ่งจัดโดยชาวเมืองเองผ่านโครงตาข่ายทองแดง เป็นการแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งและความกตัญญูต่อผู้อุปถัมภ์และผู้ปกครองเมืองฟลอเรนซ์

ตรงกลางโถง บนฐานรองรับสูง มีแท่นสองแท่นคล้ายกับโลงศพ ตกแต่งด้วยภาพสีบรอนซ์นูนต่ำที่แสดงภาพชีวิตของพระคริสต์ นี้ ผลงานล่าสุดโดนาเตลโลเป็นปรมาจารย์ด้านการหล่อทองแดงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผู้ก่อตั้งรูปปั้นและรูปปั้นทรงกลม ซึ่งใช้เวลาหลายปีสุดท้ายของชีวิตในฟลอเรนซ์และอาศัยอยู่ใต้แผ่นหินอ่อนในโบสถ์ซานลอเรนโซ

คาถาเก่า

ห้องศักดิ์สิทธิ์ (sacristy) ใช้สำหรับเก็บเสบียงของโบสถ์และเตรียมนักบวชสำหรับการสักการะ แต่ในมหาวิหารซานลอเรนโซมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบเก่ากลายเป็นห้องใต้ดินของผู้ก่อตั้งตระกูล Medici - Giovanni di Bicci ออกแบบโดยสถาปนิก Filippo Brunneleschi หลุมฝังศพนี้เป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสที่สมบูรณ์แบบซึ่งโดดเด่นด้วยเส้นเรขาคณิตที่เข้มงวด

โดยได้รับอิทธิพลจากปรมาจารย์ในสมัยโบราณ Brunneleschi ใช้เสาและเสาตามแบบฉบับของสถาปัตยกรรมโรมันภายใน ผนังตกแต่งด้วยแผ่นหินอ่อนสีเทาอมเขียวซึ่งเมื่อใช้ร่วมกับปูนปลาสเตอร์สีเบจจะเน้นรูปแบบที่ถูกต้องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทางเดินใต้หลุมฝังศพอันมืดมิดนำไปสู่ห้องฝังศพด้านล่างและหลุมฝังศพของ Medici Cosimo the Elder ผนังห้องฝังศพใต้ถุนโบสถ์ตกแต่งด้วยกำมะหยี่แท่นบูชาสีแดงพร้อมลวดลายจานสีเงินวิจิตร

รูปปั้นครึ่งตัวของเมดิชิผู้ล่วงลับและเครื่องใช้ในโบสถ์อันล้ำค่ากระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ความสนใจเป็นพิเศษสมควรได้รับไม้กางเขนสีเงินสำหรับขบวนแห่ในปี 877 ซึ่งเป็นสุสานของนักบุญผู้ล่วงลับในปี ค.ศ. 1715 ซึ่งเป็นพลับพลาทองคำของ Lorenzo Dolci ในปี ค.ศ. 1787 นอกจากนี้ยังมีศาลเจ้าของหัวหน้าบาทหลวงในปี ค.ศ. 1622 และภาชนะที่มีพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ ประตูไม้ของห้องใต้ดินได้รับการแกะสลักอย่างชำนาญ

คริสตศักราชใหม่

New Sacristy หรือ Chapel ได้รับการออกแบบและสร้างใหม่โดยสถาปนิก Michelangelo ซึ่งได้รับมอบหมายจาก Pope Clement VII, Giulio Medici ในปี 1520 ห้องนี้มีไว้สำหรับฝังศพของดยุคทัสคานีผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลเมดิชิ ในเวลานั้นมีเกลันเจโลอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างยาก ด้านหนึ่งเป็นผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันที่ต่อสู้กับเมดิชิอย่างดุเดือด ในทางกลับกัน เขาเป็นช่างแกะสลักศาลที่ทำงานให้กับศัตรูของเขา

อาจารย์ได้สร้างวัดและห้องใต้ดินสำหรับครอบครัว ซึ่งในกรณีที่ได้รับชัยชนะ อาจลงโทษสถาปนิกอย่างรุนแรง ถนนสู่โบสถ์ Medici ทอดยาวไปทั่วมหาวิหาร San Lorenzo และเลี้ยวขวา ซึ่งคุณสามารถลงบันไดไปยังห้องที่มีสุสานได้

โลงศพของดยุกแห่งเนย์มูร์

สีที่เงียบของห้องและแสงอันละเอียดอ่อนที่ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กบนเพดานทำให้เกิดความรู้สึกเศร้าและความสงบสุขในสุสานของบรรพบุรุษ ในช่องหนึ่งบนผนังมีรูปปั้นหินอ่อนโดย Giuliano แห่ง Duke of Neymour ลูกชายคนสุดท้องของ Lorenzo Medici รูป หนุ่มน้อยนั่งบนบัลลังก์สวมชุดเกราะของทหารโรมันและศีรษะของเขาหันไปทางด้านข้างอย่างครุ่นคิด ด้านใดด้านหนึ่งของโลงศพมีรูปปั้นอันโอ่อ่าตระการตาซึ่งเป็นตัวแทนของวันและคืนของไมเคิลแองเจโล

โลงศพของดยุกแห่งเออร์บิโน

ฝั่งตรงข้ามของกำแพง ตรงข้ามกับหลุมฝังศพของ Giuliano เป็นรูปปั้นของ Lorenzo หลานชายของ Duke of Urbino ของ Lorenzo Medici ดยุคแห่งเออร์บิโน ลอเรนโซเป็นตัวแทนของนักรบกรีกโบราณนั่งสวมเกราะเหนือหลุมฝังศพของเขา และที่เท้าของเขามีรูปปั้นอันตระหง่านที่สร้างขึ้นใหม่ในตอนเช้าและตอนเย็น

โลงศพของพี่น้องลอเรนโซผู้ยิ่งใหญ่และจูเลียโน

การฝังศพครั้งที่สามของ Capella คือหลุมฝังศพของ Lorenzo the Magnificent และ Giuliano น้องชายวัย 25 ปีของเขาซึ่งเสียชีวิตด้วยน้ำมือของผู้สมรู้ร่วมคิดในปี 1478 หลุมฝังศพถูกสร้างขึ้นในรูปแบบของโต๊ะยาวซึ่งมีรูปปั้นหินอ่อน "Madonna and Child" โดย Michelangelo, "Saint Cosma" โดย Angelo di Montorsoli และ "Saint Domian" โดย Raphael di Montelupo องค์ประกอบทั้งหมดของ Capella หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวโดยช่วงเวลาที่ชีวิตดำเนินไปอย่างรวดเร็วและเวลาที่ไหลผ่านไปอย่างไม่รู้จบ

โบสถ์ของเจ้าชาย

ทางเข้า Chapel of Princes เป็นไปได้จาก Madonna del Brandini Square ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโบสถ์ San Lorenzo ห้องสุดหรูนี้เป็นสถานที่ฝังศพหกแห่งของแกรนด์ดุ๊กแห่งทัสคานีซึ่งเป็นกรรมพันธุ์ Hall of Princes ออกแบบโดย Mateo Nigetti ในปี 1604 และตกแต่งโดยช่างฝีมือชาวฟลอเรนซ์จากเวิร์กช็อป Pietra dura ซึ่งเป็นของตระกูล Medici

สำหรับการหุ้มผนังใช้หินอ่อนประเภทต่างๆ และ หินสังเคราะห์... แผ่นหินบาง ๆ ถูกเลือกตามเครื่องประดับและติดแน่นที่ข้อต่อ โลงศพที่ติดตั้งไว้ประดับตราประจำตระกูลเมดิชิ ดุ๊กเป็นผู้ใช้และผู้ก่อตั้งระบบการธนาคารที่แตกแยกของยุโรปตะวันตก

แขนเสื้อมีลูกบอลหกลูกซึ่งถือเป็นมูลค่าของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ออก กระเบื้องโมเสกที่ด้านล่างของกำแพงเป็นตัวแทนของเมืองทัสคานี มีรูปปั้นเพียงสองรูปที่ติดตั้งในช่อง - เหล่านี้คือ Dukes Ferdinand I และ Cosimo II เนื่องจากในที่สุดโบสถ์ก็สร้างไม่เสร็จ ช่องอื่นๆ จึงว่างเปล่า

มีอะไรให้ดูอีกบ้าง

คอลเล็กชั่นหนังสือและต้นฉบับเก่าแก่ที่มีค่าที่สุดอยู่ในห้องสมุด Laurenziano อาคารห้องสมุดและบันไดสีเทาอันวิจิตรที่นำไปสู่อาคารนั้นเป็นฝีมือของไมเคิลแองเจโล จุดเริ่มต้นของการรวบรวมคอลเลกชันต้นฉบับถูกวางโดย Cosimo the Elder Medici และดำเนินการต่อโดย Lorenzo I Medici หลังจากนั้นจึงตั้งชื่อคลังวรรณกรรม หากต้องการไปที่ห้องสมุด คุณต้องข้ามสุสานที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

ทัศนศึกษา

รัชสมัยของดยุคเมดิชิกินเวลาประมาณ 300 ปีและสิ้นสุดในกลางศตวรรษที่ 18 เมดิชิใช้ศิลปะและสถาปัตยกรรมอย่างชำนาญในการแสดงความมั่งคั่งและอำนาจของพวกเขา ศาลประติมากร สถาปนิก และศิลปินได้รับคำสั่งให้ก่อสร้างพระราชวังและการผลิตภาพเขียน ในตอนต้นของศตวรรษที่ 15 ครอบครัวเมดิชิหลายครอบครัวเลือก โบสถ์ซานลอเรนโซเป็นที่ฝังศพของสมาชิกประเภทหนึ่ง

แต่ละสาขาของราชวงศ์จ่ายสำหรับการก่อสร้างและสร้างสถานที่เฉพาะในมหาวิหาร บางคนจากกลุ่มได้รับเกียรติให้อยู่ในโบสถ์น้อยแห่งเจ้าชาย และมีคนพักอยู่ในซอกของห้องใต้ดิน รายละเอียดปลีกย่อยและการผสมผสานทั้งหมดในชีวประวัติของครอบครัวทัสคานีที่โด่งดังที่สุดจะอธิบายให้นักเดินทางทราบโดยมัคคุเทศก์ที่มีความสามารถซึ่งมีประสบการณ์มากมายในการทัศนศึกษารอบเมืองฟลอเรนซ์และคล่องแคล่วในเนื้อหาทางประวัติศาสตร์

ความลึกลับของโบสถ์เมดิชิ

ตระกูลของดยุคเมดิชิตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ถึงศตวรรษที่ 18 ได้สร้างประวัติศาสตร์ของฟลอเรนซ์ สมาชิกในครอบครัวของพวกเขารวมถึงพระสันตะปาปาและราชินีสององค์ของฝรั่งเศส เมดิชิไม่ได้เป็นเพียงผู้ปกครองที่มีอิทธิพลเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปะที่อุปถัมภ์ผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ดยุคเมดิชิครอบครองอำนาจมหาศาลและความมั่งคั่งมากมายตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พยายามซื้อในตอนแรก แต่เมื่อถูกปฏิเสธ พวกเขาพยายามขโมยสุสานศักดิ์สิทธิ์จากกรุงเยรูซาเล็มหลายครั้งเพื่อวางไว้กลางโบสถ์ ของเจ้าชาย.

ใครถูกฝังอยู่ในชาเปลของเจ้าชายแห่งมหาวิหารซานลอเรนโซ? อัญมณีอะไรที่ใช้ในการตกแต่งหลุมฝังศพแปดเหลี่ยมของ Dukes? ใครเป็นเจ้าของและเวิร์กช็อปเครื่องประดับและหินแกรนิตของฟลอเรนซ์ใช้อย่างไร พื้นผิวโมเสคของหินต่างๆ เชื่อมต่อกันอย่างไร และเหตุใดจึงไม่เห็นรอยต่อที่ผนังหุ้ม นักท่องเที่ยวที่อยากรู้อยากเห็นจะได้รับคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้และคำถามอื่น ๆ อีกมากมายโดยการเดินทางท่องเที่ยวแบบรายบุคคลพร้อมมัคคุเทศก์มืออาชีพ

หลุมฝังศพอันยิ่งใหญ่ของเมดิชิ

สองปีหลังจากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 หลานชายของลอเรนโซผู้ยิ่งใหญ่คือสมเด็จพระสันตะปาปาเคลมองต์ที่ 17 ยังคงให้เงินสนับสนุนในการสร้างโบสถ์น้อยในโบสถ์แห่งใหม่ของซานลอเรนโซ ประติมากรมีเกลันเจโลและลูกศิษย์ของเขาทำงานออกแบบโบสถ์เมดิชิมานานกว่า 10 ปี วัสดุที่ชื่นชอบของ Michelangelo คือหินอ่อนสีขาวจากเหมือง Carrara เจ้านายตัวเองมักปรากฏตัวในการเลือกบล็อกสำหรับผลงานของเขา

ประติมากรรมเชิงเปรียบเทียบของกลางวัน กลางคืน เช้า และเย็นในโบสถ์เมดิชิยังสร้างโดยสถาปนิกจากหินอ่อนคาร์ราราสีขาวและขัดเกลาอย่างปราณีตจนเป็นประกาย สำรวจทุกมุมของโบสถ์ซานลอเรนโซและอย่าหลงทางในทางเดินของสุสาน เรียนรู้มวลในช่วงเวลาสั้น ๆ ข้อมูลที่น่าสนใจและดูสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองฟลอเรนซ์และโบสถ์เมดิชิ - เป็นไปได้ด้วยความช่วยเหลือจากมัคคุเทศก์ที่มีความสามารถและการทัศนศึกษาแบบรายบุคคลเท่านั้น

Medici และยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

เสรีภาพในการเลือกอย่างสร้างสรรค์เป็นไปได้ในพรรครีพับลิกันฟลอเรนซ์ แต่เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ช่างฝีมือที่มีความสามารถทั้งหมดต้องพึ่งพาศาลเมดิชิอย่างสมบูรณ์ มีเกลันเจโลเป็นผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันและต่อต้านการปกครองแบบเผด็จการของเมดิชิ ในขณะที่ปฏิบัติตามคำสั่งหลายอย่างของครอบครัว ประติมากรยังคงตกแต่งโบสถ์ซานลอเรนโซ ห้องสมุดลอเรนซิอาโน และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งใหม่ด้วยความกลัวความพิโรธของขุนนาง

หลังจากความพ่ายแพ้ของพรรครีพับลิกัน มีเกลันเจโลซ่อนตัวจากเจ้านายของเขาในโบสถ์ใต้โบสถ์ซานลอเรนโซและอยู่ที่นั่นจนกว่าสมเด็จพระสันตะปาปาจะให้อภัยการกบฏของเขา หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ในปี ค.ศ. 1534 อาจารย์ก็ย้ายไปโรมโดยไม่ได้ออกแบบโบสถ์เมดิชิให้เสร็จ งานบนหลุมฝังศพของ Lorenzo the Magnificent ยังคงดำเนินต่อไปโดย Vasari ในขณะที่งานประติมากรรมของ Cosimo และ Domiano สร้างขึ้นโดยนักเรียนของ Michelangelo มีเกลันเจโลผู้ยิ่งใหญ่ (1475-1564) เป็นผู้ประติมากร กวี จิตรกร และวิศวกร ซึ่งถูกฝังอยู่ในสุสานหินอ่อนของซาน ลอเรนโซ

อัจฉริยภาพของประติมากรรมโดยโดนาเทลโล (1386-1466) มีบทบาทสำคัญในการออกแบบมหาวิหารซานลอเรนโซ แท่นบูชาขนาดใหญ่สองโต๊ะ แต่ละแท่นยืนบนสี่เสา ตกแต่งด้วยออนเลย์ทองสัมฤทธิ์ที่ทำโดยปรมาจารย์ พล็อตสำหรับการออกแบบของพวกเขาคือ ธีมพระคัมภีร์ซึ่งบรรยายชีวิตของนักบุญลอว์เรนซ์ สวนเกทเสมนี และการสืบเชื้อสายมาจากไม้กางเขน โดนาเทลโลเป็นคนไม่โอ้อวดไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน พอใจกับอาหารพอประมาณและไม่สวมเสื้อผ้าที่ร่ำรวย

เงินที่เขาหามาได้มีให้สำหรับนักเรียนโดยเสรี และตามเรื่องราวของคนในสมัยของเขา พวกเขา "เก็บไว้ในตะกร้าที่ห้อยลงมาจากเพดานในห้องทำงานของประติมากร" ผลงานของเขาผสมผสานความเก่าแก่และยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเข้าด้วยกัน Donatello ให้ความสำคัญกับการวาดภาพและทดลองการหล่อจากขี้ผึ้งและดินเหนียว น่าเสียดายที่ไม่มีโครงการหรือตัวอย่างเดียวที่รอดชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้

เหล่านี้และอื่น ๆ ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจบทบาทของเมดิชิในประวัติศาสตร์อายุหลายศตวรรษของเรเนซองส์ฟลอเรนซ์ นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้จากมัคคุเทศก์ที่มีความสามารถเมื่อทำการทัศนศึกษารายบุคคล

เวลาเปิดทำการและราคาตั๋ว

ความซับซ้อนของอาคารประวัติศาสตร์ในโบสถ์ซานลอเรนโซ แตกต่างกันไปในแง่ของการเข้าชม และต้องซื้อตั๋วแยกต่างหาก

เวลาทำการของมหาวิหารซานลอเรนโซ:

• เวลา 10.00 - 17.00 น. ทุกวัน
• เวลา 13.30 - 17.30 น. ในวันอาทิตย์
• ไม่ทำงานใน วันอาทิตย์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์

สำนักงานขายตั๋วปิดเวลา 16.30 น.

ราคาตั๋ว:

• 6 ยูโรเพื่อเยี่ยมชมมหาวิหาร
• 8.5 ยูโรสำหรับ เยี่ยมชมร่วมกันมหาวิหารและห้องสมุดของ Laurenziano

เวลาทำการของโบสถ์เมดิชิ:

• จาก 08.15 ถึง 15.45;
• ปิดวันที่ 1 มกราคม 25 ธันวาคม 1 พฤษภาคม ตั้งแต่ 1 ถึง 3 และ 5 วันจันทร์ของเดือน วันอาทิตย์ที่ 2 และ 4 ของเดือน

ค่าตั๋วไป Capella คือ 8 ยูโร

อยู่ที่ไหนและจะไปที่นั่นได้อย่างไร

โบสถ์ซานลอเรนโซและโบสถ์เมดิชิตั้งอยู่ที่ Piazza di San Lorenzo, 9, 50123 Firenze FI, Italia

รถโดยสารประจำทางหมายเลข 1 ส่งนักท่องเที่ยวไปที่ป้าย "San Lorenzo"

หากคุณขับรถมาเอง คุณสามารถใช้ที่จอดรถใต้ดินของสถานีรถไฟ Florence Santa Maria Novella ซึ่งอยู่ในระยะที่สามารถเดินได้จากมหาวิหาร

โบสถ์เมดิชิในฟลอเรนซ์บนแผนที่

พิกัด: 43 ° 46'30.59 "วิ ซ. 11 ° 15'13.71″ ตะวันออก ฯลฯ /  43.775164 ° N ซ. 11.253808 ° อี ฯลฯ(ช) (โอ) (ผม)43.775164 , 11.253808

โบสถ์เมดิชิ- โบสถ์อนุสรณ์ครอบครัวเมดิชิที่โบสถ์ฟลอเรนซ์แห่งซานลอเรนโซ การตกแต่งประติมากรรมเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ทะเยอทะยานที่สุดของ Michelangelo Buonarotti และยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนปลายโดยทั่วไป

คำเชิญสถาปนิก

มีเกลันเจโลมาถึงฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ. 1514 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ X เมดิชิเชิญเขาให้สร้างส่วนหน้าใหม่สำหรับโบสถ์ท้องถิ่นของซานลอเรนโซ ซึ่งเป็นวัดประจำตระกูลของตระกูลเมดิชิผู้มีอิทธิพล อาคารนี้จะกลายเป็น "กระจกเงาของอิตาลีทั้งหมด" ซึ่งเป็นศูนย์รวมของคุณลักษณะที่ดีที่สุดของงานฝีมือของศิลปินชาวอิตาลีและเป็นพยานถึงความแข็งแกร่งของตระกูลเมดิชิ แต่การใช้เวลาหลายเดือนของความคิด การตัดสินใจในการออกแบบ การเข้าพักของ Michelangelo ในเหมืองหินอ่อนนั้นไร้ประโยชน์ มีเงินไม่เพียงพอสำหรับการดำเนินการซุ้มอันโอ่อ่า - และโครงการนี้ก็สูญเปล่าหลังจากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปา

เพื่อไม่ให้ศิลปินที่มีความทะเยอทะยานออกจากครอบครัวพระคาร์ดินัล Giulio Medici ได้สั่งไม่ให้สร้างอาคารให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ให้สร้างโบสถ์ในโบสถ์เดียวกันของ San Lorenzo งานเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1519

แนวคิดและโครงการ

หลุมฝังศพยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาได้ผ่านเส้นทางการพัฒนาที่สำคัญเมื่อ Michelangelo ถูกบังคับให้หันไปใช้หัวข้อพลาสติกที่ระลึก โบสถ์เมดิชิเป็นอนุสาวรีย์ของตระกูลเมดิชิที่น่าเกรงขามและทรงพลัง ไม่ใช่การแสดงเจตจำนงของอัจฉริยะผู้สร้างสรรค์โดยเสรี

ในภาพร่างแรก มีการเสนอให้สร้างหลุมฝังศพสำหรับตัวแทนที่เสียชีวิตในช่วงต้นของครอบครัว - Duke of Nemours Giuliano และ Duke of Urbino Lorenzo ซึ่ง Michelangelo ต้องการวางไว้กลางโบสถ์ แต่การพัฒนาทางเลือกใหม่และการศึกษาประสบการณ์ของรุ่นก่อนทำให้ศิลปินต้องหันมา ลวดลายดั้งเดิมข้างกำแพงอนุสาวรีย์ Michelangelo ออกแบบตัวเลือกผนังใน โครงการล่าสุด, ตกแต่งหลุมฝังศพด้วยประติมากรรม และ lunettes เหนือพวกเขาด้วยจิตรกรรมฝาผนัง

ศิลปินปฏิเสธที่จะทำภาพเหมือนอย่างราบเรียบ เขาไม่ได้ยกเว้น Dukes Lorenzo และ Giuliano เขานำเสนอพวกเขาเป็นศูนย์รวมของบุคคลในอุดมคติทั่วไป - คล่องแคล่วและครุ่นคิด ตัวเลขเชิงเปรียบเทียบของช่วงเวลาของวัน - กลางคืน, เช้า, กลางวันและเย็น - ยังบ่งบอกถึงความหายวับของชีวิตพวกเขา องค์ประกอบรูปสามเหลี่ยมของหลุมฝังศพได้รับการเสริมด้วยร่างของเทพเจ้าแห่งแม่น้ำที่อยู่บนพื้นแล้ว อย่างหลังเป็นการพาดพิงถึงกระแสของเวลาอย่างต่อเนื่อง พื้นหลังเป็นผนัง เล่นเรียงตามช่องและเสา เสริมด้วยรูปปั้นตกแต่ง มีการวางแผนที่จะวางพวงมาลัย ชุดเกราะ และหุ่นตกแต่งสี่ตัวของเด็กชายยู่ยี่บนหลุมฝังศพของลอเรนโซ (เพียงคนเดียวที่สร้างขึ้นจากพวกเขาจะถูกขายให้กับอังกฤษในภายหลัง จากคอลเล็กชั่น Lyde Brown ในปี ค.ศ. 1785 จักรพรรดินีแห่งรัสเซีย Catherine II จะเข้าซื้อกิจการ ของสะสมในวังของเธอเอง)

เหนือหลุมศพของ Giuliano putti มีเปลือกหอยขนาดใหญ่อยู่ในโครงการและมีการวางแผนปูนเปียกในดวงสี นอกจากป้ายหลุมศพแล้ว ยังมีแท่นบูชาและรูปปั้นของพระแม่มารีและพระบุตรและแพทย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์อีกสองคนคือ Cosmas และ Damian ผู้อุปถัมภ์สวรรค์ของครอบครัว

ชาติที่ไม่สมบูรณ์

โบสถ์เมดิชิเป็นห้องขนาดเล็ก ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ผนังด้านข้างยาวสิบสองเมตร สถาปัตยกรรมของอาคารได้รับอิทธิพลจากวิหารแพนธีออนในกรุงโรม ซึ่งเป็นตัวอย่างที่มีชื่อเสียงของโครงสร้างโดมโดยช่างฝีมือชาวโรมันโบราณ Michelangelo สร้างขึ้นใน บ้านเกิดมันเป็นรุ่นเล็ก โครงสร้างภายนอกที่ดูธรรมดาและสูงนั้นสร้างความประทับใจให้กับพื้นผิวขรุขระของผนังที่ไม่มีการตกแต่ง พื้นผิวที่ซ้ำซากจำเจซึ่งพังทลายด้วยหน้าต่างหายากและโดม แสงเหนือศีรษะเป็นเพียงแสงเดียวสำหรับอาคาร เช่นเดียวกับในวิหารแพนธีออน

แผนงานขนาดใหญ่ที่มีประติมากรรมจำนวนมากไม่ได้ทำให้ศิลปินตกใจ ซึ่งเริ่มทำงานในโครงการนี้เมื่ออายุ 45 ปี เขาจะมีเวลาสร้างร่างของทั้งสองดุ๊ก บุคคลเชิงเปรียบเทียบของวัน เด็กชายคุกเข่า มาดอนน่าและพระบุตรและนักบุญ คอสมาสและดาเมียน มีเพียงรูปแกะสลักของลอเรนโซและจูเลียโนและบุคคลเชิงเปรียบเทียบของราตรีเท่านั้นที่เสร็จสมบูรณ์จริงๆ อาจารย์ยังสามารถบดพื้นผิวของพวกเขาได้ พื้นผิวของมาดอนน่า เด็กชายคุกเข่า อุปมานิทัศน์เรื่องกลางวัน ยามค่ำ ​​และตอนเช้า ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากนัก ในทางที่แปลก ความไม่สมบูรณ์ของตัวเลขทำให้พวกเขาแสดงออกถึงความเข้มแข็งและความวิตกกังวลแบบใหม่ ความประทับใจของความเศร้าโศกยังได้รับการอำนวยความสะดวกด้วยการผสมผสานของผนังสีอ่อนที่มีสีเข้มของเสา, cornices, กรอบหน้าต่างและส่วนโค้ง lunettes อารมณ์ที่น่าตกใจยังได้รับการสนับสนุนโดยเครื่องประดับอันน่าสยดสยองของชายคาและหน้ากากบนเมืองหลวง

ร่างของเทพเจ้าแห่งแม่น้ำได้รับการพัฒนาในภาพวาดและภาพร่างเท่านั้น ในเวอร์ชันที่เสร็จสมบูรณ์ พวกเขาถูกละทิ้งโดยสิ้นเชิง ช่องที่อยู่ตามร่างของ Lorenzo และ Giuliano และคนวงรีก็ว่างเปล่าเช่นกัน พื้นหลังของกำแพงที่มีรูปปั้นของ Madonna and Child and Saints Cosmas และ Damian ยังไม่ได้รับการพัฒนาในทางใดทางหนึ่ง หนึ่งในตัวเลือกนี้ยังมีการวางแผนที่จะสร้างเสาและซอกที่นี่ ดวงสีอาจมีภาพเฟรสโกในหัวข้อ "การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์" เพื่อเป็นการพาดพิงถึง ชีวิตนิรันดร์ตายใน ยมโลกและที่อยู่ในร่าง

เลิกกับเมดิชิ

ภายในโบสถ์

งานเกี่ยวกับร่างของโบสถ์กินเวลาเกือบสิบห้าปีและไม่ได้ทำให้ศิลปินพึงพอใจ ผลลัพธ์สุดท้ายเพราะมันไม่เป็นไปตามแผน ความสัมพันธ์ของเขากับครอบครัวเมดิชิก็เสื่อมลงเช่นกัน ในปี ค.ศ. 1527 พรรครีพับลิกัน Florentines ได้ก่อกบฏและขับไล่เมดิชิทั้งหมดออกจากเมือง งานเกี่ยวกับโบสถ์หยุดลง มีเกลันเจโลเข้าข้างฝ่ายกบฏ ซึ่งก่อให้เกิดการกล่าวหาว่าไม่สำนึกคุณต่อผู้อุปถัมภ์และผู้อุปถัมภ์เก่า

ฟลอเรนซ์ถูกทหารของกองทัพรวมกันของสมเด็จพระสันตะปาปาและจักรพรรดิชาร์ลส์ปิดล้อม รัฐบาลเฉพาะกาลของกลุ่มกบฏแต่งตั้งมีเกลันเจโลเป็นหัวหน้าป้อมปราการทั้งหมด เมืองนี้ถูกยึดครองในปี ค.ศ. 1531 และกฎเมดิชิในฟลอเรนซ์ได้รับการฟื้นฟู มีเกลันเจโลถูกบังคับให้ทำงานในโบสถ์ต่อไป

มีเกลันเจโลเสร็จสิ้นการสเก็ตช์ประติมากรรม ออกจากฟลอเรนซ์ ย้ายไปโรม ซึ่งเขาทำงานจนตาย โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นตามแนวทางการออกแบบของเขา และมีการติดตั้งประติมากรรมที่ยังไม่เสร็จในสถานที่ต่างๆ ร่างของนักบุญคอสมาสและดาเมียนสร้างขึ้นโดยผู้ช่วยประติมากร-ผู้ช่วย Montorsoli และ Rafaello da Montelupo

โบสถ์เมดิชิ (อิตาลี) - คำอธิบายประวัติสถานที่ ที่อยู่ที่แน่นอนและเว็บไซต์ รีวิวนักท่องเที่ยว ภาพถ่าย และวิดีโอ

• ทัวร์เดือนพฤษภาคมไปอิตาลี
• ทัวร์นาทีสุดท้ายไปอิตาลี

ภาพก่อนหน้า รูปภาพถัดไป

โบสถ์เมดิชิเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่เดินทางในฟลอเรนซ์

โบสถ์เมดิชิสะท้อนถึงพรสวรรค์ในหลายๆ ด้านของไมเคิลแองเจโล

โบสถ์อนุสรณ์แห่งนี้ตั้งอยู่ในโบสถ์ซานลอเรนโซ นักวิจารณ์ศิลปะเรียกโบสถ์เมดิชิว่าเป็นหนึ่งในผลงานการสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมีเกลันเจโล และยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนปลายโดยทั่วไป

มีเกลันเจโลเป็นประติมากรอัจฉริยะ จิตรกร สถาปนิก กวี ... และพรสวรรค์หลายๆ ด้านของเขาสะท้อนให้เห็นในโบสถ์เมดิชิ

มีอะไรให้ดูบ้าง

โบสถ์เมดิชิเป็นโบสถ์ขนาดเล็กแต่ยาวขึ้นไปบนท้องฟ้าซึ่งมีโดมเป็นมงกุฎ ไมเคิลแองเจโลเสร็จสิ้นพื้นที่สถาปัตยกรรมของเขา เขาพยายามทำให้รูปลักษณ์ของโบสถ์สอดคล้องกับเนื้อหาภายใน

ทุกสิ่งทุกอย่างในโบสถ์เมดิชิ - ตั้งแต่ผนังไปจนถึงการตกแต่ง - อุทิศให้กับธีมแห่งความตาย

ทุกสิ่งในโบสถ์น้อยเมดิชิ - ตั้งแต่ผนังไปจนถึงการตกแต่ง - อุทิศให้กับธีมเดียว - ธีมแห่งความตาย ด้านล่างในโลงศพนั้นมืดมิด ร่างของคนตายอยู่ที่นี่ ยิ่งสูง แสงเข้ามาในอาคารมากขึ้น: วิญญาณเป็นอมตะ ฟื้นคืนชีพในอาณาจักรแห่งแสง

มีแท่นบูชาอยู่ที่ผนังด้านหนึ่งของอุโบสถ ฝั่งตรงข้ามเป็นสุสานของ Lorenz the Magnificent และ Giuliano น้องชายของเขา มีรูปปั้นสามรูปใกล้สุสาน รวมทั้งพระแม่มารีและพระบุตรที่มีชื่อเสียงโดยไมเคิลแองเจโลเอง ประติมากรรมเป็นสัญลักษณ์ของความใกล้ชิดของแม่และเด็กในระดับสูงสุด

มาดอนน่าเต็มไปด้วยบทกวีซึ่งแตกต่างจากร่างอื่น ๆ ที่อยู่ในโบสถ์เมดิชิเธอปราศจากโศกนาฏกรรม ประติมากรรมชิ้นนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในที่สุด ภาพที่สวยงามสร้างขึ้นในสมัยเรเนซองส์

บุคคลสำคัญในวันนั้นทำให้มีเกลันเจโลมีชื่อเสียงอย่างแท้จริง

บนโลงศพ คุณสามารถเห็นร่างของวันนั้นซึ่งนำความรุ่งโรจน์มาสู่ประติมากรอย่างแท้จริง ดังนั้นบนโลงศพของ Lorenz เราจะเห็นรูปปั้น "เช้า" และ "เย็น" เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกไม่สบายใจ พวกเขาดูเหมือนจะหลุดออกมา แต่จับร่างของลอเรนซ์ผู้ยิ่งใหญ่ไว้

หลุมฝังศพของ Giuliano ตกแต่งด้วยรูปปั้น "กลางคืน" และ "กลางวัน" "กลางคืน" เป็นบุคคลที่น่าเศร้าที่สุดของมีเกลันเจโล มันทิ้งความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับผู้มาเยี่ยมชมโบสถ์เมดิชิในปัจจุบันตลอดจนผู้ร่วมสมัยของศิลปิน

ร่างของวันยังไม่เสร็จ แต่ไม่ใช่เพราะว่าไมเคิลแองเจโลไม่มีเวลา ดังนั้นประติมากรจึงต้องการถ่ายทอดสภาวะของความไม่แน่นอน เพราะไม่มีใครสามารถคาดเดาได้อย่างมั่นใจถึงสิ่งที่รอเขาอยู่ในระหว่างวัน

วิธีการเดินทาง

นักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนในฟลอเรนซ์ควรได้รับคำแนะนำจากโบสถ์ซานลอเรนโซ สถานที่ท่องเที่ยวนี้มีอยู่ในคู่มือแนะนำรีสอร์ททั้งหมด

รถบัสหมายเลข C1 จอดใกล้โบสถ์ จุดจอดที่คุณต้องการเรียกว่า San Lorenzo

โบสถ์เมดิชิเปิดตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ เวลา 08:15 น. ถึง 18:00 น. โปรดระวัง สำนักงานขายตั๋วจะปิดเวลา 16:20 น.

โบสถ์เปิดให้นักท่องเที่ยวทุกวัน ยกเว้นวันหยุด: คริสต์มาส (25 ธันวาคม) ปีใหม่(1 มกราคม และ 1 พฤษภาคม) นอกจากนี้ยังมีวันหยุด: ทุกวันจันทร์คี่ของเดือนและทุกวันอาทิตย์ของเดือน

ตั๋วไปโบสถ์เมดิชิราคา 8-4 ยูโร ซึ่งรวมถึงการเข้าชมโบสถ์น้อยและโบสถ์ซาคริสเตียใหม่

ต้องซื้อตั๋วสำหรับโบสถ์ซานลอเรนโซและห้องสมุดลอเรนเซียนแยกต่างหาก

เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีสามารถเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ในฟลอเรนซ์ได้ฟรี

ราคาในหน้านี้เป็นราคาสำหรับเดือนกันยายน 2018

เป็นการดีสำหรับฉันที่จะนอนกับหินประติมากรรมในช่อง
ตราบใดก็ตามที่โลกดำรงอยู่ในความอัปยศอดสู
ไม่รู้สึก, ไม่รู้ - ความสุขคือชะตากรรม;
คุณยังอยู่ที่นี่? เงียบไปเลย
แปลโดย Elena Katsyuba.

หนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้นเกี่ยวข้องกับชื่อของ Lorenzo และ Giuliano Medici ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาสูง- "โบสถ์เมดิชิ" - กลุ่มประติมากรรมที่ทำโดยไมเคิลแองเจโลและตั้งอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า New Sacristy (sacristy) ของโบสถ์ San Lorenzo (โบสถ์ประจำตระกูลของตระกูล Medici) ในเมืองฟลอเรนซ์ หลังจากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 (Giuliano della Rovere, pon. 1503-1513) หนึ่งในผู้อุปถัมภ์ศิลปะที่มีความต้องการมากที่สุด แต่ยังเป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปะผู้มีความทะเยอทะยานสูงส่งสมเด็จพระสันตะปาปาซึ่งเริ่มการก่อสร้างในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ที่ซึ่งมีเกลันเจโลสร้างสุสานตระหง่านประดับประดาด้วยรูปปั้นห้าสิบรูปซึ่งจูเลียสจะพัก เสร็จสมบูรณ์โดย Michelangelo และเปิดให้ชมจิตรกรรมฝาผนังบนเพดาน โบสถ์น้อยซิสทีน, โบสถ์เซนต์. Sixtus นักบุญอุปถัมภ์ของตระกูล Rovere; ห้องในวัง (บท) ของอพาร์ตเมนต์ของสมเด็จพระสันตะปาปาในวาติกันถูกวาดโดย Raphael, Leo X (ponte 1513-1521), Giovanni de Medici ลูกชายคนที่สองของ Lorenzo the Magnificent ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา
ฟลอเรนซ์. โบสถ์ซานลอเรนโซ
บางทีอาจเป็นเพราะเขาเกิดในปีแห่งการแข่งขัน Florentine อันน่าจดจำที่เรียกว่า Jostra (1475) และอาจเป็นเพราะความชอบตามธรรมชาติของเขา Leo X ซึ่งรับเอาความสามารถทางการทูตของบิดาของเขามาใช้ความรักที่หรูหราและความบันเทิงมากเกินไป . ที่ดินของสันตะปาปา เหมือง และคลังสมบัติที่จูเลียสที่ 2 ทิ้งไว้นั้นไม่เพียงพอสำหรับค่าล่าสัตว์ งานเลี้ยง และงานเฉลิมฉลอง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งอีราสมุสแห่งร็อตเตอร์ดัมและพระหนุ่มมาร์ติน ลูเทอร์ต่างตกตะลึงจากการไปเยือนกรุงโรม มีเงินไม่เพียงพอ และลีโอ เอ็กซ์ ดำเนินโครงการทางการเงินหลายโครงการ ซึ่งสองโครงการ: การขายตำแหน่งคริสตจักรอย่างเป็นทางการ ("ซิโมนี") และการขาย "การอภัยโทษ" ("การปล่อยตัว") ในที่สุดก็หมดความอดทนของคนจำนวนมาก ส่วนหนึ่งของชาวคริสต์ตะวันตก ลูเทอร์ออกวิทยานิพนธ์ สมเด็จพระสันตะปาปาตอบโต้ด้วยวัวผู้สั่งเผางานเขียนของลูเธอร์ การปฏิรูปเริ่มขึ้นในเยอรมนี
Leo X เสียชีวิตกะทันหันโดยไม่มีเวลารวมตัวกัน แน่นอน ในช่วงปีที่ดำรงตำแหน่งสังฆราช การก่อสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ดำเนินไปอย่างไม่ดี และไม่มีอะไรต้องคิดเกี่ยวกับหลุมฝังศพอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 จริงอยู่ เขาแนะนำให้มีเกลันเจโลสร้างส่วนหน้าของโบสถ์ซานลอเรนโซ ที่บรูเนลเลสคียังสร้างไม่เสร็จ เพื่อให้วัดแห่งนี้กลายเป็น "กระจกเงาของอิตาลี" และไมเคิลแองเจโลก็ยินดีจะออกเดินทางเพื่อไปยังฟลอเรนซ์อันเป็นที่รักของเขา ซึ่งเขาทำงานหนักเพื่อ สี่ปีจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1520 ทั้งหมดก็เหมือนกัน ด้วยเหตุผลอันเนื่องมาจากการขาดเงิน งานด้านหน้าจึงไม่หยุด
อย่างไรก็ตาม ในปีเดียวกัน พระคาร์ดินัล Giulio de Medici สมเด็จพระสันตะปาปาเคลมองต์ที่ 7 ในอนาคต (ปองต์ ค.ศ. 1523-1534) ลูกนอกสมรส Giuliano Medici และเพื่อนของเขา ลูกพี่ลูกน้อง Giovanni (Leo X) เติบโตขึ้นมาในบ้านของลุงของเขา (Lorenzo the Magnificent) หลังจากการฆาตกรรมพ่อของเขา เสนอ Michelangelo อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการทำงานใน San Lorenzo เขาเสนอให้สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหม่ของโบสถ์ ซึ่งเป็นกลุ่มหลุมฝังศพสำหรับสมาชิกในครอบครัวที่เพิ่งเสียชีวิต: Lorenzo ลูกชายของ Pietro Medici (พี่ชายของ Leo X) และ Giuliano ลูกชายคนสุดท้องของ Lorenzo the Magnificent ไม่มีชื่อเสียงยกเว้นนามสกุล: Lorenzo และ Giuliano
ในตอนแรก มีเกลันเจโลหดหู่จากความล้มเหลวที่ด้านหน้าโบสถ์ ใช้แนวคิดนี้โดยไม่มีความกระตือรือร้น: เขาไม่รู้สึกพิเศษต่อผู้ตาย แต่เขาจำได้ว่าหลายปีผ่านไปในวงกลมที่ยอดเยี่ยมของ Lorenzo the Magnificent เพื่อเป็นเกียรติแก่ความทรงจำของเขา และใน New Sacristy ควรจะมีโลงศพที่มีขี้เถ้าของผู้เฒ่าลอเรนโซและจูเลียโน

โซลูชันทางสถาปัตยกรรมและพลาสติกของหลุมฝังศพถูกกำหนดโดยโบสถ์ขนาดเล็ก ก่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสโดยมีแผนด้านข้าง 11 เมตร เป็นไปไม่ได้ที่จะวางโครงสร้างที่ออกแบบมาสำหรับวงเวียนในห้องเล็ก ๆ เช่นนี้ในขณะที่เขาสันนิษฐาน (เน้นที่แนวคิดเชิงองค์ประกอบของหลุมฝังศพของ Julius II) และ Michelangelo เลือก องค์ประกอบดั้งเดิมสุสานผนัง

หลุมฝังศพของ Giuliano Medici
องค์ประกอบของหลุมฝังศพบนผนังด้านข้างมีความสมมาตร หลุมฝังศพของ Giuliano ตั้งอยู่ใกล้กำแพงทางด้านซ้ายของทางเข้า ในช่องผนังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นรูปของ Giuliano เด็กชาวฟลอเรนซ์ที่นั่งอยู่ในชุดของขุนนางชาวโรมันที่มีศีรษะเปลือยเปล่า หันหน้าไปทางผนังด้านหน้าของโบสถ์ ใต้โลงศพเป็นโลงศพตามสกุลเงินซึ่งมีตัวเลขเชิงเปรียบเทียบสองรูป: ผู้หญิง - กลางคืนและผู้ชาย - วัน กลางคืน - นอนหลับเอนศีรษะก้มลงที่มือขวาใต้มือซ้ายเธอมีหน้ากากอยู่ใกล้ต้นขาของเธอเป็นนกฮูก วัน - เขาตื่นนอน เขาวางบนศอกซ้าย หันไปทางผู้ชมครึ่งหนึ่งในลักษณะที่ครึ่งหนึ่งของใบหน้าของเขาถูกซ่อนไว้ด้วยไหล่ขวาและหลังอันทรงพลังของเขา ใบหน้าของวันได้รับการวาดเป็นภาพร่าง

สุสานลอเรนโซเมดิชิ
ตรงกันข้าม ใกล้กำแพงด้านขวาของทางเข้าคือหลุมฝังศพของลอเรนโซ เขาแต่งตัวในชุดโรมันด้วย แต่สวมหมวกปิดตาซ่อนไว้ในเงามืด ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความคิดลึก ๆ มือซ้ายของเขาซึ่งเขาถือกระเป๋าเงินถูกยกขึ้นที่ใบหน้าและวางอยู่บนหีบอัญมณีบนเข่าของเขา ศีรษะหันไปทางขวาเล็กน้อยไปทางผนังหน้าผาก

"ตอนเย็น"
องค์ประกอบของโลงศพมีความคล้ายคลึงกันในสกุลเงินมีตัวเลข: ชาย - เย็น, หญิง - เช้า ร่างทั้งสองหันไปทางผู้ชม ค่ำล่วงเข้านอน เช้าตื่นขึ้น

อิตาลี | มีเกลันเจโล บูโอนาร์โรตี | (1475-1564) | โบสถ์เมดิชิ | 1526-1533 | หินอ่อน | New Sacristy of San Lorenzo, ฟลอเรนซ์ |
ใกล้กับผนังด้านหน้าของโบสถ์ ตรงข้ามกับทางเข้าและแท่นบูชา ในช่องสี่เหลี่ยมที่ล้อมรอบด้วยเสาสีเข้ม ตามคำสั่งของสไตล์บรูเนลเลสคี เป็นโลงศพสี่เหลี่ยมเรียบง่ายที่มีซากศพของลอเรนโซผู้ยิ่งใหญ่และจูลิอาโนน้องชายของเขา บนฝาโลงศพมีร่าง: มาดอนน่านั่งและเด็กคุกเข่า (กลาง), เซนต์. คอสมาและเซนต์ โดเมียน่าที่ด้านข้าง ร่างของนักบุญไม่ได้แกะสลักโดย Michelangelo แต่ตามลำดับ: Montorsoli และ Rafaello da Montelupo Medici Madonna เป็นภาพสำคัญของโบสถ์: ตั้งอยู่ตรงกลางกำแพงด้านหน้า นักบุญมองไปที่มัน ดุ๊กมองจากซอกของพวกเขา เธอนั่งพิง มือขวาบนแท่นบนเข่าซ้ายที่ยื่นออกมา - ทารกหันไปทางแม่ครึ่งหนึ่งเพื่อไม่ให้ผู้ชมเห็นใบหน้าของเขา มาดอนน่าอุ้มเด็กด้วยมือซ้าย สีหน้าและท่าทางของเธอเต็มไปด้วยความครุ่นคิด

ผู้ร่วมสมัยรู้สึกประทับใจกับสิ่งเดียวกันกับที่ทำให้ทุกวันนี้ประหลาดใจ - ความสมบูรณ์แบบของสถาปัตยกรรมและชุดพลาสติกของโบสถ์โดยรวม ความสมบูรณ์แบบของการเชื่อมต่อพลาสติกของประติมากรรมทั้งหมดในอวกาศ ความพิเศษ - แม้แต่อัจฉริยะของ Michelangelo - ความสมจริงของงานประติมากรรมแต่ละชิ้น ขึ้นสู่ลักษณะทั่วไปในระดับสูง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ อู๋ ความหมายเชิงสัญลักษณ์อุปมาเรื่อง เช้า กลางวัน เย็น และกลางคืน ถูกกล่าวไว้มากมาย ดังที่คุณทราบ ร่างแห่งราตรีได้รับความสนใจเป็นพิเศษ มีการแลกเปลี่ยนบทกวีระหว่าง Giovanni Strozzi และ Michelangelo เราอยากจะศึกษาประติมากรรมของลอเรนโซและจูเลียโน และสัมผัสปัญหาของ "ภาพเหมือนในอุดมคติ"
ผู้ร่วมสมัยไม่เห็นภาพที่คล้ายคลึงกับญาติผู้ล่วงลับของสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ X และ Clement VII ทั้งในลักษณะที่ปรากฏหรือบนใบหน้า ดูเหมือนว่าเราจะอธิบายได้ง่าย ไม่ใช่พวกนี้ เฉพาะบุคคลพรรณนาถึงประติมากรบนโลงศพของพวกเขา ตำนานของฟลอเรนซ์คือลอเรนโซอีกคนหนึ่งและจูเลียโนอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นพี่น้องกัน ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กำแพงด้านหน้า พี่น้อง - และนั่นเป็นเหตุผลที่หลุมฝังศพมีความสมมาตร

ระหว่างการก่อสร้างโบสถ์น้อยระหว่างปี 1520 ถึง 1534 โดยเว้นช่วงพักยาวสองครั้ง พายุฝนฟ้าคะนองดังกล่าวได้พัดปกคลุมอิตาลีโดยทั่วไปและทั่วเมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งดูน่าประหลาดใจที่โบสถ์เมดิชิเกือบจะสร้างเสร็จแล้ว สังฆราชแห่ง Clement VII ถูกทำเครื่องหมายโดยการปล้นกรุงโรมโดยกองทัพของ Charles V แห่ง Habsburg ซึ่งเมืองนิรันดร์ไม่เคยรู้จักตั้งแต่การรุกรานของพวกป่าเถื่อนและสิ้นสุดลงนอกเหนือจากการระบาดของการปฏิรูปด้วย ความแตกแยกระหว่างคริสตจักรโรมันและอังกฤษซึ่งหัวหน้า Henry VIII ประกาศตัวเอง นักประวัติศาสตร์คริสตจักรบางคนถือว่า Clement VII เป็นพระสันตะปาปาองค์สุดท้ายของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา และหากคุณปฏิบัติตามนี้ แม้ว่าจะมีเงื่อนไขและลำดับเหตุการณ์ โบสถ์ Medici ก็ถูกมองว่าเป็นหลุมฝังศพที่ไม่มีใครเทียบได้ของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาแห่งฟลอเรนซ์

"การพิพากษาครั้งสุดท้าย" มีเกลันเจโลเขียนในฐานะพยานในช่วงเวลาที่ต่างออกไป

Manon & Gabrielle "ลอเรนโซและจูเลียโน"