Buonarotti เสียสละชีวิตมนุษย์เพื่อศิลปะ ครอบครัวและวัยเด็ก

Michelangelo Buonarroti(1475-1564) เป็นอัจฉริยะลำดับที่สามของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลี ในแง่ของขนาดบุคลิกภาพ เขาใกล้ชิดกับเลโอนาร์โด เขาเป็นประติมากร จิตรกร สถาปนิก และกวี สามสิบปีที่ผ่านมาของการทำงานของเขาได้รับแล้ว ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนปลาย... ในช่วงเวลานี้ความวิตกกังวลและความวิตกกังวลปรากฏในผลงานของเขาซึ่งเป็นลางสังหรณ์ของปัญหาและความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้น

ในบรรดาผลงานสร้างสรรค์ชิ้นแรกของเขา ผู้คนให้ความสนใจรูปปั้น "Swinging Boy" ซึ่งสะท้อนถึง "Discobolus" โดยประติมากร Miron โบราณ ในนั้นอาจารย์ประสบความสำเร็จในการแสดงการเคลื่อนไหวและความหลงใหลในสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ อย่างเต็มตา

ผลงานสองชิ้น - รูปปั้น "Bacchus" และกลุ่ม "Pieta" - สร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 15 ทำให้ Michelangelo มีชื่อเสียงและรุ่งโรจน์ ในตอนแรก เขาสามารถถ่ายทอดสภาวะมึนเมาเล็กน้อยได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งเป็นความสมดุลที่ไม่เสถียร กลุ่ม Pieta แสดงภาพศพของพระคริสต์ซึ่งนอนอยู่บนตักของพระแม่มารีซึ่งก้มลงกราบพระองค์อย่างโศกเศร้า ตัวเลขทั้งสองถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว องค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบของพวกเขาทำให้พวกเขาเป็นจริงและเป็นจริงอย่างน่าประหลาดใจ ออกจากประเพณี มีเกลันเจโลแสดงภาพมาดอนน่าที่ยังเด็กและสวยงาม ความแตกต่างระหว่างวัยเยาว์ของเธอกับพระวรกายที่ไร้ชีวิตของพระคริสต์ยิ่งทำให้สถานการณ์โศกนาฏกรรมยิ่งแย่ลงไปอีก

หนึ่งในความสำเร็จสูงสุดของ Michelangelo คือ รูปปั้น "เดวิด"ซึ่งเขาลองแกะสลักจากก้อนหินอ่อนที่วางอยู่รอบๆ โดยไม่ใช้งานและเน่าเสียแล้ว ประติมากรรมมีความสูงมาก - 5.5 ม. อย่างไรก็ตามคุณลักษณะนี้แทบจะมองไม่เห็น สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบพลาสติกที่สมบูรณ์แบบ รูปทรงที่หายากทำให้ดูเป็นธรรมชาติ เบา และสวยงามอย่างน่าประหลาดใจ รูปปั้นเต็มแล้ว ชีวิตภายในพลังงานและความแข็งแกร่ง เธอเป็นเพลงสรรเสริญความเป็นชาย ความงาม ความสง่างาม และความสง่างามของมนุษย์

ในบรรดาความสำเร็จสูงสุดของ Michelangelo ก็มีผลเช่นกัน สร้างขึ้นสำหรับหลุมฝังศพของ Pope Julius II - "Moses", "Bound Slave", "Dying Slave", "Awakening Slave", "Crouching Boy" ประติมากรทำงานในหลุมฝังศพนี้โดยมีเวลาเหลือประมาณ 40 ปี แต่ไม่เคยทำให้เสร็จ อย่างไรก็ตามแล้ว สิ่งที่ประติมากรสร้างได้ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศิลปะโลก ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าในงานเหล่านี้มีเกลันเจโลสามารถบรรลุความสมบูรณ์แบบสูงสุดความสามัคคีในอุดมคติและความสอดคล้องระหว่างความหมายภายในกับรูปแบบภายนอก

การสร้างสรรค์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของ Michelangelo คือ โบสถ์ซานลอเรนโซในเมืองฟลอเรนซ์และโบสถ์เมดิชิที่ตกแต่งด้วยศิลาจารึกหลุมฝังศพ หลุมฝังศพสองแห่งของ Dukes Lorenzo และ Giuliano Medici เป็นโลงศพที่มีฝาปิดลาดซึ่งมีสองร่าง - "เช้า" และ "เย็น", "กลางวัน" และ "กลางคืน" ตัวเลขทั้งหมดดูเยือกเย็น แสดงออกถึงความวิตกกังวลและอารมณ์มืดมน มันเป็นความรู้สึกเหล่านี้ที่ Michelangelo ประสบด้วยตนเองตั้งแต่ชาวสเปนจับฟลอเรนซ์ของเขา สำหรับร่างของดยุคเองเมื่อวาดภาพพวกเขา Michelangelo ไม่ได้พยายามให้มีความคล้ายคลึงกัน เขานำเสนอพวกเขาเป็นภาพทั่วไปของคนสองประเภท: Giuliano ที่กล้าหาญและมีพลังและ Lorenzo ที่เศร้าโศกและครุ่นคิด

จากผลงานประติมากรรมชิ้นสุดท้ายของ Michelangelo กลุ่ม "Entombment" ซึ่งศิลปินตั้งใจไว้สำหรับหลุมฝังศพของเขาสมควรได้รับความสนใจ ชะตากรรมของเธอกลายเป็นเรื่องน่าเศร้า: Michelangelo ทำลายเธอ อย่างไรก็ตาม นักเรียนคนหนึ่งของเขาได้รับการฟื้นฟู

นอกจากงานประติมากรรมแล้ว ไมเคิลแองเจโลยังสร้างสรรค์ผลงานที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย จิตรกรรม.ที่สำคัญที่สุดของเหล่านี้คือ ภาพวาดของโบสถ์น้อยซิสทีนในวาติกัน

เขาเอามันสองครั้ง ประการแรก ตามคำสั่งของสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 พระองค์ทรงทาสีเพดานโบสถ์น้อยซิสทีน โดยใช้เวลาสี่ปีกับสิ่งนี้ (ค.ศ. 1508-1512) และทำงานที่ยากและยิ่งใหญ่อย่างน่าอัศจรรย์ เขาต้องครอบคลุมมากกว่า 600 ตารางเมตรด้วยจิตรกรรมฝาผนัง บนพื้นผิวที่กว้างใหญ่ของแผ่นหิน ไมเคิลแองเจโลได้บรรยายถึงหัวข้อในพันธสัญญาเดิม ตั้งแต่การสร้างโลกไปจนถึงน้ำท่วม ตลอดจนฉากต่างๆ จาก ชีวิตประจำวัน- แม่เล่นกับลูก ชายชราครุ่นคิด ชายหนุ่มกำลังอ่านหนังสือ ฯลฯ

เป็นครั้งที่สอง (1535-1541) มีเกลันเจโลสร้างภาพเฟรสโก Last Judgement โดยวางไว้บนกำแพงแท่นบูชาของโบสถ์น้อยซิสทีน ในใจกลางขององค์ประกอบ ในรัศมีแสง มีร่างของพระคริสต์ผู้ยกขึ้นด้วยท่าทางที่น่าเกรงขาม มือขวา... มีร่างมนุษย์เปลือยจำนวนมากอยู่รอบๆ ทุกอย่างที่ปรากฎบนผืนผ้าใบถูกกำหนดให้เป็นวงกลมซึ่งเริ่มต้นที่ด้านล่าง

ด้านซ้ายซึ่งแสดงให้เห็นความตายที่เพิ่มขึ้นจากหลุมศพ เหนือพวกเขาคือวิญญาณที่พุ่งสูงขึ้น และเหนือพวกเขาคือผู้ชอบธรรม ส่วนบนสุดของปูนเปียกถูกครอบครองโดยเทวดา ในส่วนล่าง ด้านขวามีเรือกับชารอนซึ่งขับคนบาปให้ตกนรก ความหมายตามพระคัมภีร์ของการพิพากษาครั้งสุดท้ายแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนและน่าประทับใจ

วี ปีที่แล้วชีวิตของ Michelangelo คือ สถาปัตยกรรม.เขากำลังก่อสร้างมหาวิหารเซนต์ Peter แก้ไขการออกแบบดั้งเดิมของ Bramante

Michelangelo Buonarroti (ชื่อเต็ม - Michelangelo de Francesci di Neri di Miniato del Sera i Lodovico de Sera และ Lodoviko di Leonardo di Buonarroti Simoni (อิตาลี Michelangelo di Francesci di Neri di Miniato del Sera i Lodov Buonar di Simoni) ประติมากร, จิตรกร, สถาปนิก, กวีนักคิด หนึ่งใน ปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

ชีวประวัติ

Michelangelo เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 ในเมือง Caprese เมืองทัสคานีใกล้กับอาเรสโซในตระกูล Lodovico Buonarroti สมาชิกสภาเมือง เมื่อตอนเป็นเด็ก เขาถูกเลี้ยงดูมาในฟลอเรนซ์ จากนั้นบางครั้งเขาก็อาศัยอยู่ในเมืองเซ็ตติญาโน

ในปี ค.ศ. 1488 พ่อของ Michelangelo ลาออกจากตำแหน่งตามความชอบของลูกชาย และให้เขาเป็นเด็กฝึกงานในสตูดิโอของจิตรกร Domenico Ghirlandaio ซึ่งเขาศึกษาอยู่หนึ่งปี อีกหนึ่งปีต่อมา มีเกลันเจโลย้ายไปเรียนที่โรงเรียนของประติมากร Bertoldo di Giovanni ซึ่งอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของ Lorenzo de Medici ปรมาจารย์ที่แท้จริงของฟลอเรนซ์

เมดิชิตระหนักถึงพรสวรรค์ของมีเกลันเจโลและอุปถัมภ์เขา มีเกลันเจโลอาศัยอยู่ในวังเมดิชิในบางครั้ง หลังจากการตายของเมดิชิในปี 1492 มีเกลันเจโลกลับบ้าน

ในปี 1496 พระคาร์ดินัล Raphael Riario ซื้อคิวปิดหินอ่อนของ Michelangelo และเชิญศิลปินมาทำงานในกรุงโรม

มีเกลันเจโลถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 ที่กรุงโรม ฝังอยู่ในโบสถ์ซานตาโครเชในฟลอเรนซ์ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาได้กำหนดเจตจำนงด้วยการพูดน้อย: "ฉันมอบจิตวิญญาณของฉันให้กับพระเจ้า ร่างกายของฉันเพื่อแผ่นดิน ทรัพย์สินของฉันเพื่อญาติของฉัน"

งานศิลปะ

อัจฉริยภาพของมีเกลันเจโลได้ทิ้งรอยประทับไว้ไม่เพียงแต่ศิลปะของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งอื่นๆ ตามมาด้วย วัฒนธรรมโลก... กิจกรรมส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสองเมืองในอิตาลี - ฟลอเรนซ์และโรม โดยธรรมชาติของความสามารถของเขา เขาเป็นประติมากรเป็นหลัก รู้สึกได้ใน ภาพวาดปรมาจารย์ที่อุดมไปด้วยความยืดหยุ่นของการเคลื่อนไหวท่าทางที่ซับซ้อนการแกะสลักปริมาณที่ชัดเจนและทรงพลัง ในฟลอเรนซ์มีเกลันเจโลสร้างตัวอย่างอมตะของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาสูง - รูปปั้นของ "เดวิด" (ค.ศ. 1501-1504) ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานการพรรณนาร่างกายมนุษย์มานานหลายศตวรรษในกรุงโรม - องค์ประกอบประติมากรรม"ปีเอตา" (1498-1499) หนึ่งในร่างแรกของร่างคนตายในพลาสติก อย่างไรก็ตาม ศิลปินสามารถตระหนักถึงความคิดที่ทะเยอทะยานที่สุดของเขาได้อย่างแม่นยำในการวาดภาพ ซึ่งเขาทำหน้าที่เป็นผู้ริเริ่มด้านสีและรูปแบบที่แท้จริง

ตามคำสั่งของสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 พระองค์ทรงทาสีเพดานของโบสถ์น้อยซิสทีน (1508-1512) ซึ่งเป็นตัวแทนของเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิลตั้งแต่การสร้างโลกจนถึงอุทกภัยและรวมถึงตัวเลขมากกว่า 300 ตัว ในปี ค.ศ. 1534-1541 เช่นเดียวกัน โบสถ์น้อยซิสทีนสำหรับสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 3 พระองค์ได้ทรงแสดงพระอัจฉริยภาพที่เต็มไปด้วยละคร "การพิพากษาครั้งสุดท้าย" งานสถาปัตยกรรมของ Michelangelo โดดเด่นด้วยความงามและความยิ่งใหญ่ - ทั้งกลุ่มของ Capitol Square และโดมของมหาวิหารวาติกันในกรุงโรม

ศิลปะได้มาถึงความสมบูรณ์แบบในนั้นซึ่งไม่สามารถพบได้ในสมัยโบราณหรือในหมู่ผู้คนใหม่ ๆ เป็นเวลาหลายปี เขามีจินตนาการที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ และสิ่งต่างๆ ที่ดูเหมือนเขาอยู่ในความคิดนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะดำเนินการตามแผนอันยิ่งใหญ่และน่าทึ่งด้วยมือของเขา และเขามักจะละทิ้งการสร้างสรรค์ของเขา ยิ่งกว่านั้น เขาได้ทำลายหลายสิ่งหลายอย่าง จึงทราบดีว่าไม่นานก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์ก็ทรงถูกเผา จำนวนมากภาพวาด ภาพสเก็ตช์ และการ์ตูน สร้างขึ้นด้วยมือของเขาเอง เพื่อไม่ให้ใครเห็นผลงานที่เขาเอาชนะ และวิธีที่เขาทดสอบอัจฉริยะของเขาเพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าสมบูรณ์แบบเท่านั้น

จอร์โจ้ วาซารี. "ชีวประวัติของจิตรกร ประติมากร และสถาปนิกที่มีชื่อเสียงที่สุด" ที.วี.เอ็ม., 1971.

ผลงานเด่น


* เดวิด หินอ่อน. 1501-1504. ฟลอเรนซ์ สถาบันวิจิตรศิลป์

*เดวิด. 1501-1504

* มาดอนน่าที่บันได หินอ่อน. ตกลง. 1491. ฟลอเรนซ์, พิพิธภัณฑ์ Buonarroti.


* การต่อสู้ของเซนทอร์ หินอ่อน. ตกลง. 1492. ฟลอเรนซ์ พิพิธภัณฑ์ Buonarroti

* ปิเอต้า หินอ่อน. 1498-1499. วาติกัน, เซนต์. ปีเตอร์.

* มาดอนน่าและเด็ก หินอ่อน. ตกลง. 1501. เมืองบรูจส์ โบสถ์นอเทรอดาม

* มาดอนน่า ทัดเด หินอ่อน. ตกลง. 1502-1504. ลอนดอน ราชบัณฑิตยสถานแห่งศิลปะ

* เซนต์. อัครสาวกแมทธิว. หินอ่อน. 1506. ฟลอเรนซ์ สถาบันวิจิตรศิลป์.

* "ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์" Madonna Doni 1503-1504. ฟลอเรนซ์, หอศิลป์ Uffizi

*

มาดอนน่าไว้ทุกข์พระคริสต์

* มาดอนน่า ปิตติ ตกลง. 1504-1505. ฟลอเรนซ์ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติบาร์เจลโล

* โมเสส ตกลง. ค.ศ. 1515 โรม โบสถ์ซานปิเอโตรในวินโคลี

* หลุมฝังศพของ Julius II 1542-1545. โรม โบสถ์ซานปิเอโตรในวินโคลี

* ทาสที่กำลังจะตาย หินอ่อน. ตกลง. 1513. ปารีส, พิพิธภัณฑ์ลูฟร์.

* ผู้ชนะ 1530-1534

* ผู้ชนะ 1530-1534

* ทาสกบฏ 1513-1515 พิพิธภัณฑ์ลูฟร์

* ทาสที่ตื่นขึ้น ตกลง. 1530. หินอ่อน. สถาบันวิจิตรศิลป์ ฟลอเรนซ์

* ภาพวาดห้องนิรภัยของโบสถ์น้อยซิสทีน ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์และอิสยาห์ วาติกัน.

* การสร้างอาดัม

* SISTINE CHAPEL Doomsday

* อพอลโลหยิบลูกธนูจากลูกธนูหรือที่เรียกว่า "David-Apollo" 1530 (พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ Bargello, ฟลอเรนซ์)

* มาดอนน่า ฟลอเรนซ์ โบสถ์เมดิชิ หินอ่อน. 1521-1534.

* ห้องสมุดเมดิชิ บันไดลอเรนเซียน 1524-1534, 1549-1559 ฟลอเรนซ์.
* โบสถ์เมดิชิ 1520-1534.

* หลุมฝังศพของ Duke Giuliano โบสถ์เมดิชิ 1526-1533. ฟลอเรนซ์ มหาวิหารซานลอเรนโซ

"กลางคืน"

เมื่อเปิดทางเข้าโบสถ์ กวีได้แต่งโคลงประมาณหนึ่งร้อยบทที่อุทิศให้กับรูปปั้นทั้งสี่นี้ บรรทัดที่โด่งดังที่สุดโดย Giovanni Strozzi อุทิศให้กับ "Night"

ค่ำคืนนี้ที่หลับไหลอย่างสงบ
ก่อนที่คุณจะเป็นนางฟ้าแห่งการสร้างสรรค์
เธอทำมาจากหิน แต่เธอยังมีลมหายใจ
แค่ตื่น - เธอจะพูด

Michelangelo ตอบโต้ Madrigal นี้ด้วย quatrain ที่มีชื่อเสียงไม่น้อยไปกว่ารูปปั้น:

นอนก็สุขใจ สุขใจยิ่งกว่าเป็นศิลา
โอ้ ในยุคนี้ อาชญากรและน่าละอาย
การไม่อยู่ การไม่รู้สึก เป็นสิ่งที่น่าอิจฉามาก
ได้โปรดเงียบอย่ากล้าปลุกฉัน (แปลโดย F.I. Tyutchev)

* หลุมฝังศพของ Duke Giuliano Medici เศษส่วน

* หลุมฝังศพของ Duke Lorenzo โบสถ์เมดิชิ 1524-1531. ฟลอเรนซ์ มหาวิหารซานลอเรนโซ

* รูปปั้นของ Giuliano Medici, Duke of Nemours, หลุมฝังศพของ Duke Giuliano โบสถ์เมดิชิ 1526-1533

* บรูตัส หลัง ค.ศ. 1539 ฟลอเรนซ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบาร์เจลโล

* พระคริสต์ทรงแบกไม้กางเขน

* เด็กชายยู่ยี่ หินอ่อน. 1530-1534. รัสเซีย, เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, อาศรมแห่งรัฐ

* เด็กหมอบ 1530-34 เฮอร์มิเทจ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

* แอตแลนท์ หินอ่อน. ระหว่างปี ค.ศ. 1519 โดยประมาณ 1530-1534. ฟลอเรนซ์ สถาบันวิจิตรศิลป์

คร่ำครวญถึง Vittoria Colonna

"Pieta with Nicodemus" ของมหาวิหารฟลอเรนซ์ 1547-1555

"การเปลี่ยนแปลงของอัครสาวกเปาโล" วิลลาเปาลินา 1542-1550

"การตรึงกางเขนอัครสาวกเปโตร" วิลลาเปาลินา ค.ศ. 1542-1550

* Pieta (ฝังศพ) ของวิหาร Santa Maria del Fiore หินอ่อน. ตกลง. 1547-1555. ฟลอเรนซ์ พิพิธภัณฑ์โอเปร่า เดล ดูโอโม

ในปี 2550 ผลงานชิ้นสุดท้ายของ Michelangelo ถูกพบในหอจดหมายเหตุของวาติกัน ซึ่งเป็นภาพร่างหนึ่งในรายละเอียดของโดมของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ภาพวาดชอล์กสีแดงคือ "รายละเอียดของหนึ่งในคอลัมน์รัศมีที่ประกอบเป็นกลองของโดมของเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรม" เชื่อกันว่านี่คือผลงานชิ้นสุดท้าย ศิลปินชื่อดังถูกประหารชีวิตไม่นานก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1564

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการค้นพบผลงานของมีเกลันเจโลในหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ ดังนั้น ในปี 2002 ในห้องเก็บของ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติออกแบบในนิวยอร์กโดยบังเอิญพบภาพวาดของอาจารย์อีกคนหนึ่ง เขาเป็นหนึ่งในภาพวาดของนักเขียนยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่ไม่รู้จัก บนกระดาษแผ่นหนึ่งขนาด 45 × 25 ซม. ศิลปินวาดภาพเล่ม - เชิงเทียนสำหรับเทียนเจ็ดเล่ม
ความคิดสร้างสรรค์บทกวี
มีเกลันเจโลเป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบันในฐานะผู้เขียนรูปปั้นที่สวยงามและจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงออกถึงอารมณ์ อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าศิลปินที่มีชื่อเสียงเขียนบทกวีที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน พรสวรรค์ด้านกวีของ Michelangelo นั้นปรากฏออกมาอย่างเต็มที่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตของเขาเท่านั้น บทกวีของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่บางบทถูกจัดเป็นเพลงและได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงชีวิตของเขา แต่เป็นครั้งแรกที่บทกวีและเพลงมาดริกาลของเขาได้รับการตีพิมพ์ในปี 1623 เท่านั้น บทกวีประมาณ 300 บทของ Michelangelo รอดชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้

การแสวงหาทางจิตวิญญาณและชีวิตส่วนตัว

ในปี ค.ศ. 1536 วิตตอเรีย โคลอนนา มาร์ควิสแห่งเปสการาได้เดินทางมายังกรุงโรม ที่ซึ่งกวีหญิงม่ายวัย 47 ปีผู้นี้ได้รับมิตรภาพอันลึกซึ้ง หรือแม้กระทั่ง ความรักที่เร่าร้อนไมเคิลแองเจโล วัย 61 ปี ไม่นานนัก "ศิลปินคนแรกที่เป็นธรรมชาติและร้อนแรงได้รับการแนะนำโดย Marquise of Pescara ที่มีอำนาจนุ่มนวลในกรอบของการนมัสการที่ถูก จำกัด ซึ่งเหมาะสมกับบทบาทของเธอในฐานะภิกษุณีฆราวาสความเศร้าโศกของเธอต่อสามีที่เสียชีวิตจากบาดแผล และปรัชญาของเธอในการพบเขาอีกครั้งหลังความตาย” เพื่อความรักที่สงบสุขของเขา เขาได้อุทิศบทกวีที่กระตือรือร้นที่สุดของเขาหลายเล่ม สร้างภาพวาดสำหรับเธอและใช้เวลาหลายชั่วโมงในบริษัทของเธอ สำหรับเธอ ศิลปินเขียนว่า "The Crucifixion" ซึ่งได้มาถึงเราในฉบับต่อๆ มา แนวคิดเรื่องการฟื้นฟูศาสนา (ดู การปฏิรูปในอิตาลี) ซึ่งทำให้สมาชิกในแวดวงของวิตโตเรียกังวล ทิ้งรอยประทับไว้อย่างลึกซึ้งในมุมมองของไมเคิลแองเจโลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภาพสะท้อนของพวกเขาจะเห็นได้ ตัวอย่างเช่น ในปูนเปียก Last Judgment ในโบสถ์น้อยซิสทีน

ที่น่าสนใจคือ Vittoria เป็นผู้หญิงคนเดียวที่มีชื่อเกี่ยวข้องกับ Michelangelo อย่างแน่นหนา ซึ่งนักวิจัยส่วนใหญ่มักจะพิจารณาว่าเป็นพวกรักร่วมเพศหรือ อย่างน้อยกะเทย. ตามที่นักวิจัยชีวิตส่วนตัวของ Michelangelo ความหลงใหลใน Marquise ของเขาเป็นผลมาจากการเลือกจิตใต้สำนึกเนื่องจากวิถีชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ของเธอไม่สามารถคุกคามสัญชาตญาณรักร่วมเพศของเขาได้ “เขาวางเธอบนแท่น แต่ความรักที่เขามีต่อเธอแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเพศตรงข้ามไม่ได้ เขาเรียกเธอว่า 'ผู้ชายในผู้หญิง' (un uoma in una donna) บทกวีของเขาถึงเธอ ... บางครั้งก็ยากที่จะแยกแยะจากบทกวีกับชายหนุ่ม Tommaso Cavalieri ยิ่งไปกว่านั้นเป็นที่รู้กันว่ามีเกลันเจโลบางครั้งแทนที่ที่อยู่ "ผู้ลงนาม" ด้วย "ผู้ลงนาม" ก่อนปล่อยให้บทกวีของเขาออกไปสู่ผู้คน " (ในอนาคต หลานชายของเขาเซ็นเซอร์อีกครั้งก่อนจะตีพิมพ์บทกวีของเขา)

การจากไปของ Orvieto และ Viterbo ในปี ค.ศ. 1541 เนื่องจากการจลาจลของ Ascanio Colonna น้องชายของเธอกับ Paul III ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ของเธอกับศิลปินและพวกเขายังคงมาเยี่ยมเยียนกันและติดต่อกันเช่นเคย เธอกลับมาที่กรุงโรมใน 1544.
Kondivi เพื่อนของศิลปินและนักเขียนชีวประวัติเขียนว่า:
“ความรักที่เขามีต่อมาร์ควิสแห่งเปสการานั้นยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ ตกหลุมรักกับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเธอ และได้รับความรักที่ตอบแทนอย่างบ้าคลั่งจากเธอ เขายังคงเก็บจดหมายของเธอไว้มากมาย เต็มไปด้วยความรู้สึกที่บริสุทธิ์และหอมหวานที่สุด ... ตัวเขาเองเขียนบทกวีมากมายให้เธอ มีความสามารถและเต็มไปด้วยความเศร้าโศกอันแสนหวาน หลายครั้งที่เธอออกจาก Viterbo และที่อื่น ๆ ที่เธอไปเพื่อความบันเทิงหรือใช้เวลาช่วงฤดูร้อน และมาที่กรุงโรมเพียงเพื่อพบ Michelangelo
และสำหรับส่วนของเขา เขารักเธอมากจนอย่างที่เขาบอกฉัน มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเสียใจ: เมื่อเขามาดูที่เธอซึ่งไร้ชีวิตชีวาแล้ว เขาจูบเพียงมือของเธอเท่านั้น ไม่ใช่ที่หน้าผากหรือที่ใบหน้า เพราะความตายนี้ เขายังคงสับสนและสับสนอยู่นาน”
นักเขียนชีวประวัติของศิลปินชื่อดังตั้งข้อสังเกตว่า “จดหมายของสองคนนี้ คนที่ยอดเยี่ยมไม่เพียงแต่มีความสนใจในชีวประวัติสูงเท่านั้น แต่ยังเป็นอนุสาวรีย์ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย ยุคประวัติศาสตร์และตัวอย่างที่หายากของการแลกเปลี่ยนความคิดที่มีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยสติปัญญา การสังเกตที่ละเอียดอ่อน และการประชด "นักวิจัยเขียนเกี่ยวกับบทกวีที่อุทิศให้กับ Michelangelo Vittoria:" การจงใจบังคับ Platonism ของความสัมพันธ์ทำให้รุนแรงขึ้นและทำให้คลังสินค้ารักปรัชญาตกผลึก กวีนิพนธ์ของมีเกลันเจโลซึ่งส่วนใหญ่สะท้อนมุมมองและกวีนิพนธ์ของมาร์กีเอง ซึ่งเล่นบทบาทของผู้นำทางจิตวิญญาณของมีเกลันเจโลในช่วงทศวรรษ 1530 บทกวี "การติดต่อ" ดึงดูดความสนใจของคนรุ่นเดียวกัน บางทีที่มีชื่อเสียงที่สุดคือโคลง 60 ซึ่งกลายเป็นเรื่องของการตีความพิเศษ” บันทึกการสนทนาระหว่าง Vittoria และ Michelangelo โชคไม่ดีที่ประมวลผลอย่างหนักถูกเก็บรักษาไว้ในบันทึกของ Francesco d“ Hollande ซึ่งอยู่ใกล้กับวงกลมของ จิตวิญญาณ

กวีนิพนธ์
ไม่มีกิจกรรมสนุก ๆ ที่สนุกสนานอีกต่อไป:
ด้วยเปียสีทองของดอกไม้ที่แย่งชิงกัน
ให้สัมผัสหัวน่ารักๆ
และเกาะติดจูบทุกที่โดยไม่มีข้อยกเว้น!

และความพอใจในการแต่งตัวมากแค่ไหน
บีบค่ายของเธอและตกลงไปในคลื่น
และตะแกรงสีทองช่างน่าชื่นใจสักเพียงไร
เพื่อโอบแก้มเธอ!

สายรัดมีความละเอียดอ่อนยิ่งกว่าริบบิ้นที่สง่างาม
เปล่งประกายด้วยลายปักลวดลายของฉัน
Perseus ของหนุ่มถูกปิดรอบ

และเข็มขัดที่สะอาดม้วนงอเบา ๆ
ราวกับกระซิบ: "ฉันจะไม่พรากจากเธอ ... "
โอ้มือของฉันทำงานหนักแค่ไหน!

***
ฉันกล้าสมบัติของฉัน
อยู่ได้โดยปราศจากเธอ ความทรมานของตัวฉันเอง
เนื่องจากคุณเป็นคนหูหนวกที่จะขอร้องให้แยกจากกันอ่อนลง?
ฉันไม่ละลายด้วยใจที่เศร้าอีกต่อไป
ไม่สะอื้นไห้ ไม่สะอื้นไห้ ไม่สะอื้นไห้
มาดอนน่าแสดงความทุกข์ยาก
และความตายอันใกล้ของฉัน
แต่เพื่อที่จะร็อคแล้วบริการของฉัน
ฉันไม่สามารถขับไล่ออกจากความทรงจำของคุณ -
ฉันฝากหัวใจไว้เป็นคำมั่นสัญญา

มีความจริงในสุนทรพจน์ของสมัยโบราณ
และนี่คือสิ่งหนึ่ง: ใครทำได้ เขาไม่ต้องการ
เจ้าได้ฟังแล้ว Signor ว่าเสียงโกหก
และคนพูดจะตอบแทนคุณ

ฉันเป็นคนรับใช้ของคุณ: งานของฉันได้รับ
เธอเป็นเหมือนแสงอาทิตย์ แม้ว่ามันจะทำให้เสียชื่อเสียง
ความโกรธของคุณคือทั้งหมดที่ความกระตือรือร้นของฉันอ่าน
และความทุกข์ทรมานทั้งหมดของฉันก็ไม่จำเป็น

ฉันคิดว่าฉันจะเอาความยิ่งใหญ่ของคุณ
ตัวฉันเองไม่ใช่เสียงสะท้อนของห้องต่างๆ
และด้วยคมดาบแห่งการพิพากษาและน้ำหนักของความโกรธ

แต่มีความเฉยเมยต่อบุญทางโลก
ในสวรรค์และคาดหวังผลตอบแทนจากพวกเขา -
สิ่งที่คาดหวังจากต้นไม้แห้ง

***
ใครสร้างทุกสิ่ง เขาสร้างส่วนต่างๆ
และหลังจากที่ฉันเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
เพื่อแสดงให้เราเห็นความอัศจรรย์ของการกระทำของพระองค์ที่นี่
สมควรได้รับพลังอันสูงส่งของเขา ...

***
กลางคืน

มันหวานสำหรับฉันที่จะนอนหลับและยิ่งกว่านั้น - การเป็นหิน
เมื่อความอับอายและอาชญากรรมอยู่รอบตัว
อย่ารู้สึกไม่เห็นความโล่งใจ
หุบปากเพื่อน ปลุกฉันทำไม?

ประติมากรรมชิ้นสุดท้ายโดย Michelangelo Buonarroti "Pieta Rondanini" 1552-1564, Milan, Castello Sforzesco

Michelangelo Buonarroti สร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์

ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาสามารถแบ่งออกเป็นสามส่วนหลัก: 1420-1500 - ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาต้น (Quattrocento); จากปี ค.ศ. 1500 ถึง 1527 - ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาสูง (Cinquecento เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่งานของอาจารย์ชาวอิตาลีผู้ยิ่งใหญ่สามคนล้มลง: Leonardo da Vinci, Michelangelo Buonarroti และ Raphael Santi); จาก 1530 ถึง 1620s - ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนปลาย ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนปลายรวมถึงงานสถาปัตยกรรมของ Michelangelo Buonarroti

มีเกลันเจโลพูดกับเจ. วาซารีว่า “ถ้าพรสวรรค์ของฉันมีอะไรดีๆ นั่นก็เพราะ

ว่าฉันเกิดในอากาศบาง ๆ ของดินแดนอารีน่าของคุณ สิ่วและค้อน

ที่ฉันทำรูปปั้นของฉันฉันสกัดจากนมของพยาบาลของฉัน "

ชีวิตและการสร้าง

ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเนื่องจากจำนวนไททันที่แท้จริงในงานศิลปะที่มอบให้กับโลก ในช่วงสามศตวรรษพวกเขาประสบความสำเร็จมากกว่าอารยธรรมอื่นในสหัสวรรษ และ Michelangelo Buonarroti (Michelangelo di Lodovico di Leonardo di Buonarroti Simoni, 6 มีนาคม 1475, Caprese - 18 กุมภาพันธ์ 1564, โรม) เป็นหนึ่งในคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่พวกเขา มีเกลันเจโลเป็นที่รู้จักในฐานะคนที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ในฐานะปรมาจารย์ด้านความสามารถรอบด้านอย่างไม่น่าเชื่อ เขาทำงานเป็นประติมากร จิตรกร และสถาปนิก ตามหลักการแล้ว เขาพยายามรวบรวมศิลปะทั้งสามอย่างเข้าด้วยกัน ไมเคิลแองเจโลยังเขียนบทกวีที่สวยงาม เป็นนักคิดที่ไม่ธรรมดา มีประสบการณ์อย่างเฉียบขาดในการแสวงหาศาสนาในยุคนั้น ในบรรดารายการโปรด งานวรรณกรรมอัจฉริยะคือ Divine Comedy ของ Dante ซึ่งเขารู้เกือบทุกอย่างด้วยใจ อาจารย์อาศัยมุมมองทางเทววิทยาส่วนบุคคลจากการสร้างสรรค์ของเขา

ไมเคิลแองเจโลมีบุคลิกที่กระสับกระส่ายและมีหลักการซึ่งเป็นลักษณะของธรรมชาติที่มีพรสวรรค์ดังกล่าว สิ่งนี้มักนำเขาไปสู่ความขัดแย้งกับลูกค้า แม้กระทั่งกับสมเด็จพระสันตะปาปาหรือตัวแทนของตระกูลเมดิชิ และบางครั้งสร้างสถานการณ์ที่อันตรายไม่เพียงแต่สำหรับอาชีพของอาจารย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตของเขาด้วย ไม่น่าแปลกใจที่เพื่อนคนหนึ่งของ Michelangelo เขียนถึงเขาในปี 1520: "คุณปลูกฝังความกลัวให้กับทุกคน แม้แต่พระสันตปาปา" และสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่พูดโดยตรงเกี่ยวกับอัจฉริยะว่าเขา "แย่มาก คุณไม่สามารถจัดการกับเขาได้" แต่พรสวรรค์ของศิลปินอยู่เหนืออคติ

ตามผู้ร่วมสมัย รวมทั้งนักคิดทางศาสนา วิตตอเรีย โคลอนนา มีเกลันเจโลโดดเด่นด้วยความบริสุทธิ์ทางศีลธรรมและการบำเพ็ญตบะสุดโต่ง ในฐานะผู้สร้าง ในฐานะศิลปิน เขาใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นแก่ตัวในโลกแห่งความคิดของเขา สำหรับเขา มนุษยนิยมไม่ได้เป็นเพียงการสอนเชิงนามธรรม แต่เป็นแก่นแท้ของวิธีคิดและการสร้างสรรค์ อาจารย์เชื่ออย่างไม่สิ้นสุดในความเป็นไปได้และความงามของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณ และร่างกายของมนุษย์ ซึ่งพิสูจน์ได้จากผลงานทั้งหมดของเขา ซึ่งบุคคลนั้นปรากฏเป็นมงกุฎที่สมบูรณ์แบบของการทรงสร้างจากสวรรค์

ด้วยความเก่งกาจทั้งหมดของเขา Michelangelo เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะประติมากร ตัวเขาเองบอกว่าเขาไม่ใช่สถาปนิก เช่นเดียวกับที่เขาไม่ใช่จิตรกร อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้ขัดขวางไม่ให้ภาพวาดของโบสถ์น้อยซิสทีนกลายเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก แต่ในนั้นเองมีเกลันเจโลแสดงความคิดทางสถาปัตยกรรมที่ไม่ธรรมดา บางทีงานของสถาปนิกซึ่งผลงานของช่างก่ออิฐและวิศวกรเป็นตัวเป็นตนตามภาพวาดอาจขัดแย้งกับอาชีพหลักของเขา - การทำงานด้วยมือของเขาเอง ไมเคิลแองเจโลไม่ได้รับการศึกษาพิเศษด้านสถาปัตยกรรม ซึ่งอาจช่วยให้เขามีความกล้าหาญอย่างยิ่งในการจัดการศีลและคำสั่ง เป็นผลให้เขาสร้างพิเศษ รูปแบบสถาปัตยกรรม- สร้างสรรค์ กล้าหาญ ไม่ซ้ำซากจำเจ ซึ่งเป็นรากฐานสำหรับการพัฒนาสถาปัตยกรรมต่อไปในศตวรรษที่ 17 ดังที่นักวิจัยคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า "Michelangelo นำหน้าเวลาของเขาแม้ในความผิดพลาดของเขา"

มีเกลันเจโลเกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 ในเมือง Caprese เล็กๆ ของแคว้นทัสคานี ทางเหนือของอาเรสโซ ใกล้เมืองฟลอเรนซ์ อัจฉริยะในอนาคตของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยามาจากไม่มาก ครอบครัวที่ร่ำรวย: พ่อของเขา - Lodovico Buonarroti (1444-1534) เป็นขุนนางที่ยากจน เขาทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาเมือง (podestà) ใน Caprese และจากนั้นใน Chiusi และต่อมาได้กลายเป็นผู้จัดการของศุลกากรฟลอเรนซ์ Francesca di Neri di Miniato del Sera แม่ของ Michelangelo เสียชีวิตจากการตั้งครรภ์บ่อยครั้งเมื่อเด็กชายอายุเพียง 6 ขวบ เขาไม่เคยพูดถึงเธอในจดหมายโต้ตอบกับญาติๆ

ศิลปินในอนาคตใช้ชีวิตวัยเด็กที่ Settignano ซึ่งพ่อของเขามีที่ดินขนาดเล็ก สถานการณ์บังคับให้เขาให้ลูกชายของเขาได้รับการเลี้ยงดูจากคู่สมรส Topolino ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน จิออร์จิโอ วาซารี นักเขียนชีวประวัติของไมเคิลแองเจโลเขียนเกี่ยวกับทัศนคติที่อบอุ่นที่อาจารย์มีต่อพยาบาลเปียกในวัยผู้ใหญ่ ไมเคิลแองเจโลรู้สึกผูกพัน พ่อแม่อุปถัมภ์เพราะเขาเรียนรู้ที่จะปั้นจากดินเหนียวและใช้สิ่วก่อนอ่านและเขียน (ตามข้อมูล พยาบาลเป็นลูกสาวของช่างสกัดหิน และเด็กชายอาจช่วยครอบครัวในการทำงาน) ช่วงวัยเด็กของเขาผ่านไปในสภาพแวดล้อมชนบทที่เรียบง่าย

เอกสารแยกระบุว่าบรรพบุรุษของ Michelangelo เป็น Messer Simone ผู้สูงศักดิ์ซึ่งมาจากตระกูลเคานต์แห่ง di Canossa หลังจากมีเกลันเจโลกลายเป็นคนดัง ชื่อของเคาท์นี้ก็จำความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขาได้ Alessandro di Canossa ในปี ค.ศ. 1520 เชิญอาจารย์มาเยี่ยมเขาขอให้เขาพิจารณาบ้านของเขาเองและเรียกเขาว่าเป็นญาติที่เคารพนับถือ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยสมัยใหม่หลายคนเชื่อว่าประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์นี้ไม่มีอะไรมากไปกว่านิยาย

สำหรับการศึกษาและการฝึกอบรมเชิงสร้างสรรค์ Michelangelo เป็นของโรงเรียน Florentine แม้ว่าทั้งชีวิตของเขาจะผ่านไประหว่างสองเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา: ฟลอเรนซ์และโรม เห็นได้ชัดว่าพ่อของเขาต้องการให้ลูกชายของเขามีอนาคตที่น่าเชื่อถือมากขึ้นและไม่ต้องการให้เขาเรียนงานฝีมือ เขาเชื่อว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างงานของช่างแกะสลักหินและช่างแกะสลักกับอาชีพ อาร์เทส ช่างกล("เครื่องกล" แนวคิดนี้รวมถึงสถาปัตยกรรม ประติมากรรม การค้า ฯลฯ) ดูเหมือนว่าเขาไม่คู่ควรกับตระกูล Buonarroti ทั้งนักเขียนชีวประวัติ Vasari และ Kondivi รายงานเรื่องนี้ และข้อมูลก็ดูน่าเชื่อถือ

ในปี 1485 Lodovico Buonarroti ส่งลูกชายไปเรียนที่ Francesco da Urbino ซึ่งเป็นโรงเรียนภาษาละติน แต่ Michelangelo ไม่เต็มใจที่จะเรียน โดดเรียน และไปวัดแทนซึ่งเขาคัดลอกภาพวาด บนพื้นฐานนี้ ความขัดแย้งเกิดขึ้นกับพ่อของเขา แต่ถึงกระนั้นพ่อแม่ก็ยังแตกสลาย ส่วนใหญ่ต้องขอบคุณการสนับสนุนของจิตรกร Francesco Granacci เพื่อนสนิทและมีเกลันเจโลที่มีใจเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1488 โลโดวิโกลาออกจากความโน้มเอียงที่สร้างสรรค์ของลูกชายและให้เขาเป็นเด็กฝึกงานในสตูดิโอของศิลปินชื่อโดเมนิโก เกอร์ลันไดโอ เด็กชายเรียนกับ Ghirlandaio เป็นเวลาหนึ่งปี แต่อารมณ์ที่สงบเกินไปและจินตนาการเชิงสร้างสรรค์ที่ไม่ค่อยอิสระของพี่เลี้ยงก็ผลักวอร์ดของเขาออกไปอย่างรวดเร็ว เขาชอบ Giotto และ Masaccio มากกว่านั่นคือจิตรกรที่มีงานแสดงหลักการที่ยิ่งใหญ่และประติมากรรมอย่างชัดเจน (สำเนาการศึกษาของ Michelangelo จากผลงานของพวกเขาได้รับการเก็บรักษาไว้) ในปี ค.ศ. 1489 เขาย้ายไปเรียนที่โรงเรียนที่จัดโดยครอบครัวเมดิชิที่อารามซานมาร์โก ในสวนของคาสิโนเดเมดิชิ ปรมาจารย์หลักในนั้นคือประติมากร Bertoldo di Giovanni นักเรียนของ Donatello เขาชื่นชมศิลปะโบราณและปลูกฝังให้ Michelangelo รักเขา

ครอบครัวเมดิชิร่ำรวยที่สุดในฟลอเรนซ์ จนถึงปี 1492 ลอเรนโซนำโดยลอเรนโซ ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์มีเกลันเจโลเป็นการส่วนตัว โดยเริ่มตระหนักถึงพรสวรรค์ของเขาด้วยความเข้าใจที่แน่ชัดของชายผู้หนึ่งซึ่งเคยเห็นอัจฉริยะแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยามาแล้วมากกว่าหนึ่งคน ตั้งแต่ปี 1490 ถึง 1492 ชายหนุ่มอาศัยอยู่ที่ศาลของ Lorenzo ซึ่งเขาสามารถศึกษาต่อคัดลอกตัวอย่างโบราณและทำความคุ้นเคยกับกวีและนักมนุษยนิยมชาวอิตาลีที่มีชื่อเสียง - Angelo Poliziano, Marsilio Ficino, Pico della Mirandola พวกเขาวางรากฐานของโลกทัศน์มนุษยนิยมใน Michelangelo และแนะนำให้เขารู้จักกับ Florentine Neoplatonism (หลักคำสอนเรื่องศักดิ์ศรีและอาชีพอันสูงส่งของมนุษย์) ซึ่งมีอิทธิพลต่องานทั้งหมดของเขา ในช่วงเวลานี้ภาพนูนต่ำนูนสูง "มาดอนน่าใกล้บันได" และ "การต่อสู้ของเซนทอร์" ถูกสร้างขึ้น หลังจากการตายของผู้อุปถัมภ์ของเขา - ลอเรนโซ เด เมดิชิมีเกลันเจโลถูกบังคับให้กลับบ้านในช่วงเวลาสั้นๆ โดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้สืบทอดตำแหน่งใหม่

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าประติมากรหนุ่มได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่ปั่นป่วนซึ่งเข้ายึดเมืองฟลอเรนซ์ในช่วงทศวรรษ 1490 พวกเขาเกี่ยวข้องกับการรุกรานของกองทหารฝรั่งเศส การขับไล่เมดิชิ การฟื้นฟูสาธารณรัฐภายใต้การปกครองของปิเอโตร โซเดรินี ซึ่งได้รับการเลือกตั้งมาตลอดชีวิต ทุกอย่างในเมืองเดือดพล่าน ฝ่ายและฝ่ายต่างต่อสู้กันอย่างดุเดือด สถานการณ์ร้อนขึ้นทุกวัน สถานที่ที่โดดเด่นในประวัติศาสตร์ของฟลอเรนซ์ถูกครอบครองโดยนักเทศน์ชาวโดมินิกัน Girolamo Savonarola ซึ่งประณามกระแสใหม่ของศิลปะและศาสนาในยุคนั้น และต่อสู้อย่างเปิดเผยแม้กระทั่งกับพระสันตะปาปา ไม่ใช่แค่กับครอบครัวเมดิชิเท่านั้น จากช่วงหลัง เขาได้ยึดอำนาจเหนือฟลอเรนซ์และจัดสรรให้กับตัวเอง ซาโวนาโรลาเป็นเจ้าอาวาสของอารามซานมาร์โกที่ซึ่งมีเกลันเจโลศึกษาอยู่ ดังนั้นนายน้อยจึงต้องจับตาดูพัฒนาการของร่างนี้อย่างใกล้ชิด การเพิ่มขึ้นที่ยอดเยี่ยมของ Savonarola ตามมาด้วยการล่มสลายที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน หลังจากการพิจารณาคดีในระยะเวลาอันสั้น พระที่คลั่งไคล้ก็ถูกแขวนคอและเผาด้วยความยินยอมของประชาชนซึ่งเพิ่งชื่นชมคำเทศนาของเขาเมื่อไม่นานมานี้ ในช่วงเวลาของเหตุการณ์เหล่านี้ ในปี ค.ศ. 1494-1495 มีเกลันเจโลย้ายไปอาศัยอยู่ในโบโลญญาซึ่งเขาทำงานเกี่ยวกับประติมากรรมสำหรับหลุมฝังศพของนักบุญ และยังศึกษางานของดันเต เปตราร์ช และบอคคาชโชอย่างถี่ถ้วนด้วย ประทับใจในผลงานของหลัง Michelangelo เริ่มเขียนบทกวีแรกของเขาและเก็บงานอดิเรกนี้ไว้จนกว่าจะสิ้นสุดวันที่เขาพบว่าตัวเองอยู่ในแถว กวีที่ดีที่สุดแห่งยุคของเขา หลังจากอารมณ์ทางการเมืองในฟลอเรนซ์สงบลงเล็กน้อย เขากลับไปยังบ้านเกิดของเขา ซึ่งในไม่ช้าเขาก็ได้รับคำสั่งให้สร้างประติมากรรม "นักบุญโยฮันเนส" และ "กามเทพหลับใหล" ชิ้นสุดท้ายขายให้กับพระคาร์ดินัล Raphael Riario ในปี 1496 ภายใต้หน้ากากของหลุมฝังศพของเด็กชาวโรมัน การหลอกลวงเช่นเดียวกับชื่อของผู้เขียนประติมากรรมที่แท้จริงก็ถูกเปิดเผยในไม่ช้า พระคาร์ดินัลไม่โกรธนานและเมื่อเห็นพรสวรรค์ของชายหนุ่มก็เชิญเขาไปทำงานที่กรุงโรมซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคโรมันครั้งแรกในชีวิตของอาจารย์ ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ไมเคิลแองเจโลเคยเป็น ความประทับใจที่แข็งแกร่งอนุเสาวรีย์โบราณซึ่งแน่นอนว่าเขาได้ติดต่อกันแล้วในฟลอเรนซ์ แต่ไม่ใกล้เคียงและไม่บ่อยเท่าในกรุงโรมที่ซึ่งใคร ๆ ก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจแห่งสมัยโบราณ

ในปี ค.ศ. 1496-1501 มีเกลันเจโลสร้างบัคคัส พระคาร์ดินัลเองบริจาคหินอ่อนสำหรับรูปปั้นนี้ให้กับประติมากรด้วยงบประมาณที่จำกัด และในไม่ช้าเขาก็ได้รับคำสั่งให้ "Roman Pieta" ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว (ปัจจุบันตั้งอยู่ในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์) ในความวิจิตรบรรจงและละเอียดอ่อน แข่งขันกับ ผลงานที่ดีที่สุดเบอร์นีนี่. องค์ประกอบที่มีพระมารดาแห่งพระเจ้าและพระคริสต์ผู้ล่วงลับซึ่งนอนอยู่บนตักของเธอแสดงถึงแนวเพลงที่มีชื่อเสียงของ Dante: "ลูกสาวของลูกชายของเธอ" Vasari รายงานข้อเท็จจริงต่อไปนี้: เมื่อ Michelangelo รู้ว่าผลงานของ "Pieta" มาจากนายอีกคน เขาสลักชื่อของเขาไว้บนเข็มขัดของพระมารดาแห่งพระเจ้า ต่อจากนั้นเขากลับใจด้วยแรงกระตุ้นที่ไร้ประโยชน์และทิ้งงานของเขาไว้โดยไม่เปิดเผยตัว

ในปี ค.ศ. 1501 ไมเคิลแองเจโลกลับมาที่ฟลอเรนซ์ ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาได้สร้างผลงานประติมากรรมจำนวนมาก รวมถึงรูปปั้น "เดวิด" ที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาชั้นสูง มีการตัดสินใจที่จะวางไว้หน้า Palazzo Vecchio ในตำแหน่งที่ Donatello ยืนรูปปั้น "Judith" วาซารีเขียนเกี่ยวกับความสำคัญของร่างของดาวิดสำหรับสาธารณรัฐฟลอเรนซ์ว่า มีเกลันเจโล "สร้างดาวิดขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณว่าเขาปกป้องประชาชนของเขาและปกครองพวกเขาอย่างยุติธรรม ดังนั้นผู้ปกครองของเมืองจึงต้องปกป้องและปกครองพวกเขาอย่างยุติธรรมอย่างกล้าหาญ" นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของศิลปิน คำสั่งสาธารณะหลั่งไหลเข้ามา เขาอยู่ที่จุดสูงสุดของชื่อเสียง ซึ่งสะท้อนให้เห็นในการตัดสินใจของทางการเมืองที่จะสร้างให้เขา บ้านส่วนตัวจากการประชุมเชิงปฏิบัติการ

ในปี ค.ศ. 1505 มีเกลันเจโลถูกเรียกโดยสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ที่ได้รับเลือกตั้งใหม่ไปยังกรุงโรม สมเด็จพระสันตะปาปาทรงสั่งให้เขาทำโครงการขนาดใหญ่สำหรับหลุมฝังศพของเขาซึ่งการก่อสร้างกลายเป็นมหากาพย์ระยะยาวซึ่งเป็นตำนานที่แท้จริง มีเกลันเจโลเสนอให้สร้างอนุสาวรีย์สถาปัตยกรรมขนาดมหึมาพร้อมการตกแต่งประติมากรรมมากมาย มันควรจะเป็นโครงสร้างอิสระในสามชั้น ซึ่งสามารถข้ามเป็นวงกลมได้ ควรจะประดับด้วยรูปปั้นที่สูงกว่าความสูงมนุษย์ถึง 40 องค์ ด้านบนจะเป็นร่างของสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ที่กำลังหลับใหล หลุมฝังศพนี้มีจุดมุ่งหมายให้ตั้งอยู่ใจกลางมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์แห่งใหม่ ซึ่งสร้างขึ้นภายใต้การดูแลของสถาปนิก Bramante ในปี ค.ศ. 1505-1545 ในที่สุดก็เริ่มงานบนหลุมฝังศพตามภาพร่างที่เตรียมโดยไมเคิลแองเจโล อาจารย์ใช้เวลาแปดเดือนในเหมือง Carrara โดยเลือกหินอ่อนที่เหมาะสมสำหรับโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้ แต่เนื่องจากปัญหาด้านเงินทุน โครงการจึงหยุดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนระอุ ซึ่งจำเป็นต้องมีการมีส่วนร่วมของกรุงโรมในสงครามนอกเมือง แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแผนการที่ศัตรูของเขาได้ปลดปล่อยจากมีเกลันเจโล (ตามข่าวลือ Bramante ก็อยู่ท่ามกลางพวกเขา) หลังจากล้มเหลวในการเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาและไม่ได้รับเงินใดๆ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา อาจารย์ในปี 1506 ออกจากกรุงโรมด้วยความโกรธและกลับมาที่ฟลอเรนซ์ - โดยไม่ได้รับอนุญาตจากสมเด็จพระสันตะปาปา ซึ่งเป็นความกล้าที่เหลือเชื่อ ในเมืองฟลอเรนซ์ ไมเคิลแองเจโลกำลังจะกลับไปทำงานเกี่ยวกับรูปปั้นอัครสาวกสิบสองรูป ซึ่งได้รับมอบหมายให้กลับไปทำงานในปี 1503 โดยกงสุลของโรงทอผ้า แต่หลังจากนั้นไม่นาน ตามความคิดริเริ่มของ Julius II ผู้ซึ่งชื่นชมศิลปินอย่างมาก การปรองดองของพวกเขาเกิดขึ้นที่ Bologna ใน Palazzo dei Sedici วาซารีเขียนว่าไมเคิลแองเจโลขัดขืนการประชุมมาเป็นเวลานานและไม่รับสายของพระสันตปาปาที่เรียกไปยังกรุงโรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในท้ายที่สุด พระองค์ยังทรงขอการอภัยด้วยการปฏิบัติตามความเหมาะสม

หลุมฝังศพตามขนาดที่วางแผนไว้เดิมไม่เสร็จสมบูรณ์ แม้ว่าจะมีการต่ออายุการก่อสร้างหลายครั้งในปีต่อๆ มา: มีการทำสัญญาใหม่กับอาจารย์อีกสามครั้ง ในท้ายที่สุด ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากคำสั่งนี้และความผันผวนรอบๆ ตัวเขา ไมเคิลแองเจโลจึงได้สร้างหลุมฝังศพของสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ที่เจียมเนื้อเจียมตัวกว่ามากในโบสถ์ซานปิเอโตรในวินโคลีในกรุงโรม ประติมากรรมของ "โมเสส", "ทาสที่ถูกผูกมัด", "ทาสที่กำลังจะตาย", "ลีอาห์" ถูกแกะสลักจากหุ่นหินอ่อนที่วางแผนไว้ 40 ชิ้น ร่างของทาสคนอื่นๆ ที่ยังสร้างไม่เสร็จนั้นโดดเด่นในการแสดงออก โศกนาฏกรรม และจิตใจที่แตกสลายอย่างเกรี้ยวกราด

หลังจากกลับมาที่กรุงโรมตามการเรียกของจูเลียสที่ 2 ประติมากรได้รับคำสั่งให้สร้างรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของเขา สมเด็จพระสันตะปาปาเป็นบุคคลที่มี ตัวละครที่แข็งแกร่งเข้มแข็งเอาแต่ใจและใจกว้างในเวลาเดียวกัน แต่เขาทำให้มีเกลันเจโลขุ่นเคืองอย่างมากและการยืดเวลาผู้กระทำความผิดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตาม ประติมากรทำงานบนรูปปั้นนี้ในปี ค.ศ. 1507 และในปี ค.ศ. 1508 ได้รับการติดตั้งที่เมืองโบโลญญา น่าเสียดายที่มันหายไปในปี ค.ศ. 1511 เมื่อแอนนิบาเล เบนติโวกลิโอ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทหารฝรั่งเศส กลับไปยังโบโลญญา

ในปี ค.ศ. 1508 มีเกลันเจโลได้รับคำสั่งใหม่จากสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ให้ทาสีเพดานโบสถ์น้อยซิสทีน อาจารย์พยายามปฏิเสธโดยอ้างว่าเขาเป็นประติมากรไม่ใช่จิตรกร แต่พ่อสามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้ - และผลงานชิ้นเอกชิ้นนี้ทำให้ชื่อของอัจฉริยะเป็นอมตะ งานบนเพดานขนาดใหญ่ของโบสถ์ (40.23 x 13.41 เมตร) ใช้เวลาสี่ ปีที่ยาวนาน- ตั้งแต่พฤษภาคม 1508 ถึงตุลาคม 1512 มันตึงเครียดมากและไม่เพียงเพราะความซับซ้อนของงานเท่านั้น: ตั้งแต่สมัยโบราณ ความสนใจได้ถูกถักทอไว้รอบๆ อาจารย์ Julius II เร่ง Michelangelo อย่างต่อเนื่องแม้จะขู่ว่าจะโยนเขาออกจากป่าและเมื่อพระสันตะปาปาตีเขาด้วยไม้เท้า ศิลปินละทิ้งทุกอย่างไม่พบกับใครและหมกมุ่นอยู่กับภาพวาด: "ฉันไม่แคร์เรื่องสุขภาพหรือเกียรติยศทางโลก ฉันอาศัยอยู่ในผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและด้วยความสงสัยนับพัน" นี่คือพรมแดนใหม่ในการทำงานของเขา เป็นผู้ใหญ่ งานอนุสรณ์อาจารย์อายุ 33 ปี ผู้รวบรวมโปรแกรมเทววิทยาและผสมผสานศิลปะทั้งสามประเภท ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ปริมาณการวิจัยทุ่มเทให้กับหัวข้อใหญ่นี้ ให้เราสังเกตเฉพาะด้านสถาปัตยกรรมของงาน: พื้นผิวยาวทั้งหมดของเพดานแบ่งออกเป็นโซนเรียวรวมกับการปอกรูปสามเหลี่ยมเหนือปลายแก้วหูของผนังในพื้นที่ของหน้าต่าง ฉากทั้งหมดถูกล้อมรอบด้วยกรอบลวงตาอันทรงพลัง ซึ่งถูกเลียนแบบด้วยวิธีการทางภาพ ภาพวาดของโบสถ์น้อยซิสทีนเป็นหนึ่งในความสูงของศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาทั้งหมด

Julius II เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1513 สมเด็จพระสันตะปาปาองค์ใหม่ - Leo X - คือ Giovanni Medici ไมเคิลแองเจโลได้รับการอุปถัมภ์จากครอบครัวผู้มีอิทธิพลอีกครั้ง เขาได้รับคำสั่งให้สร้างโบสถ์ Leo X ใน Engelsburg และความผูกพันของเขากับฟลอเรนซ์ได้รับการต่ออายุ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1514 อาจารย์ได้รับมอบหมายให้ออกแบบส่วนหน้าของวิหารซานลอเรนโซแห่งฟลอเรนซ์ ซึ่งเมดิชิถือว่าเป็นของพวกเขา น่าเสียดายที่มีการดำเนินการเฉพาะแบบจำลองโดยละเอียดเท่านั้น Filippo Brunelleschi เคยทำงานในโบสถ์มาก่อน: เขาไม่เพียงแต่เป็นผู้นำการก่อสร้างใหม่ทั่วไป แต่ยังสร้างหลุมฝังศพสำหรับสมาชิกแต่ละคนของตระกูลเมดิชิ ( คาถาเก่า). ไมเคิลแองเจโลทำงานด้วยความกระตือรือร้นอย่างมาก ในปี ค.ศ. 1516-1519 เขาไปหาหินอ่อนซ้ำแล้วซ้ำอีกสำหรับด้านหน้าของโบสถ์ซานลอเรนโซในคาร์ราราและปิเอตราซานตาและในขั้นต่อไปในปี ค.ศ. 1520-1534 สถาปนิกเริ่มทำงานในโบสถ์เมดิชิหรือซาคริสตี้ใหม่ ในนั้นเขามีส่วนร่วมในการออกแบบทั่วไปของสถานที่ในหลาย ๆ ด้านในรูปแบบของบรูเนลเลสกี มีการวางแผนที่จะสร้างสุสานสามแห่งด้วย (แต่มีเพียงสองแห่งเท่านั้นที่สร้างขึ้น: สำหรับ Giuliano ที่เสียชีวิตระหว่าง "การสมรู้ร่วมคิดของ Pazzi" และสำหรับ Lorenzo Medici น้องชายของเขา) หลุมฝังศพตกแต่งด้วยรูปปั้นของผู้ตายและรูปปั้นที่แสดงในตอนเช้า กลางวัน ตอนเย็นและกลางคืน เราแทบจะนึกภาพไม่ออกเลยว่าภาพที่เข้มข้น เข้มข้น และแสดงออกได้มากกว่านี้เต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมและลางสังหรณ์ซึ่งสะท้อนถึงสภาวะวิตกกังวลทั่วไปที่ปกครองในสาธารณรัฐ ในเวลาเดียวกัน ไมเคิลแองเจโลกำลังออกแบบห้องสมุดลอเรนเชียน ในเมืองฟลอเรนซ์เช่นกัน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีสาธารณรัฐคุกคามความเป็นอยู่ที่ดี เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์: กรุงโรมถูกกองทหารสเปนไล่ออก หลังจากนั้นสมเด็จพระสันตะปาปาเคลมองต์ที่ 7 องค์ใหม่ (ในโลกของจูลิโอ เมดิชิ) ถูกบังคับให้ยุติการเป็นพันธมิตรกับชาร์ลส์ที่ 5 กับฟลอเรนซ์ เมืองยอมรับความท้าทาย มีเกลันเจโลได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้สร้างป้อมปราการซึ่งออกแบบโดยอาจารย์ทันที จากนั้นเรื่องราวที่ไม่ชัดเจนก็เกิดขึ้น: ด้วยเหตุผลบางอย่างมีเกลันเจโลออกจากฟลอเรนซ์ไปเวนิส แต่จากนั้นก็กลับมาและเข้าร่วมกองหลังของเมือง อย่างไรก็ตาม ฟลอเรนซ์ต้องยอมจำนน และศิลปินถูกบังคับให้ต้องซ่อนตัวเพราะกลัวว่าพระสันตะปาปาจะทรงพระพิโรธ แต่ Clement VII สนใจที่จะทำงานหลายอย่างที่เริ่มต้นโดยอาจารย์ให้เสร็จก็ให้อภัยเขา ในฟลอเรนซ์ตามคำสั่งของสังฆราช กฎของอเลสซานโดร เมดิชิที่กดขี่และโหดร้ายได้ก่อตั้งขึ้น ซึ่งบังคับให้มีเกลันเจโล พรรครีพับลิกันด้วยความเชื่อมั่น ให้ออกจากเมืองครั้งนี้ไปโดยดี ในกรุงโรมซึ่งเขาตั้งรกรากอยู่ ศิลปินกลายเป็นเอมิเกร-รีพับลิกันซึ่งชอบสังคมของผู้ถูกเนรเทศเช่นเดียวกับเขา ในระหว่างนี้ ก้าวย่าง 50 ปีกำลังใกล้เข้ามา ความเข้มแข็งไม่เพิ่มขึ้น และไมเคิลแองเจโลรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆ: "ถ้าฉันทำงานในแต่ละวัน" เขาเขียนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1523 "ถ้าอย่างนั้นฉันต้องพักสี่คน"

การเอ่ยถึงความสนิทสนมของปรมาจารย์กับทอมมาโซ คาวาเลียรี ชายหนุ่มจากตระกูลโรมันผู้สูงศักดิ์ ซึ่งยังคงเป็นเพื่อนสนิทของเขาต่อไปอีก 30 ปี มีขึ้นในปี ค.ศ. 1532 Cavalieri ผู้มีอิทธิพลอย่างมากต่อ โลกภายในมีเกลันเจโล อัจฉริยะวัยชรา อุทิศบทกวีหลายชุด ศิลปินยังนำเสนอคนสนิท นักเลงของเก่า และเจ้าของคอลเล็กชั่นมากมาย ภาพวาดจำนวนมากที่ดำเนินการอย่างระมัดระวังในธีมโบราณ ("The Fall of Phaeton", "Titius", "Ganymede" และอื่น ๆ ) บางอย่างได้มาถึงยุคของเราแล้ว

ในปี ค.ศ. 1537 อเลสซานโดร เมดิชิถูกลอบสังหาร และโคซิโม เมดิชิ นักการเมืองที่โหดเหี้ยมและขี้โกงซึ่งอาศัยสเปนเข้ามาแทนที่ อิทธิพลของราชสำนักสเปนแผ่ขยายไปสู่ทุกด้านของชีวิตชาวฟลอเรนซ์ และการหวนคืนสู่ระบบศักดินาที่ยกเลิกไปนานแล้วได้เริ่มต้นขึ้น Cosimo ชื่นชม Michelangelo ไม่เหมือนรุ่นก่อนและขอให้เขากลับไปฟลอเรนซ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไรก็ตาม เขาได้รับการปฏิเสธอย่างสม่ำเสมอ Vasari ซึ่งต้องพึ่งพา Cosimo ถูกบังคับให้ปิดบังความขัดแย้งในหนังสือของเขา "ชีวประวัติของจิตรกร ประติมากร และสถาปนิกที่มีชื่อเสียงที่สุด" และเพื่ออธิบายการหลีกเลี่ยงของศิลปินจากสภาพอากาศที่ยากลำบากของสาธารณรัฐ ในจดหมายฉบับหนึ่งของอาจารย์ เหตุผลที่แท้จริงถูกเปิดเผย: เขาบอกว่าเขาจะไม่เพียงแค่กลับมาเท่านั้น แต่ยังจะวางรูปปั้นของ Cosimo ด้วยค่าใช้จ่ายของเขาเองหากเขาคืนอิสรภาพให้กับฟลอเรนซ์ ในความเชื่อมั่นนี้ ไมเคิลแองเจโลเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดของซาโวนาโรลาอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าในวัยหนุ่มเขาเองก็ประสบปัญหามากมายเนื่องจากทัศนคติของนักเทศน์ที่มีต่อศิลปะแบบใหม่

ความกังวลของสาธารณชนก็มาพร้อมกับการต่อต้านการปฏิรูปในด้านศาสนาและการต่อต้านพระสงฆ์ด้วย ซึ่ง คริสตจักรคาทอลิกต่อสู้อย่างแข็งขัน กลุ่มนักปรัชญาและนักมานุษยวิทยานำโดยคอนทารินี โปลเย และซาโดเลโต ต่อสู้เพื่อชำระล้างคริสตจักรให้บริสุทธิ์ ตามหลักการของซาโวนาโรลา และเสนอแนวคิดลึกลับใหม่เกี่ยวกับการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า มีเกลันเจโลเห็นใจพวกเขาและใกล้ชิดกับนักปรัชญาชื่อดังอย่าง Vittoria Colonna Marquise of Pescara ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นในงานของเขา งานหลักของเขาในช่วงทศวรรษ 1530 คือภาพปูนเปียกขนาดใหญ่ "การพิพากษาครั้งสุดท้าย" บนผนังแท่นบูชาของโบสถ์น้อยซิสทีน ซึ่งอาจารย์ทำงานประมาณหกปี (1535-1541) ความหมายทางวาจาของมันช่างน่าอัศจรรย์

ในปี ค.ศ. 1546 เมื่อการเปลี่ยนแปลงจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาสูงไปสู่ยุคปลายได้เกิดขึ้นแล้วคำสั่งทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาได้รับมอบหมายให้เป็นศิลปิน สำหรับสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 3 พระองค์ทรงสร้าง Palazzo Farnese (ชั้นสามของส่วนหน้าของลานบ้านและชายคา) และออกแบบการตกแต่งใหม่ของ Capitoline Hill ในปี ค.ศ. 1563 เขาเริ่มสร้างห้องอาบน้ำโบราณของ Diocletian ขึ้นใหม่ในโบสถ์ Santa Maria degli Angeli

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับไมเคิลแองเจโลคือการแต่งตั้งมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เป็นหัวหน้าสถาปนิก ท่านอาจารย์เห็นคุณค่าของโครงการอันยิ่งใหญ่นี้อยากให้พระราชกฤษฎีกาเน้นย้ำว่าเขามีส่วนร่วมในการสร้างความรักต่อพระเจ้าและสมเด็จพระสันตะปาปาโดยไม่มีค่าตอบแทนพิเศษใด ๆ ผลงานเหล่านี้จะกลายเป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในยุคนั้นแม้จะมีการพัฒนากิริยาท่าทางและการเกิดขึ้นของวิชาการและบาโรกไปพร้อม ๆ กัน

ไมเคิลแองเจโลในการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมของเขา เคร่งครัดเกี่ยวกับสิ่งเล็กน้อยทั้งหมด เขาออกแบบอาคารเพื่อให้รายละเอียดทั้งหมดได้รับการปรับสภาพและพึ่งพาซึ่งกันและกัน สร้างสรรค์; แผนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตในความเข้าใจของเขา เขาเน้นว่า “แขนขาทางสถาปัตยกรรมขึ้นอยู่กับแขนขาของร่างกาย และใครไม่ใช่หรือไม่ใช่ ปรมาจารย์ที่ดีตัวเลขรวมถึงกายวิภาคศาสตร์เขาจะไม่เข้าใจ ... " ความจริงที่ว่าแทนที่จะใช้แผนงานที่ชัดเจน เขามักจะสร้างภาพสเก็ตช์ ซึ่งจากนั้นเขาแกะสลักแบบจำลองดินเหนียวที่มีรายละเอียด สะท้อนถึงอาชีพของเขาในฐานะประติมากร

รูปแบบสถาปัตยกรรมของผลงานของ Michelangelo นั้นแตกต่างจากรูปแบบอาคารที่สร้างโดย Brunelleschi และ Bramante รุ่นก่อนของเขา มีอิสระมากขึ้นในนั้นจากฐานคำสั่งโบราณซึ่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาได้เปลี่ยนไป มีเกลันเจโลเข้าหาศีลเก่าอย่างอิสระและเต็มไปด้วยจินตนาการ ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์เหล่านั้นอย่างกล้าหาญ ผู้ร่วมสมัยบางคนรู้สึกรำคาญกับสิ่งนี้: Vitruvian Academy ในกรุงโรมเรียกศิลปะของ Michelangelo ว่า "ป่าเถื่อน" ในทางกลับกัน ค่าย Mannerist ชื่นชมผลงานของเขา แต่ก็ชัดเจนสำหรับทุกคนว่าแนวคิดทางสถาปัตยกรรมที่เขาหยิบยกมาเปิดออก ยุคใหม่ในประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมอิตาลี เป็นผลให้รูปแบบของ Michelangelo เป็นที่ยอมรับอย่างมั่นคงในด้านสถาปัตยกรรม

มีเกลันเจโลมีอายุยืนยาว โดยมีจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง ซึ่งแต่ละจุดมีอิทธิพลอย่างมากต่อชะตากรรมของอาจารย์ จำนวนของงานที่ดำเนินการนั้นด้อยกว่างานที่เขาคิดมาก เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1564 ในกรุงโรมเมื่ออายุ 89 ปี ร่างของเขาถูกลักพาตัวไปที่ฟลอเรนซ์และฝังในโบสถ์ซานตาโครเช ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาเสียใจที่เขาจากโลกนี้ไปเมื่ออยู่ในฝีมือของเขา เขาเรียนรู้เพียงการอ่านพยางค์เท่านั้น ในที่สุด เขาก็พูดลักษณะวลีสั้นๆ ของเขา: "ฉันมอบจิตวิญญาณของฉันให้กับพระเจ้า ร่างกายของฉันเพื่อแผ่นดิน ทรัพย์สินของฉันเพื่อญาติของฉัน"

Michelangelo Buonarroti เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 ในเมือง Caprese เมืองเล็ก ๆ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฟลอเรนซ์ 40 ไมล์ ตอนนี้เมืองนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่ศิลปินชื่อ Caprese Michelangelo Lodovico พ่อของเขาในขณะที่ลูกชายของเขาเกิด กำลังทำหน้าที่เป็น iodesta (นายกเทศมนตรี) ของ Caprese แต่ไม่นานระยะเวลาดำรงตำแหน่งของเขาก็สิ้นสุดลง และเขาก็กลับไปบ้านเกิดที่เมืองฟลอเรนซ์ มาถึงตอนนี้ ครอบครัวโบราณของ Buonarroti กลายเป็นคนจนมาก ซึ่งไม่ได้ขัดขวาง Lodovico จากความภูมิใจในชนชั้นสูงของเขาและถือว่าตัวเองสูงกว่าการหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเขาเอง ครอบครัวต้องใช้เงินที่ฟาร์มในหมู่บ้าน Settignano ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองฟลอเรนซ์ไปสามไมล์
ใน Settignano พยาบาล Michelangelo ได้รับการเลี้ยงดูภรรยาของช่างสกัดหินในท้องที่ หินในบริเวณใกล้เคียงของฟลอเรนซ์ถูกขุดขึ้นมาเป็นเวลานาน และมีเกลันเจโลชอบพูดในภายหลังว่า "เขาดูดซับสิ่วของประติมากรและค้อนด้วยน้ำนมของพยาบาล" ความโน้มเอียงทางศิลปะของเด็กชายแสดงออกใน อายุยังน้อยอย่างไรก็ตาม บิดาตามแนวคิดเรื่องชนชั้นสูง ได้ขัดขืนความปรารถนาของลูกชายที่จะเป็นศิลปินมาช้านาน มีเกลันเจโลแสดงอุปนิสัยและสุดท้ายก็ได้รับอนุญาตให้ศึกษาในฐานะเด็กฝึกงานของศิลปินชื่อโดเมนิโก กีร์ลันไดโอ เรื่องนี้เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 1488
ปีต่อมาเขาย้ายไปเรียนที่โรงเรียนของประติมากร Bertoldo di Giovanni ซึ่งอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของเจ้าของเมืองที่แท้จริง Lorenzo de Medici (ชื่อเล่นว่าผู้ยิ่งใหญ่) ลอเรนโซผู้ยิ่งใหญ่เป็นคนมีการศึกษาสูง เชี่ยวชาญด้านศิลปะ เขาเขียนบทกวีด้วยตัวเองและรับรู้ถึงพรสวรรค์ของไมเคิลแองเจโลรุ่นเยาว์ในทันที มีเกลันเจโลอาศัยอยู่ในวังเมดิชิมาระยะหนึ่ง ลอเรนโซปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นลูกชายอันเป็นที่รัก
ในปี 1492 นักบุญอุปถัมภ์มีเกลันเจโลเสียชีวิตและศิลปินก็กลับบ้าน ในเวลานี้ในฟลอเรนซ์ ความวุ่นวายทางการเมืองเริ่มต้นขึ้น และในปลายปี ค.ศ. 1494 มีเกลันเจโลออกจากเมืองไป เมื่อได้ไปเยือนเวนิสและโบโลญญาเมื่อปลายปี พ.ศ. 1495 เขากลับมา แต่ไม่นาน รัฐบาลสาธารณรัฐใหม่ไม่ได้มีส่วนช่วยในการทำให้ชีวิตในเมืองสงบลง และเหนือสิ่งอื่นใด โรคระบาดก็เกิดขึ้น มีเกลันเจโลเดินทางต่อไป เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1496 เขาปรากฏตัวที่กรุงโรม
เขาใช้เวลาห้าปีถัดไปในเมืองนิรันดร์ ความสำเร็จครั้งใหญ่ครั้งแรกรอเขาอยู่ที่นี่ ไม่นานหลังจากที่เขามาถึง Michelangelo ได้รับคำสั่งให้สร้างรูปปั้นหินอ่อนของ Bacchus สำหรับพระคาร์ดินัล Raphael Riario และในปี 1498-99 อีกชิ้นสำหรับองค์ประกอบหินอ่อน "Pieta" (ในทัศนศิลป์นี่เป็นชื่อดั้งเดิมสำหรับฉากของ การไว้ทุกข์ของพระคริสต์โดยพระมารดาของพระเจ้า) องค์ประกอบของ Michelangelo ได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานชิ้นเอก ซึ่งทำให้ตำแหน่งของเขาแข็งแกร่งขึ้นในลำดับชั้นทางศิลปะ ลำดับต่อไปคือภาพวาด "การฝังศพ" แต่ศิลปินยังไม่เสร็จในปี 1501 เขากลับไปที่ฟลอเรนซ์
ชีวิตในบ้านเกิดของเขามีเสถียรภาพในเวลานั้น มีเกลันเจโลได้รับคำสั่งให้สร้างรูปปั้นเดวิดขนาดใหญ่
เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1504 เดวิด เช่นเดียวกับการคร่ำครวญของพระคริสต์ในกรุงโรม ได้ทำให้ชื่อเสียงของไมเคิลแองเจโลในฟลอเรนซ์แข็งแกร่งขึ้น รูปปั้นนี้แทนที่จะเป็นสถานที่ที่วางแผนไว้ก่อนหน้านี้ (ใกล้มหาวิหารของเมือง) ได้รับการติดตั้งในใจกลางเมืองตรงข้ามกับ Palazzo Vecchio ซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐบาลของเมือง เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐใหม่ ซึ่งเหมือนกับพระคัมภีร์ไบเบิล ดาวิด ต่อสู้เพื่อเสรีภาพของประชาชน
เรื่องราวของคำสั่งอื่นจากเมืองนั้นน่าสงสัย - สำหรับภาพวาด "The Battle of Cachin" สำหรับ Palazzo Vecchio โครงเรื่องควรจะเป็นชัยชนะของชาวฟลอเรนซ์เหนือชาวปิซานในยุทธการคาชิน ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1364 สถานการณ์เลวร้ายขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ว่าภาพที่สองของ Palazzo Vecchio ("Battle of Angiari") ถูกถ่ายโดย Leonardo da Vinci เลโอนาร์โดมีอายุมากกว่ามีเกลันเจโล 20 ปี แต่ชายหนุ่มรับคำท้าอย่างเปิดเผย เลโอนาร์โดและไมเคิลแองเจโลไม่ชอบกันและกัน และหลายคนต่างเฝ้ารอด้วยความสนใจเพื่อดูว่าการแข่งขันจะจบลงอย่างไร เสียดายถ่ายไม่ครบทั้งสองภาพ เลโอนาร์โดลาออกจากงานหลังจากทดลองกับความล้มเหลวครั้งใหญ่ เทคโนโลยีใหม่จิตรกรรมฝาผนังและ Michelangelo ได้สร้างภาพสเก็ตช์อันงดงามสำหรับ "Battle of Cashin" ออกจากกรุงโรมในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1505 ตามการเรียกของ Pope Julius II
อย่างไรก็ตาม เขาไปถึงจุดหมายในเดือนมกราคม ค.ศ. 1506 เท่านั้น หลังจากใช้เวลาหลายเดือนในเหมืองหินของ Carrara ซึ่งเขาเลือกหินอ่อนสำหรับหลุมฝังศพของสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ที่สั่งให้เขา เดิมทีมีการวางแผนที่จะประดับประดาด้วยประติมากรรมสี่สิบชิ้น แต่ในไม่ช้าสมเด็จพระสันตะปาปาก็หมดความสนใจในโครงการนี้ และสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 256 การดำเนินคดีระยะยาวเริ่มต้นขึ้นระหว่างศิลปินกับญาติของผู้ตาย ในปี ค.ศ. 1545 มีเกลันเจโลยังคงทำงานบนหลุมฝังศพซึ่งกลายเป็นเพียงเงาสีซีดของแผนดั้งเดิม ศิลปินเองเรียกเรื่องนี้ว่า "โศกนาฏกรรมหลุมฝังศพ"
แต่คำสั่งของสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 อีกประการหนึ่งได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ของไมเคิลแองเจโล เป็นภาพวาดห้องนิรภัยของโบสถ์น้อยซิสทีนในวาติกัน ศิลปินสร้างเสร็จระหว่างปี ค.ศ. 1508 ถึงปี ค.ศ. 1512 เมื่อภาพปูนเปียกถูกนำเสนอต่อผู้ชม ถือเป็นผลงานที่มีพลังเหนือมนุษย์
Leo X (Medici) ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจาก Julius II บนบัลลังก์ของสมเด็จพระสันตะปาปาในปี 1516 ได้สั่งให้ Michelangelo ออกแบบส่วนหน้าของโบสถ์ San Lorenzo ในเมืองฟลอเรนซ์ เวอร์ชันของเขาถูกปฏิเสธในปี ค.ศ. 1520 แต่สิ่งนี้ไม่ได้ขัดขวางไม่ให้ศิลปินได้รับคำสั่งเพิ่มเติมสำหรับคริสตจักรเดียวกัน เขาเริ่มดำเนินการครั้งแรกในปี ค.ศ. 1519 ซึ่งเป็นหลุมฝังศพของเมดิชิ โครงการที่สองคือห้องสมุด Laurenzian ที่มีชื่อเสียงสำหรับจัดเก็บหนังสือและต้นฉบับที่เป็นของตระกูลเมดิชิ
ยุ่งอยู่กับโครงการเหล่านี้ ไมเคิลแองเจโลยังคงอยู่ในฟลอเรนซ์เป็นส่วนใหญ่
ในปี ค.ศ. 1529-30 เขารับผิดชอบในการป้องกันเมืองจากกองกำลังเมดิชิ (พวกเขาถูกไล่ออกจากฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ. 1527) ในปี ค.ศ. 1530 เมดิชิฟื้นอำนาจและไมเคิลแองเจโลช่วยชีวิตเขาหนีออกจากเมือง อย่างไรก็ตาม Pope Clement VII (จากตระกูล Medici) รับประกันความปลอดภัยของ Michelangelo และศิลปินก็กลับไปทำงานที่ถูกขัดจังหวะ
ในปี ค.ศ. 1534 มีเกลันเจโลกลับมาที่กรุงโรมอีกครั้งและตลอดไป สมเด็จพระสันตะปาปาเคลมองต์ที่ 7 ผู้ซึ่งกำลังจะมอบความไว้วางใจให้พระองค์ในการวาดภาพ "การฟื้นคืนพระชนม์" สำหรับผนังแท่นบูชาของโบสถ์น้อยซิสทีน สิ้นพระชนม์ในวันที่สองหลังจากที่ศิลปินมาถึง สมเด็จพระสันตะปาปาองค์ใหม่ ปอลที่ 3 แทนที่จะเป็น "การฟื้นคืนพระชนม์" ได้สั่งให้วาดภาพ "การพิพากษาครั้งสุดท้าย" สำหรับกำแพงเดียวกัน ปูนเปียกขนาดใหญ่นี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1541 ยืนยันอัจฉริยะของมีเกลันเจโลอีกครั้ง
ยี่สิบปีที่ผ่านมาในชีวิตของเขา เขาอุทิศเกือบทั้งหมดให้กับสถาปัตยกรรม
ในเวลาเดียวกัน เขายังคงสามารถสร้างจิตรกรรมฝาผนังที่ยอดเยี่ยมสองภาพสำหรับโบสถ์ Paolin ในวาติกัน ("The Conversion of Saul" และ "The Crucifixion of St. Peter", 1542-50) เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1546 มีเกลันเจโลมีส่วนร่วมในการสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ขึ้นใหม่ในกรุงโรม เขาปฏิเสธความคิดหลายอย่างจากรุ่นก่อน เขาเสนอวิสัยทัศน์ของตนเองเกี่ยวกับอาคารหลังนี้ มุมมองสุดท้ายของอาสนวิหารที่อุทิศให้เฉพาะในปี 1626 ยังคงเป็นผลจากอัจฉริยภาพของเขา
มีเกลันเจโลเป็นคนเคร่งศาสนามาโดยตลอด จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ความรู้สึกทางศาสนาก็เฉียบแหลมขึ้น ดังที่เห็นได้จากหลักฐานของเขา ผลงานล่าสุด... นี่คือชุดภาพวาดที่แสดงถึงการตรึงกางเขนและกลุ่มประติมากรรม "Pieta" สองกลุ่ม ในตอนแรกศิลปินวาดภาพตัวเองในรูปของโจเซฟแห่งอาริมาเทีย ประติมากรรมชิ้นที่สองถูกขัดขวางไม่ให้เสร็จสมบูรณ์โดยความตาย ซึ่งแซงหน้าไมเคิลแองเจโลเมื่ออายุ 89 ปี เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564

Michelangelo Buonarroti เป็นอัจฉริยะที่ได้รับการยอมรับจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาซึ่งมีส่วนสนับสนุนอันล้ำค่าในคลังสมบัติของวัฒนธรรมโลก

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 ลูกคนที่สองเกิดในตระกูล Buonarroti Simoni ซึ่งมีชื่อว่า Michelangelo พ่อของเด็กชายคนนี้เป็นนายกเทศมนตรีของเมือง Carpese ของอิตาลีและเป็นลูกหลานของตระกูลขุนนาง ปู่และทวดของไมเคิลแองเจโลถือเป็นนายธนาคารที่ประสบความสำเร็จ แต่พ่อแม่ของเขาต้องอยู่อย่างยากจน สถานะนายกเทศมนตรีไม่พาพ่อ เงินก้อนใหญ่แต่เขากลับมองว่างานอื่นๆ (ทางกายภาพ) อับอายขายหน้า หนึ่งเดือนหลังจากที่ลูกชายของเขาเกิด วาระของโลโดวิโก ดิ ลีโอนาร์โดในฐานะนายกเทศมนตรีก็สิ้นสุดลง และครอบครัวก็ย้ายไป ที่ดินของครอบครัวตั้งอยู่ในฟลอเรนซ์

ฟรานเชสก้า แม่ของทารก ป่วยหนักและตั้งครรภ์ เธอจึงตกจากหลังม้า ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถให้อาหารทารกได้ด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้มิกะตัวเล็กจึงได้รับมอบหมายให้เป็นพยาบาลที่เปียกและปีแรกในชีวิตของเขาจึงถูกใช้ไปในครอบครัวของช่างสกัดหิน เด็กกับ ปฐมวัยเล่นกับก้อนกรวดและสิ่ว เสพติดการเพาะเลี้ยงก้อนหิน เมื่อเด็กชายโตขึ้น เขามักจะพูดว่าเขาเป็นหนี้พรสวรรค์ของเขากับนมของแม่บุญธรรมของเขา

ถึงแม่เด็กชายเสียชีวิตเมื่อมิกะอายุได้ 6 ขวบ สิ่งนี้มีอิทธิพลต่อจิตใจของเด็กมากจนทำให้เขาถอนตัว หงุดหงิด และไม่เข้ากับคนง่าย พ่อเป็นห่วง สติอารมณ์, สภาวะจิตใจลูกชายส่งเขาไปโรงเรียน "Francesco Galeota" นักเรียนไม่แสดงความกระตือรือร้นในไวยากรณ์ แต่ทำให้เพื่อน ๆ ที่ปลูกฝังความรักในการวาดภาพให้กับเขา

เมื่ออายุได้ 13 ปี ไมเคิลแองเจโลประกาศกับพ่อของเขาว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำธุรกิจการเงินของครอบครัวต่อไป แต่จะเรียนศิลปะ ดังนั้นในปี 1488 วัยรุ่นจึงกลายเป็นนักเรียนของพี่น้อง Ghirlandaio ซึ่งแนะนำให้เขารู้จักศิลปะการสร้างจิตรกรรมฝาผนังและปลูกฝังพื้นฐานของการวาดภาพ

เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการประชุมเชิงปฏิบัติการ Ghirlandaio หลังจากนั้นเขาไปศึกษาประติมากรรมในสวนเมดิชิซึ่งผู้ปกครองของอิตาลี Lorenzo the Magnificent เริ่มให้ความสนใจในความสามารถของชายหนุ่ม ตอนนี้ชีวประวัติของ Michelangelo ได้รับการเติมเต็มด้วยความคุ้นเคยกับหนุ่ม Medici ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นพระสันตะปาปา ขณะทำงานในสวนซานมาร์โก ประติมากรหนุ่มได้รับอนุญาตจากนิโก บิเชลินี (อธิการโบสถ์) ให้ศึกษาซากศพมนุษย์ ด้วยความกตัญญูเขานำเสนอนักบวชด้วยไม้กางเขนด้วยใบหน้า จากการศึกษาโครงกระดูกและกล้ามเนื้อของศพ ไมเคิลแองเจโลได้ทำความคุ้นเคยกับโครงสร้างของร่างกายมนุษย์อย่างละเอียด แต่ทำลายสุขภาพของเขาเอง

เมื่ออายุได้ 16 ปี ชายหนุ่มได้สร้างประติมากรรมบรรเทาทุกข์สองชิ้นแรก นั่นคือ "มาดอนน่าที่บันได" และ "การต่อสู้ของเหล่าเซนทอร์" รูปปั้นนูนต่ำชิ้นแรกที่ออกมาจากมือของเขาพิสูจน์ว่านายน้อยได้รับของขวัญพิเศษและอนาคตอันสดใสรอเขาอยู่

การสร้าง

หลังจากการสิ้นพระชนม์ของลอเรนโซ เมดิชิ ปิเอโรบุตรชายของเขาได้เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ ผู้ซึ่งด้วยความสายตาสั้นทางการเมืองของเขา ได้ทำลายระบบพรรครีพับลิกันของฟลอเรนซ์ ในเวลาเดียวกัน อิตาลีถูกโจมตีโดยกองทัพฝรั่งเศสที่นำโดย Charles VIII การปฏิวัติเกิดขึ้นในประเทศ ฟลอเรนซ์ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ จากสงครามระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ไม่ทนต่อการโจมตีและการยอมจำนนของทหาร สถานการณ์ทางการเมืองและภายในในอิตาลีกำลังร้อนแรงถึงขีดสุด ซึ่งไม่ได้มีส่วนสนับสนุนการทำงานของไมเคิลแองเจโลเลย ชายผู้นี้ไปเวนิสและโรม ซึ่งเขายังคงศึกษาและศึกษารูปปั้นและประติมากรรมสมัยโบราณ

ในปี 1498 ประติมากรได้สร้างรูปปั้น Bacchus และองค์ประกอบ Pieta ซึ่งทำให้เขาโด่งดังไปทั่วโลก รูปปั้นที่พระนางมารีย์อุ้มพระเยซูที่สิ้นพระชนม์ในอ้อมแขนของเธอ ถูกวางไว้ในโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ สองสามวันต่อมา มีเกลันเจโลได้ยินการสนทนาของผู้แสวงบุญคนหนึ่ง ซึ่งกล่าวว่าเพลงประกอบ "ปีเอตา" ถูกสร้างขึ้นโดยคริสโตโฟโร โซลารี คืนเดียวกันนั้นเอง นายน้อยที่โกรธจัดจึงเดินเข้าไปในโบสถ์และสลักข้อความบนสายคาดหน้าอกของมารีย์ คำจารึกอ่านว่า: " MICHEL ANGELUS BONAROTUS FLORENT FACIPAT - งานนี้ทำโดย Michelangelo Buonaroti เมืองฟลอเรนซ์"

หลังจากนั้นไม่นาน เขากลับใจจากความจองหองและตัดสินใจที่จะไม่เซ็นงานของเขาอีกต่อไป

เมื่ออายุ 26 ปี ไมค์รับงานที่ยากลำบากอย่างเหลือเชื่อ โดยการแกะสลักรูปปั้นจากหินอ่อนที่บูดยาว 5 เมตร หนึ่งในโคตรของเขาโดยไม่ได้สร้างอะไรที่น่าสนใจเพียงแค่ขว้างก้อนหิน ไม่มีปรมาจารย์คนใดพร้อมที่จะยกระดับหินอ่อนที่ถูกทำลายอีกต่อไป มีเพียงมีเกลันเจโลเท่านั้นที่ไม่กลัวความยุ่งยาก และสามปีต่อมาก็ได้แสดงให้โลกเห็นรูปปั้นอันตระหง่านของดาวิด ผลงานชิ้นเอกชิ้นนี้มีรูปแบบที่กลมกลืนกันอย่างไม่น่าเชื่อ เต็มไปด้วยพลังและ กำลังภายใน... ประติมากรสามารถหายใจเอาชีวิตชีวาให้กลายเป็นหินอ่อนเย็นเยียบได้

เมื่ออาจารย์ทำงานประติมากรรมเสร็จแล้ว ค่าคอมมิชชั่นก็ถูกสร้างขึ้น ซึ่งกำหนดตำแหน่งของผลงานชิ้นเอก ที่นี่การพบกันครั้งแรกของ Michelangelo กับ การประชุมครั้งนี้ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นมิตรเพราะเลโอนาร์โดอายุ 50 ปีสูญเสียประติมากรรุ่นเยาว์และยกระดับ Michelangelo ให้เป็นคู่แข่ง เมื่อเห็นสิ่งนี้ ปิเอโร โซเดรินีวัยเยาว์จึงจัดการแข่งขันระหว่างศิลปิน โดยมอบหมายให้พวกเขาวาดภาพผนังของสภาใหญ่ในปาลาซโซ เวคคิโอ

ดาวินชีเริ่มทำงานในปูนเปียกโดยอิงตามแผนการรบแห่งอังกีอารี และไมเคิลแองเจโลก็ยึดยุทธการคาชินเป็นพื้นฐาน เมื่อมีการแสดงภาพสเก็ตช์ 2 ภาพต่อสาธารณะ ไม่มีนักวิจารณ์คนใดให้ความสำคัญกับภาพเหล่านี้ กระดาษแข็งทั้งสองใบถูกสร้างขึ้นมาอย่างชำนาญจนถ้วยแห่งความยุติธรรมเท่ากับพรสวรรค์ของผู้เชี่ยวชาญด้านแปรงและสี

ตั้งแต่มีเกลันเจโลยังเป็นที่รู้จัก ศิลปินที่ยอดเยี่ยมเขาถูกขอให้ทาสีเพดานของโบสถ์โรมันแห่งหนึ่งในวาติกัน สำหรับงานนี้จิตรกรถูกถ่ายสองครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1508 ถึงปี ค.ศ. 1512 เขาได้ทาสีเพดานโบสถ์ซึ่งมีเนื้อที่ 600 ตารางเมตร เมตร ฉากจากพันธสัญญาเดิมตั้งแต่การสร้างโลกจนถึงอุทกภัย ในทางสว่างที่สุดนี่คือชายคนแรก - อดัม ในขั้นต้น ไมค์วางแผนที่จะวาดอัครสาวกเพียง 12 คน แต่โครงการนี้เป็นแรงบันดาลใจให้อาจารย์มากจนอุทิศชีวิต 4 ปีให้กับเขา

ในตอนแรก ศิลปินวาดภาพเพดานร่วมกับ Francesco Granaxi, Giuliano Bugardini และคนงานนับร้อย แต่แล้วด้วยความโกรธ เขาจึงไล่ผู้ช่วยของเขาออก เขาซ่อนช่วงเวลาของการสร้างผลงานชิ้นเอกแม้กระทั่งจากสมเด็จพระสันตะปาปาที่พยายามดูภาพวาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ปลายปี ค.ศ. 1511 ไมเคิลแองเจโลรู้สึกทรมานกับคำขอของบรรดาผู้ที่อยากเห็นการทรงสร้างนี้ พระองค์จึงทรงเปิดม่านแห่งความลับ สิ่งที่เขาเห็นทำให้จินตนาการของหลายคนตกตะลึง แม้จะประทับใจภาพวาดนี้ เขาก็เปลี่ยนรูปแบบการเขียนของเขาเองบางส่วน

การทำงานในโบสถ์น้อยซิสทีนทำให้ประติมากรผู้ยิ่งใหญ่เหนื่อยหน่าย เขาจึงเขียนลงในไดอารี่ว่า:

“หลังจากทรมานสี่ปี ได้สร้างตัวเลขมากกว่า 400 ตัวใน ขนาดชีวิตฉันรู้สึกแก่และเหนื่อย ฉันอายุเพียง 37 ปี และเพื่อน ๆ ทุกคนก็จำชายชราคนนั้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว"

นอกจากนี้ เขายังเขียนว่าจากการทำงานหนัก ดวงตาของเขาแทบจะมองไม่เห็น และชีวิตก็มืดมนและเป็นสีเทา

ในปี ค.ศ. 1535 มีเกลันเจโลได้วาดภาพฝาผนังในโบสถ์น้อยซิสทีนอีกครั้ง คราวนี้เขาสร้างภาพเฟรสโก Last Judgment ซึ่งก่อให้เกิดพายุแห่งความขุ่นเคืองในหมู่นักบวช ที่กึ่งกลางขององค์ประกอบภาพ พระเยซูคริสต์มีภาพคนเปลือยกายรายล้อมอยู่ ร่างมนุษย์เหล่านี้เป็นตัวแทนของคนบาปและคนชอบธรรม วิญญาณของผู้ศรัทธาขึ้นสู่สวรรค์เพื่อไปสวรรค์และชารอนรวบรวมวิญญาณของคนบาปบนเรือของเขาและขับพวกเขาไปสู่นรก

การประท้วงของผู้เชื่อไม่ได้เกิดจากภาพ แต่เกิดจากร่างกายที่เปลือยเปล่าซึ่งไม่ควรอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีการเรียกร้องให้ทำลายภาพเฟรสโกที่ใหญ่ที่สุดในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลีซ้ำแล้วซ้ำอีก ขณะทำงานวาดภาพ ศิลปินตกจากป่า ทำให้ขาของเขาบาดเจ็บสาหัส ชายผู้เปี่ยมด้วยอารมณ์เห็นสัญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องนี้และตัดสินใจเลิกงาน มีเพียงเพื่อนสนิทของเขาและแพทย์ที่ช่วยผู้ป่วยรักษาตัวเท่านั้นที่สามารถโน้มน้าวเขาได้

ชีวิตส่วนตัว

รอบ ๆ ชีวิตส่วนตัวประติมากรที่มีชื่อเสียงมักมีข่าวลือมากมาย เขากำหนดความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพี่เลี้ยงของเขา เพื่อสนับสนุนรุ่นของการรักร่วมเพศ Michelangelo ยังได้รับการสนับสนุนจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาไม่เคยแต่งงาน เขาเองอธิบายสิ่งนี้ดังนี้:

“ศิลปะเป็นสิ่งที่อิจฉาและต้องการคนทั้งตัว ฉันมีคู่สมรสซึ่งทุกอย่างเป็นของและลูก ๆ ของฉันคือผลงานของฉัน "

นักประวัติศาสตร์พบการยืนยันที่ถูกต้องของมัน ความสัมพันธ์ที่โรแมนติกกับมาร์ควิส วิตตอเรีย โคลอนนา ผู้หญิงคนนี้ที่แตกต่าง จิตใจที่ไม่ธรรมดาได้รับความรักและความเสน่หาจากไมเคิลแองเจโล นอกจากนี้ Marquis of Pescara ยังถือเป็นผู้หญิงคนเดียวที่มีชื่อเกี่ยวข้องกับศิลปินผู้ยิ่งใหญ่

เป็นที่ทราบกันดีว่าพวกเขาได้พบกันในปี ค.ศ. 1536 เมื่อ Marquise มาถึงกรุงโรม ไม่กี่ปีต่อมา ผู้หญิงคนนั้นถูกบังคับให้ออกจากเมืองและไปที่วิเทอร์โบ เหตุผลก็คือการกบฏของพี่ชายของเธอต่อ Paul III นับจากนี้เป็นต้นไป การติดต่อระหว่าง Michelangelo และ Vittoria ก็เริ่มขึ้น ซึ่งได้กลายเป็นอนุสรณ์สถานที่แท้จริงของยุคประวัติศาสตร์ เป็นที่เชื่อกันว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Michelangelo และ Vittoria เป็นเพียงธรรมชาติของความรักสงบ ยังคงซื่อสัตย์ต่อสามีของเธอที่เสียชีวิตในการต่อสู้ Marquise มีเพียงความรู้สึกที่เป็นมิตรต่อศิลปินเท่านั้น

ความตาย

มีเกลันเจโลเสร็จสิ้นการเดินทางบนโลกของเขาในกรุงโรมเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 ไม่กี่วันก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ศิลปินได้ทำลายภาพร่าง ภาพวาด และบทกวีที่ยังไม่เสร็จ จากนั้นเขาก็ไปที่โบสถ์เล็ก ๆ ของ Santa Maria del Angeli ซึ่งเขาต้องการสร้างรูปปั้นของมาดอนน่าให้สมบูรณ์แบบ ประติมากรเชื่อว่างานทั้งหมดของเขาไม่คู่ควรกับพระเจ้า และตัวเขาเองก็ไม่คู่ควรที่จะพบกับสวรรค์เพราะเขาไม่ได้ทิ้งลูกหลานไว้ข้างหลังเขา ยกเว้นรูปปั้นหินไร้วิญญาณ ไมค์ต้องการให้ในวันสุดท้ายของเขาหายใจชีวิตเข้าไปในรูปปั้นของมาดอนน่าเพื่อทำภารกิจทางโลกให้สมบูรณ์

แต่ในโบสถ์จากการทำงานหนักเกินไป เขาหมดสติและตื่นขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงบ้านแล้วชายคนนั้นก็ล้มตัวลงนอนสั่งพินัยกรรมและสละวิญญาณ

ประติมากรและจิตรกรชาวอิตาลีผู้ยิ่งใหญ่ได้ทิ้งผลงานมากมายที่ยังคงตรึงตราตรึงใจของมวลมนุษยชาติ แม้แต่บนธรณีประตูแห่งชีวิตและความตาย อาจารย์ก็ไม่ละทิ้งเครื่องดนตรี พยายามทิ้งสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้ลูกหลานเท่านั้น แต่มีบางช่วงเวลาในชีวประวัติของชาวอิตาลีที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก

• มีเกลันเจโลศึกษาซากศพ ประติมากรพยายามสร้างใหม่ ร่างกายมนุษย์ในหินอ่อน สังเกตรายละเอียดที่เล็กที่สุด และสำหรับสิ่งนี้เขาต้องการความรู้เกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์ที่ดี ดังนั้นอาจารย์จึงใช้เวลาหลายสิบคืนในห้องเก็บศพของอาราม
• ศิลปินไม่ชอบการวาดภาพ น่าแปลกที่ Buonarroti พิจารณาการสร้างภูมิทัศน์และยังคงใช้ชีวิตโดยเสียเวลาและเรียกภาพวาดเหล่านี้ว่า "ภาพว่างสำหรับผู้หญิง"
• ครูทำจมูกของมีเกลันเจโลหัก สิ่งนี้กลายเป็นที่รู้จักจากไดอารี่ของ Giorgio Vasari ซึ่งอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ครูด้วยความอิจฉาตีนักเรียนคนหนึ่งจนจมูกหัก
• โรคร้ายแรงของประติมากร เป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาในชีวิตของเขาไมค์ได้รับความทุกข์ทรมานจากอาการปวดข้ออย่างรุนแรง ในเวลานั้นสีจำนวนมากมีพิษและอาจารย์ถูกบังคับให้หายใจเอาควันอย่างต่อเนื่อง
• กวีที่ดี คนเก่งมีความสามารถหลายด้าน คำเหล่านี้สามารถนำมาประกอบกับชาวอิตาลีผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างปลอดภัย ผลงานของเขามีโคลงหลายร้อยเล่มที่ไม่ได้ตีพิมพ์ในช่วงชีวิตของเขา

ผลงานของอิตาลีที่มีชื่อเสียงทำให้เขามีชื่อเสียงและโชคลาภในช่วงชีวิตของเขา และเขาได้ลิ้มรสความเคารพของแฟนๆ อย่างเต็มที่และเพลิดเพลินกับความนิยม ซึ่งเพื่อนร่วมงานหลายคนของเขาไม่สามารถหาได้