อารยธรรมมายาในยุคกลาง ร่างของชาวมายาโบราณ

อารยธรรมมายาเป็นอารยธรรมยุคก่อนโคลัมเบียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ขนาดขยายไปยังพื้นที่ทางตอนเหนือทั้งหมดของอเมริกากลางรวมถึงดินแดนของรัฐสมัยใหม่ - กัวเตมาลาเบลีซเอลซัลวาดอร์เม็กซิโกและชานเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของฮอนดูรัส

รัฐในเมืองมายาส่วนใหญ่ถึงจุดสูงสุดของความเป็นเมืองและการก่อสร้างขนาดใหญ่ในช่วงคลาสสิกตั้งแต่ 250 ถึง 900 AD อนุสรณ์สถานที่โดดเด่นที่สุดในสมัยนี้คือวัดเก่าแก่ซึ่งสร้างขึ้นในเกือบทุกๆ เมืองใหญ่... ด้วยเหตุผลที่ยังไม่ทราบสาเหตุศูนย์ของชาวมายันส่วนใหญ่ตกอยู่ในสภาพทรุดโทรมในอีกไม่กี่ศตวรรษข้างหน้า และเมื่อถึงเวลาที่ผู้พิชิตมาถึงอารยธรรมของชาวมายันก็เสื่อมถอยลงอย่างมาก

มีหลายรุ่น เหตุผลที่เป็นไปได้ การตายของอารยธรรมรวมถึงการสูญเสียของดินการสูญเสียแหล่งน้ำและการกัดเซาะแผ่นดินไหวโรคภัยไข้เจ็บรวมถึงการรุกรานทางทหารของวัฒนธรรมที่พัฒนาอย่างสูงอื่น ๆ เมืองของชาวมายันที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมสูงสุดรวมอยู่ใน. สิ่งที่นักท่องเที่ยวสนใจเป็นพิเศษในปัจจุบันคือ สถาปัตยกรรมโบราณประติมากรรมหินรูปปั้นนูนและภาพวาดทางศาสนาที่มีสไตล์บนผนังบ้าน เช่นเดียวกับพระราชวังขนาดใหญ่วัดโบราณและปิรามิด

เราได้บอกคุณเกี่ยวกับเมืองที่น่าประทับใจไปแล้ววันนี้คุณสามารถทำความคุ้นเคยกับเมืองโบราณที่น่าสนใจที่สุดของอารยธรรมมายา

เมืองโบราณของชาวมายัน - ภาพถ่าย

ซากปรักหักพังของ Tikal ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเดียวกัน และนี่อาจเป็นหนึ่งในที่ใหญ่ที่สุด แหล่งโบราณคดี อารยธรรมมายันในอเมริกากลาง. สถานที่แห่งนี้เป็นแรงบันดาลใจและจากนั้นก็สะท้อนออกมาในภาพยนตร์โดย Mel Gibson "Apocalypse" การเดินทางไปยัง Tikal มีค่าใช้จ่ายทางการเงินเมื่อเทียบกับจุดหมายปลายทางอื่น ๆ เพื่อชมซากปรักหักพังของอารยธรรมมายา แต่ปิรามิดหินที่เก็บรักษาไว้ พระราชวังภาพวาดและจิตรกรรมฝาผนังเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การชม ในปีพ. ศ. 2522 อุทยานแห่งชาติ Tikal ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก อย่างไรก็ตามโปรดระวังเสือจากัวร์ที่กินสัตว์อื่นในป่าทึบรอบสวน

เมืองชิเชนอิตซาขนาดใหญ่ก่อนยุคโคลัมเบียตั้งอยู่ในรัฐยูกาตันของเม็กซิโก เห็นได้ชัดว่าเมืองที่ปรักหักพังขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นหนึ่งใน Tollans - สถานที่สักการะบูชาของเทพในตำนาน Quetzalcoatl (งูขนนก) นี่เป็นหลักฐานจากภาพที่พบในสนามแข่งขันบอล Chichen Itza เป็นที่รู้จักในรูปแบบสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย เมืองนี้เป็นเมืองที่น่าดึงดูดสำหรับผู้อยู่อาศัยเนื่องจากมีหลักฐานลึกสองแห่งซึ่งทำให้ประชากรมีน้ำ ตลอดทั้งปี... หนึ่งในบ่อน้ำธรรมชาติเหล่านี้คือ Sacred Cenote สถานที่สังเวยและแสวงบุญของชาวมายาโบราณ Chichen Itza เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวโดยมีผู้เยี่ยมชมมากกว่า 1.2 ล้านคนต่อปี

เมืองของชาวมายันแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองทางตอนใต้ของเม็กซิโกในศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสต์ศักราช หลังจากการล่มสลายเมืองนี้ถูกกลืนหายไปกับป่าเป็นเวลานานก่อนที่จะถูกค้นพบและกลายเป็นโบราณสถานที่มีชื่อเสียง Palenque ตั้งอยู่บนแม่น้ำ Usumacinta ห่างจาก Ciudad del Carmen ไปทางใต้ 130 กม. มีขนาดเล็กกว่า Tikal มาก แต่สามารถอวดสถาปัตยกรรมประติมากรรมที่ยังมีชีวิตอยู่และรูปปั้นนูนต่ำของชาวมายาโบราณ จารึกอักษรอียิปต์โบราณจำนวนมากบนอนุสาวรีย์ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถสร้างประวัติศาสตร์ของ Palenque ขึ้นใหม่ได้ ผู้เชี่ยวชาญและนักโบราณคดีกลุ่มเดียวกันอ้างว่าในขณะนี้มีการขุดค้นและศึกษาอาณาเขตของเมืองโบราณเพียง 10% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออยู่ใกล้ ๆ แต่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดินในป่าทึบหนาทึบ

ซากปรักหักพังโบราณของเมือง Calakmul ซ่อนตัวอยู่ในป่าของรัฐกัมเปเชของเม็กซิโก นี่คือหนึ่งใน เมืองที่ใหญ่ที่สุด มายัน. มีการค้นพบอาคารมากกว่า 6,500 หลังบนพื้นที่ประมาณ 20 ตารางกิโลเมตร ปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดมีความสูง 50 เมตรและฐานกว้าง 140 เมตร ช่วงเวลาคลาสสิกเห็นรุ่งอรุณของ Calakmul ในเวลานี้เขาอยู่ในการแข่งขันที่ยากลำบากกับ Tikal การเผชิญหน้าครั้งนี้เปรียบได้กับการชี้แจงความทะเยอทะยานทางการเมืองของสองประเทศมหาอำนาจ เรียกว่าอาณาจักรอสรพิษ Calakmul แผ่อิทธิพลออกไปในรัศมีหลายร้อยกิโลเมตร นี่เป็นหลักฐานจากสัญลักษณ์หินลักษณะที่แสดงถึงหัวงูที่พบในหมู่บ้านเล็ก ๆ ของชาวมายัน

ซากปรักหักพังของชาวมายันของ Uxmal อยู่ห่างจากเมือง Merida 62 กิโลเมตรซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองของรัฐยูกาตัน ซากปรักหักพังมีชื่อเสียงในด้านขนาดและการตกแต่งอาคาร แต่ไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับพวกเขาเนื่องจากไม่มีการวิจัยทางโบราณคดีที่สำคัญที่นี่ Uxmal ก่อตั้งขึ้นในปีค. ศ. 500 อาคารที่ยังมีชีวิตอยู่ส่วนใหญ่มีอายุย้อนไปถึง 800 - 900 ปีปิรามิดและโครงสร้างต่างๆสามารถสังเกตเห็นได้ในรูปแบบที่เกือบจะเก่าแก่ รูปแบบสถาปัตยกรรม Puuk ที่เกิดขึ้นที่นี่มีความโดดเด่นด้วยการตกแต่งที่หลากหลายบนด้านหน้าอาคาร

ซากปรักหักพังตั้งอยู่บนชายฝั่งของทะเลสาบใน Orange Walk ทางตอนเหนือ - กลางของเบลีซ แปลจากภาษามายันชื่อเมืองเลขสาม ประวัติศาสตร์พันปีหมายถึง "จระเข้ที่จมน้ำ" ซึ่งแตกต่างจากเมืองอื่น ๆ ของชาวมายัน Lamanai ยังคงอาศัยอยู่เมื่อผู้พิชิตชาวสเปนบุกเข้ามาในศตวรรษที่ 16 ในระหว่างการขุดค้นในปี 1970 มีโครงสร้างสำคัญสามอย่างที่เป็นจุดสนใจ ได้แก่ วิหารแห่งหน้ากากวิหารเสือจากัวร์และวิหารสูง หากต้องการพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังเหล่านี้ซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปในป่าคุณต้องเข้าร่วมการเดินทางทางเรือจาก Orange Walk มีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่จัดแสดงวัตถุโบราณและบอกเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาวมายัน

ชื่อของโบราณสถานแห่งนี้ในการแปลหมายถึง "สตรีหิน" มันเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของชาวเบลีซตามที่ถูกกล่าวหาตั้งแต่ปีพ. ศ. 2435 ผีของผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏในสถานที่เหล่านี้เป็นระยะ ผีในชุดคลุมสีขาวดวงตาสีแดงเพลิงปีนบันไดขึ้นไปด้านบนของวิหารหลักและสลายตัวไปตามกำแพง ซากปรักหักพังตั้งอยู่ในพื้นที่ของหมู่บ้าน San Jose Succotz ทางตะวันตกของประเทศ ในหมู่บ้านนี้คุณต้องนั่งเรือข้ามฟากขนาดเล็กเพื่อข้ามแม่น้ำ Mopan เมื่อคุณไปถึงซากปรักหักพังอย่าปฏิเสธโอกาสที่จะปีนขึ้นไปด้านบนสุดของพระราชวัง Shunantunich ซึ่งเป็นพีระมิดขนาดใหญ่พร้อมทิวทัศน์ที่สวยงามของหุบเขาแม่น้ำ

เมืองตูลุมที่มีป้อมปราการซึ่งทำหน้าที่เป็นเมืองท่าของเมืองโคบาตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรยูคาทาน สร้างขึ้นในปี 1200 ในช่วงเวลาที่อารยธรรมมายากำลังเสื่อมถอย ดังนั้นจึงขาดความสง่างามและความสง่างามบางประการในลักษณะสถาปัตยกรรมในยุคคลาสสิกของการพัฒนา แต่สถานที่ที่ไม่เหมือนใครบนชายฝั่งของทะเลแคริบเบียนความใกล้ชิดของชายหาดและรีสอร์ทในเม็กซิโกทำให้เมือง Tulum ของมายันเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว

เมืองมายาโบราณขนาดใหญ่ซึ่งมีประชากร 50,000 คนที่จุดสูงสุดตั้งอยู่ทางตะวันออกของ Chichen Itza 90 กิโลเมตรห่างจากทะเลแคริบเบียนไปทางตะวันตกประมาณ 40 กิโลเมตรและห่างจาก Tulum ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 44 กิโลเมตร ทุกวันนี้ทุกเส้นทางเชื่อมต่อกันด้วยทางหลวงที่สะดวกทันสมัย สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนใหญ่สร้างขึ้นระหว่างปี 500 ถึง 900 มีปิรามิดสูงหลายแห่งในเมือง พีระมิด El Castillo ที่สูงที่สุดซึ่งอยู่ในกลุ่มอาคาร Nohoch Mul มีความสูงถึง 42 เมตร มีบันได 120 ขั้นที่นำไปสู่ด้านบนของวิหารซึ่งมีแท่นบูชาขนาดเล็กซึ่งใช้เป็นสถานที่สักการะบูชาซึ่งผู้ที่ต้องการสามารถปีนขึ้นไปได้

พระราชพิธีและ ศูนย์การค้า Mayan Altun Ha อยู่ห่างจากเมืองเบลีซ 50 กิโลเมตร บริเวณนี้ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลแคริบเบียนเพียง 10 กิโลเมตรขึ้นชื่อเรื่องสัตว์ป่าที่อุดมสมบูรณ์ ผู้ที่อาศัยอยู่ทั่วไปในป่าในท้องถิ่น ได้แก่ Armadillos, สมเสร็จ, Agouti, จิ้งจอก, tayras และกวางหางขาว นอกจากสัตว์ป่าที่น่าประทับใจแล้ว Altun-Ha ยังมีชื่อเสียงในเรื่องของโบราณวัตถุที่พบโดยนักโบราณคดีจากที่นี่ ในหมู่พวกเขามีรูปปั้นหยกขนาดใหญ่ที่แสดงถึงศีรษะของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ Kinich Ahau การค้นพบนี้ถือเป็นวันนี้ สมบัติของชาติ เบลีซ

แหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่ของ Karakol อยู่ห่างจาก Shunantunich ไปทางทิศใต้ 40 กิโลเมตรในเขต Cayo ซากปรักหักพังทอดยาวเหนือระดับน้ำทะเล 500 เมตรบนที่ราบสูง Vaka ปัจจุบันคาราคอลเป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางทางการเมืองที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของอารยธรรมมายันในยุคคลาสสิก ครั้งหนึ่งคาราคอลขยายพื้นที่กว่า 200 ตารางกิโลเมตร นี่เป็นมากกว่าดินแดนของเบลีซสมัยใหม่ - เมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือประชากรเบลีซในปัจจุบันเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของประชากรในสมัยโบราณ

ซากปรักหักพังของชาวมายันที่สวยงามตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Usumacinta ในรัฐเชียปัสทางตะวันออกเฉียงใต้ของเม็กซิโก Yaxchilan เคยเป็นนครรัฐที่มีอำนาจและเป็นเมืองที่มีการแข่งขันสำหรับเมืองต่างๆเช่น Palenque และ Tikal Yaxchilan มีชื่อเสียงในด้านการตกแต่งด้วยหินที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีซึ่งประดับประดาตามช่องประตูและหน้าต่างของวิหารหลัก เกี่ยวกับพวกเขาเช่นเดียวกับรูปปั้นต่าง ๆ มีข้อความอักษรอียิปต์โบราณบอกเกี่ยวกับ ปกครองราชวงศ์ และประวัติศาสตร์ของเมือง ชื่อของผู้ปกครองบางคนฟังดูน่ากลัว: Skull Moon และ Jaguar Bird ครอง Yaxchilan ในศตวรรษที่ห้า

แผนก Isabal ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกัวเตมาลามีแหล่งโบราณคดี Quirigua ยาว 3 กิโลเมตร ในช่วงคลาสสิกของการพัฒนาของอารยธรรมมายานี้ เมืองโบราณ ตั้งอยู่ที่จุดตัดของเส้นทางการค้าที่สำคัญหลายเส้นทาง สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของสถานที่แห่งนี้คืออะโครโพลิสซึ่งเริ่มก่อสร้างในปีค. ศ. 550 อุทยานโบราณคดี Quirigua มีชื่อเสียงในเรื่องอนุสาวรีย์หินสูง เมื่อพิจารณาว่าเมืองนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ของรอยเลื่อนทางธรณีวิทยาที่เปลี่ยนแปลงไปและมีแนวโน้มที่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่และน้ำท่วมในสมัยโบราณจึงควรค่าแก่การเยี่ยมชมเพื่อชมอนุสาวรีย์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้และชื่นชมทักษะการวางผังเมืองของชาวมายาโบราณ

Copan ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดีของอารยธรรมมายาตั้งอยู่ทางตะวันตกของฮอนดูรัสติดชายแดนกัวเตมาลา นี้ค่อนข้าง เมืองเล็ก ๆ ขึ้นชื่อเรื่องชุดสิ่งประดิษฐ์ทางสถาปัตยกรรมที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี เหล็กหลายชิ้นการตกแต่งด้วยประติมากรรมและรูปปั้นนูนเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดของศิลปะของเมโสอเมริกาโบราณ โครงสร้างหินบางส่วนของ Copan มีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 9 ก่อนคริสต์ศักราช วิหารที่สูงที่สุดมีความสูง 30 เมตร รุ่งอรุณของการตั้งถิ่นฐานตรงกับศตวรรษที่ 5 ในเวลานั้นมีผู้อาศัยอยู่ที่นี่ประมาณ 20,000 คน

ซากปรักหักพังของ Cajal Pech ตั้งอยู่ใกล้กับเมือง San Ignacio ในภูมิภาค Cayo บนทางยกระดับเชิงกลยุทธ์ที่จุดบรรจบของแม่น้ำ Makal และ Mopan การก่อสร้างที่สำคัญส่วนใหญ่มีอายุย้อนกลับไปในสมัยคลาสสิก แต่หลักฐานที่มีอยู่บ่งชี้ว่าอาศัยอยู่ในสถานที่เหล่านี้อย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 1200 ปีก่อนคริสตกาล เมืองนี้กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีโครงสร้างหิน 34 แห่งตั้งอยู่รอบ ๆ อะโครโพลิสใจกลางเมือง วัดที่สูงที่สุดมีความสูงประมาณ 25 เมตร Kahal Pech เช่นเดียวกับเมืองอื่น ๆ อีกมากมายถูกทิ้งร้างในศตวรรษที่ 9 โดยไม่ทราบสาเหตุ

นี่เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมขนาดใหญ่ที่อารยธรรมลึกลับทิ้งไว้เบื้องหลัง สรุปแล้วในภาคเหนือของอเมริกากลางมีมากกว่า 400 แห่ง แหล่งโบราณคดีและมีพื้นที่ขนาดเล็กกว่า 4000 แห่ง แต่มีถิ่นฐานโบราณที่น่าสนใจไม่น้อยซึ่งเป็นของชนชาติและวัฒนธรรมของอารยธรรมมายาที่มีมานานกว่า 2500 ปี

ในอเมริกาก่อนยุคโคลัมเบียมีอารยธรรมของชาวมายันซึ่งได้รับการยอมรับอย่างถูกต้องว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่สว่างที่สุด กลุ่มชาวอินเดียที่หลากหลายประมาณ 2.7 ล้านคนอาศัยอยู่ในเม็กซิโก มีสมมติฐานว่าผู้คนตั้งถิ่นฐานในอเมริกาเมื่อสามหมื่นปีก่อนโดยมาจากเอเชีย

แม้จะมีความจริงที่ว่าชาวมายาถึงศตวรรษที่สิบเอ็ด จ. ไม่ทราบวิธีการเพาะปลูกที่ดินด้วยไถและไม่ใช้สัตว์ที่มีกีบเท้าในกิจกรรมของพวกเขาไม่มีเกวียนล้อเลื่อนและไม่มีความคิดเกี่ยวกับโลหะพวกเขาได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาเชี่ยวชาญการเขียนอักษรอียิปต์โบราณ ด้วยความช่วยเหลือของอักษรอียิปต์โบราณชาวมายาจึงเขียนรหัส - หนังสือบนกระดาษชนิดหนึ่ง พวกเขากำลังช่วยนักวิทยาศาสตร์ในการศึกษาอารยธรรมนี้ เป็นครั้งแรกที่รหัสดังกล่าวได้รับการแปลโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน E. Ferstemann ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 19

ชาวมายาเข้าใจการเคลื่อนไหวของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ - พวกเขาทำนายสุริยุปราคา การคำนวณของพวกเขาเกี่ยวกับการกระจัดของดาวศุกร์ก็ใกล้จะถูกต้องเช่นกันความแตกต่างเพียง 14 วินาทีต่อปี พวกเขายังเร็วกว่าตัวแทน ประเทศอาหรับ และชาวอินเดียเริ่มใช้แนวคิดของศูนย์

การผสมผสานระหว่างความรู้ทางดาราศาสตร์และการเขียนอย่างเชี่ยวชาญช่วยให้ชนเผ่าต่างๆสามารถบันทึกเวลาได้ ระบบการนับของพวกเขาที่เรียกว่า "tsolkin" และ "tonalamatl" นั้นขึ้นอยู่กับตัวเลข 20 และ 13 รากของพวกแรกไปเร็วกว่าเวลาที่ชาวมายาอาศัยอยู่มากอย่างไรก็ตามพวกเขาเป็นผู้ปรับปรุง ระบบ.

ศิลปะเจริญรุ่งเรืองในอารยธรรมนี้: พวกเขาสร้างประติมากรรมที่สวยงามเซรามิกสร้างอาคารที่สวยงามและทาสี

ศิลปะของชาวอินเดียนแดงชาวเม็กซิกันมีการพัฒนาในระดับสูงสุดในสมัยโบราณในช่วง 250 ถึง 900 AD e. ช่วงเวลาคลาสสิกที่เรียกว่า นักสำรวจในเมือง Palenque, Copane และ Bonampak พบภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ดีที่สุด ตอนนี้พวกเขาเท่ากับ อนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรม สมัยโบราณเนื่องจากภาพโบราณของชาวมายาจริงๆแล้วไม่ได้ด้อยไปกว่าภาพหลังในด้านความงาม น่าเสียดายที่คุณค่าหลายอย่างไม่ได้อยู่รอดมาจนถึงสมัยของเราถูกทำลายไม่ว่าจะตามกาลเวลาหรือจากการสอบสวน

สถาปัตยกรรม

ลวดลายหลักในสถาปัตยกรรมของชาวมายันคือเทพงูและหน้ากาก ธีมทางศาสนาและตำนานสะท้อนให้เห็นทั้งในเซรามิกขนาดเล็กและในประติมากรรมและรูปปั้นนูน Maya สร้างผลงานศิลปะจากหินโดยใช้หินปูนเป็นหลัก

สถาปัตยกรรมของผู้คนเหล่านี้มีความสง่างามโดดเด่นด้วยอาคารขนาดใหญ่ที่สูงขึ้นของพระราชวังและวิหารมีสันเขาบนหลังคา

การศึกษาของชาวมายัน

ชาวอินเดียสร้างเมืองโดยใช้เพียงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อภายใต้การนำของกษัตริย์และนักบวชพวกเขาได้สร้างวัดและพระราชวังและทำการรณรงค์ทางทหาร น่าเสียดายที่ตอนนี้เมืองของชาวมายันส่วนใหญ่อยู่ในซากปรักหักพัง พวกเขามีเทพเจ้าของตนเองซึ่งพวกเขาเคารพบูชามีพิธีกรรมและพิธีบวงสรวง

เป็นเวลานานที่นักวิชาการเชื่อว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ในศูนย์พิธีอย่างถาวรและอาคารเหล่านี้ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรมเท่านั้น แต่ต่อมามีการพิสูจน์ว่าพระราชวังของคนชั้นสูงและนักบวชส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นใกล้กับพวกเขามากพอ

จากการวิจัยของศูนย์พิธีการทำให้ได้รับข้อมูลมากมายเกี่ยวกับชีวิต ชั้นบน สังคมมายา. ในทางตรงข้ามไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องชนชั้นล่าง ตัวอย่างเช่นคำถามเกี่ยวกับชีวิตของชาวนาได้รับการศึกษาอย่างไม่เพียงพอและพวกเขาก็เป็นผู้ที่สนับสนุนการปกครองด้วยความช่วยเหลือจากแรงงานของพวกเขา เป็นอีกด้านหนึ่งของชีวิตมายาที่นักโบราณคดีศึกษาอยู่ในปัจจุบัน

การวิจัยใหม่ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างลำดับเหตุการณ์ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงของอารยธรรมนี้ พวกเขาพบว่าชาวมายามีอายุมากกว่าที่เคยคิดไว้อย่างน้อย 1,000 ปี สิ่งนี้ทำได้โดยการศึกษาเรดิโอคาร์บอนของสิ่งของไม้ที่พบโดยนักโบราณคดี มีการพิสูจน์แล้วว่าสร้างขึ้นในช่วง พ.ศ. 2750 - พ.ศ. 2450 พ.ศ. จ. ดังนั้นวัฒนธรรมของชาวมายาจึงเก่าแก่กว่า Olmec ซึ่งจนถึงขณะนั้นถือเป็นบรรพบุรุษของชาวมายาและอารยธรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นปัจจัยของอิทธิพลของวัฒนธรรม Olmec จึงถูกแยกออกและมีการตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับอิทธิพลย้อนกลับที่เป็นไปได้ ดังนั้นจะต้องมีการค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของทวีป ท้ายที่สุดการขุดค้นเพียงหนึ่งฤดูกาลก็สามารถเพิ่มพันปีให้กับการดำรงอยู่ของชาวมายาและมากกว่าหนึ่งครึ่งในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของ Mesoamerica ทั้งหมด

การค้นพบของนักโบราณคดีทำให้สามารถสร้างช่วงเวลาที่ถูกต้องมากขึ้นเนื่องจากสาเหตุหลายประการซึ่งหลัก ๆ คือสองประการ:

1. พบผลิตภัณฑ์เซรามิกจำนวนมากในพื้นที่ทำให้เมื่อใช้มากที่สุด วิธีการที่ทันสมัย ถูกต้องมากขึ้นจนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับวัฒนธรรมโบราณ
2. ต้องขอบคุณการเขียนอักษรอียิปต์โบราณของชาวอินเดียโบราณทำให้สามารถแปลบันทึกส่วนใหญ่เปรียบเทียบกับลำดับเหตุการณ์และปฏิทินสมัยใหม่ได้ สิ่งนี้ช่วยในการระบุถึงหนึ่งเดือนวันที่ของเหตุการณ์พิเศษสำหรับอารยธรรมมายาการครองราชย์ของผู้ปกครองและบุคลิกที่สำคัญเพียงอย่างเดียวสำหรับประวัติศาสตร์ชื่อของพวกเขาปีแห่งชีวิต

อาณาเขตและสภาพภูมิอากาศ

ในดินแดนที่น่าประทับใจ (พื้นที่ 325,000 ตารางกิโลเมตร) ซึ่งปัจจุบันถูกครอบครองโดยรัฐต่างๆของเม็กซิโกและที่ชาวมายันอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ในความเป็นจริงเขตธรรมชาติบางแห่งมีความโดดเด่น แต่ละแห่งมีสภาพอากาศเป็นของตัวเอง สภาพธรรมชาติ, พืชพันธุ์, การบรรเทาทุกข์ ฯลฯ กล่าวคือเขตธรรมชาติแต่ละแห่งเป็นระบบนิเวศวิทยาชนิดหนึ่ง ระบบแรก - ก้าวหน้าในรูปครึ่งวงกลมไปทางทิศใต้จับทางตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงใต้ที่ราบและเทือกเขาของ Cordillera ในอเมริกากลาง ระบบนิเวศที่สองตามอัตภาพรวมถึงหุบเขาและเนินเขารอบ ๆ แอ่ง Peten ในกัวเตมาลาเช่นเดียวกับแอ่งด้านในและทางตอนใต้ของคาบสมุทรยูคาทาน โซนสุดท้ายของการใช้งานมายาคือที่ราบทางตอนเหนือของยูคาทาน กว้างขวางปกคลุมไปด้วยหญ้าและพุ่มไม้นอกจากนี้ยังเป็นที่อาศัยของชาวอินเดียในสมัยโบราณ

คุณสมบัติทางภาษามายา

ภาษามายา 24 ภาษายังคงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดถูกรวมเข้าด้วยกัน ตระกูลภาษาและในทางกลับกันพวกเขาก็กลายเป็นสาขาภาษาศาสตร์ทั่วไป

Huastec ยังคงสามารถได้ยินได้ในหนึ่งในภูมิภาคทางตอนเหนือของ Veracruz และยังคงเป็นปริศนาว่าทำไมเจ้าของภาษาจึงลงเอยที่นั่น พวกเขาอพยพมาที่นี่เมื่อประมาณ 1200 ปีก่อนคริสตกาล จ. - ก่อนที่อารยธรรมมายาจะเกิดขึ้น นอกจาก Huastecs ซึ่งตั้งรกรากอยู่ไกลออกไปจากพื้นที่ของชาวมายันแล้วยังมีผู้อพยพอื่น ๆ อีกด้วย แต่พวกเขาส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในดินแดนเดียวกันดังหลักฐานจากการวิจัยของนักภาษาศาสตร์สมัยใหม่ ในความเห็นของพวกเขา 2500 ปีก่อนคริสตกาล จ. ในสถานที่เหล่านั้นมีชุมชนที่สมาชิกพูดภาษา Protomaya มันค่อยๆแยกออกเป็นภาษาถิ่นและลำโพงของพวกเขาถูกบังคับให้อพยพ ดังนั้นพื้นที่แห่งชีวิตของชาวมายันจึงถูกกำหนด และโดยตรงประวัติศาสตร์ของพวกเขากลายเป็นไปได้ที่จะแบ่งออกเป็นช่วงเวลาเฉพาะเนื่องจากข้อมูลการขุดค้นทางโบราณคดี

มายาวันนี้

ปัจจุบันจำนวนลูกหลานของอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดบนคาบสมุทรยูคาทานอยู่ที่ประมาณ 6.1 ล้านคนในขณะที่ชาวมายาประมาณ 40% อาศัยอยู่ในกัวเตมาลาและประมาณ 10% ในเบลีซ ความชอบทางศาสนาของชาวมายามีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาและปัจจุบันเป็นชุดของประเพณีโบราณและคริสเตียน ชุมชนชาวมายาสมัยใหม่ทุกแห่งมีผู้อุปถัมภ์ของตนเอง รูปแบบการบริจาคก็เปลี่ยนไปเช่นกันตอนนี้เป็นเทียนเครื่องเทศหรือสัตว์ปีก กลุ่มชนเผ่ามายาจำนวนมากที่ต้องการความโดดเด่นจากกลุ่มอื่น ๆ มีแรงจูงใจในการแต่งกายแบบดั้งเดิม

ชาวมายา Lecandonian ได้ชื่อว่าเป็นประเพณีของกลุ่มที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้มากที่สุด ศาสนาคริสต์แทบไม่มีอิทธิพลต่อชุมชนนี้เสื้อผ้าของพวกเขาเป็นผ้าฝ้ายและตกแต่งด้วยแรงจูงใจแบบดั้งเดิม แต่อย่างไรก็ตามตัวแทนของชาวมายาจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้สัมผัสกับการกระทำของความก้าวหน้าพวกเขาดูทีวีขับรถเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ทันสมัย ยิ่งไปกว่านั้นชาวมายาสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวโดยการพูดคุยเกี่ยวกับประเพณีของอารยธรรมของพวกเขา

สิ่งที่น่าสังเกตเป็นพิเศษคือรัฐเชียปัสของเม็กซิโก ที่นั่นหมู่บ้านจำนวนหนึ่งที่ควบคุมโดยชาวซาปาติสตาประสบความสำเร็จในการปกครองตนเองในอดีตที่ผ่านมา

ชาวมายาอาศัยอยู่ในดินแดน:

• ทางตะวันตก - จากรัฐทาบาสโกของเม็กซิโก
• ทางทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกของฮอนดูรัสและเอลซัลวาดอร์

พื้นที่นี้แบ่งออกเป็นสามพื้นที่โดยมีลักษณะภูมิอากาศวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อย่างชัดเจน

1. ทางตอนเหนือของคาบสมุทรยูคาทานซึ่งเกิดจากหินปูนมีลักษณะอากาศแห้งแล้งดินไม่ดีและไม่มีแม่น้ำ แหล่งน้ำจืดเพียงแหล่งเดียวคือบ่อน้ำ karst (cenotes)
2. ภาคกลางครอบคลุมรัฐตาบาสโกในเม็กซิโกบางส่วนของเชียปัสกัมเปเชกินตานาโรรวมถึงเบลีซและเปเตนของกัวเตมาลา พื้นที่นี้ประกอบด้วยที่ราบลุ่มเต็มไปด้วยอ่างเก็บน้ำตามธรรมชาติและข้ามแม่น้ำสายใหญ่ Usumasinta, Motagua เป็นต้นพื้นที่นี้ปกคลุมไปด้วยป่าฝนเขตร้อนที่มีสัตว์หลากหลายชนิดผลไม้และพืชที่กินได้มากมาย ที่นี่เช่นเดียวกับทางตอนเหนือไม่มีแร่ธาตุใด ๆ
3. ภาคใต้มีเทือกเขาสูงถึง 4000 ม. ในเชียปัสและที่ราบสูงกัวเตมาลา พื้นที่ปกคลุมไปด้วยป่าสนและมีอากาศค่อนข้างอบอุ่น พบแร่ธาตุต่างๆที่นี่ - jadeite, Jade, Obsidian, pyrite, cinnabar ซึ่งมีมูลค่าโดยชาวมายาและทำหน้าที่เป็นสินค้าทางการค้า

สภาพภูมิอากาศของทุกภูมิภาคมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงของฤดูแล้งและฤดูฝนซึ่งต้องมีการกำหนดเวลาในการหว่านอย่างแม่นยำซึ่งเป็นไปไม่ได้หากปราศจากการพัฒนาความรู้ทางดาราศาสตร์และปฏิทิน สัตว์เหล่านี้เป็นตัวแทนของสัตว์กีบ (ขนมปัง, สมเสร็จ, กวาง), สัตว์ป่า, แรคคูน, กระต่ายและสัตว์เลื้อยคลาน

ประวัติศาสตร์อารยธรรมมายา

ช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ของชาวมายัน

• ... -1500 ปีก่อนคริสตกาล - สมัยโบราณ
• 1500-800 biennium พ.ศ. - การก่อตัวในช่วงต้น
• 800-300 ปีก่อนคริสตกาล พ.ศ. - ก่อตัวปานกลาง
• 300 ปีก่อนคริสตกาล - 150 AD - การสร้างช่วงปลาย
• 150-300 ปีก่อนคริสตกาล - โปรโตคลาสสิก
• 300-600 ปี - คลาสสิกในช่วงต้น
• 600-900 ปี - คลาสสิกตอนปลาย
• 900-1200 biennium - โพสต์คลาสสิกในช่วงต้น
• 1200-1530 biennium - หลังจบคลาส

ปัญหาการตั้งถิ่นฐานในภูมิภาคของชาวมายันยังคงห่างไกลจากทางออกสุดท้าย หลักฐานบางอย่างชี้ให้เห็นว่า Proto-Maya มาจากทางเหนือเคลื่อนตัวไปตามชายฝั่งของอ่าวเม็กซิโกแทนที่หรือผสมกับประชากรในท้องถิ่น ระหว่างปี 2000-1500 พ.ศ. เริ่มตั้งถิ่นฐานทั่วทั้งโซนแตกออกเป็นกลุ่มภาษาต่างๆ

ในศตวรรษที่ VI-IV พ.ศ. ในภาคกลางศูนย์กลางเมืองแห่งแรกปรากฏขึ้น (Nakbe, El-Mirador, Tikal, Washaktun) โดดเด่นด้วยอาคารอนุสรณ์สถานของพวกเขา ในช่วงเวลานี้การวางผังเมืองใช้รูปแบบของเมืองของชาวมายันซึ่งเป็นข้อต่อที่ปรับให้เข้ากับความโล่งใจของอะโครโพลิสที่เป็นอิสระและมุ่งเน้นทางดาราศาสตร์ซึ่งแสดงถึงสี่เหลี่ยมสี่เหลี่ยมที่ล้อมรอบด้วยอาคารของวัดและพระราชวังบนชานชาลา เมืองของชาวมายันในยุคแรกยังคงรักษาโครงสร้างของสกุล - phratrial ไว้อย่างเป็นทางการ

ยุคคลาสสิก - I (III) -X ศตวรรษ n. BC - เวลาของการก่อตัวขั้นสุดท้ายและการออกดอกของวัฒนธรรมมายัน ทั่วทั้งมายาศูนย์กลางเมืองเกิดขึ้นพร้อมกับเขตเมืองที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ตามกฎแล้วเมืองในดินแดนเหล่านี้อยู่ห่างจากใจกลางเมืองไม่เกิน 30 กม. ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเกิดจากปัญหาการสื่อสารเนื่องจากไม่มีสัตว์ในภูมิภาค ประชากรของนครรัฐที่ใหญ่ที่สุด (Tikal, Kalakmul, Karakol) มีมากถึง 50-70,000 คน ผู้ปกครองของอาณาจักรขนาดใหญ่ต่างมีชื่ออาฮาฟและศูนย์กลางที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาถูกปกครองโดยผู้ปกครองท้องถิ่น - ซาคาลส์ คนหลังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ แต่มาจากครอบครัวปกครองท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีลำดับชั้นของพระราชวังที่ซับซ้อน: อาลักษณ์เจ้าหน้าที่พิธีการ ฯลฯ

แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ความสัมพันธ์ทางสังคมอำนาจในนครรัฐถูกถ่ายโอนตามรูปแบบของชนเผ่าซึ่งพบว่ามีการแสดงออกในลัทธิอันงดงามของบรรพบุรุษที่นับถือพระเจ้านอกจากนี้อำนาจอาจเป็นของผู้หญิง เนื่องจากอะโครโพลิสและเมืองของชาวมายันมีลักษณะ "พันธุกรรม" และมีความเกี่ยวข้องเฉพาะกับตัวแทนที่เฉพาะเจาะจงไม่ว่าชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้นนี่จึงเป็นสาเหตุของการรกร้างของอะโครโพลิสแต่ละแห่งเป็นระยะ ๆ และ "การละทิ้ง" ครั้งสุดท้ายของเมืองของชาวมายันในวันที่ 10 ศตวรรษเมื่อผู้รุกรานที่บุกรุกทำลายสมาชิกของชนชั้นสูงที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับบรรพบุรุษที่ฝังอยู่ในอะโครโพลิส (ปิรามิด) หากไม่มีการเชื่อมต่อดังกล่าวอะโครโพลิสก็หมดความหมายในฐานะสัญลักษณ์แห่งอำนาจ

โครงสร้างสังคม

หลักฐานของแนวโน้มการรวมศูนย์อำนาจในศตวรรษที่ III-X - การแย่งชิงโดยผู้ปกครองศูนย์กลางของเกมบอลพิธีกรรมการเกิดขึ้นซึ่งย้อนกลับไปในช่วงเวลาของการหมุนเวียนอำนาจภายในชนเผ่าและการตัดสินใจร่วมกัน ชนชั้นสูงมุ่งเน้นการค้าสิ่งของมีค่าเมล็ดโกโก้และแร่ธาตุที่ใช้ในการผลิตเครื่องประดับและงานฝีมือเช่นออบซิเดียนหยก ฯลฯ เส้นทางการค้าวิ่งทั้งทางบกตามแม่น้ำและทะเลไปไกลถึงดินแดนต่างประเทศ

ในตำราอักษรอียิปต์โบราณมีการกล่าวถึงนักบวชโดยแบ่งออกเป็น

• นักบวชที่มีอุดมการณ์
• นักบวช - นักดาราศาสตร์
• "เห็น" และ
• ผู้ปลอบประโลม.

สำหรับการทำนายจะใช้วิธีปฏิบัติทางประสาทหลอน

รายละเอียดของจิตรกรรมฝาผนังศักดิ์สิทธิ์จาก San Bartolo (กัวเตมาลา) ตกลง. 150 ปีก่อนคริสตกาล ภาพแสดงการกำเนิดของจักรวาลและพิสูจน์สิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้ปกครอง

พื้นฐานของสังคมประกอบด้วยสมาชิกในชุมชนที่เป็นอิสระซึ่งบางครั้งก็ตั้งรกรากอยู่ในครัวเรือนของครอบครัวซึ่งบางครั้งก็อยู่ใกล้เมืองและบางครั้งก็อยู่ห่างจากพวกเขามากพอสมควรซึ่งสัมพันธ์กับลักษณะการใช้ที่ดินและความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลง (เนื่องจากการลดลงของ ผลผลิต) แปลงหว่านที่ครอบครัวปลูกทุกๆ 4 ปี

ในเวลาว่างจากการหว่านและเก็บเกี่ยวสมาชิกในชุมชนได้เข้าร่วม งานสาธารณะ และ บริษัท ทหาร เฉพาะในช่วงหลังคลาสสิกชั้นพิเศษของนักรบกึ่งอาชีพ - คอลกันเริ่มโดดเด่นซึ่งเรียกร้อง "บริการและของขวัญ" จากชุมชน

ขุนศึกมักถูกกล่าวถึงในตำรามายา สงครามอยู่ในลักษณะของการจู่โจมระยะสั้นเพื่อทำลายศัตรูและบางครั้งก็จับเชลย สงครามในภูมิภาคนี้มีการสู้รบกันอย่างต่อเนื่องและมีส่วนในการปรับโครงสร้างอำนาจทางการเมืองเสริมสร้างความเข้มแข็งของเมืองบางเมืองในขณะที่อ่อนแอลงและปราบปรามเมืองอื่น ๆ ชาวมายาคลาสสิกไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการเป็นทาส ถ้าทาสถูกใช้ก็เป็นคนรับใช้ในบ้าน

ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับระบบกฎหมายของชาวมายัน

วิกฤตในศตวรรษที่สิบ - การปรับโครงสร้างทางการเมืองและวัฒนธรรม

ในศตวรรษที่ X ในภาคกลางการย้ายถิ่นเริ่มต้นขึ้นในขณะที่จำนวนประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว 3-6 เท่า ใจกลางเมืองตกอยู่ในความรกร้างชีวิตทางการเมืองหยุดนิ่ง แทบจะไม่มีการก่อสร้างใด ๆ จุดสังเกตในอุดมการณ์และศิลปะกำลังเปลี่ยนไป - ลัทธิของบรรพบุรุษของราชวงศ์กำลังสูญเสียความสำคัญหลักในขณะที่เหตุผลในการครองอำนาจของผู้ปกครองนั้นสืบเชื้อสายมาจาก "ผู้พิชิต Toltec" ในตำนาน

ในยูคาทานวิกฤตในช่วงปลายยุคคลาสสิกไม่ได้นำไปสู่การลดลงของประชากรและการล่มสลายของเมือง ในหลาย ๆ กรณีความเป็นเจ้าโลกจากศูนย์กลางเก่าและคลาสสิกส่งผ่านไปยังสิ่งใหม่ กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองหลังจากการทำลายระบบมายาดั้งเดิมของการปกครองเมืองโดย Toltecs เป็นที่สังเกตในช่วงหลังคลาสสิกในตัวอย่างของเมืองเช่น

• Chichen Itza แห่ง Toltecs ในศตวรรษที่ X-XIII;
• Mayapan ในรัชสมัยของ Kokoms ในศตวรรษที่สิบสาม - 15;
• postclassical Mani ในการอยู่ใต้บังคับบัญชาซึ่งในศตวรรษที่สิบหก มี 17 เมืองและหมู่บ้าน

เมื่อถึงเวลาที่ชาวสเปนปรากฏตัวทางตะวันออกเฉียงใต้ของยูคาทานรัฐ Akalan (Maya-chontal) ได้ก่อตัวขึ้นซึ่งมีเมืองหลวงของ Itzamkanak ซึ่งมีเมืองและหมู่บ้านย่อย 76 แห่ง ประกอบด้วยการปกครองวัดบ้านหิน 100 หลัง 4 ในสี่กับผู้อุปถัมภ์และวัดของพวกเขาสภาของหัวหน้าไตรมาส

สมาพันธ์เมืองที่มีเมืองหลวงกลายเป็นรูปแบบใหม่ทางการเมือง - ดินแดนที่ควบคุมชีวิตทางการเมืองการปกครองศาสนาและวิทยาศาสตร์ ในขอบเขตแห่งจิตวิญญาณแนวคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิดในพื้นที่ของนามธรรมทางศาสนาซึ่งช่วยให้เมืองต่างๆ (เมืองหลวงเกิดใหม่) สามารถรักษาหน้าที่ของตนได้แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ตาม สงครามระหว่างประเทศกำลังกลายเป็นบรรทัดฐานเมืองได้รับลักษณะการป้องกัน ในขณะเดียวกันอาณาเขตก็เติบโตขึ้นระบบควบคุมและป้องกันก็ซับซ้อนมากขึ้น

ชาว Yucatan Maya มีความเป็นทาสและมีการพัฒนาการค้าทาส ทาสถูกใช้เพื่อแบกน้ำหนักและ การบ้านแต่มักจะได้มาเพื่อการเสียสละ

ในกัวเตมาลาที่เป็นภูเขาซึ่งเริ่มมีอาการของยุคหลังคลาสสิก "สไตล์มายา - โทลเทค" ได้แพร่กระจายไป เห็นได้ชัดว่ากลุ่มชาวต่างชาติที่เจาะเข้าไปในยูคาทานนั้นถูกดูดซึมโดยประชากรในท้องถิ่นเช่นเดียวกับในยูคาทาน ด้วยเหตุนี้จึงมีการจัดตั้งสมาพันธ์ของชนเผ่ามายัน 4 เผ่าขึ้น - Kakchikel, Quiche, Tsutikhil และ Rabinal ซึ่งปราบลงในศตวรรษที่สิบสาม - สิบสี่ ชนเผ่าที่พูดภาษามายันและนอต่าง ๆ ของภูเขากัวเตมาลา อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งทางแพ่งในไม่ช้าสมาพันธ์ก็สลายตัวเกือบจะพร้อม ๆ กันกับการรุกรานของชาวแอซเท็กและการปรากฏตัวในต้นศตวรรษที่ 16 ชาวสเปน.

กิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ชาวมายาฝึกฝนการเกษตรแบบเฉือนและเผาอย่างกว้างขวางโดยมีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่เป็นประจำ พืชหลัก ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วซึ่งเป็นพื้นฐานของอาหาร สิ่งที่มีมูลค่าเฉพาะคือเมล็ดโกโก้ซึ่งใช้เป็นหน่วยแลกเปลี่ยน พวกเขาปลูกฝ้าย ชาวมายาไม่มีสัตว์เลี้ยงยกเว้นสุนัขสายพันธุ์พิเศษบางครั้งใช้เป็นอาหารจากสัตว์ปีก - ไก่งวง ฟังก์ชั่นของแมวดำเนินการโดย nosoha - แรคคูนประเภทหนึ่ง

ในสมัยคลาสสิกชาวมายาใช้การชลประทานและวิธีการอื่น ๆ ในการทำการเกษตรแบบเข้มข้นโดยเฉพาะ "ทุ่งเลี้ยงสัตว์" ที่มีชื่อเสียงคล้ายกับชาวแอซเท็กไชนาปาสที่มีชื่อเสียง: เขื่อนเทียมถูกสร้างขึ้นในหุบเขาแม่น้ำซึ่งเมื่อน้ำท่วมจะลอยขึ้นเหนือน้ำและยังคงมีตะกอน ซึ่งเพิ่มความอุดมสมบูรณ์อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อเพิ่มผลผลิตแปลงปลูกพร้อมกันด้วยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และพืชตระกูลถั่วซึ่งสร้างผลกระทบจากการใส่ปุ๋ยในดิน มีการปลูกไม้ผลไว้ใกล้ที่อยู่อาศัยเช่นพริกซึ่งก็คือ ส่วนประกอบที่สำคัญ อาหารของชาวอินเดีย

การครอบครองที่ดินยังคงเป็นแบบส่วนรวม สถาบันของประชากรที่พึ่งพาได้รับการพัฒนาไม่ดี พื้นที่หลักของการใช้งานอาจเป็นพื้นที่เพาะปลูกพืชยืนต้นเช่นโกโก้ไม้ผลซึ่งเป็นของเอกชน

วัฒนธรรมอารยธรรมของชาวมายัน

ความรู้และการเขียนทางวิทยาศาสตร์

ชาวมายาได้พัฒนาภาพที่ซับซ้อนของโลกซึ่งมีพื้นฐานมาจากแนวคิดเรื่องการเกิดใหม่และการสลับที่ไม่สิ้นสุดของวัฏจักรของจักรวาล สำหรับโครงสร้างของพวกเขาพวกเขาใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ที่แน่นอนโดยรวมวัฏจักรของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ดาวเคราะห์และเวลาของการปฏิวัติก่อนภาคเรียนของโลก

ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของภาพทางวิทยาศาสตร์ของโลกจำเป็นต้องมีการพัฒนาระบบการเขียนตาม Olmec one การเขียนของชาวมายาเป็นสัทอักษรสัณฐาน - พยางค์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ตัวอักษรพร้อมกันประมาณ 400 ตัว หนึ่งในจารึกที่เก่าแก่ที่สุดคือ ค.ศ. 292 BC - พบบน Stele จาก Tikal (หมายเลข 29) ข้อความส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้กับอนุสรณ์สถานหรือวัตถุพลาสติกขนาดเล็ก มีการนำเสนอแหล่งข้อมูลพิเศษโดยตำราบนภาชนะเซรามิก

หนังสือของชาวมายัน

มีต้นฉบับของชาวมายาเพียง 4 เล่มเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ - "codices" ซึ่งเป็นตัวแทนของกระดาษเส้นยาวที่ทำจากเปลือกไม้ไทร ("กระดาษอินเดีย") พับเหมือนหีบเพลง (หน้า) ซึ่งเป็นของยุคหลังคลาสสิกซึ่งดูเหมือนจะคัดลอกมาจากตัวอย่างโบราณมากกว่า การเขียนหนังสือซ้ำเป็นประจำอาจได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่สมัยโบราณในภูมิภาคนี้และเกี่ยวข้องกับความยากลำบากในการจัดเก็บต้นฉบับในสภาพอากาศร้อนชื้น

ต้นฉบับเดรสเดนเป็นแถบ "กระดาษอินเดีย" ยาว 3.5 ม. สูง 20.5 ซม. พับเป็น 39 หน้า สร้างขึ้นก่อนศตวรรษที่ 13 ใน Yucatan จากที่ที่เธอถูกพาไปสเปนเพื่อเป็นของขวัญแด่จักรพรรดิ Charles V ซึ่งเธอไปอยู่ที่เวียนนาซึ่งในปี 1739 ได้มาจากบุคคลที่ไม่รู้จักโดยบรรณารักษ์ Johann Christian Goetze สำหรับ Royal Library of Dresden

ต้นฉบับชาวปารีสเป็นแถบกระดาษที่มีความยาวรวม 1.45 ม. และสูง 12 ซม. พับเป็น 11 หน้าซึ่งต้นฉบับจะถูกลบทั้งหมด ต้นฉบับเป็นช่วงเวลาของราชวงศ์โคคอมในยูคาทาน (ศตวรรษที่สิบสาม - 15) ในปีพ. ศ. 2375 หอสมุดแห่งชาติปารีสได้ซื้อกิจการ (เก็บไว้ที่นี่ในปัจจุบัน)

ต้นฉบับมาดริดเขียนขึ้นไม่เกินศตวรรษที่ 15 ประกอบด้วยเศษกระดาษสองชิ้นโดยไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของ "กระดาษอินเดีย" สูง 13 ซม. ยาวรวม 7.15 ม. พับเป็น 56 หน้า ส่วนแรกได้มาใน Extremadura โดยJosé Ignacio Miro ในปีพ. ศ. 2418 เนื่องจากมีการแนะนำว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นของผู้พิชิตแห่งเม็กซิโก Cortez จึงมีชื่อ - "Code of Cortes" หรือ Cortesian ส่วนที่สองได้มาโดย Brasseur de Bourbourg จาก don Juan Tro y Ortolano ในปีพ. ศ. 2412 และได้รับการตั้งชื่อว่า Ortolan ชิ้นส่วนที่รวมเข้าด้วยกันกลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Madrid Manuscript และถูกเก็บไว้ตั้งแต่นั้นมาใน Madrid ใน Museum of the Americas

ต้นฉบับของ Grolier อยู่ในคอลเลคชันส่วนตัวในนิวยอร์ก สิ่งเหล่านี้เป็นเศษเล็กเศษน้อยของ 11 หน้าโดยไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดซึ่งมีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เห็นได้ชัดว่าต้นฉบับของชาวมายันซึ่งไม่ทราบที่มานี้ถูกรวบรวมภายใต้อิทธิพลของ Mixtec ที่แข็งแกร่ง นี่เป็นหลักฐานจากการบันทึกตัวเลขและคุณลักษณะเฉพาะของภาพ

ตำราบนภาชนะเซรามิกเรียกว่า "หนังสือดิน" โดยชาวมายา ตำรานี้สะท้อนให้เห็นเกือบทุกแง่มุมของชีวิตในสังคมโบราณตั้งแต่ชีวิตประจำวันไปจนถึงแนวความคิดทางศาสนาที่ซับซ้อน

การเขียนของชาวมายันถูกถอดรหัสในทศวรรษที่ 50 ของศตวรรษที่ XX Yu.V. Knorozov ตามวิธีการของสถิติตำแหน่งที่เขาพัฒนาขึ้น

สถาปัตยกรรม

สถาปัตยกรรมของชาวมายันถึงจุดสูงสุดในยุคคลาสสิก: คอมเพล็กซ์พิธีการหรือที่เรียกกันตามอัตภาพว่าอะโครโพลิสมีปิรามิดพระราชวังและสนามบอลที่สร้างขึ้นอย่างแข็งขัน อาคารถูกจัดกลุ่มไว้รอบ ๆ ส่วนกลาง พื้นที่สี่เหลี่ยม... อาคารถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ ในระหว่างการก่อสร้างมีการใช้ "ห้องนิรภัยเท็จ" - ช่องว่างระหว่างการก่ออิฐของหลังคาจะค่อยๆแคบลงจนกระทั่งผนังของห้องนิรภัยปิดลง หลังคามักถูกสวมมงกุฎด้วยสันเขาขนาดใหญ่ที่ประดับด้วยปูนปั้น เทคนิคการก่อสร้างอาจแตกต่างกันไป - ตั้งแต่การก่ออิฐจนถึงมวลที่เหมือนคอนกรีตและแม้แต่อิฐ อาคารต่างๆถูกทาสีมักเป็นสีแดง

มีอาคารหลักสองประเภทคือพระราชวังและวิหารบนปิรามิด พระราชวังมีความยาวโดยปกติจะเป็นอาคารชั้นเดียวตั้งอยู่บนชานชาลาบางครั้งก็มีหลายชั้น ในเวลาเดียวกันทางเดินผ่านห้องชุดคล้ายเขาวงกต ไม่มีหน้าต่างและมีเพียงแสงลอดเข้ามาทางประตูและรูระบายอากาศพิเศษเท่านั้น บางทีอาคารของพระราชวังอาจถูกระบุด้วยทางเดินยาวของถ้ำ เกือบจะเป็นเพียงตัวอย่างเดียวของอาคารหลายชั้นคือพระราชวังใน Palenque ซึ่งมีการสร้างหอคอยด้วย

วัดถูกสร้างขึ้นบนปิรามิดซึ่งบางครั้งมีความสูงถึง 50-60 เมตรบันไดหลายขั้นนำไปสู่วิหาร พีระมิดเป็นตัวอย่างของภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำบรรพบุรุษในตำนาน ดังนั้นการฝังศพของชนชั้นสูงอาจถูกขัดขวางที่นี่ - บางครั้งอาจอยู่ใต้พีระมิดบางครั้งก็มีความหนาและมักจะอยู่ใต้พื้นของวิหาร ในบางกรณีพีระมิดถูกสร้างขึ้นเหนือถ้ำธรรมชาติโดยตรง โครงสร้างที่อยู่ด้านบนของพีระมิดตามอัตภาพเรียกว่าวิหารไม่ได้มีความสวยงามของพื้นที่ภายในที่ จำกัด มาก ทางเข้าประตูและม้านั่งที่วางชิดผนังตรงข้ามช่องเปิดนี้มีความสำคัญในการใช้งาน วัดทำหน้าที่เป็นเพียงสัญลักษณ์ของการออกจากถ้ำของบรรพบุรุษโดยมีหลักฐานจากการตกแต่งภายนอกและบางครั้งก็เชื่อมโยงกับห้องฝังศพแบบเสี้ยมด้านใน

ปรากฏใน postclassic ชนิดใหม่ พื้นที่และโครงสร้าง วงดนตรีประกอบขึ้นรอบพีระมิด แกลเลอรีที่มีหลังคาถูกสร้างขึ้นที่ด้านข้างของสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีแท่นพระราชพิธีขนาดเล็กอยู่ตรงกลาง แท่นสำหรับผู้ยกที่มีเสาที่มีหัวกะโหลกปรากฏขึ้น โครงสร้างของตัวเองมีขนาดลดลงอย่างมีนัยสำคัญบางครั้งไม่สอดคล้องกับการเติบโตของมนุษย์

ประติมากรรม

ภาพสลักของอาคารและสันหลังคาขนาดใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยปูนปั้นจากปูนขาว ทับหลังของวิหารและสตีลและแท่นบูชาที่สร้างขึ้นที่เชิงปิรามิดถูกปกคลุมไปด้วยรูปแกะสลักและจารึก ในพื้นที่ส่วนใหญ่พวกเขาถูก จำกัด ให้ใช้เทคนิคการบรรเทาทุกข์เฉพาะในรูปปั้นกลมของ Copan เท่านั้นที่แพร่หลาย ภาพพระราชวังและฉากต่อสู้พิธีกรรมใบหน้าของเทพ ฯลฯ เช่นเดียวกับอาคารมักจะมีการทาสีจารึกและอนุสาวรีย์

ถึง ประติมากรรมอนุสาวรีย์ มายาสเตเลยังเป็นเสาหินแบนสูงประมาณ 2 ม. ปิดทับด้วยรูปแกะสลักหรือภาพวาด เหล็กที่สูงที่สุดถึง 10 เมตรตามกฎแล้วเหล็กมีความเกี่ยวข้องกับแท่นบูชา - หินกลมหรือสี่เหลี่ยมที่วางอยู่ด้านหน้าของสตีล แท่นบูชาที่มีแท่นบูชาเป็นการปรับปรุงอนุสาวรีย์ Olmec และทำหน้าที่ถ่ายทอดพื้นที่สามระดับของจักรวาล: แท่นบูชาเป็นสัญลักษณ์ของระดับล่าง - การเปลี่ยนแปลงระหว่างโลกระดับกลางถูกครอบครองโดยภาพของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ a อักขระเฉพาะและระดับบนเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ของชีวิตใหม่ ในกรณีที่ไม่มีแท่นบูชาพล็อตที่ปรากฎบนแท่นบูชานั้นได้รับการชดเชยด้วยลักษณะที่ปรากฏบนส่วนล่างของระดับ "ถ้ำ" หรือช่องโล่งอกภายในซึ่งมีการวางภาพหลักไว้ ในบางเมืองแท่นบูชาทรงกลมแบนประมาณแขวนอยู่ที่พื้นหน้าเสาหินหรือรูปสัตว์เลื้อยคลานเช่นใน Copan กลายเป็นที่แพร่หลาย

ข้อความบนสตีลอาจอุทิศให้กับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นลักษณะของปฏิทินโดยระบุช่วงเวลาของการครองราชย์ของผู้ปกครองคนหนึ่งหรืออีกคนหนึ่ง

จิตรกรรม

ผลงานภาพวาดขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นบนผนังด้านในของอาคารและห้องฝังศพ สีถูกนำไปใช้กับปูนปลาสเตอร์เปียก (ปูนเปียก) หรือบนพื้นแห้ง ธีมหลักของภาพจิตรกรรมฝาผนังคือฉากการต่อสู้การเฉลิมฉลองและอื่น ๆ ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีชื่อเสียงที่สุดใน Bonampak คืออาคารสามห้องผนังและเพดานซึ่งปกคลุมไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังที่อุทิศให้กับชัยชนะในสงคราม งานวิจิตรศิลป์ของชาวมายาควรรวมถึงการวาดภาพโพลีโครเมี่ยมบนเซรามิกซึ่งมีความโดดเด่นในเรื่องต่างๆเช่นเดียวกับภาพวาดใน "รหัส"

ศิลปะการละคร

ศิลปะการแสดงของชาวมายามาจากพิธีกรรมทางศาสนาโดยตรง ผลงานชิ้นเดียวที่มาถึงเราคือละครเรื่อง Rabinal-Achi ซึ่งบันทึกไว้ในศตวรรษที่ 19 พล็อตนี้มีพื้นฐานมาจากการจับนักรบ Quiche โดยทหารของชุมชน Rabinal การดำเนินการพัฒนาในรูปแบบของบทสนทนาระหว่างนักโทษกับตัวละครหลักอื่น ๆ หลัก อุปกรณ์บทกวี - การพูดซ้ำเป็นจังหวะแบบดั้งเดิมสำหรับชาวบ้านอินเดียปากเปล่า: ผู้เข้าร่วมในบทสนทนาจะพูดซ้ำวลีที่ฝ่ายตรงข้ามพูดจากนั้นจึงออกเสียงของเขาเอง เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ - สงครามของ Rabinal กับ Quiche - ถูกซ้อนทับบนพื้นฐานของตำนาน - ตำนานของการลักพาตัวเทพธิดาแห่งน่านน้ำซึ่งเป็นภรรยาของเทพเจ้าฝนผู้เฒ่า ละครจบด้วยการเสียสละของตัวเอกจริงๆ มีข้อมูลเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของผู้อื่น ผลงานละครเช่นเดียวกับคอเมดี้

ปัจจุบันชนเผ่ามายาเป็นชนเผ่าอินเดียนแดงที่อาศัยอยู่ในอเมริกาใต้ ปัจจุบันพวกเขาอาศัยอยู่ในประเทศต่างๆเช่นเม็กซิโกฮอนดูรัสกัวเตมาลาและเบลีซ และตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนคริสตกาลเป็นต้นมาเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณในอเมริกากลาง ชนเผ่าโบราณและชนเผ่าทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้เชื่อฟังพวกเขา มายาและอารยธรรมมีความหมายเหมือนกันในเวลานั้น อารยธรรมมายาอันเก่าแก่มีอำนาจเหนือกว่า 12 ศตวรรษ จุดสูงสุดของยุครุ่งเรืองตรงกับปีที่ 900 ในยุคของเรา หลังจากนั้นความเสื่อมโทรมทางวัฒนธรรมเป็นเวลานานก็เริ่มขึ้นสาเหตุที่ประวัติศาสตร์ไม่เปิดเผย

ชาวมายาถูกเรียกว่าคนที่วัดชีวิตด้วยสวรรค์ ในเวลาเดียวกันชีวิตของชนเผ่ายังคงค่อนข้างดั้งเดิม อาชีพหลักคือเกษตรกรรม เครื่องมือนั้นง่ายที่สุด นักวิทยาศาสตร์อ้างว่าชาวมายาไม่รู้จักวงล้อด้วยซ้ำ สิ่งที่โดดเด่นกว่านั้นคือความจริงที่ว่าในช่วงรุ่งเรืองชนเผ่ามายันได้สร้างผลงานศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์วัดวาอารามสุสานเมืองมหัศจรรย์และอนุสรณ์สถานทางสถาปัตยกรรมอื่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือความรู้ด้านดาราศาสตร์ระบบการวัดเวลาและการเขียนที่พวกเขาสร้างขึ้น

ในช่วงเวลาที่นักล่าอาณานิคมจากโลกเก่าเดินเท้าบนชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้อารยธรรมของชาวมายันตกอยู่ในความเสื่อมโทรมเกือบทั้งหมด ในช่วงรุ่งเรืองมันยึดครองทั้งอเมริกากลาง ชาวอาณานิคมปฏิบัติต่อผลงานศิลปะและสถาปัตยกรรมที่สืบทอดมาจากอารยธรรมมายาอย่างป่าเถื่อน พวกเขาถือว่าพวกเขาเป็น "รูปเคารพนอกศาสนา" มรดกของวัฒนธรรมนอกรีตและทำลายพวกเขาอย่างไร้ความปราณี แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันของวัฒนธรรมและความรู้ของชาวมายาโบราณก็ทำให้จินตนาการของนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ประหลาดใจ

ถูกต้องหนึ่งในความสำเร็จหลักของชาวมายาคือปฏิทินที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาซึ่งขึ้นอยู่กับการคำนวณทางดาราศาสตร์ที่แม่นยำ นักวิทยาศาสตร์ของเราไม่เคยหยุดที่จะชื่นชมความแม่นยำที่น่าทึ่งของมัน นักบวชชาวมายันโบราณใช้การสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน (เช่นในด้านการเกษตร) และเพื่ออธิบายปัญหาระดับโลกเพิ่มเติม ดังนั้นนักบวชของชาวมายันจึงคำนวณวงจรชีวิตของโลกของเราได้อย่างแม่นยำมากซึ่งได้รับการยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เมื่อเริ่มต้นในปี 2555 ทุกคนต่างกังวลเป็นพิเศษเกี่ยวกับการทำนายของชาวมายันเกี่ยวกับจุดจบของโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น ทุกคนตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะเชื่อคำทำนายของชาวมายันโบราณเกี่ยวกับคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ที่ใกล้เข้ามาหรือไม่

สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือสาเหตุที่อารยธรรมโบราณนี้หายไปและทุกวันนี้ยังคงลึกลับและไม่สามารถเข้าใจได้ ผู้คนก็ออกจากเมืองของพวกเขาเป็นจำนวนมาก มีหลายรุ่น แต่จะมีอะไรบ้าง เหตุผลที่แท้จริง ไม่มีใครรู้. พวกเขาเป็นใครมาจากไหน - ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้ ...

ใครต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเราขอแนะนำให้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้:“ เม็กซิโก มายัน. ไม่ทราบเรื่องราว” ใน 6 ส่วน ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นจากวัสดุที่เก็บรวบรวมระหว่างการเดินทางไปยังเม็กซิโกในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 และมีพื้นฐานมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า เป็นเวลานาน ซ่อนตัวและเงียบขึ้น เพลิดเพลินกับการรับชม

ภาพยนตร์วิดีโอ:“ เม็กซิโก. มายัน. ไม่ทราบเรื่อง "

อาจจะ
คนอินเดียในประวัติศาสตร์และสมัยใหม่ที่สร้างมากที่สุดคนหนึ่ง อารยธรรมที่พัฒนาอย่างมาก อเมริกาและโดยทั่วไป ของโลกยุคโบราณ... บาง ประเพณีวัฒนธรรม ชาวมายาโบราณอนุรักษ์ไว้ประมาณ ลูกหลานสมัยใหม่กว่า 2.5 ล้านคนซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มชาติพันธุ์และภาษาถิ่นมากกว่า 30 กลุ่ม
โบราณ MAYA
ที่อยู่อาศัย. ระหว่างวันที่ 1 - ต้นสหัสวรรษที่ 2 คริสตศักราช ชาวมายาซึ่งพูดภาษาต่างๆของตระกูล Maya Quiche ได้ตั้งรกรากอยู่ในดินแดนที่กว้างใหญ่ซึ่งรวมถึงรัฐทางใต้ของเม็กซิโก (Tabasco, Chiapas, Campeche, Yucatan และ Quintana Roo) ซึ่งเป็นประเทศเบลีซและกัวเตมาลาในปัจจุบันและ พื้นที่ทางตะวันตกของเอลซัลวาดอร์และฮอนดูรัส ดินแดนเหล่านี้ซึ่งตั้งอยู่ในเขตร้อนมีความโดดเด่นด้วยภูมิประเทศที่หลากหลาย ทางตอนใต้ของภูเขามีภูเขาไฟเป็นลูกโซ่บางลูกก็ยังคุกรุ่นอยู่ กาลครั้งหนึ่งป่าสนอันทรงพลังเติบโตที่นี่บนดินภูเขาไฟอันกว้างขวาง ทางตอนเหนือภูเขาไฟจะรวมตัวเป็นภูเขาหินปูน Alta Verapaz ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางเหนือเป็นที่ราบสูงหินปูน Peten ซึ่งมีลักษณะอากาศร้อนและชื้น ศูนย์กลางการพัฒนาของอารยธรรมมายาได้ก่อตัวขึ้นที่นี่ ยุคคลาสสิก... ทางตะวันตกของที่ราบสูง Peten ระบายออกโดยแม่น้ำ Pasion และ Usumacinta ซึ่งไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโกและทางตะวันออกของแม่น้ำที่ไหลลงสู่ทะเลแคริบเบียน ทางตอนเหนือของที่ราบสูง Peten ความชื้นจะลดลงตามความสูงของป่าปกคลุม ทางตอนเหนือของที่ราบยูกาเทคป่าเขตร้อนชื้นเป็นทางให้พืชพันธุ์ไม้พุ่มเตี้ยและบนเนินเขา Puuk สภาพอากาศแห้งแล้งมากจนในสมัยโบราณผู้คนมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ตามชายฝั่งของทะเลสาบคาร์สต์ (cenote) หรือกักเก็บน้ำไว้ในอ่างเก็บน้ำใต้ดิน ( ชุนตุน). บนชายฝั่งทางเหนือของคาบสมุทรยูคาทานชาวมายันโบราณได้ขุดและแลกเปลี่ยนเกลือกับผู้ที่อาศัยอยู่ภายใน
มุมมองในช่วงต้นของชาวมายาโบราณ ในขั้นต้นเชื่อกันว่าชาวมายาอาศัยอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของที่ราบลุ่มเขตร้อนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยมีส่วนร่วมในการเกษตรแบบเฉือนและเผา ด้วยการลดลงอย่างรวดเร็วของดินสิ่งนี้ทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนสถานที่ตั้งถิ่นฐานบ่อยครั้ง ชาวมายามีความสงบสุขและสนใจดาราศาสตร์เป็นพิเศษและเมืองของพวกเขาที่มีปิรามิดสูงและโครงสร้างหินยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางพิธีของนักบวชซึ่งผู้คนมารวมตัวกันเพื่อสังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่ผิดปกติ โดย ประมาณการปัจจุบัน, คนโบราณ มายามีจำนวนมากกว่า 3 ล้านคน ในอดีตอันไกลโพ้นประเทศของพวกเขาเป็นเขตร้อนที่มีประชากรหนาแน่นที่สุด ชาวมายารู้วิธีรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินเป็นเวลาหลายศตวรรษและไม่เหมาะสม การเกษตร พื้นที่เพาะปลูกซึ่งปลูกข้าวโพดถั่วฟักทองฝ้ายโกโก้และผลไม้เมืองร้อนนานาชนิด การเขียนมายามีพื้นฐานมาจากระบบการออกเสียงและวากยสัมพันธ์ที่เข้มงวด การถอดรหัสจารึกอักษรอียิปต์โบราณหักล้างแนวคิดก่อนหน้านี้เกี่ยวกับความสงบสุขของชาวมายา: จารึกเหล่านี้จำนวนมากรายงานเกี่ยวกับสงครามระหว่างนครรัฐและเชลยที่สังเวยให้กับเทพเจ้า สิ่งเดียวที่ไม่ได้รับการแก้ไขจากแนวคิดก่อนหน้านี้คือความสนใจเฉพาะของชาวมายาโบราณในการเคลื่อนไหวของวัตถุท้องฟ้า นักดาราศาสตร์ของพวกเขาคำนวณรอบการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ดาวศุกร์และกลุ่มดาวบางกลุ่มได้อย่างแม่นยำมาก (โดยเฉพาะ ทางช้างเผือก). อารยธรรมมายาในลักษณะของมันแสดงให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกันกับอารยธรรมโบราณที่ใกล้ที่สุดของที่ราบสูงเม็กซิกันเช่นเดียวกับอารยธรรมเมโสโปเตเมียกรีกโบราณและจีนโบราณ
การกำหนดช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ของชาวมายัน ในยุคโบราณ (2000-1500 ปีก่อนคริสตกาล) และช่วงแรกของการก่อตัว (1,500-1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ของยุคก่อนคลาสสิกชนเผ่าเล็ก ๆ ที่เร่ร่อนและหายากอาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มของกัวเตมาลากินรากและผลไม้ที่กินได้ เช่นเดียวกับเกมและปลา พวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลังเท่านั้นที่หายาก เครื่องมือหิน ใช่การตั้งถิ่นฐานบางอย่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ยุคกลาง (1,000-400 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นยุคแรกที่มีการบันทึกไว้ค่อนข้างดีในประวัติศาสตร์ของชาวมายัน ในเวลานี้มีการตั้งถิ่นฐานทางการเกษตรขนาดเล็กกระจายอยู่ในป่าและตามริมฝั่งแม่น้ำของที่ราบสูง Peten และทางตอนเหนือของเบลีซ (Cuello, Kolha, Kashob) หลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นว่าในยุคนี้ชาวมายาไม่มีสถาปัตยกรรมที่โอ้อวดการแบ่งชนชั้นและการรวมศูนย์อำนาจ อย่างไรก็ตามในช่วงปลายของการก่อตัวต่อมาของยุคก่อนคลาสสิก (400 ปีก่อนคริสตกาล - 250 AD) เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในชีวิตของชาวมายา ในเวลานี้มีการสร้างโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่ - สไตบ็อตปิรามิดสนามบอลมีการเติบโตอย่างรวดเร็วของเมือง อาคารทางสถาปัตยกรรมที่น่าประทับใจถูกสร้างขึ้นในเมืองต่างๆเช่น Calakmul และ Tsibilchaltun ทางตอนเหนือของคาบสมุทร Yucatan (เม็กซิโก), El Mirador, Yashaktun, Tikal, Nakbe และ Tintal ในป่า Petena (กัวเตมาลา), Cerros, Cuello, Lamanay และ Chulchuapuapa (เบลีซ), (ซัลวาดอร์). การตั้งถิ่นฐานเช่น Kashob ทางตอนเหนือของเบลีซกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ในตอนท้ายของช่วงการก่อตัวตอนปลายการแลกเปลี่ยนการค้าระหว่างการตั้งถิ่นฐานที่ห่างไกลจะพัฒนาขึ้น สินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ หยกและผลิตภัณฑ์จากออบซิเดียนเปลือกหอยทะเลและขนนกเควตซัล ในเวลานี้เครื่องมือหินเหล็กไฟที่แหลมคมและที่เรียกว่าเครื่องมือหินเหล็กไฟปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก พิสดารเป็นผลิตภัณฑ์จากหินที่มีรูปร่างแปลกประหลาดที่สุดบางครั้งก็อยู่ในรูปของตรีศูลหรือรูปหน้ามนุษย์ ในเวลาเดียวกันการปฏิบัติในการสร้างอาคารการจัดสถานที่หลบซ่อนซึ่งผลิตภัณฑ์หยกและเครื่องประดับอื่น ๆ ถูกวางไว้ก็เป็นรูปเป็นร่าง ในช่วงยุคคลาสสิกตอนต้น (ค.ศ. 250-600) ของยุคคลาสสิกสังคมของชาวมายันได้พัฒนาไปสู่ระบบของนครรัฐที่เป็นคู่แข่งกัน ราชวงศ์... การก่อตัวทางการเมืองเหล่านี้เผยให้เห็นความธรรมดาทั้งในระบบการปกครองและในวัฒนธรรม (ภาษาการเขียนความรู้ทางดาราศาสตร์ปฏิทิน ฯลฯ ) จุดเริ่มต้นของยุคคลาสสิกตอนต้นโดยประมาณตรงกับวันที่เก่าแก่ที่สุดวันหนึ่งที่บันทึกไว้ในเมือง Tikal - 292 AD ซึ่งเป็นไปตามที่เรียกว่า "จำนวนชาวมายันยาว" แสดงเป็นตัวเลข 8.12.14.8.5 ทรัพย์สินของแต่ละเมืองในยุคคลาสสิกขยายออกไปโดยเฉลี่ย 2,000 ตารางเมตร กม. และบางเมืองเช่น Tikal หรือ Calakmul ควบคุมดินแดนที่ใหญ่กว่ามาก การเมืองและ ศูนย์วัฒนธรรม การก่อตัวของแต่ละรัฐเป็นเมืองที่มีโครงสร้างที่หรูหราสถาปัตยกรรมซึ่งเป็นรูปแบบท้องถิ่นหรือแบบแบ่งเขตของรูปแบบทั่วไปของสถาปัตยกรรมของชาวมายัน อาคารตั้งอยู่รอบจัตุรัสกลางรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ โดยปกติแล้วอาคารของพวกเขาจะถูกตกแต่งด้วยหน้ากากของเทพเจ้าหลักและตัวละครในตำนานแกะสลักจากหินหรือทำโดยใช้เทคนิคปูนปั้นนูน ผนังของห้องแคบ ๆ ยาว ๆ ภายในอาคารมักถูกวาดด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงถึงพิธีกรรมวันหยุดและฉากทางทหาร ทับหลังทับหลังบันไดของพระราชวังตลอดจนเหล็กกล้าไร้สนิมถูกปกคลุมไปด้วยข้อความอักษรอียิปต์โบราณบางครั้งสลับกับภาพเหมือนเล่าถึงการกระทำของผู้ปกครอง ทับหลัง 26 ใน Yashchilan เป็นภาพภรรยาของผู้ปกครอง Shield of the Jaguar ช่วยสามีสวมเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของทหาร ในใจกลางเมืองของชาวมายันในยุคคลาสสิกมีปิรามิดสูงถึง 15 ม. โครงสร้างเหล่านี้มักใช้เป็นสุสานของผู้คนที่เคารพนับถือดังนั้นกษัตริย์และนักบวชจึงปฏิบัติพิธีกรรมที่นี่โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์กับวิญญาณของบรรพบุรุษของพวกเขา

ค้นพบใน "วิหารแห่งจารึก" ที่ฝังศพของปาคาลผู้ปกครองปาเลงเกได้ให้ข้อมูลที่มีค่ามากมายเกี่ยวกับการปฏิบัติตนด้วยความเคารพนับถือบรรพบุรุษของราชวงศ์ จารึกบนฝาโลงศพระบุว่า Pacal เกิด (ตามลำดับเหตุการณ์ของเรา) ในปี 603 และเสียชีวิตในปี 683 ผู้เสียชีวิตได้รับการประดับด้วยสร้อยคอหยกตุ้มหูขนาดใหญ่ (สัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญของทหาร) กำไลหน้ากากโมเสค ทำจากหยกมากกว่า 200 ชิ้น ปากัลถูกฝังไว้ในโลงหินซึ่งสลักชื่อและภาพเหมือนของบรรพบุรุษที่มีชื่อเสียงของเขาเช่น Kan-Ik ผู้ยิ่งใหญ่ของเขาซึ่งมีอำนาจมาก ในการฝังศพมักจะวางภาชนะไว้ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีอาหารและเครื่องดื่มมีไว้เพื่อเลี้ยงผู้ตายระหว่างทางไปสู่ชีวิตหลังความตาย ในเมืองของชาวมายันภาคกลางโดดเด่นซึ่งผู้ปกครองอาศัยอยู่กับญาติและผู้เกษียณอายุ เหล่านี้คือพระราชวังที่ซับซ้อนใน Palenque, Acropolis of Tikal, โซน Sepulturas ใน Copan ผู้ปกครองและญาติสนิทของพวกเขามีส่วนร่วมในกิจการของรัฐโดยเฉพาะพวกเขาจัดและนำการจู่โจมทางทหารกับนครรัฐใกล้เคียงจัดงานเทศกาลที่งดงามและมีส่วนร่วมในพิธีกรรม สมาชิก พระราชวงศ์ ยังกลายเป็นอาลักษณ์นักบวชช่างทำเงินจิตรกรประติมากรและสถาปนิก ดังนั้นใน House of Bakabs ใน Copan นักวิทย์ที่มีตำแหน่งสูงสุดจึงอาศัยอยู่ นอกเมืองประชากรแยกย้ายกันไปในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ล้อมรอบด้วยสวนและทุ่งนา ผู้คนอาศัยอยู่ในครอบครัวใหญ่ในบ้านไม้ที่มุงด้วยหลังคาหรือมุงจาก หมู่บ้านแห่งหนึ่งในยุคคลาสสิกเหล่านี้รอดชีวิตมาได้ในเซเรนา (เอลซัลวาดอร์) ซึ่งภูเขาไฟลากูน่าคาลเดราระเบิดในฤดูร้อนปี 590 ขี้เถ้าร้อนหลับใหลอยู่ในบ้านใกล้เคียงเตาทำครัวและซอกผนังที่มีจานทาสีและขวดน้ำเต้าต้นไม้ต้นไม้ทุ่งนารวมถึงทุ่งที่มีต้นข้าวโพด ในการตั้งถิ่นฐานโบราณหลายแห่งอาคารจะถูกจัดกลุ่มไว้รอบ ๆ ลานกลางซึ่งมีการทำงานร่วมกัน การครอบครองที่ดินมีลักษณะร่วมกัน ในช่วงปลายยุคคลาสสิก (650-950) ประชากรในพื้นที่ลุ่มต่ำของกัวเตมาลามีจำนวนถึง 3 ล้านคน ความต้องการสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นทำให้เกษตรกรต้องระบายหนองน้ำและใช้การทำการเกษตรแบบขั้นบันไดในพื้นที่ที่เป็นเนินเขาเช่นริมฝั่งแม่น้ำริโอเบ็ค ในช่วงปลายยุคคลาสสิกเมืองใหม่ ๆ เริ่มเกิดขึ้นจากนครรัฐที่จัดตั้งขึ้น ดังนั้นเมืองฮิมบาลจึงหลุดพ้นจากการควบคุมของ Tikal ซึ่งประกาศเป็นภาษาอักษรอียิปต์โบราณเกี่ยวกับโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม ในช่วงระหว่างการตรวจสอบการประดิษฐ์ตัวอักษรของชาวมายันถึงจุดสูงสุด แต่เนื้อหาของจารึกบนอนุสาวรีย์เปลี่ยนไป ในขณะที่รายงานก่อนหน้านี้ได้รับชัยชนะ เส้นทางชีวิต ผู้ปกครองที่มีวันเดือนปีเกิดการแต่งงานการขึ้นครองบัลลังก์ความตายตอนนี้จุดสนใจหลักคือสงครามการพิชิตการจับนักโทษเพื่อบูชายัญ เมื่อถึง 850 เมืองหลายเมืองในที่ราบลุ่มทางตอนใต้ถูกทิ้งร้าง การก่อสร้างหยุดลงอย่างสมบูรณ์ใน Palenque, Tikal, Copan สาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นยังไม่ชัดเจน การลดลงของเมืองเหล่านี้อาจเกิดจากการลุกฮือการรุกรานของศัตรูโรคระบาดหรือวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม ศูนย์กลางการพัฒนาของอารยธรรมมายากำลังเคลื่อนไปทางตอนเหนือของคาบสมุทรยูคาทานและพื้นที่สูงทางตะวันตกซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมเม็กซิกันหลายระลอก ที่นี่ ในระยะสั้น เมือง Uxmal, Sayil, Kabah, Labna และ Chichen Itza เจริญรุ่งเรือง เมืองที่เขียวชอุ่มเหล่านี้มีความสูงเกินกว่าเดิมในด้านความสูงของอาคารพระราชวังหลายห้องห้องใต้ดินที่สูงขึ้นและกว้างขึ้นงานแกะสลักหินที่ซับซ้อนและภาพสลักโมเสคสนามบอลขนาดใหญ่