Scaramouche Darius Millau เป็นทุกอย่างเกี่ยวกับงาน Milhaud, Darius - ชีวประวัติ

“ดนตรีของ Milhaud ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ แต่เป็นจิตวิญญาณ มันรวมทุกอย่างและทุกคนบนพื้นฐานของ ความรู้สึกของมนุษย์. ต้องขอบคุณมัน สิ่งของ พืช สัตว์ ผู้คน ที่นำมาเป็นปัจเจก กลายเป็นพยานในละครของมนุษย์ ละครแห่งความเป็นนิรันดร์และไม่เปลี่ยนแปลง นี่ไม่ใช่แค่หนึ่งในบทกวีพลาสติกของเขาที่รู้จักกันในชื่อ "Man and his desire"; นี่อาจเป็นชื่องานทั้งหมดของเขาซึ่งเล่าถึงความทุกข์ของบุคคลเมื่อเผชิญกับความเป็นไปไม่ได้ของความสุขเกี่ยวกับความปรารถนาของเขาในความสมบูรณ์แบบที่ไม่สามารถบรรลุได้และเกี่ยวกับความปรารถนาของเขาในหลักการทางจิตวิญญาณซึ่งทุกอย่างพบทางออกและทุกอย่าง เป็นเรื่องง่าย" Paul Koller เขียน

Darius Millau เกิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2435 ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสในเมือง Aix-en-Provence ในครอบครัวพ่อค้า พ่อแม่ของเขาเป็นนักดนตรีสมัครเล่น พ่อของเขาเล่นเปียโนเก่ง และแม่ของเขาร้องเพลง เมื่ออายุได้เจ็ดขวบ Darius เริ่มหัดเล่นไวโอลิน และเมื่ออายุได้สิบเจ็ดปีเขาก็เข้าสู่ Paris Conservatory ที่นี่เขาเรียนกับ Bertelier (ไวโอลิน), C. Leroux, A. Gedalzh, Ch. M. Vidor (ทฤษฎีองค์ประกอบ), P. Duke (การแสดง) และที่ Schola Cantorum กับ V. d "Andy ที่เรือนกระจก มิตรภาพกับไอเบอร์และโฮเนกเกอร์เริ่มต้นขึ้น ตอนนั้นมิลฮาดชื่นชอบดนตรีของแบร์ลิออซ เดบุสซี มุสซอร์กสกี และบัลเลต์ของสตราวินสกี้ที่จัดแสดงในเวลานั้น ความหลงใหลเหล่านี้ไม่ได้ผ่านไปโดยไร้ร่องรอยสำหรับงานของเขา

ต่อมา Milhaud จะพูดดังนี้: "ฉันสามารถพูดได้ว่าไม่มีการแสดงความคิดทางดนตรีสมัยใหม่ไม่ว่าจะเสรีแค่ไหนก็ตาม ซึ่งจะไม่กลับไปสู่ประเพณีที่เป็นที่ยอมรับและจะไม่ทำให้เกิดความตกใจเชิงตรรกะสำหรับการพัฒนาในอนาคต งานแต่ละงานเป็นเพียงความเชื่อมโยงในสายโซ่ และการค้นพบความคิดหรือเทคนิคการเขียนใหม่ๆ เป็นเพียงการเพิ่มอดีตเท่านั้น วัฒนธรรมดนตรีโดยที่สิ่งประดิษฐ์ใด ๆ จะไม่สามารถทำงานได้ "

ดาริอุสเปิดตัวในปี 2456 ในคอนเสิร์ตของ "อิสระ สมาคมดนตรีด้วยวง First String Quartet (ค.ศ. 1912) ที่เปี่ยมไปด้วยจังหวะ จังหวะ และไพเราะที่สร้างสรรค์ซึ่งอุทิศให้กับความทรงจำของ Paul Cézanne Milhaud เล่นไวโอลินส่วนแรกด้วยตัวเขาเอง

ร่างกายแข็งแรงมาก เป็นอิสระในการตัดสิน มีระเบียบวินัย และผสมผสานอย่างลงตัวกับความกล้าหาญในการค้นหาอย่างสร้างสรรค์ของเขา Milhaud ดึงดูดความสนใจของ P. Claudel คนที่มีความสามารถโดดเด่นคนนี้: นักการทูต กวี นักเขียนบทละคร นักแปลที่ยอดเยี่ยม มีบทบาทสำคัญในการกำหนดภาพลักษณ์ที่สร้างสรรค์ของ Milhaud มิตรภาพอันยาวนานของพวกเขาเริ่มต้นขึ้น คลอเดล ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำบราซิลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2449 พาเขาไปด้วย ในปี 1916-1918 Milhaud ใช้เวลาในบราซิลเป็นเลขานุการเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ต่อมาเขามักจะดึงดูด Milhaud ให้ การจัดดนตรีความคิดในการแสดงละครของพวกเขา

นิทานพื้นบ้านบราซิลดั้งเดิมซึ่งเป็นชีวิตที่มีสีสันของประเทศถูกตราตรึงในความทรงจำของดาริอัสตลอดชีวิตที่เหลือของเขา ความทรงจำเกี่ยวกับเธอทำให้ชีวิตเป็นหนึ่งในที่สุดของเขา ผลงานยอดนิยม- "การเต้นรำแบบบราซิล" มีลักษณะเด่น ศิลปท้องถิ่นบราซิล โดยเฉพาะการผสมผสานของนิทานพื้นบ้านโปรตุเกสและนิโกร มันอุดม จินตนาการสร้างสรรค์นักแต่งเพลง ขยายทรัพยากรการแต่งของเขา "การเต้นรำแบบบราซิล" พร้อมกับงานอื่น ๆ - ชุด "Scaramouche" (สำหรับเปียโนสองตัว) และ "Provencal Suite" - เข้าสู่ละครของนักแสดงโซเวียตอย่างแน่นหนา

เมื่อเขากลับมาที่ปารีสในปี 1918 ในไม่ช้า Milhaud ก็กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Six

ในปี 1919 Milhaud จบละครเรื่อง Proteus ซึ่งเริ่มในปี 1913 สิ่งที่น่าสนใจก็คือ สื่อที่เป็นเครื่องมือของมันกลายเป็นเนื้อหาของบทที่สอง ซิมโฟนิกสวีทนักแต่งเพลง. "โพรทูส" เป็นเพลงของ ละครเสียดสีสาขาของ Claudel แต่โดยพื้นฐานแล้วมีองค์ประกอบพลาสติก - ซิมโฟนิกหรือซิมโฟนิก - ท่าเต้น ช่วงเวลาที่น่าสนใจที่สุดในเพลงนี้เป็นตอนไพเราะที่มาพร้อมกับภาพยนตร์ซึ่งเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของ "โพรทูส" ให้กลายเป็นสิงโต ไฟ น้ำ มังกร ปลาหมึก และไม้ผล นี่อาจเป็นหนึ่งในแนวทางแรก ๆ ของผู้แต่งและซิมโฟนิสต์ในงานภาพยนตร์ - เพื่อให้การบันทึกเสียงเคลื่อนไหวเพื่อเชื่อมต่อ จังหวะดนตรีและเสียงสูงต่ำด้วยเทปหมุนด้วยกลไก โดยทั่วไปแล้ว เพลงสำหรับ "Proteus" จะเป็นชุดของโปรแกรมการแสดงภาพและเสียงร้อง (ประสานเสียง) และตอนไพเราะ-เครื่องดนตรีล้วนๆ ซึ่งเป็นชุดคันทาทาชนิดหนึ่ง

ตั้งแต่กลางปี ​​​​ค.ศ. 1920 ผลงานของ Milhaud ได้ดำเนินการในหลายประเทศในยุโรปเขาเดินทางไปทั่วอเมริกาและยุโรปในปี 1926 Milhaud ในฐานะผู้ควบคุมงานของเขาเยี่ยมชมมอสโกและเลนินกราด

โดยขณะนี้เขาเป็นผู้เขียนอยู่แล้ว จำนวนมากการแต่งเพลง: บัลเลต์ประหลาดที่มีไหวพริบ "The Bull on the Roof" (1919), "Salad" (1924), "Blue Express" (1924), บัลเล่ต์ตามนิทานพื้นบ้านบราซิล "Man and his desire", "Creation of the World" ( 2466) ตามตำนานของชาวนิโกร โอเปร่า Eumenides โบราณ

ลักษณะของเวลาคือบัลเล่ต์ Bull on the Roof Milhaud ทำหน้าที่เป็นผู้ริเริ่มและเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนดนตรีนิโกรคนแรกๆ นักแต่งเพลงเองกำหนดให้บัลเล่ต์เป็น "ซิมโฟนีโรงภาพยนตร์" ซึ่งผสมผสานน้ำเสียงของชาวบ้านในเมืองและดนตรีแจ๊สเข้าด้วยกัน

Milhaud ยังเขียนอย่างกว้างขวางในประเภท เครื่องดนตรีคอนเสิร์ต. เขามีคอนแชร์โตและชิ้นคอนเสิร์ตมากกว่าสามสิบชิ้นสำหรับเครื่องดนตรีและวงออเคสตราต่างๆ ในปี ค.ศ. 1920 นักแต่งเพลงพยายามปรับปรุงคอนแชร์โต้บรรเลงแบบ "คลาสสิก" ตามปกติ และแนะนำเครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดงคอนเสิร์ตที่ไม่เคยใช้มาก่อน เช่น มาริบาและไวบราโฟน ซิมโฟนีเล็ก ๆ ของ Milhaud หกคน (1917-1923) แนะนำให้เรารู้จักกับบรรยากาศของการแสดงดนตรีและบทกวีของธรรมชาติ ฤดูใบไม้ผลิ งานอดิเรกที่รักใคร่ และในห้องทดลองของอาจารย์ ชื่นชมยินดีในความสามารถของเขาในการสานลวดลายที่มีสีสันแปลก ๆ จากเส้นเสียงและรวมเข้าด้วยกัน ไพเราะเป็นจังหวะอย่างรวดเร็ว - คอมเพล็กซ์หลายเสียง

Milhaud แต่งสิบสองซิมโฟนี เขาหันมาใช้แนวนี้ในปี 1939 และเขียนเรื่องสุดท้ายว่า "อภิบาล" ในปี 1963 ในซิมโฟนี เขาถูกดึงดูดโดยลักษณะเฉพาะของประเภท นี่คือที่สุด มือขวา ดนตรีออเคสตรานักแต่งเพลงและเห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้แสดงออกมาในแนวไพเราะ แต่อยู่ในประเภทห้องชุด

ตั้งแต่ปี 1936 ร่วมกับสมาชิกของ "Six" Milhaud เข้าร่วมในกิจกรรมของ People's Music Federation: เขาสร้างคณะนักร้องประสานเสียงสำหรับข้อความของกวีปฏิวัติร่วมกับ Honegger เขียนเพลงสำหรับละครเรื่อง "14 Saw" โดย R. Rolland (1936).

ในปี 1940 Milhaud อพยพมาจากฝรั่งเศสที่ถูกยึดครองข้ามมหาสมุทร ในช่วงหลายปีของการประกอบอาชีพ Milhaud อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาสอนองค์ประกอบที่ Mills College (California) ที่นี่เขาเขียนผลงานหลายประเภทรวมถึงโอเปร่า "โบลิวาร์" (1943) - เรื่องราวโรแมนติกเกี่ยวกับวีรบุรุษแห่งการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยชาติของชาวละตินอเมริกา ในไม่ช้า Milhaud ก็เปลี่ยนความคิดอีกครั้ง การปลดปล่อยประชาชน- ในซิมโฟนีที่สี่ ร้อยปีการปฏิวัติ ค.ศ. 1848 (1947) เสียงสะท้อนของสงครามถูกจับใน Cantata Fire Castle (1954) ที่สำคัญของเขาซึ่งเล่าถึงชะตากรรมอันน่าสยดสยองของนักโทษในค่ายมรณะฟาสซิสต์

การสิ้นสุดของสงครามใกล้เข้ามาแล้ว ใน "French Suite" (1944) บน ธีมพื้นบ้าน Normandy, Brittany, Ile-de-France, Alsace-Lorraine และ Provence Millau พยายามรวบรวมนิทานพื้นบ้านของภูมิภาคเหล่านั้นของประเทศซึ่งตามที่นักแต่งเพลง "กองทัพสหรัฐต่อสู้เพื่อปลดปล่อยประเทศของฉัน"

ในปี 1945 นักแต่งเพลงกลับบ้านเกิดทำงานเป็นศาสตราจารย์ที่ Paris Conservatory ในปี พ.ศ. 2499 เขาได้เข้าเป็นสมาชิกของสถาบันฝรั่งเศส ในปี 1959 เขาได้รับเลือกเป็นประธาน French Recording Academy

นี่คือการรับรู้โดยธรรมชาติถึงคุณธรรมของเขา นอกจาก Honegger แล้ว Milhaud เป็นหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุด นักแต่งเพลงร่วมสมัยและฝรั่งเศสอุดมสมบูรณ์ที่สุดอย่างแน่นอน เขาสร้างบทประพันธ์มากกว่า 500 บท: โอเปร่า 16 บท บัลเลต์ 10 บท ซิมโฟนี 12 บท คอนแชร์โต 34 คอนแชร์โต 18 ควอร์เตต 23 แคนทาตา และบทประพันธ์อื่นๆ อีกมากมาย ในบรรดานักแต่งเพลงของ Six, Milhaud เป็นคนที่กระตือรือร้นที่สุดและประสบความสำเร็จในการรวมเข้าด้วยกัน ความคิดสร้างสรรค์ของนักแต่งเพลงดำเนินการและฝึกดนตรี.

ธรรมชาติของพรสวรรค์ทางดนตรีของ Milhaud นั้นสมบูรณ์ แต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน ในงานเขียนของเขา เขาปรากฏตัวในฐานะผู้แต่งบทเพลงและนักเสียดสี โศกนาฏกรรมและมหากาพย์ ความเป็นรูปธรรมของการคิดกำหนดล่วงหน้าความสมจริงของงานศิลปะของเขา เขาเป็นมนุษย์ต่างดาวที่แสดงออกถึงความสุดโต่ง

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งมีอยู่ในเพลงของเขาที่สดใส ที่จุดเริ่มต้น วิธีที่สร้างสรรค์สิ่งนี้มาจากความกระตือรือร้นในการโต้เถียงที่ต่อต้านการปรับแต่งดนตรีของอิมเพรสชันนิสต์มากเกินไปซึ่งคนรุ่น Milhaud ต่อต้านการเน้นย้ำถึงความสำคัญของจังหวะไดนามิกโดยใช้น้ำเสียงดั้งเดิมของดนตรี "สตรีท" โดยเจตนา สไตล์ของ Milhaud มีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยความหลากหลาย เอฟเฟกต์วงดนตรีและเสียงประสานที่ดึงดูดใจ รวมกับท่วงทำนองที่เรียบง่ายโดยทั่วไป (มักมาจากโกดังในโพรวองซ์) ในช่วงปีที่หก นักแต่งเพลงมองหาเอฟเฟกต์ที่เกินจริงซึ่งทำให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงจากผู้ชมและนักวิจารณ์ ต่อมา สไตล์ของ Milhaud มีเสถียรภาพมากขึ้นและค่อนข้างปานกลาง ในการประพันธ์เพลงบรรเลงและแชมเบอร์ (Milhaud ปลูกฝังประเภทของเครื่องสาย) การเชื่อมโยงกับชาวฝรั่งเศส ดนตรีคลาสสิก. มิลฮาดมักจะเลือกรูปแบบดนตรีที่บีบอัด โดยเลือกความแตกต่างกับการพัฒนาที่ยาวนาน ทำนองเพลงภาษาฝรั่งเศสเป็นพื้นฐานของงานของเขา - นี่คือน้ำเสียงของบทสวดโบราณและลวดลายโปรวองซ์ เขาเป็นคนต่างด้าวกับความเชื่อไม่ยอมรับ dodecaphony ในวิธีการที่สร้างสรรค์ของเขา - สัญชาตญาณมากมายซึ่งเป็น "งานฝีมือ" ทางดนตรีชนิดหนึ่ง (ด้วยเหตุนี้การประพันธ์ประเภทเดียวกันทั้งชุด)

มิโยะมีหลายหน้า เพื่อที่จะชี้แจงให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็ควรค่าแก่การพูดถึง โอเปร่าซึ่งมีทิศทางที่แตกต่างกันซึ่งมักมีขั้วอยู่ร่วมกัน ครั้งแรกที่ค่อนข้างพูด "โบราณ - พระคัมภีร์" - มหากาพย์ในแนวคิด รุนแรงในสี ด้วยการระเบิดอารมณ์ที่เกิดขึ้นเอง เหล่านี้คือ "Ores-teya" (1915) จากนั้น "Medea" (1939) และ "David" (1954); ภาพสะท้อนของลักษณะนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในฉากประสานเสียง เห็นได้ชัดใน "คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส" (1930) ในอีกทางหนึ่ง Milhaud มุ่งมั่นที่จะใช้คำพูดที่ง่ายที่สุด ส่วนใหญ่เป็นเสียงพูดแบบโมโน โดยอิงจากเสียงในแชมเบอร์ของวงออเคสตรา สะท้อนให้เห็นในอุปรากรเรื่อง The Misfortunes of Orpheus (1926) อย่างเสรี แปลงโบราณ: ออร์ฟัสกลายเป็นหมอนวดในชนบท ยูริไดซ์ - ยิปซี! ในขณะเดียวกัน นี่เป็นวิธีที่สาม! - เขาสร้าง "The Poor Sailor" (1927) ซึ่งทั้งโครงเรื่องและการตีความทางดนตรีนั้นคล้ายกับละครแนว veristic และในที่สุด ทันทีตามแนวคิดเชิงนวัตกรรมของโคลัมบัส มิลฮาดก็หันไปใช้การแสดงโรแมนติก ("ฉาก") แบบดั้งเดิมในจิตวิญญาณของเมเยอร์เบียร์หรือ ต้น Verdiในโอเปร่า "Maximilian" (1932) และต่อมาในโอเปร่า "Bolivar"

อันที่จริง น้ำตกแห่งความคิด ลานตาของการแก้ปัญหา! นักแต่งเพลงคนนี้มีกี่ด้านก็เปล่าที่ตัวเองบอกว่าเขากำลังเปลี่ยนไป ลักษณะที่สร้างสรรค์ขึ้นอยู่กับประเภทและงานที่กำหนดไว้สำหรับตัวคุณเอง แม้จะมีกิริยาที่แตกต่างกันไป แต่ในดนตรีของ Milhaud เรารู้สึกได้อย่างชัดเจน คนละสไตล์โดดเด่น บุคลิกภาพทางศิลปะนักดนตรีที่คิดอย่างกล้าหาญ "ทดสอบ" ความเป็นไปได้ที่เป็นรูปเป็นร่างและแสดงออกของศิลปะ

นักแต่งเพลงอายุเกินเจ็ดสิบแล้ว แต่เขายังคงเข้มข้น งานสร้างสรรค์. นอกจากซิมโฟนี "อภิบาล" แล้ว โอเปร่า "The Guilty Mother" (1965), "Ode to the Dead in the War" (1963), คอนแชร์โต้ครั้งที่สองสำหรับคลาริเน็ต (1964) ก็ถือกำเนิดขึ้น

ของฉัน ละครครั้งสุดท้ายซึ่งเพลงถูกทำเครื่องหมายด้วยประโลมโลก - "แม่อาชญากร" - เขาเขียนเมื่ออายุ 77 ปีในเนื้อเรื่องของส่วนสุดท้ายของไตรภาค Beaumarchais ที่มีชื่อเสียง

มิจาอู, ดาริอุส(มิลเฮาด์, ดาริอุส) (2435-2517), นักแต่งเพลงชาวฝรั่งเศส. Milhaud เป็นผู้ริเริ่มที่กล้าหาญ ได้พัฒนาเทคนิคการเขียนแบบหลายโทน เช่น การรวมกันพร้อมกันในการทำงานของสองปุ่มขึ้นไป เขามีชื่อเสียงในด้านการทดลองของเขาเกี่ยวกับองค์ประกอบเครื่องดนตรีที่ผิดปกติและการค้นพบจังหวะดั้งเดิมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนไปใช้แหล่งข้อมูลที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม ( อเมริกันแจ๊สและนิทานพื้นบ้านบราซิล)

Milhaud เกิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2435 ที่เมือง Aix-en-Provence เขาเรียนที่ Paris Conservatoire กับ K. Leroy (ความสามัคคี), A. Gedalzh (ความแตกต่าง) และ Ch.-M. Vidor (ความทรงจำ) Milhaud ไม่พอใจกับแนวคิดอนุรักษ์นิยมของ Leroy จึงแสดงโซนาตาให้ครูดู ซึ่งทำให้ศาสตราจารย์ไม่พอใจอย่างมากจนนักเรียนถูกไล่ออกจากชั้นเรียน อย่างไรก็ตาม Milhaud ชื่นชอบ Gedalge ผู้สนับสนุนการทดลองแต่งเพลงของเขา ในวัยหนุ่ม Milhaud เกลียดดนตรีของ Wagner และพัฒนาความรักในโอเปร่าของ Debussy Pelleas และ Melisande. ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ผลงานชิ้นแรกของ Milhaud อิทธิพลที่แข็งแกร่งของสไตล์ Debussy นั้นชัดเจน

ในปี 1916 Milhaud พร้อมด้วยกวีและนักการทูต P. Claudel ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำบราซิล ไปเป็นเลขานุการของเขาที่เมืองริโอเดจาเนโร เขาเริ่มสนใจในนิทานพื้นบ้านบราซิล เพลงพื้นบ้าน ซึ่งต่อมาสะท้อนอยู่ในของเขา เพลงบราซิล (เซาดาเดสโดบราซิล, 1920–1921). หลังจากกลับมาที่ปารีสในปี 2461 เขาร่วมมือกับ ZHKokto และกับ Belgian P. Koller (ผู้แต่งหนังสือเกี่ยวกับนักแต่งเพลง) เข้าร่วมกลุ่มนักดนตรี ("Six") 1920 Milhaud suite โพรทูส (โปรตีน) สร้างเรื่องอื้อฉาวที่แท้จริงและในขณะที่รอบปฐมทัศน์ของ Milhaud ก่อให้เกิดการโฆษณาต่อสาธารณะ อย่างไรก็ตาม Milhaud ไม่รู้สึกอับอายกับสิ่งนี้ และเขาก็ทำการทดลองต่อไป อันดับแรก งานสำคัญโอเปร่ากลายเป็นนักแต่งเพลง ยูเมนิเดส(Les Eumenidesค.ศ. 1917-1922) อิงจากโศกนาฏกรรมของเอสคิลุส (แปลโดยคลาวเดล) ที่คงไว้ซึ่งลักษณะหลายโทน สำหรับเวลานั้นมันเป็นองค์ประกอบที่กล้าหาญเกินไปและโอเปร่าก็จัดแสดงเต็มในปี 2492 เท่านั้น ในขณะเดียวกันชื่อเสียงของ Milhaud นั้นถูกสร้างขึ้นโดยงานอื่น ๆ - บัลเล่ต์ กระทิงบนหลังคา (Le Boeuf sur le Toit, 1919), การสร้างโลก (La Creation du monde, 1923), สลัด (สลัด, 1924) และ บลู เอ็กซ์เพรส (เลอ เทรน เบลอ, 2466-2467). Milhaud ยังคงแต่งโอเปร่า; ในหมู่พวกเขา - ความโชคร้ายของออร์ฟัส (Les malheurs d "Orphee, 1924), เอสเธอร์ เดอ คาร์เพนตรา (เอสเธอร์ เดอ คาร์เพนตรัส, 1925), กะลาสีที่น่าสงสาร (Le pauvre matelot, 2468) และ คริสโตเฟอร์โคลัมบัส (คริสตอฟ โคลอมบ์, 2473). โอเปร่า เมเดีย (มีดี, 1938) เขาแต่งบทเพลงโดย Madeleine ภรรยาของเขา

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง Milhaud อพยพไปอเมริกา และได้เป็นศาสตราจารย์ด้านองค์ประกอบที่ Mills College (โอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย) ในปีต่อๆ มา ทีละสิบ ซิมโฟนีที่ยิ่งใหญ่และสอง โอเปร่าขนาดใหญ่ – โบลิวาร์ (โบลิวาร์, อ. 236, 2486) และ เดวิด (เดวิด, อ. 320, 1952). สำหรับฉัน อายุยืน Milhaud เขียนคอนแชร์ติสำหรับเครื่องดนตรีเกือบทั้งหมด รวมทั้งโซโลมาริมบาและเครื่องเพอร์คัชชัน

หลังสงคราม นักแต่งเพลงได้สอนองค์ประกอบพร้อมกันที่ Paris Conservatory และที่ Mills College Milhaud ถูกดึงดูดโดยการผสมผสานดั้งเดิมของเครื่องดนตรีจำนวนเล็กน้อย เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนเสียงต่ำและการเขียนในแชมเบอร์ แต่นักแต่งเพลงก็มั่นใจในการจัดการกับวงดนตรีขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน การประพันธ์เพลงสำหรับวงดุริยางค์ซิมโฟนีขนาดใหญ่ประกอบด้วย 12 ซิมโฟนีและอีกหลายๆ วง คอนแชร์โตเปียโน. อัตชีวประวัติของ Milhaud ถูกตีพิมพ์ในปารีสในปี 1949 โน้ตไม่มีเพลง (โน้ตเพลงซัง). ในปี 1972 Milhaud ได้รับเลือกเป็นสมาชิกของ French Academy ศิลปกรรม. Milhaud เสียชีวิตในเจนีวาเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2517

ข้อมูลชีวประวัติ

ครอบครัว Milhaud ถือว่าตนเองเป็นทายาทของชาวยิวคนแรกที่ตั้งรกรากอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสหลังจากการล่มสลายของวัดที่สองใน 70 CE อี

เมื่อเป็นเด็ก Milhaud เล่นไวโอลิน ในปี ค.ศ. 1909–16 ศึกษาที่ Paris Conservatoire กับ K. Leroux, A. Gedalge, Ch. M. Widor (ทฤษฎีดนตรี), P. Duke และ V. d'Andy (การเรียบเรียงและการดำเนิน)

เขาเขียนบทประพันธ์แรกของเขาในปี 1910 ระหว่างการศึกษาของเขา เขาได้พบกับนักแต่งเพลง E. Satie นักเขียน J. Cocteau และ P. Claudel ซึ่งกลายเป็นทูตประจำบราซิล (ค.ศ. 1917–18) ให้ Milhaud เป็นเลขานุการ

เส้นทางสร้างสรรค์

เมื่อเขากลับมาจากบราซิล Milhaud เพื่อนนักเรียน A. Honegger และ J. Auric รวมถึง F. Poulenc, D. Duray และ J. Taifer ได้ก่อตั้ง Six ซึ่งเป็นชุมชนสร้างสรรค์ที่มีบทบาทสำคัญใน ชีวิตดนตรีฝรั่งเศสต่อต้านความโรแมนติกของ Wagnerism และความซับซ้อนที่มากเกินไปของ Impressionists

เครือจักรภพพยายามสร้างดนตรีที่ผู้ฟังธรรมดาเข้าใจได้ ในปี 1936 Milhaud เข้าร่วม People's Music Federation เขียนเพลง (พร้อมผู้เขียนร่วม) สำหรับละครของ R. Rolland "14 กรกฎาคม" และคณะนักร้องประสานเสียงยอดนิยม "The Hand Outstretched to Everyone" (ถึงข้อของ C. Vildrak; 2480 ในการประชุมโลกของสมัชชาต่อต้านชนชาติและต่อต้านชาวยิว)

ในปี ค.ศ. 1940 เขาหนีออกจากฝรั่งเศสที่นาซียึดครองไปเพื่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาได้เป็นศาสตราจารย์ด้านองค์ประกอบที่ Mills College (โอ๊คแลนด์ แคลิฟอร์เนีย)

ในปี 1945 เขากลับบ้านเกิดของเขากลายเป็นศาสตราจารย์ที่ Paris Conservatory (ตั้งแต่ 1956 ยังเป็นสมาชิกของ Academy of Fine Arts และตั้งแต่ปี 1966 - ประธานคณะกรรมการดนตรีแห่งชาติ)

คุณสมบัติของความคิดสร้างสรรค์

ในฐานะนักแต่งเพลง Milhaud ชอบดนตรีบนเวที (โอเปร่า บัลเลต์ โรงละคร ภาพยนตร์) และดนตรีอัจฉริยะ (33 คอนแชร์โตสำหรับเครื่องดนตรีต่างๆ) เพื่อให้ได้ผลงานศิลปะที่โดดเด่นด้วยการประสานเสียงที่ชาญฉลาดและพหุโทน (การผสมผสานสีสันของโทนสีต่างๆ)

มิโยะ - ทายาท ประเพณีประจำชาติดนตรีฝรั่งเศสโดยเฉพาะดนตรีฝรั่งเศสตอนใต้ซึ่งซึมซับและหักเหคุณลักษณะบางอย่างของวัฒนธรรมดนตรีอิตาลีและสเปน ซึ่งทำให้สามารถนำมาประกอบกับสิ่งที่เรียกว่าโรงเรียนเมดิเตอร์เรเนียน (ซึ่งได้รับการพัฒนาที่แปลกประหลาดในวัฒนธรรมดนตรีของอิสราเอลสมัยใหม่) .

ในบรรดาผลงานของผู้แต่งกว่า 400 ชิ้น มีผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงพื้นบ้านโปรวองซ์ (Provencal Suite, 1936, Carnival in Aix, Four เพลงพื้นบ้านโปรวองซ์ "และอื่น ๆ ) น้ำเสียงของดนตรีของภาคใต้และ อเมริกาเหนือ(รวมถึงแจ๊สนิโกร) - ชุดเมืองบราซิล, บัลเลต์กระทิงบนหลังคา, 1919 และ The Creation of the World, 1923, นิทานพื้นบ้านของชาวยิว - (ส่วนใหญ่เป็น Sephardic / ดู Sephardi /) เพลงพื้นบ้านของชาวยิว, 1925, "Seven Dances of Eretz -อิสราเอล", 2489 และอื่น ๆ

ธีมชาวยิว

Milhaud เรียกตัวเองว่า "ชาวฝรั่งเศสจาก Provence แห่งศรัทธาของชาวยิว" ได้อุทิศพื้นที่จำนวนมากในงานของเขาให้กับหัวข้อและภาพพจน์ดั้งเดิมและสมัยใหม่ของชาวยิว: "สดุดีสำหรับศิลปินเดี่ยวและนักร้องประสานเสียง" (1918-21), "Hymn to Zion" (1925) , โอเปร่า "Esther from Carpentra (1925; บทโดย A. Lunel, 1892–?), Queen of Sheba Quartet (1939), Baruch Ha-Shem (1944) และ Kaddish (1945) สำหรับคณะนักร้องประสานเสียงและวงออเคสตรา (ข้อความในภาษาฮีบรู) , ชุดออกแบบท่าเต้น "Dreams of Jacob" (1949), ชุดเปียโน The Seven Candlesticks (1951), ดนตรีสำหรับการแสดง Saul (1954), โอเปร่า David (1953, บทโดย A. Lunel; ได้รับหน้าที่จากกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมของอิสราเอลสำหรับเทศกาลหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่ง Milhaud เข้าร่วมในปี 1954 ) , บัลเล่ต์ "โมเสส" (1957), cantata "Bar Mitzvah" (1960-61 - ถึงวันครบรอบ 13 ปีของการประกาศรัฐอิสราเอล), "Ode to Jerusalem" สำหรับวงออเคสตรา (1973, ดำเนินการครั้งแรกในอิสราเอล), " อานี มามีน" ( องค์ประกอบสุดท้าย, 1974) และอื่นๆ อีกมากมาย

"ไม่มีใครนอกจากเขาที่มีสิทธิ์ได้รับตำแหน่งนักดนตรีชาวฝรั่งเศสมากกว่าเพราะไม่มีใครมีตราประทับของชาวเมดิเตอร์เรเนียนอย่างชัดเจนเช่น Milhaud"
G.Stuckenschmidt

Darius Milhaud เกิดในเมือง Provencal โบราณของ Aix ในครอบครัวของพ่อค้าเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2435 บรรพบุรุษของเขา ชาวยิว ตั้งรกรากอยู่ในโพรวองซ์เมื่อต้นศตวรรษที่ 15 ดาริอัสโตแล้ว ลูกคนเดียวในครอบครัว ของขวัญทางดนตรีของเขาปรากฏขึ้นเร็ว เด็กอายุไม่ถึง 3 ขวบเมื่อแม่จับเขาได้ที่เครื่องดนตรี โดยเล่นเพลงแนวสตรีทแฟชั่นที่เขาเคยได้ยินเมื่อวันก่อนอย่างเป็นอิสระ

ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ Darius เริ่มเรียนไวโอลินจาก Brugier ผู้ได้รับรางวัล Paris Conservatory และเมื่ออายุได้สิบขวบเขาก็เล่นไวโอลินได้ดีและเล่นไวโอลินส่วนที่สองใน เครื่องสายซึ่งพบกันในเย็นวันพุธและวันเสาร์ที่บ้านของพวกเขา เลือกวันสำหรับเด็กชายโดยเฉพาะเพื่อที่เขาจะได้พักผ่อนในเช้าวันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์ นอกจากดนตรีแล้ว ดาริอุสยังติดใจ บทกวีสมัยใหม่และการเดินทาง เขาและเพื่อนๆ ใช้เวลามากมายในการเดินระยะไกลและเดินทางรอบเมือง

จึงรายล้อมไปด้วยเพื่อนฝูง พ่อแม่ที่อ่อนไหวและใจดี ครู Brugier ที่ยอดเยี่ยมในเมือง วัฒนธรรมโบราณ Milhaud ก่อตั้งขึ้นในฐานะบุคลิกภาพและนักดนตรี หลังจากผ่านการทดสอบการบวชตามคำเรียกร้องของพ่อแม่ Milho ย้ายไปปารีสและเข้าเรียนไวโอลินของ Bertelier ในฐานะอาสาสมัคร และในไม่ช้าก็กลายเป็นผู้สมัครคนแรกสำหรับรางวัลนี้ นอกจากไวโอลินแล้ว Darius ยังเข้าเรียนในคลาส Harmony ของ Xavier Leroux ซึ่งเขาหลงทางและตกอยู่ในหมวดหมู่ นักเรียนคนสุดท้าย. เขาได้รับการช่วยเหลือจาก Gedalge ซึ่งเขาได้รับคำแนะนำจาก Leroux ในชั้นเรียน ปรมาจารย์ด้านการเขียนที่ขัดแย้งกัน นักดนตรีที่มีความคิดอิสระที่ละเอียดอ่อน ไม่ถูกจำกัดด้วยมาตรฐานทางวิชาการ ได้สอน Darius ไว้มากมาย ตลอดชีวิตของเขา Milhaud เล่าด้วยความกตัญญู Gedalge อาจารย์ของเขาสำหรับทักษะวิชาชีพที่มั่นใจที่เขาได้รับในชั้นเรียนของเขาสำหรับการปลูกฝังให้เขาลิ้มรสสไตล์ไพเราะสำหรับการโพลีโฟนีซึ่งกลายเป็นพื้นฐาน ความคิดทางดนตรีนักแต่งเพลง.

ชีวิตศิลปะในปารีสในตอนต้นของศตวรรษนั้นเข้มข้นมากและ Milhaud ก็พุ่งเข้าหามันโดยพยายามไม่พลาดแม้แต่ครั้งเดียว เหตุการณ์ที่น่าสนใจ. เขาคุ้นเคยกับงานของ Wagner, Mussorgsky และทำงานหนัก

ในปี 1916 ชีวิตของ Milhaud มาถึง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่. เป็นเวลาสองปีที่เขาออกจากบ้านเกิดและไปกับเพื่อนของเขาที่ชื่อคลอเดลไปยังบราซิล กวีได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสที่นั่น และมิลฮาดอยู่กับเขาในฐานะ เลขาส่วนตัว. ประเทศนี้ทิ้งรอยประทับไว้ลึกในจิตวิญญาณ นักดนตรีหนุ่ม. ความประทับใจหลักเกี่ยวข้องกับนิทานพื้นบ้านของบราซิลซึ่ง Milhaud พบระหว่างงานรื่นเริง เสียงสะท้อนของความประทับใจเหล่านี้จะสะท้อนออกมามากกว่าหนึ่งครั้งในงานของผู้แต่ง เป็นผลโดยตรงจากการเข้าพักในบราซิล ชาวบราซิล ท่วงทำนองพื้นบ้านคะแนนของบัลเล่ต์: นอกรีต - "วัวบนหลังคา" และ "ชายและความปรารถนาของเขา" ลึกลับกามและวัฏจักรที่น่าตื่นเต้น ชิ้นเปียโน"เมืองบราซิล". ในรีโอเดจาเนโร โอเปร่า "Eumenides" ถูกเขียนขึ้น เช่นเดียวกับบทเพลงไพเราะจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นชุดดั้งเดิมของ "Little Symphonies" หลังจากกลับมาจากบราซิล Milhaud ได้เข้าร่วมกลุ่มนักแต่งเพลงที่สร้าง "Six" ขึ้นชื่อ ตามความประสงค์ของนักวิจารณ์ Henri Collet นักดนตรีหนุ่มชาวฝรั่งเศส Honegger, Milhaud, Auric, Poulenc, Durey และ Tayefer ได้ลงทะเบียนเรียน

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2483 มิลฮาดได้เข้าร่วมการแสดงโอเปร่ารอบปฐมทัศน์ในปารีส ค่ำคืนนี้ใน หอประชุมได้ยินเสียงอู้อี้ของปืนใหญ่ต่อต้านอากาศยาน การรุกรานของกองทัพนาซีในฮอลแลนด์เริ่มต้นขึ้น เหตุการณ์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว และภายในสองสัปดาห์ชาวเยอรมันยึดครองปารีส หลังจากการทดลองและความยากลำบากที่หนักใจหลายครั้ง Milhaud พร้อมภรรยาและลูกชายของเขาสามารถย้ายไปสหรัฐอเมริกาได้ ที่นี่เขาทำงานมากและสอนองค์ประกอบที่ Mills College ในแคลิฟอร์เนีย เมื่อกลับมายังบ้านเกิดของเขาในปี 2489 มิลฮาดรับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านองค์ประกอบที่ Conservatory แห่งชาติในปารีสและจนกระทั่ง วันสุดท้ายยังคงแต่งเพลงของเขาต่อไปด้วยความเข้มข้นที่แน่วแน่

ในนั้น เรียงความสั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกเกี่ยวกับงานทั้งหมดของ Milhaud - มีมากเกินไป เพื่อให้เข้าใจดนตรีของ Milhaud จำเป็นต้องยอมรับในภาพรวม โดยไม่มองย้อนกลับไปที่รายละเอียด คำพูดที่เป็นนามธรรมบางอย่างของเธอเป็นเส้นทางที่ซ้ำซากจำเจซึ่งนำคุณไปสู่สนามหญ้าที่ไม่คาดคิดและเป็นประกายท่ามกลางแสงแดด มิโยะพูดในสิ่งที่เขารู้สึก

Viktor Kashirnikov

หลายคนยกตำแหน่งอัจฉริยะให้เขา และหลายคนถือว่าเขาเป็นนักต้มตุ๋นที่ วัตถุประสงค์หลักคือ "ทำให้ชนชั้นนายทุนตกตะลึง"
M. Bauer

ความคิดสร้างสรรค์ D. Milho เข้าสู่หน้าสีสันสดใสใน เพลงฝรั่งเศสศตวรรษที่ 20 มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนและชัดเจนเกี่ยวกับโลกทัศน์ของยุคหลังสงคราม ค.ศ. 1920 และชื่อของ Milhaud เป็นศูนย์กลางของการโต้เถียงที่สำคัญทางดนตรีของเวลานั้น

Milhaud เกิดทางตอนใต้ของฝรั่งเศส คติชนวิทยาโปรวองซ์และธรรมชาติ แผ่นดินเกิดตราตรึงอยู่ในจิตวิญญาณของนักแต่งเพลงตลอดไปและเติมเต็มงานศิลปะของเขาด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ขั้นตอนแรกในดนตรีเกี่ยวข้องกับไวโอลิน ซึ่ง Milhaud ศึกษาเป็นอันดับแรกใน Aix และตั้งแต่ปี 1909 ที่ Paris Conservatory กับ Bertelier แต่ในไม่ช้าความหลงใหลในการเขียนก็เข้ามาแทนที่ ในบรรดาอาจารย์ของ Milhaud ได้แก่ P. Dukas, A. Gedalzh, C. Vidor และ V. d'Andy (ใน Schola cantorum)

ในงานแรก (โรมานซ์, ห้องตระการตา) อิทธิพลของอิมเพรสชั่นนิสม์ของ C. Debussy นั้นชัดเจน กำลังพัฒนา ประเพณีฝรั่งเศส(G. Berlioz, J. Base, Debussy), Milhaud กลายเป็นเพลงรัสเซียที่เปิดกว้างมาก - M. Mussorgsky, I. Stravinsky บัลเลต์ของสตราวินสกี้ (โดยเฉพาะ The Rite of Spring ที่ทำให้คนทั้งโลกสั่นสะเทือน) โลกดนตรี) ช่วยให้นักแต่งเพลงรุ่นเยาว์มองเห็นขอบฟ้าใหม่

แม้แต่ในช่วงปีสงคราม ก็มีการสร้าง 2 ส่วนแรกของไตรภาคโอเปร่า-ออราโทริโอ "Oresteia: Agamemnon" (1914) และ "Choephors" (1915) ส่วนที่ 3 ของ Eumenides ถูกเขียนขึ้นในภายหลัง (1922) ในไตรภาค นักแต่งเพลงละทิ้งความซับซ้อนของอิมเพรสชั่นนิสม์และพบภาษาใหม่ที่เรียบง่ายกว่า มีประสิทธิภาพมากที่สุด หมายถึงการแสดงออกจังหวะจะกลายเป็น (ดังนั้น การบรรยายของคอรัสมักจะมาพร้อมกับ .เท่านั้น เครื่องเคาะจังหวะ). Milhaud เครื่องแรกที่ใช้ที่นี่เป็นการผสมผสานระหว่างคีย์ต่างๆ (polytonality) พร้อมกันเพื่อเพิ่มความตึงของเสียง ข้อความโศกนาฏกรรมของ Aeschylus ได้รับการแปลและประมวลผลโดยคนสำคัญ นักเขียนบทละครชาวฝรั่งเศส P. Claudel เป็นเพื่อนและ Milhaud ที่มีความคิดเหมือนกันมาหลายปีแล้ว “ฉันพบว่าตัวเองอยู่บนธรณีประตูของศิลปะที่มีความสำคัญและมีสุขภาพดี… ซึ่งคนๆ หนึ่งรู้สึกถึงพลัง พลังงาน จิตวิญญาณ และความอ่อนโยนที่ปลดปล่อยจากโซ่ตรวน นี่คือศิลปะของ Paul Claudel!” - ต่อมาจำนักแต่งเพลงได้

ในปีพ.ศ. 2459 คลอเดลได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตประจำบราซิล และมิลโฮด์ไปกับเขาในฐานะเลขาส่วนตัวของเขา Milhaud รวบรวมความชื่นชมในความสว่างของสีสันของธรรมชาติเขตร้อนความแปลกใหม่และความร่ำรวยของคติชนวิทยาในละตินอเมริกาใน " การเต้นรำของบราซิล” ซึ่งการผสมผสานระหว่างท่วงทำนองและเสียงประกอบทำให้เสียงมีความคมชัดและเครื่องเทศเป็นพิเศษ Ballet Man and His Desire (1918 เขียนบทโดย Claudel) ได้รับแรงบันดาลใจจากการเต้นรำของ V. Nijinsky ผู้ออกทัวร์ริโอเดจาเนโรกับคณะบัลเล่ต์ชาวรัสเซียของ S. Diaghilev

เมื่อกลับมาที่ปารีส (1919) Milhaud เข้าร่วมกลุ่ม Six ผู้สร้างแรงบันดาลใจในอุดมคติ ได้แก่ นักแต่งเพลง E. Satie และกวี J. Cocteau สมาชิกของกลุ่มนี้ต่อต้านการแสดงออกที่เกินจริงของแนวโรแมนติกและความผันผวนของอิมเพรสชั่นนิสม์ สำหรับศิลปะ "ทางโลก" ซึ่งเป็นศิลปะของ "ทุกวัน" เสียงของศตวรรษที่ 20 แทรกซึมเข้าไปในเพลงของนักประพันธ์เพลงรุ่นใหม่: จังหวะของเทคโนโลยีและห้องโถงดนตรี

บัลเลต์จำนวนหนึ่งที่สร้างขึ้นโดย Milhaud ในปี ค.ศ. 1920 รวมจิตวิญญาณแห่งความพิศวงซึ่งเป็นการแสดงตลก ในบัลเล่ต์ "The Bull on the Roof" (2463 บทโดย Cocteau) ซึ่งแสดงแถบอเมริกันในช่วงหลายปีของการห้ามเสียงท่วงทำนอง การเต้นรำสมัยใหม่เหมือนแทงโก้ ใน The Creation of the World (1923), Milhaud หมายถึง สไตล์แจ๊สโดยการนำวงออร์เคสตราของ Harlem (ย่านนิโกรของนิวยอร์ก) เป็นนางแบบ นักแต่งเพลงได้พบกับออเคสตราประเภทนี้ในระหว่างการทัวร์สหรัฐอเมริกา ในบัลเล่ต์ "สลัด" (1924) ฟื้นฟูประเพณีของหน้ากากตลกเสียงดนตรีอิตาลีเก่า

การค้นหาต่างๆ สำหรับ Millau และใน ประเภทโอเปร่า. กับฉากหลังของแชมเบอร์โอเปร่า (“The Suffings of Orpheus”, “ The Poor Sailor” ฯลฯ ) ละครที่ยิ่งใหญ่เรื่อง“ Christopher Columbus” (อ้างอิงจาก Claudel) เพิ่มขึ้น - จุดสุดยอดของงานของนักแต่งเพลง ทำงานได้ดีที่สุดสำหรับ โรงละครดนตรีเขียนใน 20s ในเวลานี้ยังมีการสร้างซิมโฟนี 6 ห้อง, โซนาตา, ควอเตตและอื่น ๆ

นักแต่งเพลงได้ไปเที่ยวอย่างกว้างขวาง ในปี 1926 เขาได้ไปเยี่ยมสหภาพโซเวียต การแสดงของเขาในมอสโกและเลนินกราดไม่ได้ทำให้ใครเฉย ตามคำให้การของผู้เห็นเหตุการณ์ "บางคนไม่พอใจ คนอื่นๆ งง คนอื่นๆ มองโลกในแง่ดี และคนหนุ่มสาวถึงกับกระตือรือร้นด้วยซ้ำ"

ในยุค 30 ศิลปะของ Milhaud เข้าใกล้ปัญหาการเผาไหม้ โลกสมัยใหม่. ร่วมกับอาร์โรแลนด์ L. Aragon และเพื่อน ๆ ของเขา - สมาชิกของ "Six" Milhaud มีส่วนร่วมในงานของ People's Music Federation (ตั้งแต่ปี 1936) เขียนเพลง, นักร้องประสานเสียง, cantatas สำหรับกลุ่มมือสมัครเล่นกว้าง ประชาชน. ใน cantatas เขาหันไปใช้ธีมที่มีมนุษยธรรม ("ความตายของทรราช", "สันติภาพ Cantata", "สงคราม Cantata" ฯลฯ ) นักแต่งเพลงยังแต่งบทละครที่น่าตื่นเต้นสำหรับเด็ก เพลงประกอบภาพยนตร์

การรุกรานของกองทหารนาซีในฝรั่งเศสทำให้ Milhaud ต้องอพยพไปยังสหรัฐอเมริกา (1940) ซึ่งเขาหันไปสอนที่ Mills College (ใกล้ลอสแองเจลิส) หลังจากได้เป็นศาสตราจารย์ที่ Paris Conservatory (1947) เมื่อกลับมายังบ้านเกิด Milhaud ไม่ได้ออกจากงานในอเมริกาและเดินทางไปที่นั่นเป็นประจำ

เขาดึงดูดมากขึ้นเรื่อยๆ เพลงบรรเลง. หลังจากหกซิมโฟนีสำหรับ องค์ประกอบของห้อง(สร้างในปี 2460-23) เขาเขียนอีก 12 ซิมโฟนี Milhaud เป็นผู้แต่ง 18 quartets, orchestra suites, overtures และ concertos มากมาย: สำหรับเปียโน (5), วิโอลา (2), เชลโล (2), ไวโอลิน, โอโบ, พิณ, ฮาร์ปซิคอร์ด, เพอร์คัชชัน, มาริมบาและไวบราโฟนพร้อมวงออเคสตรา ความสนใจของ Milhaud ในหัวข้อการต่อสู้เพื่ออิสรภาพไม่ได้ลดลง (โอเปร่าโบลิวาร์ - 1943; ซิมโฟนีที่สี่ซึ่งเขียนขึ้นในวันครบรอบหนึ่งร้อยปีของการปฏิวัติ 2391; cantata Castle of Fire - 1954 ที่อุทิศให้กับความทรงจำของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของ ลัทธิฟาสซิสต์ถูกเผาในค่ายกักกัน)

ในบรรดาผลงานในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมามีผลงานมากที่สุด ประเภทต่างๆ: โอเปร่ามหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ "David" (1952) เขียนขึ้นในวันครบรอบ 3000 ปีของกรุงเยรูซาเล็ม Opera-oratorio "Saint Louis - King of France" (1970 ถึงข้อความของ Claudel) เรื่องตลก "Criminal Mother" (1965) รองจาก ป.โบมาเช่) บัลเลต์จำนวนหนึ่ง (รวมถึง "The Bells" โดย อี. โพ) ผลงานบรรเลงอีกมากมาย