สรุปซิมโฟนี แนวดนตรี: ซิมโฟนี

(fde_message_value)

ซิมโฟนี

ซิมโฟนี(จากภาษากรีก " ความสอดคล้อง») - ประเภทของดนตรีบรรเลงไพเราะของเนื้อหาเชิงอุดมการณ์พื้นฐานหลายส่วน

ซิมโฟนีมักจะเป็นชิ้นส่วนสำหรับวงออเคสตรา ซึ่งมักจะประกอบด้วยหลายส่วน นี่เป็นหนึ่งในประเภทที่สำคัญที่สุดของดนตรียุโรป วี ความเข้าใจที่ทันสมัยคำว่า "ซิมโฟนี" ถูกนำมาใช้ค่อนข้างเร็ว ในยุค 70 ศตวรรษที่สิบแปด แต่ตัวมันเองเป็นอย่างมาก ต้นกำเนิดโบราณ.

"ซิมโฟนี" ในภาษากรีกหมายถึง "ความสอดคล้อง" ในสมัยโบราณ นี่คือชื่อสำหรับการร้องเพลงของคณะนักร้องประสานเสียงหรือวงดนตรีพร้อมกัน เช่นเดียวกับการผสมผสานของโทนเสียงที่ไพเราะและกลมกลืน ในยุคกลาง คำว่าหายไปจากการใช้และ ชีวิตใหม่มันเริ่มต้นในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา แต่ตอนนี้ คำว่า "ซิมโฟนี" มีความหมายที่ต่างออกไป ในเพลงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา โพลีโฟนิก การเรียบเรียงเสียงร้อง- madrigals, canzones พวกเขามักจะเปิดด้วยบทนำซึ่งเรียกว่าซิมโฟนี เมื่อในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เมื่อโอเปร่าปรากฏขึ้น มันก็เริ่มต้นด้วยซิมโฟนี - ต่อมาการแนะนำดังกล่าวกลายเป็นทาบทาม

ในศตวรรษที่สิบแปด ซิมโฟนีค่อยๆแยกออกจาก เสียงเพลงและเริ่มดำรงอยู่อย่างอิสระ ลุคคลาสสิคเธอได้รับในปี ค.ศ. 1780-1790 ในผลงานของนักประพันธ์เพลงชาวออสเตรียผู้ยิ่งใหญ่ J. Haydn และ W. A. ​​​​Mozart นับจากนั้นเป็นต้นมา เส้นทางอันยอดเยี่ยมของซิมโฟนีก็ได้เริ่มต้นขึ้นในดนตรียุโรปและโลก จากนั้นจึงกลายเป็นแนวสร้างสรรค์ทางดนตรีที่สำคัญที่สุดและเป็นศูนย์กลาง

ซิมโฟนี แบบคลาสสิคประกอบด้วยสี่ส่วนที่ตัดกัน พวกเขาร่วมกันสร้างวัฏจักรโซนาตาซิมโฟนิก โครงสร้างที่เป็นวัฏจักรทำให้ผู้แต่งสามารถแสดงความรู้สึกและอารมณ์ที่หลากหลาย เพื่อสร้างภาพลักษณ์โดยรวมทางดนตรีของยุคนั้น ซิมโฟนีโดย Mozart, L. Beethoven, L. I. Tchaikovsky, I. Brahms, G. Mahler, D. D. Shostakovich ทำให้เรามีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของเวลา เช่นเดียวกับนวนิยายหรือละคร

ส่วนแรก ซิมโฟนีคลาสสิก- กระฉับกระเฉงมีประสิทธิภาพด้วยความเร็วที่รวดเร็วตามกฎครองตำแหน่งที่โดดเด่นในวงจร สำหรับเธอ คีตกวีจะเลือกเพลงใดมากที่สุด รูปทรงที่ซับซ้อน- โซนาต้า รูปแบบของโซนาต้าทำให้สามารถเปรียบเทียบภาพที่ตัดกัน แม้แต่ภาพที่ขัดแย้งกันได้ - กล้าหาญและไพเราะ มืดมนและสว่าง เคร่งขรึมและอ่อนโยน จากนั้นภาพเหล่านี้จะพัฒนา เปลี่ยนแปลง และส่งผลให้ได้ตัวละครใหม่ คุณลักษณะใหม่ การเคลื่อนไหวครั้งแรกของซิมโฟนีจึงโดดเด่นด้วยความสามารถรอบด้านและความสมบูรณ์

ส่วนที่สองมักจะช้า ลักษณะของมันถูกกำหนดโดยอารมณ์เชิงโคลงสั้น ๆ อารมณ์ครุ่นคิดประกอบด้วยท่วงทำนองที่ใกล้เคียงกับเพลงโรแมนติก นี่คือการพักผ่อนหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในภาคแรก แต่ยังมีการเบี่ยงเบน ตัวอย่างเช่นในซิมโฟนีของ Haydn และใน “ วีรสตรีซิมโฟนีการเคลื่อนไหวครั้งที่สองของเบโธเฟนประกอบด้วยการเดินขบวนที่โศกเศร้า โศกเศร้า และสง่างาม

การเคลื่อนไหวที่สามในซิมโฟนีของ Haydn และ Mozart เป็นเพลงนาที ไมนูเอ็ตในซิมโฟนีคลาสสิกเป็นเหมือนภาพสเก็ตช์ รูปภาพจากชีวิต นาทีของ Haydn เต็มไปด้วยความสนุกสนานที่เป็นที่นิยมอย่างใกล้ชิด การเต้นรำของชาวนา; ใน Mozart พวกเขามีโคลงสั้น ๆ บางครั้งก็มีความจริงจังอย่างมาก Beethoven แทนที่ minuet ด้วย scherzo ด้วยเพลงที่มีบุคลิกที่มีชีวิตชีวาและรวดเร็วซึ่งมักมีรสชาติที่ตลกขบขัน

ส่วนที่สี่เป็นส่วนสุดท้าย เช่นเดียวกับข้อแรก มันเขียนอย่างรวดเร็ว แต่ภายในนั้นไม่ได้ตัดกันมากนัก หากความหมายของส่วนแรกเป็นข้อขัดแย้งของภาพและ การพัฒนาที่น่าทึ่งการกระทำแล้วในขั้นสุดท้ายคำสั่งสรุปผลมาก่อน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่รอบชิงชนะเลิศมักจะเขียนในรูปแบบของ rondo โดยอิงจากการกลับมาเป็นวงกลมของธีมเดียวกัน นั่นคือ การประกาศแนวคิดทางดนตรีแบบเดียวกัน ควบคู่ไปกับวงจรโซนาต้า-ซิมโฟนิก วงออเคสตราซึ่ง ซิมโฟนี, - ซิมโฟนีวงออเคสตรา
สุดยอดใน พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ซิมโฟนีถือเป็นงานของเบโธเฟน ซิมโฟนีแต่ละเพลงของเขาเป็นแนวเพลงแนวใหม่ แต่ละประเภทครอบคลุมโลกทั้งใบ ความคิดเชิงปรัชญาเป็นผลจากการทำงานหนักทางความคิดของผู้แต่ง

ซิมโฟนีที่ 9 ของเบโธเฟน สวมมงกุฎพระองค์ วิธีที่สร้างสรรค์, เปิดขึ้น หน้าใหม่ในประวัติศาสตร์ของประเภท ในส่วนสุดท้ายบทกวี "To Joy" โดย F. Schiller ยืนยันแนวคิดเรื่องภราดรภาพสากลของมนุษยชาติ แนวคิดหลักสำหรับงานของเบโธเฟนนี้ได้รับการประกาศด้วยเสียงอันทรงพลังของคณะนักร้องประสานเสียงและวงออเคสตรา นี่คือวิธีที่ซิมโฟนีกลายเป็นแกนนำ มันถูกสืบทอดโดยนักแต่งเพลงในรุ่นต่อ ๆ มา: ซิมโฟนีแกนนำเขียนโดย G. Berlioz, Mahler, A. N. Scriabin, I. F. Stravinsky, Shostakovich

ข้อความบทกวีทำให้เนื้อหาของซิมโฟนีมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น และการประพันธ์เพลงดังกล่าวจัดเป็นเพลงของโปรแกรม โปรแกรมซิมโฟนีสามารถกลายเป็นแม้ว่าผู้แต่งเพียงแค่นำหน้าด้วยชื่อเรื่อง ไฮเดนยังมีผลงานที่คล้ายกันเช่น Farewell Symphony ดั้งเดิมซึ่งจบลงด้วยการจากไปของนักดนตรีทีละน้อย ในซิมโฟนีครั้งที่ 6 (อภิบาล) ของเบโธเฟน การเคลื่อนไหวทั้งห้ามีสิทธิ์ เราเห็นว่าเจตนาทางโปรแกรมบังคับให้เบโธเฟนเพิ่มจำนวนส่วนในซิมโฟนีและย้ายออกจากโครงสร้างคลาสสิกของวงจร ต่อมาคีตกวีพวกเขาจัดการกับรูปแบบของซิมโฟนีได้อย่างอิสระมากขึ้นโดยเพิ่มจำนวนชิ้นส่วนหรือบีบอัดวงจรให้เป็นการเคลื่อนไหวเดียว แต่ละครั้งจะเชื่อมโยงกับแนวคิดขององค์ประกอบด้วยความคิดส่วนบุคคล
นักซิมโฟนีที่ใหญ่ที่สุดรองจากเบโธเฟน ได้แก่ F. Schubert, Brahms, A. Bruckner, A. Dvorak, Mahler

มรดกไพเราะของคีตกวีชาวรัสเซีย - Tchaikovsky, A.P. Borodin, A.G. Glazunov, Scriabin, S.V. Rachmaninov มีความสำคัญระดับโลก ประเพณีอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้รับการพัฒนาอย่างเข้มข้นและสดใสในความคิดสร้างสรรค์ นักแต่งเพลงชาวโซเวียตของทุกรุ่น - N. Ya. Myaskovsky, S. S. Prokofiev A. I. Khachaturyan, T. N. Khrennikova, K. A. Karaev, Ya. A. Ivanov, F. M. Amirov และผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ นักซิมโฟนีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเราคือโชสตาโควิช การแสดงซิมโฟนีทั้ง 15 รายการของเขาเป็นเรื่องราวที่แท้จริงของศตวรรษที่ 20

เนื่องจากความคล้ายคลึงกันในโครงสร้างของโซนาต้า โซนาตาและซิมโฟนีจึงถูกรวมเข้าด้วยกันภายใต้ชื่อทั่วไปว่า "โซนาต้า-ซิมโฟนิกไซเคิล" ซิมโฟนีคลาสสิก (ในรูปแบบที่นำเสนอในผลงานคลาสสิกเวียนนา - ไฮเดน โมสาร์ท และเบโธเฟน) มักจะมีสี่ส่วน การเคลื่อนไหวครั้งที่ 1 อย่างรวดเร็วเขียนใน แบบฟอร์มโซนาต้า; ที่ 2 ในการเคลื่อนไหวช้าเขียนในรูปแบบของการเปลี่ยนแปลง rondo, rondo sonata, สามส่วนที่ซับซ้อน, น้อยกว่าในรูปแบบของโซนาตา; อันดับที่ 3 - scherzo หรือ minuet - ในรูปแบบสามส่วน da capo กับสามคน (นั่นคือตามโครงการ A-trio-A); การเคลื่อนไหวครั้งที่ 4 อย่างรวดเร็ว - ในรูปแบบโซนาตาในรูปแบบของรอนโดหรือรอนโดโซนาตา

ซิมโฟนีของโปรแกรมคือสิ่งที่เชื่อมโยงกับเนื้อหาที่รู้จักที่กำหนดไว้ในโปรแกรม (แสดงออกมา เช่น ในชื่อหรือบท) ตัวอย่างเช่น " ซิมโฟนีอภิบาลเบโธเฟน, Fantastic Symphony ของ Berlioz ฯลฯ คนแรกที่แนะนำโปรแกรมให้กับซิมโฟนีคือ Dittersdorf, Rosetti และ Haydn

ส่วนของไซต์

ฟอรั่มดนตรีอิเล็กทรอนิกส์

toccata คืออะไร

Toccata (ภาษาอิตาลี toccata จาก toccare - สัมผัส, ผลัก) - เดิมทีใช้งานได้สำหรับ เครื่องมือคีย์บอร์ดในความหมายสมัยใหม่ - เครื่องดนตรีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและชัดเจนในระยะเวลาอันสั้นเท่ากัน โดยปกติแล้ว toccata จะเขียนขึ้นสำหรับเปียโนหรือออร์แกน แต่ก็มี ...

ซิมโฟนี(จากภาษากรีก " ความสอดคล้อง») - ประเภทของดนตรีบรรเลงไพเราะของเนื้อหาเชิงอุดมการณ์พื้นฐานหลายส่วน

ซิมโฟนีมักจะเป็นชิ้นส่วนสำหรับวงออเคสตรา ซึ่งมักจะประกอบด้วยหลายส่วน นี่เป็นหนึ่งในประเภทที่สำคัญที่สุดของดนตรียุโรป ในความหมายสมัยใหม่ คำว่า "ซิมโฟนี" ถูกนำมาใช้ค่อนข้างเร็ว ในยุค 70 ศตวรรษที่สิบแปด แต่มีต้นกำเนิดที่เก่าแก่มาก

"ซิมโฟนี" ในภาษากรีกหมายถึง "ความสอดคล้อง" ในสมัยโบราณ นี่คือชื่อสำหรับการร้องเพลงของคณะนักร้องประสานเสียงหรือวงดนตรีพร้อมกัน เช่นเดียวกับการผสมผสานของโทนเสียงที่ไพเราะและกลมกลืน ในยุคกลางคำนี้หายไปจากการใช้และชีวิตใหม่เริ่มขึ้นในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา แต่ตอนนี้ คำว่า "ซิมโฟนี" มีความหมายที่ต่างออกไป ในดนตรีของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการประพันธ์แบบโพลีโฟนิกนั้นแพร่หลาย - madrigals, canzones พวกเขามักจะเปิดด้วยบทนำซึ่งเรียกว่าซิมโฟนี เมื่อในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เมื่อโอเปร่าปรากฏขึ้น มันก็เริ่มต้นด้วยซิมโฟนี - ต่อมาการแนะนำดังกล่าวกลายเป็นทาบทาม

ในศตวรรษที่สิบแปด ซิมโฟนีค่อยๆแยกออกจากเสียงร้องและเริ่มดำรงอยู่อย่างอิสระ ได้รับรูปลักษณ์ที่คลาสสิกในยุค 1780 และ 1790 ในผลงานของนักประพันธ์เพลงชาวออสเตรียผู้ยิ่งใหญ่ J. Haydn และ W. A. ​​​​Mozart นับจากนั้นเป็นต้นมา เส้นทางอันยอดเยี่ยมของซิมโฟนีก็ได้เริ่มต้นขึ้นในดนตรียุโรปและโลก จากนั้นจึงกลายเป็นแนวสร้างสรรค์ทางดนตรีที่สำคัญที่สุดและเป็นศูนย์กลาง

ซิมโฟนีของประเภทคลาสสิกประกอบด้วยสี่ส่วนที่ตัดกัน พวกเขาร่วมกันสร้างวัฏจักรโซนาต้าและไพเราะ โครงสร้างที่เป็นวัฏจักรทำให้ผู้แต่งสามารถแสดงความรู้สึกและอารมณ์ที่หลากหลาย เพื่อสร้างภาพลักษณ์โดยรวมทางดนตรีของยุคนั้น ซิมโฟนีโดย Mozart, L. Beethoven, L. I. Tchaikovsky, I. Brahms, G. Mahler, D. D. Shostakovich ทำให้เรามีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของเวลา เช่นเดียวกับนวนิยายหรือละคร

การเคลื่อนไหวครั้งแรกของซิมโฟนีคลาสสิกนั้นกระฉับกระเฉงมีประสิทธิภาพด้วยความเร็วที่รวดเร็วตามกฎแล้วครองตำแหน่งที่โดดเด่นในวัฏจักร สำหรับเธอ นักแต่งเพลงเลือกรูปแบบที่ยากที่สุดรูปแบบหนึ่ง - โซนาต้า รูปแบบของโซนาต้าทำให้สามารถเปรียบเทียบภาพที่ตัดกัน แม้แต่ภาพที่ขัดแย้งกันได้ - กล้าหาญและไพเราะ มืดมนและสว่าง เคร่งขรึมและอ่อนโยน จากนั้นภาพเหล่านี้จะพัฒนา เปลี่ยนแปลง และส่งผลให้ได้ตัวละครใหม่ คุณลักษณะใหม่ การเคลื่อนไหวครั้งแรกของซิมโฟนีจึงโดดเด่นด้วยความสามารถรอบด้านและความสมบูรณ์

ส่วนที่สองมักจะช้า ลักษณะของมันถูกกำหนดโดยอารมณ์เชิงโคลงสั้น ๆ อารมณ์ครุ่นคิดประกอบด้วยท่วงทำนองที่ใกล้เคียงกับเพลงโรแมนติก นี่คือการพักผ่อนหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในภาคแรก แต่ยังมีการเบี่ยงเบน ตัวอย่างเช่น ในซิมโฟนีของ Haydn และใน Heroic Symphony ของ Beethoven ขบวนการที่สองประกอบด้วยการเดินขบวนที่โศกเศร้า โศกเศร้า และน่าเกรงขาม

การเคลื่อนไหวที่สามในซิมโฟนีของ Haydn และ Mozart เป็นเพลงนาที ไมนูเอ็ตในซิมโฟนีคลาสสิกเป็นเหมือนภาพสเก็ตช์ รูปภาพจากชีวิต เพลงสั้นของ Haydn เต็มไปด้วยความสุขที่ได้รับความนิยม คล้ายกับการเต้นรำของชาวนา ใน Mozart พวกเขามีโคลงสั้น ๆ บางครั้งก็มีความจริงจังอย่างมาก Beethoven แทนที่ minuet ด้วย scherzo ด้วยเพลงที่มีบุคลิกที่มีชีวิตชีวาและรวดเร็วซึ่งมักมีรสชาติที่ตลกขบขัน

ส่วนที่สี่เป็นส่วนสุดท้าย เช่นเดียวกับข้อแรก มันเขียนอย่างรวดเร็ว แต่ภายในนั้นไม่ได้ตัดกันมากนัก หากความหมายของส่วนแรกอยู่ในการวางเคียงกันของภาพที่ขัดแย้งกันและพัฒนาการอันน่าทึ่งของการกระทำ ในตอนจบ ถ้อยคำและการสรุปก็จะต้องมาก่อน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่รอบชิงชนะเลิศมักจะเขียนในรูปแบบของ rondo โดยอิงจากการกลับมาเป็นวงกลมของธีมเดียวกัน นั่นคือ การประกาศแนวคิดทางดนตรีแบบเดียวกัน พร้อมกันกับวัฏจักรโซนาตา - ซิมโฟนิกองค์ประกอบออร์เคสตราที่สร้างซิมโฟนี - วงดุริยางค์ซิมโฟนีถูกสร้างขึ้น
งานของเบโธเฟนถือเป็นจุดสุดยอดในการพัฒนาประวัติศาสตร์ของซิมโฟนีอย่างถูกต้อง ซิมโฟนีแต่ละเพลงของเขาเป็นแนวเพลงแนวใหม่ แต่ละประเภทมีแนวคิดเชิงปรัชญาทั้งโลก ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานหนักของความคิดของผู้แต่ง

Symphony ที่ 9 ของ Beethoven ซึ่งครองตำแหน่งอาชีพของเขาได้เปิดหน้าใหม่ในประวัติศาสตร์ของประเภทนี้ ในส่วนสุดท้ายบทกวี "To Joy" โดย F. Schiller ยืนยันแนวคิดเรื่องภราดรภาพสากลของมนุษยชาติ แนวคิดหลักสำหรับงานของเบโธเฟนนี้ได้รับการประกาศด้วยเสียงอันทรงพลังของคณะนักร้องประสานเสียงและวงออเคสตรา นี่คือวิธีที่ซิมโฟนีกลายเป็นแกนนำ มันถูกสืบทอดโดยนักแต่งเพลงในรุ่นต่อ ๆ มา: ซิมโฟนีแกนนำเขียนโดย G. Berlioz, Mahler, A. N. Scriabin, I. F. Stravinsky, Shostakovich

ข้อความบทกวีทำให้เนื้อหาของซิมโฟนีมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น และการประพันธ์เพลงดังกล่าวจัดเป็นเพลงของโปรแกรม ซิมโฟนีสามารถกลายเป็นโปรแกรมได้แม้ว่าผู้แต่งเพียงแค่นำหน้าด้วยชื่อก็ตาม ไฮเดนยังมีผลงานที่คล้ายกันเช่น Farewell Symphony ดั้งเดิมซึ่งจบลงด้วยการจากไปของนักดนตรีทีละน้อย ในซิมโฟนีครั้งที่ 6 (อภิบาล) ของเบโธเฟน การเคลื่อนไหวทั้งห้ามีสิทธิ์ เราเห็นว่าเจตนาทางโปรแกรมบังคับให้เบโธเฟนเพิ่มจำนวนส่วนในซิมโฟนีและย้ายออกจากโครงสร้างคลาสสิกของวงจร ต่อมานักประพันธ์เพลงหันมาใช้รูปแบบของซิมโฟนีอย่างอิสระมากขึ้น โดยเพิ่มจำนวนชิ้นส่วนหรือในทางกลับกัน บีบอัดวงจรให้เป็นการเคลื่อนไหวเดียว แต่ละครั้งจะเชื่อมโยงกับแนวคิดขององค์ประกอบด้วยความคิดส่วนบุคคล
นักซิมโฟนีที่ใหญ่ที่สุดรองจากเบโธเฟน ได้แก่ F. Schubert, Brahms, A. Bruckner, A. Dvorak, Mahler

มรดกไพเราะของคีตกวีชาวรัสเซีย - Tchaikovsky, A.P. Borodin, A.G. Glazunov, Scriabin, S.V. Rachmaninov มีความสำคัญระดับโลก ประเพณีอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้รับการพัฒนาอย่างมั่งคั่งและชัดเจนในผลงานของนักประพันธ์เพลงโซเวียตทุกรุ่น - N. Ya. Myaskovsky, S. S. Prokofiev A. I. Khachaturyan, T. N. Khrennikova, K. A. Karaev, Ya. A. Ivanov, F. M. Amirov และผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ นักซิมโฟนีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเราคือโชสตาโควิช การแสดงซิมโฟนีทั้ง 15 รายการของเขาเป็นเรื่องราวที่แท้จริงของศตวรรษที่ 20

เนื่องจากความคล้ายคลึงกันในโครงสร้างของโซนาต้า โซนาตาและซิมโฟนีจึงถูกรวมเข้าด้วยกันภายใต้ชื่อทั่วไปว่า "โซนาต้า-ซิมโฟนิกไซเคิล" ซิมโฟนีคลาสสิก (ในรูปแบบที่นำเสนอในผลงานคลาสสิกเวียนนา - ไฮเดน โมสาร์ท และเบโธเฟน) มักจะมีสี่ส่วน การเคลื่อนไหวครั้งที่ 1 เขียนในรูปแบบโซนาตาอย่างรวดเร็ว ที่ 2 ในการเคลื่อนไหวช้าเขียนในรูปแบบของการเปลี่ยนแปลง rondo, rondo sonata, สามส่วนที่ซับซ้อน, น้อยกว่าในรูปแบบของโซนาตา; อันดับที่ 3 - scherzo หรือ minuet - ในรูปแบบสามส่วน da capo กับสามคน (นั่นคือตามโครงการ A-trio-A); การเคลื่อนไหวครั้งที่ 4 อย่างรวดเร็ว - ในรูปแบบโซนาตาในรูปแบบของรอนโดหรือรอนโดโซนาตา

โปรแกรมซิมโฟนีเป็นรายการที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่รู้จักกันดีที่กำหนดไว้ในโปรแกรม (เช่น ในชื่อเรื่องหรือ epigraph) ตัวอย่างเช่น Pastoral Symphony ของ Beethoven, Fantastic Symphony ของ Berlioz เป็นต้น เป็นคนแรกที่แนะนำ โปรแกรมสำหรับซิมโฟนีคือ Dittersdorf, Rosetti และ Haydn

ซิมโฟนีเป็นรูปแบบดนตรีบรรเลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งกว่านั้น คำกล่าวนี้เป็นจริงในทุกยุคทุกสมัย และสำหรับงานวรรณกรรมคลาสสิกของเวียนนา และสำหรับคู่รัก และสำหรับนักประพันธ์เพลงในยุคต่อมา ...

Alexander Maykapar

แนวดนตรี: ซิมโฟนี

คำว่าซิมโฟนีมาจากภาษากรีก "ซิมโฟนี" และมีความหมายหลายประการ นักศาสนศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่าการอ้างอิงถึงการใช้คำที่พบในพระคัมภีร์ คำนี้แปลโดยพวกเขาเป็นความยินยอมและข้อตกลง นักดนตรีแปลคำนี้เป็นพยัญชนะ

หัวข้อของบทความนี้คือซิมโฟนีเป็นแนวดนตรี ปรากฎว่าในบริบททางดนตรี คำว่า ซิมโฟนี มีหลายอย่าง ความหมายต่างกัน... ดังนั้น บาคจึงเรียกผลงานอันยอดเยี่ยมของเขาสำหรับการแสดงซิมโฟนีของคลาเวียร์ \ หมายความว่าพวกมันเป็นตัวแทนของการผสมผสานที่กลมกลืน การผสมผสาน - ความสอดคล้อง - ของเสียงหลายเสียง (ในกรณีนี้ สาม) เสียง แต่การใช้คำนี้เป็นข้อยกเว้นในสมัยของ Bach - ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 18 ยิ่งกว่านั้นในงานของ Bach เขาแสดงดนตรีในสไตล์ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

และตอนนี้เราก็ใกล้จะถึงแก่นหลักของเรียงความของเราแล้ว นั่นคือซิมโฟนีที่เป็นงานออเคสตราหลายส่วนขนาดใหญ่ ในแง่นี้ การแสดงซิมโฟนีปรากฏขึ้นเมื่อราวปี ค.ศ. 1730 เมื่อวงออเคสตราแนะนำโอเปร่าแยกออกจากตัวโอเปร่าเองและกลายเป็นงานออร์เคสตราอิสระ โดยใช้ทาบทามสไตล์อิตาลีสามส่วนเป็นพื้นฐาน

ความสัมพันธ์ของซิมโฟนีกับการทาบทามนั้นไม่เพียงแสดงออกในความจริงที่ว่าแต่ละส่วนของทาบทามทั้งสาม: เร็ว - ช้า - เร็ว (และบางครั้งก็เป็นการแนะนำอย่างช้าๆ) กลายเป็นซิมโฟนีในการเคลื่อนไหวที่แยกจากกันอย่างอิสระ แต่ยังอยู่ในความจริงที่ว่าทาบทามทำให้ซิมโฟนีมีความคิดที่ตรงกันข้ามกับธีมหลัก (โดยปกติคือชายและหญิง) และด้วยเหตุนี้ซิมโฟนีจึงมีความตึงเครียดและความน่าดึงดูดใจที่จำเป็นสำหรับดนตรีขนาดใหญ่

หลักการสร้างสรรค์ของซิมโฟนี

หนังสือและบทความเกี่ยวกับดนตรีเชิงเขาทุ่มเทให้กับการวิเคราะห์รูปแบบของซิมโฟนีวิวัฒนาการ วัสดุศิลปะซึ่งแสดงโดยประเภทของซิมโฟนีซึ่งมีขนาดมหึมาทั้งในด้านปริมาณและหลากหลายรูปแบบ ที่นี่เราสามารถสรุปหลักการทั่วไปที่สุดได้

1. ซิมโฟนีเป็นเพลงบรรเลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งกว่านั้น คำกล่าวนี้เป็นจริงในทุกยุคทุกสมัย และสำหรับงานวรรณกรรมคลาสสิกของเวียนนา และสำหรับคู่รัก และสำหรับนักประพันธ์เพลงในยุคต่อมา The Eighth Symphony (1906) โดย Gustav Mahler เช่น ความยิ่งใหญ่ในการออกแบบงานศิลปะ ถูกเขียนขึ้นเพื่อขนาดใหญ่ - แม้ตามความคิดของต้นศตวรรษที่ 20 - นักแสดง: วงดุริยางค์ซิมโฟนีขนาดใหญ่ถูกขยายด้วยลมไม้ 22 แบบ และ 17 เครื่องมือทองเหลือง, คะแนนยังรวมถึงสอง คณะนักร้องประสานเสียงและคณะนักร้องประสานเสียงชาย มีการเพิ่มศิลปินเดี่ยวแปดคน (สามคนโซปราโน สองอัลโต อายุ บาริโทนและเบส) และวงออเคสตราหลังเวที มักถูกเรียกว่า "ซิมโฟนีของสมาชิกพันคน" การแสดงบนเวทีต้องสร้างขึ้นใหม่แม้ในโถงแสดงคอนเสิร์ตขนาดใหญ่มาก

2. เนื่องจากซิมโฟนีเป็นงานที่มีหลายส่วน (สาม- บ่อยกว่าสี่- และบางครั้งถึงห้าส่วน เช่น "อภิบาล" ของเบโธเฟนหรือ "มหัศจรรย์" ของแบร์ลิออซ) จึงเป็นที่ชัดเจนว่ารูปแบบดังกล่าวต้องมาก ซับซ้อนเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซากจำเจและความซ้ำซากจำเจ (ซิมโฟนีการเคลื่อนไหวเดียวหายากมาก ตัวอย่างเช่น - Symphony No. 21 โดย N. Myaskovsky)

ซิมโฟนีมักประกอบด้วยภาพ แนวความคิด และธีมทางดนตรีมากมาย พวกมันมีการกระจายไปตามส่วนต่าง ๆ ซึ่งในทางกลับกัน - ตรงกันข้าม - สร้างความซื่อสัตย์ที่สูงกว่าโดยที่ซิมโฟนีจะไม่ถูกมองว่าเป็นงานเดียว

เพื่อให้แนวคิดเกี่ยวกับองค์ประกอบของส่วนต่างๆ ของซิมโฟนี เรานำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับผลงานชิ้นเอกหลายชิ้น ...

โมสาร์ท. ซิมโฟนีหมายเลข 41 "ดาวพฤหัสบดี" ใน C major
I. Allegro vivace
ครั้งที่สอง Andante cantabile
สาม. เมนูเอตโต้ อัลเลเกรตโต - Trio
IV. มอลโต อัลเลโกร

เบโธเฟน. ซิมโฟนีหมายเลข 3 ใน E-flat major, Op. 55 ("วีรบุรุษ")
I. Allegro con brio
ครั้งที่สอง Marcia funebre: Adagio assai
สาม. Scherzo: Allegro vivace
IV. ตอนจบ: Allegro molto, Poco Andante

ชูเบิร์ต ซิมโฟนีหมายเลข 8 ใน B minor (ที่เรียกว่า "ยังไม่เสร็จ")
I. อัลเลโกร moderato
ครั้งที่สอง อันดันเต้ คอน โมโต

แบร์ลิออซ ซิมโฟนีที่ยอดเยี่ยม
I. ความฝัน. Passion: Largo - Allegro agitato e appassionato assai - Tempo I - ศาสนา
ครั้งที่สอง บอล: วาลเซ่. อัลเลโกรไม่ใช่ทรอปโป
สาม. ฉากในทุ่งนา: Adagio
IV. ขบวนการดำเนินการ: Allegretto non troppo
V. ความฝันในคืนวันสะบาโต: Larghetto - Allegro - Allegro
assai - Allegro - Lontana - Ronde du Sabbat - Dies irae

บรอดิน. ซิมโฟนีหมายเลข 2 "ฮีโร่"
I. อัลเลโกร
ครั้งที่สอง เชอร์โซ Prestissimo
สาม. อันดันเต้
IV. รอบชิงชนะเลิศ อัลเลโกร

3. ส่วนแรกนั้นซับซ้อนที่สุดในการออกแบบ ในซิมโฟนีคลาสสิก มักจะเขียนในรูปแบบของโซนาตา อัลเลโกร... ลักษณะเฉพาะของรูปแบบนี้คือพวกมันชนกันและพัฒนาตาม อย่างน้อยสองหัวข้อหลักเกี่ยวกับสิ่งที่มากที่สุด โครงร่างทั่วไปสามารถพูดได้ว่าเป็นการแสดงความเป็นชาย (หัวข้อนี้มักจะเรียกว่า พรรคหลัก เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มันผ่านในคีย์หลักของงาน) และหลักการของผู้หญิง (นี้ ชุดข้าง- เสียงในคีย์หลักที่เกี่ยวข้องอย่างใดอย่างหนึ่ง) สองธีมหลักนี้มีความเกี่ยวข้องกันและการเปลี่ยนจากหลักเป็นรองเรียกว่า ชุดเชื่อมต่อสรุปมันทั้งหมด วัสดุดนตรีมักจะมีตอนจบที่เฉพาะเจาะจง ในตอนนี้เรียกว่า ชุดสุดท้าย.

หากเราฟังซิมโฟนีคลาสสิกด้วยความสนใจซึ่งทำให้เราสามารถแยกแยะระหว่างคนรู้จักครั้งแรกกับงานที่กำหนดได้ทันที องค์ประกอบโครงสร้างเราจะพบในช่วงแรกของการปรับเปลี่ยนธีมพื้นฐานเหล่านี้ ด้วยการพัฒนารูปแบบโซนาตา คีตกวีบางคน - และเบโธเฟนเป็นคนแรกในนั้น - สามารถระบุองค์ประกอบของผู้หญิงในรูปแบบของตัวละครชายและในทางกลับกัน และในระหว่างการพัฒนาธีมเหล่านี้ "ให้ความสว่าง" พวกเขาในรูปแบบต่างๆ วิธี บางทีนี่อาจเป็นศูนย์รวมที่สว่างที่สุด - ทั้งศิลปะและตรรกะ - ศูนย์รวมของหลักการวิภาษ

ส่วนแรกทั้งหมดของซิมโฟนีถูกสร้างขึ้นในรูปแบบสามส่วนซึ่งในตอนแรกผู้ฟังจะนำเสนอธีมหลักราวกับว่าถูกเปิดเผย (ดังนั้นส่วนนี้จึงเรียกว่าการอธิบาย) จากนั้นจึงผ่านการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลง (ส่วนที่สอง ส่วนคือการพัฒนา) และในที่สุดก็กลับมา - ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบเดิม หรือในความสามารถใหม่บางส่วน (บรรเลงใหม่) นี่คือที่สุด โครงการทั่วไปซึ่งนักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนได้มีส่วนในสิ่งของตน ดังนั้น เราจะไม่พบการออกแบบที่เหมือนกันสองแบบ ไม่เพียงแต่ใน นักแต่งเพลงที่แตกต่างกันแต่ยังอย่างใดอย่างหนึ่ง (แน่นอนถ้า มันมาเกี่ยวกับผู้สร้างที่ยอดเยี่ยม)

4. หลังจากซิมโฟนีเคลื่อนไหวครั้งแรกที่มีพายุมักจะมีที่สำหรับเพลงโคลงสั้น ๆ สงบและประเสริฐในคำพูดที่ไหลในการเคลื่อนไหวช้า ในตอนแรกนี่เป็นการเคลื่อนไหวครั้งที่สองของซิมโฟนีและถือว่าเป็นกฎที่ค่อนข้างเข้มงวด ในซิมโฟนีของ Haydn และ Mozart การเคลื่อนไหวช้าเป็นครั้งที่สองอย่างแม่นยำ หากซิมโฟนีมีเพียงสามส่วน (เช่นเดียวกับในยุค 1770 ของ Mozart) ส่วนที่ช้าจะกลายเป็นส่วนตรงกลาง หากซิมโฟนีอยู่ในสี่ส่วน ซิมโฟนีจะถูกวางไว้ระหว่างส่วนที่ช้าและจบเร็วในซิมโฟนียุคแรก ต่อมาเริ่มต้นด้วยเบโธเฟน minuet ถูกแทนที่ด้วย scherzo ที่รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงจุดหนึ่ง นักแต่งเพลงตัดสินใจที่จะเบี่ยงเบนจากกฎนี้ จากนั้นการเคลื่อนไหวช้าก็กลายเป็นส่วนที่สามในซิมโฟนี และ scherzo กลายเป็นส่วนที่สองตามที่เราเห็น (แม่นยำกว่าที่เราได้ยิน) ใน A. Borodin " ฮีโร่” ซิมโฟนี

5. รอบชิงชนะเลิศของการแสดงซิมโฟนีคลาสสิกมีลักษณะเฉพาะด้วยการเคลื่อนไหวที่มีชีวิตชีวาด้วยลักษณะการเต้นและการขับร้อง ซึ่งมักจะอยู่ใน จิตวิญญาณพื้นบ้าน... บางครั้งตอนจบของซิมโฟนีจะกลายเป็น apotheosis ที่แท้จริง เช่นเดียวกับใน Ninth Symphony ของ Beethoven (op. 125) ที่คณะนักร้องประสานเสียงและนักร้องเดี่ยวได้รับการแนะนำให้รู้จักกับซิมโฟนี แม้ว่านี่จะเป็นนวัตกรรมสำหรับแนวเพลงซิมโฟนี แต่ก็ไม่ใช่สำหรับตัวเบโธเฟนเอง: ก่อนหน้านี้เขาแต่ง Fantasy สำหรับเปียโน คอรัส และออเคสตรา (Op. 80) ซิมโฟนีมีบทกวีถึง Joy โดย F. Schiller ตอนจบมีความโดดเด่นมากในซิมโฟนีนี้ที่การเคลื่อนไหวทั้งสามก่อนหน้านั้นถือเป็นการแนะนำอย่างมาก การแสดงตอนจบด้วยเพลง "Hug, Millions!" ในการเปิดการประชุมใหญ่ของสหประชาชาติ - การแสดงออกที่ดีที่สุดความปรารถนาทางจริยธรรมของมนุษยชาติ!

Great Symphony Makers

โจเซฟ ไฮเดน

Joseph Haydn มีชีวิตอยู่ อายุยืน(1732-1809). ครึ่งศตวรรษของ กิจกรรมสร้างสรรค์สรุปโดยสองสถานการณ์หลัก: การตายของ JS Bach (1750) ซึ่งสิ้นสุดยุคของการประสานเสียงและการเปิดตัวซิมโฟนีที่สามของ Beethoven ("Heroic") ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคของแนวโรแมนติก ในช่วงอายุห้าสิบปีนี้ รูปแบบดนตรี- มวล oratorio และ คอนแชร์โต้ กรอสโซ่- ถูกแทนที่ด้วยใหม่: ซิมโฟนี, โซนาต้าและ เครื่องสาย... สถานที่หลักที่งานเขียนในประเภทเหล่านี้ฟังแล้วไม่ใช่โบสถ์และวิหารเหมือนเมื่อก่อน แต่เป็นวังของขุนนางและขุนนางซึ่งในที่สุดก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในคุณค่าทางดนตรี - กวีนิพนธ์และการแสดงออกทางอัตนัยเข้ามา แฟชั่น.

ทั้งหมดนี้ Haydn เป็นผู้บุกเบิก บ่อยครั้ง - แม้ว่าจะไม่ถูกต้องนัก - เขาถูกเรียกว่า "บิดาแห่งซิมโฟนี" นักแต่งเพลงบางคนเช่น Jan Stamitz และตัวแทนคนอื่น ๆ ของที่เรียกว่า Mannheim School (Mannheim ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 เป็นป้อมปราการของซิมโฟนีในยุคแรก) เร็วกว่า Haydn เริ่มแต่งซิมโฟนีสามส่วน อย่างไรก็ตาม Haydn ได้ยกระดับรูปแบบนี้ให้สูงขึ้นและแสดงให้เห็นหนทางสู่อนาคต ของเขา งานแรกๆแบกรับอิทธิพลของ C.F.E.Bach และคนรุ่นหลังคาดว่าจะมีสไตล์ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง - เบโธเฟน

ในขณะเดียวกันก็เป็นที่น่าสังเกตว่าองค์ประกอบที่ได้รับความสำคัญ ความหมายทางดนตรีเขาเริ่มสร้างสรรค์เมื่อก้าวผ่านจุดยืนสี่สิบปีของเขา ภาวะเจริญพันธุ์ ความหลากหลาย ความคาดเดาไม่ได้ อารมณ์ขัน ความเฉลียวฉลาด - นั่นคือสิ่งที่ทำให้ Haydn อยู่เหนือระดับคนรุ่นเดียวกัน

ซิมโฟนีของ Haydn หลายคนได้รับการตั้งชื่อ นี่คือตัวอย่างบางส่วน.

ก. อบาคูมอฟ. เล่นโดย Haydn (1997)

Symphony No. 45 ที่มีชื่อเสียงได้รับการตั้งชื่อว่า Farewell (หรือ Symphony by Candlelight): หน้าสุดท้ายตอนจบของซิมโฟนีนักดนตรีทีละคนหยุดเล่นและออกจากเวทีเหลือไวโอลินเพียงสองตัวเท่านั้นจบซิมโฟนีด้วยคอร์ดคำถาม ลา - เอฟชาร์ป... ไฮเดนเองได้เล่าถึงต้นกำเนิดของซิมโฟนีในเวอร์ชันกึ่งตลกขบขันว่า เจ้าชายนิโคไล เอสเตอร์ฮาซีเคยไม่ยอมให้นักดนตรีออร์เคสตราเปลี่ยนจากเอสเตอร์ฮาซไปยังไอเซนชตัดท์ที่ซึ่งครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่เป็นเวลานานมาก ต้องการช่วยผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา Haydn ได้รวบรวมบทสรุปของซิมโฟนี "อำลา" ในรูปแบบของคำใบ้ที่ละเอียดอ่อนต่อเจ้าชาย - แสดง ภาพดนตรีออกจากคำขอ เข้าใจคำใบ้และเจ้าชายออกคำสั่งที่เหมาะสม

ในยุคของแนวโรแมนติก ตัวละครตลกขบขันของซิมโฟนีถูกลืม และเริ่มมีความหมายที่น่าเศร้า แมนน์แมนเขียนในปี พ.ศ. 2381 เกี่ยวกับนักดนตรีดับเทียนและออกจากเวทีในช่วงสุดท้ายของซิมโฟนี: "และไม่มีใครหัวเราะในเวลาเดียวกันเพราะไม่มีเรื่องหัวเราะ"

ซิมโฟนีหมายเลข 94 "ด้วยทิมปานีสไตรค์หรือเซอร์ไพรส์" ได้ชื่อมาจากเอฟเฟกต์ที่ตลกขบขันในการเคลื่อนไหวช้า - อารมณ์อันเงียบสงบของมันถูกรบกวนด้วยจังหวะกลองทิมปานีที่คมชัด หมายเลข 96 "ปาฏิหาริย์" ถูกเรียกเช่นนั้นเนื่องจากโอกาส ในคอนเสิร์ตที่ไฮเดนควรจะแสดงซิมโฟนีนี้ ผู้ชมที่มีรูปลักษณ์ของเขารีบวิ่งจากกลางห้องโถงไปยังแถวหน้าที่ว่าง และตรงกลางว่างเปล่า ในขณะนั้นเอง โคมระย้าพังลงมาที่ใจกลางห้องโถง ผู้ฟังเพียงสองคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ในห้องโถงได้ยินเสียงอุทาน: “ปาฏิหาริย์! ความมหัศจรรย์!" เฮย์เดนเองรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งกับการช่วยให้ผู้คนจำนวนมากรอดโดยไม่สมัครใจ

ชื่อของซิมโฟนีหมายเลข 100 "ทหาร" ตรงกันข้ามไม่ได้ตั้งใจเลย - ส่วนที่รุนแรงด้วยสัญญาณและจังหวะทางทหารแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ภาพดนตรีค่าย; แม้แต่ Minuet ที่นี่ (ส่วนที่สาม) ของโกดัง "กองทัพ" ที่ค่อนข้างหรูหรา รวมภาษาตุรกี เครื่องเคาะจังหวะสู่บทเพลงไพเราะของคนรักดนตรีในลอนดอน (เทียบ Mozart's Turkish March)

หมายเลข 104 “ซาโลมอน”: เป็นการส่วยให้ Impresario ไม่ใช่หรือ - John Peter Salomon ใครทำเพื่อ Haydn ได้มากขนาดนี้ จริงอยู่ที่ซาโลมอนเองต้องขอบคุณ Haydn ที่โด่งดังมากจนเขาถูกฝังใน Westminster Abbey "เพื่อนำ Haydn ไปลอนดอน" ตามที่ระบุไว้บนหลุมฝังศพของเขา ดังนั้นควรเรียกซิมโฟนีว่า "C NS Lomon ", และไม่ใช่" Solomon " ซึ่งบางครั้งพบใน โปรแกรมคอนเสิร์ตซึ่งทำให้ผู้ชมเข้าใจผิดกับกษัตริย์ในพระคัมภีร์ไบเบิล

โวล์ฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ท

โมสาร์ทเขียนซิมโฟนีครั้งแรกเมื่ออายุได้แปดขวบ และครั้งสุดท้ายเมื่ออายุ 32 ปี จำนวนรวมของพวกเขามีมากกว่าห้าสิบตัว แต่เด็กหลายคนยังไม่รอดหรือยังไม่ถูกค้นพบ

หากคุณทำตามคำแนะนำของ Alfred Einstein นักเลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Mozart และเปรียบเทียบตัวเลขนี้กับซิมโฟนีเพียงเก้ารายการใน Beethoven หรือสี่รายการใน Brahms จะเป็นที่ชัดเจนว่าแนวความคิดของประเภท Symphony นั้นแตกต่างกันสำหรับผู้แต่งเหล่านี้ แต่ถ้าคุณเลือกซิมโฟนีของโมสาร์ทที่ส่งตรงไปยังผู้ชมในอุดมคติเช่นของเบโธเฟนจริงๆ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ มนุษยชาติทั้งหมด ( humanitas) ปรากฎว่าโมสาร์ทยังเขียนซิมโฟนีดังกล่าวไม่เกินสิบเรื่อง (ไอน์สไตน์คนเดียวกันพูดถึง "สี่หรือห้า"!) กรุงปรากและวงดนตรีซิมโฟนีแห่งกรุงปรากในปี ค.ศ. 1788 (หมายเลข 39, 40, 41) มีส่วนสนับสนุนอย่างน่าทึ่งในคลังสมบัติของซิมโฟนีระดับโลก

ในสามซิมโฟนีสุดท้ายนี้ คนกลาง หมายเลข 40 เป็นซิมโฟนีที่โด่งดังที่สุด มีเพียง "Little Night Serenade" และ Overture to the Opera "The Marriage of Figaro" เท่านั้นที่สามารถแข่งขันกับความนิยมของเธอได้ แม้ว่าสาเหตุของความนิยมมักจะยากต่อการตัดสิน แต่หนึ่งในนั้นในกรณีนี้อาจเป็นทางเลือกของคีย์ ซิมโฟนีนี้เขียนในภาษา G minor - หายากสำหรับ Mozart ที่ชอบร่าเริงและสนุกสนาน กุญแจสำคัญ... จากสี่สิบเอ็ดซิมโฟนี มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เขียนด้วยคีย์ย่อย (นี่ไม่ได้หมายความว่าโมสาร์ทไม่ได้เขียนเพลงรองในซิมโฟนีหลัก)

สถิติที่คล้ายกันสำหรับของเขา คอนเสิร์ตเปียโน: จากยี่สิบเจ็ด มีเพียงสองคนเท่านั้นที่มีคีย์หลักเป็นไมเนอร์ เมื่อพิจารณาถึงยุคมืดที่ซิมโฟนีถูกสร้างขึ้น ดูเหมือนว่าการเลือกคีย์จะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม การสร้างนี้มีอะไรมากกว่าแค่ความโศกเศร้าในชีวิตประจำวันของคนๆ เดียว ต้องจำไว้ว่าในยุคนั้นเยอรมันและ นักแต่งเพลงชาวออสเตรียอยู่ในความเมตตาของความคิดและภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ ความงามไหลในวรรณคดีเรียกว่า "Storm and Onslaught"

ชื่อของขบวนการใหม่ได้รับจากละครเรื่อง "Storm and Onslaught" ของ F. M. Klinger (1776) ปรากฏขึ้น จำนวนมากของละครที่มีตัวละครที่หลงใหลและมักไม่สอดคล้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ นักแต่งเพลงยังรู้สึกทึ่งกับความคิดในการแสดงอารมณ์ที่รุนแรงของกิเลสตัณหาการต่อสู้อย่างกล้าหาญซึ่งมักจะโหยหาอุดมคติที่ไม่เป็นจริง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ Mozart ยังหันไปใช้คีย์ย่อยในบรรยากาศนี้

ไม่เหมือนกับ Haydn ผู้ซึ่งมั่นใจเสมอว่าการแสดงซิมโฟนีของเขาจะแสดงขึ้นต่อหน้า Prince Esterhazy หรือในลอนดอนต่อหน้าผู้ชมในลอนดอน Mozart ไม่เคยรับประกันเช่นนี้และถึงกระนั้นเขาก็มีความอุดมสมบูรณ์อย่างน่าอัศจรรย์ หากการแสดงซิมโฟนีในยุคแรกๆ ของเขามักจะให้ความบันเทิงหรืออย่างที่เราพูดกันในปัจจุบันว่า "ดนตรีเบาๆ" ซิมโฟนีในช่วงหลังๆ จะเป็น "ไฮไลท์ของรายการ" ของคอนเสิร์ตซิมโฟนีใดๆ

ลุดวิก ฟาน เบโธเฟน

เบโธเฟนสร้างซิมโฟนีเก้าชุด อาจมีหนังสือที่เขียนโดยพวกเขามากกว่าบันทึกในมรดกนี้ ซิมโฟนีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ Third (E-flat major, "Heroic"), Fifth (C minor), Sixth (F major, "Pastoral"), Ninth (D minor)

... เวียนนา 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2367 รอบปฐมทัศน์ของซิมโฟนีที่เก้า เอกสารที่รอดตายเป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น การแจ้งรอบปฐมทัศน์ที่จะเกิดขึ้นนั้นน่าทึ่งมาก: “สถาบันดนตรีที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งจัดโดยคุณลุดวิก ฟาน เบโธเฟน จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ 7 พฤษภาคม<...>Ms. Sontag และ Ms. Unger รวมถึง Messrs. Heizinger และ Seipelt จะแสดงเป็นศิลปินเดี่ยว หัวหน้าวงดนตรีของวงออเคสตราคือ Herr Schuppanzig ผู้ควบคุมวงคือ Herr Umlauf<...>นายลุดวิก ฟาน เบโธเฟน จะมีส่วนร่วมในการกำกับคอนเสิร์ตเป็นการส่วนตัว”

ความเป็นผู้นำนี้ส่งผลให้เบโธเฟนเป็นผู้ดำเนินการซิมโฟนีด้วยตัวเอง แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? แน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเบโธเฟนก็หูหนวกไปแล้ว ลองเปิดบัญชีผู้เห็นเหตุการณ์

“เบโธเฟนทำตัวเองหรือให้มากกว่านั้น เขายืนอยู่หน้าสแตนด์ของวาทยกรและทำท่าทางเหมือนคนบ้า” โจเซฟ โบห์ม นักไวโอลินของวงออเคสตราที่เข้าร่วมในคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนั้นเขียนไว้ - เขาเหยียดตัวขึ้นจากนั้นเขาก็เกือบจะหมอบลงโบกแขนและกระทืบเท้าราวกับว่าเขาต้องการเล่นเครื่องดนตรีทั้งหมดพร้อมกันและร้องเพลงให้ทั้งคณะนักร้องประสานเสียง อันที่จริง Umlauf รับผิดชอบทุกอย่าง และเราซึ่งเป็นนักดนตรี ดูเพียงไม้กายสิทธิ์ของเขาเท่านั้น เบโธเฟนกระวนกระวายใจมากจนไม่สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาเลย และไม่สนใจเสียงปรบมือดังกึกก้อง ซึ่งแทบจะไม่รู้ตัวเลยเนื่องจากการบกพร่องทางการได้ยิน ในตอนท้ายของแต่ละหมายเลข เขาต้องบอกเขาอย่างแน่ชัดว่าเมื่อใดควรหันหลังกลับ และขอบคุณผู้ชมสำหรับเสียงปรบมือ ซึ่งเขาทำอย่างเชื่องช้ามาก "

ในตอนท้ายของซิมโฟนีเมื่อเสียงปรบมือดังลั่นแล้ว Carolina Unger เข้าหา Beethoven หยุดมือเบา ๆ - เขายังคงดำเนินการอยู่โดยไม่ทราบว่าการแสดงจบลงแล้ว! - และหันไปเผชิญหน้าผู้ฟัง จากนั้นทุกคนก็เห็นได้ชัดว่าเบโธเฟนหูหนวกอย่างสมบูรณ์ ...

ความสำเร็จนั้นยิ่งใหญ่มาก ตำรวจต้องใช้การแทรกแซงเพื่อยุติการปรบมือให้ยืน

Peter Ilyich Tchaikovsky

ในแนวเพลงซิมโฟนีโดย P.I. ไชคอฟสกีสร้างผลงานหกชิ้น Last Symphony - ที่หกใน B minor, Op. 74 - ตั้งชื่อโดยเขาว่า "น่าสงสาร"

ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2436 ไชคอฟสกีมีแผนสำหรับซิมโฟนีใหม่ซึ่งกลายเป็นครั้งที่หก ในจดหมายฉบับหนึ่งของเขาเขากล่าวว่า: "ระหว่างการเดินทางฉันมีความคิดเกี่ยวกับซิมโฟนีอื่น ... ด้วยโปรแกรมดังกล่าวที่จะยังคงเป็นปริศนาสำหรับทุกคน ... ร้องไห้ "

ซิมโฟนีที่หกถูกบันทึกโดยนักแต่งเพลงอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ (4-11 กุมภาพันธ์) เขาได้บันทึกการเคลื่อนไหวครั้งแรกทั้งหมดและครึ่งหนึ่งของวินาที จากนั้นงานก็ถูกขัดจังหวะโดยการเดินทางจาก Klin ซึ่งนักแต่งเพลงอาศัยอยู่ที่มอสโก กลับมาที่คลีนิกเขาทำงานในส่วนที่สามตั้งแต่วันที่ 17 ถึง 24 กุมภาพันธ์ จากนั้นก็มีช่วงพักอีกช่วงหนึ่ง และในช่วงครึ่งหลังของเดือนมีนาคม นักแต่งเพลงได้เสร็จสิ้นการเคลื่อนไหวขั้นสุดท้ายและครั้งที่สอง การประสานเสียงต้องเลื่อนออกไปบ้าง เนื่องจากไชคอฟสกีมีแผนการเดินทางอีกหลายเที่ยว การประสานเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม

การแสดงครั้งแรกของ Sixth Symphony เกิดขึ้นที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2436 ภายใต้การดูแลของผู้เขียน ไชคอฟสกีเขียนหลังรอบปฐมทัศน์ว่า “มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับซิมโฟนีนี้! ไม่ใช่ว่าเธอไม่ชอบมัน แต่มันทำให้เกิดความสับสน สำหรับฉัน ฉันภูมิใจกับมันมากกว่าองค์ประกอบอื่นๆ ของฉัน " การพัฒนาเพิ่มเติมพัฒนาอย่างน่าเศร้า: เก้าวันหลังจากรอบปฐมทัศน์ของซิมโฟนี P. Tchaikovsky เสียชีวิตอย่างกะทันหัน

V. Baskin ผู้เขียนชีวประวัติคนแรกของ Tchaikovsky ซึ่งมีทั้งในรอบปฐมทัศน์ของซิมโฟนีและในการแสดงครั้งแรกหลังจากการเสียชีวิตของนักแต่งเพลงเมื่อ E. Napravnik ดำเนินการ (การแสดงนี้กลายเป็นชัยชนะ) เขียนว่า: "เรา จำอารมณ์เศร้าที่ครองราชย์ในห้องโถงของ Noble Assembly เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนเมื่อมีการแสดงซิมโฟนี "น่าสงสาร" เป็นครั้งที่สอง การแสดงครั้งแรกไม่ได้รับการชื่นชมอย่างเต็มที่ภายใต้การดูแลของไชคอฟสกีเอง ในซิมโฟนีนี้ซึ่งน่าเสียดายที่กลายเป็นเพลงหงส์ของนักแต่งเพลงของเราเขาปรากฏตัวใหม่ไม่เพียง แต่ในเนื้อหา แต่ยังอยู่ในรูปแบบ; แทนปกติ อัลเลโกรหรือ Prestoมันเริ่ม อดาจิโอ ลาเมนโตโซปล่อยให้ผู้ฟังอยู่ในอารมณ์ที่เศร้าที่สุด ในนั้น อดาจิโอนักแต่งเพลงดูเหมือนจะบอกลาชีวิต ค่อยเป็นค่อยไป โมเรนโด(อิตาลี - เฟด) ของวงออเคสตราทั้งหมดทำให้เรานึกถึงจุดจบอันโด่งดังของ Hamlet: “ ที่เหลือก็เงียบ"(เพิ่มเติม - เงียบ)".

เราสามารถพูดได้เพียงสั้นๆ เกี่ยวกับผลงานชิ้นเอกของดนตรีไพเราะเพียงไม่กี่ชิ้น นอกจากการละทิ้งองค์ประกอบทางดนตรีที่แท้จริงแล้ว เนื่องจากการสนทนาดังกล่าวต้องการเสียงที่แท้จริงของดนตรี แต่จากเรื่องนี้ก็ชัดเจนว่าซิมโฟนีเป็นแนวเพลงและซิมโฟนีเป็นตัวสร้างสรรค์ จิตวิญญาณมนุษย์- แหล่งที่ทรงคุณค่า ความสุขสูงสุด... โลกของดนตรีไพเราะนั้นกว้างใหญ่ไพศาลและไม่สิ้นสุด

ขึ้นอยู่กับวัสดุของนิตยสาร "Art" №08 / 2009

บนโปสเตอร์: ห้องโถงใหญ่ St. Petersburg Academic Philharmonic ได้รับการตั้งชื่อตาม D. D. Shostakovich Tori Huang (เปียโน, สหรัฐอเมริกา) และ Philharmonic Academic Symphony Orchestra (2013)

คำ "ซิมโฟนี"กับ กรีกแปลว่า "ความสอดคล้อง" อันที่จริง เสียงของเครื่องดนตรีหลายชิ้นในวงออเคสตราสามารถเรียกได้ว่าเป็นดนตรีได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในทำนองเดียวกัน และไม่เปล่งเสียงแต่ละเสียงออกมาด้วยตัวเอง

วี กรีกโบราณเรียกว่าเป็นเสียงที่ไพเราะ ร้องประสานกัน วี โรมโบราณนี่คือวิธีที่วงดนตรีและวงออเคสตราเริ่มถูกเรียก ในยุคกลางมีการเรียกซิมโฟนี เพลงฆราวาสโดยทั่วไปและเครื่องดนตรีบางชนิด

คำนี้มีความหมายอื่น แต่ทั้งหมดมีความหมายของความเชื่อมโยง การมีส่วนร่วม การรวมกันที่กลมกลืนกัน ตัวอย่างเช่น หลักการของความสัมพันธ์ระหว่างคริสตจักรกับผู้มีอำนาจทางโลกซึ่งก่อตั้งขึ้นในจักรวรรดิไบแซนไทน์เรียกอีกอย่างว่าซิมโฟนี

แต่วันนี้เราจะพูดถึงแต่ซิมโฟนีทางดนตรีเท่านั้น

พันธุ์ซิมโฟนี

ซิมโฟนีคลาสสิก- เป็นงานดนตรีในรูปแบบโซนาตาไซเคิล มีไว้สำหรับการแสดงของวงซิมโฟนีออร์เคสตรา

เข้าสู่วงซิมโฟนี (นอกจาก วงดุริยางค์ซิมโฟนี) สามารถรวมคณะนักร้องประสานเสียงและเสียงร้องได้ มีซิมโฟนี-สวีท ซิมโฟนี-แรปโซดี ซิมโฟนี-แฟนตาซี ซิมโฟนี-บัลลาด ซิมโฟนี่-ตำนาน ซิมโฟนี-กวี ซิมโฟนี-เรควีเอ็ม ซิมโฟนี-บัลเลต์ ซิมโฟนี-ละคร และซิมโฟนีในการแสดงละคร

โดยปกติซิมโฟนีคลาสสิกจะมี 4 ส่วน:

ส่วนแรก - ใน ก้าวอย่างรวดเร็ว(อัลเลโกร ) , ในรูปแบบโซนาต้า;

ส่วนที่สอง - ใน ก้าวช้าๆมักจะอยู่ในรูปแบบของการเปลี่ยนแปลง rondo, rondo sonata, สามส่วนที่ซับซ้อน, น้อยกว่าในรูปแบบของโซนาตา;

ส่วนที่สาม - scherzo หรือ minuet- ในรูปแบบสามส่วน da capo กับทรีโอ (นั่นคือตามโครงการ A-trio-A);

ส่วนที่สี่ - in ก้าวอย่างรวดเร็ว, ในรูปแบบโซนาต้า, ในรูปแบบรอนโดหรือรอนโดโซนาต้า

แต่ยังมีซิมโฟนีที่มีส่วนน้อย (หรือมากกว่า) นอกจากนี้ยังมีซิมโฟนีส่วนเดียว

โปรแกรมซิมโฟนีเป็นซิมโฟนีที่มีเนื้อหาเฉพาะซึ่งมีการกำหนดไว้ในรายการหรือแสดงในชื่อเรื่อง หากซิมโฟนีมีชื่อเรื่อง แสดงว่าชื่อนี้เป็นโปรแกรมขั้นต่ำ เช่น "Fantastic Symphony" โดย G. Berlioz

จากประวัติวงซิมโฟนี

ผู้สร้างรูปแบบคลาสสิกของซิมโฟนีและการประสานเสียงถือเป็น ไฮเดน.

และต้นแบบของซิมโฟนีคือชาวอิตาลี ทาบทาม(วงดนตรีบรรเลงบรรเลงที่บรรเลงก่อนการแสดงใด ๆ : โอเปร่า, บัลเลต์) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 17 มีส่วนสำคัญในการพัฒนาซิมโฟนีโดย โมสาร์ทและ เบโธเฟน... เหล่านี้ นักแต่งเพลงสามคนเรียกว่า "เวียนนาคลาสสิก" เวียนนาคลาสสิกได้สร้างสรรค์ดนตรีบรรเลงชั้นสูง ซึ่งเนื้อหาที่เป็นรูปเป็นร่างทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ในความสมบูรณ์แบบ รูปแบบศิลปะ... เวลานี้ยังใกล้เคียงกับการก่อตัวของวงดุริยางค์ซิมโฟนี - องค์ประกอบถาวร, กลุ่มออเคสตรา

วีเอ โมสาร์ท

โมสาร์ทเขียนในทุกรูปแบบและทุกประเภทที่มีอยู่ในยุคของเขาโดยเน้นเฉพาะโอเปร่า แต่ให้ความสนใจอย่างมากกับ ดนตรีไพเราะ... เนื่องจากตลอดชีวิตของเขาเขาทำงานควบคู่ไปกับโอเปร่าและซิมโฟนีของเขา เพลงบรรเลงไพเราะ โอเปร่า ariaและความขัดแย้งอันน่าทึ่ง Mozart ได้แต่งมากกว่า 50 ซิมโฟนี ซิมโฟนีสามรายการสุดท้ายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือหมายเลข 39 หมายเลข 40 และหมายเลข 41 ("ดาวพฤหัสบดี")

K. Schlosser "เบโธเฟนในที่ทำงาน"

เบโธเฟนสร้างซิมโฟนี 9 ตัว แต่ในแง่ของการพัฒนารูปแบบไพเราะและการประสานเสียง เขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นนักประพันธ์และซิมโฟนีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคคลาสสิก ในซิมโฟนีที่เก้าของเขา ที่มีชื่อเสียงที่สุด ทุกส่วนถูกรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว ในการแสดงซิมโฟนีนี้ เบโธเฟนแนะนำ ส่วนเสียงหลังจากนั้นนักประพันธ์เพลงท่านอื่นๆ ก็เริ่มทำเช่นเดียวกัน ในรูปแบบของซิมโฟนีกล่าวคำใหม่ อาร์. ชูมานน์.

แต่แล้วในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ XIX รูปแบบที่เข้มงวดของซิมโฟนีเริ่มเปลี่ยนไป สี่ส่วนกลายเป็นตัวเลือก: ปรากฏ ส่วนหนึ่งซิมโฟนี (Myaskovsky, Boris Tchaikovsky), ซิมโฟนีจาก 11 ส่วน(โชสตาโควิช) และแม้กระทั่งจาก 24 ชิ้น(ฮาวเนส). ตอนจบสุดคลาสสิคด้วยจังหวะที่รวดเร็วถูกแทนที่ด้วยตอนจบที่ช้า (Sixth Symphony ของ Tchaikovsky, Mahler's Third และ Ninth Symphonies)

ผู้เขียนซิมโฟนี ได้แก่ F. Schubert, F. Mendelssohn, I. Brahms, A. Dvořák, A. Bruckner, G. Mahler, Jan Sibelius, A. Webern, A. Rubinstein, P. Tchaikovsky, A. Borodin, N . Rimsky- Korsakov, N. Myaskovsky, A. Scriabin, S. Prokofiev, D. Shostakovich และคนอื่นๆ

องค์ประกอบของมันอย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วนั้นได้ก่อตัวขึ้นในยุคของคลาสสิกแบบเวียนนา

วงดนตรีซิมโฟนีออร์เคสตราขึ้นอยู่กับกลุ่มเครื่องดนตรีสี่กลุ่ม: สายโค้งคำนับ(ไวโอลิน วิโอลา เชลโล ดับเบิลเบส) ลมไม้(ขลุ่ย, โอโบ, คลาริเน็ต, บาสซูน, แซกโซโฟนที่มีหลากหลาย - เครื่องบันทึกเก่า, แชลมีย์, ชาลูโม ฯลฯ รวมถึงตัวเลข เครื่องดนตรีพื้นบ้าน- balaban, duduk, zhaleyka, ขลุ่ย, zurna), ทองเหลือง(ฮอร์นฝรั่งเศส, ทรัมเป็ต, คอร์เนต, ฟลูเกลฮอร์น, ทรอมโบน, ทูบา), กลอง(ทิมปานี, ระนาด, ไวบราโฟน, ระฆัง, กลอง, สามเหลี่ยม, ฉาบ, แทมบูรีน, แคสทาเนต, ที่นั่นและอื่น ๆ )

บางครั้งเครื่องดนตรีอื่น ๆ จะรวมอยู่ในวงออเคสตรา: พิณ, เปียโน, อวัยวะ(แป้นพิมพ์ลม เครื่องดนตรี, เครื่องดนตรีประเภทที่ใหญ่ที่สุด), celesta(เครื่องดนตรีประเภทเคาะแป้นพิมพ์ขนาดเล็กที่มีลักษณะเหมือนเปียโน เสียงเหมือนระฆัง) ฮาร์ปซิคอร์ด.

ฮาร์ปซิคอร์ด

ใหญ่วงดุริยางค์ซิมโฟนีสามารถรวมนักดนตรีได้มากถึง 110 คน , เล็ก- ไม่เกิน 50.

ผู้ควบคุมวงตัดสินใจว่าจะนั่งวงออเคสตราอย่างไร การจัดเรียงนักแสดงของวงดุริยางค์ซิมโฟนีสมัยใหม่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดเสียงที่กลมกลืนกัน ในยุค 50-70 ศตวรรษที่ XX แพร่กระจาย "ที่นั่งแบบอเมริกัน":ทางด้านซ้ายของตัวนำคือไวโอลินตัวแรกและตัวที่สอง ด้านขวา - วิโอลาและเชลโล; ในส่วนลึก - เขาไม้และทองเหลือง, เบสคู่; ทางด้านซ้าย - กลอง

ที่นั่งสำหรับนักดนตรีวงดุริยางค์ซิมโฟนี