เช็คสเปียร์แต่งงานในปีใด ประวัติศาสตร์วรรณคดีอังกฤษ

วิลเลียมเชกสเปียร์เป็นนักเขียนบทละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก บทละครบทกวีและบทกวีของคลาสสิกอังกฤษยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ มีเวอร์ชันที่มนุษย์ไม่รู้จักผลงานทั้งหมดที่สร้างโดยบุคคลในตำนานนี้ นอกจากนี้ชีวประวัติของนักเขียนบทละครยังมีจุดว่างอีกมากมาย บทความในวันนี้จะมุ่งเน้นไปที่ช่วงปีแรก ๆ ของกวี นอกจากนี้เรายังจะบอกคุณเกี่ยวกับเมืองที่เชกสเปียร์ถือกำเนิด

ครอบครัว

วิลเลียมเชกสเปียร์เกิดในปีค. ศ. 1564 ไม่ทราบวันเกิดที่แน่นอนของเขา ตามที่นักวิจัยบางคนกล่าวว่านี่คือวันที่ 23 เมษายน อย่างไรก็ตามในวันนี้ในปี 1616 นักเขียนบทละครผู้ยิ่งใหญ่ถึงแก่กรรม พ่อของกวีเป็นช่างฝีมือในขณะที่ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาดำรงตำแหน่งสำคัญในที่สาธารณะ ตัวอย่างเช่นเป็นเวลาหลายปีที่เขาเป็นเทศมนตรีกล่าวคือสมาชิกสภาเมืองในเมืองที่เชกสเปียร์เกิด พ่อของนักเขียนบทละครในอนาคตไม่ได้ไปเยี่ยมชมคริสตจักรซึ่งตามกฎหมายในเวลานั้นเขาถูกบังคับให้จ่ายค่าปรับที่น่าประทับใจ

แม่ของวิลเลียมเป็นครอบครัวชาวแซกซอนเก่า โดยรวมแล้วครอบครัวมีลูกแปดคน วิลเลียมเกิดที่สาม

การศึกษา

มีโรงเรียนสองแห่งในเมืองที่เชคสเปียร์เกิดในศตวรรษที่ 16 ประการแรกคือไวยากรณ์ นักเรียนในสถาบันนี้ได้มา ความรู้ที่ดี ละติน. ที่สองคือโรงเรียนของ King Edward VI ความคิดเห็นของนักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับคนที่จบการศึกษาจากนักเขียนบทละครคนใดบ้าง นิตยสารโรงเรียนและเอกสารใด ๆ ก็ไปไม่รอด ดังนั้นจึงน่าเสียดายที่ไม่มีข้อมูลที่แน่นอนเกี่ยวกับการศึกษาของเช็คสเปียร์

มีอะไรอีกบ้างที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับนักเขียนบทละครยอดเยี่ยม?

ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ที่เชคสเปียร์เกิดและที่ที่เขาผ่าน ปีแรก ๆถือได้ว่ามีความน่าเชื่อถือ สำหรับช่วงเวลาต่อมาในชีวประวัติของเขามีเพียงสมมติฐานเท่านั้น อย่างไรก็ตามมีข้อมูลเกี่ยวกับภรรยาและลูกของกวี ในปี 1582 เชกสเปียร์แต่งงานกัน คนที่เขาเลือกนั้นมีอายุมากกว่าแปดปี ในไม่ช้าพวกเขาก็มีลูกสาวคนหนึ่งชื่อซูซาน ฝาแฝดเกิดในอีกสามปีต่อมาหนึ่งในนั้นเสียชีวิตเมื่ออายุสิบเอ็ดปี

ความพยายามของนักวิจัยในการค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นในทศวรรษที่ 80 ใน ชีวิตที่สร้างสรรค์ เช็คสเปียร์ไม่เกิดผลใด ๆ พวกเขาเรียกช่วงเวลานี้ว่า "ปีที่หายไป" นักวิจัยคนหนึ่งเชื่อว่านักเขียนบทละครได้ออกจากเมืองที่เขาเกิด

เช็คสเปียร์ถูกบังคับให้ออกไปเพื่อหลบหนีการข่มเหงของตัวแทนของกฎหมาย บางทีเขาเขียนเพลงบัลลาดลามกอนาจารซึ่งเป็นผลมาจากการที่เขาได้รับความปรารถนาดี มีเวอร์ชันอื่น ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ในชีวิตของนักเขียนบทละครในอนาคต (เขายังไม่ได้เขียนผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขา) ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเชกสเปียร์ออกจากเมืองที่เขาเกิดเมื่อปลายทศวรรษที่แปดสิบของศตวรรษที่ 16

ถึงเวลาตั้งชื่อข้อยุติที่กล่าวถึงอย่างสม่ำเสมอในชีวประวัติของนักเขียนบทละคร วิลเลียมเชกสเปียร์เกิดที่ไหน? เมืองนี้คือเมืองอะไร? มันน่าทึ่งขนาดไหน?

บ้านเกิดของกวี

เชกสเปียร์เกิดที่ไหน? ทุกคนสามารถตั้งชื่อประเทศได้ นักเขียนบทละครที่มีชื่อเสียงซึ่งมีผลงานกำกับโดยผู้กำกับละครทั่วโลกมาหลายศตวรรษเกิดในบริเตนใหญ่ บ้านเกิดของ William Shakespeare คือ Stratford-upon-Avon ตั้งอยู่ใน Warwickshire

Stratford-upon-Avon ตั้งอยู่ห่างจาก Warwick สิบสามกิโลเมตรและห่างจากเบอร์มิงแฮมสามสิบห้ากิโลเมตร ปัจจุบันเมืองนี้มีประชากรเพียงสองหมื่นกว่าคน ในสมัยของเช็คสเปียร์ - ประมาณสิบห้าร้อย แน่นอนว่าเมืองนี้มีชื่อเสียงเนื่องจาก William Shakespeare เป็นหลัก

Stratford-upon-Avon ก่อตั้งขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 ชื่อมีรากภาษาอังกฤษเก่า ในปีค. ศ. 1196 กษัตริย์อังกฤษ ได้รับอนุญาตให้เมืองจัดงานแสดงสินค้าประจำสัปดาห์ และในไม่ช้า Stratford ก็กลายเป็นศูนย์การค้า

ในช่วงเวลาของเช็คสเปียร์หนึ่งในสิ่งที่โดดเด่นที่สุด บุคคลสาธารณะ มีชายคนหนึ่งชื่อฮิวจ์คล็อปตันอยู่ในเมือง เขาทำงานอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการปรับปรุง Stratford คล็อปตันเป็นผู้แทนที่สะพานไม้ด้วยหินที่ยังคงยืนอยู่ในปัจจุบัน เขายังปูถนนและบูรณะโบสถ์ท้องถิ่น

เป็นเวลานานตัวแทนของตระกูลดอกไม้ยืนอยู่ที่หัวของเมือง เมื่อพวกเขาร่ำรวยขึ้นด้วยธุรกิจการผลิตเบียร์ซึ่งก่อตั้งขึ้นในภายหลัง ต้น XIX หลายศตวรรษ นายกเทศมนตรีถูกจัดขึ้นโดยตัวแทนของตระกูลฟลาวเวอร์สี่ชั่วอายุคน และโรงเบียร์ของพวกเขายังคงอยู่เป็นเวลานาน องค์กรที่ใหญ่ที่สุด ใน Stratford ขอบคุณสมาชิกในครอบครัวที่เคารพนับถือนี้ Royal Shakespeare Theatre ถูกสร้างขึ้นที่นี่

หลายปีใน Stratford-upon-Avon ดำเนินการโดยนักเขียน Maria Corelli ผู้ซึ่งได้ทำหลายอย่างเพื่อฟื้นฟูรูปลักษณ์ทางประวัติศาสตร์

สถานที่ท่องเที่ยวหลักของ Stratford

สถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจที่สุดในเมืองนี้คือบ้านที่เชกสเปียร์เกิด นอกจากนี้อาคารนี้ยังสามารถเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในสหราชอาณาจักร เชกสเปียร์เกิดในบ้านหลังหนึ่งบนถนนเฮนลีย์ใช้ชีวิตในวัยเด็กวัยรุ่นวัยรุ่นและช่วงปีแรก ๆ ของการแต่งงาน

อาคารแห่งนี้เป็นสถานที่แสวงบุญของผู้ที่ชื่นชอบกวีและนักเขียนบทละครเป็นเวลาหลายศตวรรษ และในช่วงเวลาต่าง ๆ ก็มีบุคคลที่มีชื่อเสียงมาก ตัวอย่างเช่นบนผนังบ้านคุณสามารถเห็นลายเซ็นของวอลเตอร์สก็อตต์เอง นอกจากนี้ยังมีจารึกที่เหลือโดย Thomas Carlyle

การทิ้งลายเซ็นไว้บนผนังถือเป็นการป่าเถื่อนประเภทหนึ่ง แต่เฉพาะในกรณีที่ผู้เขียนบันทึกดังกล่าวไม่ใช่ Walter Scott หรือนักเขียนร้อยแก้วที่มีชื่อเสียงคนอื่น ๆ คำไม่กี่คำที่ผู้เขียน Ivanhoe ทิ้งไว้ทำให้อาคารมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากยิ่งขึ้นซึ่งผู้สร้าง Othello, Romeo and Juliet, Hamlet และมากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบบทกวีเกิดเมื่อ 450 ปีก่อน

พิพิธภัณฑ์บ้าน

แน่นอนว่าอาคารแห่งนี้ได้รับการดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์มานานแล้ว ด้านในเป็นเวิร์คช็อปของพ่อของวิลเลียมเชกสเปียร์ เขาเป็นผู้ผลิตถุงมือที่มีชื่อเสียงในเมืองสแตรทฟอร์ด ในสวนหลังบ้านมีภาคผนวกเล็ก ๆ ที่ใช้เก็บสกินและวัสดุอื่น ๆ ที่จำเป็นในยานของเชกสเปียร์ผู้อาวุโส

พ่อแม่ของวิลเลียมคงเลี้ยงม้าและไก่ นอกจากนี้ยังปลูกผักและผลไม้ สวนซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับอาคารโบราณแห่งนี้คือ ภาพที่งดงามแต่สิ่งที่ส่วนนี้ของ Henley Street ดูเหมือนในศตวรรษที่ 16 นั้นใคร ๆ ก็เดาได้

วิลเลี่ยมเชคสเปียร์

ผลงานของวิลเลียมเชกสเปียร์นักเขียนชาวอังกฤษผู้ยิ่งใหญ่มีความสำคัญไปทั่วโลก อัจฉริยะของเช็คสเปียร์เป็นที่รักของมวลมนุษยชาติ โลกแห่งความคิดและภาพของกวี - มนุษยนิยมนั้นใหญ่โตอย่างแท้จริง ความสำคัญทั่วโลกของเช็คสเปียร์อยู่ที่ความสมจริงและสัญชาติของงานของเขา

William Shakespeare เกิดเมื่อวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1564 ใน Stratford-on-Avon ในตระกูลถุงมือ นักเขียนบทละครในอนาคตเรียนที่โรงเรียนไวยากรณ์ซึ่งเขาสอนภาษาละตินและ ภาษากรีกเช่นเดียวกับวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ อาศัยอยู่ใน ตัวเมือง ทำให้สามารถสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับผู้คนที่เชคสเปียร์ได้เรียนรู้นิทานพื้นบ้านและความมั่งคั่งของอังกฤษ ภาษาพื้นบ้าน... เชกสเปียร์เป็นอาจารย์รุ่นน้องในช่วงเวลาหนึ่ง เขาแต่งงานกับแอนนาแฮธาเวย์ในปี 1582; เขามีลูกสามคน ในปี 1587 เช็คสเปียร์ไปลอนดอนและในไม่ช้าก็เริ่มแสดงบนเวทีแม้ว่า ความสำเร็จที่ดี ในฐานะนักแสดงไม่ได้ ตั้งแต่ปี 1593 เขาทำงานที่โรงละคร Burbage ในฐานะนักแสดงผู้กำกับและนักเขียนบทละครและจากปี 1599 เขากลายเป็นผู้ถือหุ้นของโรงละครโกลบ ละครของเช็คสเปียร์ได้รับความนิยมอย่างมากแม้ว่าจะมีคนเพียงไม่กี่คนที่รู้จักชื่อของเขาในเวลานั้นเนื่องจากผู้ชมให้ความสนใจกับนักแสดงเป็นหลัก

ในลอนดอนเชกสเปียร์ได้พบกับขุนนางหนุ่มกลุ่มหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือเอิร์ลแห่งเซาแธมป์ตันเขาแต่งบทกวี "วีนัสและอิเหนา" (Venus and Adonis, 1593) และ "Lucrece" (Lucrece, 1594) นอกจากบทกวีเหล่านี้แล้วเขายังเขียนบทกวีและบทละครอีกสามสิบเจ็ดเรื่อง

ในปี 1612 เช็คสเปียร์ออกจากโรงละครหยุดเขียนบทละครและกลับไปที่ Stratford-on-Avon เช็คสเปียร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1616 และถูกฝังในบ้านเกิดของเขา

การขาดข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของเชกสเปียร์ทำให้เกิดคำถามที่เรียกว่าเช็คสเปียร์ ตั้งแต่ศตวรรษที่สิบแปด นักวิจัยบางคนเริ่มแสดงความคิดที่ว่าบทละครของเช็คสเปียร์ไม่ได้เขียนขึ้นโดยเชกสเปียร์ แต่เป็นบุคคลอื่นที่ต้องการซ่อนผลงานของเขาและตีพิมพ์ผลงานของเขาภายใต้ชื่อเชกสเปียร์ แต่ทฤษฎีที่ปฏิเสธการประพันธ์ของเชกสเปียร์นั้นไม่สามารถป้องกันได้ พวกเขาเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความไม่ไว้วางใจในประเพณีที่ทำหน้าที่เป็นที่มาของชีวประวัติของเชกสเปียร์และบนพื้นฐานของความไม่เต็มใจที่จะเห็นพรสวรรค์อัจฉริยะในบุคคลที่มีต้นกำเนิดประชาธิปไตยที่ไม่ได้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย สิ่งที่รู้เกี่ยวกับชีวิตของเชกสเปียร์ยืนยันการประพันธ์ของเขาอย่างเต็มที่

อาชีพของเช็คสเปียร์แบ่งออกเป็นสามช่วงเวลา

ในช่วงแรก
ช่วงแรกประมาณ 1590-1594 ปี.

โดยเทคนิคการประพันธ์ เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการเลียนแบบ: เชกสเปียร์ยังคงถูกครอบงำโดยรุ่นก่อน ตามอารมณ์ ช่วงเวลานี้ถูกกำหนดโดยผู้สนับสนุนแนวทางชีวประวัติในการศึกษาผลงานของเชกสเปียร์ว่าเป็นช่วงแห่งความศรัทธาในอุดมคติในด้านที่ดีที่สุดของชีวิต: "Young Shakespeare ลงโทษรองอย่างกระตือรือร้นในโศกนาฏกรรมทางประวัติศาสตร์ของเขาและยกย่องความรู้สึกที่สูงและเป็นบทกวีอย่างกระตือรือร้น - มิตรภาพและตนเอง - เสียสละและโดยเฉพาะความรัก "(Vengerov) ...

พงศาวดาร: "Henry VI" และ "Richard III" (tetralogy); “ Richard II”,“ Henry IV” (2 ส่วน),“ Henry V” (รอบ); “ คิงจอห์น”

ประเภทที่โดดเด่นที่สุดในช่วงนี้คือตลกเบา ๆ ร่าเริง: คอเมดี: "The Taming of the Shrew", "Two of Verona", "Love's Labour's Lost", "A Midsummer Night's Dream", "The Merchant of Venice", "The Windsor Pranksters", "Very Ado out of nothing", "As You Like It", "Twelfth Night"

โศกนาฏกรรม: Titus Andronicus, Romeo and Juliet

ในโศกนาฏกรรม " Titus Andronicus »เช็คสเปียร์จ่ายส่วยประเพณีของนักเขียนบทละครร่วมสมัยเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชมด้วยการเพิ่มความสนใจความโหดร้ายและความเป็นธรรมชาติ

ประเภทพงศาวดารเกิดขึ้นก่อนเชกสเปียร์ นี่คือบทละครที่สร้างจากนิทานภาษาอังกฤษประจำชาติ อังกฤษเป็นผู้นำที่ไม่มีปัญหาของยุโรปมีการเติบโตของการตระหนักรู้ในตนเองของชาติความสนใจในอดีตกำลังตื่นตัว

เชกสเปียร์ในพงศาวดารเปิดเผยรูปแบบการเคลื่อนไหวของประวัติศาสตร์ ละครของเขาไม่สามารถจินตนาการได้นอกช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ เขาเป็นทายาทของละครเรื่องลึกลับ ในความลึกลับของยุคกลางทุกอย่างมีสีสันและไม่หยุดนิ่ง ในเชกสเปียร์ก็เช่นกัน - ไม่มีสามเอกภาพมีส่วนผสมของสูงและต่ำ (Falstaff) โลกแห่งละครของเชกสเปียร์ที่ครอบคลุมและเป็นสากลล้วนมาจากโรงละครลึกลับในยุคกลาง

เช็คสเปียร์เปิดเผยความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ในพงศาวดาร เรื่องราวของโลก ไม่สิ้นสุดและไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด เวลาบรรลุเป้าหมายผ่านการต่อต้านการต่อสู้ พงศาวดารไม่เกี่ยวกับกษัตริย์ (ซึ่งชื่อพงศาวดารตั้งชื่อตาม) แต่เกี่ยวกับช่วงเวลาแห่งการครองราชย์ของเขา เช็คสเปียร์ในยุคแรกไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าความขัดแย้งทั้งหมดของเช็คสเปียร์เป็นส่วนหนึ่งของโลกที่กลมกลืนและมีความหมาย

แนวตลกของเชกสเปียร์.

คอเมดี้ในช่วงแรกมีพล็อตหลักของตัวเอง: ความรักเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติทั้งหมด ธรรมชาติเป็นเจ้านายเธอมีจิตวิญญาณและสวยงาม ไม่มีอะไรน่าเกลียดอยู่ในนั้นมันกลมกลืน มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของมันซึ่งหมายความว่าเขายังสวยงามและกลมกลืน หนังตลกไม่ผูกติดกับช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ใด ๆ

ในคอเมดี้ของเขาเชกสเปียร์ไม่ได้ใช้การเสียดสี (การเยาะเย้ยความชั่วร้ายทางสังคม) แต่เป็นอารมณ์ขัน (หัวเราะเยาะความขัดแย้งในการ์ตูนที่เกิดจากการอ้างว่าไม่ยุติธรรมต่อความสำคัญในเรื่องส่วนตัวไม่ใช่ในชีวิตพลเมือง) ไม่มีความชั่วร้ายในคอเมดี้ของเขามีเพียงการขาดความสามัคคีซึ่งจะได้รับการฟื้นฟูเสมอ

^ ช่วงที่สอง:

โศกนาฏกรรม: "Julius Caesar", "Hamlet", "Othello", "King Lear", "Macbeth", "Antony and Cleopatra", "Coriolanus", "Timon of Athens"

Tragicomedy: "Measure for Measure", "Troilus and Cressida", "The End - the Crown of the Cause"

โศกนาฏกรรมมีพล็อตหลัก: พระเอกตกใจเขาค้นพบตัวเองซึ่งทำให้มุมมองต่อโลกเปลี่ยนไป ในโศกนาฏกรรมความชั่วร้ายเกิดขึ้นในฐานะกองกำลังอิสระที่แข็งขัน สิ่งนี้นำเสนอตัวเลือกฮีโร่ การต่อสู้ของพระเอกเป็นการต่อสู้กับความชั่วร้าย

ประมาณ 1600 Shakespeare สร้าง Hamlet เช็คสเปียร์ยังคงพล็อตเรื่องโศกนาฏกรรมการแก้แค้นที่มีชื่อเสียง แต่เปลี่ยนความสนใจทั้งหมดไปที่ความบาดหมางทางจิตวิญญาณซึ่งเป็นเรื่องราวภายในของตัวเอก มีการนำฮีโร่ประเภทใหม่เข้ามาในละครเรื่องการแก้แค้นแบบดั้งเดิม เชกสเปียร์มาก่อนเวลาของเขา: หมู่บ้านไม่ใช่วีรบุรุษที่น่าเศร้าตามปกติทำการแก้แค้นเพื่อความยุติธรรมของพระเจ้า เมื่อได้ข้อสรุปว่าความสามัคคีไม่สามารถกลับคืนมาได้ด้วยการเป่าครั้งเดียวเขาต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมของความแปลกแยกจากโลกและประณามตัวเองว่าโดดเดี่ยว ตามคำจำกัดความของ L. E. Pinsky Hamlet เป็นฮีโร่ที่ "สะท้อนแสง" คนแรกของวรรณกรรมโลก

ในพื้นที่ที่แตกสลายของโศกนาฏกรรมองค์ประกอบต่างๆต้องทนทุกข์ทรมานไปพร้อมกับผู้คน ชะตากรรมที่น่าเศร้าของเลียร์สะท้อนให้เห็นด้วยความหายนะที่กลืนกินธรรมชาติและระเบียบของโลกทั้งใบ จักรวาลใน "Macbeth" ปะทุขึ้นจากส่วนลึกที่น่าขนลุกของแม่มดศูนย์รวมของหลักการพื้นฐานของธรรมชาติพลังที่เป็นศัตรูกับสิ่งที่มีอยู่เต็มไปด้วยความหลอกลวงและความคลุมเครือ: "ความดีคือความชั่วความชั่วคือความดี"

^ ช่วงที่สาม:

ละครยอดเยี่ยม: "Pericles", "Cymbeline", "The Tempest", "Winter's Tale"

พงศาวดาร: "Henry VIII"

ในละคร ช่วงสุดท้าย การทดสอบจะมาพร้อมกับความสุขในการช่วยให้รอดจากความทุกข์ยาก การใส่ร้ายถูกเปิดเผยความไร้เดียงสาทำให้ตัวเองเป็นที่ชอบธรรมความซื่อสัตย์ได้รับการตอบแทนความบ้าคลั่งของความหึงหวงไม่มีผลที่น่าเศร้าคู่รักอยู่รวมกันในชีวิตแต่งงานที่มีความสุข

ในละครเรื่องต่อมาของเชกสเปียร์ในเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด The Tempest อุปมาอุปไมยของ "โรงละครโลก" ได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายครั้งใหม่ แนวคิดยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของ "โรงละครโลก" ผสานเข้ากับวิถีชีวิตแบบบาโรกของ "ชีวิต - ความฝัน" นักปราชญ์และนักมายากล Prospero แสดงบนเกาะมหัศจรรย์ของเขาทุกบทบาทที่แสดงโดยวิญญาณบินที่ถูกปลดออกและการแสดงนั้นคล้ายกับความฝันที่น่าอัศจรรย์

แต่เมื่อพูดถึงภาพลวงตาของการถึงวาระสู่ความตายเชกสเปียร์ไม่ได้พูดถึงความไร้ความหมายของมัน โลกในบทละครนี้ถูกปกครองโดยพระราชปราชญ์ซึ่งเป็นความเสื่อมโทรมของจักรวาลนี้ พื้นที่บทกวีของบทละครเกิดขึ้นจากการเผชิญหน้าและการต่อสู้ของแรงจูงใจที่ขัดแย้งกันสองอย่าง - "พายุ" และ "ดนตรี" พายุแห่งองค์ประกอบตามธรรมชาติและความหลงใหลในอัตตาถูกต่อต้านโดยดนตรีแห่งความสามัคคีสากลและจิตวิญญาณของมนุษย์ "พายุ" ในบทละครนั้นเชื่องโดย "ดนตรี" มันถูกสร้างขึ้นตาม

SONNETS ของ SHAKESPEARE

บทกวีของเช็คสเปียร์ (1592-1598 ตีพิมพ์ในปี 1699) เป็นจุดสุดยอดของกวีนิพนธ์อังกฤษในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาและเป็นก้าวสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์กวีนิพนธ์โลก

นักวิจัยโคลงสั้น ๆ แบ่งออกเป็นสองทิศทางหลัก: บางคนคิดว่าทุกอย่างในอัตชีวประวัติในขณะที่คนอื่น ๆ มองว่าในบทกวีเป็นการออกกำลังกายทางวรรณกรรมอย่างหมดจดในรูปแบบที่ทันสมัยโดยไม่ปฏิเสธความสำคัญของอัตชีวประวัติของรายละเอียดบางอย่าง ทฤษฎีอัตชีวประวัติตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสังเกตที่ถูกต้องอย่างสมบูรณ์แบบว่าโคลงไม่ได้เป็นเพียงการรวบรวมบทกวีแต่ละบท แน่นอนว่าโคลงแต่ละอันมีบางสิ่งที่สมบูรณ์เป็นนิพจน์ที่สำคัญของความคิดเดียว แต่ถ้ามีคนอ่านโคลงหลังโคลงจะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาประกอบขึ้นเป็นกลุ่มจำนวนหนึ่งและภายในกลุ่มเหล่านี้หนึ่งโคลงเป็นเหมือนความต่อเนื่องของอีกกลุ่มหนึ่ง

โคลงเป็นบทกวี 14 บรรทัด ในโคลงของเชกสเปียร์มีการนำคำคล้องจองต่อไปนี้มาใช้: abab cdcd efef gg นั่นคือสามควาอินสำหรับเพลงไขว้และหนึ่งโคลง (ประเภทที่นำเสนอโดยกวีเคานต์เซอร์เรย์ซึ่งถูกประหารชีวิตภายใต้เฮนรีที่ 8) ความเป็นเลิศทางศิลปะในการแสดงออกอย่างลึกซึ้ง ความคิดเชิงปรัชญา แยกไม่ออกจากรูปแบบย่อของโคลง จะได้รับในสาม quatrains การพัฒนาอย่างมาก รูปแบบมักจะตรงกันข้ามและตรงกันข้ามและในรูปแบบของภาพเปรียบเทียบ ความแตกต่างขั้นสุดท้ายคือคำพังเพยที่กำหนดความคิดเชิงปรัชญาของหัวข้อ

บทกวีทั้งหมด 154 บทเขียนโดยเชกสเปียร์และส่วนใหญ่สร้างขึ้นในปี 1592-1599 เผยแพร่ครั้งแรกโดยที่ผู้เขียนไม่รู้ในปี 1609 หนังสือสองเล่มได้รับการตีพิมพ์ในปี 1599 ในคอลเลกชัน "Passionate Pilgrim" นี่คือบทกวี 138 และ 144 .

วงจรทั้งหมดของ sonnets แยกออกเป็นส่วน ๆ กลุ่มเฉพาะเรื่อง :

• Sonnets ที่อุทิศให้เพื่อน: 1 -126
• ชวนเพื่อน: 1 -26
• ความท้าทายด้านมิตรภาพ: 27 -99
• แยกความขมขื่น: 27 -32
• ความผิดหวังครั้งแรกในเพื่อน: 33 -42
• ความปรารถนาและความกลัว: 43 -55
• ความแปลกแยกและความเศร้าโศกที่เพิ่มขึ้น: 56 -75
• การแข่งขันและความหึงหวงของกวีคนอื่น ๆ : 76 -96
• "ฤดูหนาว" แห่งการพลัดพราก: 97 -99
• การเฉลิมฉลองมิตรภาพที่ได้รับการต่ออายุ: 100 -126
• Sonnets ที่อุทิศให้กับคนรักที่สวยงาม: 127 -152
• บทสรุป - ความสุขและความงดงามของความรัก: 153 -154

ดังนั้นเสียงโคลง 26 ตัวแรกจึงโน้มน้าวให้ชายหนุ่มที่มีฐานะดีและหล่อเหลาบางคนแต่งงานเพื่อให้ความงามของเขาไม่หายไปและยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปในลูก ๆ ของเขา บทกวีจำนวนมากยกย่องชายหนุ่มคนนี้ในการให้การอุปถัมภ์ผู้รู้แจ้งแก่กวีในอีกกลุ่มหนึ่งมีข้อร้องเรียนที่ขมขื่นว่ากวีคนอื่น ๆ ได้ครอบครองการอุปถัมภ์ของผู้มีพระคุณอย่างสูง ในกรณีที่ไม่มีกวีผู้มีพระคุณได้ครอบครองที่รักของเขา แต่เขาก็ให้อภัยเขา ความดึงดูดใจของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์จบลงด้วยโคลง 126 หลังจากนั้นหญิงสาวผิวสีก็เริ่มปรากฏตัวโดยมีผมสีดำสนิทและดวงตาสีดำ Coquette ที่ไร้วิญญาณผู้นี้ทรยศกวีและล่อลวงเพื่อนของเขา แต่เยาวชนที่มีเกียรติคนนี้คือใครและใครคือผู้ที่ไร้วิญญาณ? ตอนนั้นเองที่จินตนาการของนักวิจัยเริ่มทำงานและผสมผสานของจริงเข้ากับความเด็ดขาดที่สุด

โคลง 126 ละเมิดศีล - มีเพียง 12 บรรทัดในนั้นและรูปแบบสัมผัสที่แตกต่างกัน บางครั้งก็ถือเป็นส่วนหนึ่งระหว่างสองส่วนธรรมดาของวัฏจักร - วงโคลงที่อุทิศให้กับมิตรภาพ (1-126) และส่งถึง "ผู้หญิงที่น่ารัก" (127-154) โคลง 145 เขียนด้วย iambic tetrameter แทน pentameter และมีสไตล์แตกต่างจากแบบอื่น

ในตอนท้ายของศตวรรษที่สิบหก โคลงกลายเป็นประเภทชั้นนำในบทกวีภาษาอังกฤษ บทกวีของเช็คสเปียร์ ในเชิงลึกเชิงปรัชญาพลังโคลงสั้น ๆ ความรู้สึกที่น่าทึ่งและการแสดงดนตรีพวกเขาครอบครองสถานที่ที่โดดเด่นในการพัฒนาศิลปะโคลงในเวลานั้น บทกวีของเช็คสเปียร์เป็นคำสารภาพที่เป็นโคลงสั้น ๆ พระเอกเล่าถึงชีวิตในหัวใจของเขาเกี่ยวกับความรู้สึกที่ขัดแย้งกันของเขา มันเป็นการพูดคนเดียวที่น่าหลงใหลการประนามความเจ้าเล่ห์และความโหดร้ายที่ครอบงำในสังคมและต่อต้านพวกเขาด้วยคุณค่าทางจิตวิญญาณที่ยั่งยืน - มิตรภาพความรักศิลปะ โคลงเผยให้เห็นโลกแห่งจิตวิญญาณที่ซับซ้อนและมีหลายแง่มุม พระเอกโคลงสั้น ๆตอบสนองต่อปัญหาในช่วงเวลาของเขา กวียกย่องความงามทางจิตวิญญาณของมนุษย์และในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงโศกนาฏกรรมของชีวิตในสภาพเวลานั้น

ความเชี่ยวชาญในการวาดภาพเหมือนโคลงสั้น ๆ ที่เป็นจริงนั้นโดดเด่นด้วยภาพของผู้หญิงผิวสีใน Sonnet 130 เชกสเปียร์ละทิ้งการเปรียบเทียบอย่างประณีตเพื่อวาดภาพที่แท้จริงของผู้หญิง:

ดวงตาของเธอดูไม่เหมือนดวงดาว

คุณไม่สามารถเรียกปะการังปากของคุณได้

ผิวเปิดไม่ใช่สีขาวเหมือนหิมะ

และเกลียวถูกบิดด้วยลวดสีดำ

ด้วยดอกกุหลาบสีแดงเข้มสีแดงหรือสีขาว

ไม่สามารถเทียบเฉดสีของแก้มเหล่านี้ได้

และมีกลิ่นตัวเหมือนกลิ่นตัว

ไม่เหมือนสีม่วงเป็นกลีบดอกที่บอบบาง

(แปลโดย S. Marshak)

Sonnet 66 โดดเด่นท่ามกลางวงโซเน็ตที่แสดงความคิดทางสังคมที่สำคัญที่สุด นี่คือการบอกเลิกสังคมอย่างโกรธเกรี้ยวโดยอาศัยพื้นฐานความถ่อมตัวและการทรยศหักหลัง บาดแผลทั้งหมดของสังคมที่ไม่ยุติธรรมถูกตั้งชื่อในวลีเจียระไน พระเอกโคลงสั้น ๆ กังวลมากเกี่ยวกับการเปิดตัวต่อหน้าเขา ภาพที่น่ากลัว ชัยชนะความชั่วร้ายที่เริ่มเรียกความตาย อย่างไรก็ตามโคลงจบลงด้วยความรู้สึกเบา ๆ ฮีโร่นึกถึงคนที่เขารักซึ่งเขาต้องมีชีวิตอยู่:

ทุกสิ่งที่ฉันเห็นรอบตัวฉันมันน่าขยะแขยง

แต่ขอโทษที่ทิ้งคุณไปเพื่อนรัก!

ด้วยภาษาและรูปแบบพลังทั้งหมดของอารมณ์ของพระเอกที่ตื่นเต้นถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ Sonnet 146 อุทิศให้กับความยิ่งใหญ่ของบุคคลที่ต้องขอบคุณการค้นหาทางจิตวิญญาณและการเผาไหม้อย่างสร้างสรรค์ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยทำให้สามารถได้รับความเป็นอมตะ

พิชิตความตายในชีวิตที่หายวับไป

และความตายจะตาย แต่คุณจะคงอยู่ตลอดไป

การเชื่อมต่อหลายรายการ ความสงบจิตสงบใจ พระเอกโคลงสั้น ๆ ที่มีแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิตทางสังคมในยุคนั้นถูกเน้นด้วยภาพเชิงเปรียบเทียบตามแนวคิดทางการเมืองเศรษฐกิจกฎหมายการทหาร ความรักถูกเปิดเผยเป็นความรู้สึกที่แท้จริงดังนั้นความสัมพันธ์ของคู่รักจึงถูกเปรียบเทียบกับความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองในเวลานั้น Sonnet 26 แนะนำแนวคิดของข้าราชบริพารและทูต Sonnet 46 มีเงื่อนไขทางกฎหมาย: "จำเลยปฏิเสธข้ออ้าง"; ในโคลงที่ 107 มีภาพที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์: "love as rent" (สัญญาเช่าแห่งรักแท้ของฉัน); Sonnet 2 มีคำศัพท์ทางทหาร: "เมื่อสี่สิบฤดูหนาวจะล้อมคิ้วของคุณและขุดร่องลึกลงไปในสนามที่สวยงาม ... )

โคลงของเชกสเปียร์เป็นดนตรี โครงสร้างโดยนัยทั้งหมดของบทกวีของเขาใกล้เคียงกับดนตรี

ภาพกวีของเชกสเปียร์ยังใกล้เคียงกับภาพพจน์ ในศิลปะทางวาจาของโคลงกวีอาศัย เปิดโดยศิลปิน กฎหมายมุมมองของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา โคลงตัวที่ 24 เริ่มต้นด้วยคำว่าดวงตาของฉันกลายเป็นช่างแกะสลักและภาพของคุณตราตรึงอยู่ในอกของฉันอย่างแท้จริง ตั้งแต่นั้นมาฉันก็รับใช้เป็นเฟรมที่มีชีวิตและสิ่งที่ดีที่สุดในงานศิลปะคือมุมมอง

โรมิโอและจูเลียต

โศกนาฏกรรมของเชกสเปียร์โรมิโอและจูเลียต (1595) ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่สวยงาม แต่น่าเศร้าของสิ่งมีชีวิตสองตัวที่สวยงาม แต่น่าเศร้าของสิ่งมีชีวิตหนุ่มสาวสองคนโดยแยกจากกันด้วยความบาดหมางที่ไม่สามารถแก้ไขได้ของตระกูลที่พวกเขาอยู่: Montagues (Romeo) และ Capulet ( จูเลียต). ชื่อเหล่านี้ถูกกล่าวถึงใน“ คอมเมดี้ขั้นเทพ“ ดันเต้. ต่อจากนั้นเรื่องราวของคู่รักสองคนได้รับการพัฒนาหลายครั้งในวรรณคดีอิตาลีในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ชื่อของโรมิโอและจูเลียตปรากฏครั้งแรกใน "History of Two Noble Lovers" ของลุยจิดาปอร์โต (ราว ค.ศ. 1524) ซึ่งการกระทำเกิดขึ้นในเวโรนา จากดาปอร์โตพล็อตได้ส่งต่อไปยังนักเขียนคนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมัตเตโอบันเดลโล (1554) ซึ่งเรื่องสั้นทำหน้าที่เป็นพื้นฐานของบทกวีโรมิโอและจูเลียตของอาเธอร์บรูค (1562) ซึ่งในที่สุดก็กลายเป็นเรื่องหลัก เท่านั้นแหล่งที่มาของโศกนาฏกรรมของเชกสเปียร์ อย่างไรก็ตามเชคสเปียร์เทไวน์ใหม่ลงในไวน์สกินส์เก่าเช่นเคย บรูคซึ่งแสดงให้เห็นถึงวีรบุรุษของเขาด้วยความรักไม่ใช่โดยปราศจากความเห็นอกเห็นใจอย่างไรก็ตามมีแนวโน้มที่จะมีการสั่งสอนเรื่องศีลธรรมและการสั่งสอนการเชื่อฟังความพอประมาณและความถ่อมตัวเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นมิตร สำหรับเขาความรักของโรมิโอและจูเลียตหากไม่ใช่บาปอย่างน้อยที่สุดก็เป็นความหลงและความหลงผิดซึ่งพวกเขาสมควรได้รับการลงโทษ เช็คสเปียร์เข้าหาเรื่องนี้ค่อนข้างแตกต่างกัน อุดมคติของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของเขา ความรักที่ยิ่งใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะอยู่เหนืออคติในครอบครัวเหนือความเกลียดชังในวัยชราดูเหมือนจะแยกสองลูกหลานของตระกูลที่ทำสงครามออกจากกันอย่างไม่อาจต้านทานได้ - และในวันนี้มันถูกมองว่าทันสมัยอย่างแน่นอนโดยไม่มีส่วนลดตลอดสี่ศตวรรษที่แยกเราออกจากช่วงเวลาที่เล่น สร้างขึ้น การกระทำของโศกนาฏกรรมของเชกสเปียร์ถูกบรรจุเป็นห้าวันในระหว่างที่เหตุการณ์ทั้งหมดของการเล่นเกิดขึ้น: จากเหตุการณ์แรกไปจนถึงเหตุการณ์ร้ายแรง! - การพบกันของโรมิโอและจูเลียตที่ลูกบอลในบ้านคาปูเล็ตก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าในห้องใต้ดินของตระกูลคาปูเล็ต ฮีโร่ของเชกสเปียร์ยังเด็กมาก แต่ความรู้สึกลึกซึ้งที่ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้ใหญ่เกินวัย อย่างไรก็ตามในแง่นี้พวกเขาแตกต่างกันมาก โรมิโอในช่วงเริ่มต้นของบทละครเป็นเรื่องไร้เดียงสาเขาเหนื่อยล้าจากการตกหลุมรักโรซาลินด์คนหนึ่ง (ซึ่งแตกต่างจากบรู๊คที่ทำให้เธอเป็นตัวละครที่กระตือรือร้นและสร้างการกระทำที่ยั่งยืนรอบตัวเธอและโรมิโอเชคสเปียร์ไม่ได้นำเธอขึ้นเวทีเลย) รอบ ๆ โรมิโอมีทั้งชายหนุ่ม (Mercutio, Benvolio) และเขาใช้เวลาอย่างที่ควรจะเป็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา: เดินโซเซอย่างเกียจคร้านถอนหายใจอย่างอิดโรยและไม่ทำอะไรเลย จูเลียตตั้งแต่แรกพบจากการปรากฏตัวครั้งแรกของเธอไม่เพียง แต่สร้างความประหลาดใจให้กับความบริสุทธิ์และเสน่ห์ของวัยเยาว์ที่เฟื่องฟูเท่านั้น แต่ยังมีความลึกซึ้งแบบเด็ก ๆ ความรู้สึกที่น่าเศร้า เธออายุมากกว่าโรมิโอ เขาตกหลุมรักจูเลียตแล้วค่อยๆตระหนักว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งจริงจังและยากลำบากเพียงใดและมีอุปสรรคมากมายที่ขวางทางพวกเขาอย่างไรและในขณะที่มันเติบโตขึ้นมาเพื่อเธอเปลี่ยนจากหญิงสาวธรรมดาให้กลายเป็นความรักที่เร่าร้อน และพร้อมสำหรับทุกสิ่งเพื่อความรักครั้งนี้“ ไม่ใช่เด็กผู้ชาย แต่เป็นสามีของฉัน” ความรักของโรมิโอและจูเลียตไม่ได้เป็นเพียงการละเมิดข้อห้ามของครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเป็นการท้าทายที่เปิดเผยโดยพวกเขา ประเพณีเก่าแก่ ความเกลียดชัง - ความเกลียดชังซึ่งมาหลายชั่วอายุคน Mont League และ Capulets จำนวนมากเกิดและเสียชีวิตซึ่งเกือบจะเป็นรากฐานของรัฐเวโรนา ดังนั้นทุกคนจึงหวาดกลัวกับความบ้าบิ่นและความรู้สึกลึกซึ้งที่จับโรมิโอและจูเลียตเพราะพวกเขาพยายามอย่างหนักที่จะแยกพวกเขาออกจากกัน เพื่อความรักสหภาพของพวกเขาบ่อนทำลายรากฐานละเมิดสิ่งที่ไม่สามารถละเมิดได้ แม้ว่าพวกเขาจะยังเยาว์วัยและไม่ประมาทแม้จะมีความห้าวหาญของโรมิโอและความเป็นเด็กสาวของจูเลียต แต่พวกเขาก็เกือบจะรู้ชะตากรรมของตอนจบตั้งแต่แรกพบ "จิตวิญญาณของฉันเต็มไปด้วยลางสังหรณ์ที่มืดมน!" - จูเลียตพูดว่าดูแลโรมิโอที่ถูกเนรเทศ พลังและการก้าวข้ามความหลงใหลความมุ่งมั่นสุดท้ายของการตัดสินใจและความมุ่งมั่นที่ไม่ประมาทต่อทุกสิ่งรวมถึงความตายทำให้ตกใจแม้แต่คนที่ดูเหมือนเข้าใจพวกเขาและไม่เพียง แต่เห็นอกเห็นใจพวกเขาเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยในทุก ๆ ด้านด้วย - คุณพ่อลอเรนโซ :“ จุดจบของความหลงใหลนั้นน่ากลัวมาก // และความตายรอพวกเขาอยู่ท่ามกลางชัยชนะ” ดยุคแห่งเวโรนาเห็นฉากที่น่ากลัว ในห้องใต้ดินของครอบครัวคาปูเล็ตมีศพของโรมิโอจูเลียตและปารีส คนหนุ่มสาวเมื่อวานยังมีชีวิตและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่วันนี้พวกเขาถูกฆ่าตาย ความตายที่น่าเศร้า ในที่สุดเด็ก ๆ ก็ได้รับการคืนดีจากครอบครัว Montague และ Capulet แต่ความสงบสุขนั้นมีค่าเพียงใด! ผู้ปกครองเวโรนาสรุปความเศร้า: "ไม่มีเรื่องเศร้าในโลกนี้ไปกว่าเรื่องราวของโรมิโอจูเลียต" ดูเหมือนว่าจะผ่านไปไม่ถึงสองวันนับตั้งแต่ที่ดยุคไม่พอใจและขู่ว่าโรมิโอจะ "แก้แค้นอย่างโหดร้าย" เมื่อ Tybalt และ Mercutio ถูกฆ่า คนตายไม่สามารถถูกลงโทษได้ผู้รอดชีวิตอย่างน้อยหนึ่งคนต้องถูกลงโทษ ตอนนี้ดยุคเสียใจอย่างจริงใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้: "การให้อภัยมีไว้สำหรับบางคนการลงโทษรอคนอื่นอยู่" เขาตั้งใจจะให้อภัยใครจะลงโทษใคร ไม่ทราบ พระมหากษัตริย์ตรัสออกมาแสดงเจตจำนงเพื่อการจรรโลงชีวิต ด้วยมาตรการของรัฐบาลเขาไม่สามารถป้องกันโศกนาฏกรรมได้และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วความรุนแรงของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ดยุคหวังในความแข็งแกร่ง ด้วยความช่วยเหลือของอาวุธเขาต้องการหยุดยั้งความไม่เคารพกฎหมาย เขาเชื่อว่าความกลัวของการแก้แค้นที่ใกล้เข้ามาจะหยุด Montague ที่ยกมือขึ้นไปที่ Capulet และ Capulet ที่พร้อมจะวิ่งไปที่ Montague กฎหมายอ่อนแอหรือว่าดยุคไม่สามารถใช้มันได้? เชกสเปียร์เชื่อในความเป็นไปได้ของสถาบันกษัตริย์และไม่คาดหวังว่าจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ความทรงจำเกี่ยวกับสงครามของดอกกุหลาบสีแดงและดอกกุหลาบขาวซึ่งสร้างความหายนะให้กับประเทศเป็นอย่างมากยังคงมีชีวิตอยู่ ดังนั้นนักเขียนบทละครจึงพยายามแสดงให้ผู้พิทักษ์กฎหมายเป็นผู้มีอำนาจที่ไม่โยนคำพูดไปที่สายลม หากเราระลึกถึงความตั้งใจของผู้เขียนความสนใจของเราควรถูกดึงไปที่ความสัมพันธ์ของการต่อสู้ของครอบครัวผู้มีพระคุณกับผลประโยชน์ของรัฐ ความดื้อด้านความเอาแต่ใจความพยาบาทซึ่งกลายเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของ Montague และ Capulet ถูกประณามด้วยชีวิตและอำนาจ อันที่จริงนี่คือความหมายทางการเมืองและปรัชญาของฉากเหล่านั้นที่ดยุคทำหน้าที่ สาขาพล็อตซึ่งเมื่อมองแวบแรกไม่ได้มีความสำคัญมากนักช่วยให้เราเข้าใจการต่อสู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ชีวิตอิสระ และสิทธิมนุษยชนตามแนวทางของโรมิโอและจูเลียต โศกนาฏกรรมขึ้นอยู่กับขนาดและความลึก บทละครต่อต้านความเชื่อที่เป็นที่นิยมว่าเป็นโศกนาฏกรรมแห่งความรัก ในทางตรงกันข้ามถ้าเราหมายถึงความรักมันก็มีชัยชนะในโรมิโอและจูเลียต "นี่คือสิ่งที่น่าสมเพชของความรัก" VG Belinsky เขียน "เพราะในโคลงสั้น ๆ ของโรมิโอและจูเลียตเราไม่เพียงเห็นความชื่นชมซึ่งกันและกันเท่านั้น ความรักเป็นขอบเขตหลักของชีวิตของวีรบุรุษแห่งโศกนาฏกรรมมันเป็นเกณฑ์ของความงามและความเป็นมนุษย์ของพวกเขา นี่คือธงที่ยกขึ้นเพื่อต่อต้านความเฉื่อยที่โหดร้ายของโลกเก่า

มีปัญหา "โรมิโอแอนด์จูเลียต" พื้นฐานของปัญหาของ "โรมิโอแอนด์จูเลียต" คือคำถามถึงชะตากรรมของคนหนุ่มสาวที่ ความรู้สึกของมนุษย์... อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาความขัดแย้งในโศกนาฏกรรมนั้นพิจารณาจากการปะทะกันของโรมิโอและจูเลียตด้วยกองกำลังที่มีลักษณะค่อนข้างชัดเจนในแง่สังคม กองกำลังเหล่านี้ที่ขัดขวางความสุขของคนรักหนุ่มสาวมีความเกี่ยวข้องกับบรรทัดฐานทางศีลธรรมแบบเก่าซึ่งพบว่าพวกเขาไม่เพียง แต่อยู่ในรูปแบบของความเป็นศัตรูในครอบครัวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรุนแรงต่อบุคลิกภาพของมนุษย์ซึ่งจะนำฮีโร่ไปสู่ความตายในที่สุด

โรมิโอผู้เปี่ยมด้วยความรักอดทน เขาจะไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในการดวลโดยผลีผลามมันอาจจบลงด้วยการเสียชีวิตของผู้เข้าร่วมในการต่อสู้หนึ่งคนหรือทั้งสองคน ความรักทำให้โรมิโอมีเหตุผลฉลาดในแบบของตัวเอง การเพิ่มความยืดหยุ่นไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากการสูญเสียความแข็งและความต้านทาน เมื่อเห็นได้ชัดว่าคำพูดไม่สามารถหยุดยั้ง Tybalt ผู้พยาบาทได้เมื่อ Tybalt ที่โกรธแค้นโจมตี Mercutio ที่มีนิสัยดีเหมือนสัตว์ร้ายและฆ่าเขาโรมิโอก็รับอาวุธ ไม่พ้นเหตุพยาบาท! เขาไม่ใช่ Montague คนเดิมอีกต่อไป โรมิโอลงโทษไทบาลต์ในข้อหาฆาตกรรม เขาจะทำอะไรได้อีก? ความรักกำลังเรียกร้อง: บุคคลต้องเป็นนักสู้ ในโศกนาฏกรรมของเช็คสเปียร์เราไม่พบไอดีลที่ไม่มีเมฆ: ความรู้สึกของโรมิโอและจูเลียตได้รับการทดสอบอย่างรุนแรง ทั้งโรมิโอและจูเลียตไม่คิดว่าจะให้ความสำคัญกับอะไร: ความรักหรือความเกลียดชังซึ่งตามประเพณีกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างมอนตากิวและคาปูเล็ต พวกเขารวมเข้าด้วยกันในการวิ่งครั้งเดียว แต่ความเป็นตัวของตัวเองไม่ได้หายไปในความรู้สึกทั่วไป จูเลียตไม่ยอมให้คนที่เธอรักเด็ดขาด เธอยังเป็นเด็ก แม่และพยาบาลตั้งตัวได้อย่างแม่นยำ: เหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ของวันที่จูเลียตจะอายุสิบสี่ ในบทละครอายุของเด็กผู้หญิงคนนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างไม่มีใครเทียบได้: โลกทำให้เธอประหลาดใจด้วยความแตกต่างเธอเต็มไปด้วยความคาดหวังที่คลุมเครือ จูเลียตไม่ได้เรียนรู้ที่จะซ่อนความรู้สึกของเธอ มีสามความรู้สึก: เธอรักเธอชื่นชมเธอเสียใจ เธอไม่รู้จักการประชด เธอแปลกใจที่คุณเกลียด Montague ได้เพียงเพราะเขาเป็น Montague เธอประท้วง เมื่อนางพยาบาลที่รู้เรื่องความรักของจูเลียตครึ่งติดตลกแนะนำให้เธอแต่งงานกับปารีสหญิงสาวก็โกรธหญิงชรา จูเลียตต้องการให้ทุกคนคงที่เช่นเดียวกับเธอ เพื่อที่ทุกคนจะได้ชื่นชมโรมิโอที่มีศักดิ์ศรีอย่างหาที่เปรียบมิได้. หญิงสาวได้ยินหรืออ่านเกี่ยวกับความไม่มั่นคงของผู้ชายและในตอนแรกเธอกล้าที่จะบอกคนรักของเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ปฏิเสธความสงสัยใด ๆ ทันที: ความรักทำให้คุณเชื่อในตัวบุคคล และความรู้สึกและพฤติกรรมแบบเด็ก ๆ นี้ยังเปลี่ยนไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ - ไม่เพียง แต่โรมิโอที่เติบโตขึ้น ตกหลุมรักโรมิโอเธอเริ่มเข้าใจมนุษย์สัมพันธ์ดีกว่าพ่อแม่ของเธอ ตามคำบอกเล่าของคู่สมรสชาวคาปูเล็ตเคาท์ปารีสเป็นเจ้าบ่าวที่ยอดเยี่ยมสำหรับลูกสาวของพวกเขา: หล่อเหลามีเกียรติและมีมารยาท ตอนแรกพวกเขาคิดว่าจูเลียตจะเห็นด้วยกับพวกเขา ท้ายที่สุดสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขา: เจ้าบ่าวต้องมาเขาต้องปฏิบัติตามจรรยาบรรณที่ไม่ได้เขียนไว้ ลูกสาวของคาปูเล็ตอยู่เหนืออคติทางชนชั้น เธอชอบที่จะตาย แต่ไม่แต่งงานกับคนที่ไม่มีใครรัก เธอจะไม่ลังเลที่จะแต่งงานกับคนที่เธอรัก นั่นคือความตั้งใจของเธอนั่นคือการกระทำของเธอ การกระทำของจูเลียตมีความมั่นใจมากขึ้น หญิงสาวเป็นคนแรกที่เริ่มการสนทนาเกี่ยวกับการแต่งงานและเรียกร้องให้โรมิโอกลายเป็นสามีของเธอในวันถัดไปโดยไม่เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ความงามของจูเลียตความแข็งแกร่งในตัวละครของเธอการตระหนักถึงความชอบธรรมอย่างภาคภูมิใจ - ลักษณะทั้งหมดนี้แสดงออกอย่างเต็มที่ที่สุดเมื่อเทียบกับโรมิโอ เพื่อถ่ายทอดความตึงเครียดของความรู้สึกสูงพบคำที่สูง: ใช่ Montague ของฉันใช่ฉันประมาทและคุณมีสิทธิ์ที่จะพิจารณาว่าฉันมีลมแรง

ข้อมูลที่คล้ายกัน

วันเกิดที่แน่นอนของนักเขียนที่มีพรสวรรค์ในอนาคตไม่ได้รับการเก็บรักษาไว้ เชื่อกันว่าเขาเกิดที่ Stratford-upon-Avon ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1564 เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในวันที่ 26 เมษายนเขารับบัพติศมาในคริสตจักรท้องถิ่น เขาใช้ชีวิตวัยเด็กในครอบครัวที่ร่ำรวยมีลูกหลายคนเขาเป็นลูกคนที่สามในบรรดาพี่น้องเจ็ดคน

ช่วงเวลาแห่งความเยาว์วัย

นักวิจัยชีวิตและการทำงานของเชกสเปียร์แนะนำว่าเขาได้รับการศึกษาครั้งแรกที่โรงเรียนไวยากรณ์สแตรทฟอร์ดจากนั้นศึกษาต่อที่โรงเรียนของ King Edward the Sixth เมื่ออายุสิบแปดเขาเริ่มมีครอบครัว สาวท้องชื่อแอนกลายเป็นคนที่เขาเลือก ครอบครัวของนักเขียนมีลูกสามคน

ชีวิตในลอนดอน

ตอนอายุ 20 ปีเชกสเปียร์ออกจากบ้านเกิดและย้ายไปลอนดอน ชีวิตของเขาไม่ใช่เรื่องง่าย: เพื่อหาเงินเขาถูกบังคับให้ตกลงทำงานใด ๆ ในโรงละคร จากนั้นเขาได้รับความไว้วางใจให้เล่นบทเล็ก ๆ ในปี 1603 ละครของเขาปรากฏบนเวทีของโรงละครและเช็คสเปียร์กลายเป็นเจ้าของร่วมของคณะละครที่เรียกว่า "The King's Servants" ต่อมาโรงละคร ได้รับชื่อ "Globe" ย้ายไปที่อาคารใหม่ สภาพวัสดุของ William Shakespeare เริ่มดีขึ้นมาก

กิจกรรมวรรณกรรม

หนังสือเล่มแรกของนักเขียนตีพิมพ์ในปีค. ศ. 1594 เธอทำให้เขาประสบความสำเร็จเงินและการยอมรับ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้นักเขียนยังคงทำงานในโรงละคร

งานวรรณกรรมของเชกสเปียร์สามารถแบ่งออกเป็นสี่ช่วงเวลาคร่าวๆ

ในช่วงแรกเขาสร้างคอเมดี้และบทกวี ในเวลานี้เขาเขียนผลงานเช่น "Two Verona", "The Taming of the Shrew", "The Comedy of Errors"

ปรากฏภายหลัง งานโรแมนติก: "A Midsummer Night's Dream", "The Merchant of Venice"

หนังสือปรัชญาที่ลึกซึ้งที่สุดปรากฏในช่วงที่สามของงานของเขา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เชคสเปียร์สร้างละครเรื่อง "Hamlet", "Othello", "King Lear"

ผลงานล่าสุดของอาจารย์โดดเด่นด้วยรูปแบบที่ละเอียดอ่อนและทักษะการประพันธ์ที่สง่างาม "แอนโทนีและคลีโอพัตรา", "โคริโอลานุส" คือจุดสุดยอดของงานศิลปะกวี

คะแนนนักวิจารณ์

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือการประเมินผลงานของ William Shakespeare โดยนักวิจารณ์ ดังนั้นเบอร์นาร์ดชอว์จึงถือว่าเช็คสเปียร์เป็นนักเขียนที่ล้าสมัยเมื่อเทียบกับอิบเซน ลีโอตอลสตอยแสดงความสงสัยหลายครั้งเกี่ยวกับพรสวรรค์ด้านการแสดงละครของเชกสเปียร์ แต่พรสวรรค์และความเป็นอัจฉริยะของคลาสสิกที่ยิ่งใหญ่ก็เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ ดังที่กล่าว กวีชื่อดัง TS Eliot: "บทละครของเช็คสเปียร์จะทันสมัยเสมอ"

ภายในกรอบชีวประวัติสั้น ๆ ของเชกสเปียร์เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตของนักเขียนและวิเคราะห์ผลงานของเขา เพื่อที่จะชื่นชมบุคลิกภาพและมรดกทางความคิดสร้างสรรค์จำเป็นต้องอ่านผลงานและทำความคุ้นเคยกับผลงานของนักวิจารณ์วรรณกรรมเกี่ยวกับชีวิตและผลงานของวิลเลียมเชกสเปียร์

- จุดสุดยอดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอังกฤษและการสังเคราะห์ประเพณีของวัฒนธรรมยุโรปร่วมกันสูงสุด

บทนำ

1. คำอธิบายสั้น ๆ ของ ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

2. การฟื้นฟูในอังกฤษ

3. คุณสมบัติที่โดดเด่นของโลกทัศน์ของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

4. คำอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับผลงานของ W. Shakespeare

5. การวิเคราะห์เชิงรูปแบบของวงจร "Sonnets"

6. ลักษณะวิภาษของรูปแบบโคลง:

ก) โคลงคลาสสิก

b) โคลงของเชกสเปียร์

บทสรุป

“ จิตวิญญาณแห่งศตวรรษของเราปาฏิหาริย์บนเวทีของเรามันไม่ได้อยู่ในศตวรรษเดียว แต่เป็นตลอดกาล” เบนจอห์นสันนักเขียนบทละครชาวอังกฤษร่วมสมัยที่อายุน้อยกว่าของเขาเขียนเกี่ยวกับเช็คสเปียร์ เชกสเปียร์ได้รับการขนานนามว่าเป็นนักมนุษยนิยมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค ปลายยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาหนึ่งในนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกความภาคภูมิใจของมวลมนุษยชาติ

ตัวแทนของหลาย ๆ โรงเรียนวรรณกรรม และกระแสใน เวลาที่แตกต่างกัน หันมาทำงานของเขาเพื่อค้นหาวิธีแก้ปัญหาทางศีลธรรมและความงามที่แท้จริง ความหลากหลายของรูปแบบที่ไม่สิ้นสุดซึ่งเกิดภายใต้อิทธิพลอันทรงพลังเช่นนี้มีความก้าวหน้าในธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นคำพูดใน "Opera of the Beggars" เชิงเสียดสีของ John Gay หรือแนวหลงใหลในโศกนาฏกรรมทางการเมืองของ Vit-torio Alfieri ภาพของ "ศิลปะที่ดีต่อสุขภาพ" ในโศกนาฏกรรมเรื่อง "เฟาสต์" ของโยฮันน์เกอเธ่หรือแนวคิดประชาธิปไตยที่แสดงไว้ในบทความของFrançois Guizot ซึ่งเป็นความสนใจอย่างมากในสถานะภายในของบุคลิกภาพท่ามกลางความโรแมนติกแบบอังกฤษหรือ "การแสดงภาพตัวละครอย่างอิสระและกว้างขวาง" ใน Boris Godunov ของ Alexander Pushkin ...

นี่อาจจะสามารถอธิบายปรากฏการณ์ "ความเป็นอมตะ" ได้ มรดกทางความคิดสร้างสรรค์ เช็คสเปียร์เป็นของขวัญบทกวีที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัยที่หักล้างความขัดแย้งทางศีลธรรมที่รุนแรงที่สุดที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติของความสัมพันธ์ของมนุษย์ได้รับการรับรู้และคิดใหม่โดยแต่ละยุคต่อมาในแง่มุมใหม่ที่เป็นลักษณะเฉพาะของช่วงเวลานี้ในขณะที่ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ (เพื่อ พูด) ในยุคของเขาดูดซับประสบการณ์คนรุ่นก่อน ๆ และตระหนักถึงศักยภาพในการสร้างสรรค์ที่สะสมไว้

เพื่อพิสูจน์ว่างานของเชกสเปียร์เป็นจุดสุดยอดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอังกฤษและการสังเคราะห์ประเพณีของวัฒนธรรมเรอเนสซองซ์ของยุโรปสูงสุด (โดยไม่อ้างเกียรติยศของจอร์จแบรนเดสผู้ซึ่งนำเสนอหัวข้อนี้อย่างกว้างขวางและมีนัยสำคัญในผลงานของเขา "วิลเลียมเชกสเปียร์" (พ.ศ. 2439 )) บางทีฉันอาจจะใช้ตัวอย่าง USonetovF ของเขาเป็นประเภทที่เกิดในยุคที่เป็นปัญหาและแม่นยำในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาและในช่วงต่อ ๆ ไป XVII ศตวรรษที่พบกับช่วงเวลาแห่งการออกดอกสูงสุด

ลักษณะโดยย่อของการให้เช่า

การฟื้นฟู (ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา) เป็นช่วงเวลาแห่งการพัฒนาทางวัฒนธรรมและอุดมการณ์ของตะวันตกและ ยุโรปกลาง (ใน อิตาลี XIV - ศตวรรษที่สิบหกในประเทศอื่น ๆ ปลาย 15 - ต้นศตวรรษที่ 17) การเปลี่ยนผ่านจากวัฒนธรรมยุคกลางไปสู่วัฒนธรรมสมัยใหม่

คุณลักษณะที่โดดเด่นของวัฒนธรรมในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา: การต่อต้านศักดินาที่แกนกลางลักษณะทางโลกการต่อต้านเสมียนโลกทัศน์แบบเห็นอกเห็นใจการดึงดูดมรดกทางวัฒนธรรมของสมัยโบราณการ "ฟื้นฟู" ประเภทหนึ่ง (จึงเป็นที่มาของชื่อ) .

ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเกิดขึ้นและปรากฏให้เห็นชัดเจนที่สุดในอิตาลีซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่สิบสาม - สิบสี่ บรรพบุรุษของมันคือกวี Dante ศิลปิน Giotto และคนอื่น ๆ ความคิดสร้างสรรค์ของบุคคลในยุคเรอเนสซองส์นั้นเปี่ยมไปด้วยศรัทธาในความเป็นไปได้ที่ไร้ขีด จำกัด ของมนุษย์เจตจำนงและเหตุผลของเขาการปฏิเสธนักวิชาการคาทอลิกและการบำเพ็ญตบะ (จริยธรรมแบบมนุษยนิยม) ความน่าสมเพชของการยืนยันอุดมคติของบุคลิกภาพที่สร้างสรรค์ที่กลมกลืนเป็นอิสระความงามและความกลมกลืนของความเป็นจริงการดึงดูดมนุษย์ในฐานะหลักการสูงสุดของการเป็นอยู่ความรู้สึกของความสมบูรณ์และความสม่ำเสมอที่กลมกลืนกันของจักรวาลทำให้ศิลปะเรอเนสซองส์มีความสำคัญเชิงอุดมการณ์อย่างมาก ความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่

ในสถาปัตยกรรมโครงสร้างทางโลกเริ่มมีบทบาทสำคัญ - อาคารสาธารณะพระราชวังบ้านในเมือง การใช้แกลเลอรีโค้งเสาหินห้องใต้ดินห้องอาบน้ำสถาปนิก (Alberti, Palladio ในอิตาลี, Lescaut, Delorme ในฝรั่งเศส ฯลฯ ) ทำให้อาคารของพวกเขามีความชัดเจนความกลมกลืนและความเป็นสัดส่วนกับมนุษย์

ศิลปิน (Donatello, Leonardo da Vinci, Raphael, Michelangelo, Titian และคนอื่น ๆ ในอิตาลี Jan van Eyck, Bruegel ในเนเธอร์แลนด์; Dürer, Niethardt - ในเยอรมนี, Fouquet, Goujon, Clouet ในฝรั่งเศส) เข้าใจภาพสะท้อนของความร่ำรวยทั้งหมดอย่างสม่ำเสมอ ของความเป็นจริง - ปริมาณการส่งผ่านพื้นที่แสงภาพร่างมนุษย์ (รวมถึงภาพเปลือย) และสภาพแวดล้อมจริง - การตกแต่งภายในภูมิทัศน์

วรรณคดียุคฟื้นฟูศิลปวิทยาได้สร้างอนุสรณ์สถานดังกล่าว คุณค่าที่ยั่งยืน ในฐานะ "Gargantua และ Pantagruel" (1533 - 1552) Rabelais ละครของเช็คสเปียร์นวนิยายเรื่อง "Don Quixote" (1605 - 1615) โดย Cervantes เป็นต้นรวมความสนใจในโบราณวัตถุเข้ากับ วัฒนธรรมพื้นบ้านความน่าสมเพชของการ์ตูนที่มีโศกนาฏกรรมของการเป็นอยู่ บทกวีของ Petrarch, เรื่องสั้นของ Boccaccio, บทกวีที่กล้าหาญของ Aristo, ปรัชญาพิสดาร (Erasmus of Rotterdam's Treatise Praise of Folly, 1511), เรียงความของ Montaigne - ใน ประเภทที่แตกต่างกันรูปแบบของแต่ละบุคคลและรูปแบบของชาติเป็นตัวเป็นตนในแนวคิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

การเปล่งเสียงและการบรรเลงดนตรีพัฒนาขึ้นด้วยมุมมองที่เห็นอกเห็นใจแนวเพลงใหม่ ๆ ปรากฏขึ้น เพลงฆราวาส - เพลงเดี่ยวแคนทาทาออราโทริโอและโอเปร่าที่ส่งเสริมการรักร่วมเพศ

ในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นเกิดขึ้นในสาขาภูมิศาสตร์ดาราศาสตร์และกายวิภาคศาสตร์ ความคิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยามีส่วนในการทำลายแนวคิดศักดินาและศาสนาและในหลาย ๆ ด้านตอบสนองความต้องการของสังคมชนชั้นกลางที่กำลังเกิดขึ้น

REVIVAL ในอังกฤษ

ในอังกฤษยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเริ่มค่อนข้างช้ากว่าตัวอย่างเช่นในอิตาลีและที่นี่มีความแตกต่างที่สำคัญของตัวเอง

มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและนองเลือดในอังกฤษ ภายในประเทศมีการต่อสู้อย่างหนักกับผู้ที่ไม่ต้องการให้เธอเป็นอิสระจากอิทธิพลของวาติกัน ความคิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาได้รับการยืนยันในการต่อสู้ อังกฤษกำลังทำสงครามกับสเปนซึ่งปกป้องอำนาจของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกทั่วยุโรป

โดยธรรมชาติแล้วคนแรกที่แสดงความคิดและความรู้สึกของยุคปัจจุบันในหนังสือคือนักมนุษยนิยม พวกเขาไม่เพียง แต่พูดถึงความยอดเยี่ยมของการเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่พวกเขาได้เห็นความทุกข์ทรมานของชาวอังกฤษธรรมดา ๆ ในตอนต้นของศตวรรษที่สิบหก ปรากฏหนังสือของนักมนุษยนิยมผู้ยิ่งใหญ่คนแรกของอังกฤษ Thomas More "Utopia" มันอธิบายถึงเกาะสมมุติของยูโทเปีย - สังคมแห่งอนาคตที่ซึ่งความยุติธรรมความเสมอภาคและความอุดมสมบูรณ์ขึ้นครองราชย์ หนังสือของ Thomas More มีผลกระทบอย่างมากไม่เพียง แต่ต่อคนรุ่นเดียวกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาแนวความคิดคอมมิวนิสต์ในอนาคตด้วย

แนวความคิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในอังกฤษได้รับการยอมรับอย่างมากในขั้นตอนต่างๆของโรงภาพยนตร์ ใน โรงละครภาษาอังกฤษ นักเขียนบทละครที่มีความสามารถกลุ่มใหญ่ทำงาน - Green, Marlowe, Kid และคนอื่น ๆ พวกเขามักถูกเรียกว่าเชกสเปียร์รุ่นก่อนซึ่งผลงานของพวกเขาซึมซับและพัฒนาสิ่งที่ดีที่สุดทั้งหมดที่อยู่ในผลงานของพวกเขา

คุณสมบัติที่แตกต่างของรูปแบบการเช่า

ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในชีวิตทางเศรษฐกิจสังคมและจิตวิญญาณของยุโรปตะวันตกซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาที่พิจารณา การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม (การเกิดขึ้นของเงื่อนไขสำหรับการก่อตัวของสมัยใหม่ ชาติในยุโรป และสังคมชนชั้นกลางสมัยใหม่การเกิดขึ้นของฐานรากสำหรับการค้าโลกยุคหลังและการเปลี่ยนงานหัตถกรรมไปสู่การผลิต ฯลฯ ) มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในความคิด กระบวนการของการทำให้เป็นโลกเป็นตัวกำหนดความเป็นอิสระของทุกด้านของชีวิตทางวัฒนธรรมและสังคมที่เกี่ยวข้องกับคริสตจักรรวมถึงวิทยาศาสตร์ปรัชญาและศิลปะ

ในยุคที่กำลังพิจารณาการตีความ "การฟื้นฟู" แบบใหม่ที่ปรากฏในปรัชญามีการวางรากฐานของวิภาษวิธีใหม่ของยุโรป

ตระหนักว่าตัวเองเกิดใหม่ วัฒนธรรมโบราณวิธีคิดและความรู้สึกแบบโบราณและต่อต้านตัวเองด้วยเหตุนี้ศาสนาคริสต์ในยุคกลางยุคฟื้นฟูศิลปวิทยายังคงเกิดขึ้นจากการพัฒนาวัฒนธรรมในยุคกลาง ลักษณะเด่นที่สำคัญที่สุดของโลกทัศน์ของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาคือการวางแนวต่อศิลปะ หากจุดสำคัญของสมัยโบราณคือชีวิตตามธรรมชาติและจักรวาลในยุคกลาง - พระเจ้าและความคิดเรื่องความรอดที่เกี่ยวข้องกับเขาแล้วในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยามนุษย์ก็อยู่ในศูนย์กลาง

พลังดังกล่าวและอำนาจเหนือทุกสิ่ง คนที่มีอยู่ ไม่รู้สึกทั้งในสมัยโบราณหรือในยุคกลาง เขาไม่ต้องการพระคุณของพระเจ้าโดยที่มันเชื่อกันในยุคกลางเขาไม่สามารถรับมือกับข้อบกพร่องของ "แก่นแท้บาป" ของเขาได้ ตอนนี้เขาเองเป็นผู้สร้าง กิจกรรมสร้างสรรค์จึงได้มาซึ่งตัวละครศักดิ์สิทธิ์ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา - ด้วยความช่วยเหลือเขาสร้างขึ้น โลกใหม่, สร้างความสวยงาม, สร้างตัวเอง. เป็นยุคนี้ที่ทำให้โลกมีบุคคลที่โดดเด่นจำนวนมากที่มีอารมณ์แจ่มใสการศึกษารอบด้านเจตจำนงเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวและมีพลังมหาศาล

ซับซ้อน รสนิยมทางศิลปะ ทุกที่ที่เขารับรู้และเน้นย้ำถึงความคิดริเริ่มและความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลโดยไม่คำนึงว่าคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นปัจเจกบุคคลหมายถึงความสมบูรณ์ของแนวทางความงามที่มีต่อบุคคลในขณะที่บุคลิกภาพเป็นหมวดหมู่ที่ค่อนข้างมีคุณธรรมและจริยธรรม เหล่านี้คือวีรบุรุษของเช็คสเปียร์ - คุณสมบัติที่โดดเด่น บุคลิก (ความสามารถในการรับรู้ความดีและความชั่วเพื่อปฏิบัติตามความแตกต่างนี้และรับผิดชอบต่อการกระทำของพวกเขา) สำหรับฉันดูเหมือนว่าจะถูกแทนที่ด้วยเกณฑ์ความงามอย่างหมดจด (ฮีโร่แตกต่างจากคนอื่นอย่างไรและอย่างไร การกระทำคือ) เราสามารถค้นหาตัวอย่างนี้ได้อย่างง่ายดายในผลงานแต่ละชิ้นของเชกสเปียร์

โดยบังเอิญในความคิดของฉันความมั่งคั่งของโคลงลดลงอย่างแม่นยำในยุคเรอเนสซองซ์การคิดแบบมนุษย์เป็นศูนย์กลางในช่วงเวลานี้การตีความวิภาษวิธียุคฟื้นฟูศิลปวิทยามีส่วนทำให้เกิดความโดดเด่น บุคลิกที่สร้างสรรค์ให้แรงผลักดันที่ทรงพลังต่อทั้งศาสตร์และศิลป์

วิลเลี่ยมเชคสเปียร์
(1564-1616)

ผลงานของเชกสเปียร์คือความสำเร็จสูงสุด วรรณคดียุโรป ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา. หากร่างทรงพลัง "ดันเต้" เป็นจุดเริ่มต้นของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาหุ่นเชกสเปียร์ขนาดมหึมาผู้นี้จะสวมมงกุฎและสวมมงกุฎในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมโลก มรดกของเขาได้รับความสำคัญระดับโลกมีอิทธิพลต่อผลงานของจิตรกรชื่อดังระดับโลกจำนวนนับไม่ถ้วนและยังคงมีความเกี่ยวข้องกับยุคสมัยของเรา

โรงภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในโลกมักจะรวมเอาละครของเขาไว้ในละครของตัวเองและบางทีนักแสดงทุกคนก็ไม่ได้ฝันถึงบทบาทของ Hamlet

ไม่ได้มองไปที่เสียงสะท้อนทั่วโลกของบทกวีของเชกสเปียร์จึงไม่ค่อยมีใครรู้จักเขามากนัก ข้อมูลตำรามีดังนี้ เช็คสเปียร์เกิดเมื่อวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1564 ที่เมืองสแตรทฟอร์ดอัพพอนเอวอนในครอบครัวช่างฝีมือและพ่อค้า เรียนที่โรงเรียนไวยากรณ์ท้องถิ่นที่เขาเรียน ภาษาพื้นเมืองรวมถึงภาษากรีกและละตินเนื่องจากตำราเรียนเล่มเดียวคือพระคัมภีร์ ตามแหล่งข้อมูลบางแห่งเขาไม่ได้จบการศึกษาจากโรงเรียนเนื่องจากพ่อของเขามีภาระทางการเงินจึงพาวิลเลียมไปเป็นผู้ช่วยของเขา ตามที่คนอื่น ๆ บอกหลังจากออกจากโรงเรียนเขายังเป็นผู้ช่วยครูในโรงเรียนด้วยซ้ำ

ตอนอายุสิบแปดเขาแต่งงานกับแอนน์แฮธาเวย์ซึ่งเป็นผู้อาวุโสของเขาแปดปี เขาออกจากสแตรทฟอร์ดสามปีหลังจากงานแต่งงาน ผลงานพิมพ์ครั้งแรกของเขาปรากฏเฉพาะในปี 1594 นักเขียนชีวประวัติบอกเป็นนัยว่าในช่วงเวลานี้เขาเป็นนักแสดงของคณะเดินทางระยะหนึ่ง D ในปี 1590 ทำงานในโรงภาพยนตร์หลายแห่งในลอนดอนและตั้งแต่ปีค. ศ. 1594 เขาได้เข้าร่วมคณะ James Burbage ที่ดีที่สุดในลอนดอน ตั้งแต่ช่วงเวลาที่ Burbage สร้างโรงละครโกลบกล่าวอีกนัยหนึ่งคือตั้งแต่ปี 1599 ถึงปี 1621 ชีวิตของเขาเกี่ยวข้องกับโรงละครแห่งนี้ผู้ถือหุ้นนักแสดงและนักเขียนบทละครที่เขาเป็น ตลอดเวลาครอบครัวของเขายังคงอยู่ในสแตรทฟอร์ดซึ่งเขากลับมาหลังจากหยุดการแสดงละครและ กิจกรรมสร้างสรรค์และเขาเสียชีวิตในวันที่ 23 เมษายน (ในวันเกิดของเขาเอง) ในปี 1612 เมื่ออายุ 52 ปี

มรดกอันน่าทึ่งและบทกวีของเขาอ้างอิงจาก "Shakespearean Canon" (ผลงานของเชกสเปียร์ฉบับสมบูรณ์ฉบับแรกดำเนินการในปี 1623) ประกอบด้วยละคร 37 เรื่องบทกวี 154 บทและบทกวี 2 บท - "Venus and Adoni" และ "The Degraded Lucretia" . ทั้งหมด ผลงานละคร ของเชกสเปียร์เขียนด้วยบทกวีสีขาวราวกับหิมะพร้อมบทร้อยแก้ว การผสมผสานระหว่างกวีนิพนธ์และร้อยแก้วเป็นลักษณะที่สอดคล้องกันของละครของเชกสเปียร์ซึ่งมีเงื่อนไขทั้งเนื้อหาทางศิลปะและงานด้านสุนทรียศาสตร์

หนังสือหลายพันเล่มอุทิศให้กับความคิดสร้างสรรค์ของนักเขียนบทละครที่ไม่มีใครเทียบได้และต้นแบบที่ยอดเยี่ยมของโคลง เป็นที่น่าแปลกใจที่ส่วนแบ่งเพียงหนึ่งเดียวจนถึงทุกวันนี้ปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขมีผลงานมากกว่า 4500 ชิ้น และความแตกต่างนี้น่าแปลกใจที่เกี่ยวข้องกับการประพันธ์ผลงานของเชคสเปียร์โดยเฉพาะ: ใครคือผู้สร้าง - วิลเลียมเชกสเปียร์เองหรือคนอื่น จนถึงวันนี้มีผู้สมัคร 58 คนซึ่งรวมถึงชื่อเช่นนักปรัชญาฟรานซิสเบคอนลอร์ดแห่งเซาแทมป์ตันรัตแลนด์เอิร์ลแห่งดาร์บี้และแม้แต่ควีนอลิซาเบ ธ

ข้อสงสัยที่รุนแรงมากขึ้นเกี่ยวกับการประพันธ์ของเชกสเปียร์เกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าวิลเลียมไม่ได้เรียนที่ใดนอกจากโรงเรียนสอนไวยากรณ์และไม่ได้อยู่ที่ใดนอกสหราชอาณาจักร ในเวลาเดียวกัน เช็คสเปียร์ทำงาน ตะลึงพรึงเพริด ทักษะทางศิลปะขนาดของความคิดและความลึกซึ้งทางศิลปะเชิงปรัชญาของการเจาะเข้าไปในงานที่สำคัญที่สุดของชีวิต พวกเขาไม่เพียง แต่เป็นพยานถึงอัจฉริยะของผู้สร้างของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสารานุกรมแห่งความรู้ของเขาซึ่งไม่มีใครในยุคเดียวกันของเขาครอบครอง พจนานุกรมของเช็คสเปียร์มีมากกว่า 20,000 คำในขณะที่ฟรานซิสเบคอนมีเพียง 8,000 คำและวิกเตอร์ฮิวโก้มี 9 พันคำ

พวกเขายังเป็นพยานด้วยว่าเขารู้ภาษาฝรั่งเศสอิตาลีกรีก ภาษาละตินคุ้นเคยกับ ตำนานโบราณ, ผลงานของ Homer, Ovid, Plautus, Seneca, Montaigne, Rabelais และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้เชคสเปียร์ยังรู้สึกเป็นอิสระในประวัติศาสตร์อังกฤษนิติศาสตร์วาทศาสตร์การแพทย์ความซับซ้อนของมารยาทในศาลในชีวิตและนิสัยของผู้มีอำนาจ ล้นหลาม ส่วนใหญ่ ความรู้นี้ในสมัยนั้นสามารถหาได้เฉพาะในสถาบันซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าเชกสเปียร์ไม่เคยศึกษา

แต่ใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังชื่อที่มีชื่อเสียงระดับโลกนี้ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือผลงานของเชกสเปียร์ที่ผสมผสานกับพลังแห่งการแสดงออกที่ไม่ธรรมดาสะท้อนให้เห็นถึงความคิดและอารมณ์ของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาทั้งหมดจากการยกย่องอย่างไม่มีข้อกังขาของบุคคลที่สามารถ เพิ่มขึ้นด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณและเหตุผลของเขาเองจนถึงระดับของสิ่งสร้างที่เหมือนพระเจ้าไปจนถึงความผิดหวังและความลังเลใจในความเป็นพระเจ้าในธรรมชาติของเขา เกี่ยวกับ วิธีที่สร้างสรรค์ โดยปกติเช็คสเปียร์แบ่งออกเป็นสามช่วงเวลา

ช่วงแรก (1590-1600) ประกอบด้วยละครพงศาวดาร (9), คอเมดี (10), หายนะ (3), ทั้งบทกวี - "Venus and Adonis" (1592), "Defiled Lucretia" (1593) และ sonnets (1953-1598) ).

พงศาวดารซึ่งเชกสเปียร์เริ่มงานของเขาเป็นแนวเพลงที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นก่อนและคนรุ่นเดียวกันในขณะที่พวกเขาตอบสนองต่อความกระตือรือร้นของสาธารณชนที่เพิ่มสูงขึ้นสำหรับประวัติศาสตร์ของพวกเขาเองและปัญหาทางการเมืองในยุคของเราในระหว่างการต่อสู้ที่ตึงเครียดระหว่างบริเตนใหญ่และสเปน หลังจากนั้นก็มีดราม่าพงศาวดารลักษณะหนึ่งคือความสามารถของนักเขียนบทละครในการวาดภาพยุคสมัยขนาดใหญ่ด้วยสีสันที่มีชีวิตชีวาและมีสีสันโดยผสมผสานสังคมเข้าด้วยกัน พื้นหลังกับโชคชะตา อักขระบางตัว: "Henry VI, ตอนที่ 2" (1590), "Henry VI, ตอนที่ 3" (1591), "Henry VI, ตอนที่ 1" (1593), "Richard NI" (1594), "Richard II" (1595), Overlord John (1596), Henry IV, Part 2 (1597), Henry IV, Part 2 (1598) และ Henry V (1598)

นอกจากพงศาวดารแล้วเชคสเปียร์ยังเขียนคอเมดีหลายเรื่อง: The Comedy of Errors (1592), The Taming of the Opposite (1593), The Two Veronese (1594), The Vain Efforts of Love (1594), A Midsummer Night's Dream (1595), The Merchant of Venice (1596), Much Ado About Nothing (1599), The Windsor Introducers (1598), As You Like It (1599) และ Twelfth Night (1600) อีกทั้งหายนะ 3 ประการ ได้แก่ "Titus Andronicus" ( 1593), "โรมิโอและจูเลียต" (1594) และ "จูเลียสซีซาร์" (1598)

ลักษณะทั่วไปของผลงานในช่วงเวลานี้สามารถพบได้ในแง่ดีโดยมีสีจากการรับรู้ที่ร่าเริงของชีวิตในความหลากหลายศรัทธาในชัยชนะของเหตุผลและความดี บทกวีและบทกวีซึ่งเปิดขั้นตอนใหม่ในการพัฒนากวีนิพนธ์ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาด้วยความสมจริงของบทกวีของพวกเขาเองก็มีความน่าสมเพชในเชิงมนุษยนิยมเช่นกัน บทกวีของเช็คสเปียร์เป็นวงจรพล็อตที่สร้างขึ้นจากการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกวีเพื่อนและ "ผู้หญิงมืดมน" ในบทกวีโลกที่ยากลำบากและปลอดภัยของมนุษย์ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาจะกลายเป็นด้วยมุมมองที่ครอบคลุมทั้งหมดของเขาทัศนคติที่กระตือรือร้นต่อชีวิตอารมณ์และประสบการณ์ทางวิญญาณมากมาย

ช่วงที่สองของงานของเชกสเปียร์ (1601-1608) ถูกกำหนดโดยกวีที่เจาะลึกลงไปในการวิเคราะห์ความขัดแย้งทางหายนะของมนุษย์ซึ่งแสดงออกมาด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขาในตอนท้ายของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา แม้แต่หนังสือคอเมดี้สามเรื่องที่เขียนขึ้นในเวลานี้ ("Troilus and Cressida" (1602); "The end crowns the work" (1603); "Measurement" (1603) แบกรับความพินาศของโลกทัศน์ที่หายนะอัจฉริยะด้านการละครของเชกสเปียร์ได้แสดงออกมาโดยเฉพาะ ในโศกนาฏกรรมในช่วงนี้: "Hamlet" (1601), "Othello" (1604), "Lord Lear" (1605), "Macbeth" (1606), "Antony and Cleopatra" (1607), "Coriolanus" (1607) ), "Timon Athenian" (1608).

Sonnet No. 66 ซึ่งเขียนไว้ก่อนหน้านี้สามารถใช้เป็นแก่นแท้ของแนวโน้มความหายนะของงานเหล่านี้

และในตอนท้ายช่วงโรแมนติกที่ 3 ซึ่งครอบคลุมถึงปี 1609 - 1612 ในเวลานี้เขาสร้างโศกนาฏกรรมสี่เรื่องหรือละครโรแมนติก: "Pericles" (1609), "Cymbelin" (1610), "Winter Parable" (1611); "The Tempest" (1612) และละครอิงประวัติศาสตร์ "Henry VIII" ในโศกนาฏกรรมบรรยากาศของการครองราชย์อันยอดเยี่ยมในความดีและความยุติธรรมกองกำลังแห่งความชั่วร้ายมีชัยเสมอ ดังนั้น "ผู้ปกครองของกวีละคร" (V.

ในบรรดาโศกนาฏกรรมที่มีชื่อเสียงของเช็คสเปียร์โรมิโอและจูเลียตและแฮมเล็ตได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา

ความหายนะ "โรมิโอแอนด์จูเลียต" เขียนขึ้นในช่วงกลางทศวรรษที่ 90 ในช่วงแรกที่เรียกว่ามองโลกในแง่ดีกับงานของเขาอิ่มตัวมากขึ้นด้วยความน่าสมเพชของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในความเชื่อในมนุษย์และความสามารถอันไร้ขอบเขตของเขา จุดศูนย์กลางของหายนะเช่นเดียวกับในคอเมดี้ที่เขียนขึ้นในเวลานั้นเป็นเรื่องราวของแสงสว่างโรแมนติกโรแมนติกและความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวของสองฮีโร่หนุ่มสาวซึ่งแผ่ขยายออกไปกับฉากหลังของความบาดหมางอันยาวนานระหว่างครอบครัวของพวกเขา - Montagues และคาปูเล็ต

ความรักที่ปรากฏระหว่างโรมิโอตัวแทนของ House of Montague และ Juliet ตัวแทนของ House of the Capulet แสดงโดย Shakespeare เป็นพลังที่สวยงามดีและเป็นบวกที่สามารถทำลายศัตรูที่ต่อต้านมนุษยธรรมในสมัยก่อน โลก. ความรักปลุกความรู้สึกสูงสุดในโรมิโอและจูเลียตมันเสริมสร้างจิตวิญญาณและเติมเต็มให้พวกเขารู้สึกสั่นสะเทือนถึงความงดงามของชีวิต เช็คสเปียร์สร้างเพลงสวดแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพลงหนึ่ง